The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by gphaiboon, 2022-07-27 22:07:13

รายงาน KM การผลิตผลงานรับใช้สังคม ที่เทียบเท่างานวิจัย ประจำปีการศึกษา 2564

รายงาน KM ด้านการวิจัย64

Keywords: KM PYU

1

รายงานกระบวนการจดั การความรู้

เรอ่ื ง

“การผลติ ผลงานวชิ าการรบั ใชส้ งั คม
ทเ่ี ทียบเทา่ งานวิจัย”

โดย คณะกรรมการสง่ เสริมการวจิ ยั และพัฒนาผลงานวิชาการ
คณะมนษุ ยศาสตร์และนิเทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พายพั
ปกี ารศึกษา 2564

คำนำ
ในปีการศึกษา 2564 นี้ คณะกรรมการส่งเสริมการวจิ ัยและพัฒนาผลงานวิชาการ คณะมนษุ ยศาสตร์
และนิเทศศาสตร์ ไดด้ ำเนินการจัดการความรู้ ตามกระบวนการ โดยกำหนดไว้ในแผน 7 กจิ กรรม ไดแ้ ก่ การ
บ่งชี้ความรู้ การสร้างและแสวงหาความรู้ การจัดความรู้ใหเ้ ปน็ ระบบ การประมวลและกลน่ั กรองความรู้ การ
เข้าถึงความรู้ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการเรียนรู้ กระบวนการดังกล่าวนี้ได้ดำเนินการตลอดปี
การศึกษา โดยมกี ารแลกเปล่ยี นเรียนร้กู นั ใน 2 ประเด็นใหญ่ คอื เรอื่ งการผลติ บัณฑติ และเรอ่ื งการวิจยั
รายงานเลม่ น้ี เปน็ รายงานกระบวนการจัดการความรู้เร่ืองการวจิ ัย โดยในปนี ี้ คณะมนุษยศาสตร์และ
นิเทศศาสตร์ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “การผลิตผลงานวิชการรับใช้สังคมที่เทียบเท่างานวิจัย” และ
คณะกรรมการส่งเสรมิ การวิจัยและพัฒนาผลงานวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และนเิ ทศศาสตร์ ได้ดำเนนิ การ
เสรจ็ สิ้นกระบวนการ ดังรายละเอยี ดท่ีไดร้ ายงานผลไว้ในเลม่ นี้ หวังเปน็ อยา่ งยิ่งวา่ พอจะเป็นแนวทางในการ
พฒั นาการดำเนินงานวจิ ัยใหด้ ียง่ิ ขน้ึ ต่อไปในอนาคต

คณะกรรมการสง่ เสรมิ การวจิ ัยและพฒั นาผลงานวิชาการ
คณะมนุษยศาสตร์และนเิ ทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พายพั

เมษายน 2565

2

สรุปองค์ความร้ทู ไี่ ด้

องค์ความร้ทู ี่ไดจ้ ากกระบวนการจดั การความรู้ด้านการวิจยั ปกี ารศึกษา 2564 คณะมนุษยศาสร์และ
นิเทศศาสตร์ ไดก้ ำหนดประเดน็ “การผลติ ผลงานรบั ใชส้ ังคมท่ีเทียบเทา่ งานวิจัย” ซึ่งสามารถสรปุ องค์ความรู้
ไดด้ ังน้ี

1. ความหมาย ความสำคญั และเปา้ หมายของ “ผลงานวิชาการรบั ใชส้ ังคม”

ความจำกัดความของ “ผลงานวิชาการรับใช้สังคม” ในเอกสารแนบท้ายประกาศ ก.พ.อ. น้ัน
หมายถงึ ผลงานทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ สงั คมหรือท้องถน่ิ ทเี่ กิดขน้ึ โดยใชค้ วามเชี่ยวชาญในสาขาวชิ าอย่างน้อยหน่ึง
สาขาวิชา และปรากฎผลทส่ี ามารถประเมินได้เปน็ รปู ธรรมโดยประจกั ษ์ต่อสาธารณะ ผลงานทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ ่อ
สังคมนต้ี อ้ งเปน็ ผลให้เกิดการเปลีย่ นแปลงในทางท่ีดีข้ึนทางด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้านเก่ียวกับ ชุมชน วิถี
ชีวิต ศิลปวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม อาชีพ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง คุณภาพชีวิต หรือสุขภาพ หรือเป็น
ผลงานที่นำไปสู่การจดทะเบียนสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบอื่นที่สามารถแสดงได้เป็นที่
ประจักษ์ว่าสามารถใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาสังคม และก่อให้เกิดประโยชน์อย่างชัดเจน หรือเป็นการ
เปล่ยี นแปลงในความตระหนักและการรับรูใ้ นปัญหาและแนวทางแกไ้ ขของชุมชน ท้ังนี้ ไม่นับรวมงานทีแ่ สวงหา
กำไรและไดร้ บั ผลตอบแทนสว่ นบุคคลในเชิงธุรกิจ

โดยทั่วไปแล้ว นักวิชาการมักจะคุ้นเคยกับการทำงานวิจัย ซึ่งงานวิจัยหลายรูปแบบ ก็เกิด
ประโยชน์ต่อสงั คมทง้ั สิน้ เช่น งานวิจยั ท่ีโจทย์มาจากผู้ใช้ หรอื R&D งานวจิ ัยเชงิ นโยบายเพอ่ื เปล่ียนวิธีคิดของ
สังคม งานวจิ ัยเชิงทฤษฎที ม่ี เี ป้าหมายพัฒนากระบวนการดา้ นสังคม งานวิจัยแบบมสี ่วนร่วม งานวิจัยแบบ R2R
เป็นตน้ อย่างไรก็ตาม เม่ือข้นึ ช่ือวา่ งานวจิ ัย ก็จะยงั เครง่ ครัดดา้ นระเบยี บวิธีวิจัย และมแี หลง่ เผยแพร่ในรูปแบบ
ของวารสาร/หนังสือเชิงวิชาการ แต่งานวิชาการรับใช้สังคมนั้น มีจุดเน้นที่ต่างออกไป คือ เน้นให้มีการมีสว่ น
ร่วมของชุมชน และผลลพั ธ์สามารถตอ่ ยอดไปยังสาขาวิชาอ่ืนได้ เช่น โครงการผา้ ฝา้ ยย้อมสีธรรมชาติ จ.พะเยา
ได้เห็นปญั หาคอื ผา้ ฝ้ายยอ้ มสีธรรมชาตนิ น้ั ขายได้ดี แต่สีไม่แนน่ อน ไมส่ มำ่ เสมอ และไมต่ ิดคงทน ในส่วนของ
งานวิชาการรับใช้สังคม ก็เข้าไปพัฒนากระบวนการยอ้ ม เทคนิคการยอ้ ม การดูดซับสี และเพิ่มสีจากวัตถุดบิ
ตามธรรมชาติอน่ื ๆ เปน็ ต้น ซึ่งจะเห็นได้วา่ งานน้ีไดร้ บั โจทยจ์ ากชุมชน แลว้ นกั วชิ าการกับชมุ ชนร่วมกันหาทาง
แกป้ ญั หา จนสามารถแก้ปญั หาได้ เกดิ การเปลี่ยนแปลงในชุมชนและสามารถขยายผลไปยงั สาขาวชิ าอ่นื ได้ เช่น
สาขาการออกแบบ (ลายผ้า) สาขาการบริหารจัดการ (กลุ่มทอผ้า) สาขาการเกษตรก็พัฒนาการปลูกฝ้าย
พื้นเมืองท่ีมีสใี นตวั เปน็ ตน้ ท้งั นย้ี งั สามารถเป็นต้นแบบไปยังชมุ ชนอ่ืน ๆ ไดอ้ ีกดว้ ย

3

2. กระบวนการของการดำเนินงานดา้ นการผลิตผลงานวชิ าการรับใชส้ งั คม
การผลิตผลงานวชิ าการรบั ใชส้ งั คมนนั้ เมื่อดำเนนิ การภาคปฏบิ ัตเิ สร็จแลว้ ตอ้ งทำเป็นเอกสารโดยมี
คำอธบ่ิ ายประกอบผลงานนน้ั เพอ่ื ชใ้ี หเ้ ห็นวา่ เป็นผลงานท่ที ำใหเ้ กดิ การพฒั นาเปน็ ประโยชน์ตอ่ สงั คม มีความ
เปลี่ยนแปลงท่ีดีข้ึน และเกดิ ความกา้ วหน้าทางวชิ าการ หรอื เสรมิ สรา้ งความรูห้ รอื กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อ
สาขาวชิ าหน่ึงหรอื หลายสาขาวิชา โดยต้องปรากฏเปน็ ท่ปี ระจกั ษ์ในประเดน็ ตอ่ ไปนี้ (การเขียนตวั เลม่ รายงาน
ผลงานจะตอ้ งประกอบด้วย 7 หวั ขอ้ น)้ี
(1) การวิเคราะห์สภาพการณ์ก่อนการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้น: ต้องเขียนถึงปัญหาของชุมชนก่อน
ดำเนินงานใหช้ ดั เจน โดยแนวทางการเขียนคอื เขยี นถึงปัญหาท่เี กิดจากความไม่รู้ จนพฒั นาสู่โจทย์วิจยั
(2) การมสี ่วนรว่ มและการยอมรบั ของสงั คมเป้าหมาย: สว่ นนี้สามารถรายงานเป็นบทสมั ภาษณ์ หรือ
วีดิทัศน์สมั ภาษณ์คนในชุมชนได้
(3) การออกแบบหรอื พัฒนาหรอื แนวคดิ หรือกระบวนการทที่ ำใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงนน้ั : หัวขอ้ น้ี
ต้องเขยี นให้ชดั เจนเปน็ 1) “ข้ันตอน” เพ่อื แสดงให้เหน็ “กระบวนการ” ที่ทำให้เกดิ การเปล่ยี นแปลง รวมทง้ั
2)แสดงผลการเปลี่ยนแปลงใหเ้ ป็นรูปธรรม โดยสามารถเขยี นในรปู แบบของผลผลิต-ผลลัพธ์ (Output-
Outcome) ได้
(4) ความรูห้ รอื ความเชยี่ วชาญท่ีใชใ้ นการทำใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงน้ัน: สามารถเขยี นแยกเป็นองค์
ความรู้ของแต่ละสาขาวชิ าทมี่ าบรู ณาการรว่ มกัน แยกเป็นข้อ ๆ ไดเ้ พ่อื ความชัดเจน
(5) การคาดการณส์ ง่ิ ทจี่ ะตามมาหลังจากการเปลยี่ นแปลงไดเ้ กดิ ข้ึนแล้ว: สามารถเขยี นแยกเปน็ หัวข้อ
ย่อยได้หลายแบบตามความเหมาะสม เช่น 1) ระดบั การบรรลวุ ตั ถุประสงค์ (ระยะสนั้ -ยาว ระบุเดือน-ป)ี และ
2) เขยี นระบุถงึ ผลกระทบทเ่ี กดิ ข้นึ (Effect ไมใ่ ช่ Outcome)
(6) การประเมนิ ผลลพั ธโ์ ดยการตดิ ตามการเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ข้นึ : เขยี นในรปู แบบการเลา่ เรอ่ื งทเ่ี ป็น
รูปธรรม แยกข้อเป็นประเด็นทีละผลลพั ธ์ได้ เชน่ ผลงานได้รบั รางวลั มกี ารนำไปใช้เป็นตน้ แบบในชุมชนอื่น มี
ผลิตภณั ฑจ์ ากโครงการไดร้ ับการรบั รองมาตรฐาน มีการตอ่ ยอดองคค์ วามรูไ้ ปในงานตา่ ง ๆ ฯลฯ
(7) การสรปุ แนวทางการธำรงรักษาหรือการนำไปขยายผลหรอื การปรบั ปรงุ พฒั นา : เขยี นแนวทางใน
การตอ่ ยอดในอนาคต ท้ังในงานของชมุ ชนในพน้ื ท่ี และงานวชิ าการ

4

ในส่วนของเทคนคิ ในการก้าวสูต่ ำแหนง่ ทางวิชการด้วยการผลติ ผลงานวชิ าการรับใช้สังคม คือ เทคนคิ
การ “รู้เรา-รู้เขา” ซง่ึ มีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

(1) รเู้ รา ได้แก่
- รู้ว่าเราถนัดงานอะไรบ้าง
- รู้ว่าเราจำเปน็ ต้องมพี เ่ี ลยี้ ง และใครจะมาเปน็ พเี่ ลีย้ งเราได้
- รวู้ ่าเราจบสาขาอะไร และศาสตรข์ องเราสามารถชว่ ยเหลือสังคมได้อย่างไรบ้าง
- รู้ว่าศาสตร์ของเราสามารถบูรณาการกบั สาขาอ่ืน ๆ ไดอ้ ยา่ งไร
- รรู้ ะเบียบ/กระบวนการดำเนินงานดา้ นการผลติ ผลงานวชิ าการรับใชส้ ังคมอย่างชัดเจน

(2) รเู้ ขา ไดแ้ ก่
- องคก์ รท่ีสนบั สนนุ งานของเราได้
- ความจำเปน็ เร่งดว่ นของโจทยป์ ญั หานั้น
- การรบั รูร้ ะดับองค์กรในทอ้ งถน่ิ และสถาบันของเรา
- ท่าทขี องผ้บู ริหารระดับตา่ ง ๆ สนบั สนุนเราไหม

3. ปัญหาทม่ี กั พบในการทำงานวิชาการรบั ใชส้ งั คม
3.1 การต้งั โจทย์ : มปี ัญหาทีพ่ บบอ่ ยดังนี้
- เริ่มงานมอื เปลา่ ไม่รอู้ ะไรเลยเก่ยี วกบั พนื้ ท/ี่ ชมุ ชนนั้น
- เรื่องใหญ่ หรอื เลก็ เกนิ ไป ไม่สง่ ผลต่อการเปลีย่ นแปลง
- โจทย์ไมเ่ ป็น Action คือ ปัญหาเชิงหลกั การไม่สามารถลงมือปฏบิ ตั การแกป้ ญั หาได้
- โจทยด์ ี แต่กำหนดวิธจี ัดการปญั หาทไี่ มช่ ดั เจน หรอื มีวธิ แี กป้ ญั หาทดี่ ีกว่าแตไ่ ม่ทำ
- วธิ กี ารกับวัตถปุ ระสงคไ์ ม่สัมพนั ธ์กนั เช่น วธิ กี ารเล็ก แตว่ ตั ถุประสงค์ใหญ่
- ผลท่คี าดว่าจะไดร้ ับเปน็ นามธรรม ไมส่ ามารถวดั ผลการเปลีย่ นแปลงไดไ้ ด้
- โจทยไ์ มน่ า่ สนใจ เพราะเปน็ เรอ่ื งพ้นื ๆ มคี นทำมามากแลว้ ไม่มโี จทยใ์ หม่ ไมม่ ี
กลมุ่ เปา้ หมายใหม่ หรอื วธิ กี ารใหม่

5

3.2 กระบวนการทำ : ปัญหาท่พี บบ่อยได้แก่
- ชุมชนหรือนกั วิชาการ ไม่ไดม้ ามสี ว่ นรว่ มอย่างแข็งขนั ในงาน
- นักวิชาการห่างเหนิ กับชมุ ชน
- เร่งรบี ทำงานแข่งกบั เวลา จงึ ได้ขอ้ มลู หรอื ผลลพั ธ์ท่ีไม่ดี จนอาจทำให้ชมุ ชนไม่ยอมรบั
หรอื ไมเ่ กดิ ผลดา้ นการเปล่ยี นแปลงแกป้ ญั หา

3.3 การสรปุ หรอื การเขียน มปี ญั หาท่พี บบอ่ ยดงั นี้
- ไมร่ ู้วิธกี ารเขยี น เขียนไมเ่ ป็นระบบ วางโครงสร้างไมเ่ ปน็
- ไมม่ ีทฤษฎีหลกั ประกอบการเขยี น
- ไมม่ เี วลาเขียน / มเี วลานอ้ ย

4. ตัวอย่างผลงานวชิ าการรับใช้สังคม
- ส่อื สงฆไ์ ทยไกลโรค โภชนบรู ณาการสวู่ ถิ ีสงฆ์ 4 ภูมิภาค
- แนวทางการบรหิ ารจดั การรถโดยสาร ด้านความปลอดภยั สำหรับนักเรียนในเขตกรงุ เทพฯ
- การจดั การขยะอนิ ทรียช์ มุ ชนด้วยไสเ้ ดอื นดิน
- การพัฒนาตลาดสามชกุ ในเชิงอนุรักษ์
- ผา้ ป่าขยะ เปลยี่ นขยะให้เป็นบญุ
- การสรา้ งความมนั่ คงดา้ นอาหาร: ขา้ วพอกนิ ของชุมชนตำบลภฟู ้า ความรว่ มมอื ของคนชาย

ขอบและเครือข่ายนกั วิชาการ
- โมเดลการสรา้ งสมรรถนะชมุ ชนในการแกป้ ัญหาโรคไข้เลอื ดออกอย่างยง่ั ยืน ในจังหวดั

นครศรีธรรมราช

6

สารบญั

คำนำ…………………………………………………………………………………………………………………………. หน้า
สรปุ องค์ความรทู้ ่ีได้…………………………………………………………………………………………………….. 2
3
สารบัญ……………………………………………………………………………………………………………………….
1. บทนำ……………………………………………………………………………………………………………. 7
2. แรงบันดาลใจ/สถานการณป์ ัญหา…………………………………………………………………….. 8
9
3. แผนการจัดการความรู้……………………………………………………………………………………..
4. คณะกรรมการดำเนนิ การ………………………………………………………………………………… 10
5. การถอดบทเรียนและสังเคราะห์ความรู้……………………………………………………………… 13
17
6. ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………
49

7

บทนำ

ในปกี ารศึกษา 2564 นี้ คณะกรรมการสง่ เสริมการวจิ ัยและพัฒนาผลงานวิชาการฯ ได้ทำการสำรวจ
ความต้องการพัฒนาตนเองด้านการวิจัยและการผลิตผลงานวิชาการของคณาจารย์ในคณะฯ พบว่า การ
ผลติ ผลงานวชิ าการรับใชส้ ังคมท่เี ทยี บเท่างานวิจัย เป็นประเดน็ ทีถ่ ูกนำเสนอมากเปน็ อนั ดับหน่งึ

คณะกรรมการสง่ เสริมการวจิ ัยและพฒั นาผลงานวชิ าการ จึงไดว้ างแผนและดำเนนิ การจดั การความรู้
ในประเด็น “การผลิตผลงานวิชาการรับใช้สังคมที่เทียบเท่างานวิจัย” เพื่อตอบสนองความต้องการพัฒนา
ตนเองของคณาจารย์ในคณะฯ ดา้ นการวิจยั

8

แรงบนั ดาลใจ/สถานการณป์ ญั หา

เนื่องจากประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการพิจารณาแต่งต้ังบุคคลให้ดำรงตำแหนง่ ผู้ช่วย
ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ พ.ศ.2560 และ พ.ศ.2563 ได้กำหนดให้ “ผลงานวิชาการ
รับใช้สังคม” เป็นหนึ่งในผลงานวชิ าการท่ีใช้ขอกำหนดตำแหน่งได้ ซึ่งนับเป็นลกั ษณะงานรูปแบบที่ค่อนข้าง
ใหม่และแตกตา่ งไปจากประกาศท่มี มี าก่อนหน้าน้นั ประกอบกบั ในปกี ารศกึ ษา 2564 นี้ คณะกรรมการสง่ เสรมิ
การวจิ ัยและพฒั นาผลงานวชิ าการฯ ได้ทำการสำรวจความต้องการพัฒนาตนเองด้านการวจิ ยั และการผลิตผล
งานวิชาการของคณาจารย์ในคณะฯ พบว่า “การผลิตผลงานวิชาการรับใช้สังคมที่เทียบเท่างานวิจัย” เป็น
ประเดน็ ทีถ่ ูกนำเสนอมากเป็นอนั ดบั หนงึ่

คณะกรรมการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลงานวิชาการฯ จึงได้วางแผนและดำเนินการจัดการ
ความรู้ในประเด็น “การผลิตผลงานวิชาการรับใช้สังคมที่เทียบเท่างานวิจัย” เพื่อตอบสนองความต้องการ
พัฒนาตนเองของคณาจารย์ในคณะฯ ด้านการวิจัย เพื่อคณาจารย์จะได้ทราบถึงความหมาย ขั้นตอน และ
กระบวนการทั้งหมดของการผลิตผลงานวิชาการประเภทนี้ และสามารถใช้เป็นแนวทางเพิ่มเติมในการก้าวสู่
ตำแหนง่ ทางวิชาการไดต้ อ่ ไปในอนาคต

9

แผนการจดั การความ
แผนการจดั การความรู้ (KM Action Plan) : กระบวนการจัดการความรู้ (KM Pr

ชื่อหนว่ ยงาน : คณะมนษุ ยศาสตร์และนเิ ทศศาสตร์
ประเดน็ KM: การผลิตผลงานวิชาการรับใช้สงั คมทีเ่ ทียบเท่างานวจิ ยั
เปา้ หมาย KM (Desired State) : อาจารยใ์ นคณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละนิเทศศาสตร
การวัดผล : ผลงานรับใชส้ ังคมท่ีเทียบเท่างานวิจัยของอาจารย์ในคณะฯ จำนวน

ลำดับ กิจกรรม วิธกี ารสคู่ วามสำเรจ็ ระยะเวลา ต

1 การบง่ ช้ีความรู้ - คณะกรรมการสง่ เสรมิ การ ส.ค. 2564 คณาจา
วิจัยและพฒั นาผลงาน การจัดก
วชิ าการ ด้านการ
ของคณะฯ ทำการสำรวจ แบบสำ
ประเดน็ ความรดู้ า้ นการ ความรทู้
วิจัย ทีค่ ณาจารย์ต้องการ
จดั การความรู้ โดยใชแ้ บบ
สำรวจความตอ้ งการฯ
2 การสร้างและ - คณะกรรมการส่งเสรมิ การ ก.ย. 2564 อาจารย
แสวงหาความรู้ วิจัยและพฒั นาผลงาน ประสบก
วชิ าการ สำรวจศักยภาพ เหมาะส
ของอาจารย์ เพอื่ หาบุคคล สอดคล
ทเี่ หมาะสมจะมาเป็นผู้ ประเด็น
แบ่งปันความรู้ การจัดก

มรู้ (KM Action Plan)
rocess)

ร์ สามารถผลติ ผลงานวชิ าการรบั ใชส้ ังคมทเ่ี ทยี บเทา่ งานวจิ ัยได้

น 1 ชนิ้ เป้าหมาย กลมุ่ ผ้รู ับผิดชอบ สถานะ
ตวั ชวี้ ัด เป้าหมาย

ารย์ทสี่ นใจ ≥ 7 คน คณะกรรมการ คณะกรรมการ ดำเนินการแลว้
การความรู้ ส่งเสรมิ การวิจยั ส่งเสริมการวิจัย
รวจิ ัยตอบ และพัฒนา และพัฒนา
ำรวจเพอ่ื ระบุ ผลงานวิชาการ ผลงานวิชาการ
ที่ตอ้ งการ

ยท์ ม่ี ี ≥ 2 คน คณาจารยใ์ น คณะกรรมการ ดำเนินการแลว้
การณ์ คณะ สง่ เสรมิ การวิจัย
สม/ มนุษยศาสตร์ และพฒั นา
ล้องกบั และนิเทศ ผลงานวิชาการ
นความรู้ใน ศาสตร์
การความรู้

10

แผนการจดั การความรู้ (KM Action Plan) : กระบวนการจดั การความรู้ (KM Pr

ชอ่ื หน่วยงาน : คณะมนษุ ยศาสตร์และนเิ ทศศาสตร์
ประเด็น KM: การผลิตผลงานวชิ าการรบั ใช้สงั คมทีเ่ ทียบเทา่ งานวิจยั
เป้าหมาย KM (Desired State) : อาจารยใ์ นคณะมนุษยศาสตรแ์ ละนิเทศศาสตร
การวดั ผล : ผลงานรับใช้สงั คมที่เทียบเทา่ งานวจิ ยั ของอาจารย์ในคณะฯ จำนวน

ลำดับ กิจกรรม วิธีการสคู่ วามสำเรจ็ ระยะเวลา ต

3 การจดั ความร้ใู ห้ - คณะกรรมการสง่ เสริมการ พ.ย. 2564 – การประ
เป็นระบบ วจิ ยั และพฒั นาผลงาน มี.ค.2565 จดั การค
วิชาการ จัดการประชุมการ การวจิ ัย
จัดการความรูด้ า้ นการวิจยั ระบบ
โดยประกอบไปดว้ ยผู้
บันทึกข้อมลู , ผู้แบง่ ปัน
ความรู้ และผรู้ ับความรู้
4 การประมวล - คณะกรรมการสง่ เสรมิ การ ม.ค.-เม.ย. เอกสาร
และกลั่นกรอง วจิ ัยและพฒั นาผลงาน 2565 ความรู้ด
ความรู้ วชิ าการ นำความร้ทู บ่ี ันทกึ ผลงานร
ได้จากการประชมุ การ เทยี บเท
จดั การความรู้ (ลำดับ 3) คณะมน
มาประมวลถอดองค์ และนิเท
ความรู้

rocess)

ร์ สามารถผลิตผลงานวชิ าการรบั ใชส้ งั คมทเ่ี ทยี บเทา่ งานวิจัยได้

น 1 ชิน้

ตวั ช้ีวดั เป้าหมาย กลมุ่ ผรู้ บั ผดิ ชอบ สถานะ
เปา้ หมาย

ะชุมการ ≥ 3 ครัง้ - ผแู้ บ่งปนั คณะกรรมการ ดำเนนิ การแล้ว
ความรูด้ ้าน 1 เล่ม ความรู้ 1-3 สง่ เสรมิ การวิจยั
ยอยา่ งเป็น คน และพัฒนา
รรายงานองค์ - ผรู้ บั ความรู้ 1- ผลงานวิชาการ
ดา้ นการผลิต 3 คน
รบั ใชส้ งั คมท่ี - ผบู้ ันทกึ ขอ้ มลู
ทา่ งานวจิ ยั 1 คน
นุษยศาสตร์ - คณะกรรมการ คณะกรรมการ ดำเนินการแลว้
ทศศาสตร์ ส่งเสริมการ ส่งเสรมิ การ
วจิ ยั และ วจิ ัยและ
พัฒนาผลงาน พฒั นาผลงาน
วิชาการ วิชาการ

11

แผนการจัดการความรู้ (KM Action Plan) : กระบวนการจดั การความรู้ (KM Pr

ชอ่ื หนว่ ยงาน : คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละนิเทศศาสตร์
ประเดน็ KM: การผลติ ผลงานวชิ าการรับใช้สังคมท่ีเทียบเท่างานวิจยั
เปา้ หมาย KM (Desired State) : อาจารยใ์ นคณะมนษุ ยศาสตร์และนเิ ทศศาสตร
การวัดผล : ผลงานรับใช้สงั คมทเ่ี ทียบเทา่ งานวจิ ยั ของอาจารย์ในคณะฯ จำนวน

ลำดับ กจิ กรรม วิธีการสคู่ วามสำเรจ็ ระยะเวลา ต

5 การเข้าถงึ - นำรายงานองคค์ วามรู้ไป มี.ค. 2565 - อาจา
ความรู้ มอบใหผ้ รู้ ับความรทู้ ีเ่ ปน็ เม.ย. 2565 ผู้รบั ค
เป้าหมายหลัก พรอ้ มทงั้ เป้าห
6 การแบง่ ปัน พดู คยุ / อธิบาย เพ่อื เพ่มิ ความ
แลกเปล่ียน ความเข้าใจในองคค์ วามรู้ การจ
ความรู้ นัน้ ๆ ใหช้ ดั เจน พรอ้ ม ความ
นำไปปรบั ใช้ กบั งา
ตนเอ
- นำรายงานองคค์ วามรู้ไป
แบ่งปนั โดยแบง่ ปันบน - การแ
ระบบออนไลน์ ไดแ้ ก่ ความ
เว็บไซต์ มพย.

7 การเรยี นรู้ ประชุมคณะกรรมการ เม.ย. 2565 - รายงา
ส่งเสริมการวิจัยและพฒั นา กระบ
ผลงานวชิ าการ เพ่อื ถอด จัดกา
บทเรียนกระบวนการจัดการ ดา้ นก
ความรู้ ปกี ารศกึ ษา 2564 ป2ี 56

rocess)

ร์ สามารถผลติ ผลงานวิชาการรบั ใช้สงั คมท่ีเทยี บเทา่ งานวิจยั ได้

น 1 ช้นิ

ตัวชี้วดั เป้าหมาย กลมุ่ ผู้รับผิดชอบ สถานะ
เปา้ หมาย

ารยท์ เ่ี ปน็ -มผี ลงาน - อาจารยใ์ น คณะกรรมการ ดำเนินการแล้ว
ความรู้ วชิ าการรบั ใช้ คณะ ส่งเสริมการ
หมาย ได้นำ สงั คม จำนวน มนุษยศาสตร์ วิจัยและ
มรูท้ ี่ได้จาก 1 ช้ิน และนิเทศ พัฒนาผลงาน
จดั การ ศาสตร์ วชิ าการ
มรู้ ไปปรบั ใช้
านของ
อง
แบ่งปันองค์ 1 ช่องทาง - บคุ ลากรใน คณะกรรมการ ดำเนินการแล้ว
มรู้ คณะฯ สง่ เสรมิ การ
- ผทู้ สี่ นใจเข้าชม วจิ ัยและ
ข้อมลู ทาง พฒั นาผลงาน
เวบ็ ไซต์ มพย. วิชาการ

านสรุปการ รายงานสรปุ - ผูร้ บั ความรู้ คณะกรรมการ ดำเนนิ การแลว้
บวนการ กระบวนการ - คณะกรรมการ ส่งเสรมิ การ
ารความรู้ จัดการความรู้ สง่ เสรมิ การ วิจยั ฯ
การวจิ ยั 1 เลม่ วิจัยฯ
64

12

คำส่ังคณะมนษุ ยศาสตร์และนเิ ทศศาสตร์
ท่ี 9/2564

เรอื่ ง แตง่ ตง้ั คณะกรรมการจดั การความรู้ คณะมนุษยศาสตรแ์ ละนเิ ทศศาสตร์
ประจำปีการศกึ ษา 2564

เพื่อใหก้ ารดำเนินงานดา้ นการจัดการความรู้ คณะมนุษยศาสตรแ์ ละนเิ ทศศาสตร์ ให้เป็นไป

ด้วยความเรยี บรอ้ ย และมปี ระสิทธิภาพ สอดคล้องกบั นโยบายของมหาวทิ ยาลยั และบรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์

ที่ตง้ั ไว้ ดังนนั้ จึงขอแต่งตงั้ บุคคลต่อไปน้ี เปน็ คณะกรรมการจดั การความรู้ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละนเิ ทศศาสตร์

ประจำปกี ารศึกษา 2564

1. ผู้ชว่ ยคณบดีฝา่ ยบรหิ ารกำกบั มาตรฐานวิชาการ ประธานคณะกรรมการ

2. ผู้ชว่ ยศาสตราจารยร์ ัชตพล ชยั เกียรติธรรม กรรมการ

3. ผู้ชว่ ยศาสตราจารยจ์ ิรภทั ร กติ ติวรากูล กรรมการ

4. ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์วรี นิ ทรร์ ภัฎ รกั ธรรม กรรมการ

5. อาจารย์ ดร.เอลสิ า มิเอะ นชิ ิคโิ ตะ กรรมการ

6. อาจารยส์ รุ พี ันธ์ เทพอุด กรรมการ

7. อาจารยอ์ อมบญุ บรุ ษุ ภกั ดี กรรมการ

8. อาจารยเ์ มธี พทุ ธวงศ์ กรรมการ

9. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุธดิ า พัฒนศรวี ิเชียร กรรมการ

10. อาจารย์มาริ แกว้ แดง กรรมการ

11. อาจารย์กลุ กนก มณีวงศ์ กรรมการ

12. อาจารยส์ ริ ิวิทย์ สุขกันต์ กรรมการ

13. อาจารยน์ ฤมล วนั ทนยี ์ กรรมการ

14. อาจารยก์ รี ติ ไพบูลย์ กรรมการ

15. ดร.พรณรงค์ พงษก์ ลาง กรรมการ

16. นายวรรณวัชร์ มหาวรรณ กรรมการ

17. อาจารย์ ดร.ปิน่ อนงค์ อำปะละ กรรมการและเลขานุการ

18. อาจารยน์ นั ทพร ผลอนนั ต์ กรรมการและเลขานกุ าร

โดยมภี าระหนา้ ท่ีความรบั ผิดชอบ ดงั ต่อไปนี้

1. จดั ทำแผน/ โครงการ/ กจิ กรรม/ ในการจัดการความรู้ให้ครอบคลุมสอดคล้องรองรับ ตรงตาม

ประเด็นยุทธศาสตร์ พันธกจิ และแผนปฏบิ ัตกิ ารระดับมหาวทิ ยาลยั และ/หรือระดับคณะวชิ าฯ

2. ดำเนนิ การตามแผน ควบคุม ดูแล ติดตามการดำเนนิ งาน และประเมินผลคุณภาพการดำเนินการ

จดั การความรู้ของคณะวชิ าฯ

3. รวบรวมความรูท้ ่ไี ด้จากการจัดการความรู้ ซ่ึงเป็นแนวปฏิบตั ทิ ด่ี ี มาประยกุ ต์ใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์

สำหรับการปฏิบัตงิ านจริงท้ังทางด้านการเรียนการสอนและการวิจยั

4. รับผิดชอบรายงานการปฏบิ ัตงิ านดา้ นการจัดการความรู้ในการประเมินคุณภาพการศกึ ษาระดบั คณะ

ในองค์ประกอบท่ีเกีย่ วขอ้ ง

13

ท้ังนี้ ตงั้ แตว่ นั ท่ี 1 กรกฎาคม 2564 เปน็ ตน้ ไป
ประกาศ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2564

(ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.นงนภัส พนั ธพ์ ลกฤต)
รกั ษาการคณบดีคณะมนุษยศาสตรแ์ ละนิเทศศาสตร์

14

คำส่งั คณะมนษุ ยศาสตร์และนิเทศศาสตร์
ที่ 11/2564

เรือ่ ง แต่งต้ังคณะกรรมการส่งเสริมการวจิ ัยและพฒั นาผลงานวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และนิเทศศาสตร์
ประจำปกี ารศกึ ษา 2564

เพ่ือใหก้ ารดำเนินการด้านงานวจิ ยั ของคณะมนุษยศาสตร์และนิเทศศาสตร์ เปน็ ไปด้วยความ

เรยี บรอ้ ยและมปี ระสิทธภิ าพสอดคล้องกบั นโยบายของมหาวทิ ยาลัยตามวัตถปุ ระสงคท์ ่ตี งั้ ไว้ ดงั นัน้ จงึ ขอ

แต่งตง้ั บคุ คลต่อไปน้ี เปน็ คณะกรรมการสง่ เสรมิ การวจิ ัยและพฒั นาผลงานวชิ าการ คณะมนษุ ยศาสตร์และ

นิเทศศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2564

1. ผู้ชว่ ยศาสตราจารยจ์ ริ ภัทร กติ ติวรากลู ประธานกรรมการ

2. ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สุธดิ า พัฒนศรวี ิเชียร กรรมการ

3. ผู้ช่วยศาสตราจารยร์ ชั ตพล ชัยเกยี รติธรรม กรรมการ

4. ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์วีรินทร์รภฎั รกั ธรรม กรรมการ

5. อาจารย์ ดร.นฤมล พงษป์ ระเสรฐิ กรรมการ

6. อาจารยก์ ลุ กนก มณวี งศ์ กรรมการ

7. อาจารยส์ ุธิณี พีรชาชญาณี กรรมการ

8. อาจารย์นธิ นิ าฎ บลุ มาก กรรมการ

9. อาจารย์ ดร.เอลสิ า มเิ อะ นิชิคโิ ตะ กรรมการ

10.อาจารยพ์ ัชยา โสภณสทิ ธพิ งศ์ กรรมการ

11.อาจารยส์ ิรวิ ทิ ย์ สขุ กันต์ กรรมการ

12.อาจารยท์ รงเกียรติ จรสั สนั ตจิ ติ กรรมการ

13.อาจารยก์ รี ติ ไพบลู ย์ กรรมการ

14.อาจารย์ ดร.ปนิ่ อนงค์ อำปะละ กรรมการ

15.อาจารยเ์ อกกมล เอกลกั ษณด์ ลิ ก กรรมการ

16.อาจารย์ ดร.เบญญา เลศิ สวุ รรณ กรรมการ

14.อาจารย์นันทพร ผลอนันต์ กรรมการและเลขานุการ

โดยมีภาระงานดงั ต่อไปนี้

1. จัดทำแผนและระบบกลไกบรหิ ารงานวจิ ัยของคณะฯ

2. ดำเนนิ การตามแผนระบบและกลไก ทก่ี ำหนด

3. กำกับและตดิ ตามการบรู ณาการงานวจิ ัยกบั การจัดการเรียนการสอน

4. จดั ทำโครงการหรอื กจิ กรรม เพอ่ื พัฒนางานวิจัยและศักยภาพดา้ นงานวจิ ยั หรือการผลติ ผลงาน

วชิ าการของคณาจารยใ์ นคณะฯ

5. จดั ประชมุ เพอ่ื พจิ ารณาและใหข้ อ้ เสนอแนะโครงร่างงานวจิ ยั ของอาจารย์ในคณะฯ ท่เี สนอขอทนุ

จากมหาวทิ ยาลัยพายัพ

6. รับผดิ ชอบรายงานการประเมนิ ผลตนเองของคณะฯ ในองคป์ ระกอบท่ี 2

15

7. สร้างแรงจงู ใจในการผลิตผลงานวิชาการของอาจารย์เพื่อเข้าสู่ตำแหนง่ ทางวชิ าการ
8. จดั กิจกรรม/โครงการรว่ มกบั คณะกรรมการจัดการความรู้ เพือ่ นำผลจากการจดั การความร้ไู ปสรา้ ง

เป็นองคค์ วามรู้ด้านการวจิ ัยและเผยแพรต่ ่อไป
ทง้ั นี้ ตง้ั แต่วนั ทื่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2564
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นงนภัส พันธ์พลกฤต)
รักษาการคณบดคี ณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละนิเทศศาสตร์

16

การถอดบทเรียนและสังเคราะห์ความรู้

คร้ังที่ 1
เลา่ เรอื่ ง (พุธท่ี 24 พฤศจิกายน 2564)
วทิ ยากร: ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ พราหมณพันธุ์

ผอู้ ำนวยการสำนักบรกิ ารวิชาการและวจิ ัย มหาวิทยาลยั พายัพ

1. อธิบายเกณฑ์การทำผลงานวชิ าการรบั ใช้สังคม/ วิธกี ารเตรยี มตวั ทำผลงานวิชาการรับใชส้ ังคม ที่
เทยี บเทา่ งานวจิ ยั และใชข้ อตำแหน่งทางวชิ าการได้

ผู้สัมภาษณ์: เราไดร้ ับเกียรติจากวทิ ยากรผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศกั ดิ์ พราหมณพันธ์ุ ทุก
ท่านปรบมอื ต้อนรับนะคะ แล้วก็ขอยกเวลาอันมีคุณค่าน้ีให้กับอาจารย์เลยค่ะ วันนี้เราจะมาแลกเปลี่ยน KM
กับอาจารย์ 3 ประเดน็ หลักเก่ียวกับเร่ืองเกณฑ์ทีใ่ ชใ้ นการขอตําแหนง่ ทางวชิ าการทีเ่ ราจะใช้การผลิตผลงาน
วิชาการแบบรับใช้สังคมนะคะว่าเป็นยังไง เราควรเตรียมตัวอย่างไร แล้วก็สุดท้ายก็คือแบบเกา่ และแบบใหม่
เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ผศ. ดร. เกรียงศักดิ์: แนะนำนิดนึงนะครับวา่ เราเป็นคนท่ีมีประสบการณ์ ไม่ใช่ผู้ทรงคณุ วุฒิมากมายนะครบั
ผมได้เขา้ ไปเปน็ อนกุ รรมการในการรา่ งระเบียบการเขา้ สตู่ ำแหนง่ ทางวิชาการด้านรบั ใช้ท้องถ่ินและสังคม ผม
พบว่ามนั มรี ายละเอียดหลายอยา่ งนะครับที่น่าจะเปน็ ประโยชน์กับพวกเรานะครบั แล้วก็บางอย่างนา่ จะเป็น
การเอาความรู้เหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนกันครับ การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการรับใช้ท้องถิ่นและสังคมของ
มหาวทิ ยาลยั ต่างๆ นะครบั เราจะมคี ณะกรรมการชุดหน่งึ ซึ่งผมก็เปน็ อนกุ รรมการในชดุ น้ันดว้ ย กอ่ นที่เราจะ
ร่างระเบียบ เราคยุ ค่อนขา้ งครอบคลมุ วา่ การที่อาจารย์ในมหาวิทยาลยั ไมว่ า่ จะเปน็ ของรฐั เป็นมหาวทิ ยาลัย
ของรัฐทอ่ี อกนอกระบบ หรือจะเปน็ เอกชนกต็ ามแต่ ควรจะมโี อกาสเข้าถึงตำแหนง่ ทางวชิ าการได้ ขอ้ กำหนด
ในหนา้ ท่ีของกรรมการชดุ นีน้ ะครบั ก็คือ มีหน้าท่ีในการรา่ งระเบยี บการเขา้ สู่ตำแหน่งในสาขาการรบั ใช้ท้องถิ่น
และสังคม

พนักงานมหาวิทยาลัยพายัพ น่าจะมโี อกาสในการทีจ่ ะทำผลงานวิชาการท้ัง 2 แบบนะครับ ก็คือทง้ั
กลมุ่ ปฏบิ ตั ิงานทว่ั ไปและกลุ่มปฏบิ ตั ิงานเฉพาะ ความก้าวหน้าของบคุ ลากรประเภทสนบั สนุนมี 2 กลมุ่ ดว้ ยกัน
คือ กลุ่มปฏิบัติงานท่ัวไปกับกลุ่มปฏบิ ัตงิ านเฉพาะ ซึ่งต้องคำนึงถึงให้มากเพราะเป็นเรื่องสำคญั และเป็นเรื่อง
จำเป็นนะครับ เขามาทำงานในมหาวิทยาลัย เขาก็ต้องการความก้าวหน้านะครับ แล้วก็เลยมีการพูดถึงว่า
มหาวิทยาลัยเนีย่ มันเป็นองคก์ รองค์กรหนึ่งในประเทศไทย มันควรจะทำหน้าท่ีอะไรเป็นหลัก แล้วก็พูดคุยว่า
เราน่าจะทำหน้าท่ี 4 ประการ ประการท่ีสำคญั มากๆ เลยนะครับ ประการท่ี 1 การถ่ายทอดความรู้ การสร้าง
ความรู้และประยุกตใ์ ช้ความรู้ และประการที่ 4 มนั เปน็ เรอ่ื งของการบูรณาการความรู้ที่มีหรือท่ีได้รับ พัฒนา
หรือยกระดับเอาไปใช้กับชุมชนสังคมให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเราจะได้ไม่โดนว่าอย่างสมัยโบราณจะถูกว่าว่า
อาจารย์มหาวิทยาลัยอยบู่ นหอคอยงาช้าง ทำวจิ ยั ทใี่ ชไ้ มไ่ ด้เลยสักอยา่ งนะครบั

เรอ่ื งการบูรณาการความรู้ เราควรจะบรู ณาการยังไงแบบไหน แลว้ เราควรจะกำหนดทศิ ทางไหม หรือ
ตอ้ งสอดคลอ้ งกับแผนชาติไหม หรือยทุ ธศาสตรช์ าติไหม แล้วเรายงั พดู ถงึ การผลติ บัณฑติ ท่รี ับใช้สังคมได้ด้วย
รบั ใชท้ อ้ งถนิ่ ไดด้ ว้ ย แลว้ มารบั ใชป้ ระเทศชาตบิ า้ นเมืองและตวั เองได้ด้วย อนั ทีส่ องกค็ ืองานวจิ ัย มันต้องเอาไป
ใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างแทจ้ ริง คือการบริการสังคมซึ่งรวมถงึ การทำนุบำรงุ ศิลปวัฒนธรรมดว้ ย เราก็เลยคิดวา่ เรา

17

ควรจะมีหลกั เกณฑ์และวิธีการรองรับ มันต้องมีคุณสมบัตเิ ฉพาะตำแหน่ง มีผลการสอน มีผลงานวิชาการนะ
ครับ ซึ่งอาจจะเป็นตำรา หนังสือบทความทางวิชาการ หรือผลงานวิจยั นี่คือท่ีเราคุยกนั เรื่องหลักเกณฑท์ ี่จะ
ประกาศในปีหน้านะครับ จากนั้นเราก็มาดูว่าเจตนารมณ์และหลักการของวิชาการรับใช้สังคมวัฒนธรรมคอื
อะไรนะครับ หลักเกณฑ์และการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ ต้องใช้ผลงานวิชาการและความ
เชี่ยวชาญในสาขาวิชาของตน มาใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาชุมชนสังคมหรอื ประเทศก็คอื ภารกิจหลกั
บางคนสอนในสาขาหนึ่งมาขออีกสาขาหนึ่งนะครบั อาจารย์คณิตศาสตร์มาทำผลงานดา้ นศลิ ปะเพื่อขอปรบั
ตำแหนง่ ระดบั 8 ตลกมาก แต่วา่ ทางนนั้ ระเบียบมนั ยงั ไมช่ ัดเจนหรอื ไงไมท่ ราบ กเ็ ป็นแบบประมาณวา่ โรงเรยี น
มัธยมหรือประถมส่วนใหญ่ก็จะหันมาทำในสาขาที่ง่ายๆ ศิลปะนะครับแล้วก็ลอกกันมาเป็นทิวแถว อะไร
ประมาณนแี้ หละ ไม่ไดท้ ำตามความเชยี่ วชาญในสาขาวิชาของตน

ปัจจุบันการขอตำแหน่งทางวิชาการที่ใช้ผลงานประเภทอื่นตามหลักเกณฑ์มีการปรับเปลี่ยน เพ่ือ
อาจารย์ไม่ต้องมาปรับแกอ้ ะไรมากมาย เราเพิ่มผลงานวิชาการรับใช้สงั คมเข้าไปเป็นประเภทหนึ่งนะครบั ท่ี
เทียบเท่ากับผลงานวิจัย แล้วก็กำหนดคำนิยามรูปแบบลักษณะตลอดจนแนวทางการประเมิน ซึ่งมีความ
แตกตา่ งจากผลงานวิชาการอน่ื นะครับ โดยมุ่งเน้นการนำความรูค้ วามเช่ียวชาญประยกุ ตใ์ หเ้ กิดประโยชน์หรือ
ผลกระทบตอ่ ชมุ ชนและสงั คม เนน้ ยำ้ เวลากรรมการประเมินกจ็ ะดตู รงน้ีวา่ เอาความรู้ความเชี่ยวชาญไปใช้ให้
เกิดประโยชน์ในทอ้ งถ่ินในสงั คมไหมแล้วสง่ ผลดีไหมแล้วอยู่ได้นานไหม

การตั้งข้อกฎเกณฑ์ หลักเกณฑ์อยู่ในราชกิจจานุเบกษา เดี๋ยวท่านเข้าไปดาวน์โหลดเองว่าจะมี
ขอ้ กำหนดรายละเอียดยงั ไง ขออนญุ าตให้ไปอ่านเองนะ ผมคงไม่เอามาให้เพราะเดี๋ยวมันจะเยอะ จะพดู เยอะ
เกินไปนะครบั อนั ท่ี 2 ใช้ความเชี่ยวชาญอย่างนอ้ ย 1 สาขา ใช้กีส่ าขาก็ได้ แตต่ อ้ งชัดเจนแล้วก็มี Impact สูง
นะครบั ข้อ 3 คือ ประเมนิ ไดอ้ ย่างเป็นรูปธรรมครับ แลว้ ก็เปน็ ท่ปี ระจกั ษ์ต่อสาธารณะ และเป็นส่วนหนึ่งของ
การปฏิบัตหิ นา้ ที่ตามภาระงานที่สถาบนั หรอื คณะหรือหน่วยงานหรอื มหาวทิ ยาลยั มอบหมาย ไมน่ บั รวมผลงาน
ที่แสวงหากำไรและผลตอบแทนในเชิงธุรกิจ อันนี้ไม่ได้นะครับ เขาจะมีกำหนดในทุนนั้นว่า ส่วนใดของ
โครงการวิจัยที่ทำแล้วเนี่ยมันมีรายได้เกิดขึ้น จะต้องกำหนดว่า จะต้องให้เอกชนหรือวิสาหกิจชุมชนหรือ
เกษตรกรมสี ว่ นรว่ มในนน้ั ตอ้ งมชี มุ ชนชาวบ้านต้องมสี ว่ นรว่ มด้วยนะครับ และตอ้ งมีการคาดการณ์ส่ิงที่ตามมา
หลังเกดิ การเปลย่ี นแปลง การคาดการณ์สำคัญมากนะครบั เพราะวา่ มันจะไปสัมผัสกบั Impact ทเี่ กิดข้นึ ครับ
นอกจากนั้น แนวทางการตดิ ตามและธำรงรักษาพฒั นาการทีเ่ กดิ ขึ้นใหค้ งอยู่สำคญั มากตรงท่ีว่าไม่ใช่ทำแลว้ มัน
ฟูแป๊บเดียวนะครบั คอื การตดิ ตามและธำรงรักษาพัฒนาการท่ีเกดิ ขึ้นถา้ ไมม่ ตี รงนี้กค็ งไมไ่ ดน้ ะครบั ไมผ่ า่ นการ
ประเมนิ นะครับ นอกจากการประเมนิ และมีการเผยแพร่ ในการเผยแพร่เนี่ยนะครับอาจจะต้องมีการจัดเวที
นำเสนอผลงานในพื้นทีห่ รือเปิดให้เยย่ี มชมพนื้ ที่ อันนสี้ ำคัญนะครับ หรอื ถา้ เราขาดการเผยแพร่ การประเมนิ ก็
จะตกหล่นนะครับ เราต้องมกี ารเผยแพร่สู่สาธารณชนอย่างกว้างขวางในลกั ษณะใดลกั ษณะหนึ่งท่ีสอดคลอ้ ง
กับผลงาน รูปแบบใดก็ได้ครับ ในเรื่องของผลงานท่ีทำให้ท้องถิ่นและสังคม การเผยแพร่น้ันต้องมีการบันทึก
เป็นเอกสารหรือลายลักษณ์อักษรที่สามารถอ้างอิงหรือศึกษาค้นคว้าต่อได้ มีคำนี้เป็นคำสำคัญคือการศึกษา
ค้นคว้าต่อได้ ก็แปลว่าสามารถพัฒนาต่อเนือ่ งขึ้นไปอีกได้ ไม่จำเป็นต้องคิดใหม่ บางเรื่องไม่ต้องคิดใหม่ เรา
สามารถค้นคว้าหรือเข้าไปพัฒนาต่อยอด แนวทางการประเมินนะครับจากเอกสารหลักฐานแล้วยังมีการ
ประเมินจากแหล่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการสัมภาษณ์ก็คงจะไม่ได้บอก
ลว่ งหนา้ กบั ผ้รู ับการประเมนิ วา่ กรรมการผปู้ ระเมินกจ็ ะเขา้ ไปขอข้อมลู ท้ังทางตรงและทางออ้ ม แบบทีเ่ ราบอก

18

ในหนังสืออักษรมนั จริงไหม แล้วมันส่งผลกระทบในด้านบวกมากนอ้ ยแค่ไหน เป็นไปตามลายลกั ษณ์อักษรที่
เราแจง้ หรอื เปล่า และมีการประเมินจากการตรวจสอบสภาพพ้นื ที่ของผลงานนะครับ ในกรณีท่ีทำงานเป็นหมู่
คณะหรอื มกี ารบรู ณาการวิชา ผู้ขอผลงานตอ้ งเปน็ ผดู้ ำเนินการ แตถ่ า้ คราวนั้นมกี ารเสนอหลายสาขา กท็ ำของ
ใครของมัน แต่เมื่อรวมกันแล้วเป็นร่มใหญ่และสามารถตอบโจทย์วัตถุประสงค์ต่อเป้าหมายและแสดงผล
สัมฤทธิ์ของเปา้ หมายไดต้ รงตามที่เรากำหนดไว้ทุกประการครับ แลว้ ผู้ร่วมงานทุกคนต้องลงนามรับรองนะครบั
อาจจะมีเรือ่ งเปอร์เซน็ ต์ในการทำงาน กต็ อ้ งพดู คยุ กนั นะครบั คอื เป็นเร่อื งสัดสว่ นของการระบุผลงานระดับผู้
ดำเนินงานหลักมีบทบาทสำคัญนะครบั อย่างไรก็ต้องมีการวเิ คราะห์สถานการณก์ อ่ นเรม่ิ โครงการหรอื กิจกรรม
ในการดำเนินงาน ส่งออกแบบการพัฒนางาน การยกระดับพัฒนาแนวความคิดและองค์ความรู้ในการจัด
โครงการหรอื กจิ กรรมน้นั ๆ นะครับว่ามันจะเปน็ ไปตามข้ันตอนอย่างไร แตล่ ะขน้ั ตอนเปน็ อย่างไร ถ้ามีปัญหา
ทำยังไง ซึ่งการประเมินผลลัพธ์สุดท้ายจะต้องสรุปแนวทางในการขยายผลด้วยนะครับหรือแนวทางการ
ปรับปรุงพัฒนาตอ่ ยอดนะครับ ซึ่งแปลว่าต้องทำให้จบ ต้องเห็นผลงานต้องจบสรุปได้ เกิดอะไรขึ้น อิมแพคมี
ความแข็งแรงแค่ไหนยืดยาวไหม อันนี้ต้องเขียนไปในนั้นหมด การประเมินคุณลักษณะคุณภาพของผลงาน
ระดบั ดี ก็มกี ารรวบรวมขอ้ มูลและสาเหตทุ ีช่ ดั เจน มีการระบปุ ัญหาหรอื ความตอ้ งการโดยมสี ่วนรว่ มของสังคม
กลุ่มเป้าหมายนะครบั มีการวิเคราะห์สังเคราะหค์ วามรู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึน้ หรือทำความเข้าใจใน
สถานการณน์ ั้น เกดิ การเปล่ียนแปลงในทางทดี่ ขี นึ้ อยา่ งเปน็ ทปี่ ระจกั ษ์ หรอื เกิดการพฒั นาชุมชนหรอื สงั คมน้ัน
นี่คือลักษณะว่าระดับดีนะครับ ต่อไปครับระดับดีมากสำหรับระดับ d+ ต้องสามารถนำไปใช้เป็นตัวอย่างใน
การแกไ้ ขปัญหาหรอื ทำความเขา้ ใจสถานการณ์จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางท่ีดอี ย่างเปน็ ท่ีประจักษ์ คือต้อง
ทำแบบนี้ เอาไปทำในพน้ื ที่ไดเ้ ลย ไมใ่ ช่ว่าเอาไปทำให้ตอ้ งแกป้ ัญหามากมายนะครบั ถา้ เราต้องการระดับดมี าก
คือต้องก่อให้เกิดการพัฒนาให้กับท้องถิ่นและสังคมอื่นได้ครับ ก่อให้เกิด คือเอาตัวอย่างทำและพัฒนาได้
กอ่ ให้เกดิ การเปล่ียนแปลงทัง้ เชงิ นโยบายและรว่ มกระทำที่เกดิ ขนึ้ ในทุกระดบั ที่เราเกี่ยวข้องนะครบั ประมาณน้ี
อันน้คี อื ลกั ษณะคุณภาพผลงานต่อระดับดเี ด่นระดับดีมาก ตอ้ งส่งผลกระทบต่อสงั คมหรือแวดวงวิชาการอย่าง
กว้างขวาง ดีไม่ดีอาจจะไปเปลี่ยนทฤษฎีเลยนะครับ ค้นพบทฤษฎีที่ว่ามันไมถ่ ูกคือเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
วิชาการอยา่ งใหญ่หลวง มีอะไรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสงั คมและการเปลี่ยนแปลงสังคมนะครับ กว้างขวาง
และเป็นทีย่ อมรับทัง้ ในระดับชาตหิ รือระดับนานาชาติ หรือได้รับรางวัลจากองค์กรที่ได้รับการยอมรับระดับ
นานาชาติ

อนั ที่ 4 ครับเป็นเร่อื งของการปฏิรูประบบอุดมศึกษานะครับ รัฐบาลพดู เยอะพูดมากก็คอื มหาวทิ ยาลยั
ตดิ ดนิ ใหท้ กุ มหาวทิ ยาลัยในพื้นทีใ่ ห้เป็นมหาวทิ ยาลยั ติดดิน ไม่ใช่มหาวทิ ยาลยั หอคอยงาช้างสมัยโบราณ ให้
ความสำคัญกับนักวิชาการสายรับใช้สังคมหรือท้องถิ่น สร้างความก้าวหน้าในอาชีพอาจารย์ได้ครับ ต้องทำ
อย่างไรอาจารย์ทุกท่านนะครับจะเปลี่ยนการสร้างคนทั้งมายเซ็ทและสกินเซตให้ได้ก่อน กระทรวงมีความ
มงุ่ หวังทีอ่ ยากจะรับใชส้ งั คมหรอื ชมุ ชนให้ดนี ะครบั เขาบอกว่าผลงานต้องเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนได้ด้วย
แลว้ ความรู้หรอื ประโยชน์เหล่านั้นต้องเอาไปใช้เผยแพร่ถ่ายทอดได้นะครบั แลว้ ก็สามารถเป็นประโยชน์อย่าง
แท้จริง อันนี้คือจะเรียกว่า วิชาการเพื่อชุมชน การรับใช้สังคมหรือรบั ใช้ท้องถิ่นและสังคมก็คือพฒั นาสงั คม
ชมุ ชนเหลา่ น้ันนะครบั วเิ คราะหส์ ภาพการณก์ ่อนดำเนินการและการมีสว่ นรว่ มยอมรับของกลุ่มเป้าหมาย การ
ประเมนิ ผลลัพธ์ที่เกดิ ขน้ึ จากการดำเนนิ การนะครบั หรือการออกแบบตอ้ งมีกระบวนการครบทกุ ข้ันตอน ทุก
กระบวนการสามารถที่จะกลับไปปรับได้ ปรับแก้ได้ตลอดเวลาเพื่อหาหนทางหนึ่งทางเลือกที่ดีที่สุดในการ

19

พัฒนา โดยใช้ความรู้ความสามารถความเชี่ยวชาญเฉพาะของอาจารย์แล้วเอาไปผสมกับประสบการณ์ของ
ชุมชนหรือของสาธารณชน เกิดเป็นทักษะใหม่ถือเป็นความรู้ใหม่หรือการเรียนรู้ใหม่จะต้องสรุปผลนะครบั
นำไปสูก่ ารขยายผลหรอื เป็นแนวทางในการใชต้ อ่ ได้ครับ น่ีคอื หลักคิดการรับใชท้ อ้ งถ่ินและสังคม นอกจากน้ัน
รูปแบบการรบั ใช้สังคม ถ้าเราจะทำเอกสาร เราต้องมีการวิเคราะห์ว่าก่อนเป็นยังไงนะครบั ขณะทำเปน็ ยังไง
การพสิ ูจนท์ ำแบบไหน ต้องมที กุ อยา่ งเนยี้ ในกระดาษ คุณภาพการเขยี นการจัดการเพอื่ สังคม กค็ อื เราจะระบุ
สถานการณ์ที่เปน็ อยู่เหมือนเราไปตรวจสอบการเขยี นวิชาการ สถานการณเ์ ดมิ เปน็ ยังไงนะครับ ทำไมต้องเข้า
ไป เขาอย่ไู ดต้ วั เองไหม เขาอยไู่ ด้แลว้ เขา้ ไปทำไม ต้องระบไุ ดว้ ่าทำไมเราเขา้ ไป ต้องชดั เจนมากวา่ กระบวนการ
มสี ่วนรว่ มแบบไหน ยอมรับกนั ยงั ไง หลงั จากเราดำเนินการไปแล้วเนยี่ เอาความรู้ความเชี่ยวชาญไปใส่แล้วมัน
เกิดอะไรขึ้น มันเปลี่ยนแปลงไปไหม มันดีขึ้นหรือเลวลง และเปลี่ยนแปลงไปยงั ไง แล้วการเปลี่ยนแปลงและ
ผลลัพธ์มนั บอกกระบวนการไดไ้ หม ผลลัพธ์มันเป็นยงั ไง ต้องเขียนให้หมดเลย สุดท้ายจึงไปตอ่ ที่ความยั่งยนื
เพราะเราตอ้ งบอกนะว่าทำไมมันจึงยั่งยนื ตรงไหนที่บอกวา่ มนั ย่ังยืน อาจารย์ต้องตอบได้ การพัฒนาอะไรก็
แลว้ แตม่ ันโตข้ึนเรือ่ ยๆ โดยตัวของมันเอง เราจงึ เรียกวา่ ความยั่งยืน

บทบาทการมสี ว่ นร่วมของผ้มู สี ่วนไดส้ ่วนเสยี ในแตล่ ะขัน้ ตอน ตั้งแต่ความรวู้ ิธีคดิ และทกั ษะ ที่ 1 ก็คือ
การรว่ มเปน็ คณะทำงานวจิ ยั ครับ ซึง่ กค็ ือคณะทำงานวจิ ัยท่แี ทจ้ ริง ตอ้ งทำอย่างแท้จริง ไมใ่ ชเ่ อามารว่ มเพราะ
เกรงใจ ไมใ่ ชเ่ อามาร่วมเพราะวา่ เป็นหวั หน้า ตรงน้ันแหละสำคัญแล้วกต็ รงกบั ความเชยี่ วชาญเฉพาะของเขานะ
ครับ คณะทำงานต้องแบบนั้นล่ะครับ อันที่ 2 นะครับ ทั้งคณะร่วมกันใช้ความรู้ทักษะร่วมกันตั้งแต่ต้นจน
สุดท้าย ตอนกระบวนการทำจะมีปัญหาไปหมดถ้าโจทย์ไม่ชัด ไม่ตอบจริง ก็คือร่วมเขียนและร่วมออกแบบ
กระบวนการรับใช้สังคมท้องถ่ินไม่ทำไม่ได้ครับ เพราะว่าเราจะไปถามชาวบ้าน เราจะไปถามคนทีม่ สี ว่ นร่วม
โดยเฉพาะหน่วยงานต่างๆ ที่ 4 คือเราต้องใช้จริง ไม่ใช่ใส่เข้าไปเยอะๆ จะได้แข็ง ไม่ต้องทำอะไรมากมาย
ขอให้มันไปแก้โจทย์วิจัยเราได้กพ็ อ

การวเิ คราะหส์ งั เคราะห์ ต้องให้ชุมชนมีสว่ นรว่ มในการวเิ คราะห์สงั เคราะหก์ ับเรา เขาจะได้ความรู้ ถึง
เขาจะรู้บ้างไม่รู้บา้ งก็ช่างเขา แต่ถ้าเขาอยากรูต้ ้องใหเ้ ขารู้นะครับ คือร่วมวางแผนดำเนินกิจกรรมแล้วก็ร่วม
ตดิ ตามประเมินผลกจิ กรรมไปด้วยกันนะครบั อาจจะไม่ได้รว่ มเขยี นรายงาน คอื เราอาจจะถามว่าที่เขยี นอยา่ งน้ี
แบบน้ี มันขาดอะไรไหมขาดอะไรไหมครับ หรือผู้ใหญ่บ้านมาร่วมติดตามประเมินผลกิจกรรมแล้วก็เขียน
รายงานวจิ ยั ดว้ ยกันแบบน้ี ก็แปลว่าเขารบั รแู้ ตต่ น้ ว่าจะเป็นแบบนน้ั จะเปน็ แบบน้ี รายงานจะเป็นอย่างนี้แล้ว
สามารถยอมรับได้ในผลแห่งการดำเนนิ การ ของฟรีไมม่ ีในโลกครับ โครงการต่างๆ แน่นอนต้องมีเสียมีได้ แต่
ตอ้ งไดม้ ากกวา่ เสีย เราพดู ถงึ ความย่งั ยืนไปแล้วนะว่าทำยังไงจะไดค้ วามยัง่ ยนื

เร่ืองของบทบาทในการมีสว่ นรว่ มในแต่ละขน้ั ตอนนเี้ ปน็ ตารางนะครบั เดีย๋ วผมจะเอาฝากไว้ท่ีอาจารย์
ก้อยนะครับ ช่องที่ 1 คือมีส่วนร่วมไหม มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไหม ก่อนมี มีอะไร ทำแล้วเกิดอะไรขึ้น และใน
อนาคตเขาจะร่วมหรอื ไม่ร่วมบอกไดไ้ หมครบั อนั นี้คือการมีส่วนรว่ มอยา่ งแท้จริง แลว้ ก็กรอกตอบความจริงนะ
อะไรไม่รูก้ ต็ ้องไปแสวงหามาใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทแ่ี ท้จริงแล้วกจ็ ะเขียนได้เยอะเลยครบั การเปลีย่ นแปลงชุมชนนะครับ
ก็คอื ปัจจยั สำคัญ เพราะเราเข้าในพื้นท่ี เราตอ้ งไปเปลี่ยนแปลง เผ่อื เขาดขี ึน้ มกี ารเปล่ยี นแปลงนะครับ แนน่ อน
เรื่องใหญ่มากสำคญั มากแลว้ กล็ ้มเหลวมาเยอะคือเรอ่ื งคนครบั ต้งั แต่ความสามารถของคนมันเก่งข้ึนดีขึ้นจริง
ไหม เข้าใจไหม มีทัศนคติในเชิงบวกไหม คนยุ่งมากวุ่นวายมาก ในการทำงานกับมนุษย์สู้ทำงานกับอย่างอืน่

20

ไม่ได้ เถียงได้แล้วก็มีความเชื่อที่ฝังรากลึก ทุกคนมีความเชื่อจากครอบครัวจากการสอนจากอะไรที่ไม่
เหมอื นกัน การทีจ่ ะไปเปลย่ี นแปลงชุมชนคนสำคัญทสี่ ดุ

ตวั ช้วี ัดการพฒั นา ตวั ชีว้ ัดเหล่านจี้ ะเปน็ ตวั บอกถึงความยัง่ ยืน เพราะมันมีการพฒั นาหมด ยกระดับตัว
คนกพ็ ัฒนากล่มุ พัฒนากรรมการก็มคี วามรมู้ ากข้นึ งานกส็ ามารถปรบั แผนงานใหด้ ีขนึ้ ได้ อันน้ีคือการติดตาม
ความยงั่ ยนื นะครับ สว่ นรูปแบบเอกสารวิชาการรบั ใช้สงั คมนะครับ มปี ระโยชน์มกี ารเปลยี่ นแปลง สาขาอ้างอิง
ได้ประจักษ์ แล้วกท็ ี่สำคัญคือแสดงหลกั ฐานเพ่ิมเติมที่เกยี่ วขอ้ ง เชน่ รปู ภาพการบันทกึ เป็นภาพยนตร์หรอื แถบ
เสยี งวีดิทัศน์ จดหมายยืนยันถึงผลประกอบการนะครบั ผลการขายหรือกำไรหรืออ่ืนๆ ทีเ่ ป็นหลกั ฐานจับต้อง
ได้ เอกสารเอามาประกอบบทต่อไปครบั ในการนำเสนอผลงานวชิ าการรบั ใชส้ งั คม ตัวชีว้ ดั การพฒั นาท้ังคนทั้ง
กลุ่มท้ังกรรมการแผนงานโครงการกองทุนกิจกรรมเยอะแยะมากมาย นี้คือท่ีเราต้องเขียนต้องชดั แล้วชุมชน
เขาต้องมายงุ่ กบั เราดว้ ย มารว่ มในกระบวนการนี้

แนวทางการกำกบั ทศิ ทางกำกบั กระบวนการทง้ั หมด เราตอ้ งทำแบบน้ันแบบนโ้ี ดยอาศยั ความรู้ความ
เช่ยี วชาญลงไป จากนนั้ เราก็ดูวา่ จะเกดิ อะไรขึน้ เราตัง้ สมมตฐิ านได้วา่ มนั จะเกดิ อะไรขึ้นจากการทำแบบน้ี เรา
คาดการณน์ ะ จากนั้นจงึ สามารถประเมินผลลัพธ์ครับว่า มันจะเกดิ จากความรู้เราเองเหรอหรอื เปล่าหรือเกดิ
จากความเชยี่ วชาญของผูข้ อยน่ื หรือเปลา่ หรือไม่ใช่ มันเกิดจากโดยตรงเลย ไมไ่ ด้เกดิ จากเราเลย ซง่ึ อนั น้ีไม่ได้
นะครับ กระบวนการต้องสามารถตอบโจทยก์ ารเปลี่ยนแปลงให้ได้ครบั เปล่ียนแปลงแลว้ ก็ประเมินผลลพั ธท์ ี่
เกดิ ขึ้นวา่ เราใช้ความรู้ความสามารถอะไรเข้าไป คลา้ ยกนั กับการติดตามการธำรงรกั ษาการพฒั นาสิ่งท่ีเกิดขึ้น
ให้คงอย่ตู ลอดไป คงอยู่ตอ้ งพัฒนาเพิ่มข้นึ

2. เกณฑ์เกา่ เกณฑใ์ หมต่ า่ งกันอยา่ งไร

ทุกสาขา ณ ตอนน้ี คือเปรยี บเทยี บให้เห็นระหวา่ งปี 2560 กับอนั ใหม่ทจี่ ะประกาศพอเป็นกรอบการ
เขยี นผลงานนะครบั คือเอามาเปรียบเทียบเวลาเราเขียนแต่ละบทในระบบนะครบั จะเอามาทบทวนแลว้ กันนะ
ครับ เราจะเขียนเรื่องอะไร ถ้าในเรือ่ งของการรับใช้สังคมเราต้องเขียนนะครบั เขียนวัตถปุ ระสงค์ ไปบทที่ 2
ครับ เราจะพูดถึงเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญน้ี เราใช้สาขาวิชาอะไรเรื่องอะไร ภูมิปัญญาแบบไหน ส่วนที่ 3
ต้องเป็นกระบวนการใช้ในการเก็บข้อมูล โดยเฉพาะกระบวนการใช้ ใช้กระบวนการในการเก็บข้อมูลการ
ดำเนินการกิจกรรมทำยังไงบ้าง บทที่ 4 เรื่องการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างไรกับใครบ้าง เรามี
ประสบการณ์เพิ่มขึ้นไหม บทที่ 5 อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ เราต้องเขียนชัดๆ ว่ามันมกี ี่ด้าน อะไรบ้าง
ชัดเจนเลยนะครบั แล้วตอ้ งตอบโจทยต์ อบวัตถุประสงคใ์ ห้ชดั นะครบั แลว้ ถา้ มันเกนิ กวา่ น่าจะเอาไปใสใ่ นเร่ือง
ข้อเสนอแนะได้ และที่สำคัญเราไปใส่เรื่องของความยั่งยืน มันยั่งยืนยังไง ที่ผ่านมาเป็นปัจจุบันเป็นแบบนี้
อนาคตจะเปน็ ยงั ไง อนั นค้ี อื ตัวอยา่ งทพ่ี ูดคนเดยี ว

ขอให้คณุ จะทำอะไรยังไง ให้เหน็ ว่ากระบวนการมีความแตกต่างและกส็ ามารถดำเนินการใหส้ อดคลอ้ ง
ต้องมีการประสานกับชุมชนในการวิจัย เป็นการถอดบทเรียนให้ข้อมูลอะไรบ้าง ชุมชนได้ประโยชน์อะไร มี
ความรู้มากไหม มีกระบวนการต่างๆ เพ่ือยืนยันโครงการแล้วจะกลา้ ต่อไปหรอื เปล่า เราต้องมกี ารวิเคราะห์
ปัญหา เป็นเร่ืองของการมีส่วนรว่ มของชุมชนด้วยนะครับ จริงๆ แล้วมันน่าจะมีการเอาไปให้เพ่ือนดกู อ่ น ให้

21

อาจารย์ดกู ่อน ใหใ้ ครกไ็ ด้มาดกู อ่ นว่าเปน็ แบบนโ้ี อเคไหม เข้าใจไหม คือพร้อมกอ่ นเขา้ สู่การประเมนิ หรือก่อน
เผยแพรต่ ้องมีเวทนี ำเสนอ มีนักวิชาการ มีคนในชุมชนให้ความคิดเห็นในการดำเนนิ งานข้อเสนอแนะนะครบั
ต้องมีหลายฝ่ายเข้ามาในการเผยแพร่ กระบวนการพัฒนาชุมชนแบบน้ี ตั้งแต่วิเคราะห์และมีส่วนร่วม การ
ประเมินผลลพั ธ์ การสรุปผล การออกแบบการใช้ความรูอ้ ะไรก็ตามทเี่ ราวางแผนไป ต้องมสี ว่ นร่วมท้ังหมดใน
การนำเสนอ มขี ้อมูลหลักฐาน ไม่มีข้อมูลกรรมการประเมินก็ไมค่ ่อยเชือ่ เราต้องมีกระบวนการต่างๆ เพ่ือยืนยนั
ว่าเสรจ็ โครงการแล้วจะกล้าตอบไหม อนั นกี้ ค็ อื การเตรียมเอกสารผลงาน

ถ้าขอ ผศ. ด้านบริการวิชาการรับใช้สังคม ไม่ต้องสอนเยอะและวิจัยก็ไม่ต้องเยอะ แต่คุณต้องไป
บรกิ ารวิชาการ กต็ ้องเอาตามกรอบนนี้ ะครับ อันนเ้ี ปน็ อนั ใหม่ ตอ้ งวางแผนแตต่ ้นว่าเราจะเอาแบบไหนหรอื จะ
ขอแบบไหน จะขอแบบปกติหรือขอแบบพิเศษมีหมด มีคู่มือสำหรับผู้ขอตำแหน่งทางวิชาการนะครับ โดย
ผลงานวิชาการรับใชท้ อ้ งถิน่ และสังคม ซึ่งผมได้ทำคูม่ ือและปรับปรุงแก้ไขตามเกณฑ์การเสนอไปท่ี อบต. นะ
ครบั จะว่าอะไรกว็ ่ากันไป เราก็ทำหน้าท่ีเต็มที่ คอื ข้อมลู คำชแี้ จง วัตถปุ ระสงค์ มีนยิ าม มีขอ้ กำหนดตำแหน่ง
การเตรยี มเอกสาร บรรณานุกรม ภาคผนวก มีนิยามของผลงานวิชาการนะครับ มีรูปแบบการพัฒนาท้องถิน่
การออกแบบโครงการวิชาการ คุณคา่ เปา้ หมายที่ต้องเตรยี ม ผมพูดทงั้ หมดแล้วนะครบั ในการรับใชแ้ ละบริการ
ท้องถิ่นคืออะไร ต้องมีการประสานกับชุมชนในการวิจัยการถอดบทเรียน และให้ข้อมูลอะไรบ้าง มีส่วน
เกย่ี วข้องอะไรแบบไหนอย่างไรที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อท้องถน่ิ สังคมอย่างชัดเจนหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงใน
ความตระหนักการรับร้ปู ัญหาและแนวทางแก้ไขของชุมชน มกี ารรบั รู้ในปัญหาและแนวทางแกไ้ ข ปัญหาแก้ไข
ยงั ไงเดย๋ี วตอ้ งมกี ระบวนการ ซงึ่ อนั นีอ้ ย่างท่ีบอกวา่ ถา้ งานนนั้ มีเงินเข้ามา เราได้ประโยชน์ตอบแทน ประเมินไม่
ผา่ นครับ ไมต่ อ้ งยน่ื ครบั แล้วการเผยแพร่ตามกระบวนการนน้ั แหละก็คือค่มู ือ มีแบบฟอรม์ การมสี ่วนรว่ มและมี
แบบคําขอกําหนดตําแหน่ง กพอ. 03 ครับ ต่อไปเป็นคู่มือสำหรับผู้ทรงคุณวุฒิหรือคนที่ประเมินเรา เขาก็
ประเมินตามตัวชี้วัดและดูว่าเป็นไปตามกระบวนการไหม ครบไหม เป็นไปตามองค์ประกอบหรือเปล่า มี
กระบวนการที่มันมีอยู่แล้ว แล้วก็เดินตามขั้นตอนนะครับ คนตรวจก็ต้องมีผลงานวิชาการด้านรับใช้ท้องถน่ิ
สังคมมากอ่ น หรอื มีประสบการณ์

ผู้สัมภาษณ์: ดิฉนั ก็คิดวา่ เหน็ ภาพได้อยา่ งชัดเจนทัง้ เรือ่ งของกระบวนการ วธิ ีการประเมินและก็วิธีการปฏิบัติ
นะคะ ทางคณะเราก็อยากจะขออนุญาตแลกเปลีย่ นค่ะ อยากจะเชียรใ์ ห้ทุกท่านเนี่ยไดเ้ ตรียมตัวในการผลติ
ผลงานรับใช้ท้องถิ่นและสงั คมที่เทียบเท่ากับงานวจิ ัยค่ะ ที่เหน็ ชัดเจนสดๆ ร้อนๆ เลยคือของสาขาวิชานิเทศ
ศาสตร์ อาจารย์นฤมล ไปนำเสนอผลงานวิชาการที่เป็นลักษณะของการรับใช้สังคม รบกวนอาจารย์ช่วย
แลกเปล่ียนใหเ้ พ่ือนๆ ทา่ นอาจารยร์ ับฟงั หน่อยคะ่ ว่าต้องทำยงั ไง ดำเนินการยังไง

อาจารย์นฤมล: ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์เกรียงศกั ดิ์เป็นการสว่ นตัวก่อนที่จะแชรน์ ะคะ พอดีก่อนหน้านี้
อาจารย์ได้แชร์อินโฟกราฟฟิคในกลุ่มไลน์ ม.พายัพ ว่ามีงานประชุมวิชาการระดับชาติของ Engagement
Thailand ว่ามีการขยายเวลานำเสนอผลงานค่ะ ซงึ่ ตอนนั้นเน่ียยงั ไม่ได้คิดว่าตัวเองมีงานบริการวิชาการท่ีทำ
มาต่อเนือ่ งประมาณ 3-4 ปี ซง่ึ ทำร่วมกับคนขา้ งนอก โดยตนเองเป็นอาจารย์คนเดียวท่ีไปร่วมทำ ทีน้ีพอทำก็
ไม่ได้คิดถึงเรื่องของการทีจ่ ะเขา้ สู่ตำแหน่งทางวิชาการ แต่รู้วา่ ปีนีม้ หาวิทยาลยั มีเกณฑ์ว่าถ้าอาจารย์ไมไ่ ดท้ ำ
ผลงานวชิ าการยอ้ นหลงั ในรอบ 3 ปี กจ็ ะตอ้ งทำอะไรบางอยา่ งทีท่ ่านรองฯ วชิ าการ ได้ประกาศนะคะ กเ็ ลยถือ
ว่าเป็นโอกาสคะ่ ก็เลยนำงานบรกิ ารวิชาการท่ที ำอยไู่ ปเขยี นเปน็ บทความ แล้วกไ็ ด้ผ่านการพิจารณาได้นำเสนอ

22

ในงาน Engagement Thailand ไปเรียบร้อยแล้วนะคะ อันนี้ก็ถือว่าอาจารย์เกรียงศักดิ์ เป็นสะพานที่ได้นำ
ข้อมลู ตรงน้ีมาให้ ตอนนั้นกล็ ุน้ มากเพราะวา่ มีเวลาเขยี น 1 สัปดาหค์ ่ะ แต่วา่ เราได้ทำงานนี้อยู่แล้วถือวา่ มขี ้อมลู
ในมือ ก็เลยสามารถไปนำเสนอ ก็เรียบร้อยผ่านไปแลว้ ค่ะตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลังจากที่ทำ
ตรงนเี้ รยี บร้อยแลว้ เนีย่ ก็ถอื ว่าเปน็ ชอ่ งทางท่มี นั เปดิ ใหเ้ รานะคะ เพราะวา่ ทีผ่ า่ นมาไม่ค่อยไดท้ ำวจิ ยั ในลักษณะ
ของงานบริการวิชาการด้านการสื่อสารนิเทศศาสตร์ งานด้านการสื่อสารเหมือนมันไปตอบโจทย์ของสังคม
ชุมชนท่เี ขาทำ Action สิง่ ท่ีเราไปทำเน่ยี ก็คือไปชวนเขาวางแผนการสอื่ สารนะคะ ไปบอกเขาเรื่องการกำหนด
กลุ่มเปา้ หมาย แลว้ ค่อยไปแนะนำวิธีผลติ สื่อเผยแพร่ ก็เปน็ ส่งิ ทีไ่ ด้ไปทดลองดำเนินการนะคะ แล้วก็ตอนแรก
งานนี้มีทุนสนับสนนุ จาก สสส. นะคะ ซ่ึงจบโครงการและทำมา 3-4 ปี ปรากฏว่าเพ่ิงได้ขา่ วดวี ่าไปประเมินใน
ระดับของประเทศ Project ทเ่ี ราทำเน่ยี มันมี Impact ทดี่ ี

คำถามส่วนตัวค่ะ ถ้าจะขอเป็นแบบงานวิจัยต้องมีการวิจัย 2 เรื่องใช่ไหมคะ ตอนนี้ถ้าเราเลือกใช้
แทร็กน้ีมนั จะตอ้ งมีงานวจิ ยั 1 เรือ่ งแล้วก็ผลงานวิชาการรบั ใชส้ งั คมอกี 1
ผศ. ดร. เกรียงศักด์ิ: เรอ่ื งเดียวกไ็ ด้ครบั
ผู้สัมภาษณ์: ตอนแรกเรื่องนีอ้ าจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา แล้วก็เรายังไม่มีความรู้ความเขา้ ใจเพียงพอ แต่
เข้าใจว่าวันนี้หลายคนก็จะเห็นทิศทาง เห็นวิธีปฏิบัติ เห็นหน้าตารูปแบบงานได้อย่างชัดเจนมากขึ้นนะคะ
เพราะว่าจับสิ่งสำคัญทท่ี า่ นอาจารย์มาแบ่งปนั เนี่ย ทา่ นอาจารย์บอกเลยวา่ Mindset ไมไ่ ดเ้ นย่ี ต่อให้มันมีสกิล
แค่ไหนกไ็ มไ่ ดอ้ ย่ดู ถี กู ไหมคะแต่ ณ ตอนน้ี ถ้าเรามาปรับ Mindset ท่ีจะมองผลงานทีร่ ับใช้สังคมมาเป็นตวั ช่วย
ในการพฒั นาศกั ยภาพของเรา เรามาสนบั สนนุ คณาจารย์ในคณะให้เปลี่ยนจากเดิมท่ีอาจจะมุ่งวิจัยอย่างเดียว
นะคะ เดี๋ยว Skill Set ก็จะตามมาแน่นอนค่ะ อาจารย์ได้ให้ความรู้กับเราเนี่ยนะคะ ก็เป็นแนวทางอันนึง
สำหรับคณาจารย์ในคณะเราท่ีจะเจริญก้าวหน้าในทางวิชาการ เข้าสู่การผลิตผลงานในทางวิชาการแล้วก็ยัง
เป็นการบรู ณาการองค์ความรู้ที่เราเอาไปใช้ได้ในชุมชน จะเน้นคำว่าอย่างยั่งยืนด้วยนะคะ แล้วก็ได้มองเห็น
ภาพของพลังความรู้ทนี่ กั วชิ าการอยา่ งเราเน่ยี จะไดล้ งไปปฏิบตั ิรว่ มกบั การมีสว่ นรว่ มกับชุมชน

วันนี้เราอาจจะมีเรื่องของเวลาที่จำกัด โอกาสนี้ในนามของคณะกรรมการจัดการความรู้
คณะกรรมการสง่ เสริมการวิจัย คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละนิเทศศาสตร์ ขอกราบขอบพระคุณผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์
ดร. เกรียงศักด์ิ พราหมณพันธุ์ มากนะคะ ที่ให้ความกรุณามาแลกเปลี่ยนแล้วก็แบ่งปันความรู้ให้กับพวกเรา
และขอสวสั ดที กุ ท่านค่ะ

23

คร้ังท่ี 2
เลา่ เรื่อง (พธุ ท่ี 2 กมุ ภาพันธ์ 2565)
วิทยากร: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อลชิ า ตรีโรจนานนท์

คณะการส่อื สารมวลชน มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่

ผศ. จิรภัทร: วันน้ีเราก็จะคุยกันถึงเรื่องงานวิชาการรับใช้สังคมนะคะ ก็จะเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการ
องค์ประกอบต่างๆ แล้วก็ไปจนถึงรายงานตัวเล่มเลยว่าทำยังไง ซึ่งเราได้รับเกียรติจากวิทยากรที่เรียกว่ามี
ประสบการณ์ตรงในเร่อื งน้ี นน่ั กค็ อื ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อลชิ า ตรีโรจนานนท์ สอบถามอาจารย์อลิชาค่ะ
เป็นคนแรกของเชียงใหม่เลยหรอื เปลา่ คะทไ่ี ดร้ ับตำแหน่ง ผศ. ดว้ ยการย่ืนผลงานวิชาการรับใชส้ งั คม ชอ่ื เรอ่ื งก็
จะเปน็ เร่ืองของการส่อื สารชุมชนเพื่อแก้ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มจากขยะรีไซเคิล ขยะให้เป็นบุญ และสอ่ื สารมวลชน
ใช้ตรงไหน เดี๋ยวอาจารย์เขาจะเล่าให้ฟังนะคะ จะต้องเกี่ยวข้องกับเราได้ยงั ไงด้วยนะคะ ขอให้อาจารยช์ ่วย
อธบิ ายงานลักษณะนใ้ี นสายของเราดว้ ยคะ่
ผศ. ดร. อลิชา: ดีใจดีใจและยินดีมากที่มีโอกาสได้มาพบพี่ๆ น้องๆ ทุกท่านนะคะ ก็ถือว่าเป็นคนผ่าน
ประสบการณก์ ่อนเทา่ นน้ั เอง เพราะวา่ จริงๆ แล้วเราเหมือนกันทุกอย่างเลย เราสอนวิชาใกล้เคียงกนั เรามีพ้ืน
ฐานความรแู้ ล้วกม็ ีบรบิ ททางวิชาการหรือวา่ ทางการทำงานใกลเ้ คียงกันมากเลยนะคะ แลว้ กเ็ ส้นทางท่ีผ่านมา
เน่ยี คอื มันไม่ไดม้ ีเฉพาะสง่ิ ทีเ่ ปน็ Best Practice คือวา่ ไปเราจะตดิ อยู่กับการมองตวั อยา่ งทด่ี ี ท้ังๆ ทจี่ ริงๆ แล้ว
เนี่ยการที่เราพลาดหรือว่าล้มเหลวหรือไม่ประสบความสำเร็จในอะไรบางอย่าง มันก็เป็นเป็นทุนสำหรบั การ
เรยี นรไู้ ดด้ ีไมแ่ พ้กันนะคะ แลว้ กค็ ดิ ว่ามเี ฉพาะพวกเราๆ นแ่ี หละท่ผี ่านสนามกนั มาแบบน้ีถึงจะเข้าใจถึงหัวใจ
กันได้ค่ะ แล้วตัวอย่างที่ใครๆ เอามาให้ดูแบบเยอะแยะเน่ีย คือเขาเลือกมาเฉพาะอันที่เขารู้สึกว่ามนั ประสบ
ความสำเร็จใช่ไหมคะ แต่ว่าการที่เราได้คุยกันในวงเล็กๆ แบบน้ี คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่เราจะเอาความท้า
ทายหรือว่าข้อจำกัดต่างๆ เนย่ี เอาออกมาชว่ ยกนั ดู เผื่อว่าจะไดพ้ ากันขา้ มผ่านความท้าทายอันน้ันไปให้ได้นะ
คะ

อะไรก็ตามเนี่ยคือต่อให้มนั เป็นงานเล็กหรือว่างานใหญ่ ถา้ เกดิ วา่ กำหนดทิศทางได้ถกู เราอาจจะกำลงั
ทำงานกับประเดน็ ทีม่ ันใหญ่ วนั ท่ีผลมนั เกดิ ขึน้ พร้อมกัน แรงกระเพ่อื มอันนั้นน่ะมนั จะเห็นชัด เรากเ็ ลยมามอง
ดว้ ยกนั ท้งั คณะดไี หมวา่ ตอนน้เี รากำลงั จะมองไปข้างหนา้ ดว้ ยทิศทางแบบไหน เพราะ ณ เวลาน้สี มองเริ่มเห็น
ละว่า พวกเราเน้นออกไปในแนวบริการวิชาการ เดี๋ยวเราคุยกันว่าระหวา่ งงานบรกิ ารวิชาการกับงานวิชาการ
รับใช้สังคมมีความแตกต่างกันตรงไหน แล้วเราลองมาเชอ่ื มโยงกับงานทพ่ี วกเรากำลงั ทำอยู่ แลว้ หาแนวทางให้
ได้วา่ เรากำลังทำศาสตร์น้ีเสร็จแล้วเรามที างออกไปประมาณไหนบ้างนะคะ แลว้ เรากจ็ ะไดร้ ับฟังตัวอย่างจาก
อาจารย์นฤมล ทีก่ ำลังทำงานเพือ่ ขอตำแหน่งนะคะ แล้วกถ็ ้าสามารถหาตัวอย่าง อยากจะชวนดูเคสวา่ ทำ 7 ข้อ
เนี่ย คือมันตอ้ งทำประมาณนแี้ ล้วกย็ ดึ 7 ข้อนีเ้ ป็นไกดไ์ ลนย์ ังไงบ้างเง้ยี ค่ะ เพราะวา่ พวกเรากำลังทำงานทำงาน
วิชาการรับใชส้ งั คมดว้ ย 2 คณุ คา่ อันนงึ กค็ ือคุณค่าทางวิชาการทีจ่ ะเอาไว้ตอบเราเองแล้วกต็ อบกับสังคม อีก
อันนงึ มันคอื เพ่อื กำหนดตำแหน่งทางวิชาการ ดงั นัน้ มันอาศัยพลังคนละทีค่ ะ่ อาศัยอนิ เนอรเ์ ดียวกนั แต่ว่าออก
แรงคนละท่ี คอื มันมี Pattern ท่ีต่างกนั นดิ หนอ่ ยว่าดว้ ยรปู แบบและหลักการ

เรามาดแู บบตั้งแต่ตั้งแต่เริ่มต้นกัน ระหว่างนี้ถ้าใครสงสัยอะไรนะคะสามารถสอบถามได้ทันทีนะคะ
เท่าที่ฟังดู พวกเรามคี วามหลากหลายทางทางหวั ข้อค่อนขา้ งสงู แล้วกม็ ีทุกวัยเลยท่ีอยกู่ บั เรา แต่คราวนใ้ี นงาน

24

ต่างๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่เราทำประมาณเอาความรู้เข้าไปตดิ ตั้ง แล้วก็เอาส่วนที่เรามองว่าขาดเข้าไปเติมไว้ใน
ชุมชนใช่ไหมคะ แลว้ ชุมชนทวี่ า่ นี่คอื ท่ีไหนก็ยงั ไมค่ อ่ ยแน่ใจ เพราะวา่ อเราถือความรดู้ ้านน้อี ยแู่ ลว้ เราพรอ้ มจะ
ให้กับใครก็ได้ที่จำเป็นต้องใช้ หากว่าเรารู้สึกว่าเขายังไม่เห็นความจำเป็น แต่ว่าเราเห็นล่วงหน้าแล้ว เราก็
พยายามจะสรา้ งหนา้ งานแลว้ กส็ รา้ งโอกาสใหเ้ ขาเห็นวา่ จรงิ ๆ อนั นี้มันเปน็ สิง่ ทเี่ ขานา่ จะได้ใชใ้ ช่ไหมคะ

หลักการวา่ ดว้ ยวชิ าการรับใชส้ งั คม แล้วกข็ ัน้ ตอนกระบวนการในการนำงานวิชาการรับใชส้ ังคมไปขอ
ตำแหนง่ นี้มนั คือ 7 ขอ้ วนั นน้ี ่าจะยงั ไมถ่ ึงข้นั ระบบสนับสนุน ถา้ เกิดว่าเปน็ ระบบสนับสนนุ เนย่ี มอี ีกทมี นึงทอ่ี ยู่
มช. เหมือนกัน อยู่หนว่ ยสนับสนนุ งานวชิ าการรับใช้สังคม เขาจะชว่ ยชว่ ยพๆ่ี น้องๆ ไดล้ งตวั มากๆ นะคะ วันนี้
จะมาขอคุยเรือ่ งความร้แู ลว้ ก็อยากจะกำหนดมมุ มองมาดดู ้วยกัน ใส่ทอ่ เอ็นเกจเม้นทเ์ นีย่ มนั มจี ุดยนื ท่จี ะทำให้
สรา้ งมุมมองอ่ะคะ่ แลว้ แลว้ งานต่างๆ กบั บรบิ ทเนย่ี เราก็จะเหน็ ได้งา่ ยข้ึนนะคะ เพราะว่าถา้ ยืนไมถ่ ูกที่ บางที
มองแล้วอาจจะจำกัด และอกี อันนึงก็คอื ขอนำเสนอทกั ษะทเ่ี กีย่ วข้องวา่ ในเวลาที่เราจะเขียนงานวิชาการสงั คม
เราจำเป็นต้องตอ้ งสามารถเลา่ เรื่องให้ได้ สามารถทจ่ี ะชี้ประเดน็ ชี้จุดแลว้ ก็นำงาน นำมมุ มองออกมามาผสาน
กบั บรบิ ท แลว้ ก็เลา่ ให้ตรงใจเราอะ่

คราวน้ีเรามาดวู ่าหลักการหรือวา่ รปู แบบเป็นเรื่องทีเ่ ราต้องให้ความสำคัญในงานวิชาการรับใช้สังคม
นะคะ คือ ณ เวลานี้ถ้าเราพูดถึงว่าวิชาการรับใช้สังคมคืออะไร เรากำลังว่ากันด้วยหลักการว่ามันต้องมี
อะไรบา้ ง มันถงึ จะเป็นวิชาการรับใชส้ ังคมได้นะคะ แตว่ า่ เวลาท่เี ราเขียนงานเน่ียเราจะถูกประเมินตามจริงอ่ะ
ค่ะ ว่ามีองค์ประกอบครบตามที่กำหนดหรือเปล่า หากว่าหลักการใช่แต่ว่าสามารถจะนำเสนอได้ตาม
requirement ตามข้อกำหนดที่ผู้ประเมินเขามองเราอ่ะ เราก็จะเสียโอกาสที่จะนำเสนอความตั้งใจนะคะ
เพราะวา่ เอกสารนม้ี นั เป็นเรือ่ งหลักทเ่ี ราจะถูกประเมินในนน้ั นะคะ วันน้ีขอนำเคสเลก็ ๆ มาใหด้ นู ะคะว่าเวลาท่ี
เราเขยี นงานเนยี่ มนั มีเร่ืองต่างๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง อนั นึงกค็ ือรวู้ ่าดว้ ยการเผยแพร่งานวิชาการรับใชส้ ังคม ซ่ึงตอนน้ี
เขามชี ่ือใหมน่ ะคะ ชอื่ งานวชิ าการด้านรับใชท้ ้องถน่ิ และสงั คม คอื คำว่าท้องถิน่ ก็มานะคะ แล้วก็ตัวนี้เด๋ียวเรา
กลบั มาคุยกันอกี คร้งั นงึ กไ็ ดว้ ่า เวลาทีท่ ำเสร็จแลว้ เราจะเผยแพรด่ ว้ ยวิธไี หน เพราะว่าถา้ เราทำงานเสร็จแล้ว
มันก็คอื เสรจ็ แลว้ งานมันก็เดินของมันต่อไปเร่ือยๆ ไง แต่ว่าเวลาเราทำงานอยู่ในท่ีมดื หรอื ว่าทำงานแล้วกไ็ ม่
เผยแพร่ออกไปข้างนอกเนี่ย ทำใหท้ ำให้ผู้ประเมินก็มองวา่ ตกลงเราทำงานได้จริงหรือไม่ ก็เลยมีรปู แบบของ
การเผยแพร่ทีอ่ นั นเ้ี อามาจากคู่มอื หนึ่งของผู้พดู ของนกั วชิ าการท่ีทำงานวชิ าการรบั ใชส้ ังคมนะคะ ซึง่ เขา้ ใจว่า
ในอกี ไม่นานนีค้ ่ะเดี๋ยวคู่มอื น่กี ็จะออกมาอย่างเป็นทางการ แต่วา่ จากการทคี่ ณะทำงานได้นำเสนอเมอ่ื สปั ดาหท์ ่ี
ผ่านมานี้นะคะ เราเห็นว่าในการเผยแพร่เนี่ยคอื คือมันมีอยู่ 4 ลักษณะด้วยกนั ไม่ว่าจะเป็นการจัดเวทีแสดง
ขอ้ มูล on site อย่ใู นพ้นื ท่หี รือเปดิ พ้ืนทกี่ ็เปิด on site อีกเหมอื นกัน เปิดพน้ื ที่เรยี นรู้นะคะซึ่งเป็นผลออกมา
จากงานนัน้ หรืออนั นึงก็คือว่าเผยแพร่ Content และการเผยแพร่ Content เน่ยี จะเป็น Hard Copy หรือว่า
เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ไดน้ ะคะ แล้วในการเผยแพร่อนั นี้เรามองอยู่ 2 ลักษณะดว้ ยกัน หน่ึงก็คือเผยแพร่ใน
ช่องทางท่ีหน่วยงานหรือว่าหรือว่านักวิชาการเองสามารถเข้าถึงและจัดการเนื้อหา ส่วนอีกส่วนหนึ่งก็คือ
เผยแพร่สู่สาธารณะ ซ่ึง 2 อันนกี้ ็จะไดน้ ำ้ หนกั ตา่ งกนั นะคะ อนั นึงเชน่ แบบว่าลงในช่อง YouTube ของตัวเอง
แต่อันนึงอ่ะลงในช่องทางที่เป็นสื่อมวลชนอย่างนี้ค่ะ คือเวลาที่ทำงานเสร็จแล้วขอชวนอาจารย์นึกถึงการ
เผยแพรง่ านดว้ ยนะคะ ไม่งัน้ มนั กจ็ ะจบอยูแ่ คน่ ้นั มาถงึ หลักการสำคญั ของเราว่า เราดยู งั ไงว่างานไหนเป็นงาน
รบั ใชส้ ังคมนะคะ เพราะว่ามันเป็นแบบพนื้ ที่ unknown สำหรบั คนวิชาการส่วนหน่ึงว่า ฉันทำอันน้ีแลว้ ฉันเป็น
นักวิชาการ แลว้ ฉนั ก็ไปบริการสงั คม อันนถ้ี ือวา่ เราทำงานวิชาการรับใช้สังคมไหม แล้วงานทีเ่ รียกว่างานบรกิ าร

25

วชิ าการตา่ งจากงานรับใชส้ งั คมยังไง มนั มีคำตอบแบบดูงา่ ยๆ เป็นจุดสงั เกตนะคะ ขอให้อาจารย์ดูว่าอินเนอร์
ของงานวิชาการรับใช้สังคมกับงานบริการวิชาการอื่นๆ เนย่ี ถ้าเปน็ งานบรกิ ารวิชาการมนั จะคลา้ ยๆ ฟิลเลอร์
คือขาดอะไรก็เอาอันนั้นไปเติม ในขณะที่งานวิชาการรับใช้สังคมจะเป็นคอนดิชั่นเนอร์ คือการไปสร้างเหตุ
ปัจจัยต่างๆ ให้ เพ่อื ท่ีจะเกิดการพัฒนาการ แกป้ ญั หาหรือว่าการสร้างโอกาส แล้วในการทำงานวิชาการรับใช้
สังคมเราตั้งใจจะดึงศักยภาพของคนที่เกี่ยวข้องออกมาและทำให้มันเกิดระบบและกลไกบางอย่างที่ทำให้
วิชาการที่เอาเข้าไปหนนุ เสรมิ การขับเคลื่อน มันแบบเป็นเกียร์หนึ่งท่ีทำให้ไปไดค้ ่ะ หมุนไปขา้ งหน้าได้โดยท่ี
แม้ว่านักวิชาการจะไม่อยู่ตรงนั้นแล้วอ่ะ แต่มันมีผู้ปฏิบัติงานหรือว่ามันมีระบบกลไกบางอย่างที่ทำให้การ
ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหานั้นน่ะมันยังไปต่อของมันไดค้ ่ะ ไม่ใช่ว่างานยั่งยืนนะคะ แต่ว่าคุณค่าที่เกิดขึ้นมันมี
ความยงั่ ยืนในนนั้ คือตรงนี้เราจะมองเห็นว่าถ้าเราไปบริการวชิ าการนะ่ คอื อายุของงานมันอาจจะสั้นเพราะว่า
เราได้เติมตรงนั้น แล้วคือพอเต็มแล้วได้คำตอบเสร็จแล้ว ก็ออกมาอย่างนี้นะคะ คือบอนดิ้งหรือว่า
Connection ระหวา่ งนักวชิ าการแลว้ กช็ ุมชนและสงั คมมนั จะเป็นคนละแบบกบั งานวชิ าการรับใช้สังคม เท่านี้
ให้สังเกตง่ายๆ ค่ะอาจารย์ว่า หากว่างานนี้เป็นงานของภาควิชาก็ได้นะคะ หรือว่าเป็นงานที่ทั้งคณะเข้าไป
ทำงานด้วยกนั หรอื ใครกต็ ามมาขอให้ใครคนใดคนหน่งึ ไปช่วยงานน้ี ถ้าเปน็ งานบรกิ ารวิชาการแล้วไปเองไม่ได้
แต่ว่าเพ่ือนไปแทนแล้วก็ไมม่ อี ะไรแตกตา่ ง เพราะว่าเพือ่ นเรากับเราก็รใู้ นสง่ิ ทไ่ี มไ่ ด้ตา่ งกนั เทา่ ไหร่ กค็ อื เรยี นมา
ประมาณเดียวกัน แล้วถ้าเราไปเป็นวิทยากร เราไปกับเพื่อน ไปก็พูดเรื่องเดียวกันหัวข้อเดียวกันแบบน้ีคือ
บริการวิชาการ แต่ถ้าเกดิ ว่าเปน็ งานวิชาการรับใช้สังคมเน่ียมันจะมีองค์ประกอบบางอย่างทีเ่ ปน็ เรื่องเฉพาะ
บุคคล ที่ไม่ใช่ว่าคนนี้รู้มากกว่าคนนีน้ ะคะ แต่มันเป็นเรื่องของมุมมองและการตีความการเชื่อมโยงคุณค่าที่
นักวิชาการแตล่ ะคนน่ะจะมีกับคนในพื้นที่ แล้วก็ประเด็นปญั หาประเด็นความท้าทายไม่เหมือนกันเลย เราก็
เลยมามองตรงนี้ คำวา่ การบริการวชิ าการว่าไปเหมอื นเป็นฟิลเลอร์ ตรงไหนตรงนัน้ นะคะ แต่วา่ ถา้ เป็นวิชาการ
รบั ใช้สงั คม คือการดงึ ศักยภาพและการปรับสภาพ แล้วก็การสร้างเหตุปัจจัยนะคะ แลว้ ถามวา่ เราจะใช้วชิ าการ
รับใช้สงั คมเสมอไปโดยทเี่ ราไม่ทำวิชาการกระแสหลักได้ไหม คำตอบคอื ทำไม่ได้เพราะว่ายังไงวิชาการกระแส
หลักมนั จะคลา้ ยๆ กบั ยาฉดี ยากินยาทา เมอ่ื ไหรท่ ่ีเรามีปญั หาที่ตอ้ งแกเ้ ฉียบพลันเนย่ี ความบริสทุ ธ์ขิ องศาสตร์
มันจะช่วยได้มาก ก็คือรู้เลยว่าทำตรงไหนแล้วก็เข้าไปแก้ปัญหาตรงจุดเลยเฉียบพลัน ในขณะที่ถ้าเป็นงาน
วิชาการรับใชส้ งั คมเปน็ อีกแบบนึง มันเป็นเหมือนการใช้อาหารเป็นยา มนั เหมือนการสรา้ งความแขง็ แรงมาท้ัง
องคาพยพค่ะ และ Connection ระหว่างนักวิชาการแล้วก็ชุมชนและสังคมมันจะเป็นคนละแบบกับงาน
วชิ าการรบั ใช้สงั คม

เราเขา้ ไปทำงานกับสังคมหรือกับชมุ ชนโดยที่อาศัยวิธีคิดแบบวิชาการรับใช้สังคม คือถ้าเรามองว่าท่ี
ไหนมีปัญหา มันยากเหมอื นกันที่จะไปชี้บอก เพราะว่ามันไม่ใช่หนา้ ที่ของเราซ่ึงเป็นนักวิชาการ คือการระบุ
ปัญหาเนีย่ มันจำเป็นต้องอาศัยมุมมองพอสมควรเลยนะคะ แล้วก็มุมมองของคนนอกจากคนในเนี่ยมันสร้าง
ความแตกต่างเหมือนกัน แล้วก็กำหนดว่าเราจะมองเห็นอะไรบ้าง เบื้องต้นเลยจะมองว่าชุมชนไหนหรือวา่
สงั คมไหนกม็ ีปัญหาของตวั เอง แมก้ ระทง่ั สังคมทีด่ ูพรอ้ มทสี่ ุดก็ยงั ประสบความทา้ ทายบางอย่าง ถ้าเรามาดตู รง
นี้คือสงั คมทดี่ พู ร้อมท่สี ุดก็อาจจะขาดบางอยา่ ง แล้วมมุ มองของคนนอกกับคนในเนยี่ กเ็ ลยเข้ามามคี วามสำคัญ
ตรงน้ี เพราะว่าบางทเี วลาที่เราอยากรูว้ า่ วา่ ขาดอะไรเน่ยี ตอ้ งอาศยั มุมมองของคนนอก เพราะวา่ คนนอกมอง
มาเห็นบรบิ ทท่ีกว้างกว่า แตใ่ นขณะทบี่ อกวา่ มีอะไรเน่ยี มันต้องอาศยั อินเนอรข์ องคนใน เพราะฉะน้ันการเป็น
นักวิชาการรับใช้สังคม การสามารถเข้าไปอยู่ในจุดท่ีบอกได้ถึงความขาดและความมโี ดยที่ดึงบริบทที่แทจ้ รงิ

26

ออกมาใหเ้ ห็นจรงิ ๆ คือดูตามสิ่งทม่ี ันเป็นนะ่ คะ่ ไมใ่ ชก่ ารมองเขา้ ไปแล้วก็ตัดสิน การ Define ลักษณะโดยคน
อ่ืนๆ ทไี่ ม่ใช่เจ้าตัวเองอะ่ มันเรยี กว่าการติดฉลาก คราวนีถ้ ้าเราเขา้ ไปทีส่ งั คมไหนแล้วก็ไปติดฉลากบอกว่าท่ีนี่
ปว่ ย ซงึ่ มักจะเป็นท่าทีของนกั วิชาการที่รู้เยอะท่เี กง่ ว่าพอรู้แบบนี้ ก็เลยบอกไดว้ า่ ดว้ ยสภาพแบบนีต้ ัดสินว่ามัน
ไมใ่ ชส่ ภาพท่ีพงึ ประสงค์ ก็บอกว่าท่นี ปี่ ว่ ย กเ็ ลยตอ้ งใหย้ า แล้วก็การให้ยาแบบทวี่ ่าเนีย่ ก็มักจะเอายาที่มาจาก
ความเชี่ยวชาญของตวั เอง เรามักจะมแี นวโน้มที่จะตัดสินบนฐานคดิ ท่เี ราไดร้ ับการบ่มเพาะมา ในขณะที่ถา้ เกิด
ว่าเราสามารถดงึ อินเนอร์ของคนที่ไดร้ บั ผลกระทบหรอื วา่ คนทเี่ กยี่ วข้องได้ ตรงน้ตี า่ งหากมนั สร้างความหมาย
กับเขาแล้วตัวเองตัวเราเองซึง่ เป็นนกั วิชาการ เราจะเขา้ ไปมีส่วนร่วมขบั เคล่ือนตรงน้ดี ว้ ยองค์ความรู้

บางคร้ังการบริการวิชาการก็อาจจะเหมาะกบั บางปญั หาบางความทา้ ทายและบางโจทย์ ในขณะทงี่ าน
วชิ าการรบั ใชส้ ังคมน่าจะเหมาะกบั การปรับสภาพ เพราะมันเหมือนเป็นของขวัญท่นี กั วิชาการจะให้กับชุมชน
และสังคมได้ นัน่ คอื สงิ่ ท่คี นตรงน้นั พาผู้ทเ่ี กีย่ วข้องไปให้ถงึ จุดท่ดี ีทส่ี ดุ ของเขาเองแล้วก็ใช้ในส่ิงที่เขามีค่ะ เพื่อ
แก้ปญั หาของเขา แล้วก็ใชศ้ กั ยภาพให้ไดอ้ ย่างเต็มท่ี อันน้ันคอื ความหมายของของงานวชิ าการรับใช้สังคมนะ
คะ คราวนี้ตอ่ กันอีกนดิ นงึ ว่าเราดูยงั ไงว่างานไหนรบั ใชส้ ังคม คำว่าวิชาการรับใช้สงั คมเนี่ยแยกออกมาเป็น 3
คำ เรามีฝั่ง academic มีฝั่งสังคมแล้วก็มีฝั่ง engagement นะคะ ในฐานะที่เราเป็นนักวิชาการ ทำให้เรา
แตกต่างจากจาก NGO จากนกั พัฒนาสงั คม เพราะว่าเราใชว้ ิชาการหรือใชว้ ิธีอะไรใดๆ ก็ไดท้ ีจ่ ะพาสังคมออก
จากปญั หาแลว้ ก็เขา้ ไปเช่อื มโยงกับชมุ ชนและสังคมใหไ้ ดค้ ะ่ แล้วงานเพ่ือสังคมท่ไี มม่ มี ิตทิ างวชิ าการมันเป็นไป
ได้แค่ความเสียสละ เพราะว่ามันไม่กอ่ ให้เกิดความเจริญเติบโตทั้งองค์ความรูใ้ ดๆ ค่ะ ในการเรียนรู้และการ
เติบโตทางวิชาการไมไ่ ดร้ ับคณุ ค่าเท่ากับการแก้ปญั หาโจทย์ความท้าทายในสังคม ถ้าเป็นวิชาการรับใชส้ ังคม
เนี่ยท้งั สามขามนั ไปด้วยกัน เราเอาสง่ิ ท่เี ปน็ ทรัพยากรทางกายทางใจทางทรพั ยส์ ินทางใดๆ เอามาร่วมลงไว้ใน
ในที่เดยี วกนั ในใจเดยี วกนั เพือ่ ร่วมขบั เคลือ่ นบางอย่าง โดยทมี่ นั บอกไดไ้ ม่ชดั หรอกวา่ ใครให้อะไรมาบ้าง มัน
คนละแบบกับการเป็น Partner กับการลงทุนและหวังผลตอบแทน แล้วก็เอ็นเกจเม้นท์เนี่ยพอเอามาผสาน
กนั เน่ียกเ็ ลยกลายเป็นวิชาการรับใชส้ งั คมขึน้ มา ในความหมายน้ีทจ่ี ะต้องมอี งคป์ ระกอบทส่ี ำคัญทขี่ าดไมไ่ ดเ้ ลย
อยู่ 4 อนั นะคะ

หน่งึ คอื การร่วมคิดร่วมทำ มันจะพาคนท่เี ก่ยี วขอ้ งเขา้ มาอยู่ในนี้ แล้วไมม่ ใี ครทีถ่ ูกทิ้งไว้ขา้ งหลัง ไม่มี
ใครถูก Exclusive ไมม่ ีใครบอกวา่ เรื่องน้ีไมเ่ ก่ยี วกับคุณ แลว้ กก็ ารท่ีบอกวา่ เกยี่ วมันเหน็ ไดช้ ัดว่าถ้าเก่ียวจริงๆ
ต้องเขา้ มารว่ มกนั ทำอะไรบางอยา่ ง แลว้ กอ็ ยากบอกวา่ ในการร่วมคดิ รว่ มทำเน่ีย มนั สังเกตไดง้ ่ายสดุ คือว่าการ
เปลี่ยนแปลงท่เี กดิ ขนึ้ อยา่ งแทจ้ ริงเนยี่ เราดไู ดต้ ่อเมื่อหนว่ ยท่ีเล็กท่สี ุดกย็ งั ยังเปลี่ยนยงั เคลอ่ื นไหว และหน่วยที่
เล็กทส่ี ดุ ก็ยงั เข้ามาร่วมขับเคลือ่ น คอื เราเหน็ วา่ พลังนม้ี ันมคี วาม Inclusive มันเกดิ ขึน้ ณ เวลาท่ีไดร้ ว่ มคดิ ร่วม
ทำนะคะที่

สองคอื การเรยี นรรู้ ่วมกนั มันหมายถึงว่าเราไดร้ บั การหลอ่ เลีย้ งและเติบโตในมติ ิตา่ งๆ คอื ทง้ั ทักษะทง้ั
ความคดิ ความรู้แล้วก็ส่งิ ต่างๆ ที่ทำใหม้ ันเปน็ องคค์ วามร้ทู เี่ กิดขึ้นภายในตวั คนนะ่ คะ่ แลว้ ก็ไม่ใช่เฉพาะชาวบ้าน
ทร่ี ู้มากข้นึ นะคะ เวลาเราไปบรกิ ารวชิ าการและเราไปสอนหนังสอื คนทีร่ มู้ ากขึน้ คอื นกั เรยี นของเรา ในขณะท่ี
เราเกง่ ขน้ึ ไหม ยังนะคะ เพราะวา่ เราใชค้ วามรู้ที่เรามเี อาออกไปเผยแพร่ แต่ในขณะทเ่ี ราทำงานวิชาการรับใช้
สังคมเนี่ย หมายความว่าเราเองก็ได้เก่งขึ้นด้วย ละอันนี้อ่ะค่ะที่มันเป็นเสน่ห์ของงานแบบน้ี คืองานที่มันมี
คณุ คา่ กับคนอืน่ มนั กลับมามคี ุณคา่ แล้วกใ็ ห้ผลดี ใหผ้ ลของการการเกง่ ขนึ้ มันเกิดขึ้นกบั ตวั เราด้วย อกี อนั นึงคือ

27

เกิดประโยชน์ร่วมกัน มันสำคัญตรงที่ทำให้คนเข้ามาร่วมกันนะค่ะ หากว่าคนมองไม่เห็นประโยชน์ร่วมกัน
โอกาสในการท่จี ะมาร่วมลงแรงก็นอ้ ยหน่อย ดงั นัน้ หากประสานประโยชนไ์ ม่ได้ การร่วมคิดร่วมทำมันก็จะไม่
เกิดนะคะ เวลาท่ีเกดิ ประโยชนร์ ่วมกันแล้วเนย่ี ผลกระทบท่ปี ระเมนิ ได้คือตรงไหน ถา้ เราบอกว่างานน้ีเปน็ งานดื
เราลงแรงไปตัง้ มากนะคะ มีคนมาร่วมงานกับเราเยอะแยะ คำว่าเยอะแยะหลายอย่างมันคืออะไร ผลกระทบ
คอื ย่งิ กว้างขวางนะคะ มนั กย็ ง่ิ บอกไดว้ า่ การทเ่ี ราลงแรงไปมันได้ตามทีเ่ ราเราต้งั ใจหรอื เปล่า หรอื วา่ เราปล่อย
ไปตามยถากรรม แล้วที่บอกว่าประเมินไดเ้ นี่ยเราประเมนิ จาก 4 ประการน้ีค่ะ เขาย่อยมันออกมากลายเปน็
เซเวน่ วันเดอรข์ องการเขียนงานวิชาการรับใช้สังคม

อันแรกเลย คือถ้าจะทำงานวิชาการรับใช้สังคม โจทย์มันจะต้องมาจากชุมชน แล้วเป็นเวลาที่
นักวิชาการไปบอกวา่ ช่องว่างทางวิชาการน้ีต้องเติมเตม็ ด้วยฉัน ต้องขบั เคลื่อนต้องสังเคราะห์บางอย่างแล้วใส่
ลงไปในช่องว่างนั้น เพื่อท้งั ระบบมนั จะได้รันได้ คือเรามีใจแล้วเราก็เห็นเหตุปัจจยั หลายๆ อย่างที่ทำให้เร่ืองนี้
ไปได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นน่ะคือความท้าทายนั้นมันต้องมาจากชุมชน มันต้องมาจากสังคม ไม่ใช่มาจากการที่
นักวชิ าการลงไปแลว้ ชี้วา่ ท่ีนีป่ ่วย ถา้ โจทย์มาจากชุมชนก็แปลวา่ เราเข้าใกล้องคป์ ระกอบของการเป็นวิชาการ
รับใชส้ ังคมไปอีกข้นั นงึ แล้วนะคะ ในเรอื่ งของชุมชนพน้ื ที่ เรามักจะยดึ ตดิ กบั กรอบพืน้ ทท่ี างภูมศิ าสตร์ ถ้าเรา
ทำงานโดยที่ไม่ได้ติดกับกรอบพื้นที่ โอกาสของการเข้าไปทำงานในประเด็นที่หลากหลายขึ้นมันก็จะเกิด
อยา่ งเชน่ เรามองถึงชมุ ชนในมิติอน่ื ๆ เช่น ชุมชนผมู้ คี วามหลากหลายทางเพศหรอื วา่ ชุมชนคนไร้บ้านหรือกลุ่ม
คนทีเ่ ขากำลงั เผชิญความทา้ ทาย แลว้ ก็ใชก้ ารสอ่ื สารการพฒั นาเพื่อใหส้ งั คมขา้ มผา่ นความทา้ ทาย มันก็เลยเรมิ่
ที่จดุ นี้ตรงทีเ่ ราดไี ซน์ได้วา่ เรากำลังทำงานกับใคร ทา่ ทีของการการคดิ เพอ่ื การพฒั นาเนีย่ เวลามีปัญหาแล้วมัน
ไม่ทำใหใ้ หช้ มุ ชนนัน้ ลม่ สลายไป แล้วถ้าเมื่อไหร่ที่ขา้ มผ่านมาได้ คือเขาจะเหมือนมีพลงั บางอย่างข้ึนมา แล้วก็
ได้รับคำตอบว่าเขาสามารถสามารถผ่านเรื่องนั้นมาได้ค่ะ ดังนั้น ถ้าจะว่าไปมันเหมือนกับการทำให้แข็งแรง
แล้วก็ชมุ ชนท่ีไมม่ ีปญั หาอะไรเลยเนี่ยคอื ไมใ่ ช่สญั ญาณท่ดี ี คอื ทกุ ๆ ท่ีกน็ า่ จะมคี วามทา้ ทายในแบบของเขาเอง
การท่ีไมม่ ีปัญหาอะไรเลยมนั อาจจะแสดงว่าเขาไม่ได้เชื่อมโยงกันอยา่ งแทจ้ รงิ กค็ ือตา่ งคนตา่ งอยนู่ ะคะ แล้วก็
ไม่มีการสื่อสาร แล้วก็ไม่มีมิติของการเป็นชุมชนอย่างชัดเจน ขอชวนดูคำว่าปัญหาชุมชนที่แปลว่า
Community Work out เนี่ย คือในเวลาที่เราเข้าไปไปร่วมงานกับชุมชน สิ่งที่เราทำคืออย่างนี้ค่ะ คือทำให้
ชุมชนได้ใช้สิ่งที่ตวั เองมใี ห้เข้าไปถึงศักยภาพทีแ่ ท้จริง เข้าถึงความสามารถที่ซอ่ นอยู่ เข้าถึงกำลังการผลิตท่ี
ตัวเองก่อนหน้านี้ไม่รู้นะคะ แล้วก็บทบาทของการทำงานวิชาการรับใช้สังคมอีกอย่างนึงคือ มันเป็นการหา
ความเป็นไปได้ให้กับปัญหาที่ไม่มคี ำตอบ แล้วก็สิ่งที่ต่างจากงานวิชาการกระแสหลักคือว่า เราให้น้ำหนกั กับ
ผู้คน เราให้นำ้ หนักกับการประสานประโยชน์ ดังนั้น เราจะไม่มีกลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคุม จะไมม่ อี ินเนอร์
ชนิดว่าเราตัดโอกาสของคนกลุ่มน้ีไว้ก่อน เราให้ Treatment เป็นแบบนีจ้ ำกัดเท่านี้ก็พอค่ะ เพราะว่าในงาน
วิชาการรับใช้สังคม เราตั้งใจจะทำทุกอย่างที่องค์ความรู้จะเข้าไปอุดหนุนเสริมให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องได้รับ
ประโยชน์จากสิ่งที่กำลงั ทำด้วยทุนท่ีตัวเองมี ด้วยความสามารถในการเชื่อมโยงต่างๆ หาพลังทีอ่ ยู่นอกเหนอื
ขอบเขตปกติ แล้วก็นำสิ่งนั้นเข้ามาขับเคล่ือน แล้วก็สิ่งที่สำคญั ในงานแบบนี้คอื ไม่ใช่ความรู้ขึน้ หิ้งคะ่ แต่เปน็
ความรทู้ ีม่ ผี ลในทางปฏบิ ัตทิ ันที แลว้ ก็มนั ไมใ่ ช่แคโ่ นฮาวอ่ะคะ่ แตม่ นั เป็นองค์ความรทู้ ่ีข้ามข้อจำกัดของ Beta
ของ Information ของ Noted คนทเ่ี กยี่ วข้องจะรวู้ ่าเมื่อไหร่ทจี่ ะตอ้ งทำอะไร แลว้ ก็รู้ว่าองค์ความรู้แบบนี้มัน
มีประโยชนใ์ นการเอาไปใช้ แล้วในการใชเ้ ปน็ ไปเพ่ือแก้ปัญหา หรือวา่ เปน็ ไปเพื่อหาโอกาสใหม่ แลว้ หากว่ามัน
ไม่มีมติ ขิ อง Engagement คือไม่มกี ารมสี ว่ นร่วมแลว้ ก็ไมม่ ีแนวคดิ ของอนิ คลซู ฟี มันกจ็ ะแปลกแยก สงิ่ นที้ ำให้

28

ทำให้แนวคิดของวิชาการรับใช้สังคมเกิดข้ึนได้กับนักวิชาการไม่จำกัดสาขานะคะ คนที่ทำงานวิชาการรับใช้
สงั คม หมายถึงวา่ เขาเอาองคค์ วามรเู้ ขา้ ไปหนุนเสรมิ การพฒั นาในชุมชนในสงั คมหรอื ว่าในพ้นื ท่ีใดๆ กบั กลมุ่ คน
ใดๆ ท่เี ห็นปัญหาและเหน็ โอกาสนะคะ อาจารย์แตล่ ะท่านมองเหน็ ตวั เองในฐานะสว่ นหน่งึ ของสงั คมไหม คอื ถ้า
มองเห็นแลว้ กเ็ ข้าถึงตลาดในการใชค้ วามรู้ทตี่ วั เองพอมี แล้วรู้สกึ วา่ โชคดที ่ีรเู้ รือ่ งน้ี ก็เลยจะเปน็ คนทส่ี ามารถไป
รว่ มขับเคลอ่ื นได้ อนั นน้ั แหละจะพาพานักวิชาการทา่ นนน้ั ะเขา้ ไปเป็นนกั วชิ าการรบั ใช้สงั คม แล้วสาระสำคัญก็
คอื อยา่ ทิ้งวิชาการ อยา่ ให้วชิ าการหายไป การทำงานน้นั เปน็ ไปเพ่อื การเสียสละเป็นหลกั แลว้ คราวนใี้ นเวลาที่
เราทำงานวิชาการรับใช้สังคม เราจะต้องใช้ผลงานเป็นส่วนหน่ึงของการขอตำแหน่งทางวชิ าการ และการขอ
ตำแหน่งเดี๋ยวนี้มีโอกาสมากขึ้น ก็คือว่ามีงานวิชาการในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการวิจัยแล้วก็ตำราอยู่
หลายงานนะคะ งานวชิ าการเพื่อทอ้ งถนิ่ และสังคมกเ็ ปน็ หน่ึงในนน้ั ดว้ ย

ในเวลาทเี่ ราเขียน ตอนจะเขยี นก็ไม่รวู้ ่าจะเขียนยังไง มันยากตรงนคี้ ่ะ ขอชวนมองอย่างนี้ว่าถ้าเราเร่ิม
เขียนด้วยกัน เราไปทำงานกบั ชุมชนกับสังคม ถามว่ามีคนถามเราว่าเราทำเพ่ืออะไร แล้วเราบอกว่าเราอยาก
เห็น จดุ น้มี นั ไมพ่ อคะ่ เพราะการอยากเห็น มนั เปน็ คำตอบทต่ี อบสนองความต้องการส่วนบุคคลของเราเทา่ นั้น
เห็นแลว้ ก็จบกนั พอเห็นแลว้ มนั ไม่มีอะไรต่อจากนั้นค่ะ ดังนั้น 7 ข้อก็คือการรวบรวมหลักการต่างๆ กับการ
ทำงานแลว้ กท็ ำออกมาใหเ้ ปน็ รูปแบบ เพ่ือจะไดเ้ หน็ เป็นรปู ธรรมวา่ เราไมข่ าดองคป์ ระกอบใด มคี นถามเสมอ
นะคะว่าเขียนยังไง ตอนแรกก็ต้องปรับปุ่มหาคุณสมบัติทุกอย่างว่าฉันจะต้องทำงานแบบไหนบ้างเนี่ย คือ
ทำงานมาพอสมควรแล้วก็ไม่ไดเ้ ขียนไว้เลยค่ะ ไม่ได้รวบรวมใดๆ ไว้ แลว้ มีคนถามว่าทำไมไม่เขียนไว้ คือเราไม่มี
เวลาเพราะว่าเราได้แต่ทำงานไปขา้ งหน้านะคะ จะบอกว่าไม่ต้องเป็นอาจารย์ ไม่ต้องเป็นนักวชิ าการ ไปเป็น
NGO เลยนะคะ เพราะว่า NGO ทำงานไปข้างหน้า พอเสร็จงานแลว้ ก็ทำ Report เสรจ็ ก็ไปทำงานอืน่ ตอ่ แต่
วา่ ถา้ เปน็ นกั วิชาการ จะท้ิงโอกาสในการใหพ้ น่ี ้องเพอ่ื นฝงู ได้เรยี นร้จู ากสิ่งท่ที ำมา จะทิง้ โอกาสนไ้ี ปเหรอคะ อัน
นี้มนั เป็นหน้าทหี่ นึ่งของนักวชิ าการเพราะว่าการเขียนทำให้เราไดต้ กผลกึ ว่าเราผ่านอะไรมาบา้ ง แล้วเคร่ืองมือ
ทเ่ี ราเคยได้พัฒนามามันอาจจะมคี วามสามารถในการเอาไปตอ่ ยอดอืน่ ๆ กไ็ ด้นะคะ แล้วก็ประสบการณเ์ รียกวา่
ประสบการณม์ อื หน่ึงอะ่ ค่ะ มันเปน็ Direct Experience ซ่ึงถา้ ฟงั ประสบการณข์ องคนอนื่ มันกไ็ ม่มที างรู้สึกได้
แบบทเี่ ราไปจบั มาเอง ความรสู้ ึกเข้มข้นของการเรยี นรเู้ นี่ยมนั เปน็ ประสบการณ์ทถี่ า้ เราเอามาจัดกระทำตรงนน้ั
มนั จะกลายเปน็ สงิ่ ต่อขยายขององคค์ วามรูท้ มี่ ี เพราะเรากม็ แี นวโน้มทีจ่ ะมองเรื่องราวดว้ ยศาสตร์ทเี่ ป็นพ้ืนฐาน
ทางความคิดความรู้ของเราอยู่แล้วนะคะ แล้วเราได้อาหารใจนะว่าสิ่งที่เราหนุนเสริมคนอื่นมันมาสร้าง
ประโยชน์กับตัวเราเองด้วย ซึ่งข้อนอ้ี ยากเน้นว่า เราทำงานมาเราควรจะไดเ้ อามาตกผลกึ แลว้ กเ็ อามาตอบให้
ได้หลายๆ โจทย์นะคะ แล้วมันยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกว่า คนที่อ่านงานของเราเนี่ยก็จะได้เรียนรู้จาก
ประสบการณ์ของเรา มนั เปน็ การเปลีย่ นโลกทัศนข์ องคนอื่นด้วยโลกทศั นข์ องเรา ขยายมุมมองใหค้ นอ่ืนด้วยสงิ่
ที่เราไดเ้ หน็ มาก่อน แล้วก็เขาไม่จำเป็นจะตอ้ งไปเจบ็ จริงก็ได้เรยี นร้จู ากบาดแผลของเรา แล้วก็การท่ีเรามีงาน
ออกมาแบบน้ี มนั ทำให้คนทีท่ ำงานในสาขานั้นได้รับองคค์ วามร้หู รอื ว่าไดเ้ ห็นแบบอย่างที่เราไปทำงานมา คือ
จะบอกว่าเราสร้างแรงบนั ดาลใจมันก็ไม่ขนาดนั้น เป็นเพราะวา่ คนอื่นสร้างแรงบันดาลใจให้เรา แล้วเราก็เอา
ตรงนั้นเข้ามาเป็นพลัง ซึ่งมันสะท้อนว่าแรงบันดาลใจส่งผ่านให้กนั และกัน มันกลายเป็นพลังบางอยา่ งค่ะ ซงึ่
มนั ต้องมจี ุดเริ่มต้นมาจาก Content บางอยา่ ง แลว้ การเขยี นงานวชิ าการรับใช้สังคมในขณะนีม้ นั น่าจะเป็นจุด
หนึ่งที่สามารถจะสร้างมุมมองของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ และข้อที่สำคัญเลยคือเราได้เห็นงานของ
เพื่อนๆ นักวชิ าการที่หลากหลาย มันเกิด Ecology ของงานรับใช้สงั คมขึ้นมา ท้ังเห็นว่างานในลักษณะน้ีมีใคร

29

ทำบ้าง งานในแบบนี้มีใครสนใจ หรือความท้าทายในแบบนี้มันปรากฏอยู่ในที่ไหนบ้างนั่นเองนะคะ แล้วก็
คุณค่าของวชิ าการกจ็ ะไดเ้ ตบิ โต

มีความสงสยั บอ่ ยๆ นะคะวา่ เราทำงานวิจยั มาแล้วเนี่ย สามารถใช้เปน็ งานวชิ าการรบั ใช้สังคมได้ไหม
การบรกิ ารวิชาการอนั น้ถี ือว่าเป็นงานวิชาการรบั ใชส้ งั คมได้เลยหรือเปล่า ก็จะบอกวา่ มันคล้ายๆ กนั จะต้องมี
คุณค่าของวิชาการ ซึ่งหลายครั้งที่เราจะพบว่าโครงสร้างวิธีคิดแบบการวิจัยที่มีการตั้งโจทย์ปัญหา มีการ
กำหนดวตั ถุประสงค์ การกำหนด Methodology ซง่ึ ในทางการทำงานมนั ก็คอื ทรีทเมน้ ทน์ ะคะ แลว้ ก็การระบุ
ผู้ที่เกย่ี วขอ้ งแลว้ ก็การวดั ผลและการอภปิ รายเนยี่ คือมันใกล้เคยี งกันมาก ดังนัน้ ในงานวจิ ัยท่เี ป็นงานวิจัยเพ่ือ
ท้องถน่ิ และสงั คมเนยี่ ก็เปน็ รูปแบบนึงทใ่ี ช้กระบวนการคิดแบบงานวจิ ัยเข้ามาจับในงาน และเราจำเป็นต้อง
ตอ้ งมีองค์ประกอบใหไ้ ด้ทงั้ 7 ข้อซ่ึงจะเอามาช้ีให้ดนู ะคะ 7 ข้อนีท้ เี่ ราจะเอามาทำงานงานเขยี นเพือ่ ขอตำแหนง่
มนั มอี ยปู่ ระมาณนค้ี ะ่ ท่ีมาและความสำคญั การมสี ว่ นรว่ ม กระบวนการทที่ าํ ให้เกดิ การเปล่ยี นแปลง ความรู้ท่ี
ใช้คาดการณน์ ะคะ ทำแล้วอยากได้อะไร แล้วก็การประเมินผลลพั ธ์วัดวา่ ทำแล้วไดต้ ามน้นั ไหม อีกอันนงึ คอื ทำ
ยังไงให้คณุ ค่ามันสบื ทอดต่อเนื่องยั่งยืนต่อไปได้ ในเกณฑ์ใหม่ก็ยังมีอยู่ 7 ข้อเหมือนเดิมนะคะ แต่ว่าเปลี่ยน
ลำดบั นดิ นึงว่า การมีสว่ นรว่ มในการยอมรับของสงั คมเปา้ หมายขนึ้ ไปขา้ งบนนะคะ ดฉิ นั พยายามอธิบายแล้วว่า
หากเราอธิบายบริบท ผู้คนถึงจะตามมา ซึ่งคณะอนุกรรมการท่านก็บอกวา่ ก็เราไฮไลท์ที่คน ก็เอาคนขึ้นมา
ก่อนสิ ยงั มเี วลาเขยี น จะเขยี นยังไงกน็ ำเสนอใหไ้ ด้ทั้งประเด็น แตต่ รงน้สี ะท้อนว่าอยากใหเ้ ห็นว่าคณุ คา่ ของผู้ท่ี
เกีย่ วขอ้ งตอ้ งมาก่อน

ขออนุญาตนำเสนอให้ดูแบบครา่ วๆ ว่างานน้ที ำอะไรนะคะ เล่าย่อๆอยา่ งน้ีค่ะว่า ในพ้ืนท่ีเราเรียกว่า
ตำบลช้างเผือก เป็นที่ที่มีความท้าทายเรื่องการบริหารจัดการขยะค่อนข้างสูง เพราะว่าคนเยอะ ช้างเผือกมี
ประชากรแฝงอยูเ่ ยอะ มีทั้งแรงงานจากพี่น้องประเทศเพื่อนบ้านนะคะ แล้วก็มีนักทอ่ งเทีย่ ว ใครที่มาอย่กู ัน
แบบไมไ่ ด้มที ะเบยี นบ้านอยู่ตรงนี้ แตว่ ่าตัวอยู่ แล้วปริมาณขยะมันก็เยอะมาก วันละ 28 ตนั ความท้าทายคือ
วา่ ขยะประมาณคร่งึ นงึ มันเปน็ ของทเี่ อามารไี ซเคิลได้ แต่ว่าไมส่ ามารถรไี ซเคลิ ไดจ้ รงิ ๆ เพราะวา่ มาตรฐานของ
การคัดแยกขยะตัง้ แต่ตน้ ทาง พวกร้านอาหารในสถานประกอบการเขาจัดการได้ แต่ว่าภาคครัวเรือนไมค่ ่อย
โอเคตรงท่ีชาวบ้านบอกวา่ ทำไมถึงจะต้องแยก แยกแล้วคนเก็บขยะก็เอาไปรวมกันอยูด่ ี คนเก็บขยะก็บอกวา่
เขาแยกไมถ่ กู แลว้ มันก็ไมส่ ะอาดด้วย เพราะฉะน้นั กเ็ อามารวมกนั กอ่ น แล้วมนั มปี ัญหาอ่ืนๆ อีกเยอะ อยา่ งเช่น
คนไร้บา้ นทไ่ี ปหาของมคี า่ หรอื ของยห่ี ้อท่ีพอจะใช้ได้ในถังขยะ แลว้ เขากไ็ ปแกะทุกวันเลยค่ะ กไ็ มเ่ ปน็ ทีต่ อ้ นรับ
งานนเ้ี ราชวนคนจรงิ มันเรม่ิ มาจากปกี ่อนหน้าท่จี ะทำงาน เราชวนคนเชยี งใหม่ไปเกบ็ กวาดในพน้ื ท่ีท่ีถูกลืมนะ
คะ เราทำงานในชว่ งเข้าพรรษากเ็ ลยใชช้ ่ือโครงการว่า พรรษาอาสา แล้วในการเก็บขยะในท่ตี ่างๆ เนยี่ มันทำให้
เราได้วสั ดุรีไซเคลิ มาสว่ นนงึ ถามว่าเอาไปทำอะไรดี คอื ตอนนัน้ ไมไ่ ดใ้ ชเ้ งิน ถงุ ดำก็ไดม้ าจากเทศบาล อุปกรณ์
ทำความสะอาดก็มีผู้บริจาคใหห้ รอื ไมอ่ าสาสมคั รกเ็ อามา กเ็ ก็บขยะมาไดแ้ ลว้ พบวา่ ขยะที่เป็นวัสดุรีไซเคิลเนี่ย
เราให้ชาวบ้านเขาไปแลว้ ก็เอาไปขาย ปตี อ่ มาเนยี่ เราใชว้ ิธคี ดิ แบบน้เี อามาทำงานในเชิงพน้ื ทที่ ช่ี ้างเผอื กคะ่ แลว้
เราตกผลึกโจทย์มาด้วยอันนึงว่า ขยะไม่เข้ากระบวนการรีไซเคิลเพราะว่าชาวบ้านไม่แยกขยะ เราก็เลยได้
แนวคิดว่าในพื้นทีน่ ี้มีทุน ก็คือทุนทางความเชื่อ ก็คือคนที่ช้างเผือกยังศรัทธาในพระพุทธศาสนา และวัดเจด็
ยอดมีบทบาทสำคัญทั้งในเรือ่ งประวัติศาสตร์แล้วก็ความสมั พันธ์ร่วมสมัยในชุมชน คือชาวบ้านก็ยังไปวดั อยู่
เราก็เลยนิมนต์พระเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งนะคะ เรากราบนิมนต์ให้ท่านมาเป็นเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการ
ขับเคลือ่ นกก็ ลายเป็นงานช้นิ น้ีขึน้ มา

30

เมื่อก๊ีนีเ้ ป็นตวั อยา่ งของของงานงานผา้ ป่านะคะ ทใ่ี ช้ยนื่ ขอตำแหน่งวชิ าการ งานน้ีมี 7 ขอ้ นะคะ 7 ข้อ
นี้อยู่ใน 5 บทว่า บริบทของชมุ ชน ชุมชนน้ีเปน็ มายังไงทำไมทำในสง่ิ น้ี แลว้ กป็ ญั หาหรือความท้าทายของชมุ ชน
นี้ เพราะฉะน้นั ในข้อแรกเนยี่ คำแนะนำคือขอให้พวกเรามองว่าทำไมถึงมาทำนะคะ ถ้าตอบคำถามวา่ Why ให้
ได้เนย่ี เราจะเหน็ คณุ คา่ แล้วก็เห็นความจำเป็น พวกเราสว่ นใหญม่ ักจะตอบคำถามว่า What กอ่ นนะคะ บอก
ว่าเราทำอะไรเน่ยี คอื คนฟังหรือว่าคนท่ีกำลงั มองอยู่ก็ยังไม่เหน็ วา่ เราทำไปทำไม เมื่อเราบอกความจำเป็นบอก
ความท้าทายตรงนี้มันเป็นการตอบประกอบในข้อแรกนะคะถงึ ทีม่ าและความสำคัญ ในข้อ 1 เราเขียนสภาพ
เป็นอยคู่ อื ของ ณ เวลาน้ัน พอระบปุ ัญหาชวี ติ ความเกี่ยวขอ้ งก็สามารถไปขอ้ อนื่ ตอ่ ได้ แลว้ ข้อนสี้ ำคญั ตรงทเ่ี รา
จำเป็นต้องเก็บตวั เลขต่างๆ เก็บสภาพตา่ งๆ เพราะมนั จะถกู ใช้อกี คร้งั

ข้อที่ 2 คือการมีส่วนร่วมและการยอมรับของสังคมเปา้ หมาย มันหมายถึงผูค้ นที่อยูใ่ นนี้มใี ครทีเ่ ก่ียวข้องบา้ ง
คนทีเ่ ราทำงานดว้ ยในหน้างานมใี ครเป็นสเตคโฮลเดอร์ เพราะว่าส่ิงที่เกยี่ วกับใครแลว้ เราจะตดั เขาท้ิงไปมันไม่
ถกู แล้วก็ในการประสานประโยชน์ต่างๆ ในการสรา้ งแรงจงู ใจมันตอ้ งรู้วา่ Motivation ของเขาคอื อะไร หาก
ว่าตอบโจทย์ได้ว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ที่ทำให้คนกลุ่มนี้ข้ามผ่านปัญหาที่ระบุไว้ในข้อ 1 วันนี้เราเริ่มมาได้อกี
หน่อยนงึ แล้ว โจทย์มันมาจากชุมชน และชุมชนทีไ่ ม่ใช่พื้นทีแ่ ต่เปน็ คน ดังนั้นข้อที่ 2 ที่บอกว่าการมีส่วนร่วม
และการยอมรบั คอื เราจำเป็นต้องแสดงให้เหน็ พาร์ทเนอรช์ พิ ท่อี ยู่ในงานเรา เหน็ สเตคโฮลเดอร์ แลว้ ก็เห็นเห็น
Motivation ของคนที่อยู่ในนี้ แล้วคำสำคญั และคณุ คา่ ท่ีจำเป็นจะตอ้ งมีคอื การเรยี นรู้ เอามาทาบรวมกันให้ดู
อยา่ งน้ีค่ะว่าขอ้ แรกเน่ียเลา่ มาว่าช้างเผือกมพี ้ืนท่อี ยปู่ ระมาณ 6 ตารางกโิ ลเมตรกวา่ ๆ เท่านั้นเองนะคะ แต่ว่า
คนเยอะคอื เกือบ 20 หลงั คาเรือน แล้วกเ็ ปน็ ย่านเศรษฐกิจ ก็เลยนำความทา้ ทายต่างๆ มาเยอะมาก มีปรมิ าณ
ขยะต้ังวนั ละ 28 ตัน คอื จรงิ ๆ ควรจะ Recycle แตท่ ำตามนน้ั ไมไ่ ด้ การแกป้ ญั หาอันนงึ ท่เี ปน็ ทางออกท่ถี ามวา่
เทศบาลทำยงั ไง มที ั้งแบบวา่ เพิม่ จำนวนถงั ขยะ แต่สุดทา้ ยกต็ าม Content มันจะเหมือนกนั ไปหมดเลยนะคะ
เพราะว่าก็ไม่มีการแยกขยะ เราเลยเริ่มจากการการประชุม ณ ที่ประชุมหมู่บ้าน แล้วก็อาศัยพลังจากการ
ดำเนนิ งานก่อนหน้านี้ ก็คอื โครงการทำสะอาด พวกเราทุกคนเรียกตวั เองวา่ เครือขา่ ยเชยี งใหม่ปลอดขยะ แล้ว
ก็มีนักขับเคลื่อนสังคม มีคนในชุมชนมี มีพี่ๆ น้องๆ จากเทศบาลแล้วก็พวกเราก็ไป ตกลงถอดรหัสมาได้วา่
ศรัทธาเปน็ ทนุ นึงของชุมชน แล้วกเ็ ราก็กำหนดไว้ว่า เราทำผ้าป่าขยะไปเพื่อสงิ่ นี้ ท้ังลดปริมาณมลู ฝอย ทง้ั สรา้ ง
กลไกการมีสว่ นร่วมแล้วก็สนับสนุนประชาชนในการรักษาความสะอาด แล้วก็ตั้งระบบบริหารจัดการ มันจะ
กลายเปน็ หวั ขอ้ สำหรับการประเมนิ วา่ เราบรรลวุ ัตถุประสงค์ของการทำงานนัน้ หรอื ไม่

มาถึงข้อ 3 เขาจะให้เราเสนอว่ากระบวนการอะไรที่เราทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ อันนี้เป็น
วิธีการที่นักวิชาการที่สนใจก็จะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ ได้เห็นตัวอย่างว่าเวลาทำด้วยศาสตรส์ าขานั้นๆ
และมีทรีทเม้นท์แบบนั้น คือได้ผลออกมาเป็นยังไงบ้าง แล้วก็วิธีที่ใช้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเนี่ยขอให้
อาจารย์เล่าว่าจะทำอะไร เพราะว่าในการบอกว่าเราไปสอนอย่างเดียวเนี่ย มันบอกไม่ได้ชัดเจนอ่ะค่ะ ทำ
อะไรบ้างเริ่มยังไง แล้วทำอะไรต่ออีก วิธีที่ใช้เนี่ยมันจะเชื่อมโยงไปกับผู้คนนะคะในข้อก่อนหน้าน้ี แล้วบอก
บทบาทของแต่ละคน แลว้ เราจะเห็นว่านักวิชาการมีสถานะเปน็ อะไร เป็น Co-creator หรอื ว่าเป็นจุดเชือ่ มซึ่ง
แต่ละอันเนี่ยคือมันมี Dynamic ไม่เหมือนกันนะคะ ในการบอกเล่าวิธีการเนี่ย มันจะทำให้เราได้เรียนรู้
ปรับปรงุ การเดนิ ตอ่ กระบวนการนะคะอนั นเ้ี อามาใหด้ ูเลน่ ๆ โดยปกตใิ บฎีกาผา้ ป่าเนี่ยเราจะเหน็ ว่าขอเชญิ รว่ ม
บุญอย่างเดยี วใชไ่ หมคะ แล้วเปน็ กระดาษสเี ดยี ว เราทำเปน็ แบบน้ีค่ะ แบบพธิ ีเปิดโครงการแลว้ ก็ขอเชิญมารว่ ม
บญุ นะคะ นิมนต์พระแล้วออกประชาสมั พันธ์ตามหมบู่ า้ น ออกรวบรวมขยะแล้วก็ทำการคดั แยก เพราะฉะน้ัน

31

คนท่เี ก่ยี วขอ้ งมพี ระคณุ เจ้า มเี จา้ หน้าทีเ่ ทศบาล มีอาสาสมัคร มี NGO แลว้ ก็มีเครอื ขา่ ยคนไรบ้ ้านที่เขา้ มารว่ ม
ในงานน้ี พระคุณเจ้าเรานิมนต์ท่านขึ้นรถไป แล้วท่านก็จะออกเสียง เอาเคร่ืองเสยี งขึ้นไปบนหลังคารถแลว้ ก็
ออกเสยี งแบบเจรญิ พรอาตมาภาพมาจากวัดนี้ ตอนนน้ั ทา่ นมาจากวัดพระธาตุดอยสะเก็ด อาตมาภาพมาจาก
วัดพระธาตุดอยสะเกด็ ขอบณิ ฑบาตขยะรไี ซเคิล แลว้ กพ็ อไดม้ าแลว้ ก็เอามาคัดแยก แล้วผู้ทเี่ ปน็ หัวเรือใหญ่ของ
การคดั แยกคือ พ่ๆี เครอื ข่ายคนไรบ้ ้านนะคะ มอี งค์ความร้ขู ้ันสงู ในการคัดแยกวัสดุรีไซเคิล บอกเราไดอ้ ย่างชดั
เลยว่าขวดยาคลู ทอ์ ยา่ มาวางอย่ดู ้วยกนั จะกลายเปน็ พลาสติกหลอมรวมทันที และขวดใสจะไดร้ าคาดขี ึน้ หาก
ว่าตดั ปากขวดออกแล้วกด็ ึงสลักออกด้วยอย่างนี้คะ่ เหน็ ชัดเลยวา่ ผลิตภณั ฑ์ของเราสงู ข้ึนด้วยองค์ความรู้ของ
ท่านเหล่านีน้ ะคะ พอเราเก็บขยะได้แล้วก็เอาไปขาย แล้วพอขายเนี่ยคือขายให้กับร้านวัสดุรีไซเคิลในชุมชน
เพราะว่าเราไม่ไดอ้ ยากทิ้งใครทั้งสิน้ นะคะ คือต่อให้เขารบั ซ้ือในราคาที่ไม่เท่ากับท่ีอื่น ไม่เท่ากับเจ้าใหญ่ๆ ก็
ขายให้เขา เพราะว่าเราจะขา้ มใครไปไม่ไดน้ ะคะ และทั้งชุมชนนีค้ ือเราทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม แล้วเวลาขาย
แล้วเน่ีย พอได้เงินมามาจำนวนนึงนะคะพระท่านก็เมตตาให้กับชุมชน คณะทำงานก็ให้เงนิ นี้ไว้กับชุมชน เรา
ไม่ไดก้ ำหนดว่าเงนิ น้ีจะเอาไปทำอะไร จะไว้เปน็ กองทนุ สภาพแวดล้อมชุมชนหรืออะไรก็แลว้ แต่ แต่ทีแ่ น่ๆ คือ
อยากให้ชุมชนเหน็ ว่านีค่ อื เงินที่เขาเก็บมาจากกองขยะนะคะ

มาถึงข้อ 4 ที่เป็นข้อทีพ่ วกเราติดลมกันบอ่ ยนะคะ คือข้อทีว่ ่าด้วยความรู้ท่ีใชใ้ นงาน คือบางทา่ นจะ
ลำบากใจที่จะระบุ เพราะวา่ ไม่แน่ใจว่าตกลงตัวเองใช้ความรู้อะไร แนะนำอยา่ งนี้ ด้วยองค์ความรู้อะไร ด้วย
วิชาอะไร ด้วยความเชี่ยวชาญอันไหนท่ีกำหนดความรูท้ ่ีใช้ในงาน เพราะว่านี่จะเป็นชิ้นงานวิชาการที่บอกวา่
อาจารยม์ ีความเชี่ยวชาญในศาสตร์น้ันมากพอที่จะไดร้ บั ตำแหนง่ ความเช่ียวชาญ เวลาเราทำงานแบบมหี ลักอิง
ในการทำงานมันทำให้คุณค่าทางวิชาการมาปรากฏตรงนีน้ ะคะ แล้วก็คำถามที่ขอแนะนำคือว่าอาจารย์ลอง
ตอบดูว่าอาจารยม์ ีอะไรมาหรือไม่ มาทำเรื่องนีห้ รอื ว่าความรูเ้ ร่ืองอะไรที่เป็นจ๊ิกซอว์ที่จำเป็นต้องใช้ในงานนี้
ภาพความหมายมนั ถงึ เกดิ ได้นะคะ ตัวนี้แหละทเ่ี ป็นข้อสำคัญที่สดุ ทที่ ำให้ใหต้ วั ตนทางวิชาการของเราไดร้ บั การ
แสดงออกมานะคะ

ข้อ 5 คือคาดการณก์ ารเปลี่ยนแปลง เวลาทีท่ ำงานไปแล้วเน่ีย เร่งผลใหไ้ ดถ้ ึงไหน ผลท่ีคาดการณ์ไว้
หรือว่าสง่ิ ท่ตี ้งั เป้าหมายไวม้ ันเป็นแบบน้ีคะ่ เราเล็งไว้ว่าจะเกดิ อะไรแลว้ เราใช้ตรงน้ีในการประเมนิ KPI ต่างๆ
ในการประเมนิ ของอาจารย์ย้อนกลบั ไปดูข้อ 1 อีกสักครั้งหน่ึงว่า ในข้อ 1 เราทำอะไรมา ก่อนทีเ่ ราจะเขา้ ไป
ทำงาน สภาพเปน็ อยา่ งไรแล้วเวลาท่เี ปลีย่ นไปแล้วเปน็ อย่างไร

ขอ้ 6 ในการประเมนิ ผลลพั ธแ์ ล้วบอกให้ไดท้ ้ัง 3 ระดบั วา่ output คืออะไร แล้วพอมันไดง้ านออกมา
เป็นชิ้นๆ เราสามารถจะหยิบผลัดกันชมกับเพื่อนได้ มันคือผลที่งอกงาม แล้วก็ส่วน Impact เนี่ยมันไปอีกขัน้
หนึ่งกค็ ือรอยยิ้มของเรามันไปปรากฏท่ีมุมปากของคนอ่ืน คือสิ่งดอี ันเกิดข้ึนแล้วส่ิงท่ีเราทำมันกลายเป็นเหตุ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดคุณค่าอ่ืนๆ ในคนที่เกี่ยวข้องนะคะ ในกรณีนี้แสดงให้เหน็ เปน็ ในเชิงปรมิ าณนิดนงึ ก็คือวา่
ตอนทีเ่ ราเกบ็ ขยะ พอมพี คี่ นไร้บ้านเข้ามา คือเขาสร้างการเปลีย่ นแปลงสูงมากนะคะ เราไดข้ องมาแบบไม่มาก
เทา่ ไหร่แต่วา่ เราไดเ้ งินมากกว่าของทีเ่ ก็บมาเสมอ เรานำเสนอต่อไปอีกนิดนงึ ว่าใครไดอ้ ะไรในงานนี้บ้างนะคะ
แล้วกจ็ ะเห็นผคู้ นแลว้ ก็เหน็ เหตผุ ลทีเ่ ราเขา้ มารวมกัน

ในขอ้ สุดท้ายวา่ ด้วยแนวทางการติดตามและธำรงรักษาพัฒนาการ ซงึ่ หมายความวา่ ถ้าอาจารย์ไม่อยู่
ตรงนน้ั แลว้ งานน้ีมนั จะล้มไหม คุณค่าน่ีมนั จะหายไปไหม ถ้ามนั ไม่หายไป มันไม่หายไปดว้ ยอะไร แลว้ ก็ขอ้ มูล

32

อันนี้เนี่ยมันสะท้อนว่าตัวนักวิชาการที่เข้าไปทำงานน่ะ เราพร้อมที่จะสละเรอื หรือว่าเราสนใจทีจ่ ะทำงานนน้ั
จริงๆ เราสนใจที่จะสร้างโอกาสใหก้ ับคน เราสนใจทีจ่ ะไปเชื่อมโยงองค์ความรู้ของเราแลว้ ก็พัฒนาตัวเองไป
รว่ มกบั คนในชมุ ชนน้ันๆ หรือเราแคอ่ ยากร้อู ะไรบางอย่าง เสร็จแล้วพอเราไดค้ ำตอบของเราแล้วเราก็ออกมา
ซึง่ ตรงนีเ้ ปน็ จดุ ท่สี รา้ งความแตกต่างนั่นเองนะคะ

7 ข้อน้ีคะ่ หากว่าจะตอ้ งเขยี นเมอ่ื ไหร่ ใหล้ องทำเป็น One Page Summary ดู ถ้านกึ ไมอ่ อกวา่ เราจะ
ตอบโจทย์ตวั เองยงั ไงให้ไดท้ ้งั 7 ลองเอา 7 ข้อมากางดู แลว้ กล็ องดซู วิ า่ เราตอบไดท้ ัง้ หมดไหม ถ้าเมอ่ื ไหร่เรายงั
ตอบได้ไม่ชัดเจนคือโฟกัสของเรามนั ยังไม่คม แลว้ เรายงั ตอ้ งอธบิ ายต่อ มันสะทอ้ นอยวู่ ่าเราอาจจะจำเป็นต้อง
ใช้เวลาในการตกผลึกอีกนิดนึง ดังนั้นในเวลาที่เขียนงานอาจจะใช้อันนี้เป็นเครื่องมือว่าเราสรุปความ สรุป
ขอ้ มูลแลว้ ก็สรปุ สถานการณ์ สรปุ ความคิดเห็นตา่ งๆ ออกมาให้ไดแ้ บบสน้ั ๆ อันน้ีเป็นเปน็ คำแนะนำเล็กๆนอ้ ยๆ
ท่ฝี ากให้ เผอ่ื วา่ พี่ๆ น้องๆ จะใช้ประโยชนต์ ่อนะคะ แล้วกม็ ีคำแนะนำอกี นิด เวลาเขยี นเรามักจะมองว่า 7 ขอ้ น้ี
เป็น Template ใช่ไหมคะ ว่าเติมคำในช่องว่าง แต่การที่เราเตมิ คำในช่องว่างแบบนั้นน่ะ มันทำให้ความคดิ
ของเรามันไมค่ อ่ ยอิสระ มันจะติดกรอบ เพราะฉะนนั้ ขอให้ใช้เป็นไกด์ไลน์แทน แล้วก็ใช้ 7 ข้อน้ใี ห้เหมือนเป็น
Structure อ่ะค่ะ วา่ เราจะมีเนอ้ื หาครอบคลมุ ไม่ต่ำกวา่ สิง่ นีน้ ะคะ

33

ครั้งที่ 3
เลา่ เร่อื ง (พธุ ท่ี 2 กุมภาพนั ธ์ 2565)
วทิ ยากร: ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. อลิชา ตรีโรจนานนท์

คณะการส่อื สารมวลชน มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่
อาจารย์นฤมล วันทนีย์
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละนเิ ทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายพั

อาจารย์นฤมล: คือตอนแรกกม็ าคดิ ว่าท่ีเราทำมาน้นั มันกเ็ ปน็ เรอื่ งของการบรกิ ารวชิ าการตามความเข้าใจนะ
คะ จนกระทัง่ มาฟงั เนยี่ ก็เลยไม่แน่ใจวา่ ของเรามนั จะไปไดถ้ ึงขั้นไหน ท่ีทำอยเู่ นีย่ มันช่ือโครงการว่า Spark U
ขอเล่าย้อนไปนิดนึงว่า Spark U เป็นโครงการท่ี 2 Concept ของโครงการสปาร์คยูมีอยู่ 3 คำก็คือ ภูมิดี ภูมิ
ปญั ญานะคะ แล้วก็พ้ืนทด่ี ี แลว้ กส็ อ่ื ดี ใน 1 พืน้ ที่เน่ียมนั อาจจะไมไ่ ดค้ รบทัง้ 3 ด้าน แต่วา่ มันอาจจะเร่ิมต้นท่ี
ภูมิดเี เลว้ มาพฒั นาให้เปน็ พื้นที่ แลว้ ก็มีการส่ือสารเลยนะคะ เราคยุ กนั ต้ังแตป่ ลายปี 2559 นะคะ โดยที่เราทำ
อยู่ใน 3 ภูมิภาค กค็ ือภาคใต้ ภาคเหนอื และภาคอีสาน ผรู้ ับทนุ คนละกลมุ่ กนั นะคะ ใช้ Concept ร่วมแต่ว่า
ไม่ได้เกยี่ วขอ้ งอะไรกัน ต่างคนต่างทำนะคะ เราทำในปแี รกคอื ปี 60 เราทำในชื่อว่า Spark U เชียงใหม่นะคะ
ในทมี กจ็ ะมที ั้งภาคประชาสังคม มีทง้ั CDC แลว้ ก็มีทัง้ สอ่ื นะคะ เรากท็ ำอยใู่ น 5 จังหวดั นะคะ แต่เบสของเรา
เนี่ยก็ยังทำเยอะอย่ทู เี่ ชยี งใหม่ เพราะว่าCore Team ของเรากอ็ ยู่ท่เี ชียงใหมน่ ะคะ ระยะเวลาของโครงการเนย่ี
ไมไ่ ดบ้ อกวา่ เราจะใหท้ ุนคุณทำนานแค่ไหน มนั เปน็ ลักษณะเหมอื นวา่ เราไมไ่ ด้ไปขอทุน การหาผ้รู ับทนุ กค็ ือหา
คนทีค่ ิดวา่ ทำงานไดน้ ะคะ Core Team เหลา่ น้เี นีย่ ก็จะมเี ครือขา่ ยทจ่ี ะมาทำงานนะคะ

ปแี รกอย่ทู ี่ปี 2560 คยุ กนั ตัง้ แตป่ ลายปี 2559 เร่ิมทำ 2560 ทงั้ ปี ตอนปลายปี 2561 งานชน้ิ ท่ี 1 กจ็ บ
ละ ก็มาบอกว่าให้ทำต่อก็จะเป็นข้อมูลระหว่าง 2561-2562 ระยะที่ 3 ก็จะเป็น 2563-2564 นะคะ แล้วก็
ขยายมาจนถึงตุลาคมนะคะ เพิ่งปิดโครงการไป ทำรายงานส่งไป ก็ยังรู้สึกว่ามันก็คืองานบริการวิชาการอยู่
ตอนนั้นยงั ไม่รู้จกั นักวิชาการรบั ใช้สงั คมดว้ ยซ้ำ แลว้ ก็ตอนแรกก็บอกว่าหมดระยะท่ี 3 ก็จบแล้ว ถูกตัดงบนะ
คะ ก็คงจะมาได้ข่าววา่ จะมีเฟสที่ 4 จะใหท้ ำต่อ ตอนน้กี ็กำลังทำอยู่

โครงการสปาร์คยูเราทำหลากหลายรูปแบบเครือขา่ ย หลากหลายพ้ืนท่ี หลากหลายกิจกรรม เพิ่งจะ
โฟกสั ไปที่พ้ืนที่ลบั แลนะคะ สาเหตุทมี่ าท่ลี ับแลก็คอื ว่า มอี ยู่วนั นึงอาจารยก์ ้อยก็สง่ อีโปสเตอร์มาแล้วถามว่าพี่
ผึง้ สนใจไหมคะ จะเห็นว่าอาจารยก์ ้อยส่งมาให้วันที่ 3 สงิ หาคม บทความวชิ าการตอ้ งส่ง 9 สิงหาคมนะคะ เรา
ก็ตึงตะลึงแต่ก็ต้องสู้นะคะ ก็เลยทำค่ะ ก็เลยเขียนบทความเพ่ือส่งนะคะ จำได้ว่าวันที่ 9 สิงหาคมนัดส่งก่อน
เทยี่ งคืนไมก่ น่ี าที กเ็ หมือนว่าเรามีการเกบ็ ขอ้ มลู ทีจ่ ะทำรายงานอยแู่ ล้ว กป็ รกึ ษาว่าจะกรอกขอ้ มลู เราจะเขียน
ในภาพรวมหรือเราจะเลอื กพื้นท่ี กเ็ ล่าให้ก้อยฟงั ว่าเราทำอะไรกันมาบ้าง รปู แบบเราทำอะไร พ้นื ท่ีลับแลเน่ีย
นา่ จะไดท้ ำอะไรมากทีส่ ดุ และมีผลมากท่สี ุด ก็เลยเขียนบทความสง่ ไปทเี่ อน็ เกจเม้นท์คร้งั ท่ี 7 ซึ่งมีอาจารย์ส้ม
โอเป็นวิทยากรในวันนั้นด้วย สาเหตุที่เราลงไปทำในพื้นที่ลับแลเนี่ยเพราะว่ามีคนที่อยู่ในทีมลับแลก็คือ
หมอต๋อย พอรู้ว่าเราทำงานตรงนี้ มีทุนมาตรงนี้นะคะ เขาก็บอกว่าที่ลับแลมีน้องๆ อยู่กลุ่มหนึ่งสนใจเรื่อง
ศึกษาประวตั ศิ าสตร์ท้องถิ่น เลยอยากจะมาขอใหเ้ ราเน่ียเหมือนเปน็ พี่เลี้ยง ที่น้องๆ กลุ่มนีส้ นใจก็คือว่า เขา
มองว่าเขาอยูท่ ล่ี บั แลเน่ีย มันจะมตี ำนานที่พูดถงึ เมืองแม่ม่าย แตเ่ ขารู้สึกวา่ มันมันไม่ใช่ ร้สู ึกว่ามันไม่จริงหรือ
เปลา่ เขากส็ งสัยนะคะ เขาก็สงสยั ท่ีมาของชอ่ื ทเี่ ขาอยู่ ตอ้ งบอกว่าวตั ถปุ ระสงคต์ รงน้เี ปน็ วัตถุประสงคข์ องการ

34

เขียนบทความวิชาการ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของโครงการ Spark U นะคะ เพราะว่าวัตถุประสงคข์ องโครงการส
ปารค์ ยูเนย่ี อย่างท่ีบอกกจ็ ะเปน็ เรอ่ื งของพื้นทีด่ ภี มู ิดีหรือสอื่ ดีนะคะ เลยมาทบทวนตัวเองวา่ เราทำอะไรไปบ้าง
ในพ้ืนทน่ี ้ี เรากเ็ รมิ่ ตน้ วา่ ตั้งแตเ่ ราไปร่วมวางแผน จรงิ ๆ การสืบค้นประวตั ิศาสตร์เราไมไ่ ดม้ คี วามรู้ตรงนัน้ นะคะ
แตเ่ ราไปชวนเขาคุย ชวนเขาสอบถามว่าเขาทำอะไรและเราก็ไปหาผูเ้ ชีย่ วชาญมาช่วยเขา ก็คืออยใู่ นข้อท่ี 2 ก็
คอื ไปตดิ ตามเขา ไปช่วยหนุนเสรมิ เขาตามความต้องการของเขา และสดุ ท้ายเลยท่ีร้สู กึ วา่ พ่ีผ้ึงไดล้ งแรงเยอะสดุ
ก็คือข้อที่ 3 นี้นะคะ ก็คือเรื่องของการวางแผนการสื่อสาร กลุ่มเป้าหมายก็คือตัวน้องเยาวชนนี่แหละเป็น
กลุ่มเปา้ หมายหลกั ของเราทเ่ี ราลงไปทำงานกบั เค้า แลว้ ก็กลมุ่ เป้าหมายรองก็คอื ชว่ ยเขาในการวางแผนในการ
สื่อสาร เรื่องท่ีเขาคน้ คว้าเพือ่ ให้เกดิ การยอมรับมากขึน้ นะคะ เราสนบั สนนุ ทุนเรอื่ งทปี่ รกึ ษาเรอ่ื งผเู้ ชีย่ วชาญนะ
คะ เร่ืองของการสรา้ งความเข้าใจกับผทู้ ม่ี สี ่วนเกย่ี วขอ้ ง เชน่ ไปพบทา่ นผูว้ ่าราชการจังหวดั อธิบายใหท้ า่ นผ้วู ่าฯ
ฟังว่าเราทำอะไรกัน จนท่านผู้ว่ารู้สกึ ว่าสิ่งที่ทำเนี่ยโอเคนะ จนท่านผู้ว่าฯ ในยุคนั้นเนี่ยก็ได้ลงนามในคำส่ัง
จงั หวดั อุตรดติ ถ์ แต่งตัง้ คณะทำงานศึกษาประวตั ิศาสตร์ เรามองว่าเราไม่ไดท้ ำกนั กลมุ่ เลก็ ๆ ใต้ถุนบ้าน แต่เรา
มคี วามรสู้ ึกวา่ เราอยากยกระดับงานท่เี ยาวชนกลมุ่ น้ีทำอยู่ใหผ้ ู้หลักผใู้ หญข่ องบ้านของเมอื งรับทราบ ส่งิ ท่ีสง่ ผล
ตอ่ มาก็คือ ลับแลเนีย่ จะมีงานไลท์แอนด์ซาวด์ประจำปี ซ่ึงปกตใิ นงานไลทแ์ อนด์ซาวดก์ จ็ ะทำเร่อื งเดมิ ๆ นะคะ
ก็คือเหมือนสื่อสารย้ำซ้ำๆ เรื่องตำนานเมืองแม่ม่าย ห้ามโกหกแบบนี้นะคะ แต่พอในปีนั้นหลังจาก
นายกเทศมนตรรี บั ทราบเร่ืองของการสบื ค้นประวัติศาสตร์โดยเยาวชนกลุม่ น้ี กลายเปน็ ว่าในปีนั้นเนี่ยเปลี่ยน
เร่ืองราวที่เผยแพร่ ไม่ใชเ่ รอ่ื งเมอื งแม่มา่ ย เรอ่ื งของการหา้ มโกหกแล้ว แต่เป็นเรอื่ งของประวัติศาสตร์ของเมือง
ลบั แลทมี่ ีการอพยพจากชาวเชยี งแสนนะคะ แล้วก็ไปตั้งถ่นิ ฐานทีล่ บั แล อันนี้ก็เปน็ หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์
อนั หนงึ่ นะคะ ซง่ึ ตรงน้มี ันมีข้อดที ่ีเราไปทำงานแตม่ ันก็สรา้ งผลกระทบกับคนทีเ่ คยรบั งานไลทแ์ อนดซ์ าวด์ เขา
กไ็ มไ่ ด้งานนะ กเ็ ปน็ กรณีดราม่าอะไรกันพอสมควร ถดั มาทีเ่ ราไปช่วยทำกค็ อื เราหาผ้เู ชี่ยวชาญไปปกั หมดุ AIS
เปน็ อาจารยจ์ ากภมู ศิ าสตร์ มช. ก็ลงพนื้ ที่ใช้เทคโนโลยดี า้ น GPS นะคะ เพื่อปกั หมดุ ตามตำนานให้เหน็ ว่า ส่ิงท่ี
เขาสืบค้นนี้มันมีอยู่จริง หลังจากนั้นเราก็ชวนกันทำ Timeline ของเมือง จากการศึกษาประวัติศาสตร์ 67
เรื่อง เอาไปเทยี บเคียงกบั ประวัติศาสตร์กระแสหลกั นะคะ เช่นสมยั รัชกาลที่ 1 สมัยรัชกาลท่ี 5 เกิดอะไรขึ้น
เพ่อื ใหม้ ันเข้าใจได้นะคะ ก็มีการตั้งเวทวี งพดู คยุ อยูบ่ อ่ ยๆ เพ่ือให้น้องๆ กลุม่ น้ีทำงาน รวมถงึ ชวนคนนอกพื้นท่ี
มาลงพื้นท่เี พ่อื ใหไ้ ปตามรอยประวตั ิศาสตรต์ ่างๆ ท่บี อกวา่ ได้ลงแรงเยอะหน่อยกค็ อื เร่อื งของการวางแผนการ
สื่อสารนะคะ แล้วก็ดำเนินการส่ือสาร จัดกลุ่มของคณะศึกษาประวัติศาสตร์ซึ่งเปน็ เยาวชน เราชวนเข้าวาง
แผนการสื่อสาร เราบอกเขาเรื่องของการทีแ่ บ่งกลุ่มเป้าหมายของงานของเขาเปน็ กลุ่มต่างๆ แลว้ ถามเขาวา่
เขาอยากจะผลิตสื่ออะไรในการเผยแพร่ เพราะเขาได้ซื้อมาแล้ว ได้หัวข้อที่เขาต้องการมานะคะ เรากล็ งไป
Workshop นะคะ ไม่ว่าจะเป็นพอดแคส ไม่ว่าจะเป็น New media ต่างๆ นะคะ ก็ลงไปหลายครัง้ หลังจาก
นน้ั กม็ กี ารพาเขามาที่ชา้ งม่อย กม็ ีการพูดคยุ กันเร่อื งการพฒั นาย่านสร้างสรรค์ เรามองวา่ องค์ความรู้ที่ได้จาก
การศึกษาประวัติศาสตร์เนี้ยมันไม่ใช่เป็นแค่หนังสือประวัติศาสตร์หรืองานวิจัยที่จบแล้วเก็บอ่ะค่ะ เรามี
ความรสู้ กึ วา่ พอเขาไดเ้ รื่องของประวัติศาสตร์ ได้ของ และความรู้เรอ่ื งยา่ นสรา้ งสรรคเ์ น้ีย เขาสามารถต่อยอด
2 เร่ืองน้ีนะคะ ทำใหช้ มุ ชนนน้ั ดขี นึ้ สร้างรายได้ กค็ ือมกี ารท่องเทย่ี วเชิงชุมชนท่องเทีย่ วเชงิ อนุรักษค์ ่ะ แล้วถึง
เปลยี่ นผู้วา่ ฯ ไปแลว้ นะคะ เราก็ยังไปขอพบ กไ็ ด้พบท่านรองผวู้ ่าฯ เพือ่ ท่จี ะไปรายงานว่า ทา่ นแต่งตั้งเราแล้ว
เราทำอะไรมาบ้าง หลังจากนี้เราทำงานเสร็จแล้วเราจะสื่อสาร เราจะมงี านตา่ งๆ เนี่ยก็เชิญท่านมารับทราบ
ตา่ งๆ นะคะ รวมถงึ วางแผนว่าเราจะมีคลบั เฮา้ ส์นะคะ เขาทำหมดเลย และอกี กล่มุ นงึ ไปเสนอวา่ งานของเขาที่

35

เป็นงานสบื ค้นประวัติศาสตร์เน่ียมนั ตอ้ งถกู รบั รองดว้ ยนกั วชิ าการนะคะ เดือนนน้ั เรากไ็ ปตอ่ ศนู ยม์ านุษยวิทยา
สิรินธรนะคะ เพือ่ ใหง้ านสืบคน้ ของเขาเนี่ยได้ไปบรรจอุ ยู่เป็นฐานข้อมลู อยู่ในเวบ็ ไซต์น้ี รวมไปถึงขึ้นเวทีการ
เสวนาของภาควิชาประวตั ิศาสตร์ เรามองว่าเร่อื งเหล่านเ้ี น่ียยังมนี ักวิชาการรับทราบเห็นด้วย กระแสต่อต้าน
ต่างๆ ทมี่ ันมาจากคนดง้ั เดมิ ในทอ้ งถ่นิ ทีเ่ ป็นความไมร่ หู้ รอื ผู้ท่เี สียผลประโยชน์เนยี่ ก็จะเหมอื นแพต้ ่อหลักฐาน
ต่างๆ แผนถงึ ขนั้ ว่าใหม้ ีการทอ่ งเทีย่ วเชิงประวัติศาสตร์และจดั ทำแผนที่ชมุ ชน ท่ลี ับแลเนีย่ ใช้เครือข่ายในการ
ทำงานในการขบั เคลอ่ื นในงานภาครัฐด้วยนะคะ แลว้ ก็มกี ารใช้อินเวอรเ์ ตอรใ์ นพ้ืนท่ดี ้วย กเ็ ลยทำให้ได้ส่ือใหมๆ่
ท่ีเยาวชนในพืน้ ทรี่ ่วมกันทำเพอื่ เผยแพรค่ วามรู้ใหม่ด้วย

ผศ. ดร. อลิชา: ส่ิงท่ีเหน็ ชัดทส่ี ุดในนี้คือ ความต้ังใจท่ีพ่ีผ้งึ พยายามเอาตวั ตนท้งั พลงั ทางวิชาการ ทงั้ สงิ่ ทีพ่ ่ีผึ้งรู้
แล้วก็ Connection ของพ่ีผ้ึงเอาไปรวมกบั ความมุ่งมั่นในการผลักดันคณุ คา่ คุณค่าอะไรก็ไมร่ ู้ เห็นแต่พลังไง
เหน็ พลังชดั มาก แต่พผี่ ้ึงทำอะไรเหรอ คอื ถา้ เอาออกมาให้ได้ 1 ประโยคอ่ะ มนั คืออะไร เชือ่ ไหมว่าพ่ผี ้งึ อะ่ ตอบ
ได้นะ แต่พวกเราอ่ะไม่รู้ เพราะวา่ เพราะว่าพี่ผึ้งมีหลาย Highlight ความหลายไฮไลท์นั้นน่ะมันจำเป็นจะต้อง
เอามารวมกนั ให้มันได้เป็นหนึ่งคุณค่าค่ะ แล้วบอกให้ได้ว่าพี่ผึ้งกำลังแก้ปัญหา วันที่พี่ผ้ึงบอกได้ว่าพี่ผึ้งกำลัง
แก้ปญั หา อะไรคือเหตุผลและความจำเปน็ มันถงึ จะโอเค เพราะ ณ เวลานี้เราเหน็ อินเนอรข์ องพี่ผงึ้ ชดั มากวา่ พี่
ผ้ึงเป็นคนทำงาน พี่ผ้ึงเร่ิมมาดว้ ยการบอกว่า มีใครอยู่ในนั้นบ้าง แล้วมเี พอ่ื นทำอะไร เน่ยี เราเหน็ อินเนอร์ของ
คนทำงาน คือรู้เลยว่าคนนี้ลงมือ แบบเห็นงานเต็มไปหมด แล้วก็เห็นคนมาช่วยกันทำงาน จะช่วยทำไมเหรอ
ตรงนี้แหละขอดอู ีกนดิ นงึ ว่าเขาช่วยทำไม แลว้ ร้เู ลยว่าพีผ่ ้งึ ทำงานด้วยความตงั้ ใจ เพราะพี่ผ้ึงเกิดความดราม่า
อยูใ่ นงาน แลว้ จรงิ ๆ งานวิชาการรับใชส้ ังคมมนั ออกในลักษณะน้ี มนั พร้อมท่จี ะกระทบกระท่ังกับคนไม่จำกัด
แล้วในการจดั การผลประโยชน์ ในการจดั การความสมั พนั ธต์ รงนั้นน่ะ มนั แสดงให้เหน็ วา่ ว่าพ่ผี ้งึ ทำทรที เมน้ เขา้
คอื ใชพ้ ลังอำนาจแลว้ สง่ั เอา หรอื ว่าใชว้ ธิ ีแบบทจ่ี ะประสานประโยชนใ์ หไ้ ม่มใี ครอกหกั ในงานนะคะ แล้วคุณค่า
ทม่ี นั ออกมาจากตรงนั้นนะ่ มนั เปน็ ยังไง พ่ีแสดงใหเ้ ราเหน็ แลว้ อ่ะค่ะว่าองค์ความรู้เนย่ี มันได้รบั การรวบรวมและ
รวบรวมทำไมเหรอ คือเขาอยู่ของเขาไม่ได้ สมมุติวา่ พ่ีผึ้งจะชวนคนลบั แลไปอีกข้ันนงึ อ่ะว่ าปักหมดุ GPS คือ
การปักหมุดตำนานเนี่ย มันว้าวมากเลยนะคะวา่ พี่กำลงั เชื่อมโยงเทคโนโลยีสมัยใหมใ่ ห้มันแบบบพุ เพข้ามมิติ
ข้นึ มาอีกครั้งนึงอ่ะ ความสำคัญของคนทเี่ คยอยตู่ รงนค้ี อื เราไดร้ ้สู ึกว่านี่คือผนื แผน่ ดนิ เดยี วกันนะ่ ท่ีเรากำลงั ยืน
อยู่อ่ะ แล้วมนั คอื หนา้ ที่ของเราทีจ่ ะถนอมรักษาคุณคา่ นีอ้ อกไปอ่ะค่ะ แล้วพีล่ องนกึ ดู สมมุตวิ า่ ของทีเ่ คยเกบ็
ออกมาแล้วมันมีลูกปัดและเครื่องประดับที่เคยสวยอยู่ในวันนั้นน่ะ มันกลับมาสวยอยู่ในวันนี้แล้วอ่ะ มันคือ
ความงามที่ผา่ นกาลเวลามา แล้วมันมีเฉพาะทีล่ ับแลนะ แล้วหินทีม่ คี นเก็บมาให้แลว้ บอกว่าว่าเดี๋ยวพอกลบั
บ้านค่อยเปิดดู แล้วพอเปิดออกมาแล้วในตำนานมันกลายเป็นเพชรนิลจินดา หรือว่าอยูใ่ นเมอื งลับแลมันโผล่
เพชรนิลจินดาเต็มไปหมด แต่พอออกมามันกลายเป็นหินธรรมดาเนี้ย มันสะท้อนคุณค่า เครื่องประดับตรง
นน้ั นะ่ มนั มีมิติทางศลิ ปะอะไรที่มันถ่ายทอดกนั ได้อีกไหม แลว้ กบ็ า้ นเรือนอะไรต่างๆ นค้ี ะ่ เมื่อก่อนปักหมุดไว้
ตรงนี้โซนน้ีคอื โซนทบ่ี รรพบุรุษเคยสรา้ งบ้าน เดีย๋ วนยี้ ังอยู่ไหม หรือไมพ่ วกประวตั ศิ าสตรท์ างพนั ธพุ์ ชื ต่างๆ มนั
เชอ่ื มไปทาง gastronomie ได้ดว้ ยนะ เช่น อาหารการกินอะไรตา่ งๆ เขากินอะไรมา ศกึ ษาเรือ่ งอาหาร แล้วก็
เร่อื งเสน้ ทาง ทางเดินทพั อะไรหลายๆ ทางไปทำอะไร มนั เปลี่ยนชวี ิตคนยงั ไง แล้วกท็ ีส่ ำคัญอีกอยา่ งนึงถ้าเกิด
ว่าพ่ีผึ้งมีเวลาได้ค่อยๆ ตกผลึกแลว้ อธิบายให้พวกเราฟังต่ออกี นดิ นึงได้ว่า พี่ expect ไว้ว่าตรงไหนเป็นอาวธุ
แล้วพี่คดิ วา่ ที่ทำมาเนีย่ สำเร็จไปตามนั้นไดข้ นาดไหน มันจะโอเคมากเลยนะคะ ไม่อย่างน้ันมันออกแนววา่ ฉัน
จะทำเรื่องนีไ้ ด้เท่าไหร่ก็คือเท่านั้น แล้วทุกอยา่ งท่ีได้มามันคือเหมือนเก็บเลเวลตามเวลาอ่ะค่ะ พอไปถึงหนา้

36

milestone นึงก็ได้บางอย่าง ก็คือเก็บมาจากตรงนั้นเนี่ยไม่ได้ตั้งเป้าไว้ก่อนว่าเราอยากจะไปถึงตรงนั้นเพอื่
ธำรงคุณค่าอันน้ี หรือเพื่อหาคำตอบอันนี้เพือ่ บรรลุ Mission อะไรบางอยา่ ง Mission มันไม่ได้มาจากเรานะ
มันเป็น Mission ที่เขาตั้ง เรานี่แหละช่วยบอกด้วยว่าใครคือคนที่ระบุปัญหา ใครเป็นที่มาของโจทย์ว่าเรา
จะต้องรู้รากของตวั เองเนี่ย คอื การจะบอกวา่ เยาวชนคนรนุ่ ใหม่ไม่ร้วู ่าความเป็นมาของตัวเองเป็นยังไง ถามจรงิ
เยาวชนอยากรูเ้ หรอ เขาทำยงั ไงแล้วพ่ีผึง้ อะ่ เขา้ ไปอย่ตู รงนัน้ แล้วทำใหก้ ารรวบรวมข้อมลู นม้ี นั เป็นไปได้ง่ายขึ้น
ด้วยองคค์ วามร้อู ะไรเนย่ี ค่ะ คอื พ่จี ะรวบรวมข้อมูลหรอื ว่าพีจ่ ะสือ่ สาร ตอนน้ีพรี่ วบรวมข้อมูลมาแล้วก็เอาคน
เข้ามาหาประโยชนจ์ ากขอ้ มูล มาขยายผลจากขอ้ มูลน้นั ด้วยกระบวนวิธีทางการสือ่ สารและการสอื่ สารมวลชน
ตกลงว่าโจทย์เดิมที่ตอบตัง้ ใจจะตอบ Pain Point อะไร เพราะเหมือนพอเวลามันผ่านมา คำตอบคอื ปญั หานี้
มันไม่ใชป่ ญั หาอีกตอ่ ไป มันคล่ีคลายด้วยเวลาหรอื อยา่ งไรไม่รู้ เพราะว่าพ่ีไปทำจดหมายแล้วอนั แรกไมไ่ ดอ้ าศัย
องค์ความรู้ด้านการสื่อสารนะ แต่ว่าอันต่อมาพอได้มาแล้วถึงได้เอาประวัติศาสตร์ออกมาขยายผลด้วยองค์
ความรู้ด้านการสื่อสารอย่างน้ี ดังนั้นที่มาและความสำคญั กับ treatment ที่เราแสดงในนี้มันเลยไม่ไปในเส้น
เดยี วกัน แต่ถา้ เกิดว่าพีผ่ ง้ึ ซูมเอาท์ออกมาอกี หนอ่ ย แลว้ จับคณุ ค่าอะไรบางอยา่ งไม่ใชเ่ ฉพาะว่าเปน็ การสื่อสาร
แต่พอ่ี ยากทำอะไรเป็นคณุ ค่าที่มันตอบโจทยท์ ้งั รม่ หมด ก็คือความเปน็ มนษุ ยท์ ีม่ ที ม่ี าแบบนแี้ ล้วเรากำลังจะใช้
องคค์ วามรู้ แล้วกข็ ้อมลู อันนเ้ี พื่อหาทีไ่ ปร่วมกันแล้วก็พลอย Enjoy แล้วกด็ ืม่ ด่ำกับความเปน็ มาอันนด้ี ้วยความ
สรา้ งสรรค์ คอื เราจะเหน็ ว่าวา่ พผี่ ึง้ เอาตวั ตนทางวชิ าการเขา้ ไปหนุนเสรมิ การขบั เคลอ่ื น แล้วพี่ผึง้ เจง๋ มากตรงที่
งานนี้พ่ไี มอ่ ยู่เขากไ็ มล่ ้ม พ่ีไปสร้างระบบและกลไกบางอยา่ งไวแ้ ล้ว ซึง่ ตรงนแี้ หละทม่ี นั ทำใหต้ ่างจากงานบรกิ าร
วิชาการคะ่ แลว้ ก็ยง่ิ ถ้าเกิดว่าพี่ผึง้ ดึงนักประวตั ิศาสตรเ์ ข้ามาแล้วดึงนักสังคมวทิ ยาเข้ามาแล้วดึงศิลปินเข้ามา
แล้วพ่ีดึงปราชญช์ าวบา้ นแลว้ ก็ดงึ โครงสร้างการปกครองของรัฐเข้ามา เราจะเห็น Partner ที่พผี่ ้ึงมีคะ่

อาจารย์นฤมล: เวลาเราเขียนอ่ะ จริงๆ อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่ผลงานเรานะ เพราะว่าทีม Spark U มันก็มี
หลายคนที่มีความสามารถที่แตกต่างกัน ก็เหมือนกับช่วยกันทำงาน เหมือนเวลาเราเขียนภาพใหญ่ มัน
เหมือนกบั ว่าการเกิดอะไรก็ตามท่มี ันดีขน้ึ ของโครงการตรงนใี้ นพื้นทน่ี ้ี มนั ไม่ใช่ผลงานเราคนเดียวเทา่ น้ัน มันก็
เลยรู้สึกว่าเราโอเวอรเ์ คลมหรือเปลา่ อย่างทีบ่ อกว่าวตั ถุประสงค์ของบทความน้ีแคเ่ ฉพาะบทความที่ไปท่ีเอ็น
เกจเม้นท์ Thailand เซเวน่ วันเดอรข์ องส้มโอทแ่ี นะนำเน่ยี มันก็ต้องไปแปะหลายๆสว่ น มันไม่ใช่ส่วนท่ีพ่ีทำอยู่
คนเดียวนะคะ สว่ นเวลาทจ่ี ะอธิบายมันออกมาเนย่ี เราทำยังไงกบั มันดี

ผศ. ดร. อลชิ า: เวลาท่ีทำงานขับเคลือ่ นในภาพใหญม่ นั เปน็ ธรรมชาตขิ องงานวชิ าการรบั ใชส้ งั คมท่ีมนั จะอาศยั
องค์ความรู้ที่หลากหลาย ดังนั้นในภาพใหญ่เราบอกความท้าทายได้แลว้ ในงานส่วนของเราอ่ะค่ะ เราเอาองค์
ความรทู้ ี่เราใช้เอามานำเสนอ ขอให้พี่พ่ึงนึกถงึ นาฬิกาค่ะว่านาฬิการุ่นโบราณมันจะมีวงมีเกียร์มีเฟืองอันใหญ่
อันเล็ก แล้วทั้งหมดมันหมุนไปพร้อมกันเพื่อทำให้ทั้งหน้าปัดมันเดินได้ แต่ว่าพี่ผึ้งเป็นเฟอื งอ่ะที่อาจจะไม่ใช่
เฟืองใหญ่ทส่ี ุดหรืออาจจะเปน็ กไ็ ด้ แลว้ เฟอื งนีม้ ันหนนุ เสรมิ เกอ้ื แลว้ ก็มีบทบาทยังไงบา้ ง เหน็ เลยวา่ ถา้ ไม่มเี กยี ร์
นี้นาฬิกามนั หยุดแนน่ อน แตเ่ กียรน์ ลี้ ำพังมันไมส่ ามารถไปทง้ั นาฬิกาได้ ดังนั้นถา้ ใชภ้ าพใหญ่มาก่อนบอกว่านี่
คือสถานการณ์และนี่คอื ความท้าทายและความทา้ ทายอันนีม้ นั อาศัยองคาพยพที่หลากหลายโดยที่โจทย์ด้าน
การสื่อสารเนี่ยมันปรากฏอยู่ตรงนี้ และมีพ่ีผึ้งคือคนที่เป็นจิ๊กซอว์ที่หายไปนั่นแหละ เรื่องของวิธีการการ
เผยแพร่ ไม่ได้อยู่ๆ ยกเมฆมาว่า จะทำงานนี้แล้วก็เอาอันนั้นอันนี้มาแปะตรงนัน้ ตรงนี้ แต่ว่าการเผยแพรบ่ น
เวทีวิชาการเปน็ การบอกถงึ ตัวตนของเนอื้ งานวา่ พ่ที ำแลว้ พที่ ำจริงๆ แลว้ ก็มันปรากฏเหน็ เปน็ ผลทางวชิ าการ
แต่ว่าบทความที่เผยแพร่และการเผยแพร่เป็นคนละเรือ่ งคนละชิ้นกับงานวิชาการรับใช้สงั คมที่พีจ่ ะไดร้ ับการ

37

ประเมินการเผยแพร่ คุณคา่ ของงานวิชาการรบั ใช้สงั คมมนั เกดิ ขึ้นจากงานนใี้ นภาพแบบน้ี คนทอี่ ยู่ในงานบางที
มองไมเ่ ห็นหรอกเพราะอะไรๆ มันกใ็ ช่ มันต้องอาศยั มมุ ของคนทไี่ ม่ค่อยค้นุ แตพ่ วกเรามาช่วยกนั มองไดค้ ่ะ

สำหรับโครงการตุ๊กตาวิเศษที่ทำอยู่ ณ เวลานี้ก็คือว่า เขาทำเครื่องเคลือบวัสดุอ่ะค่ะ แล้วก็เอามา
เคลือบหนา้ กากอนามัยให้ฝุ่นไมเ่ กาะนะคะ แล้วก็ความชื้นกจ็ ะไมเ่ กาะตา ก็จะทำให้สะอาด แล้วเอาไปอบฆ่า
เช้ือแล้วกเ็ คลือบ เชอ้ื เพลงิ จะหายไป แลว้ กต็ อนทีม่ าช่วยกนั ยงั ไงเนย่ี คืออาจารยเ์ ขาเอาตุ๊กตาทอี่ ยูใ่ นโครงการ
ตุก๊ ตาวิเศษไปเคลอื บ เพราะเคร่ืองแบบนน้ี ำ้ มันไม่เกาะ ความสกปรกจากมือก็ไมไ่ ปเกาะท่ีพน้ื ผวิ ตุ๊กตา อย่างน้ี
คือถามวา่ อาจารย์ซึ่งทา่ นเรียนฟสิ กิ สท์ า่ นเปน็ นักฟิสิกสแ์ ล้วท่านจะเข้ามาเกีย่ วกับงานนไ้ี ดอ้ ย่างไร ก็ออกแนวน้ี
ในกรณีที่เด็กพิเศษถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้วต้องใหก้ ารกับตำรวจ เขาไม่สามารถเล่าเปน็ เร่ืองได้ จะต้องใช้
ตุ๊กตาเหลา่ น้ีเปน็ ตัวประกอบ เป็นอุปกรณก์ ารสอ่ื สารสำหรับเขา ตอนน้ีตุ๊กตาหน้าตาแบบน้ี ก็คือมีอวัยวะเพศ
มนี ิ้วมอื มีช่องปาก แล้วกม็ ีทวารหนกั ค่ะ แลว้ ก็เป็นเครอ่ื งมอื เอาไวป้ ระกอบการสอบถามเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม
นะคะทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั คดีทารณุ กรรมทางเพศ แลว้ เราทงั้ หมดก็มาชว่ ยกันทำตกุ๊ ตา อาจารยธ์ ีรวรรณทำส่ิงนี้ใหเ้ รา
ทา่ นเอาอปุ กรณ์บางอยา่ งมาเคลอื บผวิ พื้นตกุ๊ ตา แลว้ ก็จะเห็นว่าต่อให้หยดนำ้ ลงไป นำ้ ก็ไม่เกาะ สุดทา้ ยเราก็ได้
องค์ความรู้ทางฟิสิกส์เนี่ยเข้ามามาช่วยงานด้วยนะคะ เขาถามว่าพวกเรามีใครกันบ้างนะ พี่แพนเปน็ ผู้กำกบั
สาว คอื ทา่ นเปน็ ตำรวจอะ่ เปน็ พนักงานสอบสวน แลว้ กพ็ ี่ผง้ึ เปน็ นักเขยี นนะคะ แลว้ ก็น้องปานเปน็ ศิลปนิ ละคร
หุ่น แล้วกค็ ุณหมอขนุนเป็นจติ แพทยเ์ ด็กนะคะ แล้วก็มกี ลุ่มละคร engo นะคะ มีกราฟฟิกดีไซเนอร์ที่ช่วยใน
งาน คอื เราไมไ่ ด้จำเปน็ จะตอ้ งเปน็ จติ แพทย์เทา่ นั้นหรือวา่ เป็นตำรวจเท่านน้ั ท่ีจะมาทำงานในลักษณะน้ี ทั้งน้ัน
ข้ึนอย่กู ับมุมมองนะคะวา่ เราเหน็ โอกาสในอะไรบา้ ง

ยกตวั อย่างทีภ่ าควชิ าการเงนิ นะคะ กอ่ นหน้าน้ภี าควิชาการเงนิ ที่ มช. การทำงานบรกิ ารวิชาการล้วน
ก็คือไปให้ความรู้เรื่องการเก็บเงินและการวางแผนการเงิน แต่ละวันนึงเนี่ยที่ได้เชื่อมโยงกับกลุ่มคนที่เขามี
กำแพงที่จะเข้าถึงบริการทางการเงินของรัฐหรือเอกชนอย่างคนไร้บ้านเนี่ยค่ะ ทางภาควิชาก็เข้าไปร่วมกบั
หนว่ ยงาน ระบบการเกบ็ ออมการหาเงินใหก้ ับกลุม่ คนไร้บ้าน คอื แทนทจี่ ะให้ความรูอ้ ย่างเดียวว่าคุณต้องเก็บ
เงินยงั ไงเพราะในทางปฏิบัติคนกล่มุ นีค้ ือพยายามจะไม่มเี งิน เพราะวา่ การเงนิ บางครง้ั มันทำให้มีภยั กพ็ ยายาม
จะไปใชเ้ งนิ กับส่งิ ต่างๆ อย่างนี้กม็ ีระบบการจัดการการเงนิ ขนึ้ มาในบา้ นของคนไรบ้ า้ นในมูลนิธิ เป็นต้น ขอให้
เริ่มที่ปัญหาบางอย่างหรอื ความท้าทายบางอย่าง หรือการมุ่งจะสร้างโอกาส โดยที่โจทย์มันจะต้องมาจากคน
อื่นๆ มาจากชุมชนจากสังคมจากกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะอยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือไม่ก็ได้ แต่เขาประสบ
ปัญหาเดียวกันแลว้ ปัญหานั้นมนั ข้ามผา่ นไดด้ ว้ ยภาษา ซงึ่ ถ้าเป็นแบบนัน้ นะ่ แล้วอาจารย์สามารถทำให้เกิดการ
พฒั นาท่ีใชภ้ าษาเข้ามาเก่ียวข้องเมอื่ ไหรก่ ็ตาม ตรงนนั้ นะ่ มันจะเป็นงานวิชาการเพ่ือสังคมที่ใชภ้ าษาทันที คือ
ถ้าเม่ือไหร่ตอบไดว้ า่ อาจารย์แกป้ ญั หาอะไรหรอื สร้างโอกาสอะไร โดยทีส่ ่งิ นนั้ มันเปน็ ปญั หาทมี่ าจากสงั คมและ
ชุมชน ตรงนัน้ มนั จะเป็นจุดเรม่ิ แตถ่ า้ เมือ่ ไหรเ่ ราบอกวา่ เรารอู้ ะไรแลว้ เรามองเหน็ ปัญหานี้แล้วเราเข้าไปทำใน
ส่งิ นน้ั มันเปน็ การบรกิ ารวิชาการ บรกิ ารวชิ าการก็จำเปน็ ตอ้ งมีเพราะวา่ มันเปน็ การแกป้ ัญหาที่แบบเฉยี บพลัน
มากกวา่ มนั สำเร็จรปู กว่าคะ่

ผศ. จิรภทั ร: คำถาม 2 ท่านถามมาตรงกนั คะ่ วา่ มเี ทคนคิ การเลอื กหวั ขอ้ การบริการวิชาการรบั ใชส้ งั คมในการ
ขอตำแหนง่ ไดอ้ ย่างไร

38

ผศ. ดร. อลชิ า: ก็ขออนุญาตสรุป จะบอกว่าให้เรมิ่ ต้นจากปญั หาของคนกลุ่มหนึ่ง ซง่ึ คนกลุ่มนั้นจะอยู่ในพื้นที่
เดียวกันหรือไม่ก็ได้แตเ่ ขามีปัญหารว่ มกัน ปัญหาของคุณน้ันคือระบบหน้างานกบั ความท้าทายทีต่ อบไม่ได้วา่
ทำไมต้องมาทำเรื่องนี้ค่ะ แต่ว่าในงานวิชาการรับใช้สังคมเนี่ยคือโดยอินเนอร์นะคะเราตั้งใจจะหาทางออก
ให้กับคำถามที่มนั ยังไม่มีคำตอบ ให้กับปัญหาทีม่ ันยงั ไม่มีทางออกอย่างเป็นรูปธรรม คือเราไม่มีกลุ่มทดลอง
และกลุ่มควบคุม ดังนั้นโจทย์แล้วก็การดำเนินงานซึ่งมาจากการร่วมกันนะค่ะ คือเราไม่อยู่ในข่ายที่จะต้อง
จัดการเรื่อง IRB ในลกั ษณะเดยี วกับงานวจิ ยั แตเ่ มอ่ื ไหร่กต็ ามท่ีงานของเรามันเก่ยี วเน่ืองกับการวิจัย เช่น ต้อง
เกี่ยวกับเจ้าของขอ้ มูลบางกลุ่มที่เป็นกลุ่มเปราะบาง คือถ้ามันเป็นงานวิจัยที่เกีย่ วเนื่องกบั งานวิชาการรบั ใช้
สงั คม นกั วจิ ัยอาจจะต้องไปจดั การเร่ืองตามขอ้ กำหนดตามปกติ โดยเนอ้ื งานของงานวิชาการรับใช้สังคมเองนะ
คะ เราไมม่ ี เราไม่ต้องขอ

39

สรปุ องค์ความรู้จากการประชมุ จดั การความร้ทู ้งั 3 ครงั้

ในปีการศึกษา 2564 คณะมนุษยศาสตร์และนิเทศศาสตร์ได้จัดการความรู้ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยมี
รายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้

ครงั้ ท่ี 1 หัวขอ้ “เกณฑแ์ ละการเตรียมตัวผลิตผลงานรบั ใชส้ งั คมทเี่ ทยี บเท่างานวิจัย”
เมอื่ วันที่ 24 พฤจิกายน 2564 เวลา 13.30-15.30 น.
ทางออนไลนผ์ า่ นโปรแกรม Microsoft Teams
ผู้แบง่ ปันความรู้ ไดแ้ ก่
ผศ.ดร.เกรยี งศักดิ์ พราหมณพนั ธ์ุ
มีผเู้ ขา้ รบั การแบง่ ปนั ความรจู้ ำนวน 30 คน (รายละเอยี ดในภาคผนวก)

ครั้งที่ 2 หวั ข้อ “งานวชิ าการรบั ใชส้ ังคม จากกระบวนการ สผู่ ลงานเอกสาร”
เมือ่ วันที่ 2 มนี าคม 2565 เวลา 13.00-15.30 น.
ทางออนไลนผ์ ่านโปรแกรม Microsoft Teams
ผแู้ บ่งปันความรู้ ได้แก่
ผศ.ดร.อลชิ า ตรีโรจนานนท์
มีผู้เขา้ รบั การแบง่ ปันความรจู้ ำนวน 31 คน (รายละเอียดในภาคผนวก)

ครั้งท่ี 3 หัวขอ้ “งานวชิ าการรบั ใชส้ งั คม จากกระบวนการ สูผ่ ลงานเอกสาร”
เมอื่ วนั ที่ 2 มนี าคม 2565 เวลา 15.30-16.30 น.
ทางออนไลนผ์ า่ นโปรแกรม Microsoft Teams
ผู้แบง่ ปนั ความรู้ ได้แก่ ผศ.ดร.อลิชา ตรีโรจนานนท์ และอาจารย์นฤมล วันทนีย์
มผี ้เู ข้ารับการแบง่ ปันความรจู้ ำนวน 31 คน (รายละเอยี ดในภาคผนวก)

โดยสามารถสรปุ องคค์ วามร้ไู ด้ดังต่อไปน้ี

40

ความหมาย ความสำคญั และเปา้ หมายของ “ผลงานวชิ าการรบั ใชส้ ังคม”

ความจำกัดความของ “ผลงานวิชาการรับใช้สังคม” ในเอกสารแนบท้ายประกาศ ก.พ.อ. นั้น
หมายถึง ผลงานที่เปน็ ประโยชนต์ ่อสังคมหรือทอ้ งถิ่น ทีเ่ กิดขึ้นโดยใช้ความเชย่ี วชาญในสาขาวิชาอย่างน้อยหน่ึง
สาขาวชิ า และปรากฎผลทส่ี ามารถประเมนิ ได้เปน็ รปู ธรรมโดยประจกั ษ์ตอ่ สาธารณะ ผลงานทีเ่ ป็นประโยชน์ตอ่
สังคมน้ตี อ้ งเป็นผลใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงในทางที่ดีขึ้นทางด้านใดด้านหนง่ึ หรอื หลายดา้ นเก่ียวกับ ชุมชน วิถี
ชีวิต ศิลปวัฒนธรรม สิ่งแวดลอ้ ม อาชีพ เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง คุณภาพชีวิต หรือสุขภาพ หรือเปน็
ผลงานที่นำไปสู่การจดทะเบียนสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบอื่นที่สามารถแสดงได้เป็นท่ี
ประจักษ์ว่าสามารถใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาสังคม และก่อให้เกิดประโยชน์อย่างชัดเจน หรือเป็นการ
เปล่ยี นแปลงในความตระหนกั และการรับรใู้ นปญั หาและแนวทางแกไ้ ขของชุมชน ทง้ั นี้ ไม่นับรวมงานทแี่ สวงหา
กำไรและได้รบั ผลตอบแทนส่วนบคุ คลในเชิงธุรกิจ

วตั ถปุ ระสงคข์ องการผลิตผลงานวิชาการรับใชส้ ังคม ไดแ้ ก่

- เพอ่ื ใหน้ กั วิชาการจะไดใ้ ชค้ วามรแู้ ละประสบการณ์ในการแก้ปัญหาของสังคมในแตล่ ะพนื้ ที่

- เพอ่ื ใชพ้ ลงั ความรทู้ างวชิ าการในทกุ กจิ กรรมและทกุ ภาคส่วนของสงั คม ผลกั ดนั ให้สังคมไทยเป็น
สงั คมแหง่ การเรยี นรู้

- เพอ่ื ปฏริ ปู ระบบอดุ มศึกษา ให้เปน็ อดุ มศกึ ษาท่ีตดิ ดนิ ไมห่ ่างเหนิ สงั คม

- เพือ่ ให้ความสำคัญ ยกยอ่ งนักวิชาการสายรับใชส้ ังคม และสร้างเสน้ ทางความก้าวหน้าในอาชพี

- เพือ่ สร้างกระบวนทศั น์ใหม่ โครงสรา้ งพ้นื ฐานทางวิชการใหม่ โครงสรา้ งการกำกับดูแล และการ
บริหารมหาวทิ ยาลยั แบบใหม่

- เกิดกระบวนการสรา้ ง “คน” แบบใหม่ และเป็นกระบวนการเรยี นรแู้ บบใหม่

- สรา้ งการมีส่วนรว่ มของคนในสงั คม ชุมชน

โดยทั่วไปแล้ว นักวิชาการมักจะคุ้นเคยกับการทำงานวิจัย ซึ่งงานวิจัยหลายรูปแบบ ก็เกิด
ประโยชน์ต่อสงั คมท้ังสน้ิ เช่น งานวิจัยทโี่ จทยม์ าจากผใู้ ช้ หรือ R&D งานวจิ ยั เชงิ นโยบายเพ่ือเปลี่ยนวิธีคิดของ
สงั คม งานวิจัยเชงิ ทฤษฎที ี่มเี ป้าหมายพฒั นากระบวนการดา้ นสังคม งานวจิ ัยแบบมีสว่ นร่วม งานวิจัยแบบ R2R
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมอ่ื ขึน้ ช่ือวา่ งานวจิ ยั ก็จะยงั เครง่ ครดั ดา้ นระเบยี บวธิ วี จิ ัย และมีแหล่งเผยแพรใ่ นรปู แบบ
ของวารสาร/หนังสือเชิงวิชาการ แต่งานวิชาการรับใช้สังคมนั้น มีจุดเน้นที่ต่างออกไป สามารถแสดงเป็น
แผนภาพได้ดงั นี้

41

ตัวอย่างเช่น โครงการผา้ ฝ้ายย้อมสธี รรมชาติ จ.พะเยา ได้เห็นปัญหาคือ ผ้าฝ้ายย้อมสธี รรมชาติ
นั้น ขายได้ดี แต่สีไม่แนน่ อน ไม่สม่ำเสมอ และไมต่ ิดคงทน ในส่วนของงานวิชาการรับใช้สงั คม ก็เข้าไปพัฒนา
กระบวนการย้อม เทคนคิ การย้อม การดูดซบั สี และเพ่ิมสจี ากวตั ถุดิบตามธรรมชาติอื่น ๆ เป็นตน้ ซงึ่ จะเห็นได้
วา่ งานนี้ได้รบั โจทยจ์ ากชุมชน แล้วนักวชิ าการกับชุมชนร่วมกันหาทางแก้ปัญหา จนสามารถแก้ปญั หาได้ เกิด
การเปลย่ี นแปลงในชมุ ชนและสามารถขยายผลไปยงั สาขาวิชาอืน่ ได้ เช่น สาขาการออกแบบ (ลายผ้า) สาขาการ
บริหารจัดการ (กลุม่ ทอผ้า) สาขาการเกษตรกพ็ ฒั นาการปลูกฝ้ายพ้ืนเมอื งทีม่ ีสีในตัว เป็นตน้ ทั้งนี้ยงั สามารถ
เปน็ ตน้ แบบไปยงั ชมุ ชนอื่น ๆ ไดอ้ ีกดว้ ย

กระบวนการของการดำเนนิ งานดา้ นการผลิตผลงานวิชาการรบั ใช้สงั คม

การผลติ ผลงานวชิ าการรบั ใชส้ ังคมนน้ั เมือ่ ดำเนินการภาคปฏิบัติเสรจ็ แล้ว ต้องทำเปน็ เอกสารโดยมี
คำอธิ่บายประกอบผลงานน้นั เพอื่ ชี้ใหเ้ หน็ วา่ เปน็ ผลงานท่ีทำให้เกดิ การพฒั นาเป็นประโยชนต์ ่อสงั คม มีความ
เปลย่ี นแปลงทีด่ ขี นึ้ และเกิดความกา้ วหน้าทางวิชาการ หรอื เสริมสรา้ งความร้หู รอื กอ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ อ่
สาขาวชิ าหน่ึงหรือหลายสาขาวิชา โดยต้องปรากฏเปน็ ทป่ี ระจักษใ์ นประเด็นตอ่ ไปนี้ (การเขียนตัวเลม่ รายงาน
ผลงานจะตอ้ งประกอบดว้ ย 7 หัวข้อน้)ี

(1) การวิเคราะห์สภาพการณ์ก่อนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น: ต้องเขียนถึงปัญหาของชุมชนก่อน
ดำเนนิ งานใหช้ ัดเจน โดยแนวทางการเขียนคือ เขยี นถงึ ปญั หาท่ีเกิดจากความไม่รู้ จนพฒั นาสูโ่ จทยว์ จิ ยั

(2) การมสี ่วนร่วมและการยอมรับของสังคมเปา้ หมาย: ส่วนน้สี ามารถรายงานเปน็ บทสมั ภาษณ์ หรอื
วดี ิทศั นส์ มั ภาษณค์ นในชุมชนได้

42

(3) การออกแบบหรอื พฒั นาหรอื แนวคดิ หรอื กระบวนการทท่ี ำให้เกดิ การเปล่ียนแปลงน้ัน: หัวขอ้ นี้
ตอ้ งเขยี นใหช้ ัดเจนเปน็ 1) “ข้นั ตอน” เพอ่ื แสดงให้เห็น “กระบวนการ” ท่ที ำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลง รวมทงั้
2)แสดงผลการเปล่ยี นแปลงใหเ้ ป็นรปู ธรรม โดยสามารถเขียนในรูปแบบของผลผลิต-ผลลัพธ์ (Output-
Outcome) ได้

(4) ความรหู้ รอื ความเชย่ี วชาญที่ใช้ในการทำใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงนน้ั : สามารถเขียนแยกเป็นองค์
ความรู้ของแตล่ ะสาขาวชิ าทมี่ าบรู ณาการร่วมกัน แยกเป็นขอ้ ๆ ไดเ้ พอื่ ความชัดเจน

(5) การคาดการณส์ ง่ิ ทจ่ี ะตามมาหลังจากการเปลย่ี นแปลงไดเ้ กิดข้ึนแล้ว: สามารถเขยี นแยกเป็นหัวข้อ
ย่อยไดห้ ลายแบบตามความเหมาะสม เชน่ 1) ระดบั การบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ (ระยะสน้ั -ยาว ระบเุ ดือน-ป)ี และ
2) เขยี นระบถุ งึ ผลกระทบที่เกิดขึน้ (Effect ไมใ่ ช่ Outcome)

(6) การประเมินผลลพั ธ์โดยการตดิ ตามการเปลี่ยนแปลงทเ่ี กดิ ข้ึน: เขียนในรปู แบบการเลา่ เรอื่ งทเี่ ปน็
รปู ธรรม แยกขอ้ เป็นประเด็นทีละผลลพั ธไ์ ด้ เชน่ ผลงานไดร้ บั รางวลั มกี ารนำไปใช้เปน็ ต้นแบบในชมุ ชนอืน่ มี
ผลติ ภัณฑ์จากโครงการไดร้ บั การรบั รองมาตรฐาน มกี ารตอ่ ยอดองคค์ วามร้ไู ปในงานตา่ ง ๆ ฯลฯ

(7) การสรปุ แนวทางการธำรงรกั ษาหรอื การนำไปขยายผลหรอื การปรบั ปรุงพฒั นา : เขียนแนวทางใน
การตอ่ ยอดในอนาคต ทง้ั ในงานของชุมชนในพ้ืนที่ และงานวชิ าการ

ทั้งนี้ผลงานวิชาการรบั ใช้สังคมกำหนดใหม้ ีการเผยแพร่โดยการจัดเวทีนำเสนอผลงานในพื้นที่ หรือ
การเปดิ ใหเ้ ยี่ยมชมพืน้ ที่ และจะต้องมีการเผยแพร่สู่สาธารณชนอย่างกว้างขวางในลักษณะใดลกั ษณะหน่งึ ท่ี
สอดคลอ้ งกบั ผลงาน โดยการเผยแพรน่ ัน้ จะต้องมีการบนั ทกึ เป็นเอกสารหรือเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษรท่สี ามารถใช้
อา้ งองิ หรือศกึ ษาค้นควา้ ตอ่ ไปได้

ในส่วนของการประเมนิ คณุ ภาพผลงานนนั้ คณะกรรมการผทู้ รงคณุ วุฒจิ ะประเมินจาก
(1) เอกสารและหลักฐานประกอบการเสนอผลงาน
(2) หลักฐานอ่นื ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง เช่น การสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวขอ้ ง หรอื สารสนเทศจากหนว่ ยงานทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
(3) การตรวจสอบสภาพจริงท่มี ีอยใู่ นพื้นที่
ในส่วนของเทคนคิ ในการกา้ วสู่ตำแหนง่ ทางวชิ การดว้ ยการผลติ ผลงานวิชาการรบั ใช้สังคม คือ เทคนิค
การ “ร้เู รา-รูเ้ ขา” ซ่งึ มีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

43

(1) รู้เรา ไดแ้ ก่
- รู้ว่าเราถนัดงานอะไรบ้าง
- รวู้ า่ เราจำเป็นตอ้ งมพี ่เี ล้ียง และใครจะมาเป็นพเี่ ลีย้ งเราได้
- รวู้ า่ เราจบสาขาอะไร และศาสตรข์ องเราสามารถช่วยเหลอื สงั คมได้อยา่ งไรบา้ ง
- รวู้ ่าศาสตร์ของเราสามารถบรู ณาการกับสาขาอื่น ๆ ได้อย่างไร
- รู้ระเบียบ/กระบวนการดำเนนิ งานด้านการผลติ ผลงานวิชาการรับใช้สงั คมอย่างชัดเจน

(2) รู้เขา ได้แก่
- องค์กรที่สนับสนนุ งานของเราได้
- ความจำเป็นเรง่ ด่วนของโจทยป์ ญั หานั้น
- การรบั รูร้ ะดบั องคก์ รในทอ้ งถ่ินและสถาบนั ของเรา
- ทา่ ทขี องผู้บริหารระดับต่าง ๆ สนบั สนุนเราไหม

ปญั หาที่มักพบในการทำงานวิชาการรบั ใช้สงั คม
1. การตัง้ โจทย์ : มปี ัญหาท่พี บบอ่ ยดังนี้
- เร่มิ งานมอื เปลา่ ไม่รอู้ ะไรเลยเกยี่ วกบั พ้นื ท/่ี ชุมชนนัน้
- เรือ่ งใหญ่ หรอื เลก็ เกินไป ไม่สง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลง
- โจทยไ์ มเ่ ป็น Action คอื ปัญหาเชิงหลักการไมส่ ามารถลงมอื ปฏบิ ัตการแก้ปญั หาได้
- โจทยด์ ี แต่กำหนดวธิ จี ัดการปญั หาท่ีไมช่ ัดเจน หรือมวี ธิ แี กป้ ญั หาที่ดีกวา่ แต่ไมท่ ำ
- วิธกี ารกบั วัตถุประสงคไ์ มส่ มั พนั ธ์กนั เช่น วิธกี ารเล็ก แตว่ ตั ถปุ ระสงคใ์ หญ่
- ผลท่ีคาดวา่ จะได้รับเปน็ นามธรรม ไมส่ ามารถวัดผลการเปลย่ี นแปลงไดไ้ ด้
- โจทย์ไมน่ ่าสนใจ เพราะเป็นเรอื่ งพนื้ ๆ มคี นทำมามากแลว้ ไม่มโี จทย์ใหม่ ไมม่ ี
กล่มุ เปา้ หมายใหม่ หรอื วธิ กี ารใหม่
2. กระบวนการทำ : ปัญหาที่พบบ่อยไดแ้ ก่
- ชมุ ชนหรือนกั วชิ าการ ไมไ่ ด้มามสี ว่ นรว่ มอยา่ งแขง็ ขนั ในงาน

44

- นกั วิชาการห่างเหนิ กบั ชมุ ชน
- เรง่ รบี ทำงานแขง่ กบั เวลา จงึ ไดข้ อ้ มลู หรอื ผลลัพธ์ทไ่ี มด่ ี จนอาจทำให้ชมุ ชนไมย่ อมรบั

หรอื ไมเ่ กดิ ผลด้านการเปลี่ยนแปลงแกป้ ญั หา
3. การสรุปหรือการเขียน มปี ญั หาทีพ่ บบ่อยดงั น้ี

- ไมร่ วู้ ธิ กี ารเขยี น เขียนไมเ่ ป็นระบบ วางโครงสร้างไม่เปน็
- ไมม่ ีทฤษฎหี ลักประกอบการเขยี น
- ไม่มเี วลาเขยี น / มเี วลานอ้ ย
ตัวอย่างผลงานวิชาการรับใชส้ ังคม
- ส่อื สงฆ์ไทยไกลโรค โภชนบรู ณาการสวู่ ถิ ีสงฆ์ 4 ภูมภิ าค
- แนวทางการบรหิ ารจดั การรถโดยสาร ด้านความปลอดภยั สำหรบั นกั เรียนในเขตกรงุ เทพฯ
- การจดั การขยะอนิ ทรีย์ชมุ ชนดว้ ยไส้เดอื นดนิ
- การพัฒนาตลาดสามชุกในเชิงอนรุ กั ษ์
- ผา้ ปา่ ขยะ เปลีย่ นขยะให้เปน็ บญุ
- การสร้างความมัน่ คงดา้ นอาหาร: ข้าวพอกนิ ของชุมชนตำบลภูฟ้า ความร่วมมือของคนชาย
ขอบและเครอื ข่ายนักวชิ าการ
- โมเดลการสร้างสมรรถนะชมุ ชนในการแกป้ ญั หาโรคไข้เลอื ดออกอย่างยงั่ ยืน ในจงั หวดั
นครศรีธรรมราช

45

ภาคผนวก

ภาพกจิ กรรมการประชมุ การจัดการความรดู้ า้ นการวิจยั
คณะมนุษยศาสรแ์ ละนเิ ทศศาสตร์ ครง้ั ที่ 1

46

ภาคผนวก

รายชื่อผู้เขา้ รว่ มการประชุมการจดั การความร้ดู ้านการวจิ ัย
คณะมนุษยศาสตร์และนเิ ทศศาสตร์ ครงั้ ท่ี 1

Meeting Summary 30
Total Number of Participants
Meeting Title General
Meeting Start Time
11/24/2021, 1:12:58
Meeting End Time PM

Meeting Id 11/24/2021, 3:29:00
PM

70b567e8-e918-4a90-96bc-
c9448cb88dfd

Full Name Join Time Leave Time Duration
2h 15m
Nantaporn Polanun อ.นันทพร ผลอนนั ต์ 11/24/2021, 1:12:58 11/24/2021, 1m 22s
3:28:15 PM 39m 47s
PM 1h 28m
11/24/2021, 2h 12m
Pornnarong Pongklang พรณรงค์ พงษก์ ลาง 11/24/2021, 1:15:31 1:16:54 PM 32m 28s
9m 27s
PM 11/24/2021, 1h 25m
1:57:45 PM 1h 42m
Pornnarong Pongklang พรณรงค์ พงษ์กลาง 11/24/2021, 1:17:57 2h 10m
11/24/2021,
PM 3:27:40 PM

Pornnarong Pongklang พรณรงค์ พงษก์ ลาง 11/24/2021, 1:58:47 11/24/2021,
3:27:49 PM
PM
11/24/2021,
Siriwit Sukkun สิริวิทย์ สุขกนั ต์ 11/24/2021, 1:15:46 1:49:19 PM

PM 11/24/2021,
2:00:42 PM
Gheerathi Phaiboon อ.กรี ติ ไพบลู ย์ 11/24/2021, 1:16:51
11/24/2021,
PM 3:28:12 PM

Gheerathi Phaiboon อ.กรี ติ ไพบลู ย์ 11/24/2021, 1:51:14 11/24/2021,
3:00:19 PM
PM
11/24/2021,
Gheerathi Phaiboon อ.กรี ติ ไพบูลย์ 11/24/2021, 2:02:50 3:27:34 PM

PM

Narumol Pongprasert อ.นฤมล พงษ์ 11/24/2021, 1:17:23

ประเสริฐ PM

Kriangsak Phramphun เกรียงศักดิ์ พราหมณ 11/24/2021, 1:17:25

พนั ธุ์ PM

47


Click to View FlipBook Version