46 | ปีที่ 13 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) จุรีมาศ ดีอ้ามาตย์
PRODUCT DEVELOPMENT OF ASHURE WITH SAFFLOWER-WATER SUBSTITUTE
Jureemart Deeammart1*
Abstract
Research on the product development of ashure with substitute safflower-water. A
case study of Bueng Kohai Sub District, Lamlukka District, Pathumthani Province. The purpose is
to develop a dessert product and to study the physical properties of the confectionery products.
The community has described the history of the ashure The Prophet (peace and blessings of
Allaah be upon him) was one of the 25 prophets of the Prophet Muhammad (peace and
blessings of Allaah be upon him). It was ordered to ship a large junk. To transport organisms,
plants, etc., when the water on the earth is not left alive. So Nun (n) ordered the beans on the
boat to be made into food. By mixing the water together, the liquid can be shared equally so
that it can be kept alive at that time. (Imam Ibnaka, 2013). Asu Pao also communicates with the
community in the community (Sanee Woocharoen, 2009). Community Researchers have
adopted the recipe of ashure. By adjusting the texture, reduce the black sesame. The results
showed that the dessert had a grinding process. And can reduce the amount of sesame in the
desserts 50%, but also cause the color of the product remains dark. The sesame seeds are white
sesame. And safflower water to replace water. The replacement of the safflower juice is
appropriate 30% of the product is still used raw materials, but the type of raw materials. Still
have a consistent appearance. The resolution is homogeneous. Yellow safflower the smell and
taste. And soft enough to be formed. When physical testing found that ashure recipe base
comparison of ashure wafer substitute safflower water. The color of dessert the yellow color of
safflower flowers. Texture value hardness ( 1038.78 แ ล ะ 1246.96), adbesiveness (-471.58 and -
348.49), springiness (0.25 and 0.59), gumminess (219.34 and 610.13), chewiness (63.47 and
343.30) were not significantly different Significance But the cohesiveness values (0.21 and 0.47)
were different. Ashure has been crushed to make the texture is soft. And a good homogeneous.
Keywords : Ashure Dessert Safflower Physical analysis
1 Home Economics Program in Faculty of Science and Technology, Valaya Alongkorn Rajabhat University
Under The Royal Patronage
* Corresponding author, e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 47
บทนา้
ขนมอาซูรอ เป็นขนมที่ผลิตตามประเพณีท้องถ่ินของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาซูรอ
หรือขนมบูโบรซ์ ูรอ เป็นภาษา อาหรับ แปลว่า การผสม การรวมกัน คือ การน้าสิ่งของท่ีรับประทานหลายอย่าง
มากวนรวมกนั ใหเ้ ป็นเนอื เดียวกันคล้ายขนมเปียกปนู (สารานกุ รมวัฒนธรรมภาคใต้, 2542) มชี นิดคาวและหวาน
การกวนขนมอาซูรอจะท้าในช่วงเดือนรอมฏอนของศาสนาอิสลามแค่เดือนเดียว (ซึ่งเดือนรอมาฎอนตรงกับ
เดือนมีนาคมของปฎิทินสากล) เปรียบเสมือนเดือนแรกของฮิจเราะห์ศักราชของศาสนาอสิ ลาม ที่แสดงถึงอัตลักษณ์
แห่งสมานฉันทจ์ ะมีประเพณีเกิดขึนในทกุ ๆ ปขี นมอาซรู อถอื เปน็ ขนมพเิ ศษท่ีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เปน็ ขนม
ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสิ่งส้าคัญอีกอย่างก็คือ ชาวมุสลิมท้าขนมอาซูรอเพื่อพลังแห่งความสามัคคีของ
ชาวบา้ นที่ร่วมมอื ร่วมใจกนั ลงมือกวนขนมอาซูรอ และการกวนอาซูรอนีเพ่ืออนุรกั ษว์ ัฒนธรรมพืนบ้านเก่าแกข่ อง
ชาวไทยมุสลิมและเสริมสร้างความสามัคคีภายในหมบู่ ้าน ซ่ึงวัตถุดิบที่ใช้สามารถหาไดง้ ่ายในท้องถ่ิน เช่น ถ่ัวด้า
ถั่วลิสง ถ่ัวเขียว งาด้า ข่า ตะไคร้ หอมแดง ข้าวสาร เม็ดผักชี เม็ดยี่หร่า น้าตาลป๊ีบ กะทิ เกลือ เป็นต้น
ซ่ึงลักษณะของขนมอาซรู อจะมีสีด้า และสนี า้ ตาล ประกอบกบั พืนผิวด้านนอกค่อนขา้ งขรุขระ เนอื สัมผัสไมเ่ นียน
รสชาติหวานมนั มกี ล่นิ หอมของวัตถุดิบ (ศณีรา หวังเจริญ, 2552)
จากท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยมีความสนใจภูมิปัญญาท้องถ่ิน ของต้าบลบึงคอไห อ้าเภอล้าลูกกา
จังหวัดปทมุ ธานี ซ่ึงเปน็ ชมุ ชนทมี่ ีการสืบทอดและอนุรักษ์ขนมพืนบ้านของชาวมสุ ลมิ โดยการพัฒนาขนมอาซูรอ
ทดแทนน้าดอกค้าฝอย เพือ่ ช่วยปรบั ปรงุ ดา้ นสีและกลิน่ ให้นา่ รบั ประทานยง่ิ ขึน โดยใชด้ อกค้าฝอยท่เี ป็นสมนุ ไพร
ของไทย มปี ระโยชนแ์ ละมสี รรพคณุ ทางยา เช่น ช่วยลดไขมนั ในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอดุ ตันในเส้นเลือด และช่วย
ป้องกันไม่ให้เลือดเกาะตัวกันเป็นล่ิมเลือด เป็นต้น (จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก, 2557) ซึ่งการพัฒนาครังนี เพ่ือการ
พัฒนาผลิตภณั ฑ์ และตอ้ งการเผยแพร่วฒั นธรรมและส่งเสริมให้ขนมพนื บ้านอาซูรอเป็นทีร่ จู้ กั มากยิ่งขนึ
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
1. เพอื่ พัฒนาผลติ ภัณฑข์ นมอาซรู อทดแทนนา้ ดอกค้าฝอย
2. เพอื่ ศกึ ษาทางกายภาพของผลติ ภณั ฑข์ องขนมอาซรู อทดแทนนา้ ดอกคา้ ฝอย
วธิ ดี ้าเนินการวิจยั
1. พัฒนาผลิตภณั ฑ์ขนมอาซูรอทดแทนนา้ ดอกค้าฝอย
1.1 การศึกษาปริมาณการลดงาด้าปรับสีในผลิตภณั ฑข์ นมอาซูรอ
จากการการศึกษาของขนมอาซูรอ มีวัตถุดิบบางชนิดท้าให้ลักษณะทางประสาทสัมผัสด้านสี
ของขนมคล้าไม่น่ารับประทาน ผู้ท้าวิจัยได้จึงต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม้ ีสที ี่น่ารบั ประทานมากย่ิงขึน ซ่ึงขนมอาซรู อ
มีวัตถุดิบที่ทา้ ใหส้ ีด้า ได้แก่ งาด้า ถั่วด้า ถ่ัวเขียว เป็นต้น ดังนันจึงมีการปรับลดปริมาณงาด้า คือ ร้อยละ 0, 10,
30 และ 50 คดิ จากปรมิ าณงาด้า (50 กรมั ) เน่อื งจากงาดา้ มีผลต่อปรมิ าณสใี นผลติ ภัณฑ์มากท่ีสุด โดยตรวจสอบ
คุณภาพทางประสาทสัมผัสโดยให้ผู้ทดสอบที่ไม่ผ่านการฝึกฝน จ้านวน 30 คน จ้านวน 2 ซ้า โดยวิธีการ
ให้คะแนนความชอบ 9 ระดับ (9 point hedonic scale) จากนันน้าผลวิเคราะห์มาเปรียบเทียบความแตกต่าง
โดยวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย Duncan is new multiple rang test
ที่ระดบั ความเชือ่ มนั่ อย่างมีสา้ คัญทางสถติ ริ อ้ ยละ 95
48 | ปที ี่ 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) จรุ มี าศ ดอี ้ามาตย์
1.2 การศกึ ษาปริมาณน้าดอกค้าฝอยที่เหมาะสมในผลติ ภัณฑข์ นมอาซรู อ
จากการปรับลดปริมาณงาด้า มีผลท้าให้สีในผลิตภัณฑ์ยังคงมีสีคล้า จึงท้าการเปลี่ยนงาด้า
เป็นงาขาว และน้าน้าดอกค้าฝอยทดแทนน้าสะอาด เพื่อพัฒนาด้านสีในผลิตภัณฑ์ให้น่ารับประทานมากขึน
โดยการศึกษาน้าดอกค้าฝอย 100 กรัม แช่น้าร้อน 1,000 กรัม แช่นานประมาณ 30 นาที จากนันกรองเอา
แต่น้าดอกค้าฝอย แล้วแบ่งใส่เป็นอัตราส่วน โดยมีการก้าหนดปริมาณน้าดอกค้าฝอยต่อน้าสะอาด คือ ร้อยละ
10:90, 20:80 และ 30:70 ตามล้าดับ คิดจากปริมาณน้าทังหมด (1,350 กรัม) โดยตรวจสอบคุณภาพ
ทางประสาทสัมผัสโดยให้ผู้ทดสอบท่ีไม่ผ่านการฝึกฝน จ้านวน 30 คน จ้านวน 2 ซ้า โดยวิธีการให้คะแนน
ความชอบ 9 ระดับ (9 point hedonic scale) จากนันน้าผลวิเคราะห์มาเปรียบเทียบความแตกต่าง โดยวิเคราะห์
ความแปรปรวน (ANOVA) และเปรียบเทียบค่าเฉล่ียด้วย Duncan is new multiple rang test ที่ระดับความเชื่อมั่น
อยา่ งมสี า้ คญั ทางสถติ ริ ้อยละ 95
2. ศึกษาทางกายภาพของผลิตภัณฑข์ องขนมอาซรู อ
2.1 การทดสอบค่าสี ซงึ่ วดั ค่า ความสวา่ ง (L) คา่ สีเขียว (a*) คา่ สีเหลือง (b*) โดยเครอื่ ง Color
meter ทดสอบ 3 ซา้ หาคา่ เฉลย่ี และวิเคราะหผ์ ล t-test
2.2 การทดสอบคา่ เนือสมั ผัส ซ่งึ วดั ค่าความแขง็ (Hardness) คา่ การเกาะตดิ (Adbesiveness)
ค่าความยืดหยุ่น (Springiness) ค่าการเกาะตัว (Cohesiveness) และค่าคืนตัว (Resilience) โดยเคร่ืองวัด
เนอื สัมผสั (Texture Analyzer) ทดสอบ 5 ซ้า หาคา่ เฉลย่ี และวเิ คราะหผ์ ล t-test
ผลการวจิ ัยและอภิปรายผล
1. ผลการศกึ ษาปรมิ าณการลดงาด้าในผลติ ภณั ฑ์ขนมอาซรู อ
จากการศึกษาของขนมอาซูรอ มีวัตถุดิบบางชนิดท้าให้ลักษณะทางประสาทสัมผัส ด้านสีของขนม
ไม่น่ารับประทาน ผู้ท้าวิจัยได้จึงต้องการพัฒนาคุณภาพของขนมอาซรู อให้ดขี ึน ซึ่งขนมอาซูรอมีวัตถุดิบท่ีท้าใหส้ ดี ้า
ได้แก่ งาดา้ ถ่วั ดา้ ถ่วั เขยี ว เป็นต้น จึงมีการพฒั นาปรับลดปริมาณงาดา้ 3 ระดบั คือ รอ้ ยละ 0, 10, 30 และ 50
คิดจากปริมาณงาดา้ (50 กรัม) ทดสอบการยอมรบั ทางประสาทสัมผสั ในด้านลกั ษณะปรากฏ สี เนือสัมผัส และ
ความชอบโดยรวม ผลการทดลองพบว่า สามารถปรับลดปริมาณงาด้า ได้ร้อยละ 50 เนื่องจากมีคะแนน
ความชอบเฉลี่ยด้านประสาทสัมผัสสูงสุด แต่ยังคงมีสีด้าคล้าจึงเปลย่ี นงาด้าเป็นงาขาวในปริมาณเดิม แล้วน้ามา
ทดแทนนา้ ดอกคา้ ฝอย แสดงผลดงั ตารางที่ 1
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 49
ตารางที่ 1 การทดสอบทางประสาทสัมผัสของขนมอาซรู อท่ีเหมาะสมในการปรับลดระดบั งาด้า
คุณลักษณะ ปริมาณการปรับลดงาดา้ (รอ้ ยละ)
ลกั ษณะปรากฏ 0 50 70 90
สี 6.45±0.13b 7.51±0.13a 6.48±0.12b 6.11±0.16b
เนือสัมผสั 6.43±0.16b 7.30±0.12a 6.26±0.13b 6.11±0.15b
ความชอบโดยรวม
6.71±0.11b 7.21±0.13a 6.70±0.13b 6.60±0.15b
7.35±0.14b 8.68±0.06a 7.45±0.16b 7.31±0.13b
หมายเหตุ a-b หมายถึง ค่าเฉล่ียของข้อมูลท่ีอยู่ในแนวนอนเดียวกัน ท่ีมีตัวอักษรมีความแตกต่างกันอย่างมี
นัยส้าคัญทางสถิติ(P ≤ 0.05)
ร้อยละ 0 ร้อยละ 50 ร้อยละ 70 ร้อยละ 90
ภาพที่ 1 ขนมอาซูรอปรับลดระดบั งาด้าทงั 4 ระดบั
2. ผลการศกึ ษาปรมิ าณนา้ ดอกคา้ ฝอยท่เี หมาะสมในผลติ ภัณฑข์ นมอาซูรอ
จากการปรับลดปริมาณงาด้า มีผลท้าให้สีในผลิตภัณฑ์ยังคงมีสีคล้า จึงท้าการเปลี่ยนงาด้าเป็นงา
ขาว และน้านา้ ดอกค้าฝอยทดแทนน้าสะอาด เพ่ือพัฒนาด้านสีในผลิตภัณฑใ์ ห้นา่ รับประทานมากขึน อีกทังดอก
ค้าฝอยยังมีคุณค่าทางอาหาร และมีสรรพคุณทางยามากมาย จึงน้าดอกค้าฝอยมาทดแทนในขนมอาซูรอ โดยมี
การก้าหนดปริมาณน้าดอกค้าฝอยต่อน้าสะอาด คือ ร้อยละ 10:90, 20:80 และ 30:70 ตามล้าดับ คิดจาก
ปริมาณน้าทังหมด (1,350 กรัม) ทดสอบการยอมรับทางประสาทสัมผัสในด้านลักษณะปรากฏ กล่ิน สี
(ดอกค้าฝอย) และความชอบโดยรวม ผลการทดลองพบว่า สามารถทดแทนน้าดอกค้าฝอยตอ่ น้าสะอาด ร้อยละ
30:70 เนื่องจากมีคะแนนความชอบเฉล่ียด้านประสาทสัมผัสสูงสุด อีกทังยังมีสีและกล่ินของดอกค้าฝอย
ท่ีเหมาะสม จากการได้ระดับที่เหมาะสมจะท้าให้มแี นวโน้มในการใช้วัตถุดิบทีใ่ ห้สแี ละกลนิ่ อ่ืนไดอ้ ีก เช่น ใบเตย
อัญชนั กระเจ๊ียบ เปน็ ตน้ แสดงผลดังตารางท่ี 2
50 | ปีที่ 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) จรุ ีมาศ ดีอ้ามาตย์
ตารางที่ 2 การทดสอบทางประสาทสมั ผสั ของขนมอาซรู อในการทดแทนนา้ ดอกคา้ ฝอยที่เหมาะสม
คุณลกั ษณะ การทดแทนน้าดอกคา้ ฝอยต่อน้าสะอาด (ร้อยละ)
ลักษณะปรากฏ 10:90 20:80 30:70
กล่ิน
6.20±0.20b 6.10±0.20b 7.16±0.28a
สี(ดอกคา้ ฝอย) 5.90±0.22b 6.30±0.20b 7.13±0.27a
ความชอบโดยรวม 6.06±0.23b 6.13±0.18b 7.46±0.22a
6.13±0.20b 6.23±0.15b 7.50±0.20a
หมายเหตุ a-b หมายถงึ คา่ เฉลย่ี ของข้อมูลทอี่ ยู่ในแนวนอนเดยี วกนั ทมี่ ตี วั อักษรตา่ งกันมีความแตกตา่ งกันอย่าง
มีนัยส้าคญั ทางสถิติ (p ≤ 0.05)
รอ้ ยละ 10:90 รอ้ ยละ 20:80 ร้อยละ 30:70
ภาพที่ 2 ขนมอาซรู อทดแทนนา้ ดอกคา้ ฝอยทัง 3 ระดบั
3. ผลการทดสอบทางกายภาพขนมอาซรู อทดแทนนา้ ดอกคา้ ฝอยและขนมอาซูรอสูตรพนื ฐาน
3.1 ผลการทดสอบค่าสี พบว่า ขนมอาซูรอทดแทนน้าดอกค้าฝอยเปรียบเทียบสูตรขนมอาซูรอ
พืนฐานมีค่า L ค่าความสว่างใกล้เคียงกัน (ค่า L เท่ากับ 34.73 และ 32.33) ส่วนค่า a* มีความแตกต่างกัน
จากสูตรพืนฐาน เนื่องจากมีค่าสีแดงมากกว่า (a* เท่ากับ 1.00 และ -3.83) ส่วน ค่า b* มีค่าสีเหลืองมากกว่า
เนื่องจากน้าดอกค้าฝอย (ค่า b* เท่ากับ 18.16 และ 8.23) จากค่าสีที่วิเคราะห์ได้ขนมอาซูรอสูตรพืนฐานมีสีด้าคล้า
ส่วนขนมอาซูรอนา้ ดอกคา้ ฝอยมสี ีเหลืองเขม้ เน่อื งจากดอกค้าฝอยให้สีเหลอื ง
3.2 ผลการทดสอบค่าเนือสัมผสั พบวา่ ขนมอาซูรอทดแทนน้าดอกค้าฝอยเปรียบเทียบขนมอาซูรอ
สูตรพืนฐาน มีค่าความแข็ง (1246.96 และ 1038.78) ค่าการเกาะติด (-348.49 และ -471.58) ความยืดหยุ่น
(0.59 และ 0.25) ค่าความเหนียว (610.13 และ 219.34) ค่าการบดเคียว (343.30 และ63.47) ไม่แตกต่างกัน
อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ แต่ค่าการเกาะตวั (เท่ากับ 0.47 และ 0.21) มีความแตกต่างอย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 51
เนื่องจากขนมอาซูรอได้ท้าการบดละเอียดท้าให้เนือสัมผัส มีความเหนียวนุ่ม รวมตัวเป็นเนือเดียวกันได้ดี
แสดงผลดงั ตารางท่ี 3
ตารางที่ 3 ทดสอบทางกายภาพขนมอาซรู อเปรียบเทียบสตู รพืนฐานและสูตรทีพ่ ัฒนาแล้ว
ปัจจยั คุณภาพ ขนมอาซูรอ ขนมอาซรู อ
สตู รพืนฐาน ทดแทนน้าดอกคา้ ฝอย
คา่ สี
L ns 32.33 ± 0.55 34.73 ± 0.65
a* -3.83 ± 0.57* 1.00 ± 0.52*
b * ns 8.23 ± 0.15 18.16 ± 1.22
คา่ เนือสัมผัส 1038.78 ± 13.32 1246.96 ± 9.78
ค่าความแข็ง (Hardness) ns -471.58 ± 12.96 -348.49 ± 6.75
ค่าการเกาะติด (Adbesiveness) ns
คา่ ความยดื หยนุ่ (Springiness) ns 0.25 ± 0.06 0.59 ± 0.03
ค่าการเกาะตัว (Cohesiveness) 0.21 ± 0.01* 0.47 ± 0.01*
ค่าความเหนียว (Gumminess) ns 219.34 ± 6.58 610.13 ± 17.76
คา่ การบดเคยี ว (Chewiness) ns 63.47 ± 2.23 343.30 ± 17.97
ขนมอาซูรอสตู รพืนฐาน ขนมอาซูรอทดแทนน้าดอกคา้ ฝอย
ภาพที่ 3 ขนมอาซูรอสตู รพนื ฐานและขนมอาซรู อทีผ่ ่านการพัฒนาแล้ว
52 | ปีที่ 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) จรุ ีมาศ ดอี ้ามาตย์
สรปุ
การพัฒนาผลิตภณั ฑ์ขนมอาซูรอทดแทนน้าดอกคา้ ฝอย กรณีศึกษาต้าบล บึงคอไห อ้าเภอล้าลูกกา
จังหวัดปทุมธานี จากการศึกษาภาคสนามโดยการลงพืนท่ีสอบถามและจดบันทึกจากกลุ่มแม่บ้าน ได้อธิบาย
ความเป็นมาของขนมอาซูรอไว้ดังนี ประเพณีกวนขนมอาซรู อ จัดขึนเพ่ือเป็นการร้าลกึ ถึงท่านศาสดานบีนุฮ (อ)
ที่มีต่อชาวมุสลมิ และเชื่อว่าเป็นการเร่มิ ต้นชีวิตใหมห่ ลังน้าท่วมโลก ท้าให้เกิดความสามัคคี เอือเฟ้ือเผือ่ แผซ่ ึ่งกนั
และกัน เนื่องจากชาวบ้านในหมู่บ้านมารวมตัวกันเพ่ือท้าขนมอาซูรอในช่วงเดือนรอมฏอน ซึ่งขนมมีส่วนผสม
ที่เป็นวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วด้า งาด้า ถ่ัวลิสง ข่า ตะไคร้ หอมแดง กะทิ น้าตาลปี๊บ เกลือป่น ข้าวสาร
ลูกผักชี ย่ีหร่า และวิธีการปรุงประกอบโดยการบด คั่ว ต้ม กวน โดยมีกลิ่นหอมจากเคร่ืองเทศ มีรสหวานกลม
กลอ่ มและมีสีจากวตั ถดุ บิ ดงั นันจงึ นา้ มาพัฒนาโดยใช้วัตถดุ ิบหลกั และกรรมวิธดี งั เดิม ซึ่งการทดสอบนีมีการปรับ
ระดับงาด้า พบว่า ขนมอาซูรอสามารถลดระดับงาด้าได้ร้อยละ 50 และมีวิธีการบดละเอียด มีผลท้าให้สี
ในผลิตภัณฑ์ยังคงมีสีคล้า จึงท้าการเปล่ียนงาด้าเป็นงาขาว และน้าน้าดอกค้าฝอยมาทดแทนน้าสะอาด
ซ่ึงสามารถปรบั น้าดอกค้าฝอยไดร้ ้อยละ 30 เพื่อพัฒนาด้านสใี ห้น่ารับประทานมากขึน เมื่อทดสอบทางกายภาพ
ขนมอาซูรอทดแทนน้าดอกคา้ ฝอยเปรยี บเทียบขนมอาซูรอสูตรพืนฐานพบว่า ค่าสี มีค่า L ไม่แตกต่างกัน ค่า a*
มีความแตกต่างกัน ส่วน ค่า b* ไม่แตกต่างกัน จากค่าสีที่วิเคราะห์ได้ขนมอาซูรอน้าดอกค้าฝอยมีสีเหลืองเข้ม
เน่ืองจากดอกค้าฝอยให้สีเหลือง ส่วนค่าเนือสมั ผัส พบว่า มีค่าความแข็ง ค่าการเกาะติด ความยดื หย่นุ ค่าความเหนียว
ค่าการบดเคียว ไม่แตกตา่ งกัน แต่ค่าการเกาะตัว มีความแตกตา่ งกัน เนื่องจากขนมอาซูรอไดท้ ้าการบดละเอียด
ท้าให้เนือสัมผัสมีความเหนียวนุ่ม และมีการรวมตวั เป็นเนือเดียวกันไดด้ ี ดังนันผลิตภณั ฑ์สามารถปรับใหม้ ีความ
หลากหลาย เพ่อื เปน็ ทางเลอื กให้แกผ่ ู้บรโิ ภค และสามารถเพิ่มคุณคา่ ทางโภชนาการในผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งหากมีการ
พัฒนาควรปรับเสริมสมุนไพร ผักผลไม้ หรือธัญพืช ชนิดอื่นๆ เป็นต้น เพื่อลักษณะทางประสาทสัมผัส ด้านสี กล่ิน
และรสชาติ ทด่ี ขี ึนอกี ดว้ ย
ข้อเสนอแนะ
1. ควรเพ่ิมคุณค่าทางโภชนาการโดยการเสริมน้าสมุนไพรหรือน้าธัญพืชอื่นๆ เช่น น้าใบเตย น้าอัญชัน
ฯลฯ ซึ่งสามารถปรบั ปรุงด้านสี กล่ิน และรสชาติใหก้ ับผลิตภณั ฑ์
2. ควรศกึ ษาอายุการเก็บรกั ษาของผลติ ภณั ฑ์โดยวธิ ีการตา่ งๆ เช่น การแช่แขง็ ถงุ ฟรอยด์อลมู ิเนียม
การท้าแหง้ เปน็ ต้น
เอกสารอา้ งอิง
จไุ รรัตน์ เกดิ ดอนแฝก. (2557). ดอกค้าฝอย, สบื คน้ เม่ือวนั ที่ 26 ตุลาคม 2559.
http://www.Bookmuey.com.
ศณีรา หวังเจรญิ . (2552). ประเพณีกวนขนมอาซรู อ, สบื คน้ เม่ือวนั ท่ี 27 กนั ยายน 2559. http://thaiculture
024.blogspot.com.
สารานุกรมวฒั นธรรมภาคใต้. (2542). ความหมายหมายของขนมอาซูรอ. กรงุ เทพฯ : มูลนธิ ิสารานกุ รมไทย.
อิมาน อิบนกุ ะซีร และบรรจง บนิ กาซัน. (2556). เรอ่ื งราวของบรรดานบี. กรงุ เทพฯ : ศนู ย์หนังสืออสิ ลาม.
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 53
ฤทธ์ติ า้ นอนุมลู อสิ ระและสารประกอบฟนี อลิกของเมล็ดและเนื้อมะม่วงไมร่ ู้โห่
ณพฐั อร บวั ฉนุ 1*
บทคดั ยอ่
งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบของสารสกัดหยาบเมล็ด
และเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่ โดยนาเมล็ดและเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่ มาสกัดแบบต่อเนื่องด้วยตัวทาละลายอินทรีย์
ผลการวิจัยพบว่า สารสกัดเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่ มีร้อยละผลผลิตสูงกว่าสารสกัดเมล็ดมะม่วงไม่รู้โห่ สารสกัด
เนื้อมะม่วงไม่รู้โห่ มีปริมาณฟีนอลิกท้ังหมด (41.27 ถึง 10.20 mgGAE/g) มากกว่าสารสกัดเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่
(39.74 ถึง 11.00 mgGAE/g) และสารสกดั เน้ือมะม่วงไมร่ ้โู ห่ มีปริมาณแทนนินทั้งหมด (65.21 ถงึ 35.14 mg/g)
มากกวา่ สารสกัดเนื้อมะม่วงไมร่ ้โู ห่ (65.10 ถึง 37.00 mg/g) และพบสารประกอบกลมุ่ สารหลักคือ สารฟลาโวนอยด์
เตอรอยด์-เทอร์นส์ และ สารอลั คาลอยด์ของสารสกดั หยาบเมลด็ และเนอ้ื มะม่วงไม่รโู้ ห่ นอกจากน้ีสารสกัดหยาบ
เน้ือมะมว่ งไมร่ ู้โห่ มีฤทธต์ิ ้านอนมุ ลู อิสระ (30.21 ถึง 71.01%) และเมล็ดของมะม่วงไม่รูโ้ ห่ แสดงฤทธิต์ ้านอนมุ ลู
อสิ ระดที ่ีสุด (33.15% ถงึ 51.02%) ในทุกๆ ความเข้มข้น
คาสาคัญ : สารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระ ปรมิ าณสารฟนี อลิกทงั้ หมด มะมว่ งไม่รโู้ ห่
1 สาขาเคมี คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จงั หวดั ปทุมธานี
*ผนู้ พิ นธ์หลัก e-mail: [email protected]
54 | ปที ี่ 13 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉุน
ANTIOXIDANT ACTIVITY AND TOTAL PHENOLIC FROM SEEDS AND FRUITS OF CARISSA
CARANDAS
Napattaorn Buachoon1*
Abstract
The objective of this research was to study the antioxidant activity and total phenolic
from seeds and เนื้อ Carissa carandas. Continuous Soxhlet extraction was used to prepare the
leaf and fruits extracts with seven organic solvents. The percent yields of fruits extracts were
higher than the seed extracts. Moreover, the fruits extracts showed higher total phenolic content
(41.27 to 10.20 mgGAE/g) than seed extracts (39.74 to 11.00 mgGAE/g) and the fruits extracts
showed higher total tannin content (65.21 ถึง 35.14 mg/g) than seed extracts (65.10 ถึง 37.00
mg/g). In addition, the เนื้อ extracts was also more active (30.21 to 71.01%) than seed extracts
(33.15% to 51.02%) on DPPH inhibitory activity in every concentrations.
Keywords : Antioxidant activity, Total phenolic, Carissa carandas
1 Chemistry Program , Faculty of Science and Technology, Valaya Alongkorn Rajabhat University under the
Royal Patronage
* Corresponding author, e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 55
บทนา
มะม่วงไม่รู้โห่ (Carissa carandas) มีช่ือสามญั คือ Karanda, Carunda และ Christ’s thorn หรือ
ชื่อพ้ืนเมืองอื่น ๆ เช่น หนามแดง มะม่วงไม่รู้โห่ เป็นผลไม้โบราณพ้ืนเมืองชนิดหน่ึงที่สามารถเก็บเกี่ยวผล
ได้ตลอดท้ังปี แตจ่ ะมมี ากในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม–กรกฎาคม ดอกมสี ีชมพูหรือแดงออ่ น และมกี ลิน่ หอม
อ่อนๆ ออกดอกตลอดปี ผลอ่อนจะมีสีชมพูอ่อนๆ และค่อยๆ เข้มข้ึนเป็นสีแดง จนกระท่ังสุกจึงกลายเป็นสีดา
เมล็ดแบน มี 6 เมล็ด เน่ืองด้วยผลสุกของมะม่วงไม่รู้โห่มีสีเข้มมากจนถึงดาจึงจัดเป็นแหล่งของแอนโทไซยานนิ
(anthocyanin) ท่ีสาคัญ และจากรายงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่าแอนโทไซยานินเป็นหน่ึงในกลุ่มของรงควัตถุ
ท่มี ีศักยภาพในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรือ้ รงั ได้ ซงึ่ ปจั จบุ ันผู้บริโภคเริ่มรู้จกั และตอ้ งการผลมะมว่ งไมร่ ู้โห่มากขน้ึ
เพราะทางวิชาการระบุว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากตามไปด้วยและเป็นตัวช่วย
ป้องกันการเกิดโรคหลายโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น และในมะม่วงไม่รู้โห่อาจจะมี
ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าในผักและผลไม้ตามท้องตลาดท่ัวไปอีกด้วย การศึกษาเบ้ืองต้นพบว่า
สารสกัดของมะมว่ งไม่รู้โห่ยงั ประกอบดว้ ยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ เช่น สารโฟลีฟีนอลกิ (polyphenolic)
ฟลา โวนอยด์ (flavonoid) ฟลาวาโนน (flavanone) วิตามิน ซี อัลคาลอยด์ (alkaloid) ซาโปนิน (saponin)
และ แทนนนิ (tannins) ซ่ึงสารเหลา่ นนี้ อกจากจะมคี วาม สามารถในการตา้ นอนมุ ลู อสิ ระแลว้ ยงั มคี วามสามารถ
ในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน (antidiabetic) และป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง (anticancer) (สกุลกานต์
และคณะ, 2556; Kubola et al., 2011; Itankar et al., 2011; Gupta et. al., 2014) จึงมีการนาผล มะม่วงหาว
มะนาวโหม่ าใช้เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านและ แปรรูปเป็นผลติ ภัณฑอ์ าหารต่างๆ เช่น ดอง แช่อิ่ม แยม เยลล่ี และ
เครื่องดื่ม เป็นต้น และนอกจากน้ียังไดม้ ีการศึกษาฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระเมอื่ สกัดด้วยกรดไฮโดรคลอริกร้อยละ 1
ใน 95% เอทานอล (ชนานันท์ สุวรรณปิฏก และ มยุรี กัลยาวัฒนกุล, 2557) และพบว่าผลสุกสีม่วงเข้ม
ประกอบด้วยสารกลุ่มแอนโทไซยานิน มีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ (จุฑามาศ สื่อประสาร, ทานตะวัน พิรักษ์ และ
ศิรพิ ร เรยี บรอ้ ย, 2556)
อนุมูลอิสระ (Free radicals) คือ โมเลกุลของสารท่ีมอี ิเลก็ ตรอนอิสระอยใู่ นวงนอกของอะตอมหรอื
โมเลกุล มีความไม่คงตัว จึงว่องไวต่อการทาปฏิกิริยา สามารถท่ีจะเข้าทาปฏิกิริยากับสารชีวโมเลกุลต่างๆ ที่อยู่
รอบข้างในทันทีที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่องค์ประกอบตา่ ง ๆ ของเซลล์ท่ีอยู่ภายในร่างกาย
เช่น การเกิดรว้ิ รอยเห่ียวยน่ (Wrinkle) หรือเป็นมะเรง็ ผิวหนงั บางชนิด หรืออาจจะเกิดในระบบหัวใจและหลอด
เลือดส่งผลให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว ดังนั้น สารท่ีสามารถต้านอนุมูลอิสระและต้านการเกิดออกซิเดชัน จึงมี
บทบาทในการปอ้ งกันหรือยับยงั้ ความรนุ แรงของอาการหรือโรคที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้อนมุ ูลอิสระ
ยังเป็นสาเหตทุ ี่ทาใหผ้ ลิตภณั ฑท์ ม่ี ไี ขมันเป็นส่วนประกอบเชน่ อาหาร เครอื่ งสาอาง เกิดการหนื ได้
สารต้านอนุมูลอิสระซ่ึงมีอยู่ในผัก ผลไม้และสมุนไพรสามารถหยดุ ยั้งอนุมูลอิสระท่ีเป็นสาเหตุทาให้
เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ รวมท้ังโรคอัลไซเมอร์ (ณพัฐอร บัวฉุน, 2558) ดังน้ัน
การศึกษาสารต้านอนุมูลอิสระในผัก ผลไม้และสมุนไพรจึงได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน เช่นเดียวกับ
มะม่วงไม่รู้โห่ ซ่ึงมีการกล่าวอ้างสรรพคุณต่างๆ ตามภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้รับการถ่ายทอดมาเป็น เวลานาน
โดยนาไปใช้ประโยชน์ทางด้านเป็นยาและอาหาร รวมทั้งยังเป็นพืชทนแล้งและทนต่อมลพิษจากส่ิงแวดล้อม
จึงควรมีการเผยแพร่สรรพคุณและส่งเสริมให้มีการปลูกและนาไปใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามรายงาน
ผลการศึกษาหรือข้อมูล ทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนการกล่าวอ้างดังกล่าวยังไม่เพียงพอ และต้องอาศัยข้อมูล
ทางวิทยาศาสตร์เป็นปัจจัยหลักท่ีช่วย สนับสนุนและผลักดันให้บรรลุผลดังกล่าว ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงเน้นศึกษา
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบฟีนอลิกของเมล็ดและเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่ ฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระและ
56 | ปที ่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บวั ฉุน
สารประกอบฟีนอลิกของเมล็ดและเน้ือมะม่วงไม่รู้โห่ และเพ่ือเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับสมุนไพรไทยและเป็น
ข้อมลู พื้นฐานในการศกึ ษาขัน้ สูงตอ่ ไป
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพอ่ื ศึกษาฤทธิต์ ้านอนุมูลอสิ ระของของสารสกัดหยาบเมลด็ และเน้อื มะม่วงไมร่ ู้โห่
2. เพ่ือศกึ ษาปริมาณสารประกอบฟีนอลกิ ของสารสกดั หยาบเมลด็ และเนอ้ื มะมว่ งไมร่ ูโ้ ห่
วธิ ดี าเนินการวจิ ัย
1. การเตรียมสารสกดั หยาบจากเนอื้ และเมลด็ ของมะม่วงไมร่ ูโ้ ห่
เนอ้ื และเมล็ดของมะมว่ งไมร่ ูโ้ ห่ ที่ใชใ้ นการศึกษาคร้งั น้นี ามาจากตาบลคลองหน่ึง อาเภอคลองหลวง
จังหวัดปทุมธานี ในชว่ งเดอื นกรกฎาคม 2558 การเตรยี มสารสกัดหยาบเน้ือและเมลด็ ของมะม่วงไม่ร้โู ห่ ทาโดย
นาเนื้อและเมล็ดของมะมว่ งไมร่ ู้โห่ ชั่งนามาบดให้ละเอียดดว้ ยเครื่องป่ัน ทาการแยกบดแต่ละสว่ นและนาส่วนที่
บดละเอียดมาช่ังให้ทราบน้าหนักท่ีแน่นอน จานวนอย่างละ 500 กรัม นาไปสกัดต่อเน่ืองด้วยเคร่ืองซอกซ์เลต
(Soxhlet extractor) ด้วยตัวทาละลายอินทรีย์ทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ เฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เอทิลอะซิเตต
อะซิโตน เอทานอล เมทานอล และน้า ท่ีปริมาตร 500 มิลลิลิตร ทาการสกัดเป็นเวลา 3 ช่ัวโมง หลังจากนั้น
นาไประเหยตัวทาละลายออกโดยใช้เครื่องระเหยแบบหมุนภายใต้สุญญากาศ (Rotary evaporator) ที่อุณหภูมิ
45 องศาเซลเซียส ชั่งน้าหนักสารสกัดหยาบแต่ละตัวอย่างท่ีสกัดได้ คานวณหาร้อยละผลผลติ และเก็บตัวอย่าง
ไวท้ ่อี ณุ หภูมิ 4 องศาเซลเซียส เพื่อทดสอบฤทธทิ์ างชีวภาพตอ่ ไป
2. การหาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวมนินรวม (Leite & Dourado, 2013: Lingkard &
Singlaton, 1977)
การหาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวมของสารสกัดโดยใช้สารละลาย Folin-Ciocalteu เป็นตัว
ออกซิไดซ์ และใช้สารมาตรฐานกรดแกลลิก (Gallic acid) ทาการผสมสารละลาย Folin-Ciocalteu ปริมาตร
100 ไมโครลิตร กับสารละลายมาตรฐานกรดแกลลิก และสารสกัดท่ีทาการทดสอบที่ปริมาตร 20 ไมโครลิตร
ทาการผสมให้เข้ากัน นาไปบ่มไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 10 นาที และเติมสารละลายโซเดียมคาร์บอเนต
(Na2CO3) ความเข้มข้น 2.5 %(w/v) ปริมาตร 80 ไมโครลิตร ทาการเขย่าให้เข้ากัน นาไปบ่มไว้ท่ีอุณหภูมิห้อง
เป็นเวลา 25 นาที นาสารละลายที่เตรียมได้ในแต่ละความเข้มข้นไปวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเคร่ือง UV-vis
Spectrophotometer ท่ีความยาวคลื่น 760 นาโนเมตร (A760) ทาการทดลองซ้า 3 คร้ัง หลังจากน้ันวิเคราะห์
ปริมาณฟีนอลิกรวมของสารตัวอย่างโดยเทียบจากกราฟมาตรฐานกรดแกลลิกในหน่วยมิลลิกรัมสมมูลของกรด
แกลลกิ ต่อนา้ หนกั สารสกัดแห้ง 1 กรมั (Gallic acid equivalents, mg GAE/g dried extract)
3. การหาปริมาณสารประกอบแทนนินรวม (Leite & Dourado, 2013: Lingkard & Singlaton,
1977)
การหาปริมาณสารประกอบฟนี อลกิ รวมของสารสกดั โดยใช้สารละลาย Folin-Ciocalteu เป็นตัว
ออกซิไดซ์ และใช้สารมาตรฐานกรดแทนนิก (Tannic acid) ทาการผสมสารละลาย Folin-Ciocalteu ปริมาตร
100 ไมโครลติ ร กบั สารละลายมาตรฐานกรดแทนนิก และสารสกัดทที่ าการทดสอบทปี่ ริมาตร 20 ไมโครลติ ร ทา
การผสมให้เข้ากัน นาไปบม่ ไวท้ ่อี ณุ หภูมิหอ้ งเปน็ เวลา 10 นาที และเติมสารละลายโซเดียมคารบ์ อเนต (Na2CO3)
ความเข้มข้น 2.5 %(w/v) ปริมาตร 80 ไมโครลิตร ทาการเขย่าให้เข้ากัน นาไปบ่มไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา
25 นาที นาสารละลายที่เตรียมได้ในแต่ละความเข้มข้นไปวัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเคร่ือง UV-vis
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 57
Spectrophotometer ที่ความยาวคลื่น 760 นาโนเมตร (A760) ทาการทดลองซ้า 3 ครั้ง หลังจากน้ันวิเคราะห์
ปรมิ าณแทนนินรวมของสารตวั อย่างโดยเทยี บจากกราฟมาตรฐานกรดแทนนกิ
4. การตรวจเอกลักษณ์สารสาคญั ของสารสกดั หยาบเน้อื และเมล็ดของมะม่วงไม่รู้โห่
การแยกด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบาง ประกอบด้วย กลุ่มหลักดังน้ี
สารสเตอรอยด์-เทอร์ปนี ส์ สารอัลคาลอยด์ และสารฟลาโวนอยด์
4.1 การวเิ คราะหห์ าสารกลุ่มสเตอรอยด์-เทอร์ปีนส์
เตรียมสารละลายมาตรฐาน ช่ัง เบตา -ซิโตสเตอรอล 1 มิลลิกรัมต่อมิลลิตร
ในคลอโรฟอร์ม เตรียมน้ายาวานิลลิน-กรดซัลฟูริก ละลายวานิลลิน 3 กรัม ในสารละลาย เอทานอล 100 มิลลิลติ ร
และกรดซัลฟูริก 0.5 มิลลิลิตร และชั่งสารสกัดหยาบเน้ือและเมล็ดของมะม่วงไม่รู้โห่ อย่างละ 5 กรัม เติมเฮกเซน
25 มิลลิลิตร เขย่า 30 นาที กรองผ่านกระดาษกรองเบอร์ 42 ชะล้างกระดาษกรองด้วยเฮกเซน 5 มิลลิลิตร
นาสารสกัดที่ได้ไประเหยสุญญากาศแบบหมุนที่อุณหภูมิ 40-50 องศาเซลเซียส นาสารสกัดที่ได้ละลาย
ด้วยคลอโรฟอร์ม 1 มิลลลิ ิตร ได้สารละลายตัวอยา่ ง นาสารละลายตวั อยา่ ง และสารละลายมาตรฐาน จุดบนแผน่
โครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผวิ บาง แลว้ ใส่ลงถังทม่ี วี ัฎภาคเคล่ือนท่คี อื เอทลิ อะซีเตรต : เฮกเซน ตง้ั ทง้ิ ใหว้ ฎั ภาค
เคล่ือนท่ีซึมขึ้นไปบนแผ่นโครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบางเป็นระยะทาง 10 เซนติเมตร หลังจาน้ันนาแผ่น
โครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบางมาพ่นด้วยน้ายาวานิลลิน-กรดซัลฟูริก (Vanillin- H2SO4) ตรวจดูแถบสาร
ภายใต้รังสียวู ี ความยาวคล่ืน 254 นาโนเมตร
4.2 การวิเคราะห์หาสารกลมุ่ อัลคาลอยด์
เตรียมสารละลายมาตรฐานควินินซัลเฟต ชั่งควินินซัลเฟต 1 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ในเมทานอล
เตรียมน้ายาดราเจนดอร์ฟ สารละลาย A: บิสมัส(III)ไนเตรต 0.85 กรัม ในสารละลายท่ีมีกรดอะซิติก 99.70 เปอร์เซ็นต์
10 มิลลิลิตร และน้า 40 มิลลิลิตร สารลาย B: สารละลายโปตัสเซียมไอโอไดด์ 8 กรัม ด้วยน้า 20 มิลลิลิตร
Stock Solution: ผสมสารละลาย A และ B ในอัตราส่วนท่ีเท่ากัน วิธีใช้ ผสม Stock Solution 1 มิลลิลิตร
กับกรดอะซิติก 99.70 เปอร์เซ็นต์ 2 มิลลิลิตร และน้า 10 มิลลิลิตร แล้วนาไปพ่นบนแผ่นโครมาโทกราฟี
แบบรงคเลขผิวบาง ชั่งสารสกัดหยาบเน้อื และเมลด็ ของมะมว่ งไมร่ ู้โห่ อย่างละ 5 กรัม เตมิ 0.1 นอร์มัล กรดซัลฟูริก
100 มิลลิลิตร เขย่า 20 นาที กรองผ่านกระดาษกรองเบอร์ ชะล้างกระดาษกรองด้วย 0.1 นอร์มัล กรดซัลฟูริก
10 มิลลิลิตร นาสารสกัดท่ีได้ทาให้เป็นด่าง โดยเติมแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์เข้มข้นร้อยละ 5 จนได้ pH 8-9
สกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (3 ครั้ง ปริมาตรคร้ัง 40 มิลลิลิตร คร้ังละ 10 นาที) ในกรวยแยก รวมสารสกัดในชั้น
คลอโรฟอร์มมากาจดั นา้ ที่ปนอยู่ โดยกรองผ่านโซเดียมซัลเฟตแอนไฮดรสั บนกระดาษกรองเบอร์ 42 แลว้ นาสารสกัด
ท่ีได้ไประเหยสุญญากาศแบบหมุน ท่ีอุณหภูมิ 40 – 50 องศาเซลเซียส นาสารสกัดที่ได้ละลายด้วยเมทานอล
1 มิลลิลิตร ได้สารละลายตัวอย่าง และนาสารละลายตัวอย่าง และสารละลายมาตรฐานจุดบนแผ่นโครมาโทกราฟี
แบบรงคเลขผวิ บางแล้วใส่ลงในถังที่มีวัฏภาคเคลื่อนที่คือ คลอโรฟอรม์ : เมทานอล: น้า ตั้งทิ้งให้วัฏภาคเคลอ่ื นท่ี
ซึมขนึ้ ไปบนแผ่นโครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบางเป็นระยะทาง 10 เซนติเมตร นาแผน่ โครมาโทกราฟแี บบรงคเลข
ผิวบาง พ่นด้วยน้ายาดราเจนดอร์ฟ (Dragendorff’s Reagent) ตรวจดูแถบสารภายใต้รังสียูวี ความยาวคลื่น
254 นาโนเมตร
4.3 การวเิ คราะห์หาสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
เตรยี มสารละลายมาตรฐานรทู ิน โดยช่งั รูทีน 1 มิลลกิ รัมต่อมิลลลิ ิตร ในเมทานอล และทาการ
เตรียมน้ายาเนเจอรัลโปรดักส์-โพลีเอธิลลีนไกลคอล สารละลาย A: ละลายไดฟินิลโบริลิดซีเอธิลมีน 1 กรัม
ด้วยเมทานอล 100 มิลลิลติ ร สารลาย B: สารละลายโพลีเอธิลลีนไกลคอล 5 กรัม ด้วยเอทานอล 100 มิลลิลิตร
58 | ปีท่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉนุ
วิธีใช้ ฉีดพ่นสารละลาย A แล้วตามด้วยสารละลาย B ชั่งสารสกัดหยาบเน้ือและเมล็ดของมะม่วงไม่รู้โห่ อย่างละ
10 กรัม เติมเมทานอล 40 มิลลิลิตร อุ่นที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที ท้ิงให้เย็น กรองผ่านกระดาษกรอง
เบอร์ 42 ชะล้าง กระดาษกรองด้วยเมทานอล 10 มิลลิลิตร นาสารสกัดท่ีได้ไประเหยสุญญากาศแบบหมุน
ท่อี ุณหภูมิ 40 – 50 องศาเซลเซยี ส นาสารสกัดที่ได้ละลายดว้ ยเมทานอล 1 มลิ ลลิ ิตร ไดส้ ารละลายตวั อย่าง และ
นาสารละลายตัวอยา่ ง และสารละลายมาตรฐาน Spot บนแผ่นโครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบางแลว้ ใส่ลงในถัง
ท่ีมีวัฏภาคเคลื่อนที่ คือ เอทานอล: กรดฟอร์มิค: น้า ตั้งท้ิงให้วัฏภาคเคลื่อนที่ซึมขึ้นไปบนแผ่น โครมาโทกราฟี
แบบรงคเลขผิวบางเป็นระยะทาง 10 เซนติเมตร นาแผ่นโครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบางตรวจดูแถบสาร
ภายใต้รังสยี วู ี ความยาวคล่ืน 254 นาโนเมตร
5. การศกึ ษาสมบัตกิ ารเปน็ สารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระของสารสกัดหยาบเน้อื และเมล็ดของมะม่วงไม่รโู้ ห่
การศึกษาสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบเน้ือและเมล็ดของมะม่วงหาวมะนาวโห่
โดยการวัดสมบัติในการยับย้ัง DPPH radical scavenging ซึ่งจะเป็นการทดสอบฤทธ์ิต้านการเกิดปฏิกิริยา
ออกซิเดชัน โดยให้สารตัวอย่างทาปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระ DPPH โดยผสมสารตัวอย่างที่ต้องการทดสอบ
ปริมาตร 20 ไมโครลิตร กับสารละลาย 0.15 มิลลิโมลาร์ DPPH ปริมาตร 180 ไมโครลิตร ให้เข้ากัน และนาไปบ่ม
ที่อุณหภูมิห้องในที่มืด เป็นเวลา 30 นาที วัดค่าการดูดกลืนแสงด้วยเคร่ือง UV-vis Spectrophotometer
ที่ความยาวคล่ืน 517 นาโนเมตร (A517) แล้ววัดค่าการดูดกลืนแสงท่ีความยาวทาการทดลอง 3 ซ้า และ
คานวณหาคาร้อยละของการต้านอนมุ ลู อสิ ระ(% DPPH radical inhibition) จากสูตร
%Inhibition = [(Ac – As)/Ac]×100
เมื่อ Ac คอื คาการดูดกลนื แสงของตวั ควบคมุ และ As คือคาการดูดกลืนแสงของตวั อยา่ ง
ผลการวจิ ยั
ในการสกัดสารจากเนื้อและเมล็ดของมะม่วงไม่รู้โห่ โดยผู้วิจัยทาการสกัดแบบต่อเน่ืองโดยใช้
ตัวทาละลายอินทรีย์ท้ัง 7 ชนิด คือ เฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เอทิลอะซิเตต อะซิโตน เอทานอล เมทานอล และ
น้า พบว่าร้อยละผลผลิตจากน้าหนักแห้งของพืชจานวน 500 กรัม แสดงดังตารางที่ 1 พบว่าตัวทาละลายที่ใช้
ในการสกัดทใี่ ห้รอ้ ยละของผลผลิตสงู ท่ีสุดทัง้ ในสว่ นทสี่ กดั ได้จากเน้อื และเมล็ดมะมว่ งไมร่ โู้ ห่ คอื เอทานอล
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 59
ตารางท่ี 1 รอ้ ยละผลผลิตของสารสกดั หยาบจากเนื้อและเมลด็ มะม่วงไม่รูโ้ ห่ ทีใ่ ช้ตวั ทาละลายทต่ี า่ งกนั
สารสกดั หยาบของมะมว่ งไม่รู้โห่ ตัวทาละลาย รอ้ ยละผลผลิต
เนอ้ื เฮกเซน 3.75
ไดคลอโรมเี ทน 2.01
เมลด็ เอทลิ อะซเิ ตต 2.14
อะซโิ ตน 7.02
เอทานอล 20.25
เมทานอล 10.98
นา้ 15.10
เฮกเซน 0.52
ไดคลอโรมีเทน 0.24
เอทลิ อะซเิ ตต 0.34
อะซโิ ตน 5.61
เอทานอล 18.11
เมทานอล 8.25
นา้ 13.21
เม่ือนาสารสกัดเน้ือและเมล็ดของมะม่วงไม่รู้โห่ มาหาปริมาณฟีนอลิกรวม แทนนินรวม และ
องค์ประกอบทางเคมี เม่อื ใช้ตวั ทาละลายอินทรยี ์ทง้ั 7 ชนิด คอื เฮกเซน ไดคลอโรมเี ทน เอทลิ อะซเิ ตต อะซโิ ตน
เอทานอล เมทานอล และน้า ผลการทดลองแสดงดังตารางท่ี 2
ตารางท่ี 2 ปริมาณฟีนอลิกรวม ปริมาณแทนนินรวม และองค์ประกอบทางเคมี ของสารสกัดจากเน้ือและเมลด็
มะมว่ งไม่รูโ้ ห่ ทใ่ี ช้ตวั ทาละลายทต่ี ่างกัน
สารสกดั หยาบ ปรมิ าณ ปริมาณ องค์ประกอบทางเคมี
ของมะม่วง ฟีนอลิกรวม แทนนินรวม
ตวั ทาละลาย (mgGAE/g) สเตอรอยด-์ อัลคาลอยด์ ฟลาโวนอยด์
ไม่ร้โู ห่ (mg/g) เทอรป์ นี ส์
เฮกเซน 18.34
เนื้อ ไดคลอโร 10.20 40.32 NS NA NF
มีเทน 38.21
เอทลิ อะซิ 10.52 NS NA NF
เตต
อะซโิ ตน 20.41 35.14 NS NA NF
เอทานอล 41.27
เมทานอล 25.94 41.94 NS NA
น้า 30.78 65.21
45.32 NS NS
51.94 NS NS NF
60 | ปีท่ี 13 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉุน
ตารางที่ 2 (ตอ่ )
สารสกัด ปริมาณ ปรมิ าณ องค์ประกอบทางเคมี
หยาบของ ฟนี อลิกรวม แทนนินรวม
มะมว่ ง ตวั ทาละลาย (mgGAE/g) สเตอรอยด-์ อลั คาลอยด์ ฟลาโวนอยด์
ไม่รโู้ ห่ (mg/g) เทอร์ปีนส์
เฮกเซน 14.87 40.94 NS NS NF
38.71
ไดคลอโรมีเทน 12.02 37.00 NS NA NF
41.06
เอทิลอะซิเตต 11.00 65.10 NS NA NF
51.02 NS NA
เมลด็ อะซโิ ตน 25.27 52.84 NS
NA
เอทานอล 39.74
NS NA NF
เมทานอล 30.81
น้า 34.67
NS หมายถงึ ตรวจไมพ่ บสารสเตอรอยด์-เทอร์ปนี ส์
NA หมายถงึ ตรวจไมพ่ บสารอลั คาลอยด์
NF หมายถึง ตรวจไม่พบสารฟลาโวนอยด์
จากตารางที่ 2 เมื่อนาสารสกัดจากเน้ือและเมล็ดมะม่วงไม่รู้โห่ ท่ีใช้ตัวทาละลายที่ต่างกัน
มาหาปริมาณฟีนอลิกรวม ปริมาณแทนนินรวม และองค์ประกอบทางเคมี จะพบว่าสารสกัดจากเนื้อมะม่วงหาวมะนาวโห่
มีปริมาณฟีนอลิกรวมต้ังแต่ 41.27 ถึง 10.20 mgGAE/g ปริมาณแทนนินรวม ต้ังแต่ 65.21 ถึง 35.14 mg/g
และองคป์ ระกอบทางเคมีพบว่าสารสกดั ที่ใช้ตวั ทาละลายเอทานอลจะพบสารสเตอรอยด์-เทอรป์ ีนส์ สารอัลคาลอยด์
และจะพบสารฟลาโวนอยด์เม่ือใช้ตัวทาละลายเป็นอะซิโตน เอทานอล และเมทานอล และเมล็ดมะม่วงไม่รู้โห่
มีปริมาณฟีนอลิกรวมตั้งแต่ 39.74 ถึง 11.00 mgGAE/g ปริมาณ แทนนินรวม ต้ังแต่ 65.10 ถึง 37.00mg/g
และองค์ประกอบทางเคมีพบว่าสารสกัดท่ีใช้ตัวทาละลายเมทานอลจะพบสารสเตอรอยด์-เทอร์ปีนส์ ใช้ตัวทาละลาย
เอทานอลจะพบสารอัลคาลอยด์ และจะพบสารฟลาโวนอยด์เมื่อใช้ตัวทาละลายเป็นอะซิโตน เอทานอล และ
เมทานอล
จากผลการทดลองดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ปริมาณฟีนอลิกรวม และปริมาณแทนนินรวม จากสารสกัด
เนื้อของมะม่วงไม่รู้โห่ สูงกว่าส่วนสารสกัดจากเมล็ดของมะม่วงไม่รู้โห่ ในทุกตัวทาละลาย และเม่ือใช้ตัวทาละลาย
ที่มีความมีข้ัวสูงเช่น เอทานอล เมทานอล และน้า จะพบว่าปริมาณฟีนอลิกรวม และปริมาณแทนนินรวม
มปี ริมาณสงู กว่าตวั ทาละลายชนดิ อื่น แสดงใหเ้ ห็นวา่ ปริมาณฟนี อลกิ รวม และปรมิ าณแทนนนิ รวมจาก สารสกัด
เนอ้ื และเมลด็ ของมะม่วงไมร่ โู้ ห่ เปน็ สารประกอบฟีนอลิกท่มี ีความมีขวั้ สูง
ในการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมลู อสิ ระด้วยวิธี DPPH ของสารสกัดหยาบเน้ือและเมลด็ ของมะม่วงไม่รู้โห่
แสดงดังภาพท่ี 1 และ 2 ตามลาดับ
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 61
(% DPPH radical inhibition 80 เฮกเซน
ไดคลอโรมเี ทน
70 เอทิลอะซเิ ตต
อะซิโตน
60 เอทานอล
เมทานอล
50 นา้
40
30
20
10
0
0.05 0.1 0.2 0.5 1 1.5 2
Concentration mg/mL
ภาพท่ี 1 ฤทธ์ิต้านอนมุ ูลอสิ ระของสารสกดั หยาบจากเนอ้ื มะมว่ งไมร่ ู้โห่
(% DPPH radical inhibition 60 เฮกเซน
ไดคลอโรมีเทน
50 เอทิลอะซิเตต
อะซิโตน
40 เอทานอล
เมทานอล
30 นา้
20 2
10
0
0.05 0.1 0.2 0.5 1 1.5
Concentration mg/mL
ภาพท่ี 2 ฤทธต์ิ า้ นอนุมลู อสิ ระของสารสกดั หยาบจากเมล็ดมะมว่ งไม่รู้โห่
62 | ปีที่ 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บวั ฉุน
จากภาพท่ี 1 พบส่วนสารสกัดหยาบเนื้อมะม่วงไม่รู้โห่ มีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ (30.21 ถึง71.01% ถึง)
และเมลด็ ของมะมว่ งไม่รู้โห่ แสดงฤทธต์ิ ้านอนมุ ลู อิสระดีทีส่ ุด (33.15% ถึง 51.02%) ในทกุ ๆ ความเข้มข้น และ
พบว่าในส่วนของสารสกัดหยาบของเมล็ดของมะม่วงไม่รู้โห่ ทุกๆตัวทาละลายอินทรีย์ท่ีใช้ในการสกัดจะแสดงฤทธ์ิ
ต้านอนุมูลอิสระ ได้ดีกว่าสารสกัดเมล็ดของมะม่วงไม่รู้โห่ สามารถสรปุ ได้ว่าฤทธย์ิ ับยั้งอนุมูลอิสระของเนื้อและ
เมลด็ ของมะมว่ งไมร่ ู้โห่ นนั้ น่าจะเปน็ สารประกอบฟนี อลิกทมี่ ขี ั้วสงู
อภปิ รายผล
จากการศึกษาฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบฟีนอลิกของเมล็ดและเน้ือมะม่วงไมร่ ู้โห่ พบว่า
สารสกัดหยาบเน้ือมะม่วงไม่รู้โห่ จะมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด (41.27 ถึง 10.20 mgGAE/g) และ
ปรมิ าณแทนนินทั้งหมด (65.21 ถงึ 35.14 mg/g) สงู กว่าปรมิ าณสารประกอบฟีนอลิกทัง้ หมด (39.74 ถงึ 11.00
mgGAE/g) และปริมาณแทนนินท้ังหมด (65.10 ถึง 37.00 mg/g) ของสารสกัดหยาบเมล็ดมะม่วงไม่รู้โห่
เม่ือวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมี โดยการนาสารสกัดหยาบเมล็ดและเน้ือมะม่วงไม่รู้โห่ ไปวิเคราะห์
หาองค์ประกอบทางเคมี ด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบาง พบสารประกอบกลุ่มสารหลัก คือ สารสเตอรอยด์
- เทอรป์ นี ส์ สารอลั คาลอยด์ และสารฟลาโวนอยด์ ในสารสกดั หยาบเน้ือมะมว่ งไมร่ โู้ ห่ ใชต้ วั ทาละลายเอทานอล
อะซิโตน และ น้า และองค์ประกอบทางเคมีในสารสกัดหยาบเมล็ดมะม่วงไม่รโู้ ห่ พบสารสเตอรอยด์-เทอรป์ ีนส์
สารอัลคาลอยด์ และฟลาโวนอยด์เม่ือใช้ตัวทาละลายเป็นอะซิโตน เอทานอล และเมทานอล สอดคล้องกับ
งานวิจัยของ มนสิชา ขวัญเอกพันธ์ และคณะ (2555) ท่ีได้สกัดจากส่วนเถาชะเอมไทย พบว่า สารสกัดหยาบ
ด้วยตัวทาละลายร้อยละ 80 เมทานอล และร้อยละ 80 เอทานอล มีร้อยละของสารสกัด คือ 3.23 และ 6.12
และพบว่ามีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยรวม เท่ากับ 10.54 และ 10.18 มิลลิกรัมแกลลิกแอซิคต่อน้าหนักแห้ง
ตามลาดับ เมอ่ื นาสารสกดั หยาบเมลด็ และเน้อื มะม่วงไม่รูโ้ ห่ มาทดสอบฤทธต์ิ า้ นอนมุ ูลอิสระจะพบว่า สารสกัดหยาบ
จากเน้ือจะมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารสกัดหยาบจากเมล็ด ซึ่งสอดคล้องงานวิจัยของ สุธาทิพย์ อินทรกาธร
ชัย และคณะ (2555) ที่ได้ทาการสกัดและประเมินฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระจากดอกมะลิลา พบว่าจากการสกัด
สารออกฤทธ์ิจากดอกมะลิลาด้วยเอธิลแอลกอฮอล์ ให้ผลผลิตสารสกัดร้อยละ 39.64 และ 21.24 สาหรับดอกแห้ง
และดอกสด ตามลาดับ สารสกัดดอกมะลิลามีปริมาณสารประกอบฟีนอลิก 56.05 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิก
ต่อกรัมตัวอย่าง (mg GAE/g) ฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดดอกมะลิลาพบค่า IC50 เท่ากับ 0.87 มิลลิกรัม
ต่อมิลลิลิตร จากผลการศึกษาดังกล่าวนั้น สามารถนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงของสาร
ตา้ นอนุมลู อสิ ระและสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชท้ างการแพทยไ์ ด้
เอกสารอา้ งอิง
จุฑามาศ สอื่ ประสาร ทานตะวัน พิรักษ์ และศิริพร เรยี บร้อย. (2556). การศกึ ษาสภาวะท่เี หมาะสมสาหรับการ
สกัดสารแอนโทไซยานนิ จากผลหนามแดง. เรือ่ งเตม็ การประชุมทางวชิ าการของ
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ครงั้ ท่ี 51: สาขาส่งเสริมการเกษตรและคหกรรมศาสตร,์ สาขา
อตุ สาหกรรมเกษตร. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์
ชนานนั ท์ สวุ รรณปฎิ กกุล และมยรุ ี กัลยาวฒั นกลุ . (2557). การวเิ คราะหป์ ริมาณแอนโทไซยานินรวมและ
ฤทธ์ติ า้ นอนมุ ลู อสิ ระของสารสกดั มะม่วงหาวมะนาวโห. รายงานการศกึ ษาอสิ ระ ปรญิ ญาวทิ ยา
ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิทยาศาสตรเ์ คร่ืองสาอาง มหาวิทยาลยั แมฟ่ า้ หลวง, เชียงราย.
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 63
ณพฐั อร บวั ฉุน. (2558). สารต้านอนมุ ลู อสิ ระและปริมาณสารฟนี อลิกทั้งหมดของสารสกดั จากพิลงั กาสา.
การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ ราชภัฏวิจยั ครั้งที่ 3. นครศรธี รรมราช (45-50).
_____. (2558). สารต้านอนุมลู อสิ ระและปริมาณสารฟนี อลกิ ทัง้ หมดของสารสกดั จากชะเอมไทย. วารสารวิจัย
และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ.์ 10(2), 78-95.
มนสิชา ขวัญเอกพนั ธ์ และคณะ. (2555). ฤทธ์ิยบั ยัง้ เอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกดั จากสว่ นเถาชะเอมไทย.
เชียงราย : มหาวทิ ยาลยั แม่ฟา้ หลวง.
สกลุ กานต์ สมิ ลา, สุรศักดิ์ บญุ แตง่ และพชั รี สิรติ ระกลู ศกั ด.ิ์ (2556). การประเมนิ ปรมิ าณสารพฤษเคมบี าง
ประการและกจิ กรรมของสารต้านอนมุ ูลอิสระใน Carissa carandas L. แกน่ เกษตร 41 ฉบบั
พเิ ศษ: 602-606.
สุธาทิพย์ อนิ ทรกาธรชัย และคณะ. (2555). การพัฒนาครีมชะลอวยั ผสมสารสกัดดอกมะลิลา.เชยี งราย:
มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ ้าหลวง.
Gupta, P., I. Bhatnagar, S-K. Kim, A. K. Verma, and A. Sharma. 2014. In-vitro cancer cell
cytotoxicity and alpha amylase inhibition effect of seven tropical fruit residues.
Asian Pac J Trop Biomed. 4(2), S665-S671.
Itankar, P. R., S. J. Lokhande, P. R. Verma, S. K. Arora, R. A. Sahu, and A. T. Patil. Antidiabetic
potential of unripe Carissa carandas Linn. Fruit extract. J. Ethnopharmacology.
135, 430-433.
Kubola, J., S. Siriamornpun, and N. Meeso. 2011. Phytochemicals, vitamin C and sugar content
of Thai wild fruits. Food Chemistry. 126, 972-981.
64 | ปที ี่ 13 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ยามีละ ดอแม
การพฒั นาผลิตภัณฑบ์ าล์มว่านร้อยแปด ในวสิ าหกิจชุมชนแปรรปู สมุนไพรพฒั นาก้าวหน้า
ตาบลคลองหลวง อาเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
ยามลี ะ ดอแม1*
บทคดั ยอ่
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑ์บาล์มว่านร้อยแปดตามกระบวนการ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนและการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้ทฤษฎีการออกแบบความคิด (Design
Thinking) และเพื่อศึกษาความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์บาล์มว่านร้อยแปด วิธีการ
ทดลองจะศึกษากระบวนการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนและพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยกระบวนการคิด
เชิงออกแบบ มีศึกษาความตอ้ งการโดยการสงั เกต พูดคุยเบ้ืองต้น เขา้ ถงึ ความต้องการทแ่ี ท้จริงโดย
การสัมภาษณ์เชิงลึกพูดคุยถึงปัญหาท่ีแท้จริง ออกแบบผลิตภัณฑ์ผลิตภณั ฑ์และสถานที่ผลิต สร้าง
ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ พัฒนาผลิตภัณฑ์ 8 ตารับ และคัดเลือกผลิตภัณฑ์โดยระดมสมอง แลกเปล่ียน
ความคิดเห็นในกลุ่ม จึงได้มา 3 สูตร การศึกษาความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการ
ทดสอบ การกระจายบนผวิ การแยกช้ัน ความมนั ความหนืด กลน่ิ และสี ที่อณุ หภูมิห้อง อณุ หภูมิ
4 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1 เดือน และทดสอบในสภาวะร้อน-
เย็น จานวน 6 รอบ จากการทดลองพบว่าสตู ร 6 และสูตร 7 เมื่ออยู่ท่ีอุณหภูมิที่ร้อนจะมีสอี ่อนลง
เน่ืองจากความร้อน มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสผี ลิตภัณฑ์และเมืองไทยเปน็ ประเทศที่
มีภูมิอากาศร้อนเป็นสว่ นใหญจ่ ะมีผลโดยตรงต่อคุณภาพผลติ ภณั ฑ์จึงจาเป็นท่ีตอ้ งควบคุมคุณภาพ
ของผลิตภัณฑ์ และสตู ร 8 เป็นสูตรท่ีทดสอบความคงสภาพไมม่ ีการเปล่ยี นแปลง
คาสาคัญ : การพัฒนาผลิตภณั ฑ์, บาล์มว่านร้อยแปด, การบวนการคิดเชงิ ออกแบบ
1หลักสูตรวทิ ยาศาสตรบัณฑติ สาขาสขุ ภาพและความงาม วิทยาลัยการแพทยแ์ ผนไทย มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุรี
จังหวดั ปทุมธานี
*ผนู้ ิพนธห์ ลกั e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 65
The development of Wan Roy Pad balm products In the enterprise
development of herbs Klong Luang District, Klong Luang District Pathumthani
Yamila Domea1*
Abstract
The purpose of this research was to develop Wan Roy Pad Thai herbal
Balm under the process of Community Product Standards and Product
Development using Design Thinking and to study the physical stability of Balm.
Materials and method to study the Community Product Standards the process and
product development by the design thinking process; sense and sensibility: to
know what the Community Enterprise need, empathy: to know insight of
Community Enterprise , ideation: to know design of product and place and
prototype: how to Create prototype and Develop 8 products and brainstorming
and sharing to select the good quality products. To test the physical stability of
the product of dispersion on the skin, sebum separation, viscosity, odor and color
and to temperature test:
The room temperature, 4 degrees Celsius and 45 degree Celsius for 1 month and
Heating-Cooling 6 sessions. It was found that formula 6 and formulas 7 at light
temperature were light color. Since heat affects color changes and Thailand is a
hot climate, it has a direct impact on product quality, so quality control is
required. The formula 8 is normal .
Keywords : Develop product , Wan 108 Thai herbal Balm, Design Thinking
1Thai Traditional Medicine College, Field of Study in Aesthetic Health, Rajamangala University of Technology
Thanyaburi, Pathum Thani.
* Corresponding author, e-mail: [email protected]
66 | ปที ี่ 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ยามีละ ดอแม
บทนา
วิสาหกิจชุมชน (community enterprise) หมายถึง กิจการของชุมชนเก่ียวกับการ
ผลิตสินค้า การให้บริการหรือการอื่น ๆ ที่ดาเนินการโดยคณะบุคคลที่มีความผูกพัน มีวิถีชีวิต
ร่วมกันและรวมตัวกันประกอบกิจการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลในรูปแบบใด หรือไม่เป็นนิติ
บคุ คล เพ่ือสรา้ งรายไดแ้ ละเพอ่ื การพ่ึงพาตนเองของครอบครัว ชุมชนและระหว่างชมุ ชน สานกั งาน
เลขานกุ ารคณะกรรมการสง่ เสริมวสิ าหกิจชมุ ชน (2561)
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรพัฒนาก้าวหน้า ต.คลองหลวง อ.คลองหลวง จ.
ปทมุ ธานี มกี จิ การของชุมชนเก่ยี วกับการผลิต คือ นา้ พริกแกง น้าพริกเผาปลาย่าง นา้ พรกิ เผาเห็ด
น้าแร่ฟักข้าว โลชันฟักข้าว สบู่ฟักข้าว ยาหม่องว่านร้อยแปด ขนมไทย ลอดช่องสิงคโปร์ โดยมีแก
นมนาเป็นประธานกล่มุ (วิสาหกิจชุมชนแปรรปู สมนุ ไพรพฒั นากา้ วหนา้ (2560)
มาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ชมุ ชน คอื ข้อกาหนดดา้ นคณุ ภาพท่ีเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ชุมชน
ให้เป็นท่ีเช่ือถือ เป็นท่ียอมรับ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกซ้ือผลิตภัณฑ์ โดย
มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาอย่างย่ังยืน เพ่ือยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ชุมชนให้เป็นไปตาม
มาตรฐานท่ีกาหนด และสอดคล้องกับนโยบาย ได้ดาเนินโครงการมาตรฐานผลิตภณั ฑ์ชุมชน เพื่อ
รองรับการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนจากภูมิปัญญาและเอกลักษณ์ของท้องถ่ินต่างๆ ใน
ประเทศไทย ใหม้ คี ุณภาพและมาตรฐานเปน็ ทีย่ อมรับของผู้บรโิ ภค เปน็ การสนับสนุนโครงการหนึ่ง
ตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP ของรัฐบาล เชื่อมโยงให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่ตลาดผู้บริโภคท้ัง
ภายในและต่างประเทศ (สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม,
2558)
แนวคิดและปรัชญา “หน่ึงตาบล หน่ึงผลิตภณั ฑ์” เป็นแนวทางท่ีจะสร้างความเจรญิ
สามารถยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยการผลิตหรือจัดการทรัพยากรที่มี
อยู่ในท้องถน่ิ ใหเ้ ป็นสินคา้ ทีม่ ีคุณภาพ มีจดุ เดน่ เปน็ เอกลกั ษณข์ องตนเองท่ีสอดคลอ้ งกับวัฒนธรรม
ในแต่ละท้องถิ่น สามารถจาหน่ายในตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ โดยมีหลักการ พ้ืนฐาน 3
ประการ คอื ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ ส่สู ากล พงึ่ ตนเองและคิดอย่างสร้างสรรค์ การสรา้ งทรพั ยากรมนุษย์
Nonuya Haraguchi, 2008, p.18 อ้างใน (บุญสม หรรษาศิริพจน์, 2555)
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันผู้บริโภคสนใจคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่จะช่วย
ตัดสินใจในการเลือกผลิตภัณฑ์ ซ่ึงวิสาหกิจชุมชนก็มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ชุมชน ปัญหาของผลิตภัณฑ์ชุมชนส่วนมาก ผลิตภัณฑ์ไม่คงสภาพ ทาให้การจัดจาหน่ายไม่เป็นไป
ตามวัตถุเป้าหมาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนนอกจากจะพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แล้ว ก็
จะตอ้ งพัฒนาทางด้านกายภาพของผลติ ภัณฑ์ดว้ ยเชน่ กนั
การพัฒนาบาล์ม บาล์มมีขี้ผึ้งเป็นส่วนประกอบ มีลักษณะคล้ายยาหม่องเพราะในยา
หม่อง มีส่วนประกอบเป็นข้ีผ้ึงเช่นกัน ยาหม่องไม่เคยถูกกล่าวถึงในสารานุกรม แต่ในตารับหลวง
และยาสามัญประจาบ้าน ระบุเป็นขี้ผึงทาแก้ปวดบวม น่าจะหมายถึง “ยาหม่อง” ถูกกล่าวใน
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 67
บทความของเอกสารท่ีเผยแพร่เน่ืองในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของบริษัท Haw Par Brothers
International Limited จักรกริช อังศุธร (2542)
ว่านร้อยแปด เป็นว่านท่ีได้รับความความเช่ือว่า จะได้รับความเมตตา มีเสน่ห์ จะ
ได้รับความนิยม ให้ลาภ โชคลาภ มีความเป็นสิริมงคล และว่านร้อยแปดถูกนามาพัฒนาผลติ ภณั ฑ์
ดูแลสุขภาพ ทาน้ามันว่านร้อยแปด ยาหม่องว่านร้อยแปด เพราะเช่ือว่าห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ
กล่าวโดย กลมุ่ วิสาหกิจชมุ ชนแปรรปู สมุนไพรพฒั นาก้าวหนา้ , (2560)
การพัฒนาบาล์มว่านร้อยแปดตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มีข้ีผ้ึงเป็นส่วนประกอบ
ถูกนามาพัฒนาผลติ ภัณฑด์ ูแลสุขภาพ ช่วยลดบวม และห่างจากโรคภยั ไขเ้ จ็บ และจะทดสอบความ
คงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจายบนผิว การแยกช้ัน ความมัน
ความหนดื กลิน่ และสี เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลิตภณั ฑ์บาล์มว่านร้อยแปดที่มีคุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ชมุ ชน
วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย
1. เพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑบ์ าล์มวา่ นรอ้ ยแปดตามกระบวนการมาตรฐานผลติ ภัณฑ์
ชมุ ชนและการพฒั นาผลิตภณั ฑ์โดยใชท้ ฤษฎีการออกแบบความคิด (Design Thinking)
2. เพอ่ื ศึกษาความคงสภาพทางกายภาพของผลติ ภณั ฑบ์ าล์มวา่ นรอ้ ยแปด
วิธีดาเนินการวิจยั
วธิ ีดาเนินการวจิ ัย คือดาเนนิ การพฒั นาผลติ ภณั ฑใ์ ห้เปน็ ไปตามมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์
ชุมชนและศึกษาความคงสภาพทางกายภาพของผลติ ภัณฑ์
1. การพฒั นาผลติ ภัณฑบ์ าล์มวา่ นร้อยแปดใหเ้ ป็นไปตามกระบวนการมาตรฐาน
ผลติ ภณั ฑช์ ุมชน สานักงานมาตรฐานผลติ ภัณฑ์อตุ สาหกรรม กระทรวงอตุ สาหกรรม (2559) และ
หลักการพัฒนาผลิตภณั ฑจ์ ะใช้ทฤษฎีกระบวนการคดิ เชิงออกแบบ (Design Thinking) เปน็ การคิด
อยา่ งมี ระบบ มี ขัน้ ตอน Singapore polytechnic. (2011)
1.1 ศึกษาความต้องการของชุมชน
1.2 เข้าถงึ ความตอ้ งการท่แี ท้จริง
1.3 ออกแบบผลติ ภัณฑ์
1.4 สร้างผลิตภณั ฑ์ต้นแบบ
1.4.1 การสกดั สมนุ ไพรว่านร้อยแปด
1.4.2 นาสารสกดั นา้ มันว่านรอ้ ยแปด มาพฒั นาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ
2. การศึกษาความคงสภาพทางกายภาพของผลติ ภัณฑเ์ ปน็ การทดสอบ การกระจาย
บนผวิ การแยกชั้น ความมัน ความหนดื กลิน่ และสี ที่อุณหภมู หิ อ้ ง อณุ หภูมิ 4 องศาเซลเซียส
68 | ปที ่ี 13 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ยามีละ ดอแม
และอุณหภมู ิ 45 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1 เดอื น และทดสอบในสภาวะรอ้ น-เยน็ สลบั กัน
(Heating-Cooling)จานวน 6 รอบ
ผลการวิจยั และอภปิ รายผล
การพฒั นาผลติ ภณั ฑ์บาลม์ วา่ นรอ้ ยแปดตามกระบวนการมาตรฐานผลิตภณั ฑ์ชมุ ชน
และการพัฒนาผลติ ภัณฑ์โดยใชท้ ฤษฎีการออกแบบความคิด โดยการพฒั นาผลิตภัณฑบ์ าล์มวา่ น
ร้อยแปด จานวน 8 ตารับดาเนินการพัฒนาผลิตภณั ฑใ์ หเ้ ป็นไปตามมาตรฐานผลิตภณั ฑ์ชุมชน
1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์บาล์มว่านร้อยแปดให้เป็นไปตามกระบวนการมาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์ชุมชน สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (2559) และ
หลักการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะใช้ทฤษฎีกระบวนการคิดเชิงออกแบบ เป็นการคิดอย่างมีร ะบบ
ข้ันตอน Singapore polytechnic. (2011)
1.1 การศึกษาความต้องการจากโจทย์วิจัยของสานักงานปลัดกระทรวง
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีและลงพน้ื ท่ีเพื่อสงั เกต พดู คุยเบื้องตน้ ศกึ ษาทรัพยากร สงิ่ แวดลอ้ มท่ีมี
ในชุมชน ร่วมกันคิด ระดมสมอง แลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อการซึมซับปัญหา (sensibility)
ยามลี ะ ดอแม. (2559)
1.2 การเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของกลุ่ม กลุ่มต้องการจะพัฒนาบาล์มว่าน
ร้อยแปด เพราะว่านร้อยแปดเป็นส่วนหน่ึงของความเชอ่ื ท่ีทาให้ห่างจากความไม่สบายใจ ไม่สบาย
กาย ว่านมงคล ร้อยแปดชนิด ตามตาราโบราณ จะมีบันทึกไว้ในตาราสมุดข่อยโบราณ กล่าวไว้ว่า
จะมีโชคลาภ เมตตามหานิยม มีทรัพย์ เป็นสิริมงคลต่อผู้ครอบครอง จากสนทนากลุ่มกับวิสาหกิจ
ชุมชนแปรรูปสมนุ ไพรพฒั นาก้าวหน้า
1.3 การออกแบบผลิตภัณฑ์ สร้างแนวความคิดในการพัฒนา (ideation) ยามี
ละ. (2559) มีการคิด ระดมสมองร่วมกัน ทดลอง ปรับปรุง และพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยผู้เชี่ยวชาญ
ด้านการแพทย์แผนไทยแลสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และร่วมกันการออกแบบสถานท่ีผลิตให้ไป
กระบวนการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวง
อตุ สาหกรรม (2559)
1.4 สร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ การจาลองผลิตภัณฑ์ ทดลองผ่านการลงมือทา กมล
มาลย์.(2560) เพอื่ ใหไ้ ด้ผลติ ภัณฑต์ น้ แบบ
1.4.1 การสกัดสมุนไพรว่านร้อยแปดด้วยน้ามัน โดยนาสมุนไพรว่านร้อยแปด
มาล้างให้สะอาด ผ่ึงให้แห้ง จากน้ันห่ันเป็นชิ้นเล็กๆ นาไปทอดในน้ามัน แล้วกรองสมุนไพรออก
ดว้ ยผ้าขาวบาง
1.4.2 นาสารสกัดนา้ มันว่านรอ้ ยแปด เตรียมเป็นสว่ นผสมของผลิตภณั ฑ์
บาลม์ วา่ นร้อยแปดเพอื่ ผลติ ทดลอง ปรับปรุง จนไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ต้นแบบ ผลิตภัณฑ์บาลม์ ว่านร้อย
แปด จานวน 8 ตารับ ดังน้ี
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 69
ตารางท่ี 1 การพัฒนาผลิตภัณฑ์บาล์มว่านร้อยแปด จานวน 8 ตารับ โดยการพัฒนาผลิต ทดลอง
ปรับปรุง และพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเภสัชกรรมแผนไทย
ร่วมกบั กลมุ่ วสิ าหกจิ ชุมชน
ส่วนประกอบ การพัฒนาผลติ ภณั ฑ์บาล์มว่านร้อยแปด
Paraffin wax สูตร1 สูตร2 สตู ร3 สตู ร4 สูตร5 สูตร6 สูตร7 สตู ร8
Vaseline (กรัม) (กรมั ) (กรมั ) (กรมั ) (กรมั ) (กรัม) (กรัม) (กรัม)
Herb 108 oil
Wintergreen Es. Oil 15 15 13 10 10 10 10 10
Camphor
Menthol 60 60 55 45 45 45 45 45
Perfume 10 10 17 30 30 30 30 30
Food coloring
7.5 7.5 7.5 7.5 7.5 0 0 0
555555 55
10 10 10 10 10 10 10 10
- - - 12345
- - - 10 15 20 25 30
จากตารางท่ี 1 จากการพัฒนาผลติ ภัณฑบ์ าล์มว่านร้อยแปดและประเมนิ จากการ
สนทนากลุ่ม ผลิตภัณฑ์ จานวน 8 ตารบั พบวา่ สูตร 6, 7, และ 8 มคี วามพงึ พอใจ ดา้ นการ
กระจายบนผวิ ดี ไม่มีการแยก เนอื้ บาลม์ ไม่มันเกนิ ไป ความหนดื ไมเ่ หนอะหนะ กล่นิ ไม่มากไปไม่
น้อยไป และสสี ดนา่ ใช้
2. การศึกษาความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจาย
บนผิว การแยกช้ัน ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี โดยนาผลิตภัณฑ์สูตร 6, 7, และ 8 ใส่ใน
ภาชนะป้องกันแสงแดด เก็บไว้ ในสภาวะท่ีมีอุณหภูมิต่างกันคือ อุณหภูมิห้อง อุณหภูมิ 4 องศา
เซลเซียส และอุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1 เดือน และทดสอบในสภาวะร้อน-เย็น
สลับกนั (Heating-Cooling)จานวน 6 รอบ จากนัน้ บนั ทกึ การเปล่ียนแปลงของผลิตภณั ฑ์
70 | ปีที่ 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ยามีละ ดอแม
ตารางท่ี 2 การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจาย
บนผิว การแยกช้นั ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ที่อณุ หภมู หิ ้อง เป็นเวลา 1 เดือน
สตู ร วนั ความคงสภาพทางกายภาพของผลติ ภณั ฑ์ สี
การ การ ความ ความ กลน่ิ
สตู ร 6 0-28 กระจาย แยกชน้ั มนั หนดื +
สตู ร 7 0-28 บนผวิ +
สูตร 8 0-28 ++ + ++ ++ + +
++ + ++ ++ +
++ + ++ ++ +
จากตารางท่ี 2 การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลติ ภัณฑเ์ ป็นการทดสอบ
การกระจายบนผิว การแยกชั้น ความมนั ความหนดื กล่ิน และสี ทอี่ ุณหภูมหิ อ้ ง เปน็ เวลา 1 เดือน
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ตารางที่ 3 การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบการกระจาย
บนผิว การแยกชัน้ ความมนั ความหนดื กลนิ่ และสี ที่ อณุ หภูมิ 4 เปน็ เวลา 1 เดือน
สูตร วัน ความคงสภาพทางกายภาพของผลติ ภณั ฑ์ สี
สูตร 6 0-28 การ การ ความ ความ กลน่ิ +
สตู ร 7 0-28 กระจาย แยกชน้ั มนั หนืด +
สตู ร 8 0-28 บนผิว +
++ + ++ ++ +
++ + ++ ++ +
++ + ++ ++ +
จากตารางท่ี 3 การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลติ ภัณฑ์เปน็ การทดสอบ
การกระจายบนผิว การแยกชั้น ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ท่ี อุณหภูมิ 4 เป็นเวลา 1 เดือน
พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 71
ตารางที่ 4 การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบการกระจาย
บนผิว การแยกชั้น ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ท่ีอุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส
เปน็ เวลา 1 เดือน
สตู ร วัน ความคงสภาพทางกายภาพของผลติ ภณั ฑ์ สี
สตู ร 6 0-5 การ การ ความ ความ กลนิ่ +
6-28 กระจาย แยกช้ัน มนั หนดื -
บนผิว +
สตู ร 7 0-7 -
14-28 ++ + ++ ++ + +
++ + ++ ++ +
สตู ร 8 0-28 ++ + ++ ++ +
++ + ++ ++ +
++ + ++ ++ +
จากตาราง 4 การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ
การกระจายบนผิว การแยกช้ัน ความมัน ความหนืด กลิ่น และสี ท่ีอุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส
เป็นเวลา 1 เดือน พบว่า สีเปล่ียนจากปกติ โดยลักษณะสีอ่อนลงในสูตร 6 เร่ิมเปล่ียนแปลงตั้งแต่
วนั ที่ 6 และ 7 สีเรมิ่ อ่อนลงตัง้ แต่วันท่ี 14
ตารางท่ี 5 การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจาย
บนผิว การแยกชั้น ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ท่ีสภาวะร้อน-เย็นสลับกัน
(Heating-Cooling) จานวน 6 รอบ
ลกั ษณะภายนอก
สตู ร วัน การกระจาย การแยก ความ ความ กลิน่ สี
บนผวิ ชั้น มนั หนดื
สูตร 6 0-3 ++ + ++ ++ + +
4 ++ + ++ ++ + -
5 ++ + ++ ++ + +
6 ++ + ++ ++ + -
สูตร 7 0-5 ++ + ++ ++ + +
6 ++ + ++ ++ + -
สูตร 8 0-6 ++ + ++ ++ + +
72 | ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ยามลี ะ ดอแม
จากตาราง 5 การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ
การกระจายบนผิว การแยกชั้น ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ท่ีสภาวะร้อน-เย็นสลับกัน
(Heating-Cooling) จานวน 6 รอบ พบว่า เม่ือเจอสภาวะ ความคงสภาพของสี ของสูตร 6 สีอ่อน
ลงในวันที่ 4 และวนั ท่ี 6 และสูตร 7 สอี อ่ นลงในวนั ที่ 6
หมายเหตุ
การกระจายบนผิว แบง่ เป็น 4 ระดับ +++ กระจายตัวได้ดี ไม่เกดิ ป้นื ขาว++ กระจาย
ตัวปานกลาง เกิดป้ืนขาวเล็กน้อย ไม่ทิ้งคราบ + กระจายตัวได้น้อย เกิดป้ืนขาวมาก ไม่ท้ิงคราบ –
กระจายไม่ได้ เกิดปืน้ ขาวและคราบตดิ ผิวหนัง
การแยกชัน้ แบง่ เป็น 2 ระดับ + ไม่แยกชน้ั – แยกชั้น
ความมนั แบ่งเป็น 4 ระดับ +++ มันมาก ++ มันปานกลาง + มนั น้อย –ไมม่ ัน
ความหนดื แบง่ เป็น 4 ระดับ +++ หนืดมาก ++ หนดื ปานกลาง + หนืดน้อย – เหลว
กล่นิ แบง่ เปน็ 2 ระดับ + ปกติ – ไมพ่ งึ ประสงค์
สี แบง่ เป็น 2 ระดบั + ปกติ – ไม่พึงประสงค์
การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจาย
บนผิว การแยกช้ัน ความมัน ความหนืด กลิ่น และสี ในสภาวะแตกต่างกันคือ อุณหภูมิห้อง
อุณหภูมิ 4°C, และตู้อบที่อุณหภูมิ 45°C เป็นเวลา 1 เดือน รวมถึงทดสอบในสภาวะร้อน-เย็น
สลับกนั (Heating & Cooling) จานวน 6 รอบ ได้ผลการทดลองดังตอ่ ไปน้ี
การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจาย
บนผิว การแยกชั้น ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 1 เดือน ไม่มีการ
เปลยี่ นแปลง
การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจาย
บนผิว การแยกชั้น ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ที่ อุณหภูมิ 4 เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าไม่มี
การเปลยี่ นแปลง
การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจาย
บนผิว การแยกช้ัน ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ท่ีอุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 1
เดือน พบว่า สีเปลี่ยนจากปกติ โดยลักษณะสีอ่อนลงในสูตร 6 เร่ิมเปล่ียนแปลงต้ังแต่วันท่ี 6 และ
7 สีเริม่ ออ่ นลงต้ังแต่วันท่ี 14
การทดสอบความคงสภาพทางกายภาพของผลิตภัณฑ์เป็นการทดสอบ การกระจาย
บนผิว การแยกช้ัน ความมัน ความหนืด กล่ิน และสี ที่สภาวะร้อน-เย็นสลับกัน (Heating-
Cooling) จานวน 6 รอบ พบว่า เมื่อเจอสภาวะ ความคงสภาพของสี ของสูตร 6 สีอ่อนลงในวันท่ี
4 และวนั ท่ี 6 และสูตร 7 สีอ่อนลงในวันที่ 6
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 73
สรุป
การพฒั นาบาล์มวา่ นรอ้ ยแปด การพฒั นาเปน็ ไปตามกระบวนการมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ชุมชนเปน็
การสรา้ งมั่นใจให้กบั สถานประกอบการต่างในการเลือกบริโภคและกระจา่ ยการจดั จาหน่ายและ
กระบวนการพัฒนาผลิตภณั ฑ์โดยการใช้การออกแบบความคิด จึงได้ผลิตภณั ฑ์ 8 ตารับ และ
คัดเลอื กผลิตภณั ฑโ์ ดยกระบวนการกลุ่ม จงึ ไดม้ า 3 สูตร จงึ นามาทดสอบความคงสภาพทาง
กายภาพของผลิตภัณฑ์ โดยการ การกระจายบนผวิ การแยกช้นั ความมัน ความหนดื กล่นิ และสี
ท่อี ณุ หภมู หิ ้อง อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซยี ส และอณุ หภูมิ 45 องศาเซลเซยี ส เป็นเวลา 1 เดอื น
และผ่านสภาวะร้อน-เย็นสลบั กนั (Heating & Cooling) จานวน 6 รอบ จากการทดลองพบวา่ สตู ร
6 และสตู ร 7 เม่ืออยทู่ ี่อณุ หภูมิทร่ี ้อนจะมสี ีอ่อนลง เนื่องจากความร้อนมผี ลต่อการเปล่ียนแปลง
ของสีผลิตภณั ฑ์และเมืองไทยเป็นประเทศทีม่ ภี มู ิอากาศท่รี ้อนเป็นสว่ นใหญ่จะมผี ลโดยตรงตอ่
คุณภาพผลติ ภัณฑ์ จึงจาเปน็ ทีต่ อ้ งควบคุมคณุ ภาพของผลติ ภัณฑ์ และสูตร 8 เป็นสตู รทที่ ดสอบ
ความคงสภาพไม่มกี ารเปลี่ยนแปลง
ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะเก่ยี วกับงานวจิ ัย
1. การทดสอบควรใชเ้ ครื่องมอื ทางวิทยาศาสตร์ จะทาใหเ้ ห็นผลที่ชดั เจนมากข้นึ
2. ควรมีการทดสอบสารสาคัญในแต่ตัวของสมุนไพรเพราะจะสามารถพัฒนาสูตรจะ
ช่วยลดการใชส้ มุนไพรตัวอ่ืนได้
ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัยคร้งั ต่อไป
1.การพัฒนาตารับบาล์มว่านร้อยแปดจะต้องสกัดควบคู่ไปกับสมุนไพรในงาน
สาธารณสุขมลู ฐานจะช่วยลดต้นทุน
2. การพัฒนาตารับบาล์มว่านร้อยแปดควรพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอ่ืนให้มีความ
หลากหลาย เช่น น้ามันบาล์มวา่ นรอ้ ยแปด นามนั หอมบาล์มวา่ นรอ้ ยแปด
กติ ติกรรมประกาศ
ผู้วจิ ัยขอขอบคณุ วิทยาลัยการแพทย์แผนไทย มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ ี
ให้ความอนุเคราะห์ในการใช้วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือและห้องปฏิบัติการเก่ียวกับโครงการวิจัย
สานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สนับสนุนงบประมาณกองทุนส่งเสริม
งานวิจัยฯ ประจาปี 2560 เป็นทุนอุดหนุนโครงการวิจยั ในครั้งนี้ ขอขอบคุณอาจารย์พรทิพย์ ตันติ
วงศ์ ผู้อานวยการวิทยาลัยการแพทย์แผนไทย และคณะผู้บริหารที่ให้การสนับสนุนการทาวิจัยครง้ั
น้ี อีกท้ังคณาจารย์และเจ้าหน้าท่ีฝ่ายต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลอื ผู้วิจัยขอบคุณกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
แปรรปู สมุนไพรพฒั นาก้าวหนา้ ขอบขอบคุณทกุ ท่านมา ณ โอกาสน้ี
74 | ปที ี่ 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ยามีละ ดอแม
เอกสารอา้ งองิ
กมลมาลย์ วิรัตน์เศรษฐสิน. (2560). สาธารณสุขและการดาเนินงานชุมชน: จากแนวคิดสู่การ
ปฏบิ ตั ิ. กรงุ เทพ: บริษัทธรรมสภา บันลือธรรม จากดั
จกั รกริช อังศธุ ร และคณะ. (2542) การศกึ ษาความเปน็ ไปไดใ้ นการนาเสนอผลติ ภณั ฑ์ยาหม่องข้ีผึ้ง
ในรูปแบบใหม่ สู่ตลาดเมืองไทย สืบค้นเมือวันท่ี 3 มีนาคม 2561 จาก
http://www.siamchemi.com
บุญสม หรรษาศิริพจน์. (2557). การประเมินโครงการ หน่ึงตาบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แนวคิด 3 P:
The Project of One Tumbon One Product. วารสารการเมือง การบริหาร และ
กฎหมาย ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 3 สบื คน้ เมือวนั ที่ 25 กมุ ภาพันธ์ 2561 จาhttps://www.tci-
thaijo.org/index.php/polscilaw_journal/article/view/48685/40461
ยามีละ ดอแมและคณะ. (2560). การพัฒนาการออกแบบความคิดการดูแลสุขภาพตามธาตุเจ้า
เรือนโดยใช้เทคนิคกระบวนการเรียนรู้การใช้ปัญหาเป็นหลักของนักศึกษาสาขา
สุขภาพความงามและสปา. วารสารโรงพยาบาลสกลนคร ปีท่ี 20 ฉบับที่ 1 มกราคม-
เมษายน 2560
วิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรพัฒนาก้าวหน้า.(2560). ข้อมูลกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพร
พฒั นากา้ วหนา้ ต.คลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี. สมาชกิ กลมุ่ วสิ าหกจิ ชมุ ชน
แปรรูปสมนุ ไพรพฒั นาก้าวหนา้
สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.
(2552) คู่มือประชาชนในการดูแลสขุ ภาพด้วยการแพทย์แผนไทย. กรุงเทพ: โรงพิมพ์
องคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศกึ .
สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, สืบค้นเมื่อ วันท่ี 25 มกราคม
2561 จ า ก http://app.tisi.go.th/otop/std_draft/9 1 otopstd.html ,
http://www.agriman.doae.go.th/home/Research/Herb57/5.pdf
สานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน สืบค้นเมื่อ วันที่ 30 มกราคม 2561
จาก http://www.sceb.doae.go.th/Ssceb2.htm
Singapore polytechnic. (2011). Design Thinking. Singapore : Singapore polytechnic.
74 | ปที ่ี 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพัฐอร บวั ฉุน และเยาวนารถ งามนนท์
การพัฒนาโลชั่นบารุงผิวจากสารสกดั หยาบชะเอมไทยและพลิ งั กาสา
ณพัฐอร บวั ฉนุ 1* เยาวนารถ งามนนท2์
บทคดั ยอ่
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมี และฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด
หยาบชะเอมไทยและพิลังกาสา โดยนารากชะเอมไทยและผลพิลังกาสามาสกัดด้วยเอทานอล ศึกษาอัตราสว่ นท่ี
เหมาะสมที่สุดระหว่างสารสกัดหยาบชะเอมไทยและพิลังกาสาที่มีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ และนาสารสกัดหยาบ
ชะเอมไทยและพิลังกาสาท่ีมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์โลช่ัน ผลการวิจัยพบว่า สารสกดั
หยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบพิลังกาสามีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดเท่ากับ 55.20 มิลลิกรัมสมมูลของกรด
แกลลิคต่อ 100 กรัมน้าหนักแห้ง และ 52.81 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิคต่อ 100 กรัมน้าหนักแห้ง
ตามลาดับ ปริมาณแทนนินท้ังหมดเท่ากับ 35.20 ไมโครกรัม ต่อมิลลิลิตร และ 17.80 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร
ตามลาดับ สารสกัดหยาบชะเอมไทยและพิลงั กาสาพบสารประกอบกลุ่มสารหลักคือ สารฟลาโวนอยด์ แต่ตรวจ
ไม่พบกลมุ่ สารสเตอรอยด์-เทอร์ปนี ส์ และ สารอลั คาลอยด์ สารสกัดหยาบชะเอมไทยมฤี ทธ์ิตา้ นอนุมูลอสิ ระโดยมี
ค่า IC50 เท่ากับ 12.02 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร, ในขณะท่ี BHA และ BHT มีค่า IC50 เท่ากับ 12.54 และ 12.86
ไมโครกรัมตอ่ มิลลิลิตร ตามลาดบั สารสกดั หยาบผลพิลงั กาสามีฤทธิต์ า้ นอนมุ ลู อิสระโดยมีค่า IC50 เทา่ กบั 12.94
ไมโครกรัมตอ่ มิลลิลิตร, BHA และ BHT มีค่า IC50 เท่ากับ 12.54 และ 12.86 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลาดบั
อัตราส่วนฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระท่ีดที ี่สุด คือ อัตราส่วนท่ี 1 มีค่า IC50 เท่ากับ 13.09 ไมโครกรัมต่อมิลลลิ ิตร และ
เมื่อนามาพัฒนาผลิตภัณฑ์โลชัน่ บารุงผวิ จากสารสกดั หยาบชะเอมไทยและพลิ ังกาสา พบว่า โลช่นั มีเน้อื เป็นสขี าว
ลักษณะทางกายภาพคงตัวทด่ี ี ไมม่ กี ลน่ิ และค่าความเป็นกรด-ดา่ งเท่ากบั 7.6
คาสาคัญ : สารตา้ นอนุมูลอสิ ระ ปริมาณสารฟีนอลกิ ท้ังหมด องค์ประกอบทางเคมี ชะเอมไทย พิลงั กาสา
1สาขาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยราชภฎั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จังหวดั ปทมุ ธานี
2 ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ จังหวัดปทมุ ธานี
* e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 75
DEVELOPMENT OF SKIN LOTION FROM ALBIZIA MYRIOPHYLLA BENTH. AND
ARDISIA ELLIPTICA THUMB. CURED EXTRACTS
Napattaorn Buachoon1* Yawanart Ngamnon2
ABSTRACT
The objective of this research was to study the chemical composition and antioxidant
activity of crude extract from of Albizia myriophylla Benth and Ardisia elliptica Thunb Albizia
myriophylla Benth and Ardisia elliptica Thunb were extracted with ethanol. The optimum ratio
between crude extract from of Albizia myriophylla Benth and Ardisia elliptica Thunb after that,
the optimum antioxidant of crude extract was used to prepare the antioxidant lotion. The result
showed that crude extract of Albizia myriophylla Benth and Ardisia elliptica Thunb had total
phenolic contents 55.20 and 52.81 milligram gallic acid/100 g FW; respectively, total tannin
content 35.20 and 17.80 micrograms per milliliter. There were steroid-terphene alkaloid and
flavonoids in the crude extract of Albizia myriophylla Benth and Ardisia elliptica Thunb. The
crude extract of Albizia myriophylla Benth had antioxidant activity (IC50) 12.02 micrograms per
milliliter, whereas BHA and BHT had IC50 12.54 and 12.86 micrograms per milliliter respectively.
The crude extract of Ardisia elliptica Thunb had antioxidant activity (IC50) 12.94 micrograms per
milliliter, whereas BHA and BHT had IC50 12.54 and 12.86 µg/ml respectively. The best of a ratio
for antioxidant activity with 1 ratio had IC50 13.09 micrograms per milliliter. The lotion was
odorless, and their physical properties and stability of formulation were investigated and with
positive potential of the pH 7.6
Keywords : Antioxidant activity, Total phenolic, Chemical Composition, Albizia
myriophylla Benth, Ardisia elliptica Thunb
1 Chemistry Program , Faculty of Science and Technology, Valaya Alongkorn Rajabhat University under the
Royal Patronage
2 Science center, Faculty of Science and Technology, Valaya Alongkorn Rajabhat University under the Royal
Patronage
* Corresponding author, e-mail: [email protected]
76 | ปที ่ี 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ณพัฐอร บัวฉนุ และเยาวนารถ งามนนท์
บทนา
อนุมูลอิสระ (Free radical) คือ โมเลกุล หรือไอออนที่มีอิเล็กตรอนโดดเด่ียวอยู่รอบนอก เป็น
โมเลกุลที่ไม่เสถียรและมีความว่องไวต่อการเกิดปฏิกิรยิ าเคมีในลกั ษณะท่ีเป็นปฏิกริ ิยาลกู โซ่ และสามารถเข้าทา
ปฏิกิริยากับสารชีวโมเลกุลต่างๆ ท่ีอยู่รอบข้างได้ในทันทีที่ถูกสร้างข้ึน ทาให้เกิดความเสียหายกับเซลล์ต่างๆ
ภายในร่างกาย เชน่ การทาลายโครงสร้างดีเอ็นเอ (DNA) การเปลี่ยนสภาพโปรตนี และไขมันของเยอ่ื ห้มุ เซลล์ จน
ทาให้การทางานของโปรตีนหรือ เอนไซม์เหล่าน้ันเกิดความผิดปกติได้ เป็นสาเหตุสาคัญการเกิดโรคได้
(Nakabeppu et al., 2006;) อนุมูลอิสระเหล่าน้ีสามารถถูกกาจัดหรอื ลดความรนุ แรงด้วยสารต้านอนุมลู อสิ ระ
(antioxidants) ที่สามารถดักจับกับอนุมูลอิสระ แล้วเกิดเป็นอนุมูลอิสระตัวใหม่ที่มีความเสถียรกว่า สารต้าน
อนุมูลอิสระ (Antioxidant) คือ สารปริมาณน้อยที่สามารถป้องกันหรือช่วยชะลอการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดช่ัน
ของอนุมูลอิสระได้ (Halliwell, 2009,1991) โดยมีกลไกในการต้านอนุมูลอิสระได้หลายแบบ เช่น การดักจับ
(scavenge) อนุมูลอิสระโดยตรง ยับยั้งการสร้างอนุมูลอิสระหรือเข้าจับ (chelate) กับโลหะ เพ่ือป้องกันการ
สร้างอนุมูลอิสระ (Sies, 1991) สารต้านอนุมูลอิสระสามารถพบได้ในธรรมชาติ เช่น สารประกอบฟีนอลลิก
(phenolic compounds) สารประกอบไนโตรเจน (nitrogen compounds) และแคโรทีนอยด์ (carotenoid)
สารต้านอนุมูลอิสระมีความสาคัญคือ ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในร่างกาย (เจนจิรา จิรัมย์ และ
ประสงค์ สีหานาม, 2554) จากความสาคัญของสารต้านอนุมูลอิสระจึงทาให้องค์กรที่เก่ียวข้องในอุตสาหกรรม
อาหาร และยา ได้พยายามศึกษาค้นคว้า วิจัย พัฒนาสารตา้ นอนุมูลอิสระท่ีมาจากธรรมชาติ เช่น สาหร่ายทะเล
แบคทีเรีย เช้ือรา และพืชช้นั สงู (Chattopadhyay et al., 2010)
เคร่ืองสาอางจากสารสกัดพืชสมุนไพรในปัจจุบันกาลังเป็นท่ีนิยมเป็นอย่างมากเน่ืองจากมีความ
ปลอดภัยค่อนข้างสูง โดยเฉพาะพืชสมุนไพรท่ีมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกนิยมนามาศึกษาเป็นลาดับต้นๆ
เพ่อื นามาเปน็ วตั ถุดิบหลักในการพัฒนาผลติ ภัณฑเ์ คร่อื งสาอาง (ณพฐั อร บวั ฉุน, 2558) ทงั้ ผลติ ภณั ฑ์ตอ่ ตา้ นร้ิว
รอยและผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผิวขาว พืชสมุนไพรที่แสดงฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ สารกลุ่ม Flavonoids,
Phenylpropanoids หรือสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งเก่ียวข้องการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง เช่น สาร
จาพวก Phenolic Compounds เป็นต้น
สารสกัดจากชะเอมไทย ( Albizia myriophylla Benth Extract) จะพบ Glabridin ที่เป็น
สารประกอบในกลุ่ม Lyphenolic Isoflavonoid โดยพบเป็นสารประกอบหลักใน Hydrophobic Fraction
มีฤทธ์ิในการต้านการอักเสบ ลดการไหม้แดง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ดูดซับรังสียูวใี ห้ มีความเข้มน้อยลงเม่ือผ่าน
ไปสู่ผิวหนัง และมีคุณสมบัติท่ีช่วยทาให้ผิวขาวข้ึน ดังนั้น สารสกัดจากชะเอมเทศจึงได้รับความสนใจอย่าง
กว้างขวางในการนามาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม เครื่องสาอางบารุงผิว ยา และเวชสาอาง จากการศึกษาใน
งานวิจัยจากสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้จากสารสกัดน้ีพบว่าสามารถลดการสร้างเมลานินโดยยับยั้งการทางาน
ของเอนไซม์ Tyrosinase ของเซลล์สร้างเมลานินซึ่งจะไม่ส่งผลต่อกระบวนการสังเคราะห์ DNA (Yokota,
Nishio, Kubota & Mizoguchi, 1998)
สารสกดั พิลงั กาสา (Ardisia Elliptica Thunb Extract) จะพบสารประกอบ Embelin ซ่ึงอยู่ในกลมุ่
Quinone มีฤทธติ์ า้ นแบคทเี รีย ตา้ นมะเรง็ ฤทธิต์ า้ นอนมุ ลู อสิ ระ (Joshi, et al., 2007) จากการศกึ ษาพบว่าได้มี
การนาสารสกดั พิลงั กาสามาพัฒนาเปน็ ผลิตภัณฑเ์ วชสาอาง
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะนาชะเอมไทยและพิลังกาสามาทาการสกัดเพื่อศึกษา
องค์ประกอบทางเคมี และฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและพิลังกาสา และนาผลท่ีได้ไป
ศึกษาอตั ราสว่ นทเ่ี หมาะสมท่สี ดุ ของสารสกดั หยาบเพ่ือพฒั นาเป็นผลติ ภณั ฑ์โลช่นั ทีม่ สี ว่ นผสมของสารสกัดหยาบ
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 77
ชะเอมไทยและพิลังกาสาเพ่ือใช้ในการบารุงผิว และเพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับสมุนไพรไทยและเป็นข้อมูล
พ้ืนฐานในการศึกษาข้ันสูงตอ่ ไป
วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย
1. เพื่อศึกษาองคป์ ระกอบทางเคมขี องสารสกดั หยาบชะเอมไทยและพิลังกาสา
2. เพ่ือศกึ ษาฤทธติ์ ้านอนมุ ลู อิสระของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและพิลังกาสา
3. เพื่อศึกษาอัตราส่วนท่ีเหมาะสมที่สุดระหวา่ งสารสกัดหยาบชะเอมไทยและพิลังกาสาทมี่ ีฤทธ์ิต้าน
อนุมูลอิสระ
4. เพ่อื พฒั นาผลิตภัณฑ์โลชนั่ บารุงผิวท่มี สี ว่ นผสมของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและพิลงั กาสา ทม่ี ีฤทธิ์
ต้านอนมุ ูลอสิ ระ และทดสอบความเป็นพษิ ต่อเซลลส์ ตั ว์ สมบตั ิทางกายภาพ สมบัติทางเคมี และ ความคงตัวของ
ผลติ ภณั ฑ์
วิธีดาเนนิ การวิจัย
1. การเตรียมสารสกดั หยาบจากชะเอมไทยโดยวธิ กี ารแช่ย่ยุ (รัตนา อินทรานุปกรณ์, 2547)
นารากชะเอมไทยมาหั่นเปน็ แวน่ บางๆ สบั ให้เป็นช้ินบาง ๆ หรือชนิ้ เลก็ ๆ นาไปตากแดดจนแห้ง
แล้วนาไปบดละเอียด ช่ังน้าหนักรากชะเอมไทยประมาณ 3 กิโลกรัม แช่ในทาละลายเอทานอล 95 เปอร์เซ็นต์
ปริมาตร 3,000 มิลลิลิตร เขย่าเบาๆ ปิดภาชนะทิ้งไว้ 6-7 วัน ที่อุณหภูมิห้อง เม่ือครบกาหนด นาไปกรองแยก
สารสกัดหยาบด้วยผ้าขาวบาง แล้วกรองโดยเครื่องกรองสุญญากาศ ผ่านกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 42
นาสารท่ีสกัดได้มาระเหยตัวทาละลายออก ด้วยเคร่ืองระเหยสุญญากาศแบบหมนุ (Rotary Evaporator) นามา
ทาให้แหง้ อกี ครัง้ ด้วยเครือ่ งระเหยแห้งแบบเยือกแข็ง จะได้สารสกัดหยาบ ชัง่ น้าหนกั ของสารที่สกัดได้
2. การเตรยี มสารสกัดหยาบจากผลพลิ ังกาสา (รตั นา อินทรานปุ กรณ์, 2547)
ผลพลิ งั กาสา (Ardisia elliptica Thunb) โดยสวนสมนุ ไพรจงั หวดั ระยอง จากนัน้ นามาลา้ งดว้ ย
น้าให้สะอาด ตากให้แห้งนาไปอบในตู้อบ ที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส จนกระทั่งแห้ง นาไปบดให้เป็นผง
ละเอียด นาผงแห้งทบี่ ดแลว้ ของผลพิลังกาสา มาสกัดด้วยเตมิ ตวั ทาละลายเอทานอล สกัดโดยการแชใ่ นขวดโหล
ปิดภาชนะท้งิ ไว้ 6-7 วนั ทอ่ี ุณหภูมิห้อง เม่ือครบกาหนด นาไปกรองแยกสารสกัดหยาบดว้ ยผ้าขาวบาง แลว้ กรอง
โดยเคร่ืองกรองสุญญากาศ ผ่านกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 42 นาสารท่ีสกัดไดม้ าระเหยตัวทาละลายออก
ด้วยเคร่ืองระเหยสญุ ญากาศแบบหมุน (Rotary Evaporator) นามาทาให้แห้งอีกครั้งด้วยเครอ่ื งระเหยแห้งแบบ
เยอื กแขง็ จะได้สารสกดั หยาบ ชง่ั นา้ หนักของสารทีส่ กัดได้
3. การหาปริมาณฟีนอลิกท้ังหมดและแทนนินทั้งหมด (Leite & Dourado, 2013: Lingkard &
Singlaton, 1977)
เตรียมสารละลายมาตรฐานกรดแกลลิกและแทนนิกเข้มข้น 1,000 ppm และ 100 ppm และ
เจือจางจนมคี วามเข้มขน้ เป็น 0, 20, 40, 60 และ 80 ppm จากนัน้ สร้างกราฟมาตรฐานกรดแกลลกิ และแทนนกิ
นาสารละลายทีเ่ ตรียมไดใ้ นแตล่ ะความเข้มขน้ ไปวดั ค่าการดดู กลนื แสงดว้ ยเครอ่ื ง UV-vis Spectrophotometer
ที่ความยาวคล่นื 760 นาโนเมตร (A760) หลังจากน้ันวิเคราะหป์ ริมาณฟีนอลกิ ท้ังหมดและแทนนินท้ังหมดในสาร
สกัดหยาบชะเอมไทยและในสารสกดั หยาบผลพลิ งั กาสา
78 | ปที ่ี 13 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ณพัฐอร บวั ฉุน และเยาวนารถ งามนนท์
4. การตรวจเอกลักษณ์สารสาคัญของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลงั กาสา
การแยกด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบาง ประกอบด้วย กลุ่มหลักดังน้ี
สารสเตอรอยด์-เทอรป์ ีนส์ สารอัลคาลอยด์ และสารฟลาโวนอยด์
4.1 การวิเคราะหห์ าสารกล่มุ สเตอรอยด์-เทอรป์ ีนส์
4.1.1 เตรียมสารละลายมาตรฐาน ช่ัง เบตา-ซิโตสเตอรอล 1 มิลลิกรัมต่อมิลลิตร
ในคลอโรฟอรม์
4.1.2 เตรียมน้ายาวานิลลนิ -กรดซัลฟรู ิก ละลายวานิลลนิ 3 กรัม ในสารละลาย Absolute
เอทานอล 100 มิลลลิ ิตร และกรดซัลฟรู กิ 0.5 มลิ ลลิ ติ ร
4.1.3 ช่ังสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา อย่างละ 5 กรัม เติมเฮกเซน 25
มิลลิลติ ร เขย่า 30 นาที กรองผ่านกระดาษกรองเบอร์ 42 ชะล้างกระดาษกรองด้วยเฮกเซน 5 มิลลลิ ติ ร นาสาร
สกัดท่ไี ด้ไประเหยสุญญากาศแบบหมนุ ที่อุณหภมู ิ 40-50 องศาเซลเซยี ส
4.1.4 นาสารสกดั ที่ไดล้ ะลายดว้ ยคลอโรฟอร์ม 1 มลิ ลลิ ติ ร ไดส้ ารละลายตัวอย่าง
4.1.5 นาสารละลายตวั อยา่ ง และสารละลายมาตรฐาน Spot บนแผ่น TLC แล้วใสล่ งถงั ทา
TLC ที่มี Mobile Phase คือ Ethyl Acetate: Hexane ตั้งทิ้งให้ Mobile Phase ซึมข้ึนไปบนแผ่น TLC เป็น
ระยะทาง 10 เซนติเมตร นาแผ่น TLC พ่นด้วยน้ายาวานิลลิน-กรดซัลฟูริก (Vanillin- H2SO4) ตรวจดูแถบสาร
ภายใตร้ งั สยี วู ี ความยาวคล่ืน 254 นาโนเมตร
4.2 การวิเคราะห์หาสารกลมุ่ อลั คาลอยด์
4.2.1 เตรียมสารละลายมาตรฐานควินินซัลเฟต ช่ังควินินซัลเฟต 1 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
ในเมทานอล
4.2.2 เตรียมน้ายาดราเจนดอร์ฟ สารละลาย A: บิสมัส(III)ไนเตรต 0.85 กรัม ใน
สารละลายที่มีกรดอะซิติก 99.70 เปอร์เซ็นต์ 10 มิลลิลิตร และน้า 40 มิลลิลิตร สารลาย B: สารละลาย
โปตัสเซียมไอโอไดด์ 8 กรัม ด้วยน้า 20 มิลลิลิตร Stock Solution: ผสมสารละลาย A และ B ในอัตราส่วนท่ี
เท่ากัน วิธีใช้ ผสม Stock Solution 1 มิลลิลิตร กับกรดอะซิติก 99.70 เปอร์เซ็นต์ 2 มิลลิลิตร และน้า 10
มลิ ลลิ ติ ร แล้วนาไปพ่นบนแผน่ TLC
4.2.3 สารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลงั กาสา อย่างละ 5 กรัม เติม 0.1 นอรม์ ลั กรดซัล
ฟูริก 100 มิลลิลิตร เขย่า 20 นาที กรองผ่านกระดาษกรองเบอร์ ชะล้างกระดาษกรองด้วย 0.1 นอร์มัล กรดซลั
ฟูริก 10 มิลลิลิตร นาสารสกัดที่ได้ทาให้เป็นดา่ ง โดยเติมแอมโมเนยี มไฮดรอกไซดเ์ ข้มข้นร้อยละ 5 จนได้ pH 8-
9 สกัดด้วยคลอโรฟอร์ม (3 คร้ัง ปริมาตรครั้ง 40 มิลลิลิตร ครั้งละ 10 นาที) ในกรวยแยก รวมสารสกัดในชั้น
คลอโรฟอรม์ มากาจดั น้าที่ปนอยู่ โดยกรองผ่านโซเดยี มซัลเฟตแอนไฮดรสั บนกระดาษกรองเบอร์ 42 แลว้ นาสาร
สกดั ทไ่ี ดไ้ ประเหยสญุ ญากาศแบบหมุน ทอ่ี ุณหภมู ิ 40 – 50 องศาเซลเซียส
4.2.4 นาสารสกดั ทไี่ ดล้ ะลายดว้ ยเมทานอล 1 มิลลลิ ิตร ไดส้ ารละลายตวั อย่าง
4.2.5 นาสารละลายตวั อยา่ ง และสารละลายมาตรฐาน Spot บนแผ่น TLC แลว้ ใสล่ งในถัง
ทา TLC ที่มี Mobile Phase คือ Chloroform: Methanol: Water ตั้งทิ้งให้ Mobile Phase ซึมข้ึนไปบนแผ่น
TLC เปน็ ระยะทาง 10 เซนตเิ มตร นาแผ่น TLC พ่นด้วยนา้ ยาดราเจนดอรฟ์ (Dragendorff’s Reagent) ตรวจดู
แถบสารภายใตร้ งั สยี วู ี ความยาวคลืน่ 254 นาโนเมตร
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 79
4.3 การวเิ คราะห์หาสารกลมุ่ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
4.3.1 เตรยี มสารละลายมาตรฐานรทู ิน ช่ัง รูทีน 1 มิลลิกรมั ต่อมลิ ลลิ ิตร ในเมทานอล
4.3.2 เตรยี มนา้ ยาเนเจอรลั โปรดักส์-โพลเี อธลิ ลีนไกลคอล สารละลาย A: ละลายไดฟินิลโบ
ริลิดซีเอธิลมนี 1 กรัม ด้วยเมทานอล 100 มิลลิลิตร สารลาย B: สารละลายโพลเี อธิลลีนไกลคอล 5 กรัม ด้วยเอ
ทานอล 100 มลิ ลลิ ติ ร วิธีใช้ ฉีดพ่นสารละลาย A แล้วตามด้วยสารละลาย B
4.3.3 ช่ังสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา อย่างละ 10 กรัม เติมเมทานอล 40
มิลลิลิตร อุ่นท่ีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที ท้ิงให้เย็น กรองผ่านกระดาษกรองเบอร์ 42 ชะล้าง
กระดาษกรองด้วยเมทานอล 10 มิลลิลิตร นาสารสกัดที่ได้ไประเหยสุญญากาศแบบหมุนที่อุณหภูมิ 40 – 50
องศาเซลเซียส
4.3.4 นาสารสกดั ทไ่ี ดล้ ะลายดว้ ยเมทานอล 1 มลิ ลิลิตร ได้สารละลายตัวอยา่ ง
4.3.5 นาสารละลายตัวอยา่ ง และสารละลายมาตรฐาน Spot บนแผน่ TLC แลว้ ใสล่ งในถงั
ทา TLC ท่ีมี Mobile Phase คือ Ethanol: Formic: Acetic Acid: water ตั้งทิ้งให้ Mobile Phase ซึมขึ้นไป
บนแผ่น TLC เป็นระยะทาง 10 เซนติเมตร นาแผ่น TLC ตรวจดูแถบ สารภายใต้รังสียูวี ความยาวคลื่น 254
นาโนเมตร
5. การศึกษาสมบตั กิ ารเป็นสารต้านอนุมูลอสิ ระของสารสกดั หยาบชะเอมไทยและผลพลิ งั กาสาโดย
การวดั สมบตั ิในการยับย้งั DPPH Radical
5.1 ชั่งสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) 0.0125 กรัมละลายด้วย 99.99% เอทานอล
ใส่ในขวดวัดปริมาตรขนาด 25 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute Ethanol จนได้สารละลาย BHT และ
BHA ท่ีมีความเข้มข้น 500 ไมโครกรัมตอ่ มลิ ลิลติ ร
5.2 ปิเปตสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) ท่ีมีความเข้มข้น 500 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร
ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute Ethanol จะได้สารละลาย BHT ท่ีมีความเข้มข้น 500, 250,
125, 62.5, และ 31.25 ไมโครกรมั ต่อมิลลิลิตร ตามลาดบั
5.3 ชั่งสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา อย่างละ 0.0125 กรัม ละลายด้วย 99.99%
เอทานอล ใส่ในขวดวัดปรมิ าตรขนาด 25 มิลลิลิตรปรับปรมิ าตรดว้ ย Absolute Ethanol จนได้สารละลายสกดั
หยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา ที่มีความเข้มข้น 500 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ปิเปตสารละลายสกัดหยาบ
ชะเอมไทยและผลพิลังกาสา ท่มี คี วามเข้มขน้ 500 ไมโครกรมั ตอ่ มลิ ลิลติ รปรมิ าตร 2 มิลลลิ ิตร ปรบั ปริมาตรด้วย
Absolute Ethanol จะได้สารละลายสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา อย่างละ ท่ีมีความเข้มข้น 500,
250, 125, 62.5, และ 31.25 ไมโครกรมั ต่อมลิ ลลิ ติ รตามลาดับ
5.4 ปิเปตสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) ที่มีความเข้มข้นต่างๆ เติมสารละลาย DPPH
6x10-5 โมลาร์ ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ลงในหลอดทดลองเขย่าให้เข้ากันและตั้งท้ิงไว้ท่ีอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 30
นาทใี นที่มดื แลว้ วัดค่าการดดู กลนื แสงท่คี วามยาวคล่นื 515 นาโนเมตร และทาการทดลอง 3 ซ้า
5.5 ปิเปตสารละลายสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา ท่ีมีความเข้มข้นต่างๆ เติม
สารละลาย DPPH 6x10-5 โมลาร์ ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ลงในหลอดทดลองเขย่าให้เข้ากันและต้ังทิ้งไว้ที่
อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 30 นาทีในท่ีมืด แล้ววัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 515 นาโนเมตร และทาการ
ทดลอง 3 ซ้า
80 | ปที ่ี 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉุน และเยาวนารถ งามนนท์
5.6 คานวณหา % inhibition
5.7 พล๊อตกราฟหาคา่ IC50 เปรียบเทยี บกับ BHA, BHT สารสกดั หยาบชะเอมไทย และสารสกดั
หยาบผลพิลังกาสา
6. การหาอัตราสว่ นท่ีเหมาะสมที่สุดของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพลิ ังกาสา ในการเป็นสาร
ต้านอนุมลู อสิ ระ
การหาอัตราส่วนท่ีเหมาะสมในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเป็นขั้นตอนเพ่ือตรวจสอบว่าสาร
สกัดหยาบชะเอมไทยและผลพลิ ังกาสา มีคุณสมบตั ิเสรมิ ฤทธิใ์ นการเปน็ สารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระมขี ้นั ตอนดงั น้ี
1. นาสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสาผสมกันในอัตราส่วนที่ต่างกันจานวน
3 อัตราส่วน
2. นาสารสกัดทั้ง 3 อัตราส่วน ไปทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระตามข้ันตอนข้างต้น โดย
ดาเนนิ การทดสอบ 3 ซ้า
7. การทดสอบความเปน็ พษิ ของเซลล์สัตว์
นาสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสามาทดสอบความเป็นพิษของเซลล์สัตว์ โดยส่ง
วิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการตรวจหาสารออกฤทธ์ิทางชีวภาพของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ
แหง่ ชาติ (ไบโอเทค)
8. การทาผลติ ภัณฑ์โลชัน่
นาสารสกัดท่ีมีประสิทธิภาพการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระดีที่สุดของสารสกัดหยาบชะเอมไทย
และสารสกดั หยาบผลพลิ งั กาสา มาทาผลิตภัณฑโ์ ลช่นั ทาการประเมินคุณสมบัติทางกายภาพ บางประการ เชน่
สี กลิ่น การแยกชน้ั ของเนอ้ื โลช่ัน คุณสมบตั ทิ างเคมบี างประการโดย วดั ความเป็นกรด-ด่าง และความคงตัวของ
ผลติ ภัณฑ์ เปน็ ต้น
ผลการวจิ ัย
1. ผลการสกดั สารจากชะเอมไทยและผลพลิ ังกาสา
ผลการสกัดสารจากสารสกัดหยาบชะเอมไทยและพิลังกาสา โดยวิธีการหมักด้วย เอทานอล
มลี ักษณะทางกายภาพและรอ้ ยละผลผลิต (% Yield) แตกตา่ งกนั ดงั ตารางที่ 1 และ ตารางที่ 2
ตารางท่ี 1 ลกั ษณะทางกายภาพของสารสกดั หยาบชะเอมไทยและผลพิลงั กาสาท่ไี ด้จากการสกดั ด้วย
ตัวทาละลาย
ตวั ทาละลาย ชนิดพืช ลักษณะของสารสกดั
เอทานอล ชะเอมไทย ยางเหนียวหนดื สีนา้ ตาลเขม้
เอทานอล ผลพลิ ังกาสา ยางเหนียวหนืดสีน้าตาลแดง
จากตารางที่ 1 พบว่า สารสกดั หยาบชะเอมไทยมีลักษณะเปน็ ยางเหนียวหนดื สนี ้าตาลเขม้ และสาร
สกดั หยาบผลพลิ งั กาสามีลกั ษณะเป็นยางเหนียวหนืดสีนา้ ตาลแดง
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 81
ตารางท่ี 2 ร้อยละของผลผลติ ของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา
ชนดิ พชื น้าหนักก่อนการสกดั นา้ หนกั สารสกัด ร้อยละผลผลติ
(กรัม) (กรัม) (% Yield)
ชะเอมไทย
ผลพลิ ังกาสา 1,000 118.9 11.89
1,000 11.92 1.192
จากตารางที่ 2 พบว่า ร้อยละผลผลติ พบวา่ สารสกัดหยาบชะเอมไทย มรี อ้ ยละผลผลติ เท่ากับ 11.89
และสารสกัดหยาบพิลงั กาสา มีรอ้ ยละผลผลติ เทา่ กบั 1.192
2. ผลการวิเคราะห์ปรมิ าณฟนี อลิกทั้งหมดและแทนนนิ ทง้ั หมด
ผลการหาปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดของสารสกดั หยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบผลพิลงั กาสา
โดยเทยี บกบั สารละลายมาตรฐานกรดแกลลิก ผลการทดลองดังตารางที่ 3
ตารางท่ี 3 ผลการหาปริมาณฟีนอลกิ ทั้งหมดและแทนนินทั้งหมด
สารสกัดหยาบ ปรมิ าณฟนี อลิกท้ังหมด ปริมาณแทนนินทง้ั หมด
(มลิ ลิกรัมสมมลู ของกรดแกลลิกตอ่ (ไมโครกรัมตอ่ มลิ ลลิ ิตร)
ชะเอมไทย
ผลพลิ งั กาสา 100 กรมั น้าหนกั แห้ง) 35.20
55.20 17.80
52.81
จากตารางท่ี 3 พบว่า ปริมาณฟีนอลิกท้ังหมดของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบ
พิลังกาสา เม่ือเทียบกับกราฟมาตรฐานกรดแกลลิกเท่ากับ 55.20 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อ 100 กรัม
นา้ หนกั แห้ง และ 52.81 มิลลิกรมั สมมูลของกรดแกลลกิ ต่อ 100 กรัม น้าหนกั แหง้ ตามลาดับ และ ปรมิ าณแทนนิน
ท้ังหมดของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบพิลังกาสา เม่ือเทียบกับกราฟมาตรฐานกรดแทนนิก
เท่ากับ 35.20 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และ 17.80 ไมโครกรมั ตอ่ มิลลิลิตร ตามลาดับ
3. ผลการวเิ คราะหห์ าองค์ประกอบทางเคมี
ก า ร ต ร ว จ ห า อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ท า ง เ ค มี ข อ ง ส า ร ส กั ด ห ย า บ ช ะ เ อ ม ไ ท ย แ ล ะ ส า ร ส กั ด ห ย า บ
ผลพิลังกาสา ด้วยเทคนิค TLC Fingerprints พบว่า ในสารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบ
ผลพิลงั กาสา มีสารสาคญั กลมุ่ สารฟลาโวนอยด์ ทาการวิเคราะหโ์ ดยใช้ระบบตวั ทาละลายเอทิลแอซเิ ตต:กรดฟอร์
มิก: กรดอะซิติก: น้า (10:1:1:2) ได้ค่า Rf ของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบพิลังกาสา เท่ากับ
0.41 และ 0.85 ตามลาดบั เมื่อเทียบกับสารละลายมาตรฐานรูทนิ ซงึ่ มีค่า Rf เท่ากับ 0.43 และ 0.83 ตามลาดบั
และการตรวจหาองค์ประกอบทางเคมีของสารกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบพิลังกาสา พบว่า ไม่พบ
กลุม่ สารสเตอรอยด์-เทอรป์ ีนส์ และสารอลั คาลอยด์
82 | ปีท่ี 13 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บวั ฉุน และเยาวนารถ งามนนท์
4. ผลการศึกษาสมบัตกิ ารเปน็ สารตา้ นอนมุ ูลอิสระของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบ
ผลพลิ งั กาสา โดยการวดั สมบัติในการยบั ยัง้ DPPH Radical Scavenging
จากการทดลองสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัด
หยาบพิลงั กาสา ทดสอบโดยเทคนิค DPPH Radical Scavenging และจากการทดสอบการย้ังยั้งปฏกิ ิรยิ าออกซิ
เดช่ัน โดยอาศัยหลกั การจับอนมุ ูลอิสระดว้ ย DPPH Radical Scavenging เม่ือทาการละลายในเอทานอลจะเห็น
เป็นสารละลายสมี ่วง เมื่อ DPPH รับอิเล็กตรอนหรือไฮโดรเจนเรดคิ ลั จะทาให้มคี ่าเสถียรมากขึ้นและเปน็ ผลให้
ค่าการดดู กลนื แสงลดลง
ผู้วิจยั วัดสมบัติการยับยง้ั DPPH Radical Scavenging แล้วนามาหาคา่ ความเปน็ เส้นตรงทีค่ วาม
เข้มข้น 31-500 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร พบว่า % inhibition ของสารสกัดหยาบผลพิลังกาสา และสารสกัด
หยาบชะเอมไทย เทา่ กับ 95.9486 - 131.1569 % และ 23.9447 - 77.1543% ตามลาดับ และนามาหาคา่ IC50
ของ BHT BHA สารสกัดหยาบผลพิลงั กาสา และสารสกัดหยาบชะเอมไทย ดังตารางที่ 4
ตารางท่ี 4 ค่า IC50 ของ BHT BHA สารสกดั หยาบผลพลิ ังกาสา และสารสกดั หยาบชะเอมไทย
สารตวั อยา่ ง IC50 (ไมโครกรมั ตอ่ มิลลลิ ิตร)
BHT
BHA 12.86
12.54
สารสกัดหยาบผลพิลงั กาสา 12.94
สกัดหยาบชะเอมไทย 12.02
จากตารางที่ 4 ท่ีความเข้มข้น 20-100 ไมโครกรมั ต่อมลิ ลลิ ติ ร พบวา่ คา่ IC50 ของ BHT , BHA สาร
สกัดหยาบผลพิลังกาสา และสารสกัดหยาบชะเอมไทย เท่ากับ 12.86 12.54 12.94 และ 12.02 ไมโครกรมั ตอ่
มลิ ลิลติ ร ตามลาดบั
5. การทดสอบความเปน็ พษิ ของเซลลส์ ตั ว์
ผลการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์สัตว์ โดยนาสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสาไป
ทดสอบความเป็นพิษต่อเซลลส์ ัตว์ พบวา่ สารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลงั กาสาไม่มีความเปน็ พิษต่อเซลลส์ ัตว์
6. การศึกษาอัตราส่วนทมี่ ีฤทธิต์ ้านอนุมูลอสิ ระ
ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาอัตราส่วนของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและพิลังกาสาท่ีมีฤทธิ์ต้านอนุมูล
อิสระ จานวน 3 อัตราส่วน และทาการวัดสมบัติการยับยั้ง DPPH Radical Scavenging แล้วนามาหาค่าความ
เปน็ เสน้ ตรงท่ีความเข้มขน้ 31-500 ไมโครกรมั ตอ่ มิลลลิ ิตร แสดงผลดังตารางที่ 5
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 83
ตารางที่ 5 ผลการทดสอบอตั ราสว่ นของสารสกดั หยาบชะเอมไทยและพลิ งั กาสาทีม่ ีฤทธิ์ตา้ นอนมุ ูลอิสระ DPPH
เม่ือเทียบกบั สารละลายมาตรฐาน BHT และ BHA
Treatment IC50 (ไมโครกรมั ต่อมลิ ลลิ ิตร)
อตั ราสว่ นท่ี 1 13.09
อัตราส่วนท่ี 2 13.11
อัตราส่วนที่ 3 13.31
12.86
BHT 12.54
BHA
ทั้งน้ีผู้วิจัยเลือกอัตราส่วนที่เหมาะสมในฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ คือ อัตราส่วนท่ี 1 มีค่า IC50 เท่ากับ
13.09 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร เนื่องจากมีค่า IC50 ต่าสุด และนามาพัฒนาผลติ ภณั ฑ์โลชั่นบารุงผวิ จากสารสกดั
หยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา
7. ผลการพัฒนาผลิตภัณฑ์โลชนั่ บารงุ ผวิ จากสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา
นาสารสกัดหยาบชะเอมไทยและผลพิลังกาสา มาพัฒนาผลิตภัณฑ์โลชั่นบารุงผิว และทาการ
ทดสอบประสทิ ธิภาพทางเคมแี ละประสิทธภิ าพทางกายภาพ
7.1 ผลการทดสอบประสิทธิภาพทางกายภาพของโลชั่นบารุงผวิ ท่ีมีส่วนผสมของสารสกัดหยาบ
ชะเอมไทยและผลพิลงั กาสา พบว่า โลชนั่ มเี นื้อเป็นสขี าว มีลักษณะเป็นเนื้อเดียวกนั และไม่มกี ล่ิน
7.2 ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพทางเคมขี องโลช่นั บารุงผิวที่มสี ว่ นผสมของสารสกดั หยาบชะเอม
ไทยและผลพิลังกาสา พบวา่ มคี า่ ความเปน็ pH เทา่ กบั 7.6
7.3 ผลการทดสอบความคงตวั ของของโลชั่นบารุงผิวท่มี สี ่วนผสมของสารสกัดหยาบชะเอมไทยและ
ผลพลิ ังกาสา พบวา่ โลชัน่ มลี ักษณะคงตัวทีด่ ี
อภปิ รายผล
จากการศึกษาองค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ ฟีนอลิก แทนนิน และ ฟลาโวนอยด์ และฤทธิ์ต้านอนุมูล
อิสระของสารสกัดหยาบจากชะเอมไทยและผลพิลังกาสา พบว่าสารสกัดหยาบชะเอมไทยมีปริมาณฟีนอลิก
ทั้งหมดเท่ากับ 55.20 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และสารสกัดหยาบพิลังกาสามีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดเท่ากับ
52.81 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ปริมาณแทนนินทั้งหมดของสารสกัดหยาบชะเอมไทย เท่ากับ 35.20 ไมโครกรัม
ต่อมิลลิลิตร และปริมาณแทนนนิ ทั้งหมดของสารสกัดหยาบพิลังกาสา เท่ากับ 17.80 ไมโครกรัมต่อมลิ ลิลติ ร เม่ือ
วิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมี โดยการนาสารสกัดหยาบชะเอมและพิลังกาสาไปวิเคราะห์หาองค์ประกอบ
ทางเคมี ดว้ ยเทคนคิ TLC Fingerprints พบสารประกอบกล่มุ สารหลกั คอื สารฟลาโวนอยด์ แตต่ รวจไม่พบกลมุ่
สารสเตอรอยด์-เทอร์ปีนส์ และสารอัลคาลอยด์ สอดคล้องกับงานวิจัยของ มนสิชา ขวัญเอกพันธ์ และคณะ
(2555) ท่ีได้สกัดจากส่วนเถาชะเอมไทย พบว่า สารสกัดหยาบด้วยตัวทาละลายร้อยละ 80 เมทานอล และร้อย
ละ 80 เอทานอล มีร้อยละของสารสกัด คือ 3.23 และ 6.12 และพบว่ามีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยรวม
เท่ากับ 10.54 และ 10.18 มิลลิกรัมแกลลิกแอซิคต่อน้าหนักแห้ง ตามลาดับ และการวิจัยของ พิชยา ประเสริฐแสง
และ วรินทร ชวศิริ (2545) ท่ีได้ศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ DPPH ของผลพิลังกาสา
พบวา่ องคป์ ระกอบทางเคมีของสารสกดั หยาบพลิ ังกาสา เม่ือทาการศึกษาฤทธิต์ า้ นอนมุ ลู อิสระ DPPH พบว่าสาร
84 | ปที ่ี 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บวั ฉุน และเยาวนารถ งามนนท์
สกัดหยาบพิลังกาสามฤี ทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสอดคลอ้ งกับงานวิจยั ของ Joshi, et al. (2007) ท่ีได้ทาการศกึ ษา
องคป์ ระกอบทางเคมีในสารสกดั หยาบพลิ ังกาสา (Ardisia Elliptica Thunb) และพบวา่ ในสารสกัดพิลังกาสามี
Embelin เป็นสารประกอบในกลมุ่ Quinone โดยพบเป็นสารประกอบหลัก ซ่ึงมีฤทธ์ิต้านแบคทีเรยี ต้านมะเรง็
และมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาจะเห็นได้ว่า สารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบพิลังกาสามี
สารประกอบฟีนอลิกเป็นองค์ประกอบอย่จู ึงมีฤทธิ์ต้านอนุมลู อิสระค่อนขา้ งสงู เมอ่ื เทียบกับสารละลายมาตรฐาน
บีเฮชเอและบีเฮชที และงานวิจัยท่ีศึกษา พบว่าพืชท่ีมีสารประกอบฟีนอลิกจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น
งานวิจัยของ สุธาทิพย์ อินทรกาธรชัย และคณะ (2555) ได้ทาการสกัดและประเมินฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระจาก
ดอกมะลิลา พบว่าจากการสกัดสารออกฤทธิ์จากดอกมะลิลาด้วยเอธิลแอลกอฮอล์ร้อยละ 95 ให้ผลผลิตสาร
สกัดร้อยละ 39.64 และ 21.24 สาหรับดอกแห้งและ ดอกสด ตามลาดับ สารสกัดดอกมะลิลามีปริมาณ
สารประกอบฟีนอลิก 56.05 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมตัวอย่าง (mg GAE/g) ซ่ึงสูงกว่าปริมาณฟี
นอลิกท่ีพบในสารสกัดทางการค้าคือ สารสกัดเปลือกเมล็ดลาไย เมล็ดทับทิม และเปลือกมังคุด 77, 140 และ
2.1 เท่า ตามลาดับ ฤทธิ์ต้านอนุมลู อสิ ระของสารสกดั ดอกมะลิลาพบค่า IC50 เทา่ กับ 0.87 มลิ ลกิ รัมตอ่ มิลลิลิตร
ผู้วิจัยนาสารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบผลพิลังกาสามาผสมกันในอัตราส่วนท่ี
เหมาะสมท่ีมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ คือ อัตราส่วนที่ 1 มีค่า IC50 เท่ากับ 13.09 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ซ่ึงมีฤทธ์ิ
ต้านอนุมูลอิสระสงู กว่าอัตราส่วนท่ี 2 และ 3 เนื่องจากในสารทั้งสองชนิดมสี ารออกฤทธิ์ในกลุ่มเดียวกันคือ สาร
กลุ่มฟลาโวนอยด์ และฟีนอลิก ซึ่งค่า IC50 ของอตั ราส่วนระหวา่ งสารสกัดหยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบผล
พิลังกาสา นาสารสารสกดั หยาบชะเอมไทยและสารสกัดหยาบผลพลิ งั กาสาท่มี ฤี ทธิ์ตา้ นอนมุ ูลอิสระมาพัฒนาเปน็
ผลิตภัณฑโ์ ลชั่น และทดสอบคณุ สมบตั ทิ างกายภาพและสมบัติทางเคมีบางประการ พบว่า โลช่ันมีเนื้อเป็นสีขาว
มีลักษณะเป็นเน้ือเดียวกัน ไม่มีกลิ่น มีลักษณะคงตวั ท่ีดมี ี และมีค่า pH เท่ากับ 7.6 ดังน้ันอาจนาสารสกัดหยาบ
ชะเอมไทยและสารสกัดหยาบผลพลิ งั กาสาไปพัฒนาเพอ่ื ต่อยอดในเชงิ พาณิชย์ตอ่ ไป
เอกสารอา้ งอิง
ณพฐั อร บวั ฉุน. (2558). สารตา้ นอนมุ ลู อิสระและปริมาณสารฟนี อลกิ ทง้ั หมดของสารสกัดจากพิลงั กาสา.
การประชมุ วิชาการระดับชาติ ราชภัฏวจิ ยั ครง้ั ที่ 3. นครศรธี รรมราช (45-50).
ณพฐั อร บัวฉนุ . (2558). สารตา้ นอนุมลู อิสระและปรมิ าณสารฟีนอลกิ ท้ังหมดของสารสกดั จากชะเอมไทย.
วารสารวิจยั และพัฒนาวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์. 10(2), 78-95.
พิชยา ประเสริฐแสง และ วรนิ ทร ชวศิริ. (2545). องคป์ ระกอบทางเคมีของผลพิลังกาสา (Ardisia colorata
Roxb.) และฤทธท์ิ างชวี ภาพ. ปริญญานิพนธว์ ทิ ยานิพนธม์ หาบณั ฑิต. วิทยาศาสตร์ (เคมี)
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
มนสิชา ขวญั เอกพันธ์ และคณะ. (2555). ฤทธ์ิยับย้ังเอนไซมไ์ ทโรซิเนสของสารสกัดจากส่วนเถาชะเอมไทย.
เชยี งราย : มหาวิทยาลัยแมฟ่ ้าหลวง.
รตั นา อนิ ทรานุปกรณ.์ (2547). การตรวจสอบและการสกดั แยกสารสาคญั จากสมนุ ไพร. กรุงเทพฯ:
สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ใหม่.
สุธาทิพย์ อินทรกาธรชัย และคณะ. (2555). การพฒั นาครมี ชะลอวยั ผสมสารสกัดดอกมะลิลา.เชียงราย:
มหาวทิ ยาลยั แม่ฟ้าหลวง.
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 85
Chattopadhyay, K. and Chattopadhyay, B. D. (2008). Effect of nicotine on lipid profile,
peroxidation & antioxidant enzymes in female rats with restricted dietary protein.
Journal of research and education in Indian medicine. 127, 571-576.
Halliwell, B. (2009). The wanderings of a free radical, Free Radical Biology and Medicine,
American Journal of Medicine. 46, 531-542.
Halliwell, B. (1991). Reactive Oxygen Species in Living Systems : Source, Biochemistry and Role
in Hormone Disease. American Journal of Medicine. 91, 14 – 22.
Joshi R, Passner JM, Rohs R, Jain R, Sosinsky A, Crickmore MA, Jacob V, Aggarwal AK, Honig B,
Mann RS. (2007). Functional specificity of a Hox protein mediated by the recognition
of minor groove structure. Cell. 131. 530–543.
Nakabeppu, Y. et al. (2006). Mutagenesis and carcinogenesis caused by the oxidation of
nucleic acids, Journal of Biological Chemistry, vol. 387, pp. 373-382.
Yokota, T., Nishio, H., Kubota, Y. & Mizoguchi, M. (1998). The inhibitory effect of glabridin from
licorice extracts on melanogenesis and inflammation. Pigment Cell Res.11. 355-
361.
86 | ปีที่ 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉนุ และคณะ
ปรมิ าณสารประกอบฟนี อลิกท้ังหมด สารต้านอนุมูลอสิ ระและการพัฒนาผลติ ภณั ฑ์
โลชน่ั บารุงผิว
ณพฐั อร บัวฉนุ 1* วชิ ดุ า ม่นั จติ ร2
บทคดั ยอ่
งานวิจยั น้ีไดศ้ กึ ษาปริมาณสารประกอบฟนี อลิกท้ังหมด และฤทธ์ติ ้านอนุมูลอสิ ระของสารสกดั หยาบ
จากผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และผลลูกยอ น้ามาสกัดดว้ ยเอทานอล ผลการวิจัยพบว่า สกัดหยาบ
จากผลมะขามปอ้ มมีปริมาณฟนี อลิกทั้งหมดสงู สดุ เท่ากบั 65.01 ± 0.03 มิลลกิ รมั สมมลู ของกรดแกลลคิ ต่อ 100
กรัมนา้ หนักแห้ง รองลงมาคือผลลกู ยอ ผลมะกอกน้า และผลพกิ ลุ มีค่าเทา่ กับ 43.85 ± 0.01 31.25 ± 0.02
และ 22.08 ± 0.01 มิลลิกรัมสมมลู ของกรดแกลลิคต่อ 100 กรัมน้าหนักแห้ง ตามล้าดับ เมื่อน้ามาวิเคราะห์
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ พบว่า สกัดหยาบจากผลมะขามป้อมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุดโดยมีค่า IC50 เท่ากับ
18.12 ± 0.01 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร รองลงมาคือผลมะกอกน้า ผลลูกยอ และผลพิกุล มีค่าเท่ากับ
14.84 ± 0.01 12.91 ± 0.02 0.92 ± 0.01 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามล้าดับ เมื่อน้าสารสกัดของผล
มะขามป้อมที่มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดและฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดไปใช้พัฒนาโลช่ัน และ
ท้าการทดสอบความคงสภาพของโลช่ันสูตรผสมสารสกัดมะขามป้อมเข้มข้น 0.5% w/w ที่สภาวะต่างๆ เป็น
เวลา 1 เดือน โดยท้าการเก็บข้อมูลทุกสัปดาห์ พบว่าที่สภาวะอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส 27 องศาเซลเซียส
โลชั่นมีสภาพความคงตัวดีท่ีอุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส มีความคงสภาพของเน้ือโลชั่นจะเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่
สัปดาห์ที่ 4 ส่วนท่ีสภาวะการท้าให้แข็งตัวและการละลาย พบว่า เน้ือโลชั่นเกิดการแยกชั้นสัปดาห์ที่ 3 เม่ือ
น้าโลช่ันไปหาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกท้ังหมดและฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของสาร
สกัดผลมะขามปอ้ มมีสารประกอบฟีนอลิกทัง้ หมดและฤทธ์ติ า้ นอนมุ ลู อิสระมากกว่าโลช่ันสูตรพนื้ ฐาน
คาสาคญั : สารตา้ นอนุมลู อิสระ ปริมาณสารฟนี อลกิ ทง้ั หมด องค์ประกอบทางเคมี ชะเอมไทย มะขามปอ้ ม
1สาขาเคมี คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั ราชภฎั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ จังหวดั ปทุมธานี
e-mail: [email protected]
2 สาขาวชิ าเคมแี ละวทิ ยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฎั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ จงั หวดั ปทุมธานี
*ผ้นู พิ นธ์หลัก e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 87
QUANTITATION OF TOTAL PHENOLIC ANTIOXIDANT ACTIVITY AND
DEVELOPMENT OF SKIN CARE LOTION
Napattaorn Buachoon1* Wichuda Manjit2
Abstract
This research study the total phenolic content and antioxidant activity from Crude
extracts of Phyllanthus emblica, Elaeocarpus hygrophilus Kurz., Mimusops elengi L. and Morinda
citrifolia L. were extracted with ethanol. It was found that the extract from Phyllanthus emblica.
leaf has the highest value of 6 5 .01 ± 0.03 mg GAEg-1. The extracts from Morinda citrifolia L.,
Elaeocarpus hygrophilus Kurz. and Mimusops elengi L. 43.85 ± 0.01 31.25 ± 0.02 and 22.08
± 0 . 0 1 mg GAEg-1, respectively. When analyzed for antioxidant activity, crude extract from
Phyllanthus emblica showed the highest antioxidant activity, with an IC50 of 18.12 ±0.01
micrograms per milliliter. The extracts from Morinda citrifolia L., Elaeocarpus hygrophilus Kurz.
and Mimusops elengi L. 14.84 ± 0.01 12.91 ± 0.02 and 0.92 ± 0.01 micrograms per milliliter.
The extract of Phyllanthus emblica having the highest amount of total phenolic content and
antioxidant activity were used as an ingredient in a lotion. Accelerated storage test on the lotion
containing 0.5%w/w extract of Phyllanthus emblica was examined. The data were collected in
every week for one month. At the temperature of 4oC, 27oC and the accelerate condition by
light, the lotion was stable. At a temperature of 55oC, the stability reduced in the 4rd week. In
the freeze and thaw cycle, the lotion showed the separation into layers in the 3nd week. On the
study of total phenolic and antioxidant activity, it was found that the lotion containing the
extract from Phyllanthus emblica showed significantly higher amount of total phenolic
compound than the basic lotion.
Keywords : Antioxidant activity, Total phenolic, Phyllanthus emblica, Elaeocarpus hygrophilus
Kurz., Mimusops elengi L. and Morinda citrifolia L.
1Chemistry Progra , Faculty of Science and Technology, Valaya Alongkorn Rajabhat University under the
Royal Patronage
2 Chemistry and Science Program , Faculty of Education, Valaya Alongkorn Rajabhat University under the
Royal Patronage
* Corresponding author, e-mail: [email protected]
88 | ปีที่ 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉนุ และคณะ
บทนา
ในปัจจุบันคนไทยให้ความส้าคญั กับพืชสมุนไพรมากข้ึน ทั้งท่ีใช้เป็นยาโดยน้ามาสกัดและน้าสารท่มี ี
อยู่ในพืชสมุนไพรมาใช้ท้ายาสมุนไพร หรือน้าไปเป็นส่วนประกอบของของใช้เพื่อการอุปโภคหรือบริโภคใน
ชีวิตประจ้าวัน เช่น ครีมบ้ารุงผิว น้าหอม ยาดม และน้ามันหอมระเหย ฯลฯ ด้วยประโยชน์มากมายท่ีมีใน
สมุนไพรจึงส่งผลให้เกิดการใช้สมุนไพรเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะหลังหลายคนได้เร่ิมตื่นตัวถึงพิษภัย
อันตรายที่มาจากสารเคมี และได้หันมาให้ความสนใจต่อสารท่ีได้สกัดจากธรรมชาติกันมากขึ้น ย่ิงท้าให้ความ
ต้องการใชส้ มุนไพรย่ิงมมี ากขึ้นตามล้าดับ โดยเฉพาะเครอ่ื งสา้ อางทมี่ ีส่วนผสมจากสารสกัดที่มาจากพืชสมุนไพร
ท้ังผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรที่ต่อต้าน ริ้วรอยและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวขาว ซ่ึงเป็นเครื่องส้าอางที่ได้รับความ
นิยมเป็นอย่างมาก การน้าสารสกัดจากธรรมชาติมาใช้เป็นวัตถุดิบในการตั้งต้ารบั ในผลติ ภัณฑ์เคร่ืองส้าอางเพ่อื
สุขภาพและเสริมความงามเป็นกระแสนิยมท่ีได้รับความสนใจในปัจจุบัน เนื่องจากมีฤทธ์ิทางชีวภาพต่างๆ
ใกล้เคยี งสารสังเคราะหอ์ น่ื ๆ และมคี วามปลอดภัยต่อผ้บู ริโภคสงู มสี ารจากธรรมชาติหลากหลายชนิดท่ตี อบสนอง
ความต้องการเหล่าน้ี พืชสมุนไพรที่ต่อต้านริ้วรอยโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นสารในกลุ่มสารประกอบฟลาโวนอยด์
ส้าหรับพืชสมุนไพรที่ช่วยให้ผิวขาวก็จะมีสารท่ีมีฤทธ์ิยับย้ังเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งเกี่ยวข้องการสร้างเม็ดสีของ
ผวิ หนัง เช่น สารในกลุ่มสารประกอบฟีนอลกิ (ณพัฐอร บวั ฉุน, 2558)
สารต้านอนุมูลอิสระถือว่ามีความส้าคัญต่อกระบวนการออกซิไดซ์อนุมูลอิสระ หรือสามารถยับยั้ง
ปฏิกิริยาออกซิเดชัน โดยในส่ิงมีชีวิตจะมีระบบการป้องกันการท้าลายเซลล์และเนื้อเยื่อจากอนุมูลอิสระ
ประกอบด้วยสารต้านอนมุ ลู อิสระมากมายหลายชนดิ ท่ีท้าหน้าที่แตกต่างกันไป โดยสารต้านอนมุ ูลอสิ ระเหล่าน้มี ี
กลไกการท้างานตา้ นอนุมูลอสิ ระดว้ ยกันหลายแบบ เชน่ ดักจบั อนมุ ูลอสิ ระ (radical scavenging) การยบั ยัง้ การ
ท้างานของออกซิเจนที่ขาดอิเล็กตรอน (Singlet Oxygen quenching) จับกับโลหะท่ีสามารถเร่งปฏิกิริยา
ออกซเิ ดชันได้ (Metal chelation) หยุดปฏกิ ิริยาการสรา้ งอนมุ ลู อสิ ระ (chain-breaking) เสริมฤทธ์ิ(synergism)
และยับยั้งการท้างานของเอนไซม์ (enzyme inhibition) ที่เร่งปฏิกิริยาอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระมีอยู่
จ้านวนมาก ทั้งท่ีได้จากการสงั เคราะหข์ ้ึน และที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ในพืชโดยท่ัวไปจะพบสารต้านอนมุ ูลสิ ระ
ได้แก่ โคเอนไซม์ เอนไซม์คิวเทน (Beyer, 1992) สารประกอบฟีนอลิก ได้แก่ ฟลาวานอยด์ กรดฟีนอลิก และ
แอนโธไซยานิน ซง่ึ พบทวั่ ไปในพชื (สมหมาย ปัตตาลี, 2551)
การศึกษาสมบัติการต้านอนุมูลอิสระโดยใช้ 1,1 diphenenyl-2-picryhydrazyl (DPPH) radical
scavenging activity ซง่ึ เป็นวธิ วี เิ คราะหค์ วามสามารถในการต้านการเกิดออกซิเดชันของอนุมลู อสิ ระโดยสารฟีนอล
ท่ีพบมากในพชื จะใหอ้ เิ ลกตรอนแกอ่ นุมูลอิสระ DPPH เปลี่ยนจากสารละลายสีม่วงเป็นสเี หลอื งนวลไมเ่ ปน็ อนมุ ลู
อิสระอีกต่อไป (Chatchi Thetsrimuang et al., 2011; Deepika Kumari et al., 2011; Hip Seng Yim et
al., 2012)
จากงานวิจัยจ้านวนมากท่ีได้ท้าการศึกษา สารประกอบฟีนอลิกท้ังหมด และฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ
ของสารสกดั หยาบจากผลมะขามปอ้ ม ผลพิกลุ และผลมะกอกนา้ ท่สี กัดได้จากเอทานอล พบว่ามปี รมิ าณฟนี อลกิ
ทงั้ หมดและฤทธติ์ า้ นอนุมูลอิสระสงู และจากงานวิจัยของยทุ ธนา สดุ เจริญ (2553) การไดศ้ กึ ษาผักและสมุนไพร
พื้นบ้าน พบว่าลูกยอมีปริมาณวิตามินซี และเบต้าแคโร จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นงานวิจัยน้ีจึงสนใจน้าพืช
สมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการตา้ นอนมุ ูลอิสระสูง มาหาปริมาณสารประกอบฟีนอลิก ทั้งหมด ซ่ึงได้แก่ ผลมะขามปอ้ ม
ผลพิกุล ผลมะกอกน้า และลูกยอ โดยน้ามาท้าการสกัดเพื่อหาพืชท่ีมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและฤทธ์ิใน
การต้านอนุมูลอิสระสูงที่สดุ ไปเป็นสว่ นผสมในโลช่ันเพ่ือพฒั นาผลติ ภณั ฑ์โลชั่นบ้ารงุ ผวิ และน้าไปเป็นฐานขอ้ มลู
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 89
ทางวิทยาศาสตร์ในการสนับสนุนฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระและเป็นการเพ่ิมคุณค่าให้กับ พืชสมุนไพรไทยและ
เป็นขอ้ มูลพืน้ ฐานในการศึกษาขน้ั สงู ตอ่ ไป
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
1. เพื่อศึกษาปรมิ าณสารฟีนอลิกท้ังหมดของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล
และลกู ยอ
2. เพื่อศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และ
ลูกยอ
3. เพื่อพฒั นาผลิตภัณฑโ์ ลชน่ั และตรวจสอบความคงตัว
4. เพือ่ หาปรมิ าณสารฟีนอลิกท้งั หมดและฤทธ์ติ า้ นอนมุ ลู อิสระของผลิตภณั ฑ์โลช่นั
วธิ ีดาเนนิ การวิจยั
1. การเตรียมสารสกัดหยาบ
น้าผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอมาห่ันเป็นแว่นบางๆ สับให้เป็นช้ินบาง ๆ
หรือช้ินเล็ก ๆ น้าไปตากแดดจนแห้งแล้วน้าไปบดละเอียด ชั่งน้าหนักชนิดละ 500 กรัม แช่ในท้าละลายเอทา
นอล 95 เปอรเ์ ซ็นต์ ให้ท่วม น้าเขา้ เคร่ืองเขยา่ ท่ีควบคุม อณุ หภมู ิท่ี 25 องศาเซลเซียส เปน็ เวลา 2 ชัว่ โมง กรอง
เอาส่วนสารละลายใส่ขวด ส่วนกากนา้ มาสกัดซ้าอีก 2 คร้ัง น้าสารละลายสกดั ทไ่ี ดแ้ ต่ละชนิดมาระเหยเอทานอล
95 เปอร์เซ็นต์ ออกด้วยเครื่องระเหยแห้ง(Rotary evaporator) ด้วยอัตราเร็ว 110 รอบต่อนาที ท่ีอุณหภูมิ
42 องศาเซลเซียส
2. การหาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า
ผลพกิ ุล และลกู ยอ (Leite & Dourado, 2013: Lingkard & Singlaton, 1977)
เตรียมสารละลายมาตรฐานกรดแกลลิกเข้มข้น 1,000 ppm และ 100 ppm และเจือจางจนมี
ความเข้มข้นเป็น 0, 20, 40, 60 และ 80 ppm จากน้ันสร้างกราฟมาตรฐานกรดแกลลิก น้าสารละลายที่เตรยี ม
ได้ในแตล่ ะความเข้มข้นไปวัดค่าการดดู กลืนแสงด้วยเคร่ือง UV-vis Spectrophotometer ทคี่ วามยาวคลื่น 760
นาโนเมตร (A760) หลงั จากนน้ั วเิ คราะหป์ ริมาณสารประกอบฟีนอลิกท้ังหมดในสารสกดั หยาบผลมะขามป้อม ผล
มะกอกน้า ผลพิกลุ และลูกยอ
3. การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และ
ลกู ยอ โดยการวดั สมบัติในการยบั ยงั้ DPPH Radical
3.1 ช่ังสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) 0.0125 กรัมละลายด้วย 99.99% อทานอล ใส่
ในขวดวัดปริมาตรขนาด 25 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute Ethanol จนได้สารละลาย BHT และ BHA
ท่มี คี วามเข้มข้น 500 ไมโครกรัมต่อมิลลลิ ติ ร
3.2 ปิเปตสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) ท่ีมีความเข้มข้น 500 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร
ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ปรับปรมิ าตรดว้ ย Absolute Ethanol จะได้สารละลาย BHT ท่ีมีความเข้มข้น 500, 250,
125, 62.5, และ 31.25 ไมโครกรัมต่อมิลลลิ ติ ร ตามลา้ ดับ
3.3 ชั่งสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ อย่างละ 0.0125 กรัม
ละลายด้วย 99.99% เอทานอล ใส่ในขวดวัดปริมาตรขนาด 25 มิลลิลิตรปรบั ปริมาตรดว้ ย Absolute Ethanol
จนได้สารละลายสกดั หยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกนา้ ผลพกิ ุล และลกู ยอ ทมี่ คี วามเขม้ ข้น 500 ไมโครกรมั ตอ่
90 | ปที ี่ 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉนุ และคณะ
มิลลิลิตร ปิเปตสารละลายสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ ที่มีความเข้มข้น 500
ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร อย่างละปริมาตร 2 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute Ethanol จะได้สารละลาย
สกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลกู ยอ ทีม่ ีความเข้มข้น 500, 250, 125, 62.5, และ 31.25
ไมโครกรมั ตอ่ มิลลลิ ติ รตามลา้ ดบั
3.4 ปิเปตสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) ท่ีมีความเข้มข้นต่างๆ เติมสารละลาย DPPH
6x10-5 โมลาร์ ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ลงในหลอดทดลองเขย่าให้เข้ากันและต้ังทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา
30 นาที ในที่มืด แลว้ วัดค่าการดูดกลนื แสงที่ความยาวคลนื่ 515 นาโนเมตร และทา้ การทดลอง 3 ซ้า
3.5 ปิเปตสารละลายสกัดหยาบผลมะขามปอ้ ม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ ท่ีมีความเขม้ ขน้
ต่างๆ เติมสารละลาย DPPH 6x10-5 โมลาร์ ปริมาตร 2 มลิ ลิลติ ร ลงในหลอดทดลองเขยา่ ใหเ้ ขา้ กนั และตั้งทงิ้ ไว้ท่ี
อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 30 นาทีในท่ีมืด แล้ววัดค่าการดูดกลืนแสงท่ีความยาวคล่ืน 515 นาโนเมตร และท้าการ
ทดลอง 3 ซ้า
3.6 ค้านวณหา % inhibition
3.7 พล๊อตกราฟหาค่า IC50 เปรียบเทียบกับ BHA, BHT สารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผล
มะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ
4. การเตรียมโลชนั่
4.1 เตรยี มโลชน่ั สตู รพ้ืนฐาน
4.1.1 เตรยี มโลชน่ั สตู รพ้ืนฐานปรมิ าตร 500 กรัม ชงั่ ส่วนผสมโลช่นั ตามตารางท่ี 1
ตารางที่ 1 ส่วนผสมโลชั่นสูตรพน้ื ฐาน
ช่ือสาร ปรมิ าณท่เี ตรียม (Base Lotion)
White bee Wax 3.3 กรัม
Stearic Acid 16.7 กรัม
5 กรัม
Glyceryl Monostearate 5 มลิ ลลิ ติ ร
Tween 80 5 มิลลลิ ิตร
Span 80 3.5 มลิ ลิลติ ร
Germaben II 5 มิลลลิ ิตร
Isopropyl Myristate
4.1.2 ใส่สารซงึ่ ถือเป็นวฏั ภาคนา้ ไดแ้ ก่ Tween 80 และน้า ลงในบกี เกอร์
4.1.3 ใส่สารซ่ึงถือเป็นวัฏภาคน้ามัน ได้แก่ White Bee Wax, Stearic Acid, Glyceryl
Monostearate, Span 80, Germaben II, Isoproply Myristate ตามลา้ ดบั รวมกนั ลงในบีกเกอร์
4.1.4 น้าบีกเกอร์ในข้อ 2 และข้อ 3 ต้ังบน Water bath แล้วท้าการวัดอุณหภูมิ ของ
สารละลาย โดยให้อุณหภูมิของสารละลายในบีกเกอร์วัฏภาคน้ามีอุณหภูมิประมาณ 75 องศาเซลเซียส และ
อณุ หภูมิของสารละลายในบีกเกอรว์ ฏั ภาคน้ามนั มอี ุณหภมู ปิ ระมาณ 70 องศาเซลเซยี ส
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 91
4.1.5 เทสารในบีกเกอร์วฏั ภาคน้าลงในบีกเกอร์วฏั ภาคน้ามัน พร้อมคนผสมให้เข้ากันอย่าง
ต่อเนื่อง จนกระทั่งอุณหภูมิของสารท่ีผสมลดลงมาเหลือประมาณ 40 องศาเซลเซียส จึงแต่งกลิ่นและสีตามที่
กา้ หนด ทง้ิ ไว้จนเย็นทอ่ี ณุ หภูมหิ ้องจะได้เป็นผลิตภัณฑ์โลชนั่ โดยดา้ เนินการทดสอบ 3 ซ้า
4.2 สูตรผสมสารสกดั หยาบผลมะขามปอ้ ม
เตรียมโลชั่นสูตรพ้ืนฐานท่ีดีที่สุดจากหัวข้อ 4.1 ปริมาตร 500 กรัม โดยเพิ่มสารสกัดหยาบ
ผลมะขามปอ้ ม 5 กรัมในส่วนท่ี 3 โลชั่นมีสารสกัดหยาบผลมะขามปอ้ ม รอ้ ยละ 0.5 โดยน้าหนกั
5. การหาปรมิ าณฟีนอลกิ ทัง้ หมดของโลชนั่ ผสมสารสกัดผลมะขามป้อม
ท้าการทดลองเหมือนกับสารละลายสกัดผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ (ข้อ 2)
แต่เปลี่ยนเป็นสารละลายโลชั่นสูตรพื้นฐานและสูตรผสมสารสกัดผลมะขามป้อมเข้มข้น 0.05 กรัมต่อมิลลิลิตร
และท้าการทดลองการหาปริมาณสารประกอบฟีนอลกิ ทง้ั หมดของโลช่ันทุก สัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์
6. การศึกษาฤทธ์ติ ้านอนุมลู อสิ ระของโลช่นั ผสมสารสกัดผลมะขามป้อม
ท้าการทดลองเหมือนกับสารละลายสกัดผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ (ข้อ 2)
แต่เปลี่ยนเป็นสารละลายโลชั่นสูตรพื้นฐานและสูตรผสมสารสกัดผลมะขามป้อมเข้มข้น 0.05 กรัมต่อมิลลิลิตร
และทา้ การทดลองการหาฤทธต์ิ า้ นอนุมลู อสิ ระของโลช่นั ทุก สัปดาหเ์ ปน็ เวลา 4 สัปดาห์
7. การประเมนิ คณุ สมบตั ิทางกายภาพของโลชัน่ ผสมสารสกัดหยาบผลมะขามปอ้ ม
7.1 โลชน่ั สตู รพ้ืนฐาน
วัดคา่ pH ค่าความหนดื และสังเกตการแยกชั้น ทกุ สปั ดาห์เปน็ เวลา 4 สัปดาห์
7.2 โลชนั่ สตู รผสมสารสกดั หยาบผลมะขามปอ้ ม
การทดสอบความคงสภาพแบบเร่งของโดยนา้ โลช่ันสูตรผสมสารสกัดผลมะขามปอ้ มขวดละ
100 กรัม จ้านวน 5 ขวดน้าไป ทดสอบท่ี 5 สภาวะ คือสภาวะที่ 1 คือ 4 องศาเซนเซียส สภาวะท่ี 2 คือ 27
องศาเซนเซียส สภาวะท่ี 3 คือ 55 องศาเซนเซียส สภาวะท่ี 4 คือ เร่งโดยแสง โดยน้าโลชั่นไปไว้บริเวณท่ีมี
แสงแดดทุกๆวัน วันละ 5 ชั่วโมงและ สภาวะที่ 5 คือ Freeze and thaw cycle 6 รอบ โดยเก็บโลช่ันในตู้เย็น
ควบคุมอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสนาน 48 ช่ัวโมง จากน้ันเก็บในตู้ควบคุมอุณหภูมิท่ี 55 องศาเซลเซียส อีก 48
ช่วั โมง นา้ โลชนั่ สตู รผสมสารสกัดใบผกั แพวท่ีผา่ นการทดสอบความคงสภาพแบบเรง่ ของโลชนั่ ทกุ สภาวะมาวดั คา่
pH คา่ ความหนดื และ สงั เกตการแยกช้นั โดยเกบ็ ขอ้ มลู ทุกสปั ดาห์เป็นเวลา 1 เดอื น
ผลการวิจยั
1. ผลการสกดั สารจากผลมะขามป้อม ผลมะกอกนา้ ผลพกิ ุล และลกู ยอ
ผลการสกัดสารจากสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ โดยวิธกี าร
หมักดว้ ยเอทานอล มลี ักษณะทางกายภาพ และร้อยละผลผลิต (% Yield) แตกต่างกนั ดงั ตารางที่ 2 และตาราง
ที่ 3
92 | ปที ี่ 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพัฐอร บวั ฉนุ และคณะ
ตารางท่ี 2 ลกั ษณะทางกายภาพของสารสกัดผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพกิ ลุ และลกู ยอ ที่ไดจ้ ากการสกัด
ดว้ ยตวั ทา้ ละลายเอทานอล
ชนิดพชื ลักษณะของสารสกดั หยาบ
ผลมะขามปอ้ ม ยางเหนียวหนดื สเี ขียวเขม้
ผลมะกอกนา้ ยางเหนียวหนืดสเี ขียวเขม้
ยางเหนียวหนืดสีสม้ อมน้าตาล
ผลพิกุล ยางเหนยี วหนืดสีเขยี วออ่ น
ลูกยอ
จากตารางที่ 2 พบว่า สารสกัดหยาบผลมะขามป้อมมีลักษณะเป็นยางเหนียวหนืดสีเขียวเข้ม ผล
มะกอกน้ามีลักษณะเป็นยางเหนียวหนืดสีเขียวเข้ม ผลพิกุลมีลักษณะเป็นยางเหนียวหนืดสีส้มอมน้าตาล และ
ลกู ยอมลี ักษณะเป็นยางเหนยี วหนืดสีเขยี วออ่ น
ตารางที่ 3 รอ้ ยละของผลผลิตของสารสกดั หยาบผลมะขามปอ้ ม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ
ชนิดพืช นา้ หนักก่อนการสกดั น้าหนกั สารสกัด ร้อยละผลผลติ
(กรมั ) (กรมั ) (% Yield)
ผลมะขามปอ้ ม
ผลมะกอกนา้ 500 118.90 23.78
500 97.41 19.48
ผลพิกลุ 500 85.39 17.07
ลกู ยอ 500 83.21 16.64
จากตารางที่ 3 พบว่า ร้อยละผลผลิตพบว่าสารสกัดหยาบผลมะขามป้อมมรี ้อยละผลผลิตมากที่สุด
เท่ากับ 23.78 รองลงมาคอื สารสกดั หยาบผลมะกอกน้า มีร้อยละผลผลติ เท่ากับ 19.48 ผลพิกุลมีรอ้ ยละผลผลิต
เท่ากับ 17.07 และลูกยอมรี ้อยละผลผลิตเท่ากับ 16.64 ตามล้าดบั
2. ผลการหาปริมาณสารประกอบฟีนอลกิ ทั้งหมดของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า
ผลพกิ ลุ และลูกยอ
ผลการหาปริมาณสารประกอบฟีนอลกิ ท้ังหมดของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกนา้
ผลพกิ ลุ และลูกยอ โดยเทยี บกับสารละลายมาตรฐานกรดแกลลกิ ผลการทดลอง ดงั ตารางที่ 4
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 93
ตารางท่ี 4 ผลการหาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า
ผลพกิ ลุ และลูกยอ
สารสกัดหยาบ ปรมิ าณสารประกอบฟนี อลกิ ทง้ั หมด ± SD
(มิลลกิ รัมสมมลู ของกรดแกลลิกตอ่ 100 กรมั นา้ หนักแห้ง)
ผลมะขามป้อม
ผลมะกอกนา้ 65.01 ± 0.03
ผลพกิ ุล 31.25 ± 0.02
ลกู ยอ
22.08 ± 0.01
43.85 ± 0.01
จากตารางที่ 4 พบว่า สารสกัดหยาบผลมะขามปอ้ มมีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกท้ังหมด สูงที่สดุ
เท่ากับ 65.01 ± 0.03 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิคต่อ 100 กรัมน้าหนักแห้ง เม่ือเทียบกับกราฟมาตรฐาน
กรดแกลลกิ รองลงมาคือผลลูกยอ ผลมะกอกน้า และผลพกิ ุล มีค่าเทา่ กับ 43.85 ± 0.01 31.25 ± 0.02 และ
22.08 ± 0.01 มลิ ลกิ รมั สมมลู ของกรดแกลลิคต่อ 100 กรัมนา้ หนักแห้ง ตามลา้ ดับ
3. ผลการศึกษาฤทธต์ิ ้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกนา้ ผลพิกุล และ
ลกู ยอ
จากการทดลองฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล
และลกู ยอ จากการทดสอบการยง้ั ย้ังปฏิกิริยาออกซิเดชั่น โดยอาศัยหลกั การจับอนุมลู อิสระด้วย DPPH Radical
Scavenging เม่ือท้าการละลายในเอทานอลจะเห็นเป็นสารละลายสีม่วง เม่ือ DPPH รับอิเล็กตรอนหรือ
ไฮโดรเจนเรดิคัล จะท้าให้มีค่าเสถียรมากข้ึนและเป็นผลให้ค่าการดูดกลืนแสงลดลง เมื่อน้ามาหาค่า IC50 ของ
BHT BHA สารสกดั หยาบหยาบผลมะขามปอ้ ม ผลมะกอกน้า ผลพกิ ุล และลูกยอ ดงั ตารางท่ี 5
ตารางที่ 5 ค่า IC50 ของ BHT BHA สารสกดั หยาบผลมะขามปอ้ ม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และลูกยอ
สารตวั อยา่ ง IC50 (ไมโครกรมั ต่อมิลลลิ ติ ร)
BHT 14.21 ± 0.01
BHA 13.85 ± 0.01
18.12 ± 0.01
สารสกดั หยาบผลมะขามป้อม
14.84 ± 0.01
สารสกัดหยาบผลมะกอกนา้
0.92 ± 0.01
สารสกัดหยาบผลผลพกิ ลุ
12.91 ± 0.02
สารสกดั หยาบสกดั หยาบลูกยอ
จากตารางที่ 5 จากการศึกษาฤทธติ์ า้ นอนมุ ูลอิสระของสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า
ผลพิกุล และลูกยอ พบว่า สกัดหยาบจากผลมะขามป้อมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงสุดโดยมีค่า IC50 เท่ากับ
18.12 ± 0.01 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร รองลงมาคือผลมะกอกน้า ผลลูกยอ และผลพิกุล มีค่าเท่ากับ
94 | ปีที่ 13 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉนุ และคณะ
14.84 ± 0.01 12.91 ± 0.02 0.92 ± 0.01 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามล้าดับ เมื่อค่า IC50 ของ BHT และ
BHA เท่ากบั 14.21± 0.01 และ 13.85 ± 0.01 ไมโครกรมั ต่อมลิ ลิลิตร ตามลา้ ดับ
4. การเตรียมและการตรวจสอบคณุ ภาพและความคงสภาพของโลช่ัน
4.1 โลช่นั สตู รพืน้ ฐาน
ในการเตรียมโลช่ันสูตรพ้ืนฐานพบว่าโลช่ันสูตรพ้ืนฐานมีลักษณะเป็นสารเน้ีอเดียวสี ขาว
สามารถซึมเข้าสผู่ ิวเร็วกวา่ เมื่อทาผิวแล้วไมม่ นั และไมเ่ หนอะหนะ เม่อื น้าโลชั่นสตู รพืน้ ฐานมาตรวจสอบความคง
สภาพโดยพิจารณา จากค่า pH การแยกชั้น และความหนืด ทุกสัปดาห์เป็นเวลา 4 สัปดาห์ได้ผลการทดลองดัง
ตารางท่ี 6
ตารางที่ 6 การตรวจสอบความคงสภาพของโลชั่นสตู รพน้ื ฐานทีอ่ ณุ หภูมิ 25 องศาเซลเซยี ส
การทดสอบ 0 1 สปั ดาห์ที่ 3 4
2
ค่า pH 6.7 6.7 6.7 6.7
การแยกชน้ั ไมแ่ ยกชัน้ ไม่แยกช้นั 6.7 ไม่แยกชน้ั ไมแ่ ยกช้ัน
ความหนืด 534.5 534.4 ไม่แยกชน้ั 533.5 533.1
534.1
ตารางท่ี 6 พบว่า เมื่อท้าการตรวจสอบความคงสภาพของโลช่ันสูตรพื้นฐานที่อุณหภูมิ
25 องศาเซลเซยี ส ระยะเวลาทั้งหมด 4 สัปดาห์ พบว่า ค่า pH ไม่เกิดการเปลยี่ นแปลง เน้ือของโลช่ันไมเ่ กิดการ
แยกช้นั และ ความหนดื มีการเปลยี่ นแปลงน้อยมาก
4.2 โลชั่นสตู รผสมสารสกดั หยาบผลมะขามปอ้ ม
เม่ือน้าโลช่ันสูตรพ้ืนฐาน มาการพัฒนาสูตรโลชั่นโดยผสมสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม
พบว่าโลชั่นสูตรผสมสารสกัดหยาบผลมะขามป้อมลกั ษณะเนือ้ เดียวมสี ีขาวอมเขยี วออ่ น เน้อื โลชนั่ สามารถซึมเข้า
สู่ผิวได้เร็ว ไม่ท้าให้เหนียวเหนอะหนะ ซ่ึงมีลักษณะทางกายภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ชุมชนส้าหรับ
ผลิตภัณฑ์บ้ารุงผิว และเมื่อน้ามาท้าการทดสอบความคงสภาพแบบเร่งของโลชั่นสูตรผสมสารสกัดหยาบผล
มะขามป้อมท่ีสภาวะต่างๆ 5 สภาวะ พบว่า ความคงในสภาวะแบบเร่งของโลชั่นสูตรผสมสารสกัดหยาบผล
มะขามป้อมที่อุณหภูมิ 4 และ 27 องศาเซลเซียส และการเร่งโดยให้แสงตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า ค่า
pH มีค่าคงที่ เนื้อของโลช่ันไมเ่ กิดการแยกช้นั ความหนดื มคี า่ ท่มี ีการเปลีย่ นแปลงนอ้ ยมาก แสดงใหเ้ หน็ วา่ โลชนั่
มีความคงตัวดีที่สภาวะเร่งท้ัง 3 สภาวะ ในสภาวะ 55 องศาเซลเซียส เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ท่ี 4 ความคงสภาพของ
เนอ้ื โลช่ันเรม่ิ จะลดลงเนอ่ื งจากโลชน่ั มลี ักษณะเหลวมาก เม่อื ท้าการวดั ค่าความหนดื พบวา่ มคี า่ ทีล่ ดลงอย่างอย่าง
มาก ส่วนท่ีสภาวะการทดสอบ Freeze and thaw cycle 6 รอบพบว่าในสัปดาห์ท่ี 3 โลชั่นเกิดการแยกชั้น
แสดงว่าโลชั่นเกดิ การเสยี สภาพ
5. ผลการหาปรมิ าณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดของโลชั่นสตู รผสมสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม
ผลการหาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดของโลชั่นสูตรผสมสารสกดั หยาบผลมะขามปอ้ ม
โดยเทยี บกับสารละลายมาตรฐานกรดแกลลกิ ผลการทดลองดงั ตารางที่ 7