วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 95
ตารางที่ 7 ผลการหาปริมาณสารประกอบฟนี อลกิ ท้ังหมดของโลชน่ั สูตรผสมสารสกดั หยาบผลมะขามป้อม
ปรมิ าณสารประกอบฟีนอลกิ ทงั้ หมด ± SD
สปั ดาหท์ ่ี (มิลลกิ รมั สมมลู ของกรดแกลลกิ ตอ่ 100 กรมั น้าหนักแห้ง)
0 โลชน่ั สูตรพืน้ ฐาน โลชั่นสตู รผสมสารสกัดหยาบผลมะขามปอ้ ม
1
2 8.02 ± 0.02 65.86 ± 0.02
3
4 7.89 ± 0.03 64.64 ± 0.01
7.61 ± 0.01 64.01 ± 0.03
7.38 ± 0.03 63.97 ± 0.03
7.01 ± 0.01 63.84 ± 0.01
จากตารางที่ 7 พบว่า โลช่ันสตู รพนื้ ฐาน และโลชัน่ สตู รผสมสารสกดั หยาบผลมะขามป้อม มีปรมิ าณ
สารประกอบฟีนอลิกทั้งหมดสูงที่สุดในวันแรก เท่ากับ 8.02 ± 0.02 และ 65.86 ± 0.02 มิลลิกรัมสมมูลของ
กรดแกลลิคต่อ 100 กรัมน้าหนักแห้ง ตามล้าดับ และเมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ ปริมาณสารประกอบฟีนอลิก
ทงั้ หมดจะลดลงเล็กนอ้ ย หลังจากน้ันในสัปดาหท์ ่ี 2-4 คา่ ปริมาณสารประกอบฟนี อลกิ ท้งั หมดจะมีคา่ ตา่ งกันน้อยมาก
6. ผลการศึกษาฤทธิต์ า้ นอนุมูลอิสระของโลชั่นสตู รผสมสารสกดั หยาบผลมะขามปอ้ ม
จากการทดลองฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของโลช่ันสูตรผสมสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม โดยอาศัย
หลกั การจับอนมุ ลู อิสระดว้ ย DPPH Radical Scavenging ผลการทดลองดังตารางที่ 8
ตารางท่ี 8 ฤทธ์ิต้านอนุมูลอสิ ระของโลชั่นสูตรผสมสารสกัดหยาบผลมะขามป้อม
สัปดาห์ที่ โลชน่ั สูตรพนื้ ฐาน IC50 (ไมโครกรมั ตอ่ มิลลลิ ิตร)
7.82 ± 0.01 โลชัน่ สูตรผสมสารสกดั หยาบผลมะขามป้อม
0 8.02 ± 0.02
1 6.71 ± 0.03
2 6.37 ± 0.02 17.81 ± 0.01
3 6.28 ± 0.02
4 6.11 ± 0.02 17.64 ± 0.01
18.11 ± 0.05
18.00 ± 0.02
จากตารางที่ 8 พบว่า โลช่ันสตู รพ้ืนฐาน และโลชัน่ สตู รผสมสารสกัดหยาบผลมะขามปอ้ ม มฤี ทธ์ติ า้ น
อนุมูลอิสระสูงที่สุดในวันแรก เท่ากับ 7.82 ± 0.01 และ 8.02 ± 0.02 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามล้าดับ
และเม่ือเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ ฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระจะลดลงเล็กน้อย หลังจากน้ันในสัปดาห์ที่ 2-4 ฤทธ์ิต้าน
อนุมูลอิสระจะมีค่าต่างกันน้อยมาก
96 | ปีที่ 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บวั ฉนุ และคณะ
อภปิ รายผล
จากการศกึ ษาปรมิ าณสารประกอบฟินอลกิ ท้ังหมด และฤทธติ์ ้านอนมุ ลู อสิ ระของสารสกดั หยาบจาก
ผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และผลลูกยอ น้ามาสกัดด้วยเอทานอล หาปริมาณสารประกอบฟินอลิก
ทัง้ หมด ดว้ ยโดยวิธี Folin–Ciocalteu และฤทธ์ิต้านอนมุ ูลอสิ ระด้วยวิธี DPPH ผลการวจิ ยั พบวา่ สกัดหยาบจาก
ผลมะขามป้อมมีปริมาณฟีนอลิกท้ังหมดสูงสุดเท่ากับ 65.01 ± 0.03 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิคต่อ 100
กรัมน้าหนักแห้ง รองลงมาคือผลลูกยอ ผลมะกอกน้า และผลพิกุล มีค่าเท่ากับ 43.85 ± 0.01 31.25 ±
0.02 และ 22.08 ± 0.01 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิคต่อ 100 กรัมน้าหนักแห้ง ตามล้าดับ เมื่อน้ามา
วิเคราะห์ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ พบว่า สกัดหยาบจากผลมะขามป้อมมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระสูงสุดโดยมีค่า IC50
เท่ากับ 18.12 ± 0.01 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร รองลงมาคือผลมะกอกน้า ผลลูกยอ และผลพิกุล มีค่าเท่ากับ
14.84 ± 0.01 12.91 ± 0.02 0.92 ± 0.01 ไมโครกรมั ต่อมิลลิลติ ร ตามล้าดับ สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ
มนสิชา ขวัญเอกพันธ์ และคณะ (2555) ท่ีได้สกัดจากส่วนเถาชะเอมไทย พบว่า สารสกัดหยาบด้วย
ตัวท้าละลายร้อยละ 80 เอทานอล มีร้อยละของสารสกัด คือ 6.12 และพบว่ามีปริมาณสารประกอบฟีนอลิก
โดยรวม เท่ากบั 10.18 มลิ ลกิ รัมแกลลิกแอซิคต่อน้าหนักแหง้ ตามล้าดับ จากการศึกษาจะเห็นได้วา่ สารสกดั หยาบ
ผลมะขามป้อม ผลมะกอกน้า ผลพิกุล และผลลูกยอมีสารประกอบฟีนอลิกเป็นองค์ประกอบอยู่จึงมีฤทธ์ิต้าน
อนุมูลอิสระค่อนข้างสูงเม่ือเทียบกับสารละลายมาตรฐานบีเฮชเอและบีเฮชที และงานวิจัยท่ีศึกษา พบว่าพืชท่ีมี
สารประกอบฟนี อลกิ จะมฤี ทธิ์ต้านอนมุ ูลอสิ ระ เชน่ งานวิจัยของ สธุ าทิพย์ อนิ ทรกา้ ธรชยั และคณะ (2555) ได้
ท้าการสกัดและประเมินฤทธิ์ต้านอนุมลู อิสระจากดอกมะลลิ า พบว่าจากการสกัดสารออกฤทธิ์จากดอกมะลิลา
ด้วยเอทานอลร้อยละ 95 ให้ผลผลิตสารสกดั รอ้ ยละ 39.64 และ 21.24 ตามล้าดับ สารสกดั ดอกมะลลิ ามปี รมิ าณ
สารประกอบฟีนอลิก 56.05 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมตัวอย่าง (mg GAE/g) ซ่ึงสูงกว่าปริมาณฟี
นอลิกที่พบในสารสกัดทางการค้าคือ สารสกัดเปลือกเมล็ดล้าไย เมล็ดทับทิม และเปลือกมังคุด 77, 140 และ
2.1 เทา่ ตามล้าดบั ฤทธิ์ตา้ นอนุมลู อสิ ระของสารสกัดดอกมะลลิ าพบคา่ IC50 เท่ากับ 0.87 มลิ ลกิ รัมต่อมิลลิลติ ร
ผู้วจิ ยั น้าสารสกดั หยาบผลมะขามปอ้ มมาพัฒนาเป็นโลชนั่ พบว่า โลชัน่ สตู รทีม่ ีส่วนผสมของสารสกดั
หยาบผลมะขามป้อมมเี นอื้ เปน็ สีขาวอมเขียวออ่ น มีลกั ษณะเป็นเน้ือเดียวกนั ไม่มีกลน่ิ มีลกั ษณะคงตวั ท่ีดมี ี และ
มีค่า pH เท่ากับ 6.7 เม่ือท้าการทดสอบความคงสภาพแบบเร่งของโลช่ันสูตรผสมสารสกัดสกัดหยาบผล
มะขามป้อมเข้มข้น 0.5 % w/w ท่ีสภาวะต่างๆ พบว่าที่สภาวะอุณหภูมิ 4 และ 27 องศาเซลเซียสและเร่งโดย
แสงโลช่ันมี สภาพความคงตัวดีสว่ นท่ีอุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียสเมือ่ เข้าส่สู ัปดาห์ท่ี 3 ความหนืดของโลชั่นเร่ิม
ลดลง สว่ นที่สภาวะการทา้ ใหแ้ ข็งตัวและละลาย พบวา่ เน้ือโลชน่ั เกิดการแยกช้นั ต้งั แตส่ ัปดาห์ที่ 3 เมอ่ื น้าโลชนั่ ไป
หาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกท้ังหมด และฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ พบว่า โลช่ันสูตรผสมสารสกัดสกัดหยาบผล
มะขามป้อมมปี ริมาณสารประกอบฟนี อลกิ และฤทธิ์ต้านอนมุ ลู อิสระ มากกว่าโลช่ันสตู รพนื้ ฐาน ดังนั้นอาจนา้ สาร
สกัดหยาบผลมะขามปอ้ มไปพฒั นาเพือ่ ตอ่ ยอดในเชิงพาณิชยต์ อ่ ไป
เอกสารอา้ งองิ
ณพฐั อร บัวฉนุ . (2558). สารต้านอนุมูลอสิ ระและปรมิ าณสารฟีนอลกิ ท้งั หมดของสารสกดั จากชะเอมไทย.
วารสารวจิ ยั และพัฒนาวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์. 10(2), 78-95.
ณพัฐอร บวั ฉุน. (2558). การพัฒนาโลช่ันจากสารสกดั หยาบชะเอมไทยท่ีมีฤทธ์ติ า้ นอนมุ ลู อิสระ. วารสารวิจัย
และพัฒนาวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ.์ 10(2), 97-106.
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 97
มนสิชา ขวัญเอกพันธ์ และคณะ. (2555). ฤทธยิ์ ับยงั้ เอนไซม์ไทโรซิเนสของสารสกดั จากสว่ นเถาชะเอมไทย.
เชยี งราย : มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ ้าหลวง.
ยทุ ธนา สุดเจรญิ . (2553). การประเมินคุณประโยชน์ผกั และสมนุ ไพรพ้ืนบา้ น จังหวดั สมทุ รสงคราม. ปริญญา
นพิ นธ์วิทยาศาสตรบัณฑติ . มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสุนนั ทา.
สมหมาย ปตั ตาล.ี (2551). การศึกษาคณุ ภาพของน้าหมกั ชวี รูปทผี่ ลติ จากผลมะหลอด. ปริญญาการศึกษาศา
สตรมหาบณั ฑติ . สาขาวิทยาศาสตร์ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒประสานมติ ร.
สธุ าทิพย์ อนิ ทรกา้ ธรชัย และคณะ. (2555). การพฒั นาครีมชะลอวยั ผสมสารสกดั ดอกมะลลิ า.เชียงราย:
มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ า้ หลวง.
Beyer, R.E. (1992). An Analysis of Role of Coenzyme Q in Free Radical Generation and As
Antioxidant. Biochemistry and Cell Biology. 70, 390 – 403.
Chatchai Thetsrimuang, Saranyu Khammuang, Khajeelak Chiablaem, Chantragan Srisomsap,
Rakrudee Sarnthima. (2011) Antioxidant properties and cytotoxicity of crude
polysaccharides from Lentinus polychrous Lev. Food Chemistry, 2011(128), 634-639.
Deepika Kumari, M. Dudhakara Reddy, Ramesh Chandra Upadhyay. (2011) Antioxidant Activity
of three Species of Wild Mushroom Genus Cantrarellus Collected from North-
Western Himalaya, India. International Journal of Agrculture & Biology, 2011(13),
415-418.
Hip Seng Yim, Fook Yee Chy, Sze May Koo, Patricia Matanjun, Siew Eng How, Chun Wai Ho.
(2012) Optimization of extraction time and temperature for antioxidant activity of
edible wild mushroom, Pleurotus porrigens. Food and Bioproducts Processing,
2012(90), 235-242
98 | ปีที่ 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพัฐอร บวั ฉุน และคณะ
ฤทธกิ์ ารตา้ นอนมุ ลู อสิ ระของสารสกัดหยาบสมอไทย
ณพฐั อร บัวฉุน1* ณฐั พล สงิ สขุ 2 พลวัฒน์ กนั อาน2 สดุ ารตั น์ แกว้ ประเสริฐ2
บทคดั ย่อ
งานวิจัยน้ีได้ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบสมอไทย และแยกองค์ประกอบของสาร
สกัดหยาบสมอไทย โดยนาเนื้อสมอไทยสกดั ด้วยเอทานอลด้วยวธิ ีการแชย่ ยุ่ จากนน้ั นาสารสกัดหยาบสมอไทยมา
วิเคราะห์หาปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด แทนนินท้ังหมด โดยศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบด้วยวิธี
DPPH Radical Scavenging ดว้ ยเคร่ือง UV-VIS Spectrophotometer และนาสารสกัดหยาบสมอไทยที่มฤี ทธิ์
ต้านอนุมูลอิสระมาเป็นส่วนผสมในผลิตภณั ฑ์โลช่ัน ผลการวิจัยพบว่า สารสกัดหยาบสมอไทยมีปริมาณฟีนอลิก
ทั้งหมด เทา่ กบั 85.22 มิลลิกรัมสมมลู ของกรดแกลลิคต่อ 100 กรมั น้าหนักแหง้ ปริมาณแทนนินทงั้ หมด เทา่ กบั
365.77 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร และมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 13.24 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
ขณะท่ี BHA และ BHT มคี า่ IC50 เท่ากับ 12.06 และ 11.92 มลิ ลิกรัมตอ่ มิลลลิ ติ ร ตามลาดับ แยกสารสกัดหยาบ
สมอไทยเป็น 5 กลมุ่ (F1, F2, F3, F4 และ F5) และ พบว่าสารกลมุ่ F2 มีฤทธิ์ต้านอนมุ ูลอสิ ระมากทีส่ ุด โดยมคี า่
IC50 เทา่ กับ 12.53 มลิ ลิกรัมต่อมลิ ลิลติ ร ผลติ ภณั ฑ์โลช่ันท่ีได้ มสี ขี าว ไมม่ ีกลน่ิ เน้อื โลชั่นไม่แยกช้ัน และมีความ
เปน็ กรด–ดา่ ง เท่ากับ 6.7
คาสาคญั : สารสกดั หยาบ สารตา้ นอนุมลู อสิ ระ ฟนี อลกิ ทัง้ หมด สมอไทย
1สาขาเคมี คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จังหวดั ปทมุ ธานี
e-mail: [email protected]
2 สาขาวิชาเคมแี ละวทิ ยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จงั หวดั ปทุมธานี
*ผู้นพิ นธ์หลัก e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 99
ANTIOXIDANT ACTIVITY OF CRUDE EXTRACT FROM TERMINALIA CHEBULIA
Napattaorn Buachoon1* Nattapon Singsuk2 Phollawat Kanran2
Sudarat Kaeoprasoet 2
Abstract
This research was to study antioxidant activity and separated the chemical compound
of crude extract from crude extract from Terminalia chebula. Samples were extracted with
ethanol by immersion method while the quantity of total phenolic and total tannin.
We conducted the investigation of the antioxidant activity of the crude extract via DPPH Radical
Scavenging with UV-VIS Spectrophotometer. The results illustrated that the crude extract from
samples had total phenolic contents at 85.22 milligram gallic acid/100 g FW, total tannin
contents at 365.77 microgram/milliliter respectively whilst IC50 value of the antioxidant activity
was 1 3 .2 4 milligram/milliliter and IC50 value of BHA and BHT were 12.06 and 11.92
milligram/milliliter respectively. The separation of crude extract can be separated into four
groups (F1, F2, F3, F4 and F5) and the results showed that F2 has the strongest activity against
the others with IC50 = 1 2 .53 milligram/milliliter. The lotion was odorless, white color with no
phase separation with pH 6.7
Keywords : Crude extract, Antioxidant activity, Total phenolic, Terminalia chebula .
1Chemistry Progra , Faculty of Science and Technology, Valaya Alongkorn Rajabhat University under the
Royal Patronage
2 Chemistry and Science Program , Faculty of Education, Valaya Alongkorn Rajabhat University under the
Royal Patronage
* Corresponding author, e-mail: [email protected]
100 | ปที ี่ 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพัฐอร บวั ฉนุ และคณะ
บทนา
สมอไทย (Terminalia chebula) เป็นพืชท่ีมีแหล่งกาเนิดในอินเดยี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่
ในวงศ์ Combretaceae ผลสมอไทยมีสรรพคุณทางยาท่ีหลากหลาย เช่น ยาระบายอ่อนๆ ยาธาตุ ยาบารุงและ
แก้ชักกระตุก เปน็ ต้น ทั้งน้ีมีรายงานวา่ ในผลสมอไทยมสี ารประกอบฟนี อลกิ ปรมิ าณสงู เชน่ Gallic acid Ellagic
acid Chebulic acid และ Corilagin เป็นต้น ซ่ึงสารประกอบเหล่าน้ีมีสรรพคุณทางเภสัชวิทยาหลายประการ
ยกตัวอย่างเช่น ฤทธ์ิต้านเช้ือจุลินทรีย์ ได้แก่ ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มแกรมบวกและแกรมลบหลายชนิด
ฤทธ์ิต้านไวรัส ฤทธ์ิต้านเช้ือรา ฤทธ์ิต้านการอักเสบ ฤทธ์ิต้านการแพ้ฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ ฤทธ์ิต้านมะเร็ง และ
ฤทธต์ิ ้านเบาหวาน (เกสรี กลน่ิ สุคนธ์ และคณะ, มปป.; ณพัฐอร บัวฉุน, 2558)
นอกจากนี้ยังพบว่าในสมอไทย มีสารประกอบจาพวกแทนนิน (tannin) ท่ีสามารถใช้เป็นยาสมาน
แก้ลมจุกเสียด ยาเจริญอาหาร ยาบารุง เป็นยาชงอมกล้ัวคอแก้เจ็บคอ ขับน้าเหลืองเสีย ใช้ภายนอกบดเป็นผง
ละเอียดโรยแผลเรื้อรัง ใช้รักษาโรคฟันและเหงือกเป็นแผล เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้พิษร้อนภายใน แก้ลมป่วง
ระบายลม รู้ถ่ายรู้ปิดเอง คุมธาตุในตัวเสร็จ ถ่ายพิษไข้ สารสกัดจากสมอไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นราชา
สมุนไพร เน่ืองจากฤทธ์ใิ นการกาจดั สารพษิ ออกจากรา่ งกายและบาบดั โรคหลายชนิด ในขณะเดียวกันยังสามารถ
บารุงสุขภาพ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย (ปฏิมา บุญมาลี และ ปัทมา เทียนวรรณ. 2556)
ในประเทศอินเดียสารสกัดจากสมอไทยใช้ในการรักษาโรคหลายชนิด เช่น โรคระบบทางเดินอาหาร อาการ
อาหารไม่ย่อย โรคระบบทางเดินปัสสาวะ โรคเบาหวาน โรคผิวหนัง โรคพยาธิ โรคหัวใจ อาการไข้เป็นระยะ
อาการท้องอดื ท้องเฟ้อ ท้องผูก แผลในทางเดนิ อาหาร อาเจียน อาการเจ็บปวดในลาไส้ และริดสีดวงทวารหนัก
นอกจากนยี้ ังมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัส รวมท้ังเช้อื HIV และแบคทเี รียบางชนดิ บารงุ หวั ใจ ต้านอนุมลู อสิ ระและ
ชะลอความชรา นอกจากน้ี ยังช่วยควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด และช่วยการทางานของตับในการาจัดไขมัน
ออกจากรา่ งกาย รวมท้งั กระต้นุ การเผาผลาญของร่างกายได้อกี ด้วย
จากข้อมูลข้างต้นผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร
สกัดหยาบสมอไทย และนาผลการศึกษาที่ได้ไปทาผลิตภัณฑ์โลช่ันท่ีมีส่วนผสมของสารสกัดสมอไทยซ่ึงมี
ฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ ทดสอบสมบัติทางกายภาพและเคมีบางประการเพ่ือเป็นข้อมูลพื้นฐานในการศึกษาข้ันสูง
ต่อไป และเพอื่ เปน็ การศึกษาเบอ้ื งต้นเพือ่ เป็นพนื้ ฐานในการนาไปใชป้ ระโยชน์ในทางการแพทย์ตอ่ ไป
วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั
1. เพือ่ ศกึ ษาฤทธ์ิต้านอนมุ ลู อิสระของสารสกัดหยาบสมอไทย
2. เพอื่ แยกและศกึ ษาองค์ประกอบทางเคมขี องสารสกัดหยาบสมอไทยทม่ี ีฤทธิ์ตา้ นอนุมลู อสิ ระ
3. เพอ่ื พัฒนาผลติ ภณั ฑโ์ ลชนั่ และทดสอบสมบตั ทิ างกายภาพและเคมีบางประการ
วธิ ีดาเนินการวิจัย
การเตรยี มสกดั สารจากสมอไทย (รัตนา อินทรานปุ กรณ์, 2547)
เตรยี มสมอไทยโดยนามาเฉพาะเน้อื จานวน 1 กิโลกรมั จากนั้นนาไปตากแดดให้แห้งแล้วนาไปอบจน
แห้งเพื่อไล่น้าออกให้หมด นาไปชั่งน้าหนักได้ 250 กรัม เติมตัวทาละลายเอทานอล สกัดโดยการแช่ในขวดโหล
ปิดภาชนะท้ิงไว้ 7 วัน ท่ีอุณหภูมิห้อง เม่ือครบกาหนดนาไปกรองแยกสารสกัดหยาบด้วยผ้าขาวบางแล้วกรอง
โดยชุดกรองแบบบุชเนอร์ ผ่านกระดาษกรอง Whatman เบอร์ 42 นาสารที่สกัดได้มาระเหยตวั ทาละลายออก
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 101
โดยใช้เครื่องระเหยสญุ ญากาศแบบหมุน (Rotary evaporator) จะไดส้ ารสกดั หยาบสมอไทย ช่ังนา้ หนกั ของสาร
สกัด
การหาปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดและแทนนินท้ังหมด (Leite & Dourado, 2013: Lingkard &
Singlaton, 1977)
เตรียมสารละลายมาตรฐานกรดแกลลิกและแทนนิกเข้มข้น 1,000 ppm และ 100 ppm และเจือ
จางจนมีความเข้มข้นเป็น 0, 20, 40, 60 และ 80 ppm จากนั้นสร้างกราฟมาตรฐานกรดแกลลิกและแทนนิก
นาสารละลายที่เตรียมไดใ้ นแตล่ ะความเขม้ ขน้ ไปวัดค่าการดดู กลนื แสงด้วยเครือ่ ง UV-vis Spectrophotometer
ที่ความยาวคล่ืน 760 นาโนเมตร (A760) หลังจากน้ันวิเคราะห์ปริมาณฟีนอลิกท้ังหมดและแทนนินท้ังหมด
ในสารสกัดหยาบสมอไทย
การวิเคราะห์หาฟลาโวนอยด์ด้วยเทคนิครงคเลขผิวบาง (Leite & Dourado, 2013: Lingkard &
Singlaton, 1977)
1. ชั่งสมอไทย แห้ง 10 กรัม เติมเมทานอล 40 มิลลิลิตร อุ่นท่ีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 5
นาที ทิ้งให้เย็นกรองผ่านกระดาษกรองเบอร์ 42 ชะล้างกระดาษกรองด้วยเมทานอล 10 มิลลิลิตร แล้วนาสาร
สกดั ท่ไี ดไ้ ประเหยสญุ ญากาศแบบหมนุ ท่อี ุณหภมู ิ 40 – 50 องศาเซลเซยี ส
2. นาสารสกัดทไ่ี ด้ละลายด้วยเมทานอล 1 มลิ ลลิ ิตร ได้สารละลายตวั อย่าง
3. นาสารละลายตัวอย่างและสารละลายมาตรฐาน (รูทิน) spot บนแผ่น TLC แล้วใส่ลงในถังทา
TLC ท่ีมี Mobile Phase คือ Ethyl Acetate: Formic: Acetic Acid: Water (7: 5: 1: 2) ตั้งท้ิงให้ Mobile
Phase ซึมขึ้นไปบนแผ่น TLC เป็นระยะทาง 10 เซนติเมตร นาแผ่น TLC ตรวจดูแถบสารภายใต้รังสียูวีความ
ยาวคลน่ื 254 นาโนเมตร
การศึกษาสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบสมอไทย โดยการวัดสมบัติในการ
ยับยั้ง DPPH Radical
1. ช่ังสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) 0.0125 กรัม ละลายด้วย 99.99% เอทานอล ใส่ในขวด
วัดปริมาตรขนาด 25 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute Ethanol จนได้สารละลาย BHT และ BHA ที่มี
ความเขม้ ข้น 500 ไมโครกรัมตอ่ มิลลลิ ติ ร
2. ปิเปตสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) ที่มีความเข้มข้น 500 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร
ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute Ethanol จะได้สารละลาย BHT ท่ีมีความเข้มข้น 500,
250, 125, 62.5, และ 31.25 ไมโครกรมั ตอ่ มิลลิลิตร ตามลาดบั
3. ช่ังสารสกัดหยาบสมอไทย 0.0125 กรัม ละลายด้วย 99.99% เอทานอล ใส่ในขวดวัดปริมาตร
ขนาด 25 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute Ethanol จนไดส้ ารละลายสกดั หยาบสมอไทย ท่มี ีความเข้มข้น
500 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ปิเปตสารละลายสกัดหยาบสมอไทย ท่ีมีความเข้มข้น 500 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร
ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute Ethanol จะได้สารละลาย สกัดหยาบสมอไทย ที่มีความ
เข้มขน้ 500, 250, 125, 62.5, และ 31.25 ไมโครกรัมต่อมลิ ลลิ ติ ร ตามลาดับ
4. ปิเปตสารละลายมาตรฐาน (BHT และ BHA) ที่มีความเข้มข้นต่างๆ เติมสารละลาย DPPH 6x10-5
โมลาร์ ปริมาตร 2 มิลลิลิตร ลงในหลอดทดลองเขย่าให้เข้ากันและตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 30 นาทีในท่ีมืด
แลว้ วัดค่าการดดู กลืนแสงที่ความยาวคลืน่ 515 นาโนเมตร และทาการทดลอง 3 ซ้า
102 | ปที ่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บัวฉนุ และคณะ
5. ปิเปตสารละลายสกัดหยาบสมอไทยที่มีความเข้มข้นต่างๆ เติมสารละลาย DPPH 6 x 10-5 โมลาร์
ปรมิ าตร 2 มิลลิลิตร ลงในหลอดทดลองเขย่าให้เข้ากนั และตัง้ ท้งิ ไวท้ ่ีอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 30 นาทีในที่มดื แล้ว
วัดคา่ การดูดกลืนแสงที่ความยาวคล่ืน 515 นาโนเมตร และทาการทดลอง 3 ซ้า
6. คานวณหา % DPPH Scavenging
7. พล๊อตกราฟหาค่า IC50 เปรยี บเทยี บกับ BHA, BHT สกัดหยาบสมอไทย
การแยกองค์ประกอบทางเคมี
การแยกด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟแี บบรงคเลขผวิ บาง
โดยเตรยี มสารละลายของสารตวั อยา่ งจากตัวทาละลายท่ีเหมาะสมที่สามารถละลายสารตวั อย่างไดด้ ี
ท่ีสุด ใช้หลอด Capillary แต้มสารลงบนแผ่น TLC อะลูมิเนียม แล้ววางในแก้วท่ีมีตัวทาละลายอ่ิมตัวอยู่ ปล่อย
ให้ตัวทาละลายซึมขึ้นไปจนสุดพ้ืนผิวหน้าตัวดูดซับ นาแผ่น TLC อะลูมิเนียม ไปตรวจสอบหาตาแหน่งสารโดย
ส่องด้วยเครื่องส่องรังสีเหนือม่วง เปล่ียนระบบตัวทาละลายอินทรีย์จนกระท่ังได้ระบบตัวทาละลายที่ให้ผลการ
แยกดีทีส่ ุด
การแยกด้วยคอลัมนโ์ ครมาโทกราฟี
การเตรียมคอลมั น์
ใช้ซิลิกาเจลบรรจุลงในคอลัมน์โดยช่ังมา 30 เท่าของสารสกัดผสมซิลกิ าเจลกับตัวทาละลายเฮกเซน
แล้วทาให้มลี กั ษณะไม่ข้นไม่เหลวจนเกนิ ไปและไม่มีฟองอากาศเทผา่ นคอลมั น์ที่มีสาลแี ละทรายละเอยี ดที่สะอาด
ปดิ อย่ดู ้านลา่ งคอลมั น์
การเตรยี มสารเพือ่ บรรจุในคอลัมน์
นาสารสกัดหยาบสมอไทยผสมกับตวั ทาละลายเอทานอลคนให้เขา้ กันนาไประเหยดว้ ยเครื่องระเหย
สญุ ญากาศแบบหมนุ จนเอทานอลระเหยหมด นาสารสกดั สมอไทยาใส่ในคอลัมนโ์ ครมาโทกราฟี
การบรรจุสารลงคอลัมน์
1. นาคอลัมน์ที่เตรียมมาโรยปิดสเลอรีด้วยทราย นาสารที่เตรียมไว้เพื่อบรรจุคอลัมน์ ค่อยๆ โรย
อย่างชา้ ๆ
2. ค่อยๆ ชะสารด้วยตัวทาละลายผสมระหว่างไดคลอโรมีเทน: เมทานอล โดยเก็บสารที่แยกได้ครง้ั
ละ 80 มิลลิลิตร
3. เกบ็ สารท่แี ยกได้ จนกระทงั่ สารตัวอยา่ งออกจากคอลมั นห์ มด โดยสังเกตสีของสารละลาย
ที่ออกมาเปน็ สเี ดียวกบั ตวั ทาละลาย
4. นาสารแต่ละขวดที่แยกไประเหยให้แหง้ ดว้ ยเครือ่ งระเหยสุญญากาศ
5. รวมสารท่ีแยกได้ ดว้ ยวิธกี ารแยกสารสกดั โดยวิธี TLC ซง่ึ ใชต้ วั ทาละลายจากอัตราส่วนที่
เหมาะสมที่หาได้ข้างต้น สังเกตดูว่าตัวทาละลายนั้นสูงถึงขีดบน นาแผ่น TLC ออกมาวางให้แห้ง
ส่องดูด้วยเครื่องส่องรังสีเหนือม่วงสังเกตระยะห่างของสารแต่ละสารของแต่ละขวดท่ีสารเคลื่อนท่ี ขวดใด
เคล่ือนทเ่ี ทา่ กนั หรือใกล้เคยี งกนั ให้นามารวมเปน็ ขวดเดยี วกนั
6. นาสารทีร่ วมสว่ นทเี่ หมือนกันเขา้ ดว้ ยกนั ไดส้ ารทงั้ หมด 5 กล่มุ แล้วนาไปหาฤทธิ์ตา้ นอนุมลู อิสระ
อกี ครัง้
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 103
ศกึ ษาฤทธต์ิ ้านอนมุ ลู อสิ ระของสารทแี่ ยกได้โดยการวดั สมบัติในการยับย้งั DPPH radical
1. ชั่งสารจากกลุ่ม F2 0.01 กรัม ใส่ในขวดวัดปริมาตรขนาด 100 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย
Absolute ethanol จะไดส้ ารละลายของสารสกดั ทมี่ ีความเข้มขน้ 100 ไมโครกรมั /มิลลิลติ ร ปิเปตสารละลาย
ของสารสกดั หยาบสมอไทยทม่ี คี วามเขม้ ขน้ 100 ไมโครกรัม/มิลลลิ ิตร ปริมาตร 5, 10, 15, 20 และ 25 มลิ ลลิ ติ ร
ลงในขวดวัดปริมาตร ขนาด 25 มิลลิลิตร ปรับปริมาตรด้วย Absolute ethanol จะได้สารละลายของสารสกัด
หยาบสมอไทยทีม่ ีความเขม้ ข้น 20, 40, 60, 80, 100 ไมโครกรมั /มิลลลิ ติ ร
2. ปเิ ปตสารละลายของสารกลมุ่ F2 ที่มีความเข้มขน้ ต่างๆ ความเขม้ ข้นละ 500 ไมโครกรมั ลงไปใน
หลอดทดลอง เติม 0.1 มิลลิโมลาร์ DPPH ปริมาตร 500 ไมโครกรัม ลงไปในหลอดทดลอง ผสมให้เข้ากันด้วย
เคร่ือง Vortexmixer ตั้งทิ้งไว้ท่ีอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 30 นาที แล้ววัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 517
นาโนเมตร และทาการทดลองจานวน 3 ซ้า
3. ทาการทดลองตามวิธีข้อ 1. และ 2. โดยเปลีย่ นเปน็ สารกลมุ่ F3 F4 และ F5 และพล็อตกราฟหา
ค่า IC50 เปรยี บเทียบกบั BHT, BHA และสารทแี่ ยกได้
การพัฒนาผลิตภณั ฑโ์ ลชัน่
นาสารกลุ่มที่แยกได้และมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระดีที่สุดมาพัฒนาผลิตภัณฑ์โลช่ัน ทดสอบสมบัติทาง
กายภาพบางประการ เช่น สี กลิ่น การแยกชั้นของเนื้อโลช่ัน การทดสอบทางเคมี บางประการโดยวัดความเป็น
กรด-ด่าง เป็นต้น
ผลการวิจยั
ผลจากสกัดสารจากสมอไทย
ผลการสกัดจากสมอไทยโดยวิธีการแช่ย่ยุ ด้วยเอทานอลพบว่าสารสกัดหยาบสมอไทยที่ได้มีลกั ษณะ
เหนียวหนืดสีเขียวเข้ม เม่ือนามาหาร้อยละของผลผลิตของสารสกัดหยาบสมอไทย พบว่า สารสกัดท่ีได้จากการ
สกัดจากสมอไทยด้วย เอทานอล ได้นาหนักของสารสกัดเท่ากับ 13.020 กรัม คิดเป็นร้อยละผลผลิตเท่ากับ
5.208
ผลการวิเคราะห์ปรมิ าณฟนี อลกิ ทั้งหมดและแทนนนิ ทัง้ หมดของสารสกดั หยาบสมอไทย
ตารางที่ 1 ปริมาณฟนี อลกิ ท้ังหมดของสารสกดั หยาบสมอไทย
สารสกัดหยาบสมอไทย ปรมิ าณฟีนอลิกทั้งหมด
ปริมาณฟีนอลกิ ทั้งหมด (มลิ ลกิ รัมสมมลู ของกรดแกลลิคตอ่ 100 กรัมนา้ หนักแหง้ )
85.22
จากตารางที่ 1 พบว่าปริมาณฟีนอลิกท้ังของสารสกัดหยาบสมอไทยเท่ากับ 85.22 มิลลิกรัมสมมลู
ของกรดแกลลิคตอ่ 100 กรมั น้าหนกั แหง้
104 | ปที ่ี 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ณพัฐอร บัวฉนุ และคณะ
ตารางท่ี 2 ปรมิ าณแทนนนิ ทั้งหมดของสารสกดั หยาบสมอไทย
สารสกัดหยาบสมอไทย ปริมาณ(มิลลกิ รมั ต่อมลิ ลลิ ติ ร)
ปรมิ าณแทนนนิ ทั้งหมด 365.77
จากตารางท่ี 2 พบว่าปริมาณแทนนินทั้งหมดของสารสกัดหยาบสมอไทยเท่ากับ 365.77 มิลลิกรัม
ตอ่ มิลลิลติ ร
ผลการศกึ ษาฤทธิ์ตา้ นอนุมลู อิสระของสารสกัดหยาบสมอไทยโดยการวดั สมบตั ิในการยับย้ัง DPPH
Radical Scavenging
จากการทดลองฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากสมอไทยทดสอบโดยเทคนิค DPPH Radical
Scavenging และจากการทดสอบการยั้งยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่น โดยอาศัยหลักการจับอนุมูลอิสระดว้ ย DPPH
Radical Scavenging เมื่อทาการละลายในเอทานอลจะเห็นเป็นสารละลายสีม่วง เม่ือ DPPH รับอิเล็กตรอน
หรอื ไฮโดรเจนเรดคิ ัล จะทาใหม้ ีคา่ เสถยี รมากขน้ึ และเป็นผลใหค้ ่าการดูดกลืนแสงลดลง
ผู้วิจัยวัดสมบัติการยับยั้ง DPPH Radical Scavenging แล้วนามาหาค่าความเป็นเส้นตรงท่ีความ
เข้มข้น 31-500 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และนามาหาค่า IC50 ของ BHT BHA และสารสกัดหยาบสมอไทย ดัง
ตารางท่ี 3
ตารางท่ี 3 ค่า IC50 ของ BHT BHA และสารสกัดหยาบสมอไทย
สารตัวอยา่ ง IC50
(มิลลกิ รัมต่อมิลลิลติ ร)
BHT
BHA 11.92
สารสกัดหยาบสมอไทย 12.06
13.24
จากตารางท่ี 3 พบว่าค่า IC50 ของ BHT , BHA และสารสกัดหยาบสมอไทยเท่ากับ 11.92 12.06
และ 13.24 มิลลกิ รัมตอ่ มลิ ลิลติ ร ตามลาดับ
ผลการแยกองค์ประกอบทางเคมจี ากสารสกัดหยาบสมอไทยดว้ ยเทคนิคโครมาโทกราฟแบบคอลมั น์
จากการแยกองค์ประกอบทางเคมีจากสารสกัดหยาบสมอไทยด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟี แบบ
คอลัมน์ พบว่า แยกได้สารทั้งหมด 141 แฟรกชัน เมื่อนาสารมารวมโดยวิธีโครมาโทรกราฟี แบบรงคเลขผิวบาง
ได้ผลดงั ตารางท่ี 4
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 105
ตารางท่ี 4 ผลการรวมกลมุ่ สารสกดั หยาบสมอไทยทีแ่ ยกด้วยโครมาโทกราฟีแบบคอลมั น์
กลมุ่ สาร นาหนักสาร (กรมั ) ลกั ษณะสาร
F1 - ไม่มสี าร
F2 สีเขยี วเขม้
4.25
F3 สีเขียวเข้ม
4.01
F4 สเี ขยี วเขม้
F5 3.89 สีเขียวเข้ม
3.08
จากตารางท่ี 4 พบว่า เมื่อรวมกลุ่มสารด้วยวิธีโครมาโทกราฟีแบบรงคเลขผิวบาง ภายใต้แสง
อัลตราไวโอเลต 254 นาโนเมตร สามารถรวมสารทแ่ี สดงเหมอื นกัน ได้กลุ่มสารทง้ั หมด 4 กลุ่ม แต่กลุ่ม F1 ไม่มี
สาร F2 F3 F4 และ F5 เนอื้ สารมลี กั ษณะเป็นสารข้นหนืดสีเขียวเข้ม
ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพฤทธ์ิต้านอนุมูลอสิ ระของกลุ่มสารทีแ่ ยกได้
การวดั สมบัติในการยบั ยงั้ DPPH radical ของสารกลมุ่ F2-F5 ไดผ้ ลดังตารางที่ 5
ตารางที่ 5 ค่า IC50 ของ BHT BHA และสารกล่มุ F2-F5
กลมุ่ สาร IC50 (มลิ ลิกรมั ตอ่ มิลลลิ ติ ร)
BHT 11.92
BHA 12.06
F2 12.53
F3 12.91
F4 13.00
F5 12.74
จากตารางที่ 5 พบว่าค่า IC50 ของ BHT , BHA และสารกลุ่ม F2-F5 เท่ากับ 11.92, 12.06, 12.53,
12.91, 13.00 และ 12.74 ไมโครกรัมตอ่ มิลลลิ ิตร ตามลาดับ ค่า IC50 ของสารกลุ่ม F2 มฤี ทธ์ิตา้ นอนุมูลอิสระได้
ดที ีส่ ุด
ผลการพฒั นาผลติ ภณั ฑโ์ ลชั่น
พบว่าสมบัติทางกายภาพและสมบัติเคมีบางประการของผลิตภัณฑ์โลชั่นท่ีมีส่วนผสมของสารสกัด
หยาบสมอไทยมสี ีขาว ไม่มีกล่ิน ไมพ่ บการแยกชั้นของเนอื้ ผลิตภณั ฑโ์ ลชน่ั และมคี า่ ความเป็นกรด-ดา่ ง เทา่ กับ 6.7
อภิปรายผล
จากการศึกษาองค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ ฟีนอลิกท้ังหมด แทนนินท้ังหมด และฤทธ์ิต้านอนุมูล
อิสระของสารสกัดหยาบสมอไทย พบว่า ฤทธ์ิต้านอนุมลู อิสระของสารสกัดหยาบสมอไทยมคี า่ IC50 เท่ากับ 13.24
มิลลกิ รัมต่อมิลลิลิตร ปรมิ าณฟีนอลกิ ท้งั หมดเทา่ กับ 85.22 มิลลกิ รัมสมมูลของกรดแกลลคิ ต่อ 100 กรมั น้าหนัก
แห้งปริมาณแทนนินทั้งหมดของสารสกัดหยาบสมอไทย เท่ากับ 365.77 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร และเม่ือนามา
106 | ปีท่ี 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ณพฐั อร บวั ฉนุ และคณะ
ทดสอบประสทิ ธิภาพการเป็นสารต้านอนุมลู อิสระของสารสกัดหยาบสมอไทย จากการวิจยั จะเหน็ ได้ว่าสารสกัด
หยาบสมอไทยมีสารประกอบฟีนอลิกเป็นองค์ประกอบอยู่จึงมีฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระค่อนข้างสูงเม่ือเทียบกับ
สารละลายมาตรฐานบีเฮชเอและบีเฮชที ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัย มนสิชา ขวัญเอกพันธ์ และคณะ (2555) ได้
สารสกัดจากส่วนเถาชะเอมไทย พบว่า สารสกัดหยาบดว้ ยตวั ทาละลายรอ้ ยละ 80 เมทานอล และร้อยละ 80 เอ
ทานอล มีร้อยละของสารสกัดคือ 3.23 และ 6.12 และพบว่ามีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกโดยรวมเท่ากับ
10.54 ± 0.03 และ 10.18 ± 0. 02 มิลลิกรัมแกลลิกแอซิคต่อน้าหนักแห้ง ตามลาดับ และยังสอดคล้องกับผลการวิจัย
ของ พิชยา ประเสริฐแสง และ วรินทร ชวศิริ (2545) ท่ีได้ศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ
DPPH ของผลพลิ ังกาสา พบว่าองค์ประกอบทางเคมีของสารสกดั ผลพลิ ังกาสา พบสารบรสิ ุทธิ์ 3 ชนิด และพบวา่
มี Embelin เป็นองค์ประกอบหลัก เม่ือทาการศึกษาฤทธ์ิต้านอนุมูลอิสระ DPPH พบว่าสารสกัดผลพิลังกาสามี
ฤทธติ์ ้านอนมุ ูลอสิ ระสงู มาก และสอดคล้องกับ เกสรี กล่ินสคุ นธ์ และคณะ (มปป.) ได้ทาการศกึ ษาประสิทธภิ าพ
การตา้ นอนมูลอิสระและตา้ นเชือ้ แบคทเี รยี ของสมุนไพร พื้นบา้ นของไทยจานวน 5 ชนิด ไดแ้ ก่ ผักคราดหัวแหวน
ผกั บุง้ ทะเล สมอไทย สมอพเิ ภก และสม้ ป่อย พบว่าสารสกัดจากสมอพเิ ภก และสมอไทย มีปรมิ าณสารฟีนอลิก
ทั้งหมดและปริมาณสารฟาโวนอยด์สูงท่ีสุด โดยมีปริมาณสารฟีนอลิกเท่ากับ 216.65 ± 10.55 196.90 ± 6.49
มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมสารสกัด ตามลาดับ และมีปริมาณสารฟลาโวนอยด์ เท่ากับ 38.27 ± 3.21,
33.90 ± 2.37 มิลลิกรัมสมมูลของเคทเทคินตอ่ กรมั สารสกัด ตามลาดับ และสารสกัดจากสมอพเิ ภก สมอไทย มี
ประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ DPPH (IC50 เท่ากับ 0.0029 ± 0.0007 และ 0.0281 ± 0.0032 มิลลิกรัม
ต่อมิลลิลิตร ตามลาดับ) และ ABTS (IC50 เท่ากับ 0.822 ± 0.104 และ 1.058 ± 0.057 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
ตามลาดบั ) ไดด้ ี
เอกสารอา้ งอิง
ณพัฐอร บวั ฉนุ . (2558). สารตา้ นอนมุ ลู อิสระและปรมิ าณสารฟนี อลกิ ท้ังหมดของสารสกดั จากชะเอมไทย.
วารสารวิจัยและพฒั นาวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์. 10(2), 78-95.
ณพฐั อร บวั ฉุน. (2558). การพฒั นาโลชน่ั จากสารสกดั หยาบชะเอมไทยทม่ี ีฤทธิ์ต้านอนมุ ลู อสิ ระ. วารสารวิจัย
และพฒั นาวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ.์ 10(2), 97-106.
ปฏิมา บุญมาลี และ ปัทมา เทยี นวรรณ. (2556). ฤทธิ์ต้านอนุมลู อสิ ระและเอนไซมไ์ ทโรซิเนสของครมี ตรผี ลา.
ปรญิ ญาเภสชั ศาสตร์ บณั ฑติ คณะเภสชั ศาสตร์, มหาวิทยาลยั มหิดล.
พิชยา ประเสรฐิ แสง และ วรินทร ชวศริ ิ. (2545). องค์ประกอบทางเคมขี องผลพิลังกาสา (Ardisia colorata
Roxb.) และฤทธิ์ทางชวี ภาพ. ปรญิ ญานพิ นธว์ ทิ ยานิพนธม์ หาบัณฑิต. วิทยาศาสตร์ (เคม)ี .
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
รัตนา อนิ ทรานุปกรณ์. (2547). การตรวจสอบและการสกดั แยกสารสาคญั จากสมนุ ไพร. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์
แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
มนสชิ า ขวัญเอกพนั ธ์ และคณะ. (2555). ฤทธยิ์ ับยังเอนไซมไ์ ทโรซิเนสของสารสกัดจากสว่ นเถาชะเอมไทย.
เชียงราย : มหาวิทยาลัยแมฟ่ ้าหลวง.
สธุ าทพิ ย์ อินทรกาธรชยั และคณะ. (2555) การพฒั นาครมี ชะลอวัยผสมสารสกดั ดอกมะลลิ า เชียงราย:
มหาวิทยาลยั แมฟ่ า้ หลวง.
Leite, L., &Dourado, L. (2013). Laboratory activities, science education and problem-solving
skills. Procedia-Social and Behavioral Sciences. 106, 1677-1686.
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 107
Lingkard, K., Singlaton, V.L.(1977). Totalphenal analysis Automation and comparison with
manual method. Am J EnolVitic. 28, 49-55.
108 | ปีท่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) เกศรนิ ทร์ ไหลงามและสติ านนท์ เจษฎาพพิ ัฒน์
นวัตกรรมระบบสุขภาพระดับอาเภอ บรกิ ารสขุ ภาพระดับอาเภอ จงั หวัดชัยนาท
เกศรนิ ทร์ ไหลงาม1* สิตานนท์ เจษฎาพิพฒั น์2
บทคดั ยอ่
นโยบายการพัฒนาเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอาเภอ เป็นระบบการทางานแบบมีส่วนร่วมจาก
ทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือประเมินผลการพัฒนาเครือข่ายบริการ
สขุ ภาพระดับอาเภอ ใช้รปู แบบการประเมนิ ผลแบบ CIPP Model จานวน 4 ด้าน ได้แก่ ดา้ นบรบิ ท ปัจจัยนาเขา้
กระบวนการและผลผลติ ดาเนินการระหว่างเดือนเมษายน-กันยายน 2560 ในพ้ืนที่จังหวัดชัยนาท เก็บรวบรวม
ข้อมลู จากคณะกรรมการบรหิ ารจัดการและผเู้ กีย่ วข้องในการพัฒนาเครือขา่ ยบริการสขุ ภาพระดับอาเภอ จานวน
160 คน โดยใช้แบบประเมินผลการพัฒนาระบบสุขภาพอาเภอ การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จานวน ร้อยละ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเน้ือหาและ
การตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ผลการวิจัย พบว่า จังหวัดชัยนาทมีการพัฒนาเครือข่ายบริการสุขภาพระดับ
อาเภอมาตั้งแต่ปี 2558 ได้ถ่ายทอดนโยบายให้ผู้ปฏิบัติงานในแนวด่ิงและกาหนดเป็นตัวชี้วัดระดับจังหวัด
มีโครงสร้างคณะทางานและกาหนดบทบาทหน้าทีท่ ี่ชัดเจน มีการสนับสนุนทรัพยากรและสิ่งอานวยความสะดวก
อย่างทั่วถึง ขับเคลื่อนการดาเนินงานภายใต้การนาของนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดโดยใช้เครื่องมือ “SI3M”
ประกอบด้วย การกาหนดโครงสร้างกลไกการทางาน ระบบข้อมูลสารสนเทศ กระบวนการดาเนินงานและ
นวัตกรรม การบูรณาการและการติดตามประเมินผล รวมท้ังมีการนิเทศติดตามงานในพ้ืนท่ีด้วยกระบวนการ
ช่นื ชมท่ีใหค้ วามสาคญั ในการค้นหาจุดดมี าเพือ่ ตอ่ ยอด ส่งผลทาให้จงั หวัดชยั นาทผ่านเกณฑ์การประเมิน มีการ
พัฒนาบุคลากรอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม พัฒนางานบริการสุขภาพปฐมภูมิจนเกิดเป็นนวัตกรรมสขุ ภาพชุมชน
ท่ีสามารถใช้ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียง และผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่บ้านอย่างต่อเนื่องเพ่ิมมากข้ึน
เกิดเป็นเครือข่ายสุขภาพระดับอาเภอที่มีการบูรณาการทรัพยากรในการดาเนินกิจกรรมที่ตอบสนองต่อปัญหา
ชุมชนจนเกิดอรรถประโยชน์สูงสุด ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ ควรส่งเสริมให้ผู้บริหารทุกระดับให้
การสนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอาเภอและสร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาค
ส่วน รวมทั้งส่งเสริมให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลได้มีโอกาสพัฒนาต่อยอดทุนทางสังคมและภูมิปัญญา
ทอ้ งถิ่นในการดูแลสขุ ภาพและแก้ไขปัญหาสุขภาพของประชาชนต่อไป
คาสาคญั : การพัฒนา เครอื ข่ายบริการสุขภาพระดับอาเภอ นวัตกรรม การประเมนิ ผล
1 นกั วิชาการสาธารณสขุ ชานาญการ สานกั งานสาธารณสุขจงั หวดั ชยั นาท
2 รองศาสตราจารย์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรงั สิต
* ผู้นพิ นธห์ ลัก e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 109
INNOVATION OF DISTRICT HEALTH SYSTEM (DHS) AND DISTRICT HEALTH SERVICE
IN CHAI NAT PROVINCE
Katesarin Lai-ngam1* Sitanonth Jetdhapipat22
Abstract
Thailand (NHSO) had a policy to promote and development the District Health
System (DHS). This was a participation system from all sectors to solve the health problems.
The purpose of this research were to evaluate the development of district health system (DHS)
in Chai Nat Province by using CIPP Model in 4 sections that composed of context, input, process
and product section. The data was collected from the 160 health personnel and stakeholder
who involving DHS by using the questionnaires, DHS assessment, in-depth interview and focus
group discussion from April to September 2017. The quantitative data were analyzed by using
frequency and percentage while the content analysis and triangulation were used for the
qualitative data. The results showed that Chai Nat DHS policy had been developed since 2015
and transmits to health personnel and stakeholder, set up operation structure and job
description. The important operation were SI3M consisted of structure, Information, Intervention
and Innovation, Integration, monitoring and evaluation and appreciative inquiry. In addition to,
the output value was find problems in community. People were good understanding, and
participated with good relationship. The network could integrated resources, and did activities
that sensitive or responsive to community problem. Furthermore, it was utility of health, and
supported moral value. The suggestion of this study for District Health Office should encourage
executives to support the development of the district health system, and establish the
involvement of all sectors partnership networks. As well as promote health promoting hospital
district has the opportunity to develop the social capital and local knowledge in health care
and the health problems of people.
Keywords : Development, District health system, Innovation, Evaluation
1 Public Health Technical Officer, Chai Nat Provincial Health Office.
2 Associate Professor, Social Innovation Collage, Rangsit University
* Corresponding e-mail: [email protected]
110 | ปีท่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) เกศรนิ ทร์ ไหลงามและสติ านนท์ เจษฎาพพิ ัฒน์
บทนา
ในปัจจุบันน้ี ประเทศไทยกาลังเผชิญปัญหาสังคมผู้สูงอายุ การเกิดปัจจัยคุกคามสุขภาพจากโรคไม่
ติดต่อเรื้อรังและโรคอุบัติใหม่เพ่ิมมากขึ้น และจากการดาเนินงานนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าท่ีส่งผล
ทาให้ขาดความเป็นธรรมในการกระจายบุคลากรสาธารณสุข การมีจานวนไม่เพียงพอในบางสาขาวิชาชีพ
เนื่องจากมกี ารลาออกจากราชการเพิม่ สงู ขน้ึ ศกั ยภาพของบคุ ลากรยังไม่เพยี งพอในการจัดการกบั ปัญหาสุขภาพ
ทีเ่ ปล่ยี นแปลงไปและมีความซบั ซ้อนมากขน้ึ จงึ เป็นสาเหตทุ ีต่ อ้ งการความรว่ มมือในการดาเนนิ งานจากภาคส่วน
อ่ืนๆ และชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหา (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2556) นอกจากน้ียัง
พบว่า ประชาชนบางส่วนยังไม่เข้าใจและขาดความเช่ือม่ันต่อระบบบริการสาธารณสุขปฐมภูมิ ทาให้มีแนวโนม้
เข้ารับบริการท่ีสถานีอนามัยและโรงพยาบาลชุมชนลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน จึงจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องมีการ
ปฏิรูประบบสุขภาพในด้านระบบบริการสุขภาพท่ีมุ่งเน้นการให้บริการในระดับปฐมภูมิที่สามารถเช่ือมระหว่าง
ชุมชนและการบริการในโรงพยาบาลได้อย่างไร้รอยต่อ กระจายอานาจการบริหารจัดการสุขภาพในระดับพ้ืนท่ี
เพ่ือตอบสนองต่อปัญหาและความจาเป็นด้านสุขภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สานักบริหารการ
สาธารณสุข, 2556)
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้กาหนดนโยบายสนับสนุน
และกระจายการจัดการของหน่วยบริการสาธารณสุขระดับอาเภอในรูปแบบของ “การพัฒนาเครือข่ายบริการ
สุขภาพระดับอาเภอ (District Health System: DHS)” ท่ีเป็นระบบการทางานเพ่ือร่วมกนั แก้ไขปัญหาสขุ ภาพ
อย่างมีประสิทธิภาพ บูรณาการภาคี เน้นเป้าหมายผ่านกระบวนการช่ืนชมและจัดการความรู้แบบอิงบริบทของ
แต่ละสถานท่ี และเปน็ ยุทธศาสตร์สาคัญในการขับเคลอ่ื นนโยบายดา้ นสขุ ภาพต้งั แต่ระดับกระทรวง จังหวัดและ
อาเภอไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ปรับเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผู้ให้บริการ ผู้ประสานงานและจัดบริการ
สาธารณสุขเป็นบริหารจัดการบริการสุขภาพให้กับประชาชนและชุมชนให้มีความเข้มแข็ง สามารถดูแลตนเอง
พึ่งตนเองได้ โดยการสง่ เสริมให้สานักงานสาธารณสขุ อาเภอ โรงพยาบาลชุมชน องค์การบริหารสว่ นท้องถน่ิ และ
ภาคีเครอื ขา่ ยภาคประชาชนมบี ทบาทใหม่ในการส่งเสรมิ สนับสนุนการทางานแบบมีสว่ นร่วมขับเคล่ือน การดูแล
สุขภาพ สง่ เสรมิ ปอ้ งกัน รกั ษาและฟน้ื ฟูสภาพของประชาชนให้มสี ุขภาพดถี ้วนหน้าทั้งอาเภอในรูปแบบ “อาเภอ
สุขภาวะ” โดยมเี ครอื ขา่ ยบริการปฐมภมู ทิ มี่ คี ณุ ภาพ คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล (รพ.สต.) เปน็ หน่วยท่ี
ให้บริการสุขภาพที่เหมาะสม มีกระบวนการเรยี นรสู้ ภาพปัญหาพื้นที่และสร้างเสริมศักยภาพของสังคมในชมุ ชน
ครอบครัว และบุคคลตามบริบทของพ้ืนที่ โดยมีเป้าหมายท่ีสาคัญคือ ทาให้ประชาชนมีสถานะสุขภาพท่ีดีขึ้น
ลดโรคที่เป็นปัญหา ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันความเจ็บป่วยท่ีป้องกันได้และมีศักยภาพในการรับมือกับปัญหา
สาธารณสุขที่เปลี่ยนแปลงได้ และส่งเสริมให้ประชาชนสามารถดูแลและพ่ึงตนเองด้านสุขภาพองค์รวมได้โดย
อาศยั การมสี ่วนรว่ มของประชาชน ครอบครวั ชมุ ชนและท้องถิ่นอย่างตอ่ เนื่อง รวมทั้งพัฒนาทีมเครือข่ายสขุ ภาพ
ระดบั อาเภอให้มคี วามเขม้ แขง็ และมีเอกภาพในการบรหิ ารจดั การอยา่ งมีเอกภาพ (สานกั บรหิ ารการสาธารณสุข,
2556)
จากนโยบายดงั กล่าว สานักงานสาธารณสขุ จังหวัดชัยนาท จึงได้กาหนดให้ “การพัฒนาระบบสุขภาพ
ระดับอาเภอ” เป็นนโยบายสาคัญต้ังแต่ปีงบประมาณ 2556 และได้มีการดาเนินงานอย่างต่อเน่ือง จนได้รับ
ความสาเร็จในการพัฒนาระบบสุขภาพระดบั อาเภอตามเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ (สานกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั ชยั นาท,
2556) ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะประเมินผลรูปแบบการดาเนินงานพัฒนาเครือข่ายสุขภาพระดับอาเภอของ
จังหวัดชัยนาท เพื่อสะท้อนผลให้ทราบถึงนวัตกรรมระบบสุขภาพระดับอาเภอท่ีเป็นผลของการดาเนินการ
ขับเคลื่อนเพ่ือตอบสนองนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขโดยประยุกต์ใช้รูปแบบ CIPP Model (Danial L.
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 111
Stufflebeam, 2007) ท่ีประกอบด้วยการประเมินบริบท (Context : C) ปัจจัยนาเข้า (Input: I) กระบวนการ
(Process: P) และผลผลิต (Product: P) เป็นกรอบในการประเมินถอดบทเรียนเรียบเรียงอย่างเป็นระบบ
โดยคาดว่า ผลการวิจัยครงั้ นี้จะไดส้ ารสนเทศที่สามารถนาไปใช้ในการวางแผนพัฒนาระบบสขุ ภาพระดับอาเภอ
ในอนาคตตอ่ ไป
วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพ่ือประเมินสถานการณ์การดาเนินงานพัฒนาเครือข่ายสุขภาพระดับอาเภอของจังหวัดชัยนาท
ในด้านบริบท ปัจจัยนาเข้า กระบวนการ และผลผลิตนวัตกรรมระบบสุขภาพที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเครือข่าย
สุขภาพระดบั อาเภอ
2. เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสาเร็จในการดาเนินงานพัฒนาเครือข่ายสุขภาพระดับอาเภอของ
จงั หวดั ชัยนาท
วิธดี าเนินการวจิ ัย
รูปแบบการวจิ ยั
การวิจัยครั้งน้ีใช้รูปแบบการวิจัยเชิงประเมินผล (Evaluation Research) ประยุกตใ์ ช้รูปแบบ CIPP
Model (Danial L. Stufflebeam, 2007) ประกอบด้วย การประเมินบริบท (Context : C) ปัจจัยนาเข้า (Input: I)
กระบวนการ (Process: P) และผลผลิต (Product: P) เป็นกรอบในการประเมินถอดบทเรียน เรียบเรียงอย่าง
เป็นระบบ ซึ่งประเมินจากเอกสารและสอบถามข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องในการดาเนินงานโครงการฯ
โดยทาการศกึ ษาทัง้ เชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพ
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive
sampling) ได้แก่ ผู้รับผิดชอบงานระบบสขุ ภาพระดับอาเภอ จานวน 18 คน และคณะกรรมการบรหิ ารจดั การ/
ผู้เกี่ยวข้องในการพฒั นาเครอื ข่ายสขุ ภาพระดบั อาเภอ จานวน 8 อาเภอๆละ 20 คน รวม 160 คน
เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ได้แก่
1. แบบประเมินผลการพฒั นาระบบสุขภาพอาเภอ เปน็ แบบสอบถามทผี่ วู้ ิจยั ไดป้ รับปรงุ มาจากแบบ
ประเมินผลการพัฒนาระบบสุขภาพอาเภอ (รสอ.) ของกระทรวงสาธารณสุข (สานักบริหารการสาธารณสุข ,
2556)
2. แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview questionnaire) เป็นเครื่องมือท่ีผู้วิจัยได้สร้างขึ้น
เพ่อื ใชใ้ นการรวบรวมข้อมูลเบื้องตน้ และศึกษาเปน็ รายกรณใี นตาบลห้วยงูทเี่ ป็นพื้นท่ตี ้นแบบในการพัฒนาระบบ
สขุ ภาพอาเภอ
3. แนวทางการจัดเวทีถอดบทเรียนการดาเนินงานระบบสุภาพระดับอาเภอ จังหวัดชัยนาท เป็น
เคร่ืองมือที่ผู้วิจัยได้สร้างข้ึน เพื่อใช้ในการนาเสนอผลการดาเนินงานระบบสภุ าพระดบั อาเภอ และร่วมสรุปถอด
บทเรยี น แลกเปลย่ี นวธิ ีการดาเนนิ งาน/ผลลัพธ์/ผลสาเร็จ ตลอดจนนวัตกรรมทไี่ ดจ้ ากการดาเนินงาน
4. แนวทางการสนทนากลุ่ม (focus group interview) เป็นเคร่ืองมือที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น เพื่อใช้ใน
การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงเชิงคุณภาพในระหว่างการตรวจเยี่ยมแบบช่ืนชม (Appreciation) โดยมุ่งเสริมสร้าง
ปฏิสัมพันธ์ (Interactive) เสริมคุณค่าของพ้ืนที่ ติดตามดูการทางานระบบเครือข่ายระบบสุขภาพระดับอาเภอ
112 | ปที ่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) เกศรนิ ทร์ ไหลงามและสติ านนท์ เจษฎาพพิ ฒั น์
ความเชื่อมโยงการดาเนินงานระบบเครือข่ายตั้งแต่โรงพยาบาลชุมชน สานักงานสาธารณสุขอาเภอ และ
โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตาบล
วิธีการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
การวิจัยคร้ังน้ี ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพ ประกอบด้วย การสารวจ
ข้อมูลการพัฒนาระบบสุขภาพอาเภอ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การจัดเวทีถอดบทเรียนการดาเนินงานระบบ
สุภาพระดบั อาเภอ และการสนทนากล่มุ ในคณะกรรมการ แกนนาชุมชนและผ้เู ก่ียวข้องกับการพัฒนาเครอื ขา่ ย
สขุ ภาพระดับอาเภอ
การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ จานวน ร้อยละ
และข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเน้ือหา (Content Analysis) รวมทั้งมีการตรวจสอบข้อมูลแบบ
สามเส้า (Triangulation) เพ่ือเปน็ การยนื ยันความถกู ต้อง ครบถว้ นของขอ้ มูล
ระยะเวลาดาเนินการวจิ ยั
ดาเนนิ การระหว่างเดอื นเมษายน 2560 ถึงเดอื นกันยายน 2560 รวมระยะเวลา 6 เดอื น
ผลการวจิ ัย
ผูว้ ิจัยขอนาเสนอผลการวจิ ยั ตามวัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั ดงั น้ี
1. ด้านบรบิ ท (Context)
ผลการศึกษา พบว่า จังหวัดชัยนาทมีการดาเนินงานภายใต้นโยบายการพัฒนาระบบสุขภาพ
ระดับอาเภอ (District Health System : DHS ) ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 ที่สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(พ.ศ. 2560 – 2579) ที่กาหนดไว้คือ “ม่ันคง ม่ังคั่ง ย่ังยืน” และแผนพัฒนาประเทศ “ไทยแลนด์ 4.0” โดยมี
สานักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยนาทเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยจัดทาเป็นโครงการพัฒนาระบบบริการ
แพทย์ปฐมภูมิและเครือข่ายระบบสุภาพระดับอาเภอ และมีการถ่ายทอดนโยบายระบบสุขภาพระดับอาเภอ
ในลักษณะแนวดิ่ง ต้ังแต่ระดับจังหวัด อาเภอ และตาบล กาหนดเป็นตัวช้ีวัดระดับจังหวัดที่ใช้ในการควบคุม
กากับ ติดตาม ประเมินผลการดาเนินงานของหน่วยงานสาธารณสุขในสังกัดเป็นรายไตรมาส และการติดตาม
ประเมินผลจากผตู้ รวจราชการเขตสุขภาพที่ 3
2. ดา้ นปัจจัยนาเขา้ (Input)
ผลการศึกษา พบว่า จังหวัดชัยนาทมีกาหนดนโยบายการพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอ
ชัดเจน ทุกระดบั ตั้งแตร่ ะดับจังหวัดและระดบั อาเภอ มีการแตง่ ตง้ั คณะกรรมการบริหารเครือขา่ ยระบบสขุ ภาพ
อาเภอและกาหนดบทบาทหน้าท่ีที่ชัดเจน มีการสนับสนุนทรัพยากรและส่ิงอานวยความสะดวกท่ีสอดคล้องกบั
แผนพัฒนาเครือขา่ ยสุขภาพระดบั อาเภอ มีการดาเนินงานตามแผนพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอ โดยพบว่า
ทุกพื้นที่ได้ให้ความสาคัญต่อนโยบายการพัฒนาสุขภาพระดับอาเภอ และมีการนานโยบายดังกล่าวไปสู่การ
ปฏบิ ตั ไิ ด้อย่างแท้จริง และเมือ่ พจิ ารณาในแต่ละองคป์ ระกอบ พบวา่
2.1 ด้านบุคลากร พบว่า หน่วยงานสาธารณสุขมีแผนพัฒนาศักยภาพบุคลากรท่ีสอดคล้องกับ
การดาเนินงานระบบสุขภาพระดับอาเภอในทุกระดบั ผู้บริหารทุกระดับท้ังภาครัฐและท้องถิ่นได้ให้ความสาคญั
และให้การสนับสนุนงบประมาณ ทรัพยากรและส่ิงอานวยความสะดวกในการขับเคล่ือนงานระบบสุภาพระดับ
อาเภอ ที่สอดคล้องกับแผนพฒั นาเครอื ขา่ ยสขุ ภาพระดับอาเภอ
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 113
2.2 ด้านวัสดุอุปกรณ์ พบว่า หน่วยงานสาธารณสุขมีการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลที่ใช้ในการ
ดาเนินงานระบบสุขภาพระดับอาเภอโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในบางพื้นท่ี
ยังบันทกึ ขอ้ มูลไมส่ มบรู ณ์ ครบถ้วน และไม่สามารถนาข้อมลู ดังกล่าวมาใช้ในการแกไ้ ขปัญหาในพน้ื ทไี่ ด้
3. ด้านกระบวนการ (process)
ผลการศึกษา พบว่า จังหวัดชัยนาทมีการขับเคล่ือนการดาเนินงานระบบสุขภาพระดับอาเภอ
ภายใต้การนาของนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด โดยใช้กลยุทธ์ระบบสุขภาพระดับอาเภอแบบประชารัฐ (DHS
ประชารัฐ) คือ ประชาชนเป็นเจ้าของปัญหาและโดยใช้เครื่องมือ “SI3M” เป็นกรอบแนวคิดในการดาเนินการ
ประกอบด้วย การกาหนดโครงสรา้ งกลไกการทางาน (S : Structure) ระบบขอ้ มูลสารสนเทศ (I : Information)
กระบวนการดาเนินงานและนวัตกรรม (I : Intervention and Innovation) การบูรณาการ (I : Integration)
และการติดตามประเมินผล (M : Monitoring and Evaluation) รวมท้ังมีการนิเทศติดตามงานในพ้ืนที่ด้วย
กระบวนการช่ืนชม (Appreciative Inquiry : AI) ท่ีให้ความสาคัญในการค้นหาจุดดี มาแสดงความช่ืนชมยินดี
เพอื่ ต่อยอด
4. ด้านผลผลติ (output)
จากผลการดาเนินงานพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอส่งผลทาให้ทุกอาเภอมีแผนการพัฒนา
สขุ ภาพชมุ ชนท่สี อดคล้องกับสภาพปญั หาและความตอ้ งการของพน้ื ท่คี รบทุกอาเภอ โดยแตล่ ะอาเภอมีโครงการ
อย่างน้อย 3 โครงการ เป็นโครงการตามนโยบายระดับกระทรวง จานวน 2 ประเด็น ได้แก่ การดูแลผู้สูงอายุ
ระยะยาว (Long term care : LCT) และการป้องกันอุบัติเหตุจากท้องถนน (Road Traffic Injury :RTD) และ
โครงการท่ีสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของพ้ืนท่ีจานวน 1 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ
พัฒนาโรงงานผลิตปลารา้ ผา่ นมาตรฐานGMP จานวน 1 อาเภอ โครงการควบคุมและปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมเพื่อ
ป้องกันโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง จานวน 1 อาเภอ โครงการป้องกันโรคไข้เลือดออก จานวน 1 อาเภอและ โครงการ
ดูแลผู้สูงอายรุ ะยะยาว จานวน 5 อาเภอ มีสัดส่วนของบุคลากรสาธารณสุขต่อประชากรท่ีความเหมาะสมตาม
เกณฑ์มาตรฐานวชิ าชีพ สถานบรกิ ารสาธารณสขุ ทกุ ระดับ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานปฐมภูมิ บคุ ลากรสาธารณสขุ
ได้รับการพัฒนาตามสมรรถนะทุกสาขาวิชาชีพและมีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานในเครือข่ายสุขภาพระดับ
อาเภอผา่ นตามเกณฑท์ ่กี าหนดไว้
จากผลการดาเนินงานพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอ ทาให้แต่ละพ้ืนท่ีได้พัฒนานวัตกรรม
ต่างๆ ขึ้นมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพในระดับพื้นที่ โดยแบ่งออกเป็นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ได้แก่ ก้านตาล
นวดแก้ปวดในผู้สูงอายุ น้าฝางสีฟัน จ๊ิกซอเพ่ิมความรู้ และนวัตกรรมเชิงกระบวนการ ได้แก่ ชมรมผู้สูงอายุ
ต้นแบบคณุ ภาพ “ไม่ล้ม ไม่ลืม ซึมเศรา้ กินข้าวอร่อย” และผู้ดแู ลผสู้ ูงอายุ สามารถช่วยแก้ไขปญั หาสาธารณสขุ
ในพน้ื ท่ีได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ทาให้ภาคีเครือขา่ ยทกุ ภาคส่วนมีสว่ นรว่ มในการแกไ้ ขปัญหาสขุ ภาพพนื้ ท่ีไดอ้ ย่าง
เข้มแข็งเพิ่มขึ้น สามารถดูแลสุขภาพประชาชนได้ตามกลุ่มอายุ ส่งผลทาให้ประชาชนมีสุขภาพท่ีดีขึ้น ได้รับการ
ดแู ลจากทมี สุขภาพเพมิ่ มากข้นึ ทาให้มคี วามรทู้ ่ีสามารถจัดการปัญหาตนเอง ครอบครวั และชมุ ชนได้
สรปุ และอภิปรายผลการวจิ ยั
จากผลการศกึ ษาพบวา่ การพัฒนาตามนโยบายการพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอ จังหวดั ชยั นาท
สามารถทาให้จังหวัดชัยนาทผ่านเกณฑ์การประเมินผลการพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอ มีการพัฒนา
บุคลากรสาธารณสุขและเครือข่ายพ่ีเล้ียงระดับอาเภอให้แก่โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตาบล (รพ.สต.) ได้อย่าง
ชดั เจน เป็นรูปธรรม มีการสนับสนุนสง่ เสรมิ ใหโ้ รงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลร่วมกับชุมชนพฒั นางานบริการ
114 | ปีท่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) เกศรินทร์ ไหลงามและสิตานนท์ เจษฎาพพิ ฒั น์
สุขภาพปฐมภูมิจนเกิดเป็นนวัตกรรมสขุ ภาพชุมชน พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิและจัดบรกิ ารรักษาพยาบาลได้
อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมข้ึนมาใช้ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ ส่งผล
ทาให้สามารถดูแลสุขภาพของผู้สงู อายุตดิ บ้าน ติดเตยี ง และผปู้ ่วยโรคเรอ้ื รังต่อเนอื่ งที่บ้านเพ่มิ มากข้ึน โดยหัวใจ
สาคัญของการพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอให้เกิดความย่ังยืนคือ การสร้างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนด้วย
กลไก “ระบบสุขภาพระดับอาเภอ” โดยเริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหา ตัดสินใจเลือกปัญหา และลงมือปฏบิ ัตเิ พอื่
แก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกันสอดคล้องกับแนวคิดของ Cohen and Uphoff (1981) และสะท้อนให้ทราบถึงปัจจัย
แห่งความสาเร็จของการพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอ ประกอบด้วย การมีคาสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการทุก
ระดับ การสร้างโครงสร้างและกาหนดบทบาทหน้าที่ของบุคคลและองค์กรจากพ้ืนที่ การสร้างการรับรู้นโยบาย
และแนวทางดาเนินงาน การสนับสนุนเพ่ือตอบสนองนโยบายและปัญหาพื้นท่ี และการสนับสนุนด้านคน เงิน
วัสดุ เทคโนโลยี และวิชาการ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการขับเคลื่อนการดาเนินงานระบบสุขภาพระดับอาเภอภายใต้
การนาของนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด โดยใช้กลยุทธ์ระบบสุขภาพระดับอาเภอแบบประชารัฐ (DHS ประชา
รัฐ) คือ ประชาชนเป็นเจ้าของปัญหาและโดยใช้เครื่องมือ “SI3M” เป็นกรอบแนวคิดในการดาเนินการ
ประกอบด้วย การกาหนดโครงสรา้ งกลไกการทางาน (S : Structure) ระบบขอ้ มูลสารสนเทศ (I : Information)
กระบวนการดาเนินงานและนวัตกรรม (I : Intervention and Innovation) การบูรณาการ (I : Integration)
และการติดตามประเมินผล (M : Monitoring and Evaluation) รวมท้ังมีการนิเทศติดตามงานในพื้นที่ด้วย
กระบวนการช่ืนชม (Appreciative Inquiry : AI) ที่ให้ความสาคัญในการค้นหาจุดดี มาแสดงความชื่นชมยินดี
เพื่อตอ่ ยอด สอดคลอ้ งกบั แนวทางการพฒั นาระบบสุขภาพระดับอาเภอของสานักบริหารการสาธารณสุข (2556)
ทั้งน้ีเนื่องมาจาก “อาเภอ” เป็นศูนย์รวมการบริหารทรัพยากรจากส่วนภูมิภาคสทู่ ้องถิ่น มีศักยภาพอย่างเต็มท่ี
ในการจัดการกับปัญหาของพื้นท่ี สามารถตัดสินใจ และระดมทรัพยากรท่ีมอี ยู่ เพ่ือให้ประชาชนไดร้ ับประโยชน์
จากการแก้ไขปัญหาและจัดบริการได้มากท่ีสุด (ปธาน สุวรรณมงคล, 2554) และเชื่อมโยงใกล้ชิดกับองค์กร
ปกครองสว่ นท้องถ่นิ ท่ีมีอานาจหนา้ ท่ีตามกฎหมายให้เป็นหน่วยงานหลกั ในการสร้างระบบเฝ้าระวงั ป้องกนั และ
ควบคุมโรคในระดับชุมชน และสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการดาเนินการป้องกันและ
ควบคมุ โรคในชุมชนร่วมกับหน่วยงานสาธารณสขุ และเน้นให้ท้องถิน่ และประชาชนมีบทบาทในการแกไ้ ขปัญหา
โรคและภัยสุขภาพในพ้ืนท่ีตนเองอันจะไปสู่การเพ่ิมประสิทธิผลต่อป้องกันและควบคุมโรคและภัยสุขภาพ
ด้านอ่ืนๆ ของประชาชนได้อยา่ งยง่ั ยืนตอ่ ไป
ข้อเสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะจากผลการวิจยั
1. กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เก่ียวข้องควรมีการผลักดันให้ทุกอาเภอดาเนินการพัฒนา
“ระบบสุขภาพระดับอาเภอ” และเป็นตัวชี้วัดคารับรองผลการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัดเพ่ือทาให้
สามารถนานโยบายไปสกู่ ารปฏบิ ตั ไิ ด้อยา่ งเขม้ แขง็ และยั่งยนื
2. ส่งเสริมให้ผู้บริหารระดับอาเภอเล็งเห็นความสาคัญและให้การสนับสนุนการขับเคล่ือนนโยบาย
การพัฒนาระบบสุขภาพระดับอาเภอ
3. สร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนโดยใช้กระบวนการสร้างและใช้แผนท่ีทางเดิน
ยทุ ธศาสตร์
4. ควรส่งเสริมให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลได้มีโอกาสพัฒนาต่อยอดทุนทางสังคมและ
ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ ในการดูแลสขุ ภาพและแกไ้ ขปญั หาสุขภาพของประชาชน
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 115
5. ควรมีระบบเสริมสร้างการปลุกกระแส การเสริมคุณค่า สร้างความม่ันใจ ความชัดเจนเก่ียวกับ
แนวทางการดาเนินงานตามนโยบายการพัฒนาระบบสุขภาพระดบั อาเภอให้แก่ผปู้ ฏบิ ตั งิ านทกุ ระดับ
ขอ้ เสนอแนะการวิจัยครงั้ ตอ่ ไป
1. ควรมีการศึกษาเชิงคุณภาพเกีย่ วกับความเปน็ เอกภาพของทีมในการดาเนนิ งานขับเคลอ่ื นสุขภาพ
ระดบั อาเภอ ภายใต้คณะกรรมการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ระดบั อาเภอ
2. ควรมีการศกึ ษาถอดบทเรียนเพอ่ื ใหท้ ราบถงึ ปจั จัยแห่งความสาเรจ็ ในการดาเนินงานสุขภาพระดบั
อาเภอแบบประชารัฐ
เอกสารอา้ งอิง
ปธาน สุวรรณมงคล. (2554). การกระจายอานาจ: แนวคิดและประสบการณ์จากเอเชีย. กรุงเทพมหานคร:
สานกั พิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
สานักบริหารการสาธารณสุข. (2556). การขับเคลื่อนระบบสุขภาพระดับอาเภอ (รสอ.) District Health
System (DHS) ฉบบั ประเทศไทย. นนทบุรี: สานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ .
สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสขุ . (2556). แผนงานสร้างเสรมิ นโยบายสาธารณะท่ดี ี: ชวี ติ คนไทยในสองทศวรรษ
ของการพัฒนา. นนทบุรี: องคก์ ารสงเคราะห์ทหารผา่ นศกึ ในพระบรมราชูปถมั ภ์.
Cohen, J. M. and Uphoff, N. T. ( 1981) . Rural Development Participation: Concept and
Measures for Project Design Implementation and Evaluation. Rural Development
Committee Center for International Studies, Cornell University.
Stufflebeam, Daniel L., et. al. (1971). Educational Evaluation and Decision Making. Itasca,
Illinois: F.E Peacock Publisher Inc.
116 | ปีท่ี 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) เชีย่ วชาญ ยางศลิ า
ระบบบา้ นอตั โนมัติตน้ ทุนตา่ โดยใชแ้ อนดรอยด์ ราสเบอรีพาย และอาดูโน่ สง่ ขอ้ มลู โดยใช้การเขยี น
โปรแกรมแบบซ็อกเกต็ และเอฟซีเอ็ม กรณศี กึ ษา ระบบดแู ลสตั วเ์ ลย้ี งผา่ นอนิ เทอรเ์ น็ต
เชยี วชาญ ยางศิลา1*
บทคัดย่อ
การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบ้านอัตโนมัติต้นทุนต่าโดยใช้แอนดรอยด์ ราสเบอรีพาย
และอาดูโน่ ส่งข้อมูลโดยใช้การเขียนโปรแกรมแบบซ็อกเก็ตและเอฟซีเอ็ม กรณีศึกษา ระบบดูแลสัตว์เลีย้ งผา่ น
อินเทอร์เน็ต ระบบสามารถส่ือสารได้สองทิศทาง ได้แก่ สามารถแจ้งเตือนไปยังแอนดรอยด์แอปพลิเคชันผ่าน
อนิ เทอร์เน็ตเมอ่ื นา่้ ดื่มหรอื อาหารสัตวเ์ ลีย้ งหมด และผู้ใช้สามารถใช้แอนดรอยด์แอปพลิเคชนั ในการสงั่ เปดิ น้า่ ให้
อาหาร และสอดส่องดูแลสัตว์เลี้ยงผ่านอินเทอร์เน็ตเช่นเดียวกัน การสอดส่องดูแลสามารถดูได้ท้ังแบบภาพน่ิง
และภาพเคลื่อนไหวและสามารถส่ังหมุนกล้องไปองศาท่ีต้องการได้ ระบบดังกล่าวใช้หลักการของระบบฝังตัว
ซึ่งประกอบไปด้วยฮาร์ดแวร์ ดังน้ี 1) ราสเบอรีพาย ท่าหน้าที่เป็นคอนโทรลเลอร์ 2) กล้อง ส่าหรับถ่ายภาพน่ิง
และภาพเคลอื่ นไหว 3) บอร์ดอาดูโน่ ท่าหน้าที่รบั ข้อมลู จากเซนเซอรว์ ัดความชื่นเพ่ือส่งตอ่ ให้กับคอนโทรลเลอร์
4) เซ็นเซอร์วัดความช่ืน 5) อินฟราเรดแอลอีดี ใช้ส่าหรับส่ง/รับสญั ญาณอินฟราเรดเพ่ือตรวจวัดปริมาณอาหาร
6) เซอร์โวมอเตอร์ ส่าหรับหมุนกล้อง 7) เรกูเลเตอร์ ส่าหรับเพ่ิมแรงดันไฟฟ้า และ 8) รีเลย์ ในส่วนของ
ซอฟต์แวร์ ประกอบไปด้วย 1) เอฟซีเอ็ม ใช้ส่าหรับส่งข้อมูลการแจ้งเตือนไปยังแอนดรอยด์แอปพลิเคชัน
2) ภาษาไพทอน ส่าหรับพัฒนาซอฟต์แวร์บนราสเบอรีพาย 3) แอนดรอยด์สตูดิโอ ส่าหรับพัฒนาแอนดรอยด์
แอปพลิเคชนั 4) อา-ดูโนไ่ อดอี ี ส่าหรบั พฒั นาซอฟตแ์ วร์ควบคมุ การทา่ งานของบอรด์ อาดโู น่ 5) MJPG Streamer
ส่าหรับส่งภาพน่ิงและภาพเคลื่อนไหวไปแสดงผลบนเว็บเบราว์เซอร์ และ 6) เว็บเซิร์ฟเวอร์ ส่าหรับส่งดาต้าเพย์
โหลดไปยังเอฟซี-เอ็ม จากการทดสอบระบบพบว่า 1) การตรวจวัดความชื่นและปริมาณอาหาร ให้ความถูกต้อง
ร้อยละ 100 2) การแจ้งเตือน ให้ความถูกต้องร้อยละ 100 3) การสั่งเปิดน่้า ให้อาหาร และสอดส่องดูแลสัตว์
เลี้ยง ให้ความถูกต้องร้อยละ 100 และ 4) การส่ังหมุนกล้อง ให้ความถูกต้องร้อยละ 100 ข้อจ่ากัดท่ีพบ ได้แก่
ประสิทธิภาพของการสอดส่องดูแลสัตว์เล้ียงแบบภาพเคลื่อนไหวข้ึนอยู่กับประสิทธิภาพของเครือข่าย
อนิ เทอรเ์ นต็ ท่เี ลอื กใชบ้ รกิ ารและระยะหา่ งระหวา่ งระบบกบั แอนดรอยด์แอปพลิเคชัน
ค่าสา่ คัญ : การเขยี นโปรแกรมแบบซ็อกเกต็ และไฟรเ์ บสคลาวด์เมสเสจจงิ บา้ นอตั โนมตั ิ ระบบดแู ลสัตวเ์ ล้ยี ง
ผ่านอินเทอรเ์ นต็ ราสเบอรพี าย อาดูโน่ แอนดรอยด์
1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวชิ าคอมพิวเตอรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ร้อยเอด็
จังหวดั ร้อยเอ็ด
*ผนู้ พิ นธ์หลกั e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 117
LOW COST HOME AUTOMATION SYSTEM USING ANDROID, RASPBERRY PI AND ARDUINO
TO SEND DATA USING SOCKET PROGRAMMING AND FCM: THE CASE STUDY OF PET CARE
SYSTEM VIA THE INTERNET
Cheawchan Yangsila1*
Abstract
The objective of this research is to develop low cost home automation system by
using android, Raspberry Pi and Arduino. The system will send data by using socket programming
and FCM: the case study of pet care system via the internet. This system can send alerts to
android application via the internet when pet’s food and water is not enough. Moreover, the
user can use android application to control the system of pet’s feeding, providing water and
pet monitoring through the internet as well. This application can record the videos and snap
photos of pet. The user can control the camera panning. The system design is based on the
principle of embedded system which is composed of hardware are as follow: 1) Raspberry Pi is
used as a controller. 2) Camera is used to snap photos or record a videos. 3) Arduino board is
used to send the receive value from the moisture sensor to the controller. 4) Soil moisture
sensor. 5) Infrared LED is used to send/receive infrared for measuring the amount of food. 6)
Servo motor is used for camera panning 7) Regulator is used to adjust the voltage. 8) Relay.
Moreover, the system design is composed of software are as follow: 1) FCM or firebase cloud
messaging is used to send the information alerts through an android application. 2) Python
programming language is used to developed to Raspberry Pi 3) Android studio is used to develop
an android application. 4) Arduino IDE is used to develop software for control Arduino. 5) MJPG
Streamer is used for send photos and videos in web browser. 6) Web server is used to send
data payload to FCM. The results is found that 1) The measurement of moisture and the amount
of food has 100% accuracy. 2) The alert system has 100% accuracy. 3) The system of pet’s
feeding, providing water and pet monitoring has 100% accuracy. 4) The camera panning has
100% accuracy. However, the limitation of this system is found that the effectiveness of pet
monitoring depends on internet service providers in each location and long distance between
the system and android application.
Keywords : Home automation, Android, Raspberry Pi, Arduino, Socket programming and
Firebase Cloud Messaging, Pet care system via internet
1 Assistant Professor Major of Computer and Information Technology, Faculty of Information Technology,
Roi Et Rajabhat University
* Corresponding author, e-mail: [email protected]
118 | ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) เชย่ี วชาญ ยางศิลา
บทนา่
ปัจจุบันสัตว์เลี้ยงนับเป็นสว่ นหนึ่งที่เข้ามามบี ทบาทต่อไลฟ์สไตลก์ ารด่ารงชีวติ ของมนุษย์ จากการท่ี
สังคมได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนมีอายุท่ียืนยาวมากขึ้น มีลูกน้อยลง ท่าให้สัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นเพ่ือนหรือเป็น
เสมือนลูกทดแทน ท่าให้จ่านวนสัตว์เล้ียงในประเทศไทยขยายตัวมากข้ึน ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจท่ีเกี่ยวข้องกับสัตว์
เลี้ยงได้รับอานิสงส์เติบโตตามไปด้วย ปัจจัยที่ส่าคัญอีกอย่างคือจากไลฟ์สไตล์ของคนท่ีครองโสดมากขึ้น คู่
แต่งงานที่ไม่มบี ุตร รวมอานิสงส์สา่ คัญจากสื่อโซเชยี ลและกล่มุ ของคนรกั สัตว์ทม่ี กี ารแชร์ภาพพฤติกรรมของสุนัข
แมว และสัตว์เลี้ยงอ่ืน ๆ บนโลกออนไลน์มากข้ึน ผู้บริโภคมีก่าลังซ้ือท่าให้หันมานิยมเล้ียงสัตว์เพ่ิมขึ้น (ภูวดล
โกมลรัตนเสถียร, 2561) แต่จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันหลาย ๆ คนต้องออกจากบ้านเพื่อไปท่างานกลับถึง
บ้านตอนเย็นไมส่ ามารถดูแลสตั ว์เลี้ยงไดต้ ลอดเวลา หรือบางคนอาจมีความจ่าเป็นตอ้ งไปท่าธุระตา่ งจังหวัดบอ่ ย
คร้ังละหลาย ๆ วันอาจไม่สะดวกในการดูแลสัตว์เลี้ยง ท้ังสองกรณีน้ีอาจเป็นเหตุผลท่ีไม่สามารถเล้ียงสัตว์เล้ียง
เพราะจะท่าให้เกิดความกังวล ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดในการพัฒนาระบบบ้านอัตโนมัติเพ่ือรองรับการดูแลสัตว์เลี้ยง
ทางไกลผ่านเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต ซึ่งผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษางานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับระบบบา้ นอตั โนมัติ ดังน้ี
เดชาวุฒิ วานิชสรรพ์, คมศักดิ์ ผลพฤกษา และญานี ล่าจอง (2560) ได้ออกแบบระบบรักษาความ
ปลอดภัยในบ้านด้วยราสเบอรีพายผ่านช่องทางเฟซบุ๊กเมสเซนเจอร์ ร่วมกับตัวรับรู้พีไออาร์ (เซนเซอร์ตรวจจับ
ความเคลอื่ นไหว) เมือ่ ตรวจพบความเคลอ่ื นไหวระบบจะสง่ ขอ้ ความแจง้ เตอื นผ่านทางเฟซบ๊กุ เมสเซนเจอร์ พบวา่
ตัวรับรู้พีไออาร์สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวในทิศทางและระยะทางท่ีแตกต่างกันได้คอ่ นข้างมีประสิทธผิ ล
ขอ้ จ่ากัดของระบบก็คอื ถ้ามกี ารส่งข้อมูลซ่้า ๆ กนั มากเกนิ ไปจะถูกบล็อกจากเฟซบกุ๊ เมสเซนเจอร์
Gajjam, N., Patnaik, P. S. R., Gandhmal, D. P. and Bingi, V. A. (2016) ไดอ้ อกแบบระบบเฝ้า
ระวังต้นทุนต่าโดยใช้ราสเบอรีพายร่วมกับกล้อง โดยมีการบันทึกภาพต่อเน่ืองเป็นวิดีโอลงในฮาร์ดดิสก์ เม่ือมีผู้
บกุ รกุ ระบบจะสง่ ขอ้ มลู แจง้ เตอื นแนบภาพน่งิ ผา่ นทางอเี มล
Bhavani, A., Jami, T. and Ashok, G. (2016) ได้ออกแบบระบบเฝ้าระวังต้นทุนต่าโดยใช้ราสเบอ
รี-พาย ตัวรับรู้พีไออาร์ ร่วมกับกล้องเว็บแคมท่ีท่างานดว้ ยข้ันตอนวิธีส่าหรับการกรองภาพให้มีความสามารถใน
การมองเหน็ ได้ดขี ึน้ ในเวลากลางคนื เม่ือมผี ู้บกุ รุก ระบบจะส่งขอ้ มูลภาพถา่ ยจากกลอ้ งให้ผ้ใู ช้งานผา่ นทางอเี มล
Narkhede, Y.V. and Khadke, S. G. (2016) ได้ออกแบบระบบเฝ้าระวังโดยใช้ราสเบอร์รีพาย
ร่วมกับตัวรับรพู้ ีไออาร์ เพื่อตรวจจับความเคลือ่ นไหว เมื่อมีผู้บกุ รกุ ระบบจะสง่ ข้อมูลแจ้งเตอื นผ่านโมเด็มสามจี
และแสดงผลผา่ นทางเว็บแอปพลิเคชัน
Kehagias, D., Nini, D. (2015) ได้ออกแบบระบบบ้านอัตโนมัติผ่านแอนดรอยด์แอปพลิเคชันและ
เว็บ-แอปพลิเคชัน โดยใช้เทคโนโลยี web socket ติดตั้งและประมวลผลในราสเบอรีพาย โดยให้ราสเบอรีพาย
ท่าหน้าท่ีเป็นคอนโทรลเลอร์ ระบบสามารถควบคุมเคร่ืองใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
โดยควบคมุ การเปดิ /ปดิ อุปกรณ์ไฟฟา้ ดว้ ยรีเลย์
Paul, S., Antony, A. and Aswathy, B. (2014) ได้ออกแบบระบบบ้านอัตโนมัติผ่านแอนดรอยด์-
แอปพลิเคชัน โดยใช้ซอฟต์แวร์ webIOPi ติดต้ังและประมวลผลในราสเบอรีพาย โดยให้ราสเบอรีพายท่าหนา้ ท่ี
เปน็ คอนโทรลเลอร์ ระบบสามารถควบคุมเครื่องใชไ้ ฟฟ้าภายในบ้านผา่ นเว็บเบราว์เซอร์ โดยควบคมุ การเปิด/ปิด
อปุ กรณ์ไฟฟ้าดว้ ยรีเลย์
Prasad, S., Mahalakshmi, P., John Clement Sunder, A. and Swathi, R. (2014) ได้ออกแบบ
ระบบเฝา้ ระวังโดยใช้ราสเบอรร์ ีพายร่วมกับตัวรับรู้พีไออาร์ เพ่ือตรวจสอบความเคลื่อนไหว เม่ือมีผู้บกุ รุก ระบบ
จะส่งข้อมลู ผา่ นโมเดม็ สามจี และแสดงผลผา่ นทางเว็บแอปพลเิ คชัน
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | 119
Md Saifudaullah Bin Bahrudin, Rosni Abu Kassim and Norlida Buniyamin (2013) ไ ด้
พัฒนาระบบแจ้งเตือนอัคคีภัยโดยใช้ราสเบอรีพายและอาดูโน่ โดยเม่ือระบบตรวจพบควันไฟ ระบบจะท่าการ
ถา่ ยภาพและส่งภาพไปแสดงผลบนเว็บเพจเพื่อใหเ้ จา้ ของบา้ นตรวจสอบ กรณีท่เี จ้าของบ้านยนื ยนั ว่าเกิดอัคคีภัย
จริง ระบบจะส่งข้อความสั้น (SMS) ไปยังพนักงานดับเพลิงในท้องท่ี ข้อดีก็คือ ลดความผิดพลาดในการแจ้ง
พนกั งานดับเพลิงและการส่งภาพนิ่งท่าใหป้ ระหยัดแบนดว์ ดิ ท์ (Bandwidth)
จากงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องข้างต้น พบว่าระบบต่าง ๆ สื่อสารกับเจ้าของบ้านทิศทางเดียว เช่น สื่อสาร
โดยใช้เฟซบกุ๊ เมสเซนเจอร์ ซ่ึงข้อจา่ กัดของระบบกค็ ือถา้ มีการส่งข้อมูลซ่า้ ๆ กันมากเกินไปก็จะถูกบล็อก ส่ือสาร
โดยใชอ้ เี มลซง่ึ เปน็ การส่ือสารแบบออฟไลน์ในบางกรณีอาจจะไมท่ นั กาล ส่อื สารโดยใชโ้ มเดม็ สามจี ซึง่ มีคา่ ใช้จ่าย
เข้ามาเก่ียวข้อง ส่ือสารผ่านเว็บแอปพลิเคชันในบางกรณีอาจจะไม่ปลอดภัยเพราะว่าเว็บเป็นบริการสาธารณะ
และสื่อสารโดยใช้ข้อความส้ัน ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายเข้ามาเก่ียวข้องเช่นเดียวกัน ผู้วิจัยจึงได้พัฒนาระบบที่สามารถ
ส่ือสารได้สองทิศทาง โดยเจ้าของบ้านสามารถติดต่อส่ือสารกับระบบเพ่ือควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยใช้หลักการ
เขียนโปรแกรมแบบซ็อกเก็ต ซ่ึงมีความปลอดภัยมากกว่าเว็บแอปพลเิ คชัน และระบบสามารถสื่อสารกบั เจ้าของ
บ้านโดยใช้บริการเอฟซีเอ็มหรือไฟร์เบสคลาวด์เมสเสจจิง (Firebase Cloud Messaging, 2018) ในการส่ง
ข้อความแจง้ เตือนเข้าแอนดรอยด์แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มอื ถือ ซ่ึงเอฟซีเอ็มเป็นบริการของ google สามารถ
ใช้งานได้ฟรี ท้ังนี้ทั้งน้ันระบบยังมีความจ่าเป็นต้องติดต่อส่ือสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้วิจัยคิดว่าใน
ปจั จบุ ันทุกบ้านน่าจะติดตง้ั อนิ เทอรเ์ นต็ ใชง้ านกนั ตามปกตอิ ย่แู ล้วไม่มีค่าใชจ้ า่ ยเพิ่มเติมแตป่ ระการใด
วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
เพื่อพัฒนาระบบบ้านอัตโนมัติต้นทุนต่าโดยใช้แอนดรอยด์แอปพลิเคชัน ราสเบอรีพาย และอาดูโน่
สามารถสื่อสารข้อมูลได้สองทิศทางโดยใช้หลักการเขียนโปรแกรมแบบซ็อกเก็ตและไฟร์เบสคลาวด์เมสเสจจิง
กรณศี กึ ษา ระบบดูแลสตั ว์เลย้ี งระยะไกล
วิธีด่าเนนิ การวจิ ัย
1. ทฤษฎแี ละเครื่องมอื ที่เกีย่ วขอ้ ง
1.1 การเขียนโปรแกรมแบบซ็อกเก็ต คือ การเขียนโปรแกรมเพ่ือให้โปรเซสที่อยู่ต่างอุปกรณ์
สามารถสื่อสารข้อมูลกันได้ ซึ่งในงานวิจัยนี้ได้ประยุกต์ใช้การเขียนโปรแกรมแบบซ็อกเก็ต เพื่อส่ือสารข้อมูล
ระหว่างแอน-ดรอยดแ์ อปพลเิ คชนั ทีพ่ ัฒนาด้วยภาษา java สอื่ สารข้อมลู กับโปรเซสในราสเบอรีพายท่พี ัฒนาด้วย
ภาษาไพทอน มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ส่งขอ้ มูลจากแอนดรอยดแ์ อปพลิเคชันไปยังราสเบอรีพายเพ่ือส่งั งานตา่ ง ๆ
1.2 ภาษา PHP คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ในลักษณะเซิร์ฟเวอร์-ไซด์ สคริปต์ โดยลิขสิทธิ์อยู่ใน
ลักษณะโอเพนซอร์ส ภาษาพีเอชพีใช้ส่าหรับจัดท่าเว็บไซต์ และแสดงผลออกมาในรูปแบบ HTML ในงานวิจัยน้ี
ใช้ภาษาพเี อชพีในการพฒั นาในสว่ นของเวบ็ เซริ ฟ์ เวอร์
1.3 เอฟซีเอ็ม คือ บริการที่สามารถใช้ส่งข้อความข้ามแพลตฟอร์ม (cross-platform) ทั้ง
Android, iOS และเว็บไซต์ เพื่อแจ้งเตือนให้ฝ่ังของ client ว่ามีข้อมูลอะไร (ช่ือเดิมก็คือ google cloud
messaging : GCM) เอฟซีเอ็มมีคลาสใหน้ ักเขียนโปรแกรมสามารถเรยี กใช้งานไดห้ ลัก ๆ จ่านวน 2 คลาส ได้แก่
MyFirebaseInstanceIDService.java และ MyFirebaseMessagingService.java
1.4 Android Studio เป็นเคร่อื งมือพัฒนา (IDE : integrated development environment)
ท่ีถูกสร้างขึน้ มาเพื่อการพฒั นาแอนดรอยดแ์ อปพลิเคชัน บนพ้ืนฐานของแนวคิด IntelliJ
120 | ปีที่ 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) เชี่ยวชาญ ยางศลิ า
1.5 Arduino IDE คือ เคร่ืองมือส่าหรับเขียนโปรแกรมท่ีใช้งานไดก้ ับอาดูโน่ไดท้ ุกรุน่ โดยภายใน
จะมีเคร่อื งมือทจี่ ่าเปน็ สา่ หรบั ติดต่ออาดโู น่ เชน่ การคน้ หาอาดโู น่ ทต่ี ดิ ตอ่ กบั เครื่องคอมพิวเตอร์ การเลือกรุ่นอา
ดูโน่ที่ต่ออยู่เพ่ือตรวจสอบว่าขนาดของโปรแกรมที่เขยี นหรอื ไรบรารีตา่ ง ๆ ซับพอร์ตกับอาดูโน่รุน่ นั้น ๆ หรือไม่
อีกท้งั ยังมีโปรแกรมตดิ ต่อผา่ นซเี รยี ลโดยตรงส่าหรบั คอมพิวเตอร์
1.6 ภาษาไพทอน คือ ช่อื ภาษาที่ใช้ในการเขยี นโปรแกรมภาษาหนึง่ ซึ่งถกู พัฒนาขึน้ มาโดยไม่ยึด
ติดกับแพลตฟอร์ม กล่าวคือสามารถรันภาษาไพทอนได้ท้ังบนระบบ Unix, Linux , Windows NT, Windows
2000, Windows XP หรือแม้แต่ระบบ FreeBSD อีกอย่างหนึ่งภาษาตัวนี้เป็น Open Source เหมือนภาษาพี-
เอชพี ท่าให้ทุกคนสามารถท่ีจะน่าไพทอนมาพัฒนาโปรแกรมได้ฟรี ๆ ในงานวิจัยนี้ได้ใช้ภาษาไพทอนเขียน
โปรแกรมสง่ั งานให้ราสเบอรพี ายทา่ หนา้ ท่เี ป็นคอนโทรลเลอร์
1.7 MJPG streamer คือ โปรแกรมประเภทค่าสั่ง ท่ีสามารถพิมพ์ค่าสั่งลงไป แล้วโปรแกรมจะ
ทา่ การดึงภาพจากกลอ้ งเวบ็ แคมหรือกล้องอื่น ๆ ท่ีติดตัง้ บนบอร์ดราสเบอรีพายแลว้ แสดงภาพทางเวบ็ บราวเซอร์
ทา่ ใหส้ ามารถเรยี กดภู าพได้จากแอนดรอยด์แอปพลเิ คชนั โดยสามารถก่าหนดความละเอยี ดของสญั ญาณภาพได้
สามารถน่าไปประยุกต์ใชง้ านได้หลายอย่าง เช่น CCTV, Streaming video เปน็ ตน้
1.8 ราสเบอรพี าย ในงานวจิ ยั นี้ เลอื กใช้ รนุ่ Pi 3 Model B ดงั ภาพที่ 1 (a)
1.9 อาดโู น่ งานวจิ ัยนที้ ่าการทดลองโดยใช้ Arduino Uno R3 แบบ SMD ดังภาพท่ี 1 (b)
1.10 รีเลย์ ดงั ภาพท่ี 1 (c)
1.11 Pi camera ในงานวจิ ยั นี้ ใช้รุ่น Raspberry Pi Camera V2 ดงั ภาพที่ 1 (d)
1.12 เซอร์โวมอเตอร์ ในงานวจิ ัยนี้ ใช้รุ่น 9g ดงั ภาพที่ 1 (e)
1.13 เซนเซอรว์ ดั ความชน่ื ในงานวิจัยน้ี ใช้ร่นุ YL-69 ดงั ภาพท่ี 1 (f)
1.14 อินฟราเรดแอลอดี ี ในงานวจิ ยั ใชส้ ่าหรับตรวจวัดระดับอาหาร ดังภาพที่ 1 (g)
1.15 เรกูเลเตอร์ ในงานวิจัยนใ้ี ช้สา่ หรับเพ่ิมแรงดันจาก 3.3v เปน็ 5v ดังภาพท่ี 1 (h)
1.16 ปัม๊ นา่้ ดังภาพท่ี 1 (i)
1.17 วาล์วเปดิ /ปิด อาหาร ดังภาพที่ 1 (j)
ภาพที 1 ฮารด์ แวรท์ เ่ี กย่ี วขอ้ ง
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 121
2. ขั้นตอนการพัฒนาระบบ
2.1 พัฒนาแอนดรอยน์แอปพลเิ คชนั ให้มีความสามารถดังน้ี
2.1.1 สามารถรับข้อความการแจง้ เตือนจากเอฟซีเอม็ ทง้ั แบบ foreground และ
background
2.1.2 สามารถลงทะเบยี น คือ การส่ง token ไปเกบ็ ในฐานข้อมลู บนเวบ็ เซริ ์ฟเวอร์
2.1.3 ส่งข้อมลู ไปควบคมุ การทา่ งานของราสเบอรีพาย โดยใช้การเขียนโปรแกรมแบบซ็อกเกต็
2.2 พัฒนาเวบ็ เซริ ฟ์ เวอร์ให้มีความสามารถดงั น้ี
2.2.1 รับขอ้ มลู การแจง้ เตอื นจากราสเบอรพี ายแล้วจดั รปู แบบก่อนสง่ ต่อใหก้ บั เอฟซเี อ็ม
2.2.2 เก็บขอ้ มลู การลงทะเบียน
2.3 พฒั นาซอฟต์แวร์ภาษาซีด้วย Arduino IDE ส่ังงานบอรด์ อาดโู น่ ใหร้ อรับขอ้ มูลจากเซนเซอร์
วัดความชน่ื เพ่ือสง่ ให้ราสเบอรพี ายนา่ ไปประมวลผล
2.4 ตดิ ต้ังโปรแกรม MJPG streamer สา่ หรบั ถ่ายภาพนงิ่ และภาพเคลือ่ นไหว
2.5 พัฒนาซอฟตแ์ วรด์ ว้ ยภาษาไพทอน เพ่ือส่ังงานราสเบอรพี ายใหม้ คี วามสามารถดงั นี้
2.5.1 โปรแกรมหลัก ท่าหน้าที่รอรับข้อมูลจากแอนดรอยด์แอปพลิเคชันผ่านทางซ็อกเก็ต
เพ่ือใช้ควบคมุ การท่างานของอุปกรณ์ตา่ ง ๆ
2.5.2 เทรด ทา่ หน้าทีร่ อรับขอ้ มลู จากเซนเซอร์ต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ความชนื่ และปรมิ าณอาหาร ถา้ ข้อมูล
ท่ไี ด้รบั เปน็ ไปตามเงอ่ื นไขก็จะดา่ เนนิ การสง่ ขอ้ มูลการแจง้ เตอื นไปยังเวบ็ เซริ ฟ์ เวอร์เพอื่ สง่ ต่อใหก้ ับเอฟซีเอ็ม
ผลการวิจัยและอภปิ รายผล
1. ผลการพฒั นาระบบ
ผวู้ จิ ยั ไดป้ ระกอบฮารด์ แวรต์ า่ ง ๆ เขา้ ด้วยกนั ก่อนทดสอบระบบ ดังภาพท่ี 2
ภาพที 2 การเชือ่ มต่อฮารด์ แวรต์ า่ ง ๆ ทง้ั ระบบ
122 | ปีที่ 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) เชย่ี วชาญ ยางศลิ า
2. หลกั การทา่ งานของระบบ
2.1 โปรแกรม MJPG streamer จะท่างานตลอดเวลาในการถ่ายภาพจากกลอ้ งเพ่ือรอรับการรอ้ งขอ
ทัง้ ภาพนิ่งและภาพเคลอ่ื นไหวจากผู้ใช้งาน (ลกู ศรสแี ดง)
2.2 เม่ือราสเบอรีพายได้รบั ข้อมูลจากเซน็ เซอร์ และข้อมูลเป็นไปตามเงือ่ นไขในโปรแกรม ราสเบอรี-
พายจะสง่ ข้อมูลการแจง้ เตอื นไปยงั เวบ็ เซิร์ฟเวอรเ์ พ่อื สง่ ตอ่ ไปยงั เอฟซีเอม็ และสง่ ตอ่ เขา้ แอนดรอยดแ์ อปพลิเคชัน
(ลูกศรเสน้ ประสดี ่า)
2.3 ผู้ใชง้ านสามารถควบคุมการทา่ งานของอปุ กรณต์ า่ ง ๆ เช่น ปม๊ั นา่้ วาลว์ อาหาร และเซอรโ์ ว-
มอเตอร์ ผา่ นราสเบอรีพาย โดยใชแ้ อนดรอยดแ์ อปพลเิ คชนั (ดังภาพที่ 4 a) และเมื่ออุปกรณ์ตา่ ง ๆ ทา่ งานเสรจ็
ราสเบอรพี ายก็จะสง่ ข้อมลู แจง้ ผใู้ ช้งานอีกคร้งั
ภาพที 3 หลกั การทา่ งานของระบบ
(a) (b)
ภาพที 4 หน้าจอแอนดรอยด์แอปพลิเคชนั
วารสารวจิ ยั และพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 123
3. การทดสอบระบบ
ภาพที 5 การทดสอบระบบ
จากภาพท่ี 5 ผู้วิจัยได้ทดสอบระบบโดยน่าระบบไปวางหลังเราเตอร์ของ 3BB ท่าการคอนฟิก
เราเตอร์อนุญาตให้เครือข่ายภายนอกสามารถทะลุเข้าไปเครือข่ายภายใน (port forwarding) ในส่วนของ
โทรศัพท์มือถือท่ีติดตงั้ แอนดรอยดแ์ อปพลิเคชัน เชื่อมต่อเข้ากับเครอื ข่าย True move H ผลการทดสอบพบวา่
ระบบสามารถทา่ งานได้ครบทกุ ฟังกช์ นั แต่การ open streaming video คอ่ นข้างหน่วงเวลา (delay)
4. อภิปรายผล
ตารางที 1 เปรียบเทียบประสิทธภิ าพ
นกั วิจัย วตั ถุประสงค์/เครอ่ื งมือ การแจ้งเตอื น การโตต้ อบ
เดชาวุฒิ วานชิ สรรพ์ - ราสเบอรพี าย - เฟซบ๊กุ เมสเซน -
และคณะ - เฟซบุก๊ เมสเซนเจอร์ เจอร์
- ตวั รับรพู้ ีไออาร์ -
Gajjam, N. et al. - ราสเบอรพี าย - อีเมล -
- กล้อง
Bhavani, A. et al. - ราสเบอรีพาย - อีเมล
- ตัวรับรพู้ ไี ออาร์
Narkhede, Y.V. and - กล้องเวบ็ แคม - โมเด็มสามจี
Khadke, S. G. - ราสเบอร์รพี าย - เว็บแอปพลเิ คชัน
Kehagias, D. and - ตัวรับรู้พไี ออาร์
Nini, D. - ราสเบอรร์ ีพาย - web socket
Paul, S. et al.
Prasad, S. - ราสเบอร์รพี าย - webIOPi
- ราสเบอร์รพี าย
Md Saifudaullah - ตัวรบั รพู้ ไี ออาร์ - โมเดม็ สามจี - เว็บแอป
Bin Bahrudin et al. - ราสเบอรีพาย - เว็บแอปพลิเคชัน พลิเคชัน
- อาดูโน่
- เซนเซอร์ตรวจจับควนั ไฟ - เวบ็ แอปพลิเคชัน
- SMS
124 | ปที ่ี 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) เชยี่ วชาญ ยางศิลา
ตารางที 1 (ต่อ)
นักวิจยั วัตถุประสงค์/เครอ่ื งมอื การแจง้ เตือน การโตต้ อบ
ระบบทีน่ ่าเสนอ - ราสเบอรพี าย - FCM - การเขยี น
- อาดโู น่ โปรแกรม
- เซนเซอร์วัดความชนื่ , วัดปรมิ าณอาหาร แบบซ็อกเก็ต
- กล้อง
- ปั๊มนา้่
- วาล์วให้อาหาร
สรปุ
จากการทดสอบระบบ พบว่า ระบบมีประสิทธภิ าพตรงตามวัตถุประสงค์ทุกประการ และจากขอ้ มูล
ในตารางท่ี 1 พบว่า ระบบท่ีน่าเสนอสามารถสอื่ สารได้สองทศิ ทาง ไม่มีค่าใชจ้ า่ ยเข้ามาเก่ยี วขอ้ ง และการสอื่ สาร
ด้วยการเขยี นโปรแกรมแบบซอ็ กเก็ตใช้โพรโทคอลเฉพาะกจิ จึงมคี วามปลอดภยั มากกว่าการส่อื สารด้วยเวบ็ แอป-
พลิเคชันซ่ึงใชโ้ พรโทคอลสาธารณะ
ข้อเสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอเก่ียวกบั งานวิจยั
1.1 GPIO ของราสเบอรีพาย จ่ายแรงดันไฟเพียงแค่ 3.3 โวลต์ ในขณะที่อุปกรณ์เสริมท่ัว ๆ ไป
เช่น รเี ลย์ เซอรโ์ ว ตอ้ งการแรงดนั ไฟ 5 โวลต์ จงึ จ่าเปน็ ต้องจัดหาเรกูเลเตอร์มาชว่ ยในการเพิ่มแรงดนั ให้เพยี งพอ
1.2 GPIO ของราสเบอรพี าย จา่ ยกระแสไฟไมเ่ พียงพอสา่ หรับอปุ กรณเ์ สริมบางอย่าง เชน่ ป๊ัมนา่้
จา่ เป็นตอ้ งจัดหาแหล่งจา่ ยไฟจากภายนอกเขา้ มาชว่ ย โดยเช่อื มต่อผา่ นรเี ลย์
1.3 ราสเบอรพี าย ตอ้ งการแหลง่ จ่ายไฟข้นั ต่า 2.5 แอมป์ แต่เนือ่ งจากในงานวจิ ยั น้ีได้เชอื่ มตอ่ กับ
อปุ กรณ์เสรมิ จา่ นวนหลายตวั ดังนัน้ จึงแนะนา่ ใหใ้ ชแ้ หล่งจา่ ยไป 3 แอมป์ขน้ึ ไป
1.4 ข้อดีของราสเบอรพี าย เม่ือเปรียบเทียบกับอาดูโน่ ก็คือ สามารถประมวลผลแบบมัลติเทรด
ได้ ท่าให้สามารถประมวลผลงานที่ซับซ้อนและท่างานในลกั ษณะคู่ขนานได้ดกี ว่าอาดูโน่
1.5 GPIO ของราสเบอรีพาย รองรับเฉพาะสัญญาณดิจิทัล ในขณะที่เซนเซอร์วัดความช่ืนมี
ประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณแบบแอนาล็อก ดังนั้น จึงมีความจ่าเป็นต้องน่าอาดูโน่มาวางขวางระหว่าง
เซนเซอร์วัดความช่ืนกบั ราสเบอรีพาย
2. ขอ้ เสนอแนะในการท่าวจิ ยั ครงั้ ต่อไป
2.1 การสตรมี ภาพเคล่ือนไหวของโปรแกรม MJPG Streamer ค่อนข้างหน่วงเวลาเมือ่ ระบบกับ
แอนดรอยดแ์ อปพลเิ คชันเชื่อมต่อผ่านอนิ เทอร์เน็ต ควรจะท่าวจิ ยั เพ่อื เพิม่ ประสทิ ธิภาพการสตรมี ภาพเคลอ่ื นไหว
2.2 เพ่ือให้การดูแลสัตว์เล้ียงได้ดียิ่งขึ้น ควรจะพัฒนาให้ระบบสามารถป้อนอาหารได้ กรณีสัตว์
เลยี้ งที่ตอ้ งการดูแลเป็นพิเศษ
เอกสารอา้ งอิง
เดชาวุฒิ วานิชสรรพ,์ คมศักด์ิ ผลพฤกษา และญานี ล่าจอง. (2560). ระบบรักษาความปลอดภัยในบา้ นดว้ ย
ราสเบอรพี ายผ่านช่องทางเฟซบุ๊กเมสเซนเจอร์. The Thirteenth National Conference on
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี | 125
Computing and Information Technology. 6-7 กรกฎาคม 2560 คณะเทคโนโลยสี ารสนเทศ
มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนอื กรุงเทพมหานคร. 761-766.
ภูวดล โกมลรตั นเสถยี ร. (2561). ธุรกิจสัตวเ์ ล้ียงบูม ตามเทรนดส์ งู อายุ, สืบคน้ เมือ่ วันท่ี 22 มนี าคม 2561.
https://www.posttoday.com/market/news/540479
Bhavani, A., Jami, T. and Ashok, G. (2016). Low Cost Smart Security Camera with Night Vision
Capability Using Raspberry Pi and PIR Sensor. IJATIR. Vol.8, No.21, 4053-4056.
Firebase Cloud Messaging. (2018). Retrieved March 22,2018, from
https://firebase.google.com/docs/cloud-messaging
Gajjam, N., Patnaik, P. S. R., Gandhmal, D. P. and Bingi, V. A. (2016). Low Cost Surveillance
Using Raspberry Pi through Email. IJATIR. Vol.2, No.12, 11-14.
Kehagias, D., Nini, D. (2015). Home Automation Based on an Android and a Web
Application Using Raspberry Pi. American Journal of Mobile Systems, Applications
and Services. Vol. 1, No. 3, 174-181.
Md Saifudaullah Bin Bahrudin, Rosni Abu Kassim and Norlida Buniyamin. (2013). Development
of Fire Alarm System using Raspberry Pi and Arduino Uno. International
Conference on Electrical, Electronics and System Engineering. 4-5 Dec. 2013, 37-42.
Narkhede, Y.V. and Khadke, S. G. (2016). Application of Raspberry PI and PIR Sensor for
Monitoring of Smart Surveillance Systems. IJEECS. Vol. 5, No. 5, 145-148.
Paul, S., Antony, A. and Aswathy, B. (2014). Android Based Home Automation Using
Raspberry Pi. International Journal of Computing and Technology. Vol. 1, Issue
1, February 2014, 143-147.
Prasad, S., Mahalakshmi, P., John Clement Sunder, A. and Swathi, R. (2014). Smart Surveillance
Monitoring System Using Raspberry PI and PIR Sensor. International Journal of
Computer Science and Information Technologies. Vol. 5, No. 6, 7107-7109.
126 | ปีที่ 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ดาวรถา วรี ะพนั ธ์
ระบบสารสนเทศจัดการขอ้ มลู สขุ ภาพของบุคลากรและนักศกึ ษา
ด้วยเทคโนโลยีบาร์โค้ด
ดาวรถา วีระพันธ์1*
บทคดั ยอ่
การวิจัยครั้งนมี้ ีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือ 1) ออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศจัดการขอ้ มลู สุขภาพของ
บุคลากรและนักศึกษาด้วยเทคโนโลยบี าร์โคด้ 2) ประเมินประสิทธิภาพของระบบท่ีพัฒนาขึ้น และ 3) ประเมิน
ความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบ การพัฒนาระบบได้นาหลักการพัฒนาระบบแบบ SDLC มาเป็นแนวทางในการ
พัฒนา ผู้วิจัยได้รวบรวมความต้องการและวิเคราะห์ปัญหาจากผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องจากระบบงานเดิม เพ่ือมา
พัฒนาระบบใหม่ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
โดยเลือกเป็นผทู้ ี่มีสว่ นเก่ียวข้องกับงานห้องพยาบาล มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์
คือเจ้าหน้าท่ี และนักศึกษาฝึกงานจานวน 25 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ระบบสารสนเทศ
จัดการข้อมูลสขุ ภาพของบุคลากรและนกั ศึกษาด้วยเทคโนโลยีบารโ์ ค้ด 2) แบบประเมินประสิทธิภาพของระบบ
และ3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย และค่าส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน
ผลการวิจยั พบว่า 1) ระบบสารสนเทศจดั การข้อมูลสขุ ภาพของบุคลากรและนกั ศึกษาดว้ ยเทคโนโลยี
บาร์โค้ด แบ่งกลุ่มผู้ใช้งานเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ เจ้าหน้าท่ีและนักศึกษาฝึกงาน 2) ประสิทธิภาพการทางานของ
ระบบจากผู้เชี่ยวชาญภาพรวมมีประสิทธิภาพอยู่ระดับมาก มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.36 และค่าส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานเทา่ กบั 0.55 และ 3) ความพึงพอใจของผู้ใช้งานในภาพรวมอยใู่ นระดับมากมคี ่าเฉลย่ี เท่ากับ 4.43 และ
ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 ดังน้ัน ระบบสารสนเทศที่พัฒนาข้ึนสามารถนาไปใช้งานตรงตามความ
ต้องการของผ้ใู ช้งานได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ
คาสาคญั : ระบบสารสนเทศ, เทคโนโลยบี าร์โคด้
1 หลักสตู รวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์
จงั หวัดปทุมธานี
*ผนู้ พิ นธ์หลกั e-mail: [email protected]
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |127
HEALTH INFORMATION MANAGEMENT SYSTEM
FOR PERSONNEL AND STUDENTS WITH BARCODE TECHNOLOGY
Daorathar Weerapan1*
Abstract
The objectives of this research were to 1) Design and develop Health Information
Management System for Personnel and Students With Barcode Technology. 2) Evaluate
efficiency of the developed system. 3) Evaluate user satisfaction. System development Life
Cycle (SDLC) approach was used as a development guideline. The researchers gathered
requirement and analyzed the problem from stakeholders in the original system to develop a
new system. The officers and trainees 25 people from Valaya Alongkorn Rajabhat University
under the Royal Patronage, Who are involved with a medical room’s activities, were selected
as the sample of this research by using purposive sampling. Tools used in this research consist
of 1) Health Information Management System for Personnel and Students With Barcode
Technology2) system efficiency Evaluation form and 3) satisfaction questionnaire. The statistics
that bring to analyze the data; there are the average and standard deviation.
The findings showed that 1) Health Information Management System for Personnel
and Students With Barcode Technology had divided users into 2 groups; officer and trainee. 2)
Efficiency of the system from the expert, the overall efficiency was at high level with mean was
4.36 and standard deviation was 0.55 and 3) Overall user satisfaction was at a high level with
average was 4.43 and standard deviation was 0.56. Therefore, the developed information system
can be used to meet the needs of users effectively.
Keywords : Information System, Barcode Technology
1 Department of Computer Science, Faculty of Science and Technology, Valaya Alongkorn Rajabhat
University Under The Royal Patronage
* Corresponding author, e-mail: [email protected]
128 | ปีท่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ดาวรถา วีระพันธ์
บทนา
ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยสี ารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการมากข้ึน ปัจจุบันหน่วยงาน
ต่าง ๆ ได้นาระบบสารสนเทศมาใช้ในองคก์ รกันอย่างแพร่หลาย เพ่ือให้การปฏิบัติงานสามารถดาเนินการได้ทัน
ต่อสถานการณ์ที่เปล่ียนแปลงไป ซึ่งจาเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาระบบฐานข้อมูลท่ีมีอยู่
มากมายให้เป็นระบบ เพื่อให้หน่วยงานหรือผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงข้อมูลสารสารเทศได้อย่างรวดเร็ว
สอดคล้องกับ (ศรีไพร ศักด์ิรุ่งพงศากุล และเจษฎาพร ยุธนวิบูลย์ชัย,2551) กล่าวว่าระบบสารสนทศ ช่วยเพ่ิม
ประสิทธิภาพในการทางาน กรณีที่องค์กรนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้จะช่วยให้การติดต่อสื่อสารมี
ความคล่องตัวมากย่ิงข้ึน ตลอดจนการกระจายข้อมลู สามารถกระทาได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อเวลา ชว่ ยลดขน้ั ตอน
ทาให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากข้ึน ดังนั้นในการบริหารจัดการของหน่วยงานจึงมีความสาคัญที่จะนา
เทคโนโลยีเขา้ มาประยกุ ต์ใชเ้ พอ่ื ปรบั ปรุงระบบงานใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ มีความถกู ต้อง รวดเร็ว ซึ่งจะเป็นประโยชน์
ต่อการจัดการในการพัฒนาองค์กรอย่างย่ังยืน (ไพบูลย์ เกียรติโกมล และณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์,2551)
เทคโนโลยีสารสนเทศถูกนามาประยกุ ต์ใหก้ ารดาเนินงานและปญั หาที่ซับซอ้ นมคี วามชัดเจนและเป็นรปู ธรรม ซึ่ง
จะช่วยลดคามไม่แน่นอนและความผิดพลาดในการตัดสนิ ใจลงได้ เทคโนโลยจี ึงถือว่าเป็นตัวขับเคล่ือนทส่ี าคญั ที่
จะช่วยใหผ้ ูใ้ ชส้ ามารถเกบ็ รวบรวมข้อมลู แก้ไขเปลีย่ นแปลง การเรียกดูข้อมูล การประมวลผล การใชง้ านรว่ มกัน
แบบหลาย ๆ คน และการวิเคราะห์ข้อมูลทาได้ง่ายข้ึน แต่มีค่าใช้จ่ายต่าลง เพิ่มคุณค่าและประโยชน์ในการใช้
งานข้อมูล ในขณะเดียวกันเทคโนโลยียังสามารถช่วยให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการทางานให้มี
ตน้ ทุนทีต่ า่ ลงใชเ้ วลาในการทางานท่ีลดลงและไดผ้ ลลัพธ์ท่ีมีคุณภาพมากย่งิ ขึน้ เทคโนโลยีจึงมคี วามสาคัญตอ่ การ
พฒั นาองค์กรเปน็ อย่างยิง่
งานห้องพยาบาล มหาวิทยาลัยราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะหน่วยงานทม่ี ี
หน้าทร่ี บั ผิดชอบบริการทางด้านการใหบ้ รกิ ารรักษาอาการป่วย อบุ ัตเิ หตตุ ่าง ๆ ในเบอื้ งต้น และบรกิ ารยาสามญั
ประจาบ้าน แก่ อาจารย์ นักศึกษา รวมถึงบุคลากรของมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ ซ่ึงเป็นการปฐม
พยาบาลเบื้องต้น ก่อนนาส่งโรงพยาบาลเพื่อการรักษาต่อไป เน่ืองจากจานวนนักศึกษาและบุคลากรปัจจุบันได้
เพ่ิมขึ้นเป็นจานวนมากจึงเกิดปัญหาต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของเอกสารขึ้น จากระบบเดิมในการ
จัดเก็บข้อมูลของนักศึกษาและบุคลากร รายละเอียดของนักศึกษาและบุคลากรที่เข้ามาใช้บริการห้องพยาบาล
รวมทั้งข้อมูลยาและเวชภณั ฑ์ต่าง ๆ จะบันทึกลงในสมดุ รวมท้ังประวัติการรกั ษาการเบิกยาและเวชภัณฑ์ตา่ ง ๆ
เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลยังมกี ารเขียนบันทึกข้อมูลลงในสมุดด้วย ทาให้ข้อมูลที่ไดอ้ าจผดิ พลาด ไม่เท่ียงตรง ยาก
ต่อการสืบคน้ และตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ซ่งึ ระบบงานห้องพยาบาลของมหาวิทยาราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ฯ ยังไม่
มีการนาเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอรเ์ ข้ามาจัดการกบั งานในส่วนนี้ เนือ่ งด้วยนกั ศกึ ษาและบุคลากรทุกคนมี
บัตรประจาตัวอยู่แล้วการนาเทคโนโลยบี ารโ์ ค๊ดมาช่วยในการตรวจสอบข้อมูล โดยนาบาร์โค้ดไปตดิ ขา้ งหลังบัตร
นักศึกษาและบุคลากร โดยให้บคุ ลากรและนกั ศกึ ษาแสดงบัตรผา่ นเครื่องอา่ นบาร์โคด้ ทุกคร้ังที่มาใช้บริการเพอ่ื
ตรวจสอบสอบข้อมูลกับฐานข้อมูล ซึ่งได้เก็บข้อมูลต่าง ๆ เก่ียวกับสุขภาพของนักศึกษาไว้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหา
ต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้ จากที่ผู้วิจัยได้สอบถามและสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารจัดการกับห้อง
พยาบาล พบว่าปัญหาในการจัดเก็บบันทึกในสมุดทาให้การตรวจสอบและการสืบค้นประวัติการการรักษาและ
การจัดเกบ็ ข้อมูลของบุคลากรนน้ั ค่อนขา้ งทจี่ ะไมส่ ะดวก และการจดั เก็บขอ้ มูลยาและเวชภณั ฑ์ตา่ ง ๆ ยังไม่มกี าร
จัดระเบียบ ตรวจสอบลาบาก ดังนั้นผู้วิจัยได้เล็งเห็นความสาคัญในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนา
ระบบงานสารสนเทศเพื่อบริหารจัดการสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาโดยจะใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ด
(Barcode) มาประยุกต์ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล เพื่อให้การบริหารจัดการเอกสารท่ียังมีการจัดเก็บในสมุดบันทึก
วารสารวจิ ัยและพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี |129
สง่ ผลใหเ้ พ่ิมขีดความสามารถในการตรวจสอบ จัดการ ตดิ ตามและรายงานข้อมูลทเ่ี กดิ ขึ้น ไม่วา่ จะเป็นข้อมลู ของ
ผู้มาใช้บริการห้องพยาบาล ยา เวชภัณฑ์ การตรวจรักษาเบ้ืองต้น ฯลฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพ่ือ
ตอบสนองความต้องการขององค์กรท่ีต้องการระบบงานที่ช่วยในการบริหารจัดการให้เป็นไปอย่ างรวดเร็ว
หลีกเล่ียงการทางานที่ซ้าซ้อน เพ่ือแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาโดยการนาเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดเก็บข้อมลู
และประมวลผลมุ่งเน้นการใช้ระบบสารสนเทศเข้ามาจัดการขอ้ มูลตา่ ง ๆ เพ่ือความสะดวกและรวดเร็วในการใช้
งาน และช่วยเพิม่ ประสิทธภิ าพการทางานให้กับผ้ทู ม่ี ีส่วนเกีย่ วข้องกบั งานพยาบาลของหนว่ ยงานต่อไป
วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั
1. เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วย
เทคโนโลยีบารโ์ คด้
2. เพื่อประเมินผลระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วยเทคโนโลยี
บาร์โคด้ ทพี่ ฒั นาขึ้น
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและ
นักศึกษาดว้ ยเทคโนโลยีบาร์โค้ด
วิธดี าเนินการวจิ ัย
การพัฒนาระบบสารสนเทศจดั การข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วยเทคโนโลยีบาร์โค้ด
ผู้วิจยั ดาเนินตามข้ันตอนดังน้ี
1. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ประกอบดว้ ย ระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากร
และนักศกึ ษาดว้ ยเทคโนโลยีบาร์โค้ด แบบประเมินประสิทธภิ าพของระบบ และแบบประเมินความพึงพอใจ
2. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือวิจัย ผู้วิจัยดาเนินการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ
เครือ่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัย ดังนี้
2.1 การพัฒนาระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วยเทคโนโลยี
บาร์โค้ด ผู้วิจัยได้นาหลักการพัฒนาระบบแบบ SDLC มาเป็นแนวทางในการพัฒนา (วิทวัฒน์ พัฒนา, 2553) มี
วิธีการดาเนนิ งานมีข้ันตอนดงั นี้
2.1.1 สารวจข้อมูลเบ้อื งตน้ ผูว้ ิจยั ไดท้ าการสารวจข้อมูลเบ้อื งตน้ เกีย่ วกับ โดยทาการสารวจ
ข้อมูลจากผใู้ ชง้ านระบบเจา้ หนา้ ทผี่ ูม้ สี ว่ นเกย่ี วข้องเพอ่ื รวบรวมข้อเทจ็ จรงิ ของปญั หาท่เี กดิ ข้ึน รวมถงึ ศึกษาความ
เป็นไปได้ ระยะเวลาในการดาเนนิ งาน ของการพัฒนาระบบในคร้ังน้ี โดยข้อมลู ทไี่ ดจ้ ากการสารวจเบ้ืองต้นจะได้
นามาเปน็ ข้อมูลและเปน็ แนวทางในการพัฒนาระบบต่อไป
2.1.2 วิเคราะห์และออกแบบระบบ ผู้วิจัยนาข้อมูลท่ีได้จากการรวบรวมข้อมูลและศึกษา
ข้อมลู เบื้องต้นมาเป็นแนวทางในการวเิ คราะห์และออกแบบระบบ จากความตอ้ งการและปัญหาตา่ ง ๆ ของระบบ
เดิมจากผู้ที่เกี่ยวข้องนามาจาแนกถึงปัญหาจากการดาเนินงานในปัจจุบัน และความต้องการออกเป็นกลุ่ม เพ่ือ
กาหนดความต้องการของระบบใหม่ ผู้วิจัยศึกษาขั้นตอนการดาเนินงานของระบบเดิมเพ่ือทาความเข้าใจกับ
ปญั หาทเี่ กิดข้นึ รวบรวมความต้องการของระบบใหม่จากผใู้ ชร้ ะบบ นามาวเิ คราะห์และออกแบบระบบใหมร่ วมทงั้
กระบวนการสร้าง แผนภาพบริบท แผนภาพกระแสข้อมูล และการออกแบบฐานข้อมูล โดยมีขอบเขตการ
ทางานและมีผทู้ ี่เก่ียวข้องกับระบบงานแบ่งสว่ นของงานเป็นดังน้ี 1) ส่วนของเจ้าหน้าที่สามารถจัดการกับระบบ
ได้ดงั น้ี จัดการขอ้ มูลของผู้ใชร้ ะบบ จัดการข้อมลู ของผู้เข้ารบั บริการได้ เชน่ เพิ่ม ค้นหา ลบ แกไ้ ข บนั ทกึ การเข้า
รับบริการ บันทึกรายละเอียดการเข้ารับบริการ จัดการข้อมูลยาและเวชภัณฑ์ พิมพ์รายงานต่าง ๆ เช่น
130 | ปที ่ี 13 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ดาวรถา วีระพนั ธ์
รายงานประวัติการเข้ารับบริการของบุคลากร รายงานการเบิกยาและเวชภัณฑ์ รายงานคงเหลือของยาและ
เวชภณั ฑ์ รายงานสถติ ิของการใชย้ าและเวชภัณฑ์ เปน็ ตน้ 2) ส่วนของนกั ศกึ ษาฝกึ งาน สามารถจัดการกบั ระบบ
ได้ดังน้ี เข้าสู่ระบบ จัดการข้อมูลของผู้เข้ารับบริการ เช่น เพ่ิม ค้นหา ลบ แก้ไข และบันทึกข้อมูลรายละเอียด
ตา่ ง ๆ เก่ียวกับการใหบ้ รกิ าร
2.1.3 การพัฒนา สาหรับขั้นตอนนี้เป็นการนาข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์และออกแบบ
ระบบมาพัฒนาโปรแกรม เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาผู้วิจัยพิจารณาจากระบบงานท่ีออกแบบไว้อย่าง
ละเอียดทั้งในส่วนของข้อมูลนาเข้า ท่ีมาของข้อมูลนาเข้า ข้อมูลท่ีต้องการแสดงผล และรูปแบบการแสดงผล
เพือ่ ใหผ้ ู้ใชง้ านสามารถใช้งานได้อย่างสะดวก
2.1.4 ทดสอบโปรแกรม เป็นการทดสอบระบบก่อนท่ีจะนาไปปฏิบัติการใช้งานจริง
ข้ันตอนน้ีผู้วิจัยตรวจสอบความถกู ตอ้ งของระบบงานที่ถูกพัฒนาข้ึนในเบอ้ื งตน้ ด้วยตนเองกอ่ น จากน้ันผู้วิจยั ได้
นาไปให้ผู้เช่ียวชาญจานวน 5 คน เป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้านการโปรแกรม เนื่องจากการประเมินระบบ
ด้วยเทคนิค White box Testing จะต้องประเมินภายในตัวโปรแกรม เก่ียวกับโครงสร้าง อัลกอริทึมและตัว
โปรแกรม (มนตช์ ยั เทยี นทอง, 2548) ประเมนิ ประสทิ ธภิ าพของระบบดา้ นตา่ ง ๆ ดังนี้ 1) ด้านความถูกตอ้ งของ
ระบบในแต่ละส่วนย่อย 2) ด้านความถูกต้องในการทางานของระบบในภาพรวม 3) ด้านตรงกับความต้องการ
ของผู้ใช้ และ 4) ดา้ นความปลอดภัยของระบบ เพื่อหาขอ้ ผดิ พลาดของโปรแกรมเพ่อื จะได้ทาการแก้ไขก่อนท่ีจะ
ไปติดต้ังระบบให้กับผู้ใช้งาน
2.1.5 การติดตั้ง หลังจากท่ีได้ทาการทดสอบจนมีความมั่นใจแล้วว่าระบบท่ีพัฒนาขึ้นน้ัน
สามารถทางานไดจ้ ริง และตรงกับความตอ้ งการของผูใ้ ช้ระบบ จากนัน้ ผู้วิจยั จงึ ดาเนินการติดตงั้ ระบบเพ่ือใช้งาน
จริงต่อไป
2.1.6 บารุงรักษา เป็นขั้นตอนของการปรับปรุงแก้ไขระบบหลงั จากที่ไดม้ ีการติดต้ังและใช้
งานแลว้ ในข้ันตอนน้ีอาจเกดิ ปญั หาของโปรแกรม ซงึ่ ผู้วจิ ัยไดค้ อยให้คาแนะนากับผู้ใช้งานและแกไ้ ขขอ้ บกพร่อง
ท่เี กดิ ข้ึนให้ถูกต้อง
2.2 การสรา้ งแบบประเมนิ ประสทิ ธภิ าพของระบบแบบ White box (มนตช์ ยั เทียนทอง, 2548)
สาหรับผู้เชี่ยวชาญซ่งึ เปน็ การประเมนิ ภายในของระบบ ผ้วู ิจัยได้สรา้ งแบบประเมนิ ตามข้ันตอนดงั นี้
2.2.1 ศกึ ษาทฤษฎวี ิธีการสรา้ งแบบประเมินประสทิ ธิภาพของระบบ จากตารา และเอกสารท่ี
เก่ยี วขอ้ ง เพื่อเป็นแนวทางในการสรา้ งแบบประเมนิ
2.2.2 กาหนดหัวข้อและสร้างแบบประเมินประสิทธิภาพของระบบ โดยผู้วิจัยแบ่งการ
ประเมินออกเป็น 4 ด้าน โดยมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับแบบประสิทธิภาพของระบบด้านต่าง ๆได้แก่ 1) ด้าน
ความถกู ตอ้ งของระบบในแตล่ ะส่วนยอ่ ย 2) ด้านความถกู ต้องในการทางานของระบบในภาพรวม 3) ด้านตรงกับ
ความต้องการของผใู้ ช้ และ 4) ดา้ นความปลอดภยั ของระบบ
2.2.3 การตรวจสอบ นาแบบประเมินประสิทธภิ าพของระบบ ท่ีผวู้ จิ ยั สร้างขึน้ ไปใหผ้ ู้เช่ียวชาญ
ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง เหมาะสม รวมถงึ ความสมบรู ณ์ของแบบประเมนิ ประสิทธิภาพของระบบ
2.2.4 แก้ไขปรับปรงุ นาแบบประเมินประสทิ ธภิ าพของระบบ ท่ไี ด้รับการตรวจสอบมาปรบั ปรงุ
แก้ไขเพอื่ นาไปใหผ้ เู้ ชีย่ วชาญประเมินประสิทธภิ าพของระบบ
2.2.5 การนาไปใช้ นาแบบประเมินประสิทธิภาพของระบบ ไปให้ผู้เช่ียวชาญประเมิน
ประสิทธิภาพของระบบทพ่ี ฒั นาขน้ึ
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |131
2.3 แบบประเมินความพงึ พอใจของผูใ้ ช้งานระบบ ผู้วิจัยไดส้ รา้ งแบบประเมนิ ความพึงพอใจของ
ผ้ใู ช้งาน ดงั น้ี
2.3.1 ศกึ ษาทฤษฎวี ิธีการสรา้ งแบบแบบประเมนิ ความพงึ พอใจจากตาราและเอกสารท่ี
เกีย่ วข้องตามแนวทางของ (ผกามาศ วรรณจรญู , 2547) การสรา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้ระบบ
สารสนเทศ
2.3.2 กาหนดหัวข้อและสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบสารสนเทศ
จัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วยบาร์โค้ดให้ครอบคลุม โดยผู้วิจัยได้กาหนดไว้ 5 ด้าน ดังนี้
1) ด้านหน้าที่และความถูกต้องในการทางานของระบบ 2) ด้านความง่ายในการติดต้ังการใช้งานในส่วนต่าง ๆ
3) ด้านความสามารถในการทางานของระบบ 4) ด้านความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานระบบ และ 5) ด้าน
ความปลอดภยั ของระบบ
2.3.3 สร้างแบบประเมินความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้สร้างแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อ
ระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วยเทคโนโลยีบ าร์โค้ดเป็นแบบมาตราส่วน
ประเมินค่า (Rating Scale)ใน 5 ระดับตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s) โดยมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับความ
พงึ พอใจดา้ นต่าง ๆ ซึง่ มรี ะดบั ค่านา้ หนักคะแนนเปน็ ดงั นี้ (ธานินทร์ ศิลปจ์ าร, 2549)
ความพึงพอใจอยใู่ นระดบั มากทสี่ ุด เทา่ กบั 5 คะแนน
ความพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก เทา่ กบั 4 คะแนน
ความพงึ พอใจอยูใ่ นระดบั ปานกลาง เท่ากบั 3 คะแนน
ความพึงพอใจในระดับน้อย เท่ากบั 2 คะแนน
ความพงึ พอใจอยู่ในระดบั ปรบั ปรงุ เท่ากบั 1 คะแนน
2.3.4 การตรวจสอบ นาแบบประเมินความพึงพอใจท่ีผูว้ ิจัยสรา้ งข้ึนไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
ความถูกต้องเหมาะสมรวมถงึ ภาษา และความสมบูรณข์ องแบบประเมินความพงึ พอใจ
2.3.5 แก้ไขปรับปรุง นาแบบประเมินความพึงพอใจท่ีได้รบั การตรวจสอบมาปรับปรุงแก้ไข เพ่ือ
นาไปใช้กบั กลมุ่ ตัวอยา่ งต่อไป
2.3.6 การนาไปใช้ นาแบบประเมนิ ความพึงพอใจไปใช้กบั กลุ่มตัวอย่างเพอื่ ประเมินความพึงพอใจ
หลังจากท่ีทดลองใช้ระบบสารสนเทศเพ่ือจัดการขอ้ มูลสขุ ภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วยเทคโนโลยีบาร์โคด้
แลว้
3. ขั้นตอนและวธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
3.1.1 ผู้วิจัยแนะนาการใช้งานระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษา
ด้วยเทคโนโลยีบาร์โค้ด และชี้แจงวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลในครงั้ นี้ให้กับผู้ใช้งานระบบ โดยเลือกเป็นผู้ที่มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับงานห้องพยาบาล มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ คือเจ้าหน้าที่ ทา
หนา้ ที่เก่ยี วกบั การจดั การข้อมลู สุขภาพของบคุ ลากรและนกั ศกึ ษาฝึกงานจานวน 25 คน
3.1.2 ผูว้ ิจยั ไดด้ าเนินการติดตง้ั ระบบสารสนเทศจัดการขอ้ มูลสขุ ภาพของบุคลากรและนกั ศึกษา
ด้วยเทคโนโลยีบารโ์ คด้ พร้อมแจกคู่มอื การใชง้ านโปรแกรม
3.1.3 เมื่อผู้ใชง้ านใช้งานระบบทดลองใชร้ ะบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและ
นักศึกษาด้วยเทคโนโลยีบาร์โค้ดเสร็จเรียบร้อย ผู้วิจัยจึงดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลความพึงพอใจ โดยแจก
แบบสอบถามประเมินความพึงพอใจใหก้ บั ผใู้ ชง้ านระบบ และนาข้อมลู จากแบบสอบถามไปวิเคราะหข์ ้อมูลตอ่ ไป
132 | ปที ี่ 13 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม–สิงหาคม พ.ศ. 2561) ดาวรถา วรี ะพนั ธ์
4. การวิเคราะหข์ ้อมลู
การดาเนินวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยทาการวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพของระบบจากผู้เช่ียวชาญและ
ประเมนิ ความพงึ พอใจของผู้ใช้งานระบบ โดยหาคาเฉลีย่ ( X ) และหาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) (บุญธรรม
กิจปรดี าบริสุทธ์ิ, 2543)
ผลการวจิ ยั และอภปิ รายผล
1. ผลการพัฒนาระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วยเทคโนโลยี
บาร์โค้ด มีผู้ท่ีเก่ียวข้องกับระบบงานแบ่งเป็นดังนี้ 1) ส่วนของเจ้าหน้าท่ี และ 2) ส่วนของนักศึกษาฝึกงาน ผล
การพฒั นาระบบ แสดงดงั นี้
1.1 หน้าหลักของการเขา้ สรู่ ะบบ ในสว่ นของเจา้ หน้าที่ในการเข้าสู่ระบบแสดงดงั ภาพที่ 1
ภาพที่ 1 หนา้ หลกั ของการเขา้ สรู่ ะบบและจดั การขอ้ มลู
1.2 ส่วนของเจ้าหน้าที่ การจัดการข้อมูลผู้ใช้งานระบบ ผู้รับบริการ ยาและเวชภัณฑ์ การ
ให้บริการ และรายงานต่าง ๆ แสดงดงั ภาพที่ 2
ภาพท่ี 2 เมนูหลกั ในการจดั การขอ้ มูล
วารสารวจิ ัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี |133
2. การประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษา
ด้วยเทคโนโลยีบาร์โค้ด ผู้วิจัยได้นาระบบไปให้ผ้เู ช่ียวชาญจานวน 5 คน ประเมินระบบด้วยเทคนิค White box
Testing ประเมินประสิทธิภาพของระบบดา้ นตา่ ง ๆ ดังน้ี 1) ด้านความถูกต้องของระบบในแต่ละส่วนย่อย 2)
ด้านความถูกต้องในการทางานของระบบในภาพรวม 3) ด้านตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และ 4) ด้านความ
ปลอดภยั ของระบบ แสดงผลดังตารางท่ี 1
ตารางท่ี 1 แสดงผลการประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและ
นกั ศกึ ษาด้วยเทคโนโลยบี ารโ์ ค้ด
รายการประเมนิ ประสทิ ธภิ าพของระบบ X S.D. ระดับประสิทธภิ าพ
1. ดา้ นความถูกตอ้ งของระบบในแตล่ ะส่วนยอ่ ย 4.32 0.49 มาก
2. ดา้ นความถูกตอ้ งในการทางานของระบบในภาพรวม
3. ดา้ นตรงกบั ความต้องการของผใู้ ช้ 4.36 0.59 มาก
4. ดา้ นความปลอดภยั ของระบบ
4.52 0.51 มากทส่ี ดุ
ภาพรวม
4.24 0.65 มาก
4.36 0.55 มาก
จากตารางท่ี 1 การประเมินประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากร
และนักศึกษาด้วยเทคโนโลยีบาร์โค้ด พบว่าในภาพรวมมีประสิทธิภาพมาก มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.33 และค่าส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.57 เม่ือพิจารณาการประเมินเป็นรายด้าน ด้านตรงกับความต้องการของผู้ใช้
มปี ระสิทธิภาพมากท่สี ุดมคี า่ เฉลย่ี เท่ากับ 4.52 และคา่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.51 ด้านความถูกตอ้ งใน
การทางานของระบบในภาพรวม ด้านความถูกต้องของระบบในแต่ละส่วนย่อย และด้านความปลอดภัยของ
ระบบมปี ระสิทธภิ าพมากตามลาดบั
3. ความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาดว้ ย
เทคโนโลยีบาร์โค้ด ผู้วิจัยได้กาหนดไว้ 5 ด้าน ดังน้ี 1) ด้านหน้าท่ีและความถูกต้องในการทางานของระบบ
2) ด้านความง่ายในการติดตั้งการใช้งานในส่วนต่าง ๆ 3) ดา้ นความสามารถในการทางานของระบบ 4) ด้านความ
สะดวกและงา่ ยต่อการใชง้ านระบบ และ 5) ด้านความปลอดภัยของระบบ ผลการวิเคราะหแ์ สดงดังตารางท่ี 2
ตารางท่ี 2 ผลการวิเคราะห์ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสารสนเทศจดั การข้อมูลสขุ ภาพของบคุ ลากร
และนักศกึ ษาดว้ ยเทคโนโลยีบาร์โคด้
รายการประเมินความพึงพอใจ X S.D. ระดับความพึงพอใจ
1. ด้านหน้าทีแ่ ละความถูกตอ้ งในการทางานของระบบ 4.36 0.49 มาก
2. ด้านความงา่ ยในการตดิ ตง้ั การใชง้ านในสว่ นต่าง ๆ
3. ด้านความสามารถในการทางานของระบบ 4.40 0.61 มาก
4. ดา้ นความสะดวกและงา่ ยต่อการใชง้ านระบบ
5. ดา้ นความปลอดภยั ของระบบ 4.56 0.53 มากท่สี ดุ
ภาพรวม 4.50 0.54 มากทีส่ ดุ
4.36 0.65 มาก
4.43 0.56 มาก
134 | ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ดาวรถา วีระพันธ์
จากตารางท่ี 2 การประเมินประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบสารสนเทศจัดการข้อมูล
สขุ ภาพของบคุ ลากรและนักศึกษาดว้ ยเทคโนโลยีบาร์โค้ด พบวา่ ในภาพรวมมีความพงึ พอใจระดับมาก มคี า่ เฉล่ีย
เท่ากับ 4.43 และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 เม่ือพิจารณาการประเมินเป็นรายด้าน ด้าน
ความสามารถในการทางานของระบบ และ ด้านความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานระบบมีความพอใจอยู่ใน
ระดบั มากทส่ี ุด (X = 4.56 S.D.= 0.53 ) และ (X = 4.50 S.D.= 0.54) ตามลาดับ สว่ นด้านความงา่ ยในการ
ติดตั้งการใช้งานในส่วนต่าง ๆ และด้านหน้าที่และความถกู ตอ้ งในการทางานของระบบ และด้านความปลอดภัย
ของระบบมีความพอใจอยู่ในระดับมาก (X = 4.40 S.D.= 0.61) และ (X = 4.36 S.D.= 0.49) และ ( X =
4.36 S.D.= 0.65) ตามลาดับ
สรปุ
การออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วย
เทคโนโลยบี ารโ์ คด้ ในคร้งั นผี้ ู้วจิ ัยไดน้ าหลักการพฒั นาระบบแบบ SDLC (System Development Life Cycle)
มาเป็นแนวทางในการพัฒนาเพื่อให้ระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของ
ผู้ใช้ ผู้วิจัยทาการสารวจข้อมูลจากผู้ใช้งานระบบจากเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเก่ียวข้องเพ่ือรวบรวมข้อเท็จจริงของ
ปัญหาท่ีเกิดขึ้น รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในด้านต่าง ๆ นาข้อมูลท่ีได้จากการรวบรวมข้อมูลและศกึ ษาข้อมูล
เบ้ืองต้น ความต้องการและปัญหาต่าง ๆ ของระบบ รวบรวมความต้องการของระบบใหม่จากผู้ใช้งาน นามา
วิเคราะห์และออกแบบระบบ รวมทั้งกระบวนการสร้าง แผนภาพบริบท แผนภาพกระแสข้อมูล และการ
ออกแบบฐานข้อมูล เพื่อให้เห็นภาพรวมของระบบใหม่ สอดคล้องกับ โอภาส เอ่ียมสิริวงศ์ (2555) กล่าวว่าการ
วิเคราะห์ระบบเป็นกระบวนการทาความเข้าใจและกาหนดรายละเอียดปัญหา เพ่ือจะได้พิจารณานาระบบ
สารสนเทศอะไรเข้าไปแก้ปัญหาเหล่านั้น ขณะการออกแบบระบบ หมายถึงกระบวนการกาหนดรายละเอียด
ต่าง ๆ ว่าจะต้องทาอย่างไรกับองค์ประกอบของระบบสารสนเทศ เพ่ือจะได้นาไปใช้ให้เกิดผลในเชิงกายภาพ
เพราะการวิเคราะห์และออกแบบระบบ จัดว่าเป็นรากฐานอันสาคัญที่นาไปสู่การพัฒนาระบบท่ีถูกต้อง
เพราะฉะน้ันผู้วิจัยจึงให้ความสาคัญกับการวิเคราะห์และออกแบบระบบ เพ่ือจะได้นาไปเป็นแนวทางในการ
พัฒนาระบบให้ตรงกับความต้องการของผ้ใู ช้และช่วยแก้ปัญหาจากระบบงานเดิม หลังจากการพัฒนาระบบแล้ว
ผู้วจิ ัยได้มกี ารทดสอบโปรแกรม เปน็ การทดสอบระบบก่อนท่จี ะนาไปปฏบิ ตั ิการใชง้ านจรงิ ประเมนิ ประสิทธิภาพ
ของระบบด้านต่าง ๆ ดังนี้ ด้านความถูกต้องของระบบในแต่ละส่วนย่อย ด้านความถูกต้องในการทางานของ
ระบบในภาพรวม ด้านตรงกับความตอ้ งการของผใู้ ช้ และ ดา้ นความปลอดภัยของระบบ เพื่อหาข้อผดิ พลาดของ
ระบบเพ่ือจะได้ทาการแก้ไขก่อนท่ีจะไปติดต้ังระบบให้กับผู้ใช้งาน เนื่องจากผู้วิจัยได้พัฒนาระบบเป็นขั้นตอน
และมีการตรวจสอบโดยผู้เช่ียวชาญเพื่อให้คาแนะนาข้อผิดพลาดต่าง ๆ จึงส่งผลให้การพัฒนาระบบครั้งนี้ใน
ภาพรวมมีประสิทธิภาพมากมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 และค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.57 สอดคล้องกับ
งานวิจัยของ กาจบัณฑิต ศรีโท (2553) ได้ศึกษาระบบการดาเนินงานห้องพยาบาลและติดตามสขุ ภาพนักเรยี น
การศึกษานี้พบว่า ระบบงานท่ีไดพ้ ัฒนาขึ้นน้ีสามารถเพ่ิมประสทิ ธิภาพการทางานของผดู้ าเนนิ งานห้องพยาบาล
ของโรงเรยี นใหส้ ามารถจัดเก็บขอ้ มลู ที่เป็นระบบเเละสามารถสืบค้นข้อมูลไดส้ ะดวกรวดเร็วถูกต้องนอกจากนี้ผู้ที่
เกี่ยวข้องยังสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ เหล่าน้ีผ่านทางอินเตอร์เน็ตและสอดคล้องกับ อนุชา ชีช้าง และ
ธีรวัฒน์ หังสพฤกษ์ (2555) ได้ศึกษาการพัฒนาระบบการจัดการครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ด้วยรหัสแท่งสองมิติ บน
เครือข่ายอินทราเน็ตกรณีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ผลการศึกษาพบว่า ระบบต้นแบบท่ี
พัฒนาข้ึนเป็นระบบที่ทางานในลักษณะของเว็บแอพพลิเคชัน ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้ภาษา PHP ใช้ระบบจัดการ
วารสารวจิ ยั และพฒั นา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี |135
ฐานข้อมูล MySQL และรหัสแท่งสองมิติแบบ QR Code ผลการทดสอบประสิทธิภาพ พบว่าระบบสามารถ
แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับผลการประเมินทั้งในด้านผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการจานวน 30 คน
โดยผลการประเมนิ อยู่ในระดบั ดีมาก (ค่าเฉล่ีย 4.35)
ความพึงพอใจของผู้ใช้ระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลสุขภาพของบุคลากรและนักศึกษาด้วย
เทคโนโลยีบาร์โค้ด พบว่าในภาพรวมผู้ใช้งานระบบมีความพึงพอใจระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.43 และค่า
ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 เม่อื พจิ ารณาการประเมนิ เปน็ รายดา้ น จะเห็นวา่ ผใู้ ชง้ านระบบมคี วามพอใจ
ด้านความสามารถในการทางานของระบบ และ ด้านความสะดวกและง่ายต่อการใช้งานระบบมากที่สุด
เน่ืองจากในการพัฒนาระบบน้ันผู้วิจัยได้สารวจความต้องการของผู้ใช้งานและปัญหาของระบบงานเดิมและได้
ออกแบบระบบให้สะดวกงา่ ยเหมาะกบั การใช้งานข้อมลู และตอบสนองตรงต่อความตอ้ งการของผู้ใช้ จึงส่งผลให้
ผู้ใช้งานระบบมีความพึงพอใจระบบอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับ ทัศน์เทพ ดลโสภณ และคณะ (2557) ได้
ศึกษาการพัฒนาระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดทารายงานสุขภาพจากฐานข้อมูลกลางของสานักงานสาธารณสุข
จังหวัดกาฬสินธ์ุ ผลการประเมินระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดทารายงานสุขภาพจากฐานข้อมูลกลางของ
สานกั งานสาธารณสุขจังหวดั กาฬสนิ ธุ์ ใช้แบบประเมินความพงึ พอใจใน 4 ด้าน ไดแ้ ก่ ดา้ นการใชง้ านระบบ ดา้ น
ระบบรายงานผลตัวชี้วัด ด้านแสดงผลข้อมูล ด้านภาพรวมของระบบรายงานตัวชี้วัดพบว่าผู้ประเมินมีความพึง
พอใจในระดับมาก และ นราธิป วงษ์ปัน (2556) ได้ศึกษาการพัฒนาระบบสารสนเทศครุภัณฑ์ ด้วยบาร์โค้ดสอง
มติ สิ าหรับคณะเทคโนโลยีอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏลาปาง ผลการวิจัยพบว่า ผลการประเมินความความ
พึงพอใจของการใช้งานระบบสารสนเทศครุภัณฑ์ ด้วยบาร์โค้ดสองมิติ สาหรับคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง พบว่าข้อมูลครุภัณฑ์ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมีคะแนนสูงที่สุด มีระดับ
คะแนน 4.60 ส่วนได้คะแนนต่าสุดคือภาพกับเน้ือหามีความสอดคล้องกัน มีระดับคะแนน 3.80 และสอดคล้อง
กับ วรี ชน นามโครต (2553) ได้ศึกษาการพฒั นาระบบสารสนเทศของโรงเรยี นวดั อนิ ทาราม งานวิจัยน้ไี ดน้ าเสนอ
การพฒั นาการใช้บตั รประจาตวั นักเรียนแบบบาร์โค้ดมาใช้ในกิจกรรมดา้ นต่าง ๆ เชน่ การเรียนการสอน การเขา้
รับบริการห้องพยาบาล การเข้ารับบริการยืม คืน หนังสือ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การนาบัตรประจาตัว
นักเรียนแบบบารโ์ ค้ดมาใช้แทนระบบเดิมน้ันทาให้การทางานของครผู สู้ อนและเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติด้านต่าง ๆ ของ
โรงเรียนวัดอินทารามมีความสะดวกรวดเรว็ ย่ิงขึน้ ผลจากการประเมนิ ความพึงพอใจของผทู้ ดสอบจานวน 60 คน
พบวา่ ในด้านการใชง้ านของระบบผูใ้ ช้มคี วามพงึ พอใจโดยมีค่าเฉลี่ยเทา่ กบั 3.7 อยูใ่ นระดับทด่ี ี
ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเสนอแนะเก่ยี วกบั งานวิจยั
1. ควรใช้เคร่อื งอา่ นบารโ์ คด้ ท่ีมคี วามละเอยี ดสงู เพ่อื ความสะดวก ถูกต้องและรวดเร็วงา่ ยในการอ่าน
ข้อมลู
2. ผู้ใช้งานควรมีการศึกษาและทาความเข้าใจกับขั้นตอนการใช้งานของระบบเพื่อการใช้งานท่ีมี
ประสทิ ธภิ าพ
ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัยครัง้ ต่อไป
1. ควรมีการศึกษาและพัฒนาระบบสารสนเทศจัดการข้อมูลบุคลากรและนักศึกษา โดยนา
เทคโนโลยีทท่ี นั สมัยมาร่วมใชง้ านกบั การพัฒนาระบบดว้ ย
136 | ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม–สงิ หาคม พ.ศ. 2561) ดาวรถา วีระพันธ์
กิตตกิ รรมประกาศ
การวิจัยคร้ังน้ีสาเรจ็ ลุลว่ งได้ด้วยดี ผู้วิจัย ขอขอบพระคุณสถาบันวิจัยและพัฒนาท่ีสนับสนุนทุนวจิ ยั
หลักสตู รวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ทใ่ี หค้ วามอนเุ คราะห์
สถานทแ่ี ละอุปกรณใ์ นการสร้างเครอื่ งมอื วจิ ยั และดาเนนิ การทดลองในครัง้ นี้
เอกสารอ้างองิ
กาจบณั ฑติ ศรีโท. (2553). ระบบการดาเนนิ งานห้องพยาบาลและตดิ ตามสุขภาพนกั เรียน.การค้นควา้ อสิ ระ
ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาเทคโนโลยสี ารสนเทศ คณะวทิ ยาศาสตร์,มหาวิทยาลยั
อบุ ลราชธาน.ี (ออนไลน)์ , เขา้ ถงึ ได้จาก
http://opac1.lib.ubu.ac.th/medias/pdf/fulltext1/ethesis/Katbandit_Sri/title%20page.p
dfวันที่ 27 มิถนุ ายน 2560.
ทศั นเ์ ทพ ดลโสภณ และคณะ. (2557). การพฒั นาระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั ทารายงานสุขภาพจาก
ฐานขอ้ มูลกลางของสานกั งานสาธารณสุขจังหวดั กาฬสินธ,ุ์ วารสารวจิ ยั และพฒั นาระบบสขุ ภาพ,
7 (2) ,98-108.
ธานินทร์ ศลิ ปจ์ าร.ุ (2549). การวจิ ยั และการวเิ คราะห์ข้อมูลทางสถติ ดิ ้วย SPSS. พิมพ์คร้งั ที่ 11. กรงุ เทพฯ
: ซเี อ็ดยเู คชั่น.
นราธิป วงษป์ นั . (2556). การพัฒนาระบบสารสนเทศครภุ ัณฑ์ ด้วยบาร์โคด้ สองมติ ิสาหรบั คณะเทคโนโลยี
อุตสาหกรรม มหาวิทยาลยั ราชภฏั ลาปาง, วารสารวิชาการคณะเทคโนโลยีอตุ สาหกรรม
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง, 6 (2), 13-23.
บุญธรรม กิจปรีดาบรสิ ทุ ธ.์ิ (2543). วิจัยการวดั และการประเมินผล. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพศรีอนนั ต์.
ผกามาศ วรรณจรญู . (2547). ระบบสารสนเทศงานฝกึ อบรมบคุ ลากร กรณศี กึ ษา ภาควิชาเทคโนโลยี
คอมพวิ เตอร์ สานกั พฒั นาสมรรถนะครแู ละบุคลากรอาชวี ศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั
เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี.
ไพบูลย์ เกยี รตโิ กมล และณัฏฐพนั ธ์ เขจรนนั ท์. (2551). ระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั การ. กรุงเทพฯ: ซีเอด็
ยเู คชน่ั .
มนต์ชัย เทยี นทอง. (2548). สถติ แิ ละวธิ กี ารวิจยั ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ. กรุงเทพฯ : สถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าพระนครเหนอื .
วีรชน นามโครต. (2553). การพัฒนาระบบสารสนเทศของโรงเรียนวดั อินทาราม. การค้นควา้ อสิ ระ.
ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาเทคโนโลยสี ารสนเทศ ,มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
วิทวฒั น์ พฒั นา. (2553). การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ. กรุงเทพฯ : ซเี อ็ดยูเคชัน่ .
ศรไี พร ศกั ดร์ิ ่งุ พงศากลุ และ เจษฎาพร ยุทธนวิบูลย์ชยั . (2551). ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยกี ารจดั การ
ความร.ู้ พิมพ์คร้ังท่ี 5. กรุงเทพ ฯ: ซีเอด็ ยเู คช่นั .
อนุชา ชชี ้าง และธรี วฒั น์ หังสพฤกษ์. (2555). การพฒั นาระบบการจดั การครภุ ัณฑค์ อมพวิ เตอรด์ ว้ ยรหัสแท่ง
สองมิติบนเครือขา่ ยอนิ ทราเนต็ กรณีศกึ ษามหาวิทยาลยั ทกั ษณิ วทิ ยาเขตพัทลุง, วารสาร
มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ , 15 (2), 1-9.
โอภาส เอ่ยี มสริ วิ งศ.์ (2555). การวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ. กรุงเทพฯ : ซีเอด็ ยเู คชน่ั .