The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการอบรมหลักสูตร “การลดความเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติและการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” รหัสหลักสูตร 62037 ปี 2562

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kru renu, 2021-05-22 09:41:12

รายงานการอบรมหลักสูตร “การลดความเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติและการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” รหัสหลักสูตร 62037 ปี 2562

รายงานการอบรมหลักสูตร “การลดความเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติและการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” รหัสหลักสูตร 62037 ปี 2562

รายงานโครงการพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร ด้วยระบบออนไลน์
หลกั สูตร “การลดความเสีย่ งภยั พิบัติธรรมชาติและการปรับตวั

รบั การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
รหสั หลักสูตร 62037 ปีการศึกษา 2562

\
+

นางเรณู โพธ์ิจนั ทร์
ครูโรงเรียนวัชรวทิ ยา

โรงเรยี นวัชรวิทยา
สำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต ๔๑

สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร

คำนำ

โครงการพัฒนาครรู ูปแบบครบวงจร ของสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน (สพฐ.) เกดิ ข้นึ
จากนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ท่ีต้องการปฏิรปู ระบบผลติ และพฒั นาครู เพ่ือตอบสนองต่อการพัฒนา
ทรพั ยากรบุคคลอยา่ งมีระบบและมีประสทิ ธภิ าพสงู สุด มคี วามสอดคล้องกับแผนยทุ ธศาสตรร์ ะยะ 20 ปี
(พ.ศ.2560 – 2579) ภายใต้วสิ ยั ทศั น์ “ประเทศมีความม่ันคง มงั่ ค่ัง ย่งั ยืน เปน็ ประเทศพัฒนาแลว้ ดว้ ยการ
พัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง

จากนโยบายดังกล่าว สพฐ. จงึ ไดด้ ำเนนิ การ โครงการพัฒนาครรู ูปแบบครบวงจรของสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเชญิ ชวนสถาบนั อุดมศกึ ษาหรอื บุคคล องคก์ รชมุ ชน องค์กรเอกชน
องค์กรวิชาชพี สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอ่นื นำเสนอหลกั สูตรอบรมพฒั นาครใู ห้
สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน นำเสนอหลกั สูตรให้สถาบันคุรุพฒั นา สำนักงานเลขาธกิ ารคุรุ
สภา ทำการรบั รอง และประชาสัมพนั ธ์ให้ครูได้เลอื กหลักสตู รเพอ่ื พัฒนาตนเองตามความตอ้ งการ ความจำเปน็
รายบคุ คล โดยจะดำเนินการจัดทำระบบลงทะเบยี นและติดตามประเมนิ ผลครูผเู้ ขา้ รับการพฒั นา เพ่ือให้ครู
สามารถเลอื กอบรมตามความต้องการ และหนว่ ยงานส่วนกลางสามารถบรหิ ารจัดการจัดสรรงบประมาณไปยัง
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาเพอื่ เป็นค่าลงทะเบยี นให้กบั ครูที่แจ้งความประสงค์เขา้ รับการอบรมในหลักสตู ร
ตา่ ง ๆ และสามารถทราบความตอ้ งการในการพฒั นาตนเองของครใู นภาพรวมได้

จากความสำคัญดังกล่าว ผรู้ ายงานไดเ้ ลือกอบรม หลักสูตร “การลดความเสย่ี งภัยพิบัตธิ รรมชาตแิ ละ
การปรบั ตัวรับการเปลยี่ นแปลงสภาพภูมิอากาศ” รหสั หลักสตู ร 62037 ปกี ารศึกษา 2562 ซึง่ เป็นหลกั สูตร
ออนไลน์ เม่ือผ่านการอบรมเรียบรอ้ ยแลว้ จึงขอเสนอผลการประชมุ อบรมเพื่อขยายผลการเรยี นรูต้ อ่ ไป

นางเรณู โพธจ์ิ ันทร์

ผรู้ ายงาน

บันทกึ รายงานผลการไปราชการ / การอบรมสัมมนา / การศึกษาดูงาน ของบุคลากร

โรงเรยี นวชั รวทิ ยา สำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 41

**************************************

วันท่ี 20 เดอื น มิถนุ ายน พ.ศ. 2563

เรยี น ผู้อำนวยการโรงเรียนวัชรวิทยา

ตามที่ข้าพเจ้า นางเรณู โพธิ์จันทร์ ตำแหน่งครู โรงเรียนวัชรวิทยา ได้เข้าร่วมประชุมอบรม
โครงการพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร ประจำปี 2562 หลักสูตร “การลดความเส่ียงภัยพิบัติธรรมชาติและการ
ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” รหัสหลักสูตร 62037 ปีการศึกษา 2562 ซึ่งเป็นหลักสูตร
ออนไลน์ และได้รับการอนุมัติแผนการจัดการเรียนรู้ สามารถพิมพ์วุฒิบัตร การสำเร็จการศึกษา หลักสูตร
“การลดความเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติและการปรับตัวรับการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ” รหัสหลักสูตร
62037 ปกี ารศกึ ษา 2562 ซึ่งเปน็ หลักสตู รออนไลน์ ในวันท่ี 20 เดือน มิถนุ ายน พ.ศ. 2563

บดั นีก้ ารอบรมออนไลน์ หลักสูตร “การลดความเสย่ี งภยั พิบตั ิธรรมชาติและการปรับตวั รับการ
เปลีย่ นแปลงสภาพภูมิอากาศ” รหสั หลกั สตู ร 62037 ปีการศึกษา 2562 ซ่ึงเป็นหลักสตู รออนไลน์ ดังกล่าว
ได้เสร็จสน้ิ เรียบรอ้ ยแลว้ ขา้ พเจ้าขอรายงานการอบรมโดยสรปุ เนอ้ื หาดงั น้ี

โครงการหลักสูตรความปลอดภยั รอบดา้ นในโรงเรียน

โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย และ Save the
Children เปา้ หมายเพื่อสรา้ งความรู้ให้แก่ ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้รถู้ ึงความเสี่ยงภยั ของตน
โดยเฉพาะในพื้นที่ และสามารถวางมาตรการ วิธีการที่เหมาะสมตลอดจนสามารถดูแลผลกระทบเม่ือเกิดภัย
พบิ ัติจากธรรมชาติ

บทท่ี 1 ความเสยี่ งภยั ธรรมชาติและการประเมนิ ความเส่ียง
บทท่ี 2 อาคารสถานทปี่ ลอดภัย
บทท่ี 3 การจดั การภัยพบิ ัติในสถานศึกษา
บทที่ 4 การจัดเรยี นการสอน
สามเสาหลักของความปลอดภัยรอบด้านในโรงเรยี น
ความปลอดภัยรอบด้านในโรงเรียน ซ่ึงอยู่ภายใต้นโยบายและการปฏิบัติด้านการศึกษา มีความ
สอดคล้องกับการบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับประเทศ , ภูมิภาค , จังหวัดและดับพ้ืนท่ีรวมทั้งโรงเรียน
กรอบแนวคิดความปลอดภยั รอบดา้ นในโรงเรียน ประกอบดว้ ยสามเสาหลกั ได้แก่

เสาหลกั ที่ 1 สิ่งอำนวยความสะดวกในการเรยี นที่ปลอดภัย

ผู้มีบทบาทหลัก : บุคลากร/หน่วยงานด้านการศึกษาและการวางแผน สถาปนิก วิศวกร
ผู้รับเหมาก่อสร้างบุคลากรโรงเรียน และสมาชิกชุมชนท่ีมีบทบาทในการตัดสินใจด้านการเลือกสถานที่ตั้ง
โรงเรียนท่ีปลอดภัย การออกแบบ การก่อสร้าง และการดูแลรักษาโรงเรียน (รวมถึงการเข้าถึงอาคารสถานที่
และสิง่ อำนวยความสะดวกได้อยา่ งปลอดภยั สม่ำเสมอ)

เสาหลกั ท่ี 2 : การบริหารจดั การภยั พบิ ตั ิในโรงเรยี น
ผู้มีบทบาทหลัก : ผู้บริหารภาคการศึกษาทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัด รวมท้งั ชุมชนโรงเรียน

ในพ้ืนที่ซึ่งร่วมงานกับหน่วยงานด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติที่เก่ียวข้องในแต่ละพ้ืนท่ี ในระดับโรงเรียน
ได้แก่ บุคลากรในโรงเรียน นักเรียนและผู้ปกครองท่ีมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมทางการเรียนท่ี
ปลอดภยั ตัวอย่างกจิ กรรม เช่น การประเมนิ และลดความเสย่ี งทางสังคมสิ่งแวดล้อม สาธารณูปโภคและความ
เสี่ยงที่ไม่ใชโ่ ครงสร้างและโดยการพฒั นาศักยภาพในการรับมือภัยพิบตั ิและวางแผนการศึกษาต่อเนอื่ ง

เสาหลกั ที่ 3 : การศกึ ษาดา้ นการลดความเสีย่ งและการรรู้ ับปรับตัวจากภัยพิบัติ
ผู้มีบทบาทหลัก : ผ้จู ัดทำหลักสูตรและสอื่ การเรยี นการสอน คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ผูอ้ บรมครู

ครู กล่มุ เยาวชน ผนู้ ำในการจัดกิจกรรมเยาวชน และนักเรียน ที่จะรว่ มมือการเพอ่ื พฒั นาและสร้างความ
เข้มแข็งให้กับวฒั นธรรมแห่งความปลอดภัยและมีความสามารถในการรรู้ ับปรบั ตวั และพื้นคนื กลบั จากภยั พิบตั ิ

บทที่ 1 ความเสีย่ งภัยธรรมชาตแิ ละการประเมินความเส่ียง

1.วตั ถปุ ระสงค์
1.เพือ่ ใหต้ ระหนกั รู้ถึงผลกระทบของภัยธรรมขาตมิ ตี ่อชีวติ มนษุ ยแ์ ละภาคการศึกษา
2.เพื่อให้เข้าใจหลกั การลดความเส่ียงภัยพบิ ตั ิในสถานศึกษา
3.เพ่ือให้รู้จักวิธีประเมินความเสี่ยงภัยธรรมชาติ

2.หัวข้อการเรียนรู้
1.การสรา้ งความตระหนกั ในการลดความเสีย่ งภยั พิบตั ิทางธรรมชาติ
2.บทบาทหน้าท่ีของภาคการศกึ ษาในการจดั การภัย

3.แนวคิดสำคญั
3.1 การลดความเสย่ี งภัยพิบัติ (ภยั ภยั พบิ ตั ิ ความเสี่ยง ความเปราะบาง ความสามารถในการรับมือ)
3.2 การจดั การภัยพิบัติ

4.กรอบการทำงานสถานศึกษาปลอดภยั รอบดา้ น
5.การประเมนิ ความเสี่ยง (วิธีประเมนิ ความเสีย่ ง และเครอ่ื งมือตา่ ง ๆ และวิธีใชเ้ คร่ืองมือ)
6.การประเมนิ กอ่ นเรยี นและหลังเรียน

หัวข้อ 1 : ความตระหนกั ในการลดความเส่ยี งภยั พบิ ัติทางธรรมชาติของสถานศกึ ษา
เป้าหมายของการลดความเสี่ยงภัยพิบัติในสถานศึกษา คือ การที่บุคลากรทางการศึกษา ครูและ

นักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้ความเส่ียงภัยของตนโดยเฉพาะภัยในพ้ืนที่ สามารถวางมาตรการและ
วิธีการปฏิบัติ ตลอดจนสามารถดูแลรักษาโครงสร้างและกลไกพ้ืนฐานให้ปลอดภัยเพ่ือลดผลกระทบจากภัย
ธรรมชาติน้ัน ๆ และหากประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติก็สามารถฟื้นตัวได้ด้วยแนวทางและทรัพยากรที่มีใน
ระยะเวลาที่เหมาะสม การรจู้ ักความเสี่ยงภัยของตนเองอย่างแท้จริงจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนลดความ
เสี่ยงภยั พบิ ตั ิ

หัวข้อ 2 : บทบาทหน้าที่ของสถานศกึ ษาในการจัดการภยั พบิ ัติ

ปัจจุบันประเทศไทยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ "การจัดการความเส่ียงจากสาธารณภัย" ตามแผนการ
ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2558 ภายใต้ กรอบการทำงานลดความเสย่ี งภัยพบิ ัติ พ.ศ. 2558
- 2573 (Sendai Framework for. Disaster Risk Reduction 2015 – 2030 หรือ SFDRR) หรือที่เรียกกัน
สั้นๆว่า "กรอบเซนได" ซ่ึงเป็นกรอบการทำงานตามมาตรฐานสากลกินระยะเวลา 15 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2558
ถึง พ.ศ. 2573

แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 ได้กำหนดบทบาทหน้าท่ีให้หน่วยงาน

ของรฐั มีสว่ นร่วมในการลดความเสย่ี งภยั พิบัติ โดยกระทรวงศกึ ษาธิการได้รับมอบหมายหน้าทตี่ ่อไปน้ี

1. พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกระดับชั้น ต้ังแต่
การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐานจนถึงระดับอุดมศึกษา

2. สง่ เสรมิ หนว่ ยงานการศึกษาให้มบี ทบาทในการช่วยเหลอื สนับสนนุ การปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย

3. ส่งเสริมให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกแก่นักเรียน นักศึกษา ประชาชนให้มีส่วนร่วมในการป้องกันและ
บรรเทาสาธารณภยั

4. สนับสนุนบุคลากรทางการศึกษา เช่นลูกเสือ เนตรนารี เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของ
กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสา
ธารณภัยในพน้ื ท่ี

5. สำรวจและจดั ทำฐานข้อมูลสถานศึกษาเพื่อใชเ้ ป็นศนู ย์พักพงิ ช่วั คราว
หัวข้อ 3 : แนวคดิ สำคัญ
3.1 เรอื่ งการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ

การลดความเส่ียงภัยพิบัติ (Disaster Risk Reduction) คือแนวคิดและวิธีปฏิบัติในการป้องกัน
และลดผลกระทบจากภัยด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยท่ีเส่ียงที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติ ได้แก่ ความรุนแรงของภัย
ความล่อแหลม ความเปราะบางของอาคารบ้านเรือนและคนในสังคม และศกั ยภาพในการรับมือภัยพบิ ัติ

ความเสี่ยงจากภัยพิบัติมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ภัย (Hazard) ความล่อแหลม (Expo-
sure) ความเปราะบาง (Vulnerability) และความสามารถในการรับมือ (Coping capacity)

ภัย (hazard) คอื สภาวะอันตรายทเี่ กดิ จากธรรมชาติหรือเกดิ จากน้ำมือมนุษย์ ภัยธรรมชาติ เช่น ฝน
ตก พายุแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คล่ืนกัดเซาะชายฝ่ัง ภัยธรรมชาติแบ่งได้ตามลักษณะการเกิดคือภัยที่เกิด
ฉับพลันและภัยท่ีเกิดขึ้นช้าๆ และต้องดูผลกระทบจากความรุนแรงของภัย ตัวอย่างเช่น พายุฤดูร้อนที่เกิดขึ้น
ในหลายพ้ืนที่มคี วามรุนแรงจนสรา้ งความเสียหายใหแ้ ก่โครงสร้างอาคารเรียน

ภยั ธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทยมีหลายรูปแบบ ที่สำคัญและเสียหายไดเ้ ปน็ อย่างมาก คือ วาตภัย
อุทกภัย อัคคีภัยและแผ่นดินไหวผู้เรียน สามารถอ่านรายละเอียดเพ่ิมเติมเก่ียวกับลักษณะของภัยธรรมชาติที่
เกดิ ข้ึนในประเทศไทยได้จาก เอกสารเรอ่ื ง ภยั ธรรมชาติในประเทศไทย โดยกรมอตุ ุนยิ มวทิ ยา

ภัยพิบัติ (disaster) หมายถึง “การท่ีระบบต่างๆในสังคมหนึ่งต้องหยุดชะงักอันเป็นผลมาจากภัย ไม่
ว่าจะเป็นภัยทางธรรมชาติหรือเกิดจากมนุษย์ และภัยน้ันซ่ึงส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน เศรษฐกิจ
สังคมและส่ิงแวดล้อมอย่างกว้างขวาง เกินกว่าความสามารถของชุมชนจะรับมือได้โดยใช้ทรัพยากรท่ีมี
อยู่” จะเห็นได้ว่านิยามนี้กำหนดให้ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นเมื่อภัยธรรมชาติส่งผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ หากภัย
ธรรมชาตไิ มส่ ่งผลรา้ ยแรงตอ่ สงั คมมนุษย์จะไม่เรียกวา่ ภยั พิบัติตามนิยามนี้
ตัวอยา่ งภัยพิบตั ิที่เกดิ ขนึ้ ในประเทศไทย ไดแ้ ก่
พายโุ ซนรอ้ นที่ถล่มแหลมตะลุมพกุ เมือ่ พ.ศ. 2505

พายุเกย์

แผน่ ดินไหวท่ีเชียงราย พ.ศ. 2557

ประเทศไทย ใช้คำว่า สาธารณภัย แทนคำว่าภัยพิบัติ เพ่ือให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป้องกันและ
บรรเทาสาธารณภัย 2550 โดยระบุว่า “สาธารณภัย” หมายถึง“อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาด
ในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้ำ การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอื่น ๆ อันมีผลกระทบต่อ
สาธารณชน ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ มีผู้ทำให้เกิดขึ้น อุบัติเหตุหรือเหตุอื่นใด ซ่ึงก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต
รา่ งกายของประชาชนหรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน หรือของรัฐ และให้หมายความรวมถึงภัย
ทางอากาศ และการก่อวนิ าศกรรดว้ ย”

ความล่อแหลม (Exposure) หมายถึงการที่ผู้คน อาคารบ้านเรือน ทรัพย์สิน ระบบต่าง ๆ หรือ
องค์ประกอบใด ๆ มีท่ีต้ังอยู่ในพ้ืนที่เส่ียงภัย เป็นการมองทางกายภาพของพ้ืนที่ตั้งเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น
โรงเรียนท่ตี ัง้ อยรู่ ิมแมน่ ้ำมีโอกาสเผชญิ ภัยจากแผน่ ดินทรุดตวั

• ฝนตกหนักโรงเรยี นรมิ นำ้ ทา่ จีน ดนิ ทรดุ ลกึ เกือบ 2 ม.

ความเปราะบาง (Vulnerability) หมายถงึ ปจั จยั หรือสภาวะใดๆกต็ ามท่ที ำให้ผู้คนไมส่ ามารถรับมือ
กับภัยธรรมชาติ ตลอดจนไม่สามารถฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ได้หลังจากเกิดภัยพิบัติ ในกรณีของสถานศึกษา
ความเปราะบางแบ่งเป็นความเปราะบางด้านโครงสร้าง (Structural Vulnerability) คือส่ิงก่อสร้างท่ีมองเห็น
และความเปราะบางท่ีไม่ใช่โครงสร้าง (non-structural vulnerability) เช่น ความเปราะบางทางสังคม
เศรษฐกิจ เพศ วยั ความรู้

ยกตัวอย่างของความเปราะบาง เช่น อาคารสถานท่ีเรียนที่ไม่ปลอดภัย ระบบสาธารณูปโภคใน
โรงเรียนทรุดโทรม ถือเป็นความเปราะบางด้านโครงสร้าง ถ้าบุคลากรในสถานศึกษาไม่มีความรู้ทางบริหาร
จัดการภัยพิบัติ นักเรียนท่ีขาดทักษะในการเอาตวั รอดจากอนั ตราย โรงเรยี นมีนักเรียนพิการที่ช่วยเหลือตัวเอง
ระหว่างเกิดเหตุไม่ได้ ตลอดจนการขาดความสามัคคีของบุคลากร ก็ถือเป็นความเปราะบางที่ไม่ใช่โครงสร้าง
เป็นต้น

ความสามารถหรือศักยภาพ (Capacity) หมายถึง ความสามารถในการรบั มือกบั ภัยพิบัติ คอื การใช้
คน ความรู้ทักษะและทรัพยากรท่ีมีอยู่ชองสถานศึกษามาจัดการภัยพิบัติ และนำมาพัฒนาเพ่ือเพ่ิมขีด
ความสามารถในการรับมือให้สูงข้ึน แบ่งเป็น 1) ความสามารถเชิงกายภาพ (Structural Capacity) ได้แก่
อาคารสถานท่ี สาธารณูปโภค 2) ความสามารถท่ีไม่ใชก่ ายภาพ (Structural Capacity) ได้แก่ ความสามารถ
ของบุลากร เช่น การดำเนินมาตรการลดผลกระทบ การมีแผนเผชิญเหตุ การมีเคร่ืองมืออุปกรณ์ช่วยชีวิตที่
จำเป็น การฝึกอบรมทักษะให้นักเรียนในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติหรือ
สถานการณ์ฉุกเฉิน ความสามารถทางเศรษฐกิจและสังคม (Socioeconomic capacity) ได้แก่ นโยบาย
งบประมาณ และกลไกทีส่ ่งเสรมิ การจดั การภยั พบิ ัติในสถานศกึ ษา เป็นต้น

• สพฐ. จบั มือญี่ปุ่น ขนนกั เรยี น ครู ซ้อมรับมือแผน่ ดนิ ไหว-ภยั พิบัติ

3.2 วงจรการจัดการภัยพิบตั ิ (Disaster Management Cycle)
การจัดการภัยพิบัติ สามารถแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัยและหลังเกิดภัย

โดยในแต่ละระยะมีแนวทางปฏิบัติกว้างๆ ได้แก่ ก่อนเกิดภัยเป็นเวลานานจะเป็นการดำเนินมาตรการป้องกัน
ไม่ให้เกิดภัยพิบัติ หรือหากป้องกันไม่ได้ ก็ต้องหาทางบรรเทาหรือลดผลกระทบ เรียกว่า (Prevention and
Mitigation) แต่ถ้ายังมีโอกาสเกิดภัยแน่นอนก็จะต้องเตรียมความพร้อมเพ่ือเผชิญเหตุ (Preparedness) และ
ในระหว่างเกิดภัย จะต้องใช้มาตรการการจัดการภาวะวิกฤติ (Crisis Management) หรือการโต้ตอบ
สถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Response) เพ่ือไม่ให้เกิดความเสียหายลุกลามจนทำให้ภัยกลายเป็นภัย
พิบัติ และเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายน้ันได้ผ่านไปแล้ว จะต้องดำเนินการฟื้นฟูเยียวยา และการบูรณะซ่อมแซม
(Rehabilitation and Reconstruction) สิง่ ทีเ่ สียหายให้ปลอดภัยกวา่ เดิม

หัวข้อ 4 : กรอบการทำงานสถานศกึ ษาปลอดภัยรอบด้าน
กรอบการทำงานดา้ นความปลอดภยั รอบดา้ นในสถานศึกษา
องค์ประกอบทั้งสามเสาภายใตก้ รอบการทำงานเพื่อความปลอดภยั รอบดา้ นในสถานศึกษา ได้แก่

เสาท่ี 1 อาคารและสงิ่ อำนวยความสะดวกในสถานศึกษาท่ีปลอดภยั (Safe Learning Facilities) เป็น
เร่อื งเกี่ยวกับการพิจารณาสถานท่สี ร้างสถานศึกษา การก่อสร้างที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายและการกำกบั ดูแล
ความปลอดภยั ของสถานที่

เสาท่ี 2 การจัดการภัยพิบัติในสถานศึกษา (School Disaster Management) เป็นเรื่องเก่ียวกับการ
จัดสรรและบริหารทรพั ยากรตา่ งๆเพ่อื การป้องกันการสูญเสยี และความเสยี หาย ตลอดจนการฝึกอบรมเพม่ิ พูน
ทักษะให้บคุ ลากรและนกั เรยี นสามารถช่วยเหลอื ตนเองให้ปลอดภยั

เสาท่ี 3 การให้ความรู้ด้านการลดความเส่ียงและการรู้รับปรับตัว (Risk Reduction and Resilience
Education) เปน็ การจัดการเรยี นการสอนอยา่ งตอ่ เนื่องทัง้ ในเร่ืองความรู้และทักษะการลดความเส่ียงและการ
ปรบั ตัวให้พร้อมรับภยั ธรรมชาติ

หัวข้อ 5 : การประเมนิ ความเส่ียง (วธิ ปี ระเมนิ ความเส่ียง และเคร่อื งมือต่างๆ และวิธีใช้เครอื่ งมือ)
5.1 ปฏิทินฤดกู าล (Seasonal Calendar)

สถานศึกษาสามารถใช้ปฏิทินฤดูกาลเป็นเครื่องมือแสดงให้เห็นความสอดคล้องของช่วงระยะเวลา
ฤดูกาล ช่วงเวลาท่ีเกิดภัย และชว่ งเวลาจัดกิจกรรมต่างๆของสถานศึกษา ทำให้เห็นความเสี่ยงภัยธรรมชาติใน
แต่ช่วงเวลา ปฏิทินของแต่ละสถานศึกษาอาจจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กบั บรบิ ททางสังคมและสภาพอากาศ เช่น
เดอื นแห่งการเริ่มฤดมู รสุมของภาคเหนือย่อมแตกต่างจากภาคใต้ ภัยจากแผ่นดินไหวมโี อกาสเกิดในจังหวัดที่มี
รอยเลื่อนมากกว่าจังหวัดท่ีไม่มรี อยเล่ือน ภัยสึนามิจะเกิดในพ้ืนทีช่ ายฝั่งทะเลด้านอา่ วไทยและอนั ดามนั แต่ไม่
มีภยั สึนามิในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื โอกาสที่เดก็ จะเปน็ อันตรายหากเกิดภัยพิบัติ
ในช่วงเปิดเทอมย่อมสูงกว่าโอกาสท่ีจะเกิดในช่วงปิดเทอม แต่โอกาสท่ีเด็กจะจมน้ำตายในช่วงปิดเทอมก็มี
มากกวา่ ในช่วงเปิดเทอม เป็นต้น
ตวั อย่างปฎทิ ินฤดูกาลทีแ่ สดงภยั และสถานทีเ่ สี่ยงภยั ในรอบปี

5.2 แผนท่คี วามเส่ยี งภัยสถานศึกษา (School Risk Map)
การจัดทำแผนท่ีเสี่ยงภัยนั้นมีวัตถปุ ระสงค์เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจตรงกันถึงพื้นที่เสี่ยงภัย จุดเปราะบาง

จุดล่อแหลมและทรัพยากรต่างๆท่ีมีในพ้ืนที่ และใช้เป็นเคร่ืองมือช่วยในการวางแผน ในการทำแผนท่ีเสี่ยงภัย
จะทำเป็นแผนท่ีเฉพาะแสดงพื้นท่ีภายในสถานศึกษา หรือจะทำเป็นแผนที่ที่แสดงพ้ืนที่ใกล้เคียง เช่น ชุมชน
รอบร้วั สถานศกึ ษา หรอื พืน้ ที่อื่นๆกไ็ ด้ ขึ้นอยูก่ ับวตั ถุประสงค์ท่ตี ้องการ

ข้อแนะนำในการทำแผนทเ่ี สี่ยงภยั พิบัตธิ รรมชาติ

• แผนที่เสี่ยงภัยแสดงแผนผังของสถานศึกษา อาคารเรียน อาคารประกอบ แต่จะมีการใส่ข้อมูล
ความเสี่ยงภัยหรือข้อมูลภัยที่เคยเกิดภัยมาแล้วในอดีต ควรมีการระบุความเปราะบาง เช่น
ห้องเรียน หรืออาคารที่มีกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก เด็กพิการ หรือกลุ่มท่ีต้องได้รับความ
ช่วยเหลอื เป็นพเิ ศษ

• การทำแผนท่ีความเส่ียงภัยพิบัติธรรมชาติ อาจจะใช้แผนที่เหมือนกับแผนผังหนีไฟของ
สถานศึกษาก็ได้แต่ต้องพิจารณาผลกระทบของภัยและลักษณะของภัย หากเปน็ ภัยทเ่ี กดิ ขึ้นอย่าง
ฉับพลันทันที และสามารถใช้เส้นทางหนีภัยและจุดปลอดภัยที่อยู่ในแผนป้องกันอัคคีภัยได้ ก็
สามารถใชแ้ ผนทีร่ ่วมกนั ได้

• แผนท่ีเสี่ยงภัยอาจจะใช้เป็นแผนท่ีแสดงเส้นทางหนีภัยด้วยคือต้องระบุพื้นท่ีปลอดภัย เส้นทาง
อพยพ

• แผนที่เสี่ยงภัยสถานศึกษาอาจจะขยายไปถึงการแสดงอาณาเขตรอบสถานศึกษา หรือสภาพ
กายภาพของชุมชนแวดล้อม เช่น วัด โรงพยาบาล สถานีอนามัย ท่ีทำการองค์การบริหารส่วน
ตำบล สถานตี ำรวจ

• ในการทำแผนทีเ่ สยี่ งภัย ควรมกี ารเดนิ สำรวจสถานที่และควรให้นกั เรยี นได้เข้ามามีส่วนรว่ มกบั ครู
เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน หากเป็นการทำแผนท่ีท่ีครอบคลุมชุมชนรอบนอก ก็จะต้องมีการ
เดินสำรวจชุมชนและสัมภาษณ์คนในชุมชนถึงประวัติการเกิดภัย เส้นทางปลอดภัย และปัจจัย
แวดล้อมอ่ืนๆด้วย

• หากสถานศึกษามีนักเรียนพิการ ควรให้นักเรียนพิการได้เข้ารว่ มกระบวนการหาข้อมูลเพ่ือสืบหา
การรับรู้ความเสี่ยงของนักเรียนพิการ เพื่อจัดทำมาตรการและวางแผนท่ีเหมาะสมกับนักเรียน
พกิ ารต่อไป

โครงการลดความเสีย่ งภัยพิบตั ใิ นสถานศึกษา JICA

ตัวอย่างแผนทเ่ี ส่ียงภัยของสถานศึกษา

5.3 แผงผังวงกลม (Venn Diagram)
วิธีการน้ีสามารถใช้กับการระดมความคิดเพ่ือวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของผู้ท่ีเก่ียวข้อง (stake

holder mapping) เช่น การระบุหน่วยงานหรือองค์กรในพื้นที่ที่สามารถให้ความช่วยเหลือในการบริหาร
จดั การภัยพิบัติได้ โดยวางตำแหน่งหน่วยงานท่ีมีความสมั พันธ์ใกลช้ ิดและสามารถขอความชว่ ยเหลือไดร้ วดเร็ว
ไว้ใกล้ตำแหน่งของสถานศึกษา เปน็ ต้น วิธีน้ีจะทำให้มองเห็นท้ังความเปราะบางและศักยภาพของสถานศกึ ษา
ผา่ นเครอื ขา่ ย

5.4 การจัดลำดบั ภัยธรรมชาติท่ีมผี ลกระทบต่อสถานศกึ ษา
ในการจัดทำแผนบริหารจัดการภัยพิบัติธรรมชาติน้ัน ควรประเมินความเสี่ยงภัยธรรมชาติเพ่ือระบุ

ความเสี่ยงท่ียอมรับได้และความเส่ียงที่ยอมรับไม่ได้ สถานศึกษาสามารถใช้ตารางกำหนดความเสี่ยงและ
ตารางอ้างองิ ความถแี่ ละตารางอา้ งอิงคะแนนความเสีย่ งในการประเมินความเสย่ี งภยั

บทที่ 2 อาคารสถานทป่ี ลอดภัย

1.วตั ถุประสงค์
1.เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจการประเมินความเสี่ยงของอาคารสถานที่ สว่ นประกอบอาคาร
2.เพือ่ ให้เขา้ ใจหลกั การจัดพนื้ ทใี่ ชส้ อยในอาคารและสภาพแวดล้อม
3.เพอ่ื ให้สามารถจดั สภาพแวดลอ้ มการใช้พืน้ ที่ใหป้ ลอดภัย

2.หัวข้อการเรียนรู้
1.การประเมนิ ความปลอดภยั ของอาคารสถานท่ี
2.การเลอื กทตี่ ง้ั สถานศึกษาให้ปลอดภยั
3.ความเส่ียงต่อภัยพิบตั ขิ องอาคารเรียน อาคารประกอบ วัสดุ ครุภณั ฑ์ท่ีอยู่ในอาคาร
4.ความเสย่ี งของสภาพแวดล้อมภายนอกอาคารและระบบสาธารณูปโภค
5.การจดั สภาพแวดลอ้ มให้ปลอดภัย
6.การจดั สภาพแวดลอ้ มโดยคำนงึ ถึงการลดความเสี่ยงภัยพิบตั ิ
7.การจดั เส้นทางปลอดภัยและจดุ รวมพลเพื่อการหนีภยั ภายในโรงเรยี น
8.การจัดสง่ิ อำนวยความสะดวกเพอ่ื คนพิการ
9.ตวั อย่างการปรับปรงุ อาคารสถานท่ี

3. แบบประเมินเรือ่ งอาคารสถานท่ี (ศึกษาแบบประเมนิ )
1.สถานทีต่ ัง้
2.สภาพอาคารเรียน อาคารประกอบ (structural and non-structural) วสั ดุ ครุภัณฑ์ (ต้อง link

กฎหมายควบคุมอาคาร)
3.สภาพแวดลอ้ มภายนอกอาคาร (environment)
4.ระบบสาธารณูปโภค infrastructure นำ้ ไฟ ระบบระบายนำ้ ถนน ระบบส่ือสาร เสาไฟฟ้า
5.การประเมนิ การเข้าถงึ หรือการจดั สิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการ

หวั ข้อ : การประเมินความปลอดภัยของอาคารสถานที่

1. การประเมินความปลอดภยั ของอาคารสถานท่ี
สถานศึกษาถอื เป็นอาคารสาธารณะที่มผี ู้คนเป็นจำนวนมากเขา้ ไปใช้ในแต่ละวนั ไมว่ ่าจะเป็นนักเรียน

ครู ผู้ปกครอง ดังนั้น จึงมีการบัญญัติการควบคุมการก่อสร้างและการใช้อาคารเรียนไว้ในกฏหมายควบคุม
อาคาร โดยกฎหมายควบคุมอาคารน้ันมีผลใช้กับ “โรงเรียนและสถานศึกษา ซึ่งเป็นสถานที่อบรมให้การศึกษา
แก่เยาวชนของ ประเทศเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพจนสามารถเป็นฐานการพัฒนาประเทศ ดังน้ัน อาคารของ
โรงเรียน และสถานศึกษาต่างๆ จึงจะต้องมีการก่อสร้างให้ถูกต้องและเป็นไปตามหลักการวิชาการและตาม
กฎหมายควบคุมอาคารกําหนดตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับปริญญา”ผู้บริหารสถานศึกษาควรปรึกษาผู้เช่ียวชาญ
ด้านกฏหมายควบคุมอาคาร และควรศึกษาระเบียบกระทรวงศึกษาธิการท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือการวางแผนการ
ออกแบบ การก่อสรา้ ง และการจัดทำงบประมาณเพ่อื การปรบั ปรงุ แก้ไขอาคารเรียน
1.1 การเลือกที่ตงั้ สถานศึกษาใหป้ ลอดภัย

สถาน ศึกษาจะต้องต้ังอยู่ใน พื้นป ลอดภั ยและต้องเลือกพื้ นท่ีป ลอดภัยในการก่อสร้างอาคารเรี ยน
อาคารประกอบ หรือสถานท่ีสำหรับกิจกรรม แม้ว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่จะสร้างไว้นานแล้ว ควรจะมีการ
ตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่และพ้ืนท่ีโดยรอบอยู่ตลอดเวลา เพราะความเสี่ยงภัยพิบัติย่อมเปล่ียนไป
ตามการเปลยี่ นแปลงสภาพแวดล้อม ตวั อยา่ งเชน่ กรณี สถานศกึ ษาตง้ั อยู่ติดกบั ทางลาดไหล่เขา เมอ่ื เกิดฝนตก
หนกั ต่อเนือ่ ง สภาพดินไมส่ ามารถอุม้ น้ำตอ่ ไปได้ ทำให้เกิดดนิ สไลด์ ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้

ตัวอยา่ งข้อพจิ ารณาในการเลือกพื้นทสี่ ร้างสถานศึกษาและอาคาร ได้แก่

• พ้นื ทีส่ ร้างอาคารควรทีจ่ ะเปน็ ท่สี งู น้ำทว่ มไมถ่ งึ โครงสรา้ งชัน้ ดนิ แข็งแรง ไมม่ ที างน้ำไหลผา่ นใต้ดนิ

• ทีต่ ้งั ของสถานศึกษาควรห่างจากแหลง่ มลพิษ เชน่ โรงงาน นคิ มอุตสาหกรรม สนามบิน บอ่ ขยะ

• สถานท่ีต้ังของสถานศึกษาควรอยู่ติดหรือไม่ไกลจากเส้นทางจราจรหลักเพื่อให้ควบคุมดูแลนักเรียน
และรักษาความปลอดภัย แต่ควรมีประตสู ำรองสำหรับใชเ้ ม่ือเกดิ เหตฉุ ุกเฉนิ

1.2 ความเส่ียงต่อภยั พิบตั ขิ องอาคารเรยี น อาคารประกอบ วัสดุ ครุภัณฑท์ ี่อยู่ในอาคาร

ตัวอยา่ งลกั ษณะความเสยี่ งของพนื้ ท่ีภายในอาคารเรยี น

• ทางเดินหรือบันไดทางข้ึนอาคารที่แคบ ไม่มีราวจับ เม่ือจำเป็นต้องอพยพฉุกเฉิน ผู้คนต้องรีบเดินข้ึน
หรือลงอย่างรวดเร็ว อาจมีการล่ืนพลัดตกหกล้ม และในกรณีท่ีมืด มองไม่เห็นทาง หรือกรณีผู้พิการ
ทางสายตา การมรี าวจับตามบนั ไดจะชว่ ยนำทางและช่วยการทรงตวั

• ช่องลมหรือช่องทางเดินท่ีมีการถ่ายเทอากาศไม่ดี เมื่อเกิดไฟไหม้ ควันไฟจะลอยไปตามทางเดิน ช่อง
ลม และห้องต่างๆ อย่างรวดเรว็ และไม่ระบายออก

• สายไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้รับการดูแล ติดต้ังผิดแบบ หรือมีการใช้งานไม่เหมาะสม
จะทำให้เกดิ ไฟไหม้ได้งา่ ย

• ตู้หรือชัน้ วางหนังสือสูงที่ไม่มีการยดึ ติดกบั ฝาผนงั อาจจะล้มลงมาทับครูหรือนักเรียน สิง่ ของท่ีวางไวท้ ่ี
สูงและอาจจะตกหล่นลงมาโดนศรี ษะ โดยเฉพาะเวลาเกดิ เหตแุ ผน่ ดินไหว หรือเกิดพายุรนุ แรง

• ประตูหรือหน้าต่างท่ีมีบานเปิดเข้าข้างในจะให้การหนีภัยฉุกเฉินไม่สะดวกควรติดต้ังบานประตูท่ีผลัก
ออก และเป็นการป้องกันน้ำ แบบเดียวกับธรณีประตูคือ เม่ือเป็นแบบเปิดออก จะทำให้ด้านนอกต่ำ
กว่าด้านใน หากมฝี นตกสาด นำ้ ก็จะไหลออกไปขา้ งนอก

• หน้าต่างหรือประตูท่ีเป็นบานกระจก มีโอกาสแตกเพราะแรงลม ไม่ว่าจะเป็นพายุฤดูร้อน พายุหมุน
เขตร้อน ลูกเห็บ หรือเศษก่ิงไม้วัสดุสิ่งของท่ีลมพัดมากระแทกบานกระจก ทำให้คนท่ีอยู่ใกล้ประตู
หน้าตา่ งได้รับอนั ตรายจากเศษกระจกแตก

• ผนังอาคารและเสาท่ีไม่ได้มาตรฐาน หรือมีอายุการใช้งานมานาน อาจจะมีร่องรอยปลวกกิน มีน้ำ
ร่ัวซึมทำให้ชื้นและขึ้นรา ใกล้หมดสภาพการใช้งานอาจจะพังถล่มเม่ือถูกลมพายุ หรือเม่ือแช่น้ำเป็น
เวลานาน หรอื เมื่อไดร้ บั แรงส่ันสะเทือน ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี

1.3 ความเสี่ยงของสภาพแวดลอ้ มภายนอกอาคารและระบบสาธารณปู โภคเมื่อเกิดภยั ธรรมชาติ

• สถานศึกษาอยู่รมิ น้ำแต่ไม่มรี ัว้ กั้น เมอ่ื เกดิ ฝนตกนำ้ ท่วมทำใหก้ ระแสน้ำไหลทะลักเข้าพ้ืนท่ี

• ถนนหนทางก่อนถึงสถานศึกษาไม่มีทางเดินเท้าที่ปลอดภัย นักเรียนต้องเส่ียงอันตรายในการเดินทาง
ไปและกลับ

• ประตูทางเข้าสถานศึกษามีช่องทางเดียวและไม่กว้างพอสำหรับยานหานะขนาดใหญ่ เช่น รถ
บัส รถบรรทุกที่ใช้ในการอพยพรถดับเพลิง และไม่มีพ้ืนท่ีจอดรถสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น
รถพยาบาล

• มีต้นไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณารอบบริเวณสถานศึกษาอาจจะโค่นล้มเมื่อเกิดพายุ ควรพิจารณา
หาทางแก้ไข เช่น ตัดเล็มกิ่งไม้ท่ีผุ แจ้งหน่วยงานที่ดูแลเสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณาให้แก้ไข ควรมีการติด
ปา้ ยเตือนนักเรียนให้ระวัง

• บ่อน้ำทไ่ี มม่ ีส่ิงกดี ขวาง ไม่มีป้ายเตอื น ทำใหเ้ กิดอันตรายจากการตกนำ้ จมน้ำ หรือทำให้มองไม่เหน็ ว่า
เป็นบ่อนำ้ เวลาเกิดนำ้ ทว่ มสงู จนเป็นระดับเดียวกนั

• ท่อระบายน้ำที่เล็กเกินไป ไม่มีตะแกรงกันเศษขยะ เศษดินโคลนทำให้อุดตัน เวลาเกิดฝนตกน้ำไม่
สามารถระบายไดด้ ี ทำใหเ้ กิดนำ้ ทว่ มขังในพน้ื ที่และอาคารเรยี น

• เตาเผาขยะ หรือพ้ืนท่กี ักเก็บขยะ ปฏิกลู อยู่ใกล้อาคาร มีโอกาสที่จะเกิดการปนเป้อื นในอาหาร นำ้ ด่ืม
น้ำใช้ หรือเกดิ มลพษิ ทางอากาศไดง้ ่าย

หัวข้อ : การจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย

2. การจัดอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม
อาคารเรยี นหรืออาคารประกอบเป็นสิ่งกอ่ สร้างถาวร และย่อมเกิดการชำรุดทรุดโทรมไปตามเวลา จึง

ต้องรับการบำรงุ รกั ษาอยเู่ สมอและดูแลให้สามารถรับน้ำหนักของนักเรียนและสิ่งของตา่ งๆในอาคาร เพ่ือไม่ให้
เกดิ อุบตั เิ หตใุ นขณะใช้งานปกตแิ ละสถานการณ์เก่ียวกับภยั ธรรมชาติ สถานศึกษาจะต้องดำเนินการตรวจสอบ
โครงสร้างและส่วนประกอบอาคาร ตลอดจนอุปกรณ์ตา่ งๆท่ีตดิ ต้ังไวอ้ ย่างสม่ำเสมอ หากพบความผดิ ปกติ ตอ้ ง
สั่งปดิ อาคารและประกาศเป็นเขตหวงหา้ ม หรือเขตอนั ตราย หา้ มเข้าใช้เด็กขาด จนกว่าจะมีการซ่อมแซม หรือ
อาจจะจำเป็นตอ้ งร้อื ถอนอาคาร หากซ่อมแซมไมไ่ ด้
2.1 การจดั สภาพแวดล้อมโดยคำนึงถึงการลดความเส่ียงภยั พบิ ตั ิ

• ถนนทางเข้าออกในโรงเรียน ควรจัดให้เอื้ออำนวยต่อการอพยพและการเข้าออกของรถพยาบาล
รถดับเพลิง ควรมจี ุดจอดรถทสี่ ำรองไวส้ ำหรบั รถฉุกเฉนิ โดยเฉพาะ

• ทางเข้าออกทุกทางควรสร้างทางลาดไว้ด้วยเพ่ือความสะดวกในการใช้รถเข็นน่ัง รถพยาบาล เตียง
พยาบาลในกรณที ่ีมผี ู้บาดเจบ็ ท่ตี อ้ งเคลื่อนยา้ ยดว้ ย

• ในกรณีฉุกเฉินท่ีต้องรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ควรจัดพ้ืนที่หน้าโรงเรยี นสำหรับผู้ปกครองมา
รอรับบุตรหลาน ไม่ควรให้ผู้ปกครองเข้ามาในบริเวณสถานศึกษาหรือข้ึนไปรับบุตรหลานในอาคารถ้า
ไมจ่ ำเป็น

• จุดรวมพลของสถานศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นพื้นทีสนามหญ้าหน้าอาคาร ต้องคำนึงถึงการเข้าถึงของ
นักเรียนและเจ้าหน้าที่กู้ภัย ซึ่งอาจจะมีทั้งพ้ืนที่ปฐมพยาบาล พ้ืนที่อำนวยการ พ้ืนท่ีกู้ภัย พ้ืนที่ที่เป็น
จุดรวมพลและเส้นทางไปยังจุดรวมพลต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ไม่มีเคร่ืองเล่น ไม่มีร้ัว ไม่มีการปลูก
ต้นไมข้ วางทางเข้าออกจุดรวมพล

• ารใชพ้ ื้นท่ีอาคารเพ่ือการเรยี นและการจัดกิจกรรมต่างๆ ควรมีการจัดการใช้พ้ืนที่ให้เป็นระเบียบ เช่น
จั ด ก าร ใช้ พื้ น ท่ี ให้ มี ก าร สั ญ จ ร ไป ใน ทิ ศ ท า งเดี ย ว กั น ด้ ว ย ก า ร ก ำ ห น ด ก า ร เดิ น ชิ ด ข ว าห รื อ ชิ ด
ซา้ ย ทางเดินกวา้ งเพียงพอ มีไฟฉุกเฉินตลอดทางเดิน ในจดุ ที่เปน็ อันตรายตอ้ งมีป้ายสญั ลกั ษณ์ ป้าย
เตือน เช่น ป้ายทางหนีไฟ ควรมี แผนผังอาคารเรียนพร้อมเส้นทางอพยพและจุดรวมพลติดตั้งไว้ทุก
ชั้น เปน็ ตน้

• บางพื้นที่ในอาคารเรียนอาจจะมีวัตถุอันตราย เช่น เคร่ืองมือที่เป็นของมีคม สารเคมีใน
ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ในห้องเรียนคหกรรม อาจจะมีแก๊ส ตู้อบ น้ำมัน ควรมีการเก็บของให้

มิดชิดเรียบร้อยและมีป้ายติดเพ่ือแนะนำการใช้งานและเตือนอันตราย ควรมีเครื่องดับเพลิงติดไว้ใน
ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และห้องคหกรรม มีการอบรมให้ใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกวิธี
โดยเฉพาะปลั๊กไฟ เตา้ เสียบ สายไฟ และตอ้ งมกี ารติดต้งั ระบบตดั ไฟ หรือระบบป้องกันฟ้าผา่

• ในกรณีท่ีมีเครื่องมือการเกษตรและเครื่องมือช่าง เช่น มีด จอบ พลั่ว ชะแลง สว่าน เล่ือย ต้องมีการ
ตรวจสอบเคร่ืองมือและอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ หากชำรุดให้ซ่อมแซมหรือเปล่ียน และเก็บให้เป็น
ระเบียบเรียบร้อย ในกรณีเกิดภัยพิบัติ อุปกรณ์การเกษตรและอุปกรณ์ช่างเหล่านี้สามารถนำมาใช้
ประโยชนไ์ ด้

• ในกรณที ม่ี บี อ่ น้ำในโรงเรยี น ตอ้ งมปี ้ายเตอื นอนั ตรายหรอื จดั ใหม้ ีรว้ั รอบขอบชดิ

2.2 การจัดเส้นทางปลอดภัยและจดุ รวมพลเพ่ือการหนีภัยภายในโรงเรียน
ในกรณีเกิดภัยพิบัติในสถานศึกษา โดยเฉพาะในขณะที่มีนักเรียนเรียนอยู่ นักเรียนอาจจะตกใจ เกิด

ความสับสนอลหม่านกับสถานการณ์ท่ีไม่คาดคิด จึงต้องวางมาตรการป้องกันอุบัติเหตุท่ีจะเกิดข้ึนอันเป็นผล
ตามมาด้วย เช่น การผลัดตก หกล้ม โดนของมีคม ซึ่งการจัดพื้นที่การใช้งานก็จะช่วยให้ลดความเส่ียงท่ีจะเกิด
อุบัติเหตุดงั กลา่ วได้

หลักการจัดเสน้ ทางอพยพและจดุ รวมพล

1. ทางเดินต้องกว้างและพน้ื ต้องทนต่อความร้อน

2. โครงสรา้ งบริเวณเส้นทางหนภี ัย ตอ้ งทนไฟไดแ้ ละมีความแข็งแรงเพื่อไมใ่ ห้คานถลม่ มา

3. บันไดต้องออกแบบมาสำหรับการหนีหรืออพยพคนไปยังทางออก และมีราวจับเพ่ือนำทางมายังชั้น
ล่าง

4. ไม่มสี ่งิ ของทีเ่ ปน็ เชอื้ เพลิงหรือมสี ่ิงของ เฟอรน์ ิเจอร์ วางอยูใ่ นเส้นทางอพยพ

5. ห้ามคล้องโซ่กุญแจที่ประตูหนีไฟช้ันล่างโดยเด็ดขาด หรือหากมีการคล้องกุญแจ ต้องมีผู้รับผิดชอบ
เปิดประตทู นั ทที มี่ สี ญั ญานเตอื นภัย

6. มีอปุ กรณ์ดับเพลิงตงั้ ตามจดุ ตา่ ง ๆ

7. มเี ครอ่ื งหมายหนีไฟ หรอื เคร่อื งหมายเสน้ ทางอพยพตามเส้นทาง

8. มไี ฟฉกุ เฉนิ ตามเส้นทางหนไี ฟทส่ี ว่างเพยี งพอเพราะเวลาเกิดอัคคีภยั ควนั จะทำใหม้ องเห็นไม่ชดั เจน

9. ในกรณีท่ีสถานศึกษามีนักเรียน ครู หรือบุคลากรท่ีมีความพิการ จะต้องสอบถามถึงความช่วยเหลือท่ี
จำเป็นเม่ือเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น คนพิการบางคนอาจไม่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษแต่บางคน
อาจไม่สามารถเดินขึ้น-ลงบันไดได้ บางคนอาจไม่สามารถมองเห็นสัญญาณความปลอดภัยจาก
อคั คีภัย บางคนมีปัญหาในการค้นหาทางออกหรือไม่สามารถได้ยินสัญญาณเตือนภัย หรืออาจจะไม่
เข้าใจการเตือนภัย จึงต้องจัดเส้นทางอพยพท่ีมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพ่ือช่วยให้คนพิการสามารถ
อพยพได้อย่างปลอดภยั

10. พื้นที่รวมพลที่ปลอดภัย ควรเป็นพ้ืนท่ีกว้าง เช่น สนามหน้าอาคารเรียน หากเป็นการอพยพจากภัย
น้ำป่าไหลหลาก จุดรวมพลจะต้องเป็นที่สูง หากเป็นวาตภัย ก็จะต้องกำหนดพื้นท่ีปลอดภัยในอาคาร
เรยี น

11. การกำหนดจุดรวมพล หรือจุดปลอดภัยที่พานักเรียนมารวมตัวกันน้ัน จะต้องมีการจัดระเบียบพ้ืนที่
ด้วยโดยกำหนดให้พื้นที่ตามห้องเรียน เพื่อง่ายต่อการนับจำนวนและตรวจสอบผู้สูญหาย และควรมี
พ้ืนที่สำหรับปฐมพยาบาล พื้นที่อำนวยการ และพื้นท่ีสำหรับรองรับผู้ปกครองท่ีมารับบุตรหลานใน
กรณีฉุกเฉินด้วย
สถานศกึ ษาควรตดิ ตั้งปา้ ยทแี่ สดงความปลอดภยั ไว้อย่างชัดเจน เชน่ ป้ายเก่ยี วกับอุปกรณ์ดบั เพลิง

ป้ายทางหนีไฟ

2.3 การจดั สิ่งอำนวยความสะดวกเพ่ือคนพกิ าร
กฎกระทรวงกําหนดสิ่งอํานวยความสะดวกในอาคารสําหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และ

คน ชรา พ .ศ. 2548 ระบุ ว่า “ส่ิ งอําน วยความ สะดวกสําห รับ ผู้พิ การห รือทุ พ พ ลภ าพ และ
คนชรา” หมายความว่า ส่วนของอาคารท่ีสร้างขึ้นและอุปกรณ์อันเป็นส่วนประกอบของอาคารท่ีติดหรือ
ต้งั อย่ภู ายในและ ภายนอกอาคารเพ่ืออํานวยความสะดวกในการใช้อาคารสําหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และ
คนชรา

ดังนัน้ ผบู้ ริหาร ครแู ละเจ้าหนา้ ทจ่ี ำเป็นตอ้ งมีความตระหนกั รู้ถึงสิทธิการเข้าถึงของคนพกิ ารอย่างไมม่ ี
การเลือกปฏิบัติตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ต้องมีการจัดส่ิงอำนวยความสะดวกเพ่ือการเข้าถึง รวมท้ังข้อมูลและ
วิธีการสื่อสาร ระบบการช่วยเหลือ และวัสดุและอุปกรณ์ ท่ีจำเป็นสำหรับเด็กพิการในระหว่างสถานการณ์
ฉุกเฉิน โดยต้องคำนึงถึงความแตกต่างในความพิการของนักเรียนเป็นรายบุคคล รวมท้ังครู บุคลากร และ

เจ้าหน้าที่ท่ีมีความต้องการจำป็นพิเศษ ในการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสถานที่นี้ จะต้องคำนึงถึงการใช้
สถานศึกษาเป็นศูนย์พักพิงสำหรับคนพิการด้วย วิดีโอต่อไปนี้อธิบายสิทธิของคนพิการและการจัดส่ิงอำนวย
ความสะดวกเพ่อื คนพิการ

การจดั พ้นื ท่ีและส่งิ อำนวยความสะดวกทางกายภาพท่ีจำเป็นสำหรบั คนพิการ ไดแ้ ก่
1) พื้นท่ีสำหรับรถเข็นน่ังหรือรถเข็นวีลแชร์ ประตูทางเข้าสำหรับรถเข็นวีลแชร์ควรกว้างไม่ต่ำกว่า 90 ซม.
ชอ่ งทางเดิน ควรมคี วามกวา้ งไม่ต่ำกว่า 90 ซม.เช่นกนั ส่วนพื้นท่ีสำหรบั หมุนรถเข็นนั่งจะตอ้ งมีความกวา้ งยาว
อยา่ งนอ้ ย 150 ซม. ดงั รปู

2) ทางลาดสำหรับรถเข็นน่ัง ทางลาดข้ึนอาคารต้องมีสัดส่วนความยาวอย่างน้อย 1:12 เมตร
กล่าวคือ หากมีความสูง 1 เมตร จะต้องมีทางลาดยาว 12 เมตรเพื่อให้เกิดความชันของทางลาดประมาณ 10
องศา ซึ่งทางลาดน้ีอาจจะออกแบบให้มีจุดพักที่ก่ึงกลางหรือทุก 6 เมตร ทางลาดต้องมีความกว้าง 90 ซม.
และมีราวจับ 2 ขา้ ง

3) ห้องน้ำสำหรับคนพิการ ในการออกแบบห้องน้ำเพ่ือคนพิการ ซึ่งประกอบด้วยห้องน้ำ ที่อาบน้ำ
ห้องส้วม และอา่ งล้างมือ มกี ารกำหนดมาตรฐานไว้ คือ

• ประตหู ้องนำ้ ที่จัดให้คนพิการควรเป็นบานเลื่อน กวา้ งอย่างน้อยกวา่ 90 เซนตเิ มตร เปดิ ค้างไดไ้ ม่นอ้ ย
กว่า 90 องศา ไมม่ ธี รณีประตู ถา้ เปน็ พืน้ ต่างระดบั ตอ้ งไม่เกนิ 2 เซนตเิ มตร

• มีราวจับจากประตูทางเข้า ไปยังที่อาบน้ำ และห้องน้ำ ราวจับสูงไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร และ
แขง็ แรงพอทจี่ ะรับน้ำหนกั ได้

• พื้นห้องน้ำใช้วัสดกุ ันลืน่ พ้ืนทอ่ี าบนำ้ มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่นอ้ ยกว่า 1.50 เมตร เพื่อใหร้ ถเขน็ สามารถ
หมนุ ตัวได้

• ส่ิงของ เคร่อื งใช้ อุปกรณภ์ ายในทอ่ี าบนำ้ ให้สงู จากพนื้ ความสูงระหว่าง 0.25 – 1.20 เมตร

• พื้นทภ่ี ายในหอ้ งสว้ ม กว้างยาวไมน่ อ้ ยกวา่ 1.50-1.70 เซนติเมตร

• ตดิ อกั ษรเบรลล์ เพอ่ื ให้คนตาบอดไดท้ ราบว่าเป็นหอ้ งน้ำหญงิ หรือชาย ไว้บริเวณท่ีใกล้ประตู

• ทาสีกรอบประตดู ้วยสสี ว่าง เช่น สีเหลอื งเพื่อให้คนสายตาเลอื นรางสังเกตได้

• ติดต้ังสญั ญาณไฟสำหรับเตือนภัยสำหรับผู้พกิ ารทางหู หรือสัญญาณสำหรับส่ือความหมายอื่น ๆ ไว้ใน
ห้องน้ำ

บทท่ี 3 การจัดการภัยพิบตั ใิ นสถานศึกษา

1.วตั ถุประสงค์
1.เพื่อให้เข้าใจแนวคิดทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการจัดการภยั พิบตั ิในสถานศกึ ษา
2.เพ่ือใหเ้ พื่อใหเ้ ขา้ ใจหลักการและสามารถทำแผนบรหิ ารจัดการภัยพิบตั ิในสถานศึกษาได้อยา่ ง

ถกู ต้อง
3.เพอ่ื ให้เขา้ ใจวิธีการจดั ซ้อมอพยพและสามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ในสถานศึกษา
4.เพือ่ ให้เขา้ ใจทักษะในการตัดสนิ ใจและสามารถเผชญิ เหตุฉุกเฉนิ ได้เบอื้ งตน้
5.เพื่อให้เข้าใจหลกั การจดั ท่ีพักพิงช่วั คราวในสถานศึกษา
6.เพื่อใหเ้ ข้าใจความจำเป็นในการให้การคุม้ ครองเด็กในสถาณการณ์ภัยพิบัติ
7.เพื่อให้เขา้ ใจความจำเป็นในการจัดการเรยี นการสอนใหต้ ่อเนื่องในสถานการณภ์ ยั พิบัติ

2.หัวขอ้ การเรียนรู้
1. กลไกในการจัดการภยั พบิ ัติในสถานศึกษา
1.1 แนวทางการประเมินความเปราะบางและศักยภาพ
1.2 แนวทางการตดั สนิ ใจสำหรับผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
1.3 หน่วยงานทเ่ี ก่ียวข้องกับการป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัย
2. การดำเนินการตามแผน
2.1 มาตรการลดความเสย่ี งภัยพบิ ตั ิในสถานศึกษา
2.2 แผนการแจง้ เตือนภยั และอพยพ
2.2.1 องคป์ ระกอบของแผน
2.2.2 ระบบเตอื นภยั ท่ีมีเดก็ เป็นศนู ย์กลาง
2.2.3 วิธีการปฏิบตั ินการอพยพ
2.2.4 การจดั กระเปา๋ ฉกุ เฉนิ ประจำห้องเรียน
2.3 การซ้อมแผนเตือนภยั และอพยพ (วิดโี อจาก save the children)
2.3.1 กระบวนการซ้อมแผนอพยพ
2.3.2 การประเมินผลการซอ้ ม
2.4 การใช้สถานศึกษาเป็นศนู ย์พักพงิ ช่วั คราวสำหรบั ผ้ปู ระสบภยั
2.5 การจัดการเรยี นการสอนใหต้ อ่ เน่ืองในสถานการณ์ภัยพิบัติ
2.6 การคุ้มครองเดก็ ในสถานการณภ์ ยั พิบัติ
2.7 การปฐมพยาบาล
2.8 การประเมนิ ผลตามแผนบริหารจดั การภัยพบิ ัติ
2.9 มาตรฐานการปฏิบัตเิ ม่ือเกดิ ภยั

หวั ข้อ : กลไกในการจัดการภยั พิบัติในสถานศึกษา

1. กลไกการจดั การภยั พิบัตใิ นสถานศกึ ษา
ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดการภัยพิบัติในสถานศึกษามีบทบาทเป็นแกนนำในการวางแผน เฝ้า

ระวงั เตรียมพรอ้ ม และดำเนินกิจกรรมด้านความปลอดภัยรอบด้านในสถานศึกษา รวมถึงจัดการก่อน ระหวา่ ง
และหลังเกดิ ภัยพิบัตหิ รือเหตุฉกุ เฉินในโรงเรยี น รวมทง้ั ตดิ ตามและประเมินผล

ขอ้ ควรคำนงึ ในการจดั ตงั้ คณะกรรมการความปลอดภยั รอบดา้ น มดี ังน้ี

• ให้นักเรียนมีส่วนร่วม (โดยเฉพาะนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หรืออายุ 13 ปีขึ้นไป) พร้อม
กับผู้ที่เก่ยี วข้องอ่ืน ๆ
o ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา
o ผูแ้ ทนนกั เรยี น
o คณะกรรมการสถานศึกษา
o ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ผ้นู ำชุมชน ปราชญช์ าวบ้าน
o หนว่ ยงาน/องค์กรที่เกยี่ วขอ้ งอน่ื ๆ ในพนื้ ที่ เชน่ หนว่ ยงานด้านอนามัย องคก์ รพัฒนาเอกชน

• จัดตั้งเกณฑใ์ นการคัดเลือก/เลือกตั้งผู้ทีจ่ ะมาเปน็ คณะกรรมการฯ
• คดั เลือก/เลอื กตงั้ คณะกรรมการฯโดยความยินยอมของผไู้ ด้รบั การเสนอช่ือ
• คณะกรรมการแตล่ ะฝ่ายควรมีสมาชกิ ทั้งเพศหญิงและชาย
• มโี ครงการเสริมสร้างศกั ยภาพให้แกค่ ณะกรรมการแต่ละฝ่าย เช่น โดยการจัดอบรมในโรงเรยี น การส่ง

ผู้แทนเข้ารว่ มโครงการอบรมนอกสถานที่

องค์ประกอบของคณะกรรมการ

คณะกรรมการฯอาจแบง่ หนา้ ท่ีกนั ไดห้ ลายฝา่ ย แต่การดำเนนิ การจะต้องทำเป็นทมี และมีการประชมุ
หารือกนั อย่างสมำ่ เสมอ โดยแต่ละฝา่ ยทำการบา้ นในสว่ นงานของตนมาล่วงหน้า ฝา่ ยหรือคณะย่อย อาจแบ่ง
ตามหนา้ ที่และความรับผิดชอบดงั น้ี

หนา้ ท่แี ละความรบั ผดิ ชอบของคณะกรรมการ (สามารถปรบั ไดต้ ามความเหมาะสม)

ลำดับ ตำแหนง่ หนา้ ที่ความรับผิดชอบ

• ฝ่ายอำนวยการ • ประสานงานกบั สมาชิกในทีม
• มอบหมายงานให้สมาชิก
• ตรวจสอบและยืนยนั ข่าวสารเก่ียวกบั ภัยพิบัติทไ่ี ด้รับ
• แจ้งเตอื นฝ่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย

• ฝ่ายประชาสัมพนั ธ์ • หาความร้เู กีย่ วกบั ภัยและการป้องกนั ภยั มาเผยแพร่
ผา่ นการกระจายเสยี ง หรือเอกสารเช่น โปสเตอร์
หนังสอื หรือส่ือต่าง ๆ

• ฝา่ ยเฝา้ ระวงั และแจง้ เตือนภยั • จัดเวรยามเฝ้าระวงั สถานการณภ์ ัย เช่น บนั ทึก
ปริมาณนำ้ ฝนเมื่อฝนตกหนัก

• แจ้งเตอื นภัยเมื่อมีแนวโนม้ วา่ จะเกิดภยั

• ฝ่ายอพยพ • ระบุพน้ื ที่ปลอดภยั สำหรบั รวมพล

• กำกบั ดูแลการอพยพใหเ้ ป็นไปอย่างรวดเรว็ ปลอดภัย
และเปน็ ระเบยี บ

• นบั จำนวนคนและรายงานนักเรยี นท่ีสูญหาย

• ตดิ ตง้ั แผนทเี่ สน้ ทางอพยพในแตล่ ะห้องเรียน หรอื ใน
ทีท่ ีน่ กั เรยี นสามารถเห็นไดท้ ุกคน

• ฝ่ายสถานท่ี • ปรับปรุงพ้ืนทีใ่ นโรงเรยี นให้มีความปลอดภยั

• จัดเตรยี มสถานท่ีอพยพให้พร้อมใชง้ านและมีระบบ
สาธารณูปโภคและสิง่ อำนวยความสะดวกตามความ
จำเปน็

ลำดบั ตำแหนง่ หนา้ ท่ีความรบั ผิดชอบ

• ฝา่ ยเสบยี งและอุปกรณ์ • เตรียมเสบยี งอาหาร เชน่ ข้าวสาร อาหารแหง้ น้ำดืม่
ในกรณฉี ุกเฉิน หรือมีการอพยพ

• จัดเตรยี มสัญญาณเตอื นภยั แต่ละจดุ (กร่ิง ,โทรโขง่
ฯลฯ)

• รูจ้ ักวธิ ีใชเ้ คร่ืองมือตา่ งๆ ท่ีใช้ในยามฉกุ เฉนิ เชน่ ถงั
ดับเพลิง

• ฝา่ ยปฐมพยาบาล • ใหก้ ารปฐมพยาบาลเบ้อื งต้นแกผ่ ู้ได้รบั บาดเจ็บกอ่ น
ส่งตอ่ ไปโรงพยาบาล

• เตรยี มวัสดอุ ปุ กรณท์ ีใ่ ชใ้ ห้พร้อมใชง้ าน

• ฝา่ ยปฐมพยาบาลควรมีความรู้เบื้องต้นดา้ นการปฐม
พยาบาล เชน่ เปน็ ครูประจำห้องพยาบาล หรอื ได้รับ
การฝกึ อบรมมากอ่ น

• ฝา่ ยประสานงาน • แจ้งเหตุภัยของชมุ ชนให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องทราบ
เพอื่ ขอรับการช่วยเหลือด้านต่าง ๆ

• ฝ่ายงบประมาณ • จดั สรรงบประมาณ
• สรุปรายรับรายจา่ ย

• ฝ่ายติดตามประเมนิ ผล • ประเมินผลการจดั กจิ กรรม
• สรปุ ผล/รายงาน

• เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข

1.1 การประเมนิ ความเปราะบางและศักยภาพเพ่ือการวางแผน

ในการประเมินความเสี่ยงภัยธรรมชาติ สามารถหาได้จากเครื่องมือประเมินความเสี่ยงที่ให้ไว้ใน

Module 0 เพื่อระบุภัยธรรมชาติที่ต้องจัดการทำแผน และต้องประเมินความเส่ียงของอาคารสถานที่ท่ีให้ไว้

ใน Module 1 นอกจากน้ี ยังต้องมีการประเมินความเปราะบางและศักยภาพของสถานศึกษาท้ังสามด้านเพื่อ
การวางแผนบรหิ ารจัดการทเี่ หมาะสมกับบริบท

ข้อพิจารณาในการประเมนิ ความเปราะบาง มดี ังนี้

ขอบเขตการประเมิน ประเดน็ พจิ ารณา

จำนวนครตู ่อจำนวน • จำนวนนักเรยี น ชาย หญิง
นักเรียน และ
ความสามารถในการดูแล • จำนวนนักเรยี นพิการ

เสาหลกั ท่ี 1 อาคาร • ระดับช้ันเรียนและอายขุ องนักเรยี น
สถานที่และสาธ
ารณูปโภค • จำนวนนกั เรยี นท่สี ามารถช่วยเหลือตวั เองไดเ้ มื่อเกิดเหตุการณ์ภยั
ธรรมชาติ และจำนวนนกั เรยี นทต่ี อ้ งการความชว่ ยเหลือ

• จำนวนครู ผดู้ แู ล และบุคลากร ตอ่ จำนวนนกั เรียน

• จำนวนครูทสี่ ามารถดูแลนกั เรียนไดเ้ ม่ือเกดิ เหตุภัยพบิ ัติฉุกเฉนิ

• จำนวนผปู้ กครอง และคนในชุมชนใกล้เคียงทส่ี ามารถระดมความ
ช่วยเหลอื ไดท้ ันทที ี่เกิดเหตุ

• อาคารเรียนสามารถรองรบั นักเรยี นเมื่อเกดิ เหตุ

• อปุ สรรคเร่อื งการเข้าถึง เชน่ ถนนไมด่ ี สะพานไม่แขง็ แรง ประตูทางเขา้
แคบ ทำให้ความชว่ ยเหลอื จากภายนอกเขา้ ไม่ถึงนักเรยี น

• อนั ตรายจากสิ่งทไี่ ม่ใชโ่ ครงสร้างอาคาร เช่น ประตู หน้าต่าง บนั ได ผนัง
ก้ันห้อง ท่อน้ำทิ้ง เฟอร์นิเจอร์ อปุ กรณ์ตา่ งๆ ท่ีอาจจะหลน่ มาทบั นักเรยี น
ขณะเกิดเหตุ หรือขณะอพยพ หรอื ในขณะหลบภยั

• น้ำด่ืม นำ้ ใช้เพยี งพอและปลอดภยั จากการปนเป้ือน

• ไฟฟ้า แสงสว่าง เพียงพอ

• อุปกรณส์ ่ือสารมีอะไรบา้ งและมีอุปสรรคของระบบสือ่ สารอะไรบ้าง

ขอบเขตการประเมิน ประเด็นพิจารณา

เสาหลักท่ี 2 การบริหาร • ทกุ คนในสถานศึกษามคี วามรู้และทักษะต่อไปนีห้ รอื ไม่
จดั การภยั พิบตั ใิ น
สถานศกึ ษา o การเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตภุ ัยพบิ ัตธิ รรมชาติทส่ี ถานศึกษาระบุไว้
วา่ เป็นความเสีย่ ง เช่น หากเกิดเหตุแผน่ ดินไหว ต้องรู้จักหลบใต้
โต๊ะ คุมศีรษะและยึดเกาะให้แน่น หรือรจู้ กั สามเหล่ยี มช่วยชีวติ
หรอื รวู้ ่าเมอ่ื ออกจากอาคารแลว้ ต้องไมว่ ่ิงกลับเข้าไป เป็นต้น

o วิธีออกจากอาคารเมื่อเกิดอัคคภี ัยและทางเดินมคี วนั

o รจู้ ักเสน้ ทางหนภี ัย ประตหู นีภัยและจดุ ปลอดภยั ท้ังในและนอก
สถานศึกษา

o ทักษะในการเผชิญเหตุ ค้นหา กู้ภัย

o ทกั ษะในการปฐมพยาบาล

• สถานศึกษามีอปุ กรณช์ ว่ ยชวี ติ ทจ่ี ำเปน็ เช่น เชือก ชูชพี ไฟฉาย ชุดปฐม
พยาบาล

• มีการเตรียมหมายเลขโทรศัพทต์ ิดต่อของหนว่ ยงานและผู้ปกครอง

• มวี ธิ ีการปฏิบตั ิปน็ มาตรฐานสำหรับรบั มอื ภยั ประเภทตา่ งๆหรอื ไม่

• ระบบเตอื นภัยครอบคลมุ และทัว่ ถงึ หรอื ไม่

• ความชว่ ยเหลอื จากภายนอกสามารถมาถึงได้ภายในเวลาเทา่ ใด

• สถานศึกษาสามารถจัดหาอาหารและน้ำดมื่ น้ำใช้สำรองเม่ือเกดิ เหตุ
ฉกุ เฉนิ ได้หรือไม่

• สถานศกึ ษาสามารถเปลย่ี นเป็นท่ีพักพงิ ช่วั คราวได้หรือไม่

• ผู้บริหารสถานศกึ ษาและบุคลากรมคี วามรู้ในการบรหิ ารจดั การพ้ืนท่ีศนู ย์
พักพงิ ชั่วคราวหรือไม่

ประเดน็ ความเปราะบาง • การฟื้นฟูอาคารสถานทีแ่ ละการใช้พ้นื ทีห่ ลังเกิดเหตุ
อ่นื ๆ • การจดั การเรียนการสอนระหว่างเกดิ ภัยพิบตั แิ ละต้องหยดุ เรยี น
• การดแู ลสวัสดิภาพของนกั เรยี นพิการ

นอกจากการพิจารณาความเปราะบางตามประเด็นต่าง ๆ ข้างต้น สถานศึกษาสามารถใช้คู่มือบริหารจัดการ
ความเสี่ยงภัยในโรงเรียน เป็นเครื่องมือในการประเมิน ซึ่งคู่มือนี้เป็นการนำเสนอขั้นตอนและกิจกรรมต่าง ๆ
ภายใตเ้ สาหลักทส่ี องของกรอบความปลอดภัยรอบด้านอย่างละเอยี ด

1.2 การกำหนดทางเลือกในการจัดการความเส่ียง (Risk Treatment Identification)
(1) การหลีกเล่ียงความเส่ยี ง (Risk Avoidance): ในกรณีทคี่ วามเส่ียงอยู่ในระดับสูงมากถึงข้ันร้ายแรง

อาจต้องหลีกเล่ียงความเสี่ยงอย่างสิ้นเชิง เช่น การย้ายท่ีต้ังอาคารสถานที่ออกนอกพ้ืนท่ีท่ีมีภัย การแบ่งเขต
จัดทำาโซนนิ่ง อย่างไรก็ดี การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอย่างสิ้นเชิงน้ันอาจทำาได้ไม่ง่ายนัก เน่ืองจาก ข้อจำากัด
ดา้ นพ้นื ท่ี

(2) การป้องกันและลดผลกระทบจากความเส่ียง (Risk Prevention and Mitigation): อาจทำาได้ 2
แนวทาง คือ การป้องกัน (prevention) คือ การป้องกันไม่ใหภ้ ัยนั้นเกิดข้ึน เช่น การสร้างเข่ือนขนาดใหญ่เพื่อ
เก็บกักน้ำไว้ ไม่ให้ไหลลงมาสู่พ้ืนที่ปลายน้ำเพ่ือป้องกันอุทกภัย และอีกแนวทางหนึ่ง คือ การลดผลกระทบ
(mitigation) เพื่อลดความล่อแหลมและความเปราะบางให้เหลือน้อยที่สุดเท่าท่ีจะทำาได้ ซ่ึงการป้องกันและ
ลดผลกระทบจากความเสี่ยง สามารถทำาได้โดยใช้มาตรการท่ีใช้โครงสร้าง (structural measure) และไม่ใช้
โครงสร้าง (non-structural measures)

มาตรการท่ีใช้โครงสร้าง (structural measure) หมายถึงการใช้สิ่งก่อสร้างหรือโครงสร้างทาง
กายภาพเพื่อลดหรือหลกี เล่ียงผลกระทบของภัยที่อาจเกดิ ขึ้น หมายรวมถึงระบบหรือโครงสรา้ งเชิงวิศวกรรมที่
ประยุกต์ใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การทำาพนังหรือคันก้ันน้ำ ประตูน้ำ ระบบระบายน้ำ การเสริมความแข็งแรง
ของโครงสร้างอาคาร เพื่อให้สามารถต้านทานแรงส่ันสะเทอื นของแผ่นดินไหวหรือลม พายุ การปรับความลาด
ชันของพน้ื ทเ่ี พื่อลดการพงั ทลายของดิน การสรา้ งอ่างเก็บน้ำ หรอื ขุดสระนำ้ เพอ่ื การกกั เกบ็ นำ้ ไว้ใชใ้ นช่วงเกิด
ภัยแล้ง

มาตรการทไ่ี ม่ใช้โครงสร้าง (non-structural measure) คือ การใชน้ โยบาย กฎระเบียบ การวางแผน
งานและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดความเสีย่ ง เชน่ การออกกฎระเบียบข้อบงั คับ การกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน
การแบ่งเขต และการวางแผนพัฒนาพื้นที่ กำหนดการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในพ้ืนท่ี การวางแผนการเพาะปลูก
เพื่อลดผลกระทบจากภัยแล้งหรืออุทกภัย การฝึกอบรม การสร้างจิตสำนึก หรือให้ความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อ
สนับสนุนการป้องกนั และลดผลกระทบจากความเส่ยี ง

(3) การถ่ายโอนความเส่ียง (Risk Transfer): เป็นการถ่ายโอนความเส่ียงไปที่บุคคลอ่ืนที่พร้อมจะรับ
ผลกระทบจากภัยนั้นแทน ทำให้ผู้ท่ีเผชิญกับความเส่ียงไม่ต้องได้รับผลที่อาจเกิดขึ้นหรือได้รับการแบ่งเบา
ภาระท่ีต้องแบกรับอันเน่ืองมาจาก ความเสี่ยงน้ัน โดยมากให้ความสำคัญกับการถ่ายโอนภาระทางการเงินอัน

เป็นผลกระทบจากการเกิดภัยพิบัติ เช่น การใช้ระบบประกันความเสี่ยง การทำาประกันภัย การให้สินเช่ือ
ฉุกเฉิน หรือการให้ความชว่ ยเหลือทางการเงนิ ภายในชมุ ชนหรอื ครอบครัว

(4) การยอมรับความเส่ียง (Risk retention/ Risk Acceptance): ในกรณีที่นำแนวทางการลดความ
เส่ียงทั้ง 3 ประการข้างต้นมาใช้แต่ยังไม่สามารถจัดการกับ ความเส่ียงให้หมดไปได้ และยังคงมีความเส่ียง
บางส่วนหลงเหลืออยู่ สิ่งท่ีทำได้คือ การเตรียมความพร้อม (preparedness) เพ่ือรับมือกับความเสี่ยงท่ียังคง
เหลือ (residual risk) รวมถึงการปรับตัว (adaptation) และปรับวิถีการดำารงชีวิตให้สามารถอยู่ร่วมกับภัย
และความเสยี่ งน้นั ๆ ได้อยา่ งปลอดภยั

1.3 แนวทางการตดั สินใจสำหรับผ้บู รหิ ารในการเผชญิ เหตุ
เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากภัยธรรมชาติหรือภัยอื่นๆที่มีโอกาสเกิดอันตรายอย่าง

รุนแรง ผู้บริหารสถานศึกษาต้องพิจารณาทางเลือกในการปฏิบัติเพ่ือให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตทุกคนใน
สถานศึกษา ทางเลือกในการปฏิบัติมีได้หลายแนวทางตามบริบทของภัยและสถานการณ์แวดล้อม และในการ
ทำแผนเผชิญเหตุสำหรับภัยแต่ละประเภทจึงต้องมีการพัฒนาข้ันตอนการปฏิบัติท่ีเป็นมาตรฐาน (Standard
of Practice หรือ SOP) รองรับแต่ละแนวทางด้วย ซึ่งรายละเอียดของขั้นตอนปฏิบัติขึ้นอยู่กับบริบทของ
สถานศึกษา สังคม วัฒนธรรม และสภาพความเส่ียงภัยของสภาพแวดล้อม แนวทางในการรับมือกับภัย
ธรรมชาติหรือเหตฉุ ุกเฉินต่างๆ สามารถดำเนินการได้ดงั น้ี

1. การอพยพจากอาคาร (Building evacuation)

เป็นการอพยพออกจากตัวอาคารท่ีมีอันตรายไปยังจุดรวมพลท่ีอยู่นอกอาคาร (Assembly Point)
การอพยพจะเริ่มดำเนินการเม่ือมีสัญญานเตือนภัยหรือคำส่ังอพยพและมีขั้นตอนการปฏิบัติท่ีทุกคนต้องรับรู้
และทำตามได้ เช่น ในกรณีอคั คภี ัยทเี่ พ่งิ เริ่มเกิดขึน้ ทกุ คนต้องหยิบของท่ีจำเป็นและอพยพลงจากอาคารอย่าง
รวดเร็วโดยใช้บันได ไม่ใช้ลิฟท์ และมารายงานตัวที่จุดรวมพลด้านหน้าอาคารเพ่ือการตรวจสอบว่ามีผู้ใดสูญ
หาย เปน็ ต้น

2. การอพยพไปยงั จุดปลอดภยั (Evacuate to safe haven)

ในที่น้ีจุดปลอดภัย (Safe Haven) หมายถึง บริเวณพ้ืนท่ีที่กำหนดให้เป็นท่ีปลอดภัยจากภัยคุกคาม
และสามารถรองรับผู้ประสบภัยได้ อาจจะเป็นพ้ืนท่ีที่อยู่ภายในสถานศึกษาหรือเป็นสถานท่ีอ่ืนนอก
สถานศึกษาก็ได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รับรู้เพื่อให้สามารถดำเนินกาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเช่น หากสถานศึกษามีพ้ืนที่ปลอดภัยในอาคารก็อาจจะกำหนดให้ ชานพักบันได ช่องทางหนีไฟ

เป็นจุดปลอดภัยสำหรับนักเรยี นชัน้ เด็กเล็ก หรือเด็กพิการ เพ่ือให้ครูพาไปรอการช่วยเหลือ เมื่อเจ้าหน้าท่ีกู้ภัย
มาถึงก็สามารถเข้าไปช่วยเหลือนักเรียนที่จุดปลอดภัยน้ันได้ก่อน แต่ถ้าสถานศึกษาอยากจะเลือกพื้นท่ี
ภายนอกสถานศึกษาให้เป็นทีป่ ลอดภัยสำหรับการอพยพนักเรียนก็ย่อมทำได้ แต่ก็ตอ้ งพิจารณาตามบริบทของ
ภัยและความสามารถในการเคลื่อนย้ายนักเรียน ตลอดจนเวลาในการเคล่ือนย้าย หากมีการกำหนดพ้ืนที่
ปลอดภัยไว้นอกสถานศึกษานั้นก็ต้องมีการวางแผนเตรียมพื้นที่ด้วย เช่น มีการเตรียมส่ิงของฉุกเฉินสำรองไว้
เป็นที่เรียบร้อย มีการแจ้งให้ผู้ปกครองทราบอย่างชัดเจนและมียานพาหนะท่ีใช้ในการเคลื่อนย้ายไว้รองรับ
การอพยพลักษณะนี้จะใช้ในกรณีภัยขนาดใหญ่ท่ีทำให้หลบภัยในสถานศึกษาไม่ได้ ต้องออกไปนอกพื้นที่ เช่น
ในกรณนี ำ้ ทว่ มฉับพลัน นำ้ ปา่ ไหลหลาก ดินโคลนสไลด์ สนึ ามิ สารเคมรี ่ัวไหล ไฟปา่ เปน็ ต้น

3. การหลบภยั และพกั พงิ ในอาคารเรยี น (Shelter-in-place)

ในกรณีท่ีมีอันตรายอยู่ภายนอกอาคารเรียน และไม่สามารถปล่อยนักเรียนกลับบ้านได้ เช่นในกรณี
อากาศรุนแรง น้ำท่วมเส้นทางขาด หรือภัยอันตรายอ่ืนๆที่อยู่ภายนอก หรือในกรณีท่ีไม่มีเวลาอพยพไปยังที่
ปลอดภัย หรือในกรณีท่ีอาคารเรียนมีความปลอดภัยและสามารถใช้เป็นท่ีอพยพหลบภัยได้ ผู้บริหาร
สถานศกึ ษาสามารถตัดสินใจประกาศให้นักเรยี นและครูพกั อย่ใู นอาคารเรียนจนกวา่ เหตุการณ์จะคล่ีคลายก็ได้

4. การปดิ การเขา้ ออกเพ่อื ป้องกันเหตรุ า้ ย (Lockdown)

เป็นวิธีการป้องกันไม่ให้เหตุรุนแรงจากภายนอกหรือบุคคลที่มีนตรายเข้ามาคุกคามสวัสดิภาพของ
นักเรียนและบุคลากร โดยผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องพิจารณาแล้วว่าการปิดการเข้าออกนี้เป็นทางเลือกท่ี
ปลอดภัยกว่าการอพยพและการอยู่ภายในอาคารจะไม่นำไปสู่เหตุการณ์อันตรายที่บานปลาย แนวทางน้ี
จะตอ้ งมกี ารควบคุมการเข้าออกและความปลอดภัยในอาคารอย่างเขม้ งวด อนญุ าตใิ ห้มีการเข้าหรือออกเฉพาะ
บุคคลเท่านั้น ไม่มีการอนุญาติให้นักข่าว อาสาสมัคร เจ้าหน้าที่เข้าไปในพ้ืนที่จนกว่าจะได้รับการยืนยันจาก
เจ้าหน้าที่ท่ีเก่ียวข้องแล้วว่าสถานการณ์ปลอดภัย และไม่มีการปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านเอง ต้องแจ้งหรอื นัด
แนะผ้ปู กครองให้ทราบเก่ียวกบั ระเบียบการมารบั ตวั นักเรยี นทส่ี ถานศกึ ษาดว้ ย

5. การส่งนักเรยี นคนื สคู่ รอบครัวอย่างปลอดภยั (Safe family reunification)

เม่ือเหตุการณ์ฉุกเฉินคล่ีคลาย ผู้บริหารสถานศึกษาจะแจ้งให้ครูและบุคลากรที่เก่ียวข้องทราบว่า
สถานการณ์คล่ีคลายและอนุญาตให้ส่งนักเรียนคืนให้ผู้ปกครองได้โดยมีกระบวนการส่งกลับท่ีปลอดภัยสำหรับ
ทุกฝ่าย โดยเฉพาะการตรวจสอบรายชื่อผู้ปกครองและการทำหลักฐานในการส่งเดก็ ถึงมือผู้ปกครอง เพราะใน
สถานการณ์ไม่ปกติ จำเปน็ ต้องมีการปกป้องคุ้มครองเด็กอย่างเขม้ งวด ในบางกรณี ตอ้ งกำหนดดว้ ยวา่ นักเรยี น

ชั้นเด็กเล็กจะต้องไม่กลับบ้านโดยลำพังโดยไม่มีผู้ปกครองมารับ บางกรณี อาจจะกำหนดให้นักเรียนอายุเกิน
15 ปสี ามารถเดนิ ทางกลบั บ้านได้ แตต่ ้องกลบั เปน็ กลุ่ม ไม่ใหก้ ลับโดยลำพงั เปน็ ตน้

ตวั อย่างกระบวนการปฏบิ ัตงิ านและการตัดสนิ ใจในสภาวะฉุกเฉนิ

ขนั้ ตอน เง่ือนไข วิธกี ารปฏิบัติ ความช่วยเหลือทีต่ ้องการ

0 ไดร้ บั คำเตือนให้เฝา้ ติดตามข้อมูลและสถานการณ์อยา่ งใกล้ชดิ ตรวจสอบความพร้อมทีมหรือ

ระวงั สถานการณ์ คณะทำงาน

1 ได้รับการเตือนภัย ผู้บริหารสถานศึกษาตรวจสอบเพือ่ ยืนยนั ตรวจสอบกบั สำนักงานเขต
ขอ้ มลู พื้นที่ นายอำภอ นายกอบต.

2 ในกรณีท่ีมีนักเรยี นอยู่ ผบู้ ริหารฯเรียกประชุมคณะทำงานบริหาร
ในสถานศกึ ษา ภัยพิบัติดว่ นเพ่ือพิจารณาว่าจะดำเนนิ การ
อพยพนักเรียนหรือไม่อพยพแตใ่ หอ้ ยใู่ น
อาคารและดแู ลความปลอดภัย
หากอพยพ ไปยงั ขนั้ ตอนท่ี 3
หากไม่อพยพ ไปยงั ขนั้ ตอนท่ี 4

ในกรณีท่ีมีนักเรียน ผ้บู รหิ ารฯเรยี กประชุมผู้ประสานงานฝ่าย
กำลังเดนิ ทาง เตือนภยั เพื่อพจิ ารณาว่าจะประกาศปิด
สถานศกึ ษาหรือไม่
หากปิดสถานศึกษา ไปยังขั้นตอนท่ี 5
หากไมป่ ิดสถานศึกษา ไปยงั ขั้นตอนท่ี 6

3 การตดั สินใจอพยพ ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาส่งั การให้คณะทำงาน แจง้ ใหต้ ำรวจในพนื้ ทีท่ ราบเพื่อ

ฝา่ ยเตือนภัยและอพยพให้เตรียมพร้อม อำนวยความปลอดภัย เช่น

ปฏบิ ตั ติ ามแผน จดั การจราจร ความสะดวกใน

คณะทำงานฝ่ายเตือนภยั และอพยพ การอพยพ เปน็ ตน้

กระจายข่าวไปตามห้องเรยี นให้ครูเตรียม แจง้ ฝา่ ยประชาสัมพนั ธ์
พานักเรียนอพยพไปยังจุดปลอดภัยท่ีตกลง สถานศึกษาใหเ้ ตรยี มตอบ
ไว้ล่วงหนา้ ในแผนแล้ว พรอ้ มแจง้ คำถามผปู้ กครอง
คณะทำงานฝา่ ยจติ วิทยาใหเ้ ตรยี มการ
สนับสนุน

เร่มิ กระบวนการอพยพตามแผนทีว่ างไว้

เตรียมกระบวนการสง่ นักเรียนกลบั บ้าน
เชน่ ใช้รถโรงเรยี นไปส่ง หรือแจง้ ผปู้ กครอง
ให้มารับ

4 การตัดสินใจอยู่ใน คณะทำงานฝ่ายเตือนภัยและอพยพ สั่งการให้เจา้ หน้าที่รักษาความ

สถานศึกษา ไม่อพยพ กระจายข่าวไปตามห้องเรียนพรอ้ มแจง้ ปลอดภยั ลอ็ คประตูรว้ั ใหแ้ นน่

ปิดการเข้าออกเพือ่ คณะทำงานฝา่ ยจิตวิทยาให้เตรยี มการ หนา ห้ามไม่ใหผ้ ู้ทีไ่ มเ่ กี่ยวข้อง

ป้องกนั เหตุร้าย สนบั สนนุ เข้ามาในพน้ื ท่ี และห้ามไม่ให้มี

การออกนอกพน้ื ที่

แจง้ สำนกั งานเขตพื้นที่

การศกึ ษา และแจง้ ใหต้ ำรวจใน

พนื้ ท่ีทราบถงึ การตดั สินใจและ

สถานการณ์ในโรงเรียน

แจง้ ฝา่ ยประชาสมั พนั ธ์ให้

เตรยี มตอบคำถามผ้ปู กครอง

5 การตัดสนิ ใจปดิ ผู้บริหารฯประกาศปดิ โรงเรียนชว่ั คราว แจง้ สำนกั งานเขตพน้ื ท่ี
โรงเรียน การศกึ ษา และแจ้งใหต้ ำรวจใน
พื้นทที่ ราบถงึ การตัดสินใจ

จดั การส่งนักเรียนท่ีมาถึงแลว้ ให้กลับบา้ น

6 การตดั สนิ ใจไม่ปิด คณะทำงานฝา่ ยเตือนภัยและอพยพ ส่ังการให้เจ้าหนา้ ที่รักษาความ

สถานศึกษา กระจายข่าวไปตามห้องเรยี นพรอ้ มแจง้ ปลอดภยั ดูแลการเข้าออกอย่าง

คณะทำงานฝ่ายจิตวทิ ยาให้เตรยี มการ เขม้ งวด

สนับสนุน แจง้ ฝ่ายประชาสมั พนั ธ์ให้

เตรียมตอบคำถามผ้ปู กครอง

แจ้งใหส้ ำนกั งานเขตพน้ื ท่ี

การศกึ ษาและตำรวจทราบ

สถานการณ์

1.4 หน่วยงานทเี่ ก่ียวข้องในเรื่องการจัดการภัยพิบตั ิ
เม่ือเกิดเหตุการณ์คับขันจากภัยธรรมชาติ สถานศึกษาในพ้ืนที่จะต้องประสานงานกับองค์กรปกครองส่วน

ท้องถ่ินเพ่ือให้ข้อมูลความเดือดร้อนเสียหาย และขอรับความช่วยเหลือ แต่ก็ยังมีหน่วยงานอ่ืนๆที่ได้รับ
มอบหมายให้สนับสนุนการดำเนินการด้านการจดั การภัยพิบัตอิ ีกด้วย หน่วยงานสำคัญๆที่สถานศึกษาสามารถ
ประสานงานเพอื่ ขอรบั การสนับสนุนในดา้ นตา่ งๆตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติ ได้แก่

• กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (http://www.disaster.go.th/th/index.php) เป็นหน่วยงาน
หลักในการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะนำ ให้คำปรึกษา อบรม สนับสนุนและ
ชว่ ยเหลือประชาชนในยามเกดิ ภยั ผ่านหน่วยงาน ปภ.ในพ้นื ที่ เช่น ปภ. เขต ปภ. จังหวดั

• ก ร ะ ท ร ว ง ก า ร พั ฒ น า สั ง ค ม แ ล ะ ค ว า ม ม่ั น ค ง ข อ ง ม นุ ษ ย์ ( https:/ / www.m-
society.go.th/main.php?filename=index) มีหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับการดูแล สงเคราะห์ช่วยเหลือ
ผ้ปู ระสบภัย เด็กกำพร้า คนพกิ าร ผูส้ ูงอายุในพนื้ ที่ประสบภัย

• กระทรวงสาธารณสุข (https://www.moph.go.th/) มีหน้าท่ีจัดเตรียมความพร้อมในการรับมือกับ
สาธารณภัยผ่านศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในระดับต่างๆ การจัดให้มีการ
รักษาพยาบาลฉกุ เฉนิ ทีมปฎิบัตกิ ารฉุกเฉินทางการแพทย์ระดับตา่ งๆ

• ส ำ นั ก ง า น บ ร ร เ ท า ทุ ก ข์ แ ล ะ ป ร ะ ช า น า มั ย พิ ทั ก ษ์ ส ภ า ก า ช า ด ไ ท ย
(http://www.rtrc.in.th/main.php?filename=index)ทำหน้าที่ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ สมาชิก
สภากาชาดไทย อาสาสมัครและประชาชนท่ัวไปเพื่อเตรียมความพร้อม และดำเนินการด้านบรรเทา
ทกุ ข์ รกั ษาพยาบาลผปู้ ระสบภยั เมอื่ เกดิ เหตแุ ละหลงั เกดิ เหตุ ผ่านกาชาดจงั หวัดตา่ งๆ

• มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ (http://www.rajk.org/demo/index.php) ทำ
หน้าท่ีสงเคราะห์ผู้ประสบภัย สงเคราะห์ด้านการศึกษา ทุนการศึกษาและเด็กกำพร้าที่ครอบครัว
ประสบภยั

• องค์กรการกุศล มูลนิธิ ภาคเอกชน ทำหน้าที่สนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในพ้ืนท่ี
ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น มูลนิธิเพื่อนพึ่งภา
ยามยาก (http://www.friendsofpa.or.th/TH/home)

นอกจากหน่วยงานหลักตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้ว สถานศึกษาควรพิจารณา

หน่วยงานหรือองค์กรอื่นๆท่ีสามารถให้ความช่วยเหลือในการดำเนินกิจกรรมลดความเส่ียงภัยพิบัติในระยะ

ต่างๆ เช่น ภาคธุรกิจในพ้ืนที่ องค์กรพัฒนาเอกชนในพ้ืนที่ สำนักงานเขตการศึกษาท่ีมีสถานศึกษาต้นแบบใน

การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติที่มีบริบทใกล้เคียงกัน คณะกรรมการฯ ควรเร่ิมสร้างความสัมพันธ์เพ่ือการ

ประสานงานในอนาคต

หัวข้อ : การดำเนินการตามแผน

2. การดำเนินการตามแผนงาน
ในการบริหารจัดการภัยพิบัติธรรมชาติของสถานศึกษาน้ัน อาจจะจัดทำมาตรการลดความเส่ียงเป็น

มาตรการระยะส้ัน ระยะกลางหรือระยะยาวท่ีสามารถดำเนินการไปได้เรื่อยๆตลอดเวลาท้ังเป็นมาตรการท่ี
เก่ียวกับโครงสร้างอาคารสถานท่ีและไมเ่ กี่ยวกับโครงสร้าง หลักสำคัญอีกประการหน่ึงคอื แผนของสถานศึกษา
จะตอ้ งสอดคล้องกับแผนภยั พบิ ตั ขิ องชมุ ชน

2.1 มาตรการลดความเสีย่ งภยั พบิ ัติธรรมชาตใิ นสถานศกึ ษา
ในการบริหารจัดการความเส่ียงภัยพิบัติ การจัดทำมาตรการลดความเส่ียงจะช่วยบรรเทาความตึง

เครียดในการเผชิญเหตุฉุกเฉินลดน้อยลง หรือช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุฉุกเฉินท่ีไม่พึงประสงค์ มาตรการลด
ความเสี่ยงภัยพิบัติสามารถผนวกเข้ากับนโยบายสรา้ งความปลอดภัยให้สถานศึกษา เป็นกิจกรรมที่สามารถทำ
ได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี สามารถประยุกต์ใช้หลายแนวทางประกอบกัน ท้ังท่ีเป็นมาตรการด้านโครงสร้าง
อาคาร (Structural Mitigation Measures) และมาตรการที่ไม่ใช่โครงสร้าง (Non-structural Mitigation
Measures) และบางมาตรการสามารถให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินเพื่อเป็นการสร้างความ
ตระหนกั ในเรื่องการจดั การความเสี่ยงภัยพบิ ัติ เชน่

• การสร้างอาคารเรียนใหม่ท่ีมีการออกแบบก่อสร้างเพื่อต้านทานภัยธรรมชาติ และการใช้เทคนิคทาง
วิศวกรรมกอ่ สร้างเสรมิ ความแข็งแรงและการรบั นำ้ หนักของอาคาร

โรงเรียนตา้ นแผ่นดินไหวบา้ นหนองบัว 1-4
โรงเรียนบ้านหนองบัว โรงเรียนประถมท้องถิ่นของอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ก็เป็นอีกหน่ึงใน
โรงเรียนเก้าแห่งที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวและได้รับการสร้างอาคารเรียนทดแทน
ขน้ึ มา โดยอาคารเรยี นแห่งใหมน่ ี้ประกอบด้วยหอ้ งเรียน 4 ห้อง บนพ้ืนท่ีใช้สอย 48 ตารางเมตร และยังมีพื้นที่
สว่ นกลางสำหรับให้เด็กๆ ประกอบกิจกรรมต่างๆ โครงสร้างวัสดขุ องอาคารได้รับบรจิ าคมาน้ันถูกประกอบเข้า

ด้วยกันดว้ ยระบบการก่อสร้างแบบสำเรจ็ รูป เพ่ือใหม้ ีวสั ดุเหลอื ใช้ในการก่อสร้างนอ้ ยทส่ี ุด โครงสร้างส่วนใหญ่
ของอาคารส่วนใหญ่ทำจากเหล็ก ซึ่งโดยหลักการแล้วถือเป็นโครงสร้างท่ีมีความยืดหยุ่นสูงจนสามารถดูดซับ
แรงส่ันสะเทอื นของแผ่นดินไหวได้ นอกจากนั้น โครงสร้างเหล็กยงั สามารถก่อสร้างได้อย่างง่ายดายและสะดวก
ในพื้นที่ชนบท กำแพงของอาคารเรียนประกอบขึ้นจากแผ่นไม้อัดซีเมนต์อเนกประสงค์ (Wood Cement
Board) ซ่ึงเป็นวัสดุท่ีหาได้ง่ายและใช้งานสะดวก ซึ่งนอกจากจะใช้ทำกำแพงแล้วยังใช้ทำชั้นวางของได้อีก
ด้วย

อาคารแห่งนี้พฒั นาข้นึ สำหรับผใู้ ช้งานท่ีเปน็ นักเรียนและครู สามารถปรับเปล่ียนรูปแบบการใช้สอยได้
ตามความต้องการ ห้องเรียนแต่ละห้องสามารถเปดิ ถึงกันได้ด้วยการเอาฉากก้ันออก ร้วั ด้านนอกของอาคารทำ
จากวัสดุท้องถ่ินอย่างไม้ไผ่ ซึ่งเป็นวัสดุท่ีหาได้ง่ายและราคาถูก อีกท้ังยังมีความยืดหยุ่นสูง และเหมาะกับการ
รับกับสภาวะของแผ่นดินไหว ตัวอาคารถูกออกแบบให้รับกับสภาพอากาศของภาคเหนือ โดยยกใต้ถุนสูง
พอเหมาะเพื่อลดความชื้นและหลีกหนีนำ้ ท่วม รวมถึงมีท่ีวางรองเทา้ ให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยท่ตี ้องถอดรองเท้า
ก่อนขึ้นชานเรือน ตัวอาคารมีระเบียงซ่ึงเป็นพื้นที่ก่ึงกลางระหว่างในร่มกับกลางแจ้งซึ่งเหมาะกับวิถีชีวิตใน
สภาพอากาศ ในขณะที่ชายคาท่ีย่ืนออกมาช่วยเป็นตัวป้องกันอากาศหนาว แต่หลังคาสูงลาดเอียง โล่งโปร่ง
เปิดให้อากาศธรรมชาติไหลเวียนเข้ามาในอาคาร รวมถึงเปิดให้มีแสงธรรมชาติส่องถึงในตอนกลางวันเพื่อ
ประหยดั การใช้ไฟฟ้า

อาคารเรียนแห่งน้ีเป็นงานสถาปัตยกรรมที่สร้างข้ึนจากการสนับสนุนของสมาคมวิศวกรรมสถานแห่ง
ประเทศไทย, สมาคมวิศวกรท่ีปรึกษาแห่งประเทศไทย, สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรม
ราชูปถัมภ์ และ สมาคมสถาปนิกสยาม ในการจัดหาทุนและวัสดุในการก่อสร้าง รวมถึงหยาดเหง่ือแรงงานท่ี
เกิดจากความร่วมมืร่วมใจของชาวบ้านและคนในท้องถน่ิ จึงนับวา่ เป็นอาคารท่ีเกิดจากแรงใจของท้องถิ่นอย่าง
แท้จรงิ

อน่ึง หน่ึงในอาคารเรียนท้ังหมดของโรงเรียนบ้านหนองบัวหลังน้ี เป็นผลงานการออกแบบของ Jun-
sekino Architecture & Design และได้รับรางวัลในสาขา Institutional-Primary & High Schools จาก
Architizer A+ Awards คร้ังที่ 5 ในนครนิวยอร์ก ซ่ึงถือเป็นความภูมิใจของคนไทยที่สถาปนิกไทยได้ก้าวไปสู่
เวทีระดับโลก

• การปรับปรงุ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาใหง้ า่ ยต่อการเคลื่อนย้ายอพยพครูและนกั เรียนใน
สถานการณ์ฉุกเฉนิ

• การออกแบบการใช้พืน้ ท่ี เช่นการปลูกไผ่แทนรว้ั เพ่ือความสวยงามและกนั แรงปะทะของลมและ
ฝน การออกแบบชอ่ งลมและชอ่ งแสงเพ่ือให้อากาศถ่ายเทเข้ามาในอาคาร

• การยึดอปุ กรณ์ เฟอร์นิเจอร์กับผนังให้แนน่ หนาเพ่ือป้องกันการล้มหลน่ ทบั
• การเตรยี มความพร้อมด้านต่างๆ เช่น การเตรียมกักเก็บนำ้ สะอาดใส่แทงกน์ ำ้ หรอื ถัง การปิดวาล์วน้ำ

เพ่ือป้องกันการปนเป้ือน จนกว่าจะไดร้ ับประกาศหรือรบั รองจากหน่วยงานที่เก่ยี วขอ้ ง การเกบ็ รกั ษา
เครอื่ งใช้ อปุ กรณ์การเรียนการสอน ในท่สี ูงทนี่ ้ำทว่ มไม่ถึง หรือการห่อหมุ้ ของใช้บางประเภททอ่ี าจ
เสียหายจากความชื้นด้วยถงุ หรือลังพลาสตกิ
• การสรา้ งความตระหนกั ร้ใู ห้กับนักเรียนและบุคลากรถึงส่ิงแวดลอ้ ม ภัยธรรมชาตแิ ละวิธกี ารป้องกันตวั
ใหพ้ น้ ภยั
2.2 การจัดทำแผนแจ้งเตอื นภัยและอพยพ

ในการวางแผนแจ้งเตือนภัยน้ันจะต้องมีการออกแบบสัญญาณเตือนภัยท่ีเหมาะสมกับผู้รับสัญญาน

การทำความเข้าใจในสัญญาณเตือนภัยและการปฏิบัติตามขั้นตอนท่ีได้จัดเตรยี มไว้ล่วงหน้า การแจง้ เตือนภัย

นี้อาจจะตามดว้ ยการอพยพหรอื ไมต่ ้องอพยพก็ได้ ขึ้นอยูก่ บั ความจำเป็นและความรุนแรงของภัย

การแจ้งเตือนภัยในสถานศึกษา อาจแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ 1) ขั้นการแจ้งเตือนภัยเพ่ือการเฝ้าระวัง

หรือเตรียมพร้อม สำหรบั การอพยพหนีภยั หากมีความจำเป็น 2) ข้นั การแจ้งเพอื่ อพยพหนภี ัย หรือคำสัง่ อพยพ

สำหรับการอพยพหลบภัยของเด็กพิการ ครูและผู้ดูแลจะต้องเข้าใจวิธีเคลื่อนไหวของเด็กพิการและ

สามารถเคลื่อนย้ายเด็กพิการโดยไม่ก่อให้เกิดอนั ตราย หากจำเป็นต้องมีการใช้ยานพาหนะ ต้องใช้ยานพาหนะ

ทเ่ี หมาะสม สถานศึกษาทีม่ ีเด็กพิการควรบรรจแุ ผนการให้ความรู้แก่เจ้าหนา้ ท่กี ู้ภัยและคนในชมุ ชนรู้จักวิธกี าร
ช่วยเหลอื เด็กพิการด้วย เช่น สอนวิธกี ารนำทางคนตาบอดที่ถูกวิธีเพื่อช่วยในการอพยพ สอนภาษามือเบื้องต้น
แก่เจ้าหน้าที่กู้ภัยเพ่ือสื่อสารกับเด็กหูหนวกในการอพยพ ฝึกซ้อมเจ้าหน้าท่ีกู้ภัยให้มีความรู้ในการเคล่ือนย้าย
เดก็ พิการ เป็นต้น

ในการวางแผนเตือนภัยและอพยพมีประเดน็ ท่ตี ้องพิจารณา ดังนี้

ประเด็น หมายเหตุ

1. ภยั ธรรมชาติท่จี ำเปน็ ตอ้ งมีการแจ้งเตือนภัยมีอะไรบา้ ง ขึ้นอยกู่ ับภัยและความรุนแรง

2. ขอ้ มูลประกอบการตดั สินใจแจ้งเตอื นภยั ได้มาจากแหลง่ ใด เชอ่ื ถอื ไดห้ รือไม่ เป็นปจั จุบัน

3. วิธกี ารตรวจสอบข้อมูลกอ่ นการแจง้ เตือนภายใน หรือไม่ ไดร้ ับข้อมูลมาอยา่ งไร

สถานศกึ ษา

4. กระบวนการตัดสนิ ใจแจ้งเตือนภัยของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา เป็นมตจิ ากการหารอื กบั
คณะทำงานทเ่ี กีย่ วข้องหรือเป็นการ
ตดั สนิ ใจโดยลำพงั

5. นกั เรียนและบุคลากรในสถานศกึ ษามกี ี่ประเภท (เด็กเลก็ เพอ่ื กำหนดวิธเี ตือนภยั และบทบาท

เดก็ โต เดก็ พิการ ครูพิการ เป็นต้น) หนา้ ทใ่ี นการดูแล

6. ระดับในการแจง้ เตือนเป็นอย่างไร จะประกาศแจ้งเตือนภยั ภยั บางประเภทสามารถรอดู
ลว่ งหนา้ เมือ่ ใด ต้องใช้เวลาเตรยี มนักเรยี นมากน้อยเพยี งใด สถานการณ์ได้

7. วธิ ีการแจง้ เตอื นภยั มีอะไรบา้ ง วธิ หี ลกั และแผนสำรอง ควรมกี ารกำหนดสญั ญาณและสอน
ให้นักเรยี นรจู้ ักสญั ญาณ

8. อุปกรณ์ท่นี ำมาใชใ้ นการเตือนภยั ไดม้ ีอะไรบ้าง พร้อมใชง้ านและครอบคลมุ หรือไม่

9. ขอ้ ความท่ใี ชใ้ นการประกาศเตือนภยั ข้อความตอ้ งสัน้ กระชับ รบั รูแ้ ละ
เข้าใจงา่ ย ไมท่ ำให้หวาดกลวั

10. สงิ่ ท่ีตอ้ งการให้นักเรยี นและบุคลากรปฏิบัติเม่ือไดร้ บั การ ให้กำหนดขน้ั ตอนปฏิบัติเป็น

เตือนภัยคืออะไร จะสื่อสารอยา่ งไร มาตรฐานสำหรบั ทุกคน

11. ข้นั ตอนการพิจารณาออกคำส่ังอพยพเปน็ อย่างไร การรวบรวมขอ้ มูลและตดั สินใจ

ประเด็น หมายเหตุ

12. หากไมส่ ามารถอพยพไดท้ ันท่วงที จะต้องทำอยา่ งไรบ้าง พิจารณาแนวทางที่เปน็ ไปไดแ้ ละ
ปลอดภยั ที่สดุ

13. การประกาศยุติการอพยพตอ้ งทำอย่างไรบ้าง ตดิ ตามสถานการณแ์ ละการ
ประสานงานกบั หน่วยงานภายนอก
อย่างไร

14. วิธีการแจ้งสถานการณ์ใหห้ น่วยงานภายนอกและผปู้ กครอง วธิ ีการและผู้ทำหน้าที่แจ้ง

2.2.1 องคป์ ระกอบของแผน

แผนเผชญิ เหตุส่วนใหญ่ประกอบดว้ ยวธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นการแจง้ เตือนภยั และการอพยพ ประกอบด้วยขอ้ มูลหลักๆ

ดังนี้

• แผนผงั สถานศกึ ษา
• ข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม วาตภัย สึนามิ แผ่นดินไหว ฯลฯ ต้องมีการ

ประชุมนักเรยี นและผ้ปู กครองเพอื่ รบั รู้พื้นท่ีเสีย่ งภัยร่วมกัน
• ขอ้ มลู พนื้ ทีป่ ลอดภยั จดุ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษาตามบริบทของภัย
• เสน้ ทางอพยพและจุดปลอดภัย ในแผนควรระบุถนนหรอื ทางเดินเทา้ ที่สามารถไปยงั จดุ ปลอดภยั ได้
• สัญญาณเตือนภัย ระบุสัญญาณเตือนภัยตามระดับความรุนแรงของภัย ในกรณีที่มีนักเรียนคนพิการ

ประเภทท่ีแตกต่างกัน ต้องมีการกำหนดรูปแบบและวิธีการเตือนภัยที่เหมาะสมกับประเภทความ
พกิ าร
• ขัน้ ตอนและวิธีการอพยพ โดยมกี ารระบุวิธีการการอพยพสำหรบั ครแู ละนักเรยี นท่ีพิการดว้ ย
• วธิ ีการรายงานตัว ณ จุดปลอดภัย

• ขัน้ ตอนการส่งนกั เรียนใหผ้ ปู้ กครอง ซ่งี จะตอ้ งมีการแจง้ วธิ กี ารให้ผู้ปกครองทราบ
• รายชื่อคณะทำงานเผชิญเหตุพร้อมบทบาทหน้าท่ีท่ีต้องรับผิดชอบ เช่น คณะกรรมการฝ่ายป้องกัน

และเตรียมความพร้อม คณะกรรมการนอพยพ คณะกรรมการฝ่ายสุขภาพอนามัย คณะกรรมการ
ฝ่ายประสานงาน หรอื คณะกรรมการอ่ืนๆตามท่ีจำเปน็
• รายชือ่ และหมายเลขโทรศพั ทข์ องหนว่ ยงานทีต่ ิดต่อได้
อย่างไรก็ตาม สถานศึกษาควรพิจารณาเพ่ิมเติมข้อมูลจำเป็นอ่ืนๆให้ครบถ้วนลงในแผนและส่งแผน
เผชิญเหตุฉุกเฉินน้ีให้สำนักงานพื้นท่ีเขตการศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเพ่ือขอความช่วยเหลือหาก
เกดิ สถานการณฉ์ กุ เฉนิ
• ตัวอย่างแผนเผชญิ เหตุ หรอื แผนปฏิบัตกิ ารเม่อื เกดิ เหตุฉุกเฉิน

2.2.2 ระบบเตอื นภัยทม่ี เี ดก็ เปน็ ศนู ย์กลาง
การแจ้งเตือนภัย เป็นการบอกให้นักเรียนและบุคลากรรับรู้ได้อยา่ งทั่วถงึ ในเวลาท่ีส้ันที่สุด เพื่อเตรียม

ตัวให้พร้อมและหนีภัยได้ทัน การแจ้งเตือนภัยมีหลายระดับขึ้นอยู่กับภัยธรรมชาติท่ีเผชิญ เช่น การเตือนเพื่อ
เฝา้ ระวัง การเตือนเพอื่ การเตรียมพรอ้ ม และการแจง้ เตือนให้อพยพ แต่กระน้ันก็ตาม ภยั ธรรมชาติบางอย่างก็
ไม่สามารถเตอื นภัยลว่ งหน้าได้ เช่น แผ่นดนิ ไหว หลุมยุบ พายงุ วงชา้ ง พายฤุ ดรู ้อน เปน็ ตน้

ในกรณีเป็นพื้นที่เส่ียงอุทกภัยแบบน้ำล้นตล่ิง น้ำป่าไหลหลาก สถานศึกษาติดตามข่าวสารการ
พยากรณ์อากาศอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและหน้ามรสุม และนำข้อมูลเตือนภัยดังกล่าวมาใช้ใน
ระบบเตอื นภัยเฉพาะทางในสถานศกึ ษา

การแจ้งเตือนภัยสามารถทำได้หลายรูปแบบข้ึนอยู่กับบริบทของภัยและเวลาในการเตรียมตัว เช่น
การใช้ไซเรนมือหมุนสำหรับภัยท่ีเกิดข้ึนปัจจุบันทันด่วน เช่น น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม การใช้สีเป็น
สัญลักษณ์ การใช้สัญญาณธง การใช้เสียงสำหรับนักเรียนตาบอด การใช้สื่อทางสายตา เช่น ไฟกระพริบหรือ
สัญญานสั่นสำหรบั นักเรยี นหูหนวก เปน็ ตน้

ตัวอยา่ งอุปกรณ์เตือนภัย มดี ังน้ี

• อุปกรณ์เตอื นอัคคีภัย

ในการช่วยเหลือนักเรียนที่มีความพิการ ไม่ว่าจะเป็นความพิการทางการได้ยิน หรอื ทางการเห็น หรือ
นักเรียนหูหนวกตาบอด (Deafblindness) หรือนักเรียนท่ีมีปัญหาในการพูดและภาษา การสื่อสารใน
สถานการณ์ฉกุ เฉินเป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นการเตรยี มความพร้อมด้านการสื่อสารทางเลือกจึงมีความจำเป็น
โดยสามารถเตรยี มการได้ดังน้ี

1. เตรียมอุปกรณ์สำหรับการเขียนแนวปฏิบัติเม่ือเกิดเหตุฉุกเฉินด้วยรูปแบบที่หลากหลายให้พร้อม
เช่น อักษรเบรลล์ เอกสารท่ีเป็นอักษรขยาย อุปกรณ์ท่ีสัมผัสแล้วแสดงผลเป็นเสียงและข้อความ และเตรียม
เครอื่ งชว่ ยฟังให้ พร้อมสำหรับนักเรยี นพิการทางการไดย้ นิ (หตู งึ )

2. จัดให้มีอุปกรณ์/เคร่ืองช่วยท่ีสอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน ครู และบุคลากร ท่ี
จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือพิเศษ เช่น วัตถุที่ลดความเครียดของเด็ก ล่ามภาษามือ รถวีลแชร์สำรอง (ไม่ใช้
ไฟฟา้ )

3. จัดให้มีสัญญาณเตือนภัยท่ีสามารถแจ้งเตือนได้ทั้งนักเรียนท่ีมีความพิการทางการได้ยิน และ
นักเรียนท่ีมีความพิการทางการเห็น สำหรับนักเรียนที่มีความพิการทางการได้ยินจำเป็นต้องใช้สัญญาณเตือน
ภัยแบบสัญญาณไฟวาบ/ไฟกระพริบ (Flashing light alarms) หรือสญั ญาณเตือนภัยที่มีระบบพ่นน้ำหรือสั่นท่ี

หมอนสำหรับบุคคลที่มีความพิการทางการได้ยินที่กำลังนอนหลับ และระบบแจ้งเตือนภัยผ่านทาง

โทรศพั ทม์ ือถือ (Mobile Alert Software) หรอื ระบบ TTRS

4. ใหใ้ ช้คำสัง่ ท่สี ั้น กระชบั และชดั เจน เช่น “ไฟไหม”้ “ไปทีท่ างออก”

5. ใชก้ ารส่ือสารข้อมูลสำคัญผ่านทางการพูดประกอบกับภาษามอื หรอื ภาษาท่าทาง

6. ใชส้ ญั ญาณเสียงหรอื การพูดบอกทิศทาง พร้อมกบั การนำทางสำหรับนักเรียนตาบอด และนกั เรียน

ทม่ี สี ายตาเลอื นราง

2.2.3 วิธีปฏบิ ตั ใิ นการอพยพ

• เมื่อได้รับคำสั่งให้เตรียมตัวอพยพ ครูต้องเตือนให้ต้ังสติ อย่าตกใจ ให้เด็กทุกคนเก็บของมีค่าและ
เอกสารสำคญั ไว้กบั ตัว เช่น บตั รประชาชน กระเปา๋ สตางค์ ยาประจำตัว

• หากมีการถอดรองเท้าไว้นอกห้องเรียน ให้เด็กรีบใส่รองเท้าเพื่อเตรียมตัวก่อน ในกรณีที่เป็นเด็ก
นักเรียนตาบอด จำเป็นต้องมีการฝึกวินัยเรื่องการถอดรองเท้าให้เป็นระเบียบและฝึกใส่รองเท้าอย่าง
รวดเร็วเพื่อรบั มอื กับการอพยพฉุกเฉิน

• ครคู วรมเี อกสารใบรายช่ือนักเรยี นในหอ้ งเพื่อความสะดวกในการสำรวจนกั เรียนระหว่างการอพยพ
• ครูประจำช้ันต้องจัดระเบียบนักเรียนเพ่ือการอพยพ อาจจะให้เข้าแถวเรียงกัน หรือให้จับคู่ดูแลกัน

หรือจับเป็นกลุ่มให้แต่ละกลุ่มมีผู้นำและออกจากห้องเรียนไปพร้อมกัน ควรจัดให้หัวหน้าห้องและรอง
หวั หน้าหอ้ งเปน็ ผชู้ ว่ ยครใู นการดูแลการอพยพ
• ครูควรเน้นข้นั ตอนการปฏิบตั ิ บอกเส้นทางอพยพ จุดรวมพล และกติกาในการอพยพ ได้แก่ ไม่วิ่ง ไม่
พูดคุย ไม่ผลักดัน ไม่ย้ือแย่ง และให้ตั้งใจฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด (ควรมีการซ้อมข้ันตอนการอพยพและ
สอนกติกาน้ลี ว่ งหนา้ )
• หากมีนักเรียนพิการในห้องเรียน ให้จัดระบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Buddy System) คือมอบหมายให้
เพอื่ นเป็นผูช้ ว่ ยเหลือดแู ลนกั เรียนพกิ ารในระหว่างการอพยพ
• ในกรณีอัคคีภัย มคี วันไฟเกิดขึ้น ใหค้ รูบอกวิธีอพยพให้ชัดเจน คือใหเ้ อาผ้าปิดปากปดิ จมกู ก้มต่ำหรือ
คลานออกไปตามทางเดิน เพราะบรเิ วณใกลพ้ นื้ จะเป็นบรเิ วณทม่ี ีอากาศพอจะหายใจไดใ้ นระยะหนึ่ง
• เมอ่ื ได้รบั คำสงั่ ให้อพยพ ใหแ้ น่ใจว่าเส้นทางอพยพปลอดภยั แลว้ จึงให้นกั เรยี นออกจากห้องเรยี นอย่าง
เป็นระเบยี บ
• หลังจากนักเรียนคนสุดท้ายออกไปแล้วให้ครูสำรวจความปลอดภัย ปิดน้ำ หรอื ปิดไฟฟ้าและกวาดตา
สำรวจหอ้ งอย่างรวดเรว็ ว่ามใี ครตกค้างหรอื ไม่ หรือมใี ครบาดเจ็บเปน็ ลมอยทู่ ี่พื้น
• เมอ่ื ออกจากหอ้ งแล้ว ใหส้ งั เกตหอ้ งเรียนขา้ งๆว่าตอ้ งการความช่วยเหลืออะไรบ้างหรอื ไม่
• นำนักเรยี นอพยพไปตามเส้นทางทตี่ กลงกนั ไว้ในแผนอพยพไปยังที่ปลอดภัย

• เมื่อหลบหนีจากจุดท่ีเกิดเหตุไปถึงท่ีปลอดภัยแล้ว ให้ตรวจสอบว่ามีนักเรียนสูญหาย หรือได้รับ
บาดเจ็บหรือไม่ พร้อมแจ้งยอดและสถานการณ์ไปยังผู้บริหารสถานศึกษาหรือหัวหน้าทีมอพยพ หากมี
ผบู้ าดเจบ็ ให้สง่ ไปยงั จุดรกั ษาพยาบาล

• หากมีนักเรียนสูญหาย ให้ติดตามตรวจสอบก่อน หากยังไม่พบตัว ให้ประสานทีมงานติดตามผู้ตกค้าง
ทอี่ าจพลดั หลงระหว่างการอพยพ

• ในกรณีท่สี ถานศึกษาอยใู่ นพนื้ ทีเ่ สี่ยงภยั อาจจะจัดให้มีกระเปา๋ ฉุกเฉินประจำห้องเรียน เปน็ กระเป๋าเป้
ใส่ชุดปฐมพยาบาล ยาหม่อง ยาดม ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย ถุงพลาสติค เชือก มีด ผ้าขนหนู ลูกอม คู่มือ
ปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน รายช่ือนักเรียน หมายเลขโทรศัพท์ผู้ปกครองและหมายเลขโทรศัพท์สำคัญ
เป็นต้น

2.2.4 การเตรียมกระเปา๋ ฉกุ เฉินประจำชั้นเรียน

แต่ละชน้ั เรียน ควรมีกระเปา๋ ฉุกเฉินไว้เพื่อให้ครูประจำช้ันสามารถใหค้ วามช่วยเหลือและมีส่วนร่วมใน
การบริหารจัดการภัยพบิ ัติในระดับช้ันที่ครูรับผิดชอบอยู่ โดยเฉพาะเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับการนับจำนวนนักเรียน
การดแู ลนักเรียนที่บาดเจบ็ และการตดิ ต่อผูป้ กครอง ตวั อย่างการจัดกระเปา๋ ฉุกเฉินไดแ้ ก่

ลำดับ รายการ มี จำนวน หมายเหตุ (ขนาด การใช้งาน)

• ยาสำหรบั การปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น

• ไฟฉาย

• วิทยุ

• แบตเตอรี่

• นกหวดี

• ผ้าหม่ ฉกุ เฉนิ

• เสอื้ กันฝน

• กระดาษทชิ ชู่

ลำดับ รายการ มี จำนวน หมายเหตุ (ขนาด การใช้งาน)
• พลาสเตอรย์ า
• ผ้าพันแผล ผา้ กอ๊ ซ ลำสี
• ผ้าสามเหลี่ยม
• ผา้ อนามยั
• ปากกา
• สมดุ จด
• แบบฟอรม์ รายงานสถานการณ์
• ป้ายชั้นเรยี น
• รายช่ือนักเรยี นในชัน้
• แผ่นป้ายสแี ดง (หมายถงึ มคี นบาดเจบ็

หรือมีอันตราย)
• แผน่ ป้ายสเี ขียว (หมายถงึ อพยพได้

ครบถ้วนและทุกคนปลอดภัย)
• สิ่งของอน่ื ๆ (ระบุ)

2.3 การจัดซ้อมแผนเตือนภัยและอพยพ

การซอ้ มแผนเตือนภัยและอพยพมคี วามจำเป็นอย่างมาก เนอ่ื งจาก

• เป็นการเตรยี มความพร้อมด้านบุคลากร ทรัพยากร และระบบการปฏิบัติการตามบทบาทหน้าท่ี ท่ีได้
กำหนดไวใ้ นแผนการจดั การสาธารณภัยในโรงเรียน

• เปน็ กจิ กรรมสร้างความเข้าใจในบทบาทและความรบั ผิดชอบสำหรบั ทุกคนในสถานศึกษา
• เพ่มิ ความรว่ มมอื ระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา ครู บคุ ลากรดา้ นการศกึ ษา นักเรียนแกนนำ และชมุ ชม
• เป็นช่องทางในการสรา้ งการมสี ว่ นรว่ มของชุมชนในการจัดการสาธารณภัยในสถานศึกษา

ในการจัดซ้อมแผนจะต้องมีการแต่งตั้งคณะทำงานออกแบบการฝึกซ้อมให้มีหน้าท่ีความรับผิดชอบ

การฝึกซ้อมทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบพัฒนาการฝึกซ้อม งานธุรการและงานสนับสนุน หากการ

ฝึกซ้อมเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หัวหน้าคณะทำงานจะต้องต้ังผู้ช่วยหรือผู้ประสานงานเพ่ือ

ชว่ ยงาน ตวั อย่างการซ้อมแผน่ ดนิ ไหวในโรงเรียน ประเทศญีป่ ุ่น

2.3.1 การเตรียมการเพอ่ื การฝกึ ซอ้ มแผน
1. การวางแผนการฝกึ ซอ้ ม โดยการพิจารณาบริบทปัจจุบันของสถานศึกษาได้แก่
1. ลักษณะของภยั และแผนท่จี ะนำมาฝึกซอ้ ม
2. หนา้ ท/ี่ ภารกจิ ของคณะกรรมการหรอื คณะทำงานชดุ ตา่ งๆท่ตี อ้ งการฝกึ ซอ้ ม
3. บทบาทของบุคลากร เจ้าหน้าที่และนักเรียนท่จี ะรว่ มฝึกซอ้ ม
4. วัตถปุ ระสงคแ์ ละศักยภาพของการฝึกซ้อม
2. ประเมนิ ขีดความสามารถของบุคลากร โดยการตรวจสอบตามประเดน็ ตอ่ ไปนี้
• บคุ ลากรปจั จบุ ันมปี ระสบการณใ์ นการฝึกซอ้ มหรือไม่
• มีระยะเวลาในการเตรยี มการฝึกซ้อมเทา่ ใด
• ส่ิงอำนวยความสะดวกทางกายภาพใดท่ีต้องใช้ในการปฏิบัติการฉุกเฉินจริงและมีพร้อมสำหรับการ
ฝึกซอ้ มหรอื ไม่
• ส่ิงอำนวยความสะดวกด้านการสอ่ื สารและระบบใดที่ต้องใชแ้ ละมีสำหรบั การฝึกซ้อม
3. ประเมินความต้องการหรือความจำเป็นในการฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อเตรียมสำหรับการซ้อมแผน เช่น
ครู บุคลากรและนักเรียนมีเวลาในการทำความเข้าใจกับแผนและฝึกฝนทักษะท่ีจำเป็น
เทา่ ใด บคุ ลากรที่ทำหนา้ ท่ีจดั ซ้อมแผนจำเป็นตอ้ งเรียนรู้เพมิ่ เตมิ มากน้อยเพียงใด
4. กำหนดขอบเขตการฝึกซ้อม หมายถึงการกำหนดขอบเขต เช่น เป็นการฝึกซ้อมแผนเฉพาะภายใน
สถานศึกษา หรือฝึกซ้อมร่วมกับหน่วยงานอื่น หรือฝึกซ้อมร่วมกับชุมชน กำหนดขอบเขตการฝึกซ้อม
เชิงภารกิจหนา้ ท่ี (Function) เป็นต้น
5. กำหนดรูปแบบการฝึกซ้อม ในการซ้อมแผนแบบปฏิบัติการจริง สถานศึกษาสามารถทำได้ 2 รูปแบบ
คือ
1. การซ้อมแบบแจ้งให้ทราบล่วงหน้า มีการกำหนดวัน เวลา ในการซ้อม วัตถุประสงค์ของการ
ซ้อมแบบน้ีคือ เพ่ื อให้แน่ใจว่าทุกคนได้อ่ านและทำความเข้าใจกับขั้นตอนการ

ปฏิบัติ ทดสอบทักษะและความสามารถในการตอบสนองเหตกุ ารณ์ รวมถึงทดสอบปฏกิ รยิ า
ตอบสนองกบั สถานการณท์ ี่ไม่คาดคิด (เชน่ จดั ใหม้ ีอปุ สรรคกีดขวางเส้นทางหนีภยั )

2. การซ้อมแบบไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เป็นการทดสอบปฏิกริยาตอบสนองต่อสถานการณ์
ในทันที การซ้อมแบบนี้สามารถทำได้หากครู นักเรียน บุคลากรทุกคนมีความเข้าใจใน
ขน้ั ตอนปฏิบัติและมีพัฒนาการด้านทักษะในการเผชิญเหตุแล้วในระดับหนึง่ การซ้อมแบบน้ี
จะช่วยทดสอบระบบเตือนภัย ว่าครอบคลุมทุกพื้นที่และทุกคนหรือไม่ ช่วยระบุช่องว่างใน
การประสานงาน และช่วยให้ประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการอพยพได้ใกล้เคียงกับความเป็น
จรงิ ชว่ ยให้เหน็ ประสิทธิภาพของการเคล่ือนยา้ ยอพยพ เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม การซอ้ มเช่นน้ี
มีข้อควรระวังบางประการ เช่น เรื่องของอุบัติเหตุ หรืออาจจะมีนักเรียนที่เป็นเด็กเล็กไม่
สามารถแยกแยะสถานการณ์และตื่นตระหนก จึงต้องมีแผนบริหารจัดการสิ่งไม่คาดคิดที่
อาจจะเกิดขึน้ ด้วย

6. การออกแบบการฝึกซ้อม โดยคณะทำงานจะต้องดำเนนิ การต่อไปนี้

• กำหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องการฝกึ ซ้อม

• จัดทำสถานการณ์สมมติท่ีสมจริงและต่อเน่ือง โดยพัฒนาลำดับเหตุการณ์และความเชื่อมโยงของ
สถานการณ์สมมติ และอาจจะมีการผกู ปมปญั หาไว้ให้มกี ารแก้ปัญหา

• จดั ทำและแจกจ่ายเอกสาร วัสดอุปกุ รณท์ จ่ี ำเปน็ ก่อนการฝึกซ้อม

• จดั การฝึกอบรมทักษะทจ่ี ำเปน็ ใหแ้ กค่ รู บุคลากรและนกั เรียนก่อนการฝกึ ซอ้ ม

• ซักซ้อมบทบาทหนา้ ท่ีของคณะทำงานท่จี ัดการฝกึ ซ้อม

• ใหค้ รูประจำช้ันอธบิ ายแผนและข้ันตอนการฝึกซอ้ มให้นักเรยี นทุกคนเข้าใจ

ออกแบบการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชมุ ชนหรือบคุ คลอื่น เชน่ ให้เป็นผู้สังเกตการณ์ ผู้ประเมิน

หรอื ผู้ร่วมปฎิบตั ิการ

2.3.2 การประเมนิ ผลการซ้อม
หลังจากซ้อมแผนแล้ว ควรมีการสรุปผลและประเมินการฝึกซ้อม เช่น ประเมินว่าการซ้อมน้ันบรรลุ

วัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด นักเรียนมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์หรือไม่ มีประเด็นใดบ้างที่ต้องนำมาใช้ในการ
ปรับปรุงแผน และ/หรือระบบการบริหารจัดการฉุกเฉินที่มีอยู่ ควรมีการฝึกอบรมบคุ ลากรเพิม่ เติม หรอื ควรมี
การเปล่ียนแปลงบุคลากรและอุปกรณ์การทำงานหรือไม่ เป็นต้น การประเมินผลการฝึกซ้อมจะช่วยกำหนด
จุดอ่อน จุดแข็ง เพื่อสรา้ งประสทิ ธภิ าพในการฝกึ ซอ้ มครง้ั ต่อไป

2.4 การใช้สถานศกึ ษาเป็นศูนย์พกั พงิ ช่วั คราว

เม่ือเกิดภัยพิบัติ มักมีการกำหนดให้ใช้สถานศึกษาเป็นจุดปลอดภัยหรือศูนย์อพยพ เพราะส่วนใหญ่

สถานศึกษาเป็นอาคารท่ีแขง็ แรงทส่ี ุดในชมุ ชน มขี นาดใหญก่ ว่าสงิ่ ก่อสร้างอ่ืน ๆ และเปน็ สถานทที่ ่ีคนในชุมชน

คุ้นเคย โดยไม่คำนึงว่าสถานศึกษาน้ันอาจตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงจากภัยพิบัติหรือมีโครงสร้างท่ีปลอดภัยในการ

รองรับผ้คู นจำนวนมากหรือไม่ เพราะแตล่ ะพ้ืนทีย่ ่อมมีความเสีย่ งต่อภัยที่แตกตา่ งกัน สถานศึกษาท่ีอยบู่ นพื้นท่ี

สูงอาจปลอดภัยจากภัยน้ำท่วมและคล่ืนสึนามิ แต่อาจมีความเส่ียงมากจากภัยแผ่นดินไหว น้ำป่าไหลหลาก
หรือดินโคลนถล่ม ดังน้ัน จึงต้องทำการประเมินความเส่ียงสำหรับสถานศึกษา เพื่อให้มีความเข้าใจถึงความ
เส่ียงในพ้นื ที่เป็นอย่างดีก่อนการตดั สนิ ใจสรา้ งสถานศกึ ษาและใช้เป็นศูนยอ์ พยพ อยา่ งไรก็ตาม หากเป็นไปได้
ควรหลกี เลีย่ งการกำหนดใหใ้ ช้โรงเรียนเป็นศูนย์พักพิงช่ัวคราวแตจ่ ดั ทำแผนจดั การความเส่ียงภัยพบิ ตั ิในชุมชน
และโรงเรยี นแทน

หากจำเป็นต้องใช้สถานศึกษาเป็นศูนย์พักพิงช่ัวคราว ควรออกการใช้พื้นที่แบบตามมาตรฐานสากล
จดั หาวัสดอุ ุปกรณ์ที่จำเป็นให้เหมาะสมกับการเป็นศูนย์พักพิงโดยไม่เบียดบังงบประมาณสำหรับการศึกษาเด็ก
และตอ้ งวางแผนการใชพ้ ื้นที่สำหรับการเรยี นการสอนไปพรอ้ มกัน สถานศึกษาท่ีมอี าคารสถานที่พร้อมสำหรับ
การปรบั เปน็ ศูนย์พักพงิ ชว่ั คราวควรปรับปรงุ อาคารสถานท่ตี ามมาตรฐานการออกแบบเพ่อื มวลชน (Universal
design) เพื่อเอ้ือให้คนพิการ คนชรา ใช้ประโยชน์จากสถานท่ีได้โดยปลอดภัย ควรมีอุปกรณ์ช่วยเหลือคน
พิการไว้สำรอง เชน่ อปุ กรณ์ชว่ ยการเคลอ่ื นไหว รถเข็นนั่ง แว่นตา แว่นขยาย และจดั ทำป้ายบอกทางใหเ้ ข้าถึง
สำหรบั เดก็ พกิ ารทุกประเภท

ข้อควรพจิ ารณาเบื้องต้นในการใชส้ ถานศกึ ษาเป็นศนู ย์พักพิงช่ัวคราว

• อาคารสถานทป่ี ลอดภัยสำหรับประชาชนในชมุ ชน
• การคมนาคมสะดวก
• มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภค เชน่ ไฟฟา้ และนำ้ ประปา
• มขี นาดพน้ื ทท่ี ี่เหมาะสมกบั จำนวนประชากรทจ่ี ะต้องอพยพมาพักพิง
• มแี หลง่ ทรัพยากรสำหรบั การยังชพี เบอ้ื งตน้ ในชว่ งระยะเวลาหนึง่
• มีสภาพแวดล้อมทเ่ี อื้อต่อสขุ ภาพอนามัยทง้ั ทางรา่ งกายและจิตใจ

การบริหารจัดการศูนย์พักพิงช่วั คราวจึงจำเปน็ ต้องมีการตั้งคณะกรรมการรบั ผดิ ชอบและประสานงาน
ประกอบดว้ ยผู้จัดการศูนย์ฯ และคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ มีหน้าท่ีตดั สนิ ใจดำเนนิ การ ประสานงาน บุคลากร
ในสถานศึกษาร่วมกับอาสาสมัครประชาชนหรือผู้ประสบภัยควรมีส่วนร่วมในการเป็นกรรมการดูแลสถานที่
และผู้ประสบภัย ในการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการศูนย์พักพิงช่ัวคราวและคณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ
ไม่จำเป็นตอ้ งเป็นบุคลากรในสถานศึกษาท้งั หมด ควรใชห้ ลักการมีส่วนร่วม เช่น เชิญผู้ปกครอง คณะกรรมการ
ชมุ ชน ศิษย์เกา่ อาสาสมัครในชุมชน ผู้ประสบภัย และเด็กเข้ามามีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อให้มีการ
ดูแล และเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสถานการณ์ภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารสถานศึกษาหรือบุคลากรทาง

การศกึ ษาจะต้องมบี ทบาทในฐานะเจ้าของพนื้ ที่และเป็นผู้กำหนดการใช้พ้ืนที่ใหแ้ กผ่ ู้ประสบภัย สำหรับจำนวน
คณะทำงานหรือผู้รับผิดชอบควรมีอัตราส่วนตามความจำเป็น ยกตัวอย่าง เช่น หากมีกลุ่มเปราะบางเป็น
จำนวนมากก็จำเป็นต้องมีคนดูแลเพ่ิมขึ้น หากมีหญิงตั้งครรภ์และเด็กอ่อนเป็นจำนวนมากก็ต้องเพิ่มจำนวน
คณะกรรมการฝ่ายพยาบาลและสาธารณสุข เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องมีการอบรมให้ความร้คู ณะกรรมการใน
เรื่องสำคัญต่าง ๆ เช่น การคุ้มครองเด็ก คนพิการ คนชรา วิธีการช่วยเหลือ ยก เคล่ือนย้ายคนพิการ
กฎระเบียบการต่าง ๆ

องคป์ ระกอบของคณะกรรมการจดั การศนู ย์พักพิงชวั่ คราว ไดแ้ ก่

คณะกรรมการฝ่าย บทบาทหน้าท่ี

หวั หนา้ ศนู ยพ์ ักพงิ ช่ัวคราว • ควบคุมกำกับดแู ลการทำงานงานของฝ่ายตา่ ง ๆ
ฝ่ายอำนวยการและสือ่ สาร • ประสานงานการดำเนนิ งานทุกเรอ่ื งท้ังภายในและภายนอก
ฝ่ายการประกอบอาหาร • รบั เรอ่ื งราวร้องทุกข์ ตรวจสอบและตดั สนิ ใจแก้ไขปญั หา

ฝา่ ยประสานงานผู้ประสบภัย ตา่ งๆ
ฝา่ ยบรรเทาทกุ ข์
• การลงทะเบียน เก็บข้อมูล จดั ทำขอ้ มูลผ้ปู ระสบภยั
• จัดระบบและวธิ ีการสื่อสารท้ังภายในและภายนอก
• จดั ทำบัญชีรายการคา่ ใช้จ่าย
• รับรายงานและทำรายงานการปฏิบตั งิ าน

• ประเมินสถานการณด์ ้านอาหารและน้ำดม่ื
• จดั หาภาชนะ อปุ กรณแ์ ละวัตถดุ บิ ในการประกอบการ
• ประกอบอาหารตามหลักโภชนาการ
• กำหนดตารางเวลาการแจกจา่ ยอาหารประจำวัน
• กำหนดจดุ รับอาหารในแตล่ ะวนั

• ประสานงาน ส่อื สารกับผ้ปู ระสบภัยใหท้ ราบถงึ ความ
ตอ้ งการความช่วยเหลือ และแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ข่าวสารที่
จำเปน็

• ประสานงานดา้ นการรบั และส่งกลบั ผู้ประสบภัย

• ดูแลจดั หาส่ิงของบรรเทาทุกข์โดยเฉพาะปัจจยั ส่ี
• การรับบรจิ าค และจดั ทำบญั ชสี ง่ิ ของบรจิ าค

ฝา่ ยรกั ษาพยาบาลและสุขอนามัย • ดูแลป้องกันการเจบ็ ป่วยเบ้ืองตน้ กอ่ นพิจารณาส่งตอ่ ให้
หน่วยงานทางการแพทย์ทมี่ คี วามพร้อม

• ดูแลด้านจิตวทิ ยา สขุ อนามยั

คณะกรรมการฝา่ ย บทบาทหนา้ ท่ี

ฝา่ ยดูแลสถานทแ่ี ละรักษาความ • วางผงั จัดสรรพื้นที่ ดแู ลซ่อมแซมท้งั ในชว่ งเตรยี มการจดั ตั้ง
ปลอดภยั ศนู ย์ฯ ระหวา่ งใชพ้ ื้นที่และหลังจากการใช้พืน้ ที่

ฝ่ายขนส่ง • ออกระเบียบความปลอดภัย เชน่ ระเบยี บการใช้พนื้ ที่

• การลำเลียงสิ่งของ บคุ ลากรและการใช้ยานพาหนะเพ่ือการ
อพยพ ส่งตอ่ และส่งกลบั

ฝา่ ยนนั ทนาการ • จดั พ้นื ทีแ่ ละกจิ กรรมเพื่อสรา้ งบรรยากาศรืน่ เรงิ คลายความ
ตึงเครยี ด เช่น การจัดสันทนาการใหเ้ ด็ก การจัดฝึกอาชีพให้
ครอบครัว จัดกจิ กรรมสำหรับผู้สงู อายุ

• จดั มาตรการในการเฝา้ ระวังและคุม้ ครองเด็กปกติ เดก็ พกิ าร
ในศนู ย์พักพิงช่วั คราว

การจดั พื้นท่ีใชส้ อยในศูนย์พกั พิงช่ัวคราว

ความต้องการพื้นท่ีใช้สอยของแต่ละศูนย์พักพิงแตกต่างกันตามลกั ษณะของสังคมและระยะเวลาท่ีพัก

พงิ อยู่ในศูนยน์ น้ั ๆ การจัดพื้นทค่ี วรคำนงึ ถงึ การใช้งาน หลักการคุ้ทครองเด็ก หลกั การมีสว่ นร่วม และความเป็น

ส่วนตัว หากพิจารณาจากมาตรฐานขัน้ ตำ่ กล่าวคอื อย่างนอ้ ยทีส่ ุดศูนยพ์ กั พิงต้องมีพนื้ ท่ีต่อไปน้ี

• พ้นื ที่สำหรบั การทำงานคณะกรรมการศูนย์ฯซ่ึงเป็นพื้นที่ที่ต้องจัดให้เป็นสัดส่วน มอี ุปกรณ์การทำงาน
และต้องมรี ะบบความปลอดภัยเพ่อื เกบ็ รักษาข้อมลู โดยเฉพาะข้อมูลเก่ยี วกับเด็ก

• พื้นที่ส่วนตัวเพ่ือการนอนพักผ่อน และในกรณีท่ีผู้ประสบภัยไม่ได้มาเป็นครอบครัว ควรแยกพื้นท่ี
สว่ นตัวระหวา่ งชายและหญิง หากมแี นวโน้มว่าจะต้องใช้ศูนยพ์ ักพงิ เกนิ กว่า 3 วัน ตอ้ งพจิ ารณาพ้ืนที่
สำหรับซกั ลา้ ง ตากผ้า หงุ หาอาหาร ทง้ิ สิง่ ปฏกิ ูลของเสียด้วย

• พ้ืนท่ีสำหรับปฐมพยาบาลจะต้องมีการกั้นห้องหรือมีฉากก้ัน มีการแยกพ้ืนที่นอนพักระหว่างเด็กและ
ผู้ใหญ่ ผชู้ ายและผหู้ ญิง

• พื้นที่ท่ีเป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลผู้ประสบภัยที่มีความต้องการเป็นพิเศษ เช่น คนชราหรือคนพิการ
ติดเตียง หญิงพิการท่ีต้องการความช่วยเหลือในการผลัดเปล่ียนเส้ือผ้าและการดูแลสุขอนามัย พ้ืนที่
สำหรับแมใ่ ห้นมบตุ ร พื้นทดี่ ูแลเดก็ ออ่ น เปน็ ตน้


Click to View FlipBook Version