37 2) นายปวน ค ามาแดง ภำพที่ 8 นายปวน ค ามาแดง ที่มำ : สนั่น ธรรมธิ นายปวน ค ามาแดง เกิดในช่วงประมาณ ปี พ.ศ. 2410 นายปวน หรือ “อุ้ยปวน” ตามการเรียกชื่อของบัวเรียว ได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่ยังเยาว์วัย โดยเป็นสามเณรสาย กัมมัฏฐาน หรือพระธุดงค์ ตลอดช่วงอายุการเป็นสามเณร ได้เดินทางธุดงค์ไปกับพระอาจารย์ของตนไป ทางตอนเหนือของล้านนาถึงเมืองสิบสองปันนา ศึกษาเรียนรู้วิชาป้องกันตัวต่าง ๆ ทั้งคาถาอาคม และที่ส าคัญ คือ ศึกษาเรื่องการฟ้อนเจิงมาตลอดระยะเส้นทางของการธุดงค์ เมื่อเดินทางย้อนกลับลง มาที ่ประเทศไทย พระอาจารย์ได้พาเดินทางธุดงค์ตามเส้นทางลุ่มแม่น้ าโขง ได้แก่ เมืองเชียงของ เมืองเทิง เมืองเชียงค า เมืองน่าน เมื ่ออายุใกล้ที ่จะอุปสมบทเป็นพระตนจึงเดินทางกลับไปยังบ้านร้องวัวแดงที ่ อ าเภอสันก าแพง จังหวัดเชียงใหม่อีกครั้ง เมื่อไปถึงยังบ้านเดิมพบว่าญาติพี่น้องได้ขายทรัพย์สมบัติ ต่าง ๆ และแบ่งสันปันส่วนไปใช้ในชีวิตประจ าวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนจึงลาสิกขาบทจากการเป็น พระมุ่งหน้าเข้าสู่ทางโลก เพื่อสร้างอนาคต โดยการน าวิชาความรู้ที่ได้ศึกษาช่วงของการเดินธุดงค์เป็น สามเณรมาใช้สอนให้กับบรรดาชายหนุ่มผู้มีความสนใจเรื่องการฟ้อนเจิง ทั้งเจิงดาบและเจิงมือเปล่า เนื่องจากในสมัยนั้นยังต้องอาศัยการฟ้อนเจิงเหล่านี้ในการป้องกันตัวจากคนร้าย และทางการก็ยังไม่ สามารถเข้ามาดูแลความปลอดภัยของบ้านเมืองได้อย่างทั่วถึงในเขตเมืองเชียงใหม่และเชียงราย ขณะเดียวกันเมื่อเจอกับคนที่มีวิชาความรู้เก่ง ๆ ตนก็ฝากตัวเป็นศิษย์ เรียนวิชาความรู้ใหม่เพิ่มเติม จากครูต่าง ๆ นายปวน มีครูที ่ถ่ายทอดวิชาทั้งหมด 19 คน แต่ไม่ได้บันทึกชื่อครูเหล่านั้นเป็น
38 ลายลักษณ์อักษรไว้ นอกจากการสอนการฟ้อนเจิงให้กับศิษย์แล้วยังน า “เงินค่าขันครู” หรือ ค่าตอบแทนที่ได้จากการสอนเก็บหอมรอมริบและน าไปซื้อวัวมาขายหรือเป็นพ่อค้าวัว ค้าขายตาม สถานที่ต่าง ๆ ที่ได้เดินทางไปสอนเป็นจ านวนมาก เนื่องจากตนเป็นคนที่ไม่ได้อยู่เป็นหลักแหล่งถาวร บางครั้งจึงได้ฝากวัวที่ซื้อไว้ให้ศิษย์ตามสถานที่ต่าง ๆ เลี้ยงดู เมื่อถึงเวลาก็ตนก็มาน าวัวไปขายได้ก าไร ที่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ เส้นทางที่สอนและค้าขายระหว่างการด ารงชีวิต ได้แก่ เมืองเทิง เมืองเชียง ของ เมืองเชียงค า เมืองน่าน เมืองเชียงราย และเมืองเชียงใหม่ จึงเป็นที่รู้จักของกลุ่มบุคคล ผู้มีฝีมือในเรื่องของการฟ้อนเจิง นายปวน มีหลายชื่อที่เรียกแตกต่างกันไป เช่น ปวนเจิง พ่อน้อยหลวง พ่อพญาเตปอย ซึ่งชื่อเหล่านี้ให้ความหมายทั้งในเชิงค้าขายวัว และเรียกในนามของผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ ได้แก่ ปวนเจิง หมายถึง นายปวนผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการฟ้อนเจิง พ่อพญาเตปอย หมายถึง เมื่อนายปวน เข้ากลุ่มฟ้อนเจิงที่ไหนก็สามารถที่จะเอาชนะบุคคลเหล่านั้นได้ทั้งหมด พ่อน้อยหลวง หมายถึง พ่อน้อย หรือ ทิด ผู้มั่งคั่งและเป็นที่รู้จักในเชิงการค้า นายปวนได้ประกอบอาชีพทั้งการ เป็นครูและเป็นพ่อค้ามาตลอดชีวิตจนอายุได้ 80 ปี ปัจจุบันยังคงรู้จักในกลุ่มผู้รับการถ่ายทอดการ ฟ้อนสาวไหมและฟ้อนเจิงสายบัวเรียว รัตนมณีภรณ์, สนั่น ธรรมธิ และธนชัย มณีวรรณ (สนั่น ธรรมธิ, 2564, 25 ตุลาคม, สัมภาษณ์) ชีวิตของนายปวนที่ได้เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ท าให้เห็นศิลปวัฒนธรรมต่างถิ่นรู้จักซึม ซับเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่พร้อมจะน ามาปรับใช้กับตัวเอง ชอบจินตนาการและเพ้อฝันสนใจเรื่อง นามธรรมมากกว่ารูปธรรม (วิถี พาณิชพันธ์, 2548, น. 41) คือการศึกษา สัมผัสด้วยสายตา เมื่อเห็น สิ่งที่แปลกใหม่ตนเองสนใจก็ชอบที่น ามาประยุกต์และปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองตามจินตนาการที่ มองแล้วเห็นว่ามีความงดงาม และใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ดังนั้นจึงมุ่งเดินทางเพื่อตามหาสิ่งที่ตน คิดว่ามีอยู่จริงในโลกแห่งความเป็นจริง นายปวน ค ามาแดง เสียชีวิตประมาณปี พ.ศ. 2490 ที่บ้านร้องวัวแดง อ าเภอ สันก าแพง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวคือ นายกุย สุภาวสิทธิ์ ผู้เป็นบิดาของบัวเรียวได้รับการถ่ายทอด การฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง มาจากนายปวน ค ามาแดง ศิลปินช่างฟ้อนดาบ และฟ้อนเจิง ที่ได้เรียน วิชาการต่อสู้ทั่วเขตล้านนา เชียงใหม่ เชียงราย เชียงตุง สิบสองปันนา และนางบัวเรียวได้รับการถ่ายทอด วิชาความรู้ด้านการฟ้อนจากบิดาคือนายกุย สุภาวสิทธิ์ ตั้งแต ่อายุ 7 - 8 ขวบ ได้แก ่ ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง การตีไม้ฆ้อน และฟ้อนสาวไหม ได้น าการฟ้อนดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่าง ต่อเนื่องจนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย นางบัวเรียวได้ท าการปรับปรุงท่าฟ้อนมาโดยตลอดเพื่อความ เหมาะสมและสวยงามตามแบบหญิงสาวชาวเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฟ้อนสาวไหม
39 4.2.2 องค์ควำมรู้จำกสำยอุปถัมภ์ จากการศึกษาเส้นทางสายอาชีพการเป็นช่างฟ้อนของบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ช่วง พ.ศ. 2496 ถึง พ.ศ. 2507 ปรากฏบุคคลซึ่งเป็นผู้ร่วมงานอันมีส่วนในการสนับสนุน ผลักดัน หรือมีอิทธิพลต่อลักษณะการฟ้อนของบัวเรียว โดยผู้วิจัยนิยามองค์ความรู้ที่เกิดจากบุคคลกลุ่มนี้ว่า “องค์ความรู้จากสายอุปถัมภ์” ซึ่งปรากฏบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ จากข้อมูลเส้นทางสายอาชีพการเป็นช่างฟ้อนของบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ช่วง พ.ศ. 2496 ถึง พ.ศ. 2507 ปรากฏบุคคลส าคัญ 3 ท่าน ได้แก่ 1.นายโม ใจสม 2.นางพลอยศรี สรรพศรี และ 3.นายชาญ สิโรรส โดยประวัติพอสังเขปของบุคคลทั้ง 3 ท่าน มีดังนี้ 1) นายโม ใจสม ภำพที่ 9 นายโม ใจสม ที่มำ: สนั่น ธรรมธิ นายโม ใจสม เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2455 ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเกิดที่จังหวัดใด แต่สันนิษฐานว่าเกิดที่จังหวัดสมุทรปราการ เนื่องจากเป็นชาวอ าเภอพระประแดง ในปี พ.ศ. 2488 - 2489 เป็นช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยได้ส่งกองก าลังทหารเข้ามารบในเขตพื้นที่ของ จังหวัดเชียงราย ในขณะนั้นทหารที่เข้ารบได้ตั้งวงลิเกแสดงเพื่อเป็นการคลายเหงา เมื่อสงครามสงบลง ทหารที่มาท าสงครามก็กลับไปยังสยาม และได้ทิ้งระนาดเอก 1 ราง กลองเต่งถิ้ง 1 ตัวไว้ที่วัดศรีทรายมูล ปี พ.ศ. 2491 นายโม ใจสม อดีตทหารจากอ าเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ได้เสร็จสิ้น ภารกิจร่วมรบในสงครามที่เชียงตุง ประเทศพม่า จึงสร้างครอบครัวที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นระยะเวลา 5 ปี
40 ในปี พ.ศ. 2496 เลิกรากับครอบครัวที่จังหวัดเชียงใหม่แล้ วย้ายมาอยู่ ณ วัดศรีทรายมูล อ าเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ได้พบกับท่านเจ้าอาวาส คือ พระครูพรมมา ลังกา ประกอบกับในช่วงปี พ.ศ. 2497 วัดศรีทรายมูลจัดงานฉลองวิหารนายโม ใจสม จึงขันอาสาในการจัดวงปี่พาทย์ โดยซื้อ เครื่องดนตรี คือ ฆ้องวงเล็ก ฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้มเพิ ่มเติม จากกรุงเทพมหานคร ในการจัดตั้ง วงปี่พาทย์แสดงในงานปอยหลวงดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดตั้งคณะดนตรี และช่างฟ้อน ของวัดศรีทรายมูล การสอนฟ้อนและดนตรีของนายโม ใจสม ด้วยการถ่ายทอดดนตรีวงปี่พาทย์ให้กับ สามเณรในวัดศรีทรายมูล และวัยรุ่นชายของหมู่บ้านในช่วงกลางวันเป็นหลัก โดยวัยรุ่นหญิงสาว ในหมู่บ้านมาฝึกฝนการฟ้อนในช่วงกลางคืน ด้วยบุคลิกของนายโม ใจสม ที่ผ่านการฝึกทหารและเป็น ชาวภาคกลางจึงมีบุคลิกดุดัน จริงจังกับการสอน ลูกศิษย์ที่เรียนจึงมีคุณภาพ มีความชัดเจน ในการเล่น ดนตรีและฟ้อนร า คือ ต้องขึ้นให้พร้อมกัน จบให้พร้อมกัน ท านองเพลงคงที่ มีความชัดเจนของเสียง แต ่ละเครื ่องดนตรี การร้องเพลงประกอบดนตรีต้องแม ่นย า ในท านองร้อง และการออกเสียง ความชัดเจนของท่าฟ้อนเน้นการจีบ การปล่อยจีบ ลักษณะล าแขน ลักษณะมือในการประกอบ ท่าฟ้อนต่าง ๆ ต้องอยู่ในระดับและองค์ประกอบของร่างกายให้เหมาะสม การสอนเริ่มจากการวาด มือให้ได้ครบทุกท่าฟ้อนแล้วจึงฝึกการก้าวเท้า จากนั้นฝึกการฟ้อนเข้ากับจังหวะดนตรี และการ ขับร้องทั้งหมดนี้ต้องพร้อมเพรียง เป็นระเบียบ (บุญชม วงศ์แก้ว, 2564, 20 สิงหาคม, สัมภาษณ์) นายโม ใจสม ได้สร้างวิธีการบรรเลงดนตรีและฟ้อนให้เป็นการแสดงแบบไทย ประยุกต์ คือน าเอาเพลงไทยมาบรรจุค าร้องและท่าร าใหม่ โดยใช้ท่าร าภาคกลางเป็นหลัก แต่การแสดง ยังคงความเป็นพื้นบ้านล้านนา เพลงไทยเดิมที่น ามาประยุกต์ ได้แก่ เพลงพม่าเกี้ยว เพลงพม่าร าขวาน เพลงสร้อยสนตัด เพลงซออื่อ เพลงเขมรปากท่อ เพลงสร้อยแสงแดง เพลงศรีนวล เพลงยวนร าพัด เพลงมอญแปลง เพลงมอญใหม่ เพลงลาวชมสวน เพลงลาวชมดง เพลงจันทร์ลม นายโม ใจสม ได้น าคณะช่างฟ้อนวัดศรีทรายมูลไปแสดงตามงานวัดต่าง ๆ และได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรในการ สอนวงปี่พาทย์ การฟ้อนไทยประยุกต์ โดยเดินทางไปค้างแรมตามวัดที ่เชิญมา พร้อมกับคณะ ลูกศิษย์ที ่ไปช ่วยสอน ได้แก ่ นางสาวบัวเรียว สุภาวสิทธิ์ เป็นผู้สอนฟ้อนดาบและนางสาวค ามูล สุภาวสิทธิ์ สอนฟ้อนสาวไหม ในการสอนแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เนื่องจากการเรียน การสอนเป็นแบบตามอัธยาศัย คือ ชาวบ้านว่างเว้นจากการท างานในเวลากลางคืนจะมารวมตัวกัน ที่วัดของหมู่บ้านทั้งนักดนตรีและช่างฟ้อน ดังนั้นจึงใช้เวลากลางคืนในการสอนเป็นหลัก ในสมัย ปี พ.ศ. 2507 - 2509 เป็นช่วงที่ดนตรีและฟ้อนของคณะวัดศรีทรายมูลได้มีชื่อเสียงอย่างกว้างขวาง โดยมีอาณาเขต คือ ทิศเหนือ ต าบลนางแล อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ทิศตะวันออก ถึงเขตอ าเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ทิศใต้ถึงจังหวัดพะเยา นายโมเป็นผู้บรรจุค าร้องการร้องเพลง ไทย มาสู่จังหวัดเชียงราย อย่างเช่น เพลงสร้อยแสงแดง สร้อยสนตัด เพลงลาวสมเด็จ เขมรปากท่อ
41 ซึ่งได้แต่งค าร้องเพลงลาวสมเด็จให้กับคณะช่างฟ้อนวัดศรีทรายมูลร้องและร าถวายในการเสด็จ ประพาสเชียงรายของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ช่วงปี พ.ศ. 2501 บัวเรียว ได้มีโอกาสในการติดตามนายโม ใจสม ซึ่งขณะนั้น บัวเรียวอายุเพียง 12 ปี ในการติดตามไปถ่ายทอดการฟ้อนไทยประยุกต์ การฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนสร้อยแสงแดง พื้นที่ดังกล่าวได้ไปสอนอ าเภอพะเยา จังหวัดเชียงราย ในปีเดียวกันนี้ นายโม ใจสม ได้น าคณะช่างฟ้อนบ้านศรีทรายมูล ฟ้อนรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ ประพาสจังหวัดเชียงราย ด้วยการฟ้อนประกอบเพลงลาวสมเด็จ บัวเรียวได้ร่วมร้องและร าไทย ประยุกต์ร่วมกับคณะช่างฟ้อนของศรีทรายมูล นายโม ใจสม เสียชีวิตในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2515 (รัตนะ ตาแปง, 2564, 17 ตุลาคม, สัมภาษณ์) 2) นางพลอยศรี สรรพศรี ภำพที่ 10 นางพลอยศรี สรรพศรี ที่มำ: สนั่น ธรรมธิ นางพลอยศรีสรรพศรี นามสกุลเดิม เมฆขยาย เกิดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2462 ที่บ้านสันพระคง อ าเภอเมือง จังหวัดล าพูน เป็นบุตรนายบุญทา และนางเบียน เมฆขยาย มีพี่น้องร่วม บิดามารดา 4 คน ได้สมรสกับ นายอินทร์หล่อ สรรพศรี มีบุตรธิคารวม 4 คน นางพลอยศรีสรรพศรี จบการศึกขาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนสตรี วัฒโนทัยพายัพจังหวัดเชียงใหม่ แล้วมารดาได้ น าไปฝากให้อยู่ในความอุปการะของ เจ้าหญิงบัวทิพย์ ธิดาของ เจ้าแก้วนวรัฐ และได้เป็นข้าหลวง รับใช้ฝ่ายในของเจ้าแก้วนวรัฐ และได้เข้ารับการฝึกฟ้อนร าแบบพื้นเมือง ละครร า และการขับร้อง
42 ที่คุ้มวังของพระราชชายาเข้าคารารัศมี จนกระทั่งได้ประกาศนียบัตรเทียบเท่าศิลปินตรี จากกรม ศิลปากร เมื่อสมเด็จพระราชชายาฯ และเจ้าแก้วนวรัฐพิราลัยแล้ว นางพลอยศรีได้ออกจากคุ้ม และได้เข้าสังกัดเป็นศิลปินละครร้อง ของบริษัทละครนิยมไทยเวิ้งนครเกษม ที่กรุงเทพ ฯ เมื่อ พ.ศ. 2499 ย้ายติดตามสามีไปอยู่ที่จังหวัดเชียงราย และได้เข้าท างานเป็น อาจารย์พิเศษสอนขับร้องและนาฏศิลป์ที่โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม จนเกษียณอายุนางพลอยศรี มีบทบาทต่อวงการการขับร้องทั้งเพลงไทยและเพลงพื้นเมือง รวมทั้งการฝึกขับร้องและการแสดง ในวงการและโอกาสต่าง ๆ ของเมืองเชียงราย โดยร่วมกับนายอินทร์หล่อ สรรพศรี ผู้เป็นสามี ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 - 2530 โดยเฉพาะการที่ได้เป็นผู้อ านวยการฝึกสอนฟ้อนพื้นเมือง ถวายพระพร และฟ้อนรับเสด็จในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถคราวเสด็จมาวางศิลาฤกษ์ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช และพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรครั้งนั้น มีผู้เข้ารับ การฝึกอบรมจ านวน 1,299 คน จากบรรดาสุภาพสตรี ข้าราชการ ครู พยาบาล การแสดงเป็นที่ พอพระราชหฤทัยของในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ถึงกับตรัสรับสั่งให้ เข้าเฝ้าโดยใกล้ชิด เป็นต้น ทั้งนี้ นางพลอยศรีสรรพศรี ได้เป็นสมาชิกตลอดชีพของสมาคมส่งเสริมวัฒนธรรม หญิงจังหวัดเชียงรายและได้รับการแต่งตั้งจากกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการให้ร่วมเป็น คณะกรรมการวางหลักสูตรประมวลการสอนนาฎศิลป์พื้นเมือง จากความดีเด่นดังกล่าว นางพลอยศรี สรรพศรี จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปะ – ขับร้อง และนาฏศิลป์ ประจ าปี พ.ศ. 2531 จากคณะกรรมการสมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมหญิง จังหวัดเชียงราย นางพลอยศรีสรรพศรี เสียชีวิต เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2532 อายุ 70 ปี (รุจน์จรุง มีเหล็ก, 2548, น. 201 - 202)
43 3) นายชาญ สิโรรส ภำพที่ 11 นายชาญ สิโรรส ที่มำ: สนั่น ธรรมธิ นายชาญ สิโรรส เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2466 ที่เชียงใหม่ เป็นบุตรคนโตของ เจ้าชื่อ สิโรรส และเจ้าสุริฉาย สิโรรส (อิศรางกูรฯ) ภรรยาชื่อ นางจรรยา สิโรรส (จินดาทจักร์) มีพี่น้อง 10 คน มีบุตร 2 คน จบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนสตรีวัฒโนทัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ ชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ และจบอาชีวศึกษาจากโรงเรียนพาณิชยการพระนคร กรุงเทพฯ เมื่ออายุครบบวช ได้เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระสงฆ์อยู่ที่วัดเจดีย์หลวง อ าเภอเ มือง จังหวัดเชียงใหม่ ลาสิกขาบทแล้วประกอบอาชีพ การค้าขายท าไร่ยาสูบ แต่ชีวิตส่วนใหญ่ได้อุทิศตัว อาสาท างานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีล้านนาไทยและเป็น นักสังคมสงเคราะห์ทุกด้านโดยได้ปฏิบัติตามหน้าที่ในต าแหน่งที่ส าคัญ ดังนี้ - ประธานกรรมการบริษัท แม่ปิงยาสูบ จ ากัด - รองประธานสภาจังหวัดเชียงใหม่ - รองประธานสภาเทศบาลนครเชียงใหม่ - นายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาจังหวัดเชียงใหม่ - กรรมการเลขาธิการพุทธสมาคมเชียงใหม่ - กรรมการพัฒนาวัดฝ่ายหิน วัดในอุปถัมภ์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
44 - กรรมการศูนย์วิจัยล้านนาไทย คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - ก ร รมก า รที่ป รึ กษ ากิ ตติ มศั กดิ์ ชุ มนุ ม ดนต รีไทยสโมส รนั กศึ กษ า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - กรรมการที่ปรึกษาชุมนุมพุทธศิลป์ศึกษาและประเพณีสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - กรรมการมูลนิธิพุทธสถานเชียงใหม่ เป็นกรรมการผู้ริเริ่มและก่อตั้งสมาคม ชมรม มูลนิธิและหน่วยงานต่าง ๆ เช่น - ยุวพุทธิกสมาคมเชียงใหม่ - สมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมล้านนาไทย - พุทธสถานเชียงใหม่ - เป็นผู้พื้นฟูการตีกลองสะบัดชัย การฟ้อนสาวไหม ซึ่งมีมาแต่โบราณจนวิทยาลัย นาฏศิลปเชียงใหม่รับเข้าไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน - ริเริ่มจัดรายการเพื่อส่งเสริมศิลปะการเล่น การแสดงของชาวล้านนาไทย เช่น การฟ้อนต่าง ๆ การซอ การเล่าเจี้ย การประกวดโคมลอยในงานลอยกระทง การประกวดแม่ญิงขี่รถ ถีบก๋างจ้อง การจัดตลาดนัดตอนเช้าที่เรียกว่า "กาดหมั้วกาดมั่ว" ในงานประเพณีสงกรานต์ เป็นต้น - เป็นผู้บุกเบิกงานอาสาสมัครสังคมสงเคราะห์ ด้านส่งเสริมกิจกรรมเยาวชน การสงเคราะห์ชุมชน การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ตลอดจนการจัดตั้งองค์การอาสาสมัคร เอกชนเพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า นายชาญ สิโรรส เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ณ โรงพยาบาลมหาราชนคร เชียงใหม่ เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 รวมอายุได้ 65 ปี (รุจน์จรุง มีเหล็ก, 2548, น. 209 - 210) กล่าวคือบัวเรียว ได้รับการถ่ายทอดท่าร าไทยประยุกต์ จากนายโม ใจสม ณ วัดศรีทรายมูล ต าบลรอบเวียง อ าเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และติดตามนายโม ใจสม ออกแสดงและเป็นผู้ช่วยสอน ฟ้อนในโอกาสต่าง ๆ ต่อมานางบัวเรียว ร่วมงานแสดรวมทั้งได้รับการถ่ายทอดการแสดง จากนางพลอยศรีสรรพศรี ชาวบ้านสันโค้ง ต าบลรอบเวียง อ าเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และมีโอกาส ได้ร่วมแสดงให้กับนายชาญ สิโรรส นางบัวเรียวได้ปรับปรุงการแสดงจากการให้ค าแนะน าของ นายชาญ เพื ่อให้เหมาะสมกับการแสดงในโอกาสต่าง ๆ รวมถึงแนะน าให้นางบัวเรียวมาฟ้อน ที่จังหวัดเชียงใหม่ในโอกาสส าคัญต่าง ๆ จนกระทั่งแพร่หลาย ปรากฏว่านางบัวเรียว ช่างฟ้อนแห่ง จังหวัดเชียงรายผู้นี้ฟ้อนสาวไหมได้งดงามอย่างยิ่ง ทั้งลีลาและการใส่อารมณ์ ในครั้งนั้นได้มีผู้ขอรับ ถ่ายทอดฟ้อนสาวไหมเพื่อไปฟ้อนกันอย่างแพร่หลาย
45 4.3 ประวัติกำรท ำงำนและกำรแสดง พ.ศ. 2501 - 2508 เมื่อบัวเรียวได้เรียนและได้รับการฟ้อนจากนายโม ใจสม ตั้งแต่อยู่ เป็นคนท้ายสุดของแถวจนนายโม ใจสม ให้บัวเรียว เป็นช่างฟ้อนคนแรกสุดของแถว มีหน้าที่ ในการเป็นผู้น าฟ้อน และเป็นต้นเสียงในการร้องเพลงไทยเดิม ประกอบการฟ้อนร าของคณะช่างฟ้อน ศรีทรายมูล บัวเรียวได้ท าหน้าที่ในการเป็นผู้สอนและถ่ายทอดการฟ้อนและท่าฟ้อนร่วมกับ นายโม ใจสม ตามหัววัดและหมู่บ้านต่าง ๆ ในอ าเภอเมืองเชียงราย ต่างอ าเภอของจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียง โดยมีนายโม ใจสม เป็นผู้ถ ่ายทอดการบรรเลงวงปี ่พาทย์และการร าไทย ประยุกต์ บัวเรียวท าหน้าที่ในการสอนและถ่ายทอดการฟ้อนดาบ การฟ้อนสาวไหม การถ่ายทอด ในแต่ละที่นั้นต้องใช้เวลาในการถ่ายทอดประมาณหนึ่งเดือน บัวเรียวได้ท าหน้าที่ในการเป็นผู้สอน และถ่ายทอดท่าฟ้อนร่วมกับนายโม ใจสม ในชุมชนและหัววัดต่าง ๆ เช่น บ้านงิ้วเก่า บ้านงิ้วใหม่ บ้านสัก บ้านสว่าน บ้านดอนแก้ว บ้านหนองแรด อ าเภอเทิง บ้านป่าแดง บ้านห้วยทรายขาว อ าเภอพาน บ้านทุ่งหลวง บ้านริมกก ต าบลแม่ยาว ต าบลแม่กรณ์ ต าบลนางแล ต าบลบ้านดู่ อ าเภอเมืองเชียงราย ต าบลป่าก่อด า อ าเภอแม่ลาว อ าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย และบ้านสัน ต้นผึ้ง ต าบลบ้านตุ่น ต าบลบ้านสาง อ าเภอเมือง จังหวัดพะเยา นางบัวเรียว ได้ประกอบอาชีพในการท านา ตามรอยบิดาและระหว่างการท านานั้นก็ได้ ท าหน้าที่ในการเป็นช่างฟ้อนในงานบุญของวัดต่าง ๆ พร้อมกับคณะช่างฟ้อนวัดศรีทรายมูล ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึง เดือนเมษายน ของปีถัดไป อย่างเช่น งานประเพณีตานก๋วยสลาก งานประเพณีสรงน้ าพระธาตุ งานท าบุญทอดกฐิน งานท าบุญทอดผ้าป ่า และงานท าบุญฉลอง เสนาสนะถาวรวัตถุ (งานปอยหลวง) และงานบุญต่าง ๆ เป็นต้น จนกระทั่งนางพลอยศรี สรรพศรี ได้เห็นการฟ้อนสาวไหมของบัวเรียว ในงานท าบุญปอยหล วง ณ วัดถ้ าปล า ต าบลโป ่งง าม อ าเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จึงแนะน าให้บัวเรียวได้รู้จักกับนายชาญ สิโรรส จังหวัดเชียงใหม่ และนางพลอยศรี ก็ได้ถ่ายทอดการร าไทยให้กับบัวเรียว ที่มาจากสายคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี อีกทางหนึ่ง พ.ศ. 2509 - 2512 นายชาญ สิโรรส ท่านเป็นนักคิด นักเขียนที่มีชื่อเสียงของภาคเหนือ คนหนึ่ง ได้น าบัวเรียว ออกเดินทางจากจังหวัดเชียงรายมุ่งสู่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อรับงานแสดงการฟ้อน สาวไหม ฟ้อนลาวแพน ร าแม่บท ฟ้อนเล็บ ตามโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ และสอนฟ้อนพื้นบ้าน ล้านนาตามความสนใจของผู้เรียน โดยให้นางบัวเรียวพักอาศัยอยู่ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างการเผยแพร่การฟ้อนในจังหวัดเชียงใหม่ บัวเรียวมีโอกาสได้ร่วมงานกับ นายค า กาไวย์ (ศิลปินแห ่งชาติ) ปี พ.ศ. 2535 นายค า ได้กล ่าวว ่า “เมื ่อมีกลองสะบัดชัยที ่ไหน ก็ต้องมีการฟ้อนสาวไหมที่นั่น” เพราะทั้งสองการแสดงได้รับความนิยมในการแสดงในงานเลี้ยง
46 ขันโตก และศิลปินทั้งสองท่านเป็นช่างฟ้อนที่ได้รับการอุปถัมภ์โดยนายชาญ สิโรรส ผู้ที่มีบทบาท อย่างยิ่งในการส่งเสริมการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายอีกท่าน ก็คือนายชาญ สิโรรส (นายกสมาคมพุทธสถานจังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งได้พบเห็นการฟ้อนสาวไหม ของนางบัวเรียว ที ่จังหวัดเชียงรายจึงได้เชิญให้ บัวเรียวไปเผยแพร่การฟ้อนสาวไหม ณ จังหวัด เชียงใหม่และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ โดยพักอยู่ทีโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือจังหวัด เชียงใหม่เป็นระยะเวลา 3 ปี พ.ศ. 2513-2529 นางบัวเรียว ได้กลับมาดูแลพ่อและแม่ ณ บ้านเกิดของตน ที่บ้าน ศรีทรายมูลจากนั้นในปี พ.ศ. 2513 ได้สมรสกับนายโสภณ รัตนมณีภรณ์ มีบุตรสาวด้วยกันสามคน คือ นางสาวสายไหม นางสาวสายชล นางสาวสนธยา นางบัวเรียวจึงได้ประกอบอาชีพค้าขาย เพื่อน าเงินมาจุนเจือครอบครัว ในระหว่างนั้นนางบัวเรียวไม่ได้หยุดในการแสดงฟ้อนและยังคงเป็น ช่างฟ้อนให้กับคณะช่างฟ้อน “วัดศรีทรายมูล” และร่วมกับช่างฟ้อนคนอื่น ๆ โดยท าหน้าที่ใน การเผยแพร่การฟ้อนสาวไหม ฟ้อนดาบ ฟ้อนเชิง ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน และการแสดงอื่น ๆ ต่อไป โดยที่นางบัวเรียวได้รับความนิยมและเป็นช่างฟ้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดเชียงรายในยุคนั้น จนท าให้นางบัวเรียวได้รับโล่รางวัลเกียรติคุณระดับประเทศจากท่านพลเอกประจวบ สุนทรางกูล รองนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ. 2526 พ.ศ. 2529 นายโสภณ รัตนมณีภรณ์ สามีผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวได้เสียชีวิตลง จึงท าให้นางบัวเรียวต้องเป็นเสาหลักและหัวหน้าครอบครัวในการเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสามคนช่วงนั้น เป็นช่วงที่มีความล าบากของชีวิตในการหาเงินเพราะลูกสาวทั้งสามคนอยู่ในช่วงวัยที่ต้องเข้าเรียน หนังสือในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา บัวเรียวได้ท าการค้าขายไข่ไก่ในตลาดสดเทศบาล โดยมีบุตรสาวคนโต คือนางสาวสายไหม เป็นหัวแรงหลักในการช่วยเหลือท ามาหากิน เพื่อที่จะส่งเสีย น้องอีกสองคนให้เรียนหนังสือ แต่โชคดีที่บุตรสาวของนางบัวเรียว ทั้งสามคน เป็นคนที่มีความขยัน กตัญญู ช่วยเหลืองานครอบครัวร่วมกันทั้งสามคนมาโดยตลอด นางบัวเรียวไม่ได้หยุดการพัฒนา หาความรู้เพื่อที่จะมาประกอบอาชีพจึงได้ศึกษาการท าแคบหมูจากหนังสือและลองผิดลองถูก ในการท า “แคบหมูไร้มัน” ฝึกฝนจนช านาญได้รับความนิยมจากโรงแรมและร้านค้าต่าง ๆ จึงท าให้ นางบัวเรียวมีรายได้เพิ ่มขึ้น สร้างก าไรเป็นอย่างมากส่งเสียให้ลูกสาวทั้งสามคนเรียนหนังสือ ในช่วงการท าแคบหมูขาย นางบัวเรียวก็ยังรับงานแสดงด้านการฟ้อนตามโรงแรม และร้านค้าต่าง ๆ ที่ว่าจ้างให้คณะช่างฟ้อน “บ้านสาวไหม” ร่วมกับลูกศิษย์และลูกสาวทั้งสามคนไปแสดงจนเป็นที่รู้จัก อีกช่วงหนึ่ง
47 4.4 ประวัติกำรถ่ำยทอดกำรแสดง หลังจากเลิกกิจการค้าขายในปี พ.ศ. 2545 นางบัวเรียวได้ท าหน้าที่ในการถ่ายทอด ศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคเหนืออย่างเต็มที่ให้กับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้แก่ มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิทยาลัยเชียงราย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพ วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพายัพ มหาวิทยาลัย พะเยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก วิทยาลัยดุริยางคศิลป์จังหวัด มหาสารคาม โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม โรงเรียนบ้านสันโค้ง (เชียงราย จรูญราษฎร์) โรงเรียนเมืองเชียงราย (เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการเชียงราย) โรงเรียนเทศบาล ในสังกัดเทศบาลนครเชียงราย โรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม และโรงเรียนในสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาเชียงรายเขต 2 ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน (ท่าน ว.วชิรเมธี) คณะพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กลุ่มพัฒนาสตรีทั้ง 17 ชุมชน ในเขตเทศบาลนครเชียงราย กลุ่มพัฒนาสตรีต าบลป่าอ้อดอนชัย กลุ่มพัฒนาสตรีต าบลแม่ยาว กลุ่มพัฒนาสตรีอ าเภอเทิง และกลุ่มพัฒนาสตรีอ าเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย กลุ่มพัฒนาสตรี อ าเภอพบพระ จังหวัดตาก กลุ ่มโรงเรียนและเครือข่ายศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย รวมถึงผู้ที่มีความสนใจทั้งการสอน นอกสถานที่และการเรียนการสอนและการถ่ายทอดที่บ้านของตนเองใช้ชื่อว่า บ้านสาวไหม ชุมชนศรีทรายมูล อ าเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2537 ทางชมรมพื้นบ้านล้านนา ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ น าโดยนายสนั่น ธรรมธิ ได้น าสมาชิกชมรมมาเรียนการฟ้อนสาวไหม ฟ้อนดาบ และฟ้อนเจิง จากนางบัวเรียวเป็นระยะเวลาหนึ่ง สมาชิกได้ช่วยกันในการหาข้าวปลาอาหาร มาจุนเจือและทาน ร่วมกันในลักษณะของครอบครัวถ้อยทีถ้อยอาศัย ท าให้สมาชิกชมรมในรุ่นนี้มีความสนิทสนม กับนางบัวเรียวเสมือนญาติสนิทและครอบครัวเดียวกัน ท าให้ชมรมพื้นบ้านล้านนามาเรียน การฟ้อนสาวไหม ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง อย่างต่อเนื่องตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงให้เกียรติยกย่องให้นางบัวเรียวเป็น “แม่ครู” ของชมรมพื้นบ้านล้านนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2537 พ.ศ. 2540 จนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้เปิดท าการสอนสาขาวิชา นาฏศิลป์และการละคร จึงได้เชิญนางบัวเรียวไปถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหมให้กับนักศึกษาในสาขาวิชา ดังกล่าว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา จนได้รับโล ่ประกาศเกียรติคุณให้เป็นผู้มีผลงานดีเด ่น ทางวัฒนธรรมจากสถาบันราชภัฏเชียงราย ด้านการแสดงฟ้อนสาวไหม ให้กับนางบัวเรียวในปี พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นเป็นปีที่ 2 และได้เล็งเห็น ความส าคัญของศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านล้านนา จึงเรียนเชิญนางบัวเรียวไปเป็นวิทยากรถ่ายทอด
48 การฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง ให้กับนักศึกษาเพื่อเตรียมการจัด งานขันโตก รับน้องใหม่เป็นประจ าทุกปี นางบัวเรียวจึงเป็นแม่ครูคนแรกในการถ่ายทอด ศิลปะการแสดงพื้นเมืองล้านนาให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และในการนี้ทาง มหาวิทยาลัยยังได้มอบโล่ประกาศ เกียรติคุณผู้ท าคุณประโยชน์ในการสืบทอดและอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมไทยในปี พ.ศ. 2543 และปัจจุบันนี้นางบัวเรียวยังเป็นวิทยากรพิเศษในการถ่ายทอด ศิลปะการแสดงพื้นเมืองล้านนาให้กับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงอย่างต่อเนื่องตลอดมา จากการที่เป็นต้นแบบในการฟ้อนสาวไหมและได้ถ่ายทอดให้เยาวชนรุ่นหลังจนมีลูกศิษย์ มากมาย ตลอดจนน าออกแสดงเผยแพร่ไปทั่วทั้งพื้นที่ภาคเหนือ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ จึงขอจดลิขสิทธิ์ท่าร า รวมทั้งประวัติความเป็นมาของการฟ้อนสาวไหม ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2542 ตามค าขอเลขที่ 7184 ชื่อผลงาน “ฟ้อนสาวไหม” พ.ศ. 2556 สาขาวิชาศิลปะการแสดง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ได้เปิดการเรียนการสอนให้กับนิสิตที่มีความสนใจในงานด้านศิลปะการแสดง ภายใต้การออกแบบหลักสูตร โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ราชบัณฑิต สาขานาฏกรรม จัดให้มีการสอนรายวิชาศิลปะการแสดงพื้นเมืองล้านนาแบบบุรุษเพศ สาขาวิชา จึงได้น าเอาการฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง และรายวิชานาฏศิลป์พื้นเมืองล้านนาแบบสตรีเพศ จึงได้น าเอา ศิลปะด้านการฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเล็บเชียงราย สายสกุลช ่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ มาใช้และน าไปถ ่ายทอดให้กับนิสิตในสาขาวิชานี้ และได้เชิญนางบัวเรียว ให้เป็นอาจารย์พิเศษ และถ่ายทอดศิลปะการแสดงในสาขาวิชาดังกล่าวตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้ปรับปรุงท่าฟ้อนและสร้างสรรค์การแสดงบน พื้นฐานของความเป็นต้นแบบมีการปรับประยุกต์ มีพัฒนาการ มีการใช้เทคนิคเข้ามาช่วย นางบัวเรียว ปรับปรุงท่าฟ้อนให้มีมาตรฐานมากขึ้น โดยค านึงถึงผู้เรียนเป็นหลักจึงได้จัดท าหลักสูตรส าหรับตนเอง ที่ใช้ในการเผยแพร่การฟ้อนสาวไหม ฟ้อนดาบ ฟ้อนเชิง ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน และฟ้อนอื่น ๆ รวมถึงการบันทึกท่าร าเพื่อสร้างความเข้าใจ เน้นการเรียนรู้ที่สามารถเข้าใจได้ชัดเจนและไม่ยาก ส าหรับผู้เรียน โดยแบ ่ง การเรียนการสอนเป็นชั่วโมง แบ่งการสอนโดยการฝึกร าโดยไม่มีดนตรี แล้วจึงเรียนเข้ากับจังหวะดนตรีของแต่ละการแสดง เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เต็มตามรูปแบบการฟ้อน ที่ได้รับการถ่ายทอด แต่เมื่อน าไปแสดงให้พิจารณาถึงผู้ชม เวลาที่ใช้ในการแสดง และให้ลูกศิษย์ สามารถน าไปแสดงตามความเหมาะสมดังกล่าวได้ การแสดงเหล่านี้จึงได้น าไปสู่ระบบการเรียน การสอนของสถาบันการศึกษา เช่นโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดให้กับคนรุ่นหลัง สืบต่อไป ทั้งตัวนางบัวเรียว เป็นผู้ถ่ายทอด และลูกศิษย์เป็นผู้ถ่ายทอดและนางบัวเรียวเป็นผู้ประเมิน ให้ค าแนะน าการแสดงของลูกศิษย์เหล ่านั้น และสอนให้ลูกศิษย์มีการปรับตัวเข้ากับสังคม เน้นให้นักแสดงและผู้เรียนสามารถน าการแสดงเหล่านี้ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการแสดงและความ
49 ต้องการของคนในยุคปัจจุบัน แต่ยังคงความเป็นการฟ้อนแบบพื้นเมืองล้านนา เน้นการแต่งกาย รูปแบบพื้นเมืองล้านนาให้เข้ารูปพอดี มีสีสันและความเหมาะสมกับงานแต่ต้องมีความสดใส เช่น สีเขียว สีชมพู สีม่วง สีฟ้า ใส่ผ้าถุงก่าน หรือ ซิ่นก่าน แบบคนเมืองล้านนา การด าเนินงานทางด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือ ด้านการฟ้อนร ามาตลอดทั้ง ชีวิตของ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ท าให้หน่วยงานทางราชการ หน่วยงานด้านการศึกษา ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านนันทนาการ และกลุ่มนักธุรกิจ ต่าง ๆ ได้เห็นความส าคัญขอนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ และได้มอบโล่ป ระก าศเกีย รติคุณแล ะร างวัลใน ร ะดับช าติ ร ะดับภูมิภ าค แล ะ ร ะดับท้องถิ่นเพื่อเป็นขวัญก าลังใจในการท างานของนางบัวเรียว และลูกศิษย์ในสายสกุล ช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ พ.ศ. 2559 นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน - ช่างฟ้อน) 4.5 พัฒนำกำรฟ้อนสำวไหม สำยสกุลช่ำงฟ้อนนำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ พัฒนาการฟ้อนสาวไหม สายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ซึ่งเกิดการเรียนรู้ สืบทอด ส่งเสริม อนุรักษ์ หวงแหน สร้างสรรค์ และพัฒนางานดั้งเดิมให้มีความทันต่อเหตุการณ์ นางบัวเรียว มีแรงจูงใจ และแนวทางการในการพัฒนาผลงานงานดังนี้ ช่วงที่ 1 พ.ศ. 2495 - 2508 เป็นการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางด้านการแสดงของตน ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบิดา คือ นายกุย สุภาวสิทธิ์ และจากครูผู้ถ่ายทอดการแสดงร าไทย คือ นายโม ใจสม นางพลอยศรี สรรพศรี และนางนวลฉวี เสนาค า จนพัฒนาตนเองเป็นช่างฟ้อน ที่ได้รับการยอมรับจาก พ่อครูแม่ครูให้เป็นต้นเสียง เป็นผู้น าฟ้อนของคณะช่างฟ้อน จนเป็นที่รู้จัก ของประชาชนชาวจังหวัดเชียงราย รวมถึงการเข้าร่วมถ่ายทอดการฟ้อนดังกล่าวตามสถานที่ต่าง ๆ ร่วมกับนายโม ใจสม ช่วงที่ 2 พ.ศ. 2509 - 2528 เป็นช่วงของการพัฒนาท่าฟ้อนสาวไหม เพื่อให้เข้ากับ ยุคสมัยและความนิยมจากประสบการณ์ที่ได้ไปแสดงเผยแพร่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยการแนะน า และปรับปรุงท่าฟ้อนของนายชาญ สิโรรส ปรับปรุงท่าฟ้อนเล็บของนายโม ใจสม ด้วยวิธีการใช้ ท ่าฟ้อนเสือลากหางเป็นท่าเชื่อมในการแสดงฟ้อนเล็บ โดยทุก 3 กระบวนท่าฟ้อนเล็บต้อเชื่อมท่า ด้วยเสือลากหาง ช่วงที ่ 3 พ.ศ. 2542 สร้างสรรค์ท ่าฟ้อนแม่หญิงล้านนา ประกอบการแสดงเพลง เชียงราย ขับร้องโดยธัญญทิพย์ นครเชียงราย แต่งเพลงโดยแมนสปริงเกอร์ - ปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหม โดยเพิ่มท่าตากฝ้ายให้เข้ากับการฟ้อนสาวไหมต้นแบบ - ปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหม เหมาะส าหรับผู้สูงอายุที่ยากต่อการเคลื่อนไหว และขาด ความคล่องตัวน าไปแสดงในงานต่างๆ ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน
50 ช่วงที่ 4 พ.ศ. 2556 สร้างสรรค์ท่าฟ้อนร าวงพื้นบ้านที่เหมาะสมกับการแสดงของกลุ่ม ลูกศิษย์ที่เป็นผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไปให้มีความคึกครื้น สวยงาม และเหมาะสมตามวัย พ.ศ. 2557 สร้างสรรค์ท่าฟ้อนเบิกฟ้าราชภัฏเชียงราย เพื่อถ่ายทอดให้กับนักศึกษา สาขาวิชาการบัญชี ส านักวิทยาการจัดการ ของมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย พ.ศ. 2558 ปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหม จากการฟ้อนเดี่ยว หรือฟ้อนกลุ่มให้สามารถ ฟ้อนสาวไหมเป็นคู่ชาย - หญิง และถ่ายทอดให้กับนิสิตชมรมข่วงศิลป์ของมหาวิทยาลัยพะเยา สร้างสรรค์ท่าฟ้อนขันดอก ให้กลุ่มพัฒนาสตรี เขต 3 เทศบาลนครเชียงราย โดยเอาท่าฟ้อนเล็บ มาปรับประยุกต์ใช้โดยมีการน าขันดอกเข้ามาเพิ่มเติม พ.ศ. 2559 สร้างสรรค์ผลงานชุดฟ้อนมองเซิง โดยการพัฒนาจากท่าฟ้อนเล็บ ฟ้อนก๋าย ลายแบบดั้งเดิมที่ตนได้ศึกษามาจากกลุ่มช่างฟ้อนชาวอ าเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2529 ร่วมกับชมรมพื้นบ้านล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การฟ้อนของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เป็นการฟ้อนที่ให้รู้ถึงคุณค่าทางจิตใจ การเชื่อมโยง วัฒนธรรม การผสมผสานให้ลงตัว อนุรักษ์ สืบสาน สนับสนุน และสร้างสรรค์ผลงานการแสดงตาม แบบโบราณที่ได้รับการถ่ายทอด และเผยแพร่ให้กับเยาวชนรุ่นต่อ ๆ ไป หากขาดซึ่งบุคคลผู้ถ่ายทอด และเครือข่ายที่สร้างไว้ศิลปวัฒนธรรมของบรรพบุรุษและของชาติก็จะสูญหายไปกับกาลเวลา ด้วยปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่เข้ามากระทบแต่นางบัวเรียวยังคงอนุรักษ์ สืบสาน และสนับสนุน ศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือเหล่านี้ไว้อย่างเต็มก าลังและสุดความสามารถ 5. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 5.1 ทฤษฎีเลียน รับ ปรับ แต่ง ทฤษฎี เลียน รับ ปรับ แต ่ง เป็นทฤษฎีที่ว ่าด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติของชีวิตที่ เกิดขึ้นมาอย ่างต่อเนื่องของมนุษย์ที่มีการเรียนรู้รับเอาวัฒนธรรมอื่น ปรับตัวเข้ากับตัวเอง ในการด ารงอยู่กับความเป็นตัวตนเพื่อการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีว่าด้วย การเลียนแบบ จากนั้นรับหรือยอมรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งไม่ได้รับมาทั้งหมดแต่รับมา บางส่วนที่เข้าใจและสามารถด าเนินการได้ สู่การปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมบ้าน ครอบครัว ท้องถิ่น จากนั้นจึงเป็นการแต่งให้งดงามสมสง่ากับความเป็นตัวตน สังคม ในบริบทรอบข้าง (พูนพิศ อมาตยกุล, 2550, น. 1 - 3) 5.2 หลักเกณฑ์และกระบวนกำรถ่ำยทอดควำมรู้ของครูเฉลย ศุขะวณิช การถ่ายทอดความรู้นับเป็นส่วนส าคัญยิ่งในการอนุรักษ์องค์ความรู้ให้คงอยู่ โดยเฉพาะ องค์ความรู้ด้านนาฏศิลป์ไทย ซึ่งจะต้องใช้ทักษะการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความช านาญ องค์ความรู้
51 ด้านนาฎศิลป์ มีการสืบทอดกันมาแต ่ครั้งโบราณจากรุ ่นหนึ ่ง ไปสู ่อีกรุ ่นหนึ ่ง คุณครูเฉลย ศุขะวณิช ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ต่าง ๆ ไว้ให้แก่ศิษย์ของท่านมากมาย ตลอดระยะเวลานาน 40 กว่าปี ท่านอุทิศแรงกายและแรงใจ ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ เพื่อให้ศิษย์ด าเนินรอยตาม จนสามารถสืบทอดมรดกของชาติไว้ได้ส่วนหนึ่ง จากการศึกษางานวิจัยผลงานการถ่ายทอดความรู้ของคุณครูเฉลย ศุขะณิช ผู้วิจัยได้ ก าหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการถ่ายทอดความรู้ ไว้ดังนี้ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถ่ายทอดกับผู้รับการถ่ายทอด การถ่ายทอดความรู้ อันเป็นวิชาชั้นสูงในด้านศิลปะการแสดง ผู้ถ่ายทอดมักค านึงถึง ผู้รับการถ่ายทอดด้วยเหตุผลหลายประการ ปัจจัยในการถ่ายทอดความรู้ด้านนาฎศิลป์ไทย 1.1 ผู้รับการถ่ายทอดเป็นศิษย์ตามหลักสูตรการศึกษา 1.2 ผู้ถ่ายทอดเป็นผู้คัดเลือกผู้รับการถ่ายทอดเอง 1.3 ผู้ถ่ายทอดต้องการผู้ช่วยในการถ่ายทอด 1.4 ผู้ถ่ายทอดต้องการสืบทอด การแสดงนาฎศิลป์ไทย 2) โอกาสในการถ่ายทอดความรู้ การถ่ายทอดความรู้ด้านนาฎศิลป์ไทย ได้รับการสืบทอดมาแต่โบราณ ปรมาจารย์ ด้านนาฎศิลป์ได้คิดสร้างสรรค์ผลงานด้วยความประณีต บ่งบอกถึงคุณลักษณะความเป็นชาติไทย ที ่มีเอกลักษณ์อันเป็นวัฒนธรรมประจ าชาติ การสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมนี้ มีปัจจัยของโอกาส ในการถ่ายทอดมาก าหนดเป็นการสนับสนุนให้มีการถ่ายทอด ดังนี้ โอกาสในการถ่ายทอดความรู้ด้านนาฎศิลป์ไทย 2.1 การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยองค์ผู้อุปถัมภ์หรือผู้บังคับบัญชา 2.2 การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยหลักสูตรของสถานศึกษา 2.3 การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยผู้ถ่ายทอดจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถเชี่ยวชาญอย่างจริงจังทั้งมีประสบการณ์การแสดง 2.4 การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยผู้รับการถ่ายทอด 3) การถ่ายทอดความรู้เดี่ยวเฉพาะบุคคล การอนุรักษ์กระบวนท่าร าโบราณที่มีกลเม็ดเด็ดพราย และมีเอกลักษณ์เฉพาะ จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิถีพิถันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับการถ่ายทอดด้วยเหตุนี้ผู้ถ่ายทอด จึงเลือกที่จะถ่ายทอดเดี่ยวเฉพาะบุคคล 3.1 การถ่ายทอดความรู้เดี่ยวเฉพาะบุคคลในการร าเดี่ยว นับเป็นหัวใจส าคัญของ การถ่ายทอด เพราะการร าเดี่ยวส่วนใหญ่เป็นการอวดฝีมือของผู้แสดง ดังนั้นผู้แสดงจะต้องมีทักษะ
52 ความช านาญและกระบวนท่าที่ถูกต้องสวยงาม เมื่อเป็นเช่นนี้ การถ่ายทอดเดี่ยวเฉพาะบุคคลหรือ ถ่ายทอดตัวต่อตัว จึงมักจะเนันการปฏิบัติซ้ า ๆ และแก้ไขท่าทางให้ถูกต้อง ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ดีกว่า การสอนหลายคน 3.2 การถ่ายทอดความรู้เดี่ยวเฉพาะบุคคลในการแสดงโขน – ละคร ในการแสดงโขน - ละคร มีตัวเอกของแต่ละตอนซึ่งจะต้องแสดงบทบาทเฉพาะ กระบวนท่าร าเฉพาะของตัวเอกนั้น มีแบบแผนก าหนดไว้เป็นจารีตและสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ การถ่ายทอดความรู้เดี่ยวเฉพาะบุคคล ในการแสดงโขน - ละคร 4) การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่ม การถ่ายทอดความรู้ด้านนาฎศิลป์ไทยถือได้ว่าเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ ยิ่งมีผู้รับการถ่ายทอดมากเท่าไร นาฎศิลป์ไทยก็จะยังคงอยู่คู่กับประเทศชาติ ด้วยเหตุนี้ การถ่ายทอด ความรู้เป็นกลุ่มจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะร่วมกันจรรโลงศิลปะแขนงนี้ไว้ได้ การถ่ายทอดความรู้ เป็นกลุ่มอาจจ าแนกการถ่ายทอดได้ ดังนี้ 4.1 การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในชั้นเรียน 4.2 การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในการร า 4.3 การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มด้านระบ า 5) การประเมินผลการถ่ายทอด เมื่อคุณครูเฉลย ศุขะวณิช ถ่ายทอดความรู้ด้านนาฎศิลป์ไทยให้กับศิษย์ ท่านจะ คอยดูแลเอาใจใสอย่างสม่ าเสมอ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงประเมินผลการถ่ายทอดอยู่ตลอดเวลา ดังนี้ 5.1 การประเมินผลในระหว่างการถ่ายทอดความรู้ 5.2 การประเมินผล หลังจากการถ่ายทอดความรู้ 5.3 การประเมินผล หลังจากจบการแสดง หลักเกณฑ์และกระบวนการถ่ายทอดความของครูเฉลย ศุขะวณิช นับเป็นคุณลักษณะเฉพาะ ผู้วิจัยได้ท าการวิเคราะห์จากประวัติและผลงานต่าง ๆ ของท่าน คุณลักษณะดังกล่าวเป็นแบบครูไทย โบราณที่จะถ่ายทอดความรู้ด้วยความรู้สึกที่มีต่อศิษย์พึงพอใจที่จะถ่ายทอดความรู้ให้โดยมิได้หวัง ผลตอบแทนเมื่อถ่ายทอดก็หวังว่าผู้เป็นศิษย์จะสามารถจรรโลงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ ของชาติไทย (ไพโรจน์ ทองค าสุก, 2544, น. 207 - 213)
53 6. งำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง รุจน์จรุง มีเหล็ก (2548) ได้วิทยานิพนธ์เรื่อง ฟ้อนสาวไหม: กรณีศึกษาบัวเรียว รัตมณีภรณ์ และค า กาไวย์โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของการแสดง ฟ้อนสาวไหม รวมถึงวิเคราะห์รูปแบบการแสดงฟ้อนสาวไหมบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ และฟ้อนสาวไหม ค า กาไวย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาช่างฟ้อน โดยศึกษาจากเอกสารงานวิจัย การสัมภาษณ์การสังเกตจาก ภาพถ่ายภาพวีดิทัศน์ ตลอดจนฝึกหัดของผู้วิจัยกับผู้เชี่ยวชาญการฟ้อน ผลจากการศึกษาพบว่า ฟ้อนสาวไหมบัวเรียว รัตนมณีภรณ์เกิดขึ้นมาเมื่อ 80 ปีก่อน โดยชายชาวล้านนาชื่อ กุย สุภาวสิทธิ์ ซึ่งเป็นครูเจิง โดยนายกุย สุภาวสิทธิ์ ได้น าเอากระบวนท่าสาวไหมฟ้อนเจิงลายสาวไหมมาปรับปรุง และประดิษฐ์ขึ้นมาใหม ่ ได้น าเอาวิถีชีวิตของชาวล้านนาในการปั่นฝ้ายทอผ้ามาประสมประสาน ความคิดของภูมิปัญญาชาวบ้าน ในการท างานกับท่าฟ้อนเข้าด้วยกันเป็นฟ้อนสาวไหมที่มีความอ่อน ช้อยนุ่มนวลเหมาะสมกับสตรีชาวล้านนาและได้ถ่ายทอดให้กับบุตรสาวชื่อ บัวเรียว (สุภาวสิทธิ์) รัตนมณีภรณ์ ฟ้อนสาวไหมเป็นศิลปะการแสดงของล้านนาที่ปรับปรุงและเลียนแบบอากัปกิริยาของ การสาวไหม การดึงไหมออกมาเป็นเส้น เพื่อน ามาทอเป็นผืน เช่นเดียวกับฟ้อนสาวไหม ครูค า กาไวย์ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากอุ้ยแก้ว ใจขัด ช่างฟ้อนสตรีเป็นฟ้อนสาวไหมปั่นฝ้าย คือการสาวไหม ดึงเส้นไหมมาทอผ้า ฟ้อนสาวไหมได้พัฒนาระยะต่อมาคือ ครูพลอยศรีสรรพศรี ได้ร่วมปรับปรุง และได้น ามาสอนในวิทยาลัยนาฎศิลปเชียงใหม่ และได้รับการปรับปรุงอีกครั้งมาเป็นฟ้อนสาวไหม ปัจจุบันดนตรีที่ใช้ในการฟ้อนแต่เดิมใช้วงเต่งทิ้งประกอบการแสดง ต่อมาใช้วงสะล้อ ซอ ซึง เพลงที่ใช้ ในการฟ้อนเป็นเพลงลาวสมเด็จแปลง ระยะหลังได้ใช้เพลงสาวไหม และเพลงซอปั่นฝ้ายบรรเลง ประกอบเพื่อความอ่อนช้อยเหมาะสมการแต่งกาย ช่างฟ้อนจะแต่งชุดพื้นเมืองทั้งช่างฟ้อนชายและ ช่างฟ้อนสตรี ลักษณะการฟ้อนจะมีทั้งกระบวนการท่านั่ง ยืน และเดิน ลีลาการฟ้อนมีการยืด และยุบตัวอย่างนิ่มนวล เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ไม่เน้นการกระทบเข่าการใช้นิ้วชี้หรือนิ้วกลางจีบ เพื่อแสดงถึงการสาวเส้นไหมดึงไปด้านหลังพร้อมกับเบี่ยงล าตัวและอ่อนเอียงศีรษะไปตามมือ แสดงให้เห็นความสามารถของครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ที่ผสมผสานท่าธรรมชาติกับท่าฟ้อนแบบ นาฏศิลป์ได้อย่างกลมกลืน การฟ้อนสาวไหมนี้นอกจากแสดงโดยสตรีชาวล้านนาแล้ว ยังมีช่างฟ้อน ผู้ชายซึ่งมีลีลาการฟ้อนไม่อ่อนช้อยเหมือนสตรีแต่กระบวนท่าฟ้อนยังคงเป็นการปั ่นฝ้าย ดึงไหม สาวไหม เช่นเดียวกับท่าฟ้อนบางท่ามีการโน้มล าตัวไปด้านหน้าลดลงต่ า ล าตัวขนานกับพื้นซึ่งเป็น กระบวนท่าฟ้อนสาวไหมของครูค า กาไวย์ จะเห็นได้จากฟ้อนสาวไหมในปัจจุบัน วัลยา ไชยพรม และรัตนา ณ ล าพูน (2559) ได้ท าการวิจัยเรื่อง การจัดการความรู้นาฏศิลป์ พื้นบ้านล้านนา เรื่อง การฟ้อนสาวไหม ซึ่งงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบและ กระบวนการฟ้อนสาวไหมแบบมาตรฐานจากแม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์โดยใช้กระบวนการจัดการ ความรู้และผลิตสื่อการสอนนาฏศิลป์พื้นบ้านล้านนา เรื่อง การฟ้อนสาวไหมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
54 ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการประยุกต์แนวคิดโมเดล SECI ในการสกัดความรู้ฝังลึก การฟ้อนสาวไหม จากผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน และจัดท าเป็นความรู้ชัดแจ้งในรูปแบบลายลักษณ์ภาพนิ่ง วีดิทัศน์และ เว็บไซต์ส าหรับการวิจัยเชิงพัฒนาได้ผลิตสื่อการสอนนาฏศิลป์พื้นบ้านล้านนา เรื่อง การฟ้อนสาวไหม ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (http://www.kmfonsaomai.com) เครื่องมือที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพ การใช้งานระบบและประสิทธิผลการจัดการความรู้ของระบบ คือ แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ ข้อมูลเชิงปริมาณโดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปว่า รูปแบบการฟ้อนสาวไหมแบบดั้งเดิมของแม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ มีจ านวน 13 ท่า ได้แก่ ท่าไหว้ (เทพพนม) ท่าบิดบัวบาน ท่าพญาครุฑบิน ท่าสาวไหมช่วงยาว ท่าม้วน ไหมซ้าย - ขวา ท่าตากฝ้าย ท่าม้วนไหมใต้เข่า ท่าม้วนไหมใต้ศอก ท่าพุ่งหลอดไหม ท่าสาวไหมรอบตัว ท่าคลี่ปมไหม ท่าปูเป็นผืนผ้า และท่าพับผ้า ส าหรับกระบวนการฟ้อนสาวไหมเป็นการร้อยเรียงท่า ฟ้อน 13 ท่าเข้าด้วยกันตามล าดับอย่างเชื่อมโยงทั้งท่าเดิน ท่านั่ง และท่ายืน ที่อ่อนช้อยและสวยงาม ท าให้ผู้ชมเห็นภาพขั้นตอนและความต่อเนื่องของการเก็บฝ้าย การปั่นฝ้าย การดึงด้ายแต่ละเส้น จนกระทั่งการทอผ้าเป็นผืน ผลการประเมินสื่อการสอนนาฏศิลป์พื้นบ้านล้านนา เรื่อง การฟ้อนสาว ไหมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของผู้ตอบแบบสอบถาม จ านวน 4 กลุ่ม พบว่า ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 คน ผู้ดูแลระบบ จ านวน 2 คน ครู จ านวน 4 คน และลูกศิษย์ จ านวน 26 คน เห็นว่าการใช้ งานระบบมีประสิทธิภาพระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.54, 3.85, 4.05 และ 4.36) ด้านผลการประเมิน ประสิทธิผลการจัดการความรู้ของผู้ใช้ระบบ จ านวน 3 กลุ่ม คือ ครูเห็นว่าระบบมีประสิทธิผลระดับ มากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.65) ส่วนผู้เชี่ยวชาญและลูกศิษย์เห็นว่าระบบมีประสิทธิผลระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.61 และ 4.30) รัตนะ ตาแปง (2555) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาชีวิตและผลงานบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ช่างฟ้อนล้านนา ซึ่งวิทยานิพนธ์นี้ได้กล่าวถึง การศึกษาชีวิตและผลงานของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ช่างฟ้อนล้านนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิถีชีวิตและเส้นทางการสร้างสายสกุลช่างฟ้อนและศึกษา อัตลักษณ์การฟ้อนของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยจาก การศึกษาเอกสาร งานวิจัย การสัมภาษณ์ การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม วีดีทัศน์ และภาพถ่าย โดยผลวิจัยพบว่านางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ได้รับการถ่ายทอดการฟ้อนจากครอบครัว นักดนตรีและช่างฟ้อนจากจังหวัดเชียงราย นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ มีพัฒนาการในการเป็น ช่างฟ้อนสามช่วง กล่าวคือ ช่วงแรก พ.ศ. 2496 - 2508 เป็นช่างฟ้อนประจ าคณะของครอบครัว และชุมชน ช่วงที่สอง พ.ศ. 2509 - 2512 เป็นศิลปินช่างฟ้อนของยุคฟื้นฟูล้านนา ช่วงที่สาม พ.ศ. 2529 - ปัจจุบัน (พ.ศ. 2555) เป็นแม่ครูช่างฟ้อนในยุควิกฤติอัตลักษณ์ล้านนา
55 อัตลักษณ์การฟ้อนของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เป็นผู้มีความสามารถทางด้านการจัด องค์ความรู้และปรับปรุงศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนาเพื่อถ่ายทอดให้กับผู้เรียน สอดคล้องกับ หลักการของการศึกษาแบบพิพัฒนาการ (Progressive Education) ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ จากการศึกษาประวัติและพัฒนาการฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ผู้วิจัยพบว่า ฟ้อนสาวไหมถูกประดิษฐ์ขึ้นจากลายเจิงสาวไหมซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้และสร้างสรรค์ กระบวนท่ามาจากการทอผ้าฝ้ายอันเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในท้องถิ่นจังหวัดเชียงรายโดยนายกุย สุภาวสิทธิ์ มีลีลาที่อ่อนช้อยนุ่มนวลเหมาะส าหรับผู้หญิง และนางบัวเรียวได้รับประสบการณ์ทางด้าน การแสดงและแนวคิด กล่าวคือด้านดนตรีรับเอาวงดนตรีปี่พาทย์ล้านนา (ป๊าดฆ้อง) และวงกลอง สิ้งหม้อง ประกอบการฟ้อนจากนางโม ใจสม ด้านการจัดระเบียบร่างกายและท่าทางของมือรับเอา แบบอย่างนาฏศิลป์ไทยจากนายโม ใจสม และนางพลอยศรี สรรพศรี อีกทั้งด้านความเหมาะสม ส าหรับการแสดงในโอกาสต่าง ๆ รับค าแนะน าจากนายชาญ สิโรรส เมื่อประมวลสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา เบื้องต้นจึงเกิดฟ้อนสาวไหมให้มีความประณีตและสมบูรณ์แบบ เป็นท่าฟ้อนที่มีความเหมาะสมกับ ผู้หญิงยิ่งขึ้น นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้สั่งสมองค์ความรู้เพื่อน ามาใช้ปรับปรุงการฟ้อนสาวไหมให้ กลายเป็นแบบฉบับของตนเอง โดยแบ่งองค์ความรู้ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ องค์ความรู้จากสายตระกูล โดยเริ่มจากนายปวน ค ามาแดง ได้ถ่ายทอดความรู้ด้านการฟ้อนเจิงให้แก่นายกุย สุภาวสิทธิ์ ซึ่งเป็น บิดาของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ต่อมานายกุยจึงถ่ายทอดความรู้ด้านการฟ้อนเจิงและปรับปรุง ท่าฟ้อนสาวไหม ให้แก่นางบัวเรียวในฐานะทายาทผู้สืบทอดการฟ้อนอีกชั้นหนึ่ง และองค์ความรู้จาก สายอุปถัมภ์ ซึ่งเกิดจากการได้ร่วมงานกับศิลปินและผู้รู้ด้านนาฏศิลป์ ประกอบด้วย นายโม ใจสม นางพลอยศรี สรรพศรี และนายชาญ สิโรรส ซึ่งนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ มีการก าหนดท่าฟ้อนไว้ เป็นมาตรฐาน 13 กระบวนท่า ประกอบด้วย ท่าไหว้ (เทพพนม) ท่าบิดบัวบาน ท่าพญาครุฑบิน ท่าสาวไหมช่วงยาว ท่าม้วนไหมซ้าย -ขวา ท่าตากฝ้าย ท่าม้วนไหมใต้เข่าซ้าย - ขวา ท่าม้วนไหมใต้ศอก ซ้าย - ขวา ท่าพุ่งหลอดไหม ท่าสาวไหมรอบตัวซ้าย - ขวา ท่าคลี่ปมไหม ท่าปูเป็นผืนผ้า และท่าพับผ้า
บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย วิทยานิพนธ์เรื่อง พัฒนาการฟ้อนสาวไหม: นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เป็นการวิจัยเชิง คุณภาพ โดยการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลจากการสังเกตการณ์ และการใช้เครื่องมือในการสัมภาษณ์ และน าข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และสรุปเป็นองค์ความรู้ โดยผู้วิจัยก าหนดแนวทางในการด าเนินการวิจัยมีขั้นตอนในการศึกษาค้นคว้าตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ขอบเขตการวิจัย 2. กลุ่มผู้ให้ข้อมูล 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. แผนการด าเนินการวิจัย 5. แหล่งข้อมูล 5.1 ข้อมูลทางเอกสาร 5.2 ข้อมูลภาคสนาม 5.3 ข้อมูลการสัมภาษณ์ 6. การเก็บรวบรวมและการจัดกระท าข้อมูล 6.1 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6.2 การลงพื้นที่ส ารวจข้อมูลภาคสนาม 6.3 การสังเกตแบบมีส่วนร่วม 6.4 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 7.1 การวิเคราะห์ข้อมูลทางเอกสาร 7.2 การวิเคราะห์ข้อมูลภาคสนาม 8. การน าเสนองานข้อมูล
57 1. ขอบเขตของกำรวิจัย ขอบเขตเนื้อหำ ผู้วิจัยต้องการศึกษาพัฒนาการและกลวิธีในการแสดงรวมทั้งวิธีการถ่ายทอดฟ้อนสาวไหม สายสกุลช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ขอบเขตบุคคล นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ขอบเขตด้ำนเวลำ ศึกษาพัฒนาการและกลวิธีในการแสดงรวมทั้งวิธีการถ่ายทอดฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ตั้งแต่ พ.ศ. 2489 – 2564 2. กลุ่มผู้ให้ข้อมูล นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน - ช่างฟ้อน) พ.ศ. 2559 นายสนั่น ธรรมธิ นักวิชาการศึกษา ด้านส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายรัตนะ ตาแปง ประธานหลักสูตรสาขาวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยพะเยา ผู้เชี่ยวชาญการฟ้อนสาวไหม นายบุญชุม วงค์แก้ว หัวหน้าคณะสายทิพย์เชียงราย ดนตรีพื้นเมืองล้านนา นางสาวอรอนงค์ ปัญญาวงศ์ นางสาวไทยประจ าปีพ.ศ. 2535 3. เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 3.1 แบบการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง 3.2 แบบการสังเกตการณ์ - การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม - การสังเกตแบบมีส่วนร่วม 3.3 การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง มีขั้นตอนสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ดังนี้ - ศึกษาข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง - วิเคราะห์วัตถุประสงค์ของงานวิจัยในแต่ละรายข้อ
58 - จัดท าแบบสัมภาษณ์แบบไม ่มีโครงสร้างในแต ่ละรายวัตถุประสงค์ของ งานวิจัย มีแนวข้อค าถาม ดังนี้ 1) พัฒนาการของท่าฟ้อนสาวไหมมีความเป็นมาอย่างไร 2) ท่านได้รับการถ่ายทอดการแสดงและการฟ้อนจากใครบ้าง 3) ท่านได้ออกแสดงฟ้อนสาวไหมตั้งแต่เมื่อใด 4) ท่านได้แสดงฟ้อนสาวไหมในโอกาสใดบ้าง 5) กลวิธีในการฟ้อนสาวไหมคืออะไร 6) ปัจจัยที่มีผลต่อการฟ้อนสาวไหมมีอะไรบ้าง 7) วงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการฟ้อนสาวไหมมีประเภทไหนบ้าง 8) ท่านมีขั้นตอนการถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหมอย่างไร 9) ท่านมีวิธีการประเมินผู้รับการถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหมอย่างไร 10) ท่านมีวิธีที่ใช้ในการถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหมอย่างไร - น าข้อค าถามเสนออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาความเหมาะสม - ปรับแก้ไขตามค าแนะน าของอาจารย์ที่ปรึกษาหลักและอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม 4. แผนกำรด ำเนินกำรวิจัย การด าเนินงานวิจัยเรื่อง พัฒนาการฟ้อนสาวไหม: นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ก าหนด ระยะเวลาในการศึกษาและด าเนินการวิจัย โดยเริ่มต้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 จนถึงเดือน พฤษภาคม ปีพ.ศ. 2564 โดยมีตารางแผนการด าเนินการวิจัยดังนี้
59 ตำรำงที่ 1 แสดงแผนการด าเนินวิจัย แผนงำน ระยะเวลำในกำรด ำเนินงำน มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. ปีกำรศึกษำ 2562 ศึกษาข้อมูล เบื้องต้น ลงพื้นที่ ศึกษาข้อมูล จัดท า วิทยานิพนธ์ บทที่ 1 และ บทที่ 2 จัดท า วิทยานิพนธ์ บทที่ 3 ปีกำรศึกษำ 2563 สอบโครงร่าง วิทยานิพนธ์ ปรับแก้ไข ข้อมูลและลง พื้นที่ศึกษา ข้อมูล เพิ่มเติม จัดท า วิทยานิพนธ์ บทที่ 4 เรียบเรียง ข้อมูลเพื่อ จัดท ารูปเล่ม วิทยานิพนธ์
60 ตำรำงที่ 1 แสดงแผนการด าเนินวิจัย (ต่อ) แผนงำน ระยะเวลำในกำรด ำเนินงำน มิ.ย. ก.ค . ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย . ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. ปีกำรศึกษำ 2564 น าเสนอ วิทยานิพนธ์ ปรับแก้ไข วิทยานิพนธ์ ตีพิมพ์ บทความ เพื่อจัดท า วิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์ ที่มำ: ผู้วิจัย 5. แหล่งข้อมูล 5.1 ข้อมูลทำงเอกสำร ศึกษาข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัย วิทยานิพนธ์ หนังสือ ต ารา และบทความจากหอสมุด แห่งชาติ สถาบันวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย วัฒนธรรม จังหวัดพะเยา ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา และเว็ปไซต์ผ่านสื่อออนไลน์ 5.2 ข้อมูลภำคสนำม เข้าร่วมสังเกตการณ์ในพิธีไหว้ครูพื้นเมืองที่มีส าคัญในพื้นที่ภาคเหนือดังนี้ - พิธีไหว้ครูชมรมพื้นเมืองล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ - พิธีไหว้ครูพื้นเมืองล้านนาสาขาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา - พิธ๊ไหว้ครูพื้นเมืองล้านนาบ้านสาวไหม นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ - พิธีไหว้ครูพื้นเมืองล้านนา นายรัตนะ ตาแปง 5.3 ข้อมูลกำรสัมภำษณ์
61 ตำรำงที่ 2 แสดงข้อมูลการสัมภาษณ์ ชื่อ-นำมสกุล ต ำแหน่ง สัมภำษณ์ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน -ช่างฟ้อน) พุทธศักราช 2559 1. พัฒนาการของท่าฟ้อนสาวไหม มีความเป็นมาอย่างไร 2. ท ่านได้รับก า รถ ่ายทอดก า ร แสดงและการฟ้อนจากใครบ้าง 3. ท่านได้ออกแสดงฟ้อนสาวไหม ตั้งแต่เมื่อใด 4. ท ่านได้แสดงฟ้อนสาวไหมใน โอกาสใดบ้าง 5. กลวิธีในการฟ้อนสาวไหมคือ อะไร 6. ปัจจัยที ่มีผลต ่อการฟ้อนสาว ไหมมีอะไรบ้าง 7. ว ง ด น ต ร ีที ่ใ ช ้บ ร ร เ ล ง ป ร ะ ก อ บ ก า ร ฟ้อ น ส า วไ ห ม มี ประเภทไหนบ้าง 8. ท่านมีขั้นตอนการถ ่ายทอดท ่า ฟ้อนสาวไหมอย่างไร 9. ท่านมีวิธีการประเมินผู้รับการ ถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหมอย่างไร 10. ท่านมีวิธีที่ใช้ในการถ่ายทอดท่า ฟ้อนสาวไหมอย่างไร นายสนั่น ธรรมธิ นักวิชาการศึกษา ด้านส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1. พัฒนาการของท่าฟ้อนสาวไหม มีความเป็นมาอย่างไร 2. ปัจจัยที ่มีผลต ่อการฟ้อนสาว ไหมมีอะไรบ้าง นายบุญชุม วงค์แก้ว หัวหน้าคณะสายทิพย์ เชียงราย ดนตรีพื้นเมืองล้านนา 1. วงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการ ฟ้อนสาวไหมมีประเภทไหนบ้าง
62 ตำรำงที่ 2 แสดงข้อมูลการสัมภาษณ์(ต่อ) ชื่อ-นำมสกุล ต ำแหน่ง สัมภำษณ์ นายรัตนะ ตาแปง ประธานหลักสูตรสาขาวิชา ดนตรีและนาฏศิลป์ มหาวิทยาลัยพะเยา ผู้เชี่ยวชาญการฟ้อนสาวไหม 1. พัฒนาการของท่าฟ้อนสาวไหม มีความเป็นมาอย่างไร 2 . ท ่านได้รับก า รถ ่ายทอดก า ร แสดงและการฟ้อนจากใครบ้าง 3. ท ่านได้ออกแสดงฟ้อนสาวไหม ตั้งแต่เมื่อใดป 4. ท ่านได้แสดงฟ้อนสาวไหมใน โอกาสใดบ้าง 5. กลวิธีในการฟ้อนสาวไหมคืออะไร 6. ปัจจัยที่มีผลต่อการฟ้อนสาวไหมมี อะไรบ้าง 7. วงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการ ฟ้อนสาวไหมมีประเภทไหนบ้าง 8. ท ่านมีขั้นตอนการถ ่ายทอดท ่า ฟ้อนสาวไหมอย่างไร 9. ท่านมีวิธีการประเมินผู้รับการ ถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหมอย่างไร 10. ท่านมีวิธีที่ใช้ในการถ่ายทอดท่า ฟ้อนสาวไหมอย่างไร นายบุญชุม วงค์แก้ว หัวหน้าคณะสายทิพย์ เชียงราย ดนตรีพื้นเมืองล้านนา 1. วงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการ ฟ้อนสาวไหมมีประเภทไหนบ้าง
63 ตำรำงที่ 2 แสดงข้อมูลการสัมภาษณ์(ต่อ) ชื่อ-นำมสกุล ต ำแหน่ง สัมภำษณ์ นางสาวอรอนงค์ ปัญญาวงศ์ นางสาวไทยประจ าปี พ.ศ. 2535 1. ท ่านได้รับก า ร ถ ่า ยทอดก า ร แสดงและการฟ้อนจากใครบ้าง 2. ท ่าได้ออกแสดงฟ้อนสาวไหม ตั้งแต่เมื่อใด 3. ท ่านได้แสดงฟ้อนสาวไหมใน โอกาสใดบ้าง 4. กลวิธีในการฟ้อนสาวไหมคือ อะไร 5. ปัจจัยที่มีผลต่อการฟ้อนสาว ไหมมีอะไรบ้าง ที่มำ: ผู้วิจัย 6. กำรเก็บรวบรวมและกำรกระท ำข้อมูล 6.1 กำรค้นคว้ำเอกสำร ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารประเภทต่าง ๆ ประกอบด้วย งานวิจัย วิทยานิพนธ์ หนังสือ ต ารา และบทความ โดยแหล่งข้อมูลประกอบด้วย หอสมุดแห่งชาติ สถาบันวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้องสมุดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ หอสมุดวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ หอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา ส านักงาน วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และเว็ปไซต์ผ่านสื่อออนไลน์
64 6.2 กำรลงพื้นที่ส ำรวจข้อมูลภำคสนำม ตำรำงที่ 3 แสดงการสัมภาษณ์เกี่ยวกับการวิเคราะห์ท่าฟ้อนสาวไหมของ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ครั้งที่ สัมภำษณ์เรื่อง ผู้ให้สัมภำษณ์ วัน/เดือน/ปี สถำนที่ 1 พัฒนาการฟ้อนสาวไหม นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 15/06/62 บ้านสาวไหม 2 การรับการถ่ายทอดฟ้อน สาวไหมจากนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ นายรัตนะ ตาแปง 08/05/62 อาคารปฏิบัติการ สาขาวิชา ศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา 3 กลวิธีถ่ายทอดฟ้อน สาวไหมให้แก่บุคคลและ หน่วยงานต่าง ๆ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 22/06/62 บ้านสาวไหม 4 ฟ้อนสาวไหมในหลักสูตร อุดมศึกษา นายรัตนะ ตาแปง 26/05/62 อาคารปฏิบัติการ สาขาวิชา ศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา 5 ฟ้อนสาวไหมที่ได้การ ถ่ายทอดของจาก นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ นายสนั่น ธรรมธิ 26/05/62 อาคารปฏิบัติการ สาขาวิชา ศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา 6 ดนตรีประกอบการฟ้อน สาวไหมสายสกุลช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ นายบุญชุม วงค์แก้ว 28/05/63 บ้านสาวไหม ที่มำ: ผู้วิจัย
65 6.3 กำรสังเกตแบบมีส่วนร่วม ตำรำงที่ 4 แสดงการสังเกตแบบมีส่วนร่วม วัน/เดือน/ ปี ผู้ถ่ำยทอด รำยกำร สถำนที่ 22/06/62 นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ รับการถ่ายทอดกระบวน ท่าร าฟ้อนสาวไหม บ้านสาวไหม จังหวัดเชียงราย 02/07/62 นายรัตนะ ตาแปง ทดลองฝึกปฏิบัติท่าร า ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจาก นายรัตนะ ตาแปง ลูกศิษย์ ของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ อาคารปฏิบัติการ สาขา วิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา ที่มำ: ผู้วิจัย 6.4 กำรสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ตำรำงที่ 5 แสดงการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วัน/เดือน/ ปี รำยกำรสังเกตกำรณ์ สถำนที่ 23/05/63 วีดิทัศน์ฟ้อนสาวไหมแบบดั้งเดิม (แม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์) 21/9/59 จากเว็บไซต์ youtube อาคารปฏิบัติการ สาขาวิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา 23/05/63 วีดิทัศน์ฟ้อนสาวไหม ถวายความอาลัยพ่อหลวง ของแผ ่นดิน - แม ่ครูบัวเ รียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ จากเว็บไซต์ youtube อาคารปฏิบัติการ สาขาวิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา 23/05/63 การเรียนการสอนในรายวิชาศิลปะการแสดง พื้นเมืองล้านนาแบบสตรีเพศ รหัสวิชา 183242 สาขาวิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา อาคารปฏิบัติการ สาขาวิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยพะเยา 04/05/62 การฟ้อนสาวไหม ของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ในพิธีไหว้ครูประจ าปีการศึกษา 2562 ชมรม ข่วงศิลป์ มหาวิทยาลัยพะเยา ชมรมข่วงศิลป์ มหาวิทยาลัยพะเยา 22/06/62 การฟ้อนสาวไหม ของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ในพิธีไหว้ครูสายสกุลช ่างฟ้อนแม ่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ ประจ าปี 2562 บ้านสาวไหม จังหวัดเชียงราย
66 ตำรำงที่ 5 แสดงการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (ต่อ) วัน/เดือน/ ปี รำยกำรสังเกตกำรณ์ สถำนที่ 27/07/62 การฟ้อนร าของลูกศิษย์ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ บ้านสาวไหม จังหวัดเชียงราย 15/06/62 การฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ในพิธีไหว้ครูประจ าปีการศึกษา 2562 ชมรม พื้นบ้านล้านนา สโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ ชมรมพื้นบ้านล้านนา สโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 12/11/62 การแสดงในโอกาสต่าง ๆ ของนิสิตสาขาวิชา ศิลปะการแสดงมหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยพะเยา ที่มำ: ผู้วิจัย 7. กำรวิเครำะห์ข้อมูล วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนาเพื่ออธิบายเนื้อหาส่วนต่าง ๆ ตามที่ก าหนดไว้ ในวัตถุประสงค์ ซึ่งแบ่งออกเป็น การวิเคราะห์ข้อมูลทางเอกสาร และการวิเคราะห์ข้อมูลภาคสนาม 7.1 กำรวิเครำะห์ข้อมูลทำงเอกสำร ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร วิทยานิพนธ์ และงานวิจัย หนังสือ หรือต ารา บทความ เว็บไซต์ สื่อออนไลน์ เพื่อต้องการศึกษาพัฒนาการและกลวิธีในการถ่ายทอดในการถ่ายทอด ฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 7.2 กำรวิเครำะห์ข้อมูลภำคสนำม ผู้วิจัยด าเนินการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา โดยการวิเคราะห์จากบุคคล ดังต่อไปนี้ 7.2.1 นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 7.2.2 นายสนั่น ธรรมธิ 7.2.3 นายรัตนะ ตาแปง 7.2.4 นายบุญชุม วงค์แก้ว
67 8. กำรน ำเสนองำนวิจัย ผู้วิจัยน าองค์ความรู้จากการศึกษาจากเอกสาร จากการลงสัมภาษณ์ในภาคสนาม มาวิเคราะห์จ าแนกหมวดหมู่ตามวัตถุประสงค์ที่ 1 และ 2 เพื่อต้องการทราบถึงพัฒนาการและ เพื ่อศึกษากลวิธีการแสดงและการถ ่ายทอดกระบวนท ่าฟ้อนสาวไหมสายสกุลช ่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ โดยการแบ่งเนื้อหาเพื่อการน าเสนอผลการวิจัย ดังนี้ 8.1 การจัดท าข้อมูลและแยกแยะข้อมูลตามรายจุดประสงค์ของการวิจัย 8.2 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้น าข้อมูลที ่แยกแยกตามรายวัตถุประสงค์ของ การวิจัยและน าเสนอในรูปแบบเชิงความเรียง 8.3 การอภิปรายและเสนอแนะ ผู้วิจัยสังเคราะห์ข้อมูลตามรายวัตถุประสงค์ โดยน าเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) เพื่ออธิบายตามวัตถุประสงค์ ในการวิจัย
บทที่ 4 กลวิธีกำรแสดงและกำรถ่ำยทอดกระบวนท่ำฟ้อนสำวไหม สำยสกุลช่ำงฟ้อนนำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ จากการศึกษา กลวิธีการแสดงและการถ่ายทอดกระบวนท่าฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ผู้วิจัยสามารถวิเคราะห์กลวิธีการแสดงและการถ่ายทอดกระบวนท่า ฟ้อนสาวไหม โดยศึกษากระบวนการแสดงและกระบวนการถ่ายทอด จากกการสังเกตการณ์ และการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยพบว่ามีประเด็นส าคัญสามารถแบ่งการน าเสนอออกได้ดังนี้ 1. กลวิธีการแสดงฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 1.1 การฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 1.2 องค์ประกอบการฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 1.3 กระบวนท่าฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 1.4 กลวิธีการแสดงฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 2. วิธีการถ่ายทอดกระบวนท่าฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 2.1 การสร้างพื้นที่ในการถ่ายทอด 2.2 หลักเกณฑ์และกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ท่าฟ้อนสาวไหมของ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์
69 1. กลวิธีกำรแสดงฟ้อนสำวไหมสำยสกุลช่ำงฟ้อนนำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 1.1 กำรฟ้อนสำวไหม สำยสกุลช่ำงฟ้อน นำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้รับการถ่ายทอดการฟ้อนจากบิดา นายกุย สุภาวสิทธิ์ เป็นการฟ้อน แบบพื้นเมืองภาคเหนือ หรือฟ้อนดั้งเดิม ซึ่งเป็นสายการฟ้อนที่มาจากการต่อสู้ของผู้ชาย โดยรับการถ่ายทอดมาจากนายปวน ค ามาแดง ผู้เป็นต้นสายสกุลช่างฟ้อนของนางบัวเรียว สู ่กระบวนการฟ้อนของผู้หญิงที่นายกุยถ่ายทอดให้กับนางบัวเรียว โดยไม่ต้องผ่านการเรียน คาถาอาคม ยกเว้นการกล่าวโยงครูที่นางบัวเรียว ได้รับการสืบทอดมาจากบิดา ท าให้เกิดมีความ แตกต่างด้านการฟ้อนที่ไม่เหมือนกับครูคนอื่น การฟ้อนสายพื้นบ้านล้านนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง จะถ่ายทอดให้กับผู้ชายเท ่านั้น เนื ่องจากการฟ้อนเหล ่านี้เป็นการต ่อสู้ ของผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงไม่สามารถที่จะเรียนการฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิงได้ ในรุ่นอายุที่อยู่ในช่วงเดียวกัน นางบัวเรียวเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้รับการถ่ายทอดการฟ้อนดาบ และฟ้อนเจิงด้วย เนื่องจากเป็นคนที่ มีความสนใจและตั้งใจในด้านการฟ้อน มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับบิดามากที่สุด การฟ้อนสาวไหมเป็นกระบวนการการทอผ้าฝ้าย ซึ่งมีกระบวนการต่าง ๆ มากมายในการฟ้อน จึงได้อธิบายท่าฟ้อนทุกท่า กระบวนการที่ส าคัญหลังจากการเก็บดอกฝ้ายแล้ว คือการน าดอกฝ้าย มาตากให้แห้งก่อนที่จะน าไปสู่กระบวนการอื่น ๆ เนื่องจากการเก็บดอกฝ้ายที่บานเต็มที่นิยมเก็บ ในตอนเช้า ในช่วงระหว่างกลางคืน ดังกล่าวดอกฝ้ายผ่านน้ าค้างมาตลอดคืน ดังนั้นดอกฝ้ายจึงมี ความชื้น เพื่อลดความชื้นนั้นจึงน าเข้าสู่กระบวนการตากแดดเพื่อเป็นการอธิบายขั้นตอนของการเก็บ ฝ้ายจากกระบุงที่ใส่ฝ้ายมาแล้ว น ามาตากแดดในกระด้งให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการเสริม ท่าฟ้อนในขั้นตอนต่าง ๆ ให้มีความสมบูรณ์นางบัวเรียวจึงเพิ่มท่าตากฝ้าย อธิบายถึงการหยิบฝ้าย แล้วน ามาคลี่ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พ.ศ. 2509 นางบัวเรียว ได้ปรับปรุงจากการใช้มือ “ยุ่ม หรือ ขยุ่ม” ในการฟ้อนมาเป็นจีบ แบบนาฏศิลป์ จากการแนะน าของบิดาเนื่องจากการฟ้อนด้วยการจีบเป็นมาตรฐานการแสดงของ นาฏศิลป์ และเห็นว่าเป็นการฟ้อนที่สวยงามหากปรับท่ายุ่ม มาเป็นจีบ และจะได้รับการยอมรับจาก คนกลุ่มใหญ่มากกว่า เพราะการฟ้อนของผู้หญิงเป็นการฟ้อนที่นุ่มนวลสวยงาม และการจีบเป็น การฟ้อนที่ได้รับความนิยมของคนไทยสยาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้ากับสังคมส่วนกลาง จะท าให้ เกิดความเป็นสากล ดูแล้วมีความเรียบร้อยมีแบบแผน ตามแบบการฟ้อนของรัฐไทย การน าเอา วงปี่พาทย์ในการบรรเลงเพลงลาวสมเด็จมาบรรเลงโดยนายโม ใจสม เนื่องจากเห็นว่านางบัวเรียวฟ้อน ได้สวยงาม และบิดาได้ประดิษฐ์ฟ้อนสาวไหมให้ และนายโมมีความเชี่ยวชาญด้านการบรรเลงปี่พาทย์ เป็นอย่างดี(สนั่น ธรรมธิ, 2564, 20 ตุลาคม, สัมภาษณ์)
70 พ.ศ. 2510 จากการฟ้อนสาวไหมของบัวเรียว เป็นการฟ้อนให้คนที่มานั่งกินขันโตกดินเนอร์ ซึ่งเป็นการนั่งกับพื้นในการรับประทานอาหารเย็น ด้วยเครื่องแต่งกายม่อห้อม คล้องคอด้วยดอกมะลิ นั่งพับเพียบตามแบบของผู้หญิง และนั่งขัดสมาธิตามแบบของผู้ชาย เมื่อนางบัวเรียวฟ้อนสาวไหม ก็จะประกอบด้วยท่านั่ง และท่ายืน ห่างจากการนั่งของผู้ชมไม่มากนัก เมื่อฟ้อนด้วยท่านั่งเหยียดขา ซึ่งถือว่าเป็นท่าฟ้อนที่ไม่สุภาพเป็นอย่างมากส าหรับวัฒนธรรมของล้านนา ดังนั้นการที่จะฟ้อน ในท่านั่งเหยียดขาต่อผู้ชมซึ่งเป็นคนแปลกหน้า ถือว่าเป็นแขกที่สูงศักดิ์จึงไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง นายชาญ สิโรรส จึงได้แนะน ากับแม่ครูบัวเรียวว่าท่าฟ้อน “ทอผ้า เข้าฟืม” เป็นท่าที่ไม่สุภาพส าหรับ การแสดงในงานขันโตกดินเนอร์ นางบัวเรียวจึงได้ตัดท่าฟ้อนจากการนั่งเหยียดขาไปหาท่านผู้ชม ออกตามค าแนะน าของนายชาญ และเน้นท่าการทอผ้าด้วยการพุ่งกระสวย หรือพุ่งหลอดไหมแทน และนางบัวเรียวจึงไม่ฟ้อนสาวไหมใน ท่านี้และไม่ถ่ายทอดให้กับใครอีกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พ.ศ. 2544 การฟ้อนท่า “ตากฝ้าย” เป็นการเสริมการฟ้อนสาวไหมในท่านั่ง เน้นให้มี การแสดงใบหน้า ลีลา ของผู้ฟ้อนเห็นเป็นเส้นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นการย้ าเตือน การผลิตซ้ าที่บอกว่า การฟ้อนสาวไหมของสายสกุลนางบัวเรียว เป็นการฟ้อนที่มาจากการทอผ้าฝ้าย มิใช่เป็นการฟ้อนที่เกิดจากการทอผ้าไหม พ.ศ. 2550 ได้ปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหมจากดั้งเดิมเป็นสาวไหมที่ฟ้อนได้ยาก และไม่มี ความพร้อมเพรียง เมื่อฟ้อนในคนกลุ่มใหญ่และท าให้เหมาะส าหรับการฟ้อนของผู้สูงอายุ จึงเรียก ฟ้อนสาวไหมชุดใหม่นี้ว่า ฟ้อนสาวไหมประยุกต์ และได้เผยแพร่ให้กับเยาวชนในจังหวัดเชียงราย รวมถึงสถาบันการศึกษาในปัจจุบัน ซึ่งได้ปรับปรุงมาจากท่าฟ้อนสาวไหม นอกจากการฟ้อนสาวไหมที่ถ่ายทอดอย่างเป็นเอกลักษณ์ของสาวไหมต้นแบบแล้ว ในปีพ.ศ. 2550 บัวเรียวได้ปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหมประยุกต์เหมาะส าหรับผู้สูงอายุ ตามค าเรียกร้อง ของกลุ่มสตรีแม่บ้านที่ต้องการฟ้อนสาวไหมให้สวยงาม จากการเชิญของกลุ่มชมรมศิลปะการแสดง พื้นบ้านล้านนาเชียงรายที่จัดให้มีการฟ้อนถวายมือและรดน้ าด าหัวองค์พญามังรายในวันที่ 15 เมษายน ของทุกปี โดยการน าของนายเรืองศักดิ์ ยุทธศักดิ์ชาตรี ประกอบอาชีพในการท าธุรกิจค้าขาย และนายณัฐวุฒิดอนลาว อาจารย์ประจ าส านักวิชาอุตสาหกรรมเกษตร ในตอนนั้นพึ่งเข้าท างาน ในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในปีพ.ศ. 2548 ในต าแหน่งนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์เครื่องมือ วิทยาศาสตร์และได้เริ่มการฟ้อนเพื่อรดน้ าด าหัวขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา นายณัฐวุฒิ และนายเรืองศักดิ์ได้เชิญนางบัวเรียวในการฟ้อนเป็นประจ าทุกปี แต่ในปีพ.ศ. 2551 คาดว่าจะจัดงาน ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมและอยากเชิญชวนช่างฟ้อนทั่วจังหวัดเชียงราย และได้เชิญคณะลูกศิษย์ ของนางบัวเรียวทุกรุ่นเข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย เมื่อนางบัวเรียวได้แจ้งแก่ลูกศิษย์ที่เป็นกลุ่มสตรี ช ่างฟ้อนเทศบาลเมืองเขต 3 ศรีทรายมูล กลุ่มแม่บ้านบางคนจึงเรียกร้องว่าอยากฟ้อนสาวไหม ในงานนี้ด้วย และจะขอเรียนกับนางบัวเรียว แต่บางคนก็ฟ้อนไม่ได้เนื่องจากการฟ้อนสาวไหมต้องใช้
71 กล้ามเนื้อส่วนขา และหัวเข่ามาก นางบัวเรียวจึงเกิดความคิดว่าจะปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหมส าหรับ ผู้สูงอายุให้กับกลุ่มแม่บ้าน ประกอบกับตนเริ่มมีอายุมากแล้ว จึงได้คิดปรับปรุงท่าฟ้อนและทดลอง สอนให้กับกลุ่มแม่บ้าน ในตอนเย็นหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เป็นต้นไป ถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหมดังกล่าวเพื่อฟ้อนสาวไหมในการออกงานรดน้ าด าหัว องค์พญามังรายในปีพ.ศ. 2551 เป็นครั้งแรก ผลปรากฏว่าการฟ้อนสาวไหมดังกล่าวทุกคน ฟ้อนได้อย่างพร้อมเพรียงกัน และออกมาในรูปแบบที่สวยงาม การปรับปรุงท่าฟ้อนนี้เป็นการปรับท่าฟ้อนให้เข้ากับเสียงดนตรีวงปี่พาทย์ล้านนา ให้ลงจังหวะ การฟ้อนของเท้าเข้ากับเสียงกลองเต่งถิ้ง ซึ่งนางบัวเรียวเรียกเสียงการตีกลองในการบรรเลงว่า “ปิ้ง ปิ้ง” เสียงกลอง “ปิ้ง” แรกให้ยกเท้า เสียงกลองปิ้งที ่ 2 ให้วางเท้า ในการวาดมือปรับการสาวไหม ช่วงยาวให้วาดแขนคล้ายกับท่าสอดสร้อยมาลาของไทยแต่วาดวงแขนให้สุดแขน เวลาขึ้นเหนือศีรษะ ให้ปลายนิ้วยกสูงเท่ากับศีรษะของตัวเอง ในท่าฟ้อนทุกท่า “ปิ้ง” แรกให้จีบเข้าหาตัวเอง และ “ปิ้งที่ 2” ให้ปล่อยจีบออกจากตัวเอง และลดท่าฟ้อนจาก 13 ท่า มาเป็น 8 ท่าฟ้อน การสร้างสรรค์ผลงานใหม่ด้วยการปรับท่าฟ้อนของต้นฉบับของนางบัวเรียว เป็นการปรับปรุง เพื่อให้เกิดความง่ายต่อการถ่ายทอดและสามารถแสดงได้เป็นหมู่คณะ เช่น การฟ้อนสาวไหม นางบัวเรียว ปรับปรุงวิธีการฟ้อนและการแสดงให้สามารถแสดงเป็นหมู่คณะตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไป ให้มีความพร้อมเพรียง สวยงามตามแบบการฟ้อนที่ยังคงอนุรักษ์ในท่าเดิม แต่เป็นการปรับ เพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียง ได้แก่ การวาดมือในการฟ้อนให้อยู่ในระดับเดียวกัน การตั้งวงจีบ ให้เสมอกัน และเป็นขั้นตอนชัดเจน การสร้างสรรค์ผลงานในกลุ่มนี้เป็นการปรับการฟ้อนแบบพื้นเมือง ให้มีมาตรฐานแบบไทยภาคกลาง เน้นการเข้าแถว การตั้งวงในระดับเดียวกัน การยกเท้าให้พร้อม กับจังหวะของฉาบ และกลองเป็นหลัก ไม่เน้นลีลาการฟ้อนที่ละเอียดมาก ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการท่าฟ้อนสาวไหมของบัวเรียว มีดังนี้ 1) การใช้จีบ แทน การยุ่มมือ ในท่าฟ้อนสาวไหม เป็นการพัฒนาจากแบบการฟ้อน พื้นบ้านที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดา และปรับมาเป็นการจีบ ซึ่งได้รับความนิยมในการฟ้อนตาม แบบของนาฏศิลป์ภาคกลาง ด้วยเหตุผลว่าการจีบส าหรับการฟ้อนสาวไหมของผู้หญิงมีความสวยงาม มากกว่าการยุ่มมือตามแบบการฟ้อนเชิงของผู้ชาย 2) การจัดระเบียบท่าฟ้อนของร่างกาย เน้นความต่อเนื่องและการเชื่อมท่าสอดคล้อง เป็นเนื้อเดียวกันของท่าฟ้อน แม้ว่าจะฟ้อนในท่าใดก็ตาม นอกจากนั้นยังจัดให้เป็นมาตรฐานใน การฟ้อนด้วยตนเอง คือการก าหนดท่าฟ้อนให้ชัดเจน เรียงล าดับท่าฟ้อนให้ต่อเนื่อง ก าหนดการยกระดับ ของมือในการฟ้อน ก าหนดทิศทางการก้าวเท้า การลอยหน้าตามมือ สายตาขณะการฟ้อน 3) จดบันทึกท่าร าตามความเข้าใจ และวาดภาพการ์ตูนก ากับในท่าฟ้อนแต่ละท่า เพื่อไม่ให้ลืมการวาดมือและท่าฟ้อน
72 4) ความต้องการของตลาดและมารยาททางสังคมช่วง พ.ศ. 2509 - 2512 ปรับปรุง ท่าฟ้อนโดยได้รับค าแนะน าจากนายชาญ สิโรรส ซึ่งเห็นว่าท่าฟ้อนบางท่าควรได้รับการปรับปรุง หรือตัดออก เพราะเป็นท่าทางที่ไม่สุภาพ ได้แก่ท่าทอผ้ากับขา ที่นั่งทอผ้าและเหยียดขาไปหาผู้ชม 5) การปรับกระบวนท่าหรือวิธีแสดงเพื่อให้สอดคล้องกับผู้รับการถ่ายทอด เพื่อการสืบสานและเผยแพร่การแสดงฟ้อนสาวไหม (รัตนะ ตาแปง, 2564, 17 ตุลาคม, สัมภาษณ์) 1.2 องค์ประกอบกำรฟ้อนสำวไหมสำยสกุลช่ำงฟ้อนนำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 1.2.1 เครื่องแต่งกำย ในสมัยโบราณชาวบ้านทางภาคเหนือนิยมสวมใส่เสื้อผ้าที่ทอเอง หรือผ้าทอภายใน ครอบครัว เมื่ออยู่บ้านก็มักจะสวมใส่เพียงเสื้อและผ้าซิ่น แต่หากมีงานประเพณี งานบุญ หรืองาน สังสรรค์ ชาวบ้านมักจะมีการแต่งกายที่สวยงามแตกต่างกันออกไป โดยส่วนมากจะนิยมสวมเสื้อแขน กระบอก ผ่าหน้า ติดกระดุม ส่วนผ้าซิ่นจะนุ่งผ้าที่มีลักษณะเป็นลายขวาง มีสีสันต่าง ๆ สลับกันตลอด ผืน และห่มสไบอาจใช้เป็นสีเดียวกันกับผ้าถุงหรือสีตัดกับผ้านุ่งก็ได้ แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล การแต่งกายในการฟ้อนของผู้หญิงชาวบ้านภาคเหนือ เป็นการแต่งกายที่คล้ายกับเครื่อง แต่งกายของฟ้อนเล็บ ซึ่งมีหลักการในการแต่งกายคือ สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลม นุ่งผ้าซิ่น หรือผ้าถุง กรอมเท้า ห่มสไบเฉียงด้านซ้าย เกล้าผมติดดอกเอื้องบนศีรษะ การแต่งกายของการแสดงฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว แต่เดิมก็มักจะสวมเสื้อแขน กระบอก และผ้าถุงลายขวาง ตามการแต่งกายแบบโบราณทางภาคเหนือ แต่ในปัจจุบันผ้าถุงแบบเดิม มีจ านวนน้อยและหายาก จึงมีการดัดแปลงการแต่งกายไปตามความเหมาะสม เนื่องจากการทอผ้า แต่ละผืนนั้นต้องใช้ระยะเวลานาน และต้องอาศัยความช านาญจากช่างฝีมือ ปัจจุบันจึงมีการเลือกใช้ ผ้าที่มีความคล้ายคลึงกันและหาได้ง่ายตามท้องถิ่น ท าให้ลักษณะบนผืนผ้าอาจจะมีความผิดเพี้ยนไป จากเดิมบ้าง การแต่งกายของการฟ้อนสาวไหม ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อคอตั้ง หรือคอกลม แขน กระบอกผ่าอกติดกระดุม ห่มสไบเฉียงทับเสื้อ เกล้าผมเป็นกระบังหน้า ท าเป็นมวยขมวดอยู่ด้านหลัง ประดับด้วยดอกเอื้องรอบมวยผม เครื่องประดับ มีเข็มกลัด สร้อยคอ ก าไลข้อมือ ส่วนผู้ชายใส่เสื้อ ม่อฮ่อมแขนสั้น สวมกางเกงขาก๊วย มีผ้าขาวโพกหัว และผ้าคาดเอว (บัวเรียว รัตนมณีภรณ์, 2564, 28 มิถุนายน, สัมภาษณ์)
73 เครื่องแต่งกายฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (1) (2) (3) ภำพที่ 12 การแต่งกายฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (1) การแต่งกายฟ้อนสาวไหม ด้านหน้า (2) การแต่งกายฟ้อนสาวไหม ด้านข้าง (3) การแต่งกายฟ้อนสาวไหม ด้านหลัง ที่มำ: ผู้วิจัย
74 1. เสื้อแขนกระบอก คอกลม ผ่าอก ภำพที่ 13 เสื้อแขนกระบอก ผ่าอก คอกลม ที่มำ: ผู้วิจัย 2. ผ้าซิ่น (ผ้านุ่ง) ภำพที่ 14 ผ้าซิ่น (ผ้านุ่ง) ที่มำ: ผู้วิจัย
75 3. ผ้าสไบ ภำพที่ 15 ผ้าสไบ ที่มำ: ผู้วิจัย 4. ดอกเอื้องติดศีรษะ ภำพที่ 16 ดอกเอื้องติดศีรษะ ที่มำ: ผู้วิจัย
76 1.2.2 เพลงและท ำนองเพลง เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงฟ้อนสาวไหม คือ เพลงลาวสมเด็จ (แปลง) ภำพที่ 17 โน้ตดนตรีเพลงลาวสมเด็จ (วงปี่พาทย์ล้านนา) ที่มำ: รัตนะ ตาแปง 1.2.3 วงดนตรี ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงฟ้อนสาวไหม เกิดจากนายโม ใจสม ได้ใช้เพลงลาวสมเด็จ บรรเลงเพื่อสร้างเอกลักษณ์การฟ้อนให้กับนางบัวเรียว จนเกิดความโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่น เมื่อไปแสดงตามงานต่าง ๆ จึงเกิดเป็นการแสดงชุดใหม่ ที่หาชมได้ยากทั้งการฟ้อนที่สวยงามและ ดนตรีที่ไพเราะ ท าให้นักดนตรีและช่างฟ้อนที่ได้ชมและได้ฟังน าไปแสดงต่อ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ ของฟ้อนสาวไหมเชียงราย จากการสัมภาษณ์นายรัตนะ ตาแปง พบว่า วงดนตรีที่ใช้ส าหรับบรรเลงประกอบ การแสดงฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ปรากฏวงดนตรีที่สามารถใช้ บรรเลงประกอบการแสดงฟ้อนสาวไหม 3 รูปแบบ ดังนี้
77 1.2.3.1 วงปี่พาทย์พื้นเมือง เครื่องดนตรีและการประสมวง ในวงดนตรีปี่พาทย์พื้นเมืองจะมีเครื่องดนตรีดังนี้ 1) ระนาดเอก 2) ระนาดทุ้ม 3) ฆ้องวงใหญ่ ( ป้าดทุ้ม) 4) ฆ้องวงเล็ก (ป้าดเอก) 5) แน 6) กลองเต่งถิ้ง 7) ฉาบ (สว่า) ในการประสมวงปี่พาทย์พื้นเมืองจะเห็นได้ว่าเครื่องดนตรีเกือบทั้งหมดเป็นเครื่องดนตรีไทย แต่ในการประสมวงในดนตรีปี่พาทย์ในพื้นเมืองนั้นจะใช้เพลงพื้นเมืองในภาคเหนือบรรเลง และจะใช้ เพลงไทยเดิมบรรเลงในบางโอกาส 1.2.3.2 วงสะล้อ ซอ ซึง วงสะล้อ ซอ ซึง เป็นวงดนตรีที่น าเอาเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายของภาคเหนือ คือ ซึง สะล้อ และเครื่องประกอบจังหวะมาบรรเลงรวมกันเป็นวง ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในภาคเหนือ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีอยู่เฉพาะในภาคเหนือตอนบนเท่านั้น ถือว่าเป็นวงดนตรีพื้นบ้านของ ท้องถิ่นล้านนา ชื่อเรียกของวงดนตรีบางครั้งเรียก วงสะล้อ ซอ ซึง บ้างก็เรียก วงซึง สะล้อ คงจะเป็น เพราะวงสะล้อ ซอ ซึง ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนในการบรรเลง มีการน าเอาขลุ่ยพื้นเมือง (ขลุ่ยตาด) หรือปี่จุมมาบรรเลงร่วมด้วย บางครั้งมีการขับร้องเพลง (ซอ) ประกอบโดยใช้ท านองเพลงพื้นเมือง โดยแยกความหมายเพื่อให้ชัดเจน ดังนี้ 1) สะล้อ เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ที่ใช้วิธีการเล่นโดยการสี 2) ซอ เป็นภาษาพื้นบ้านล้านนา หมายถึง การขับร้องเพลง 3) ซึง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ที่ใช้วิธีการเล่นโดยการดีด 1.2.3.3 วงกลองสิ้งหม้อง กลองสิ้งหม้อง เป็นกลองหน้าเดียว ลักษณะคล้ายกลองยาว ซึ่งเป็นชื่อเรียกตามเสียง กลองที่ตีรับกับเสียงฉาบและฆ้องโหม้ง ซึ่งเป็นเครื่องก ากับจังหวะเวลาบรรเลงเสียงดัง “สิ้งหม้อง ๆ” การประสมวงของวงกลองสิ้งหม้อง ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่มีกลองสิ้งหม้อง 1 ใบ สว่า (ฉาบขนาดกลาง) 1 คู่ และฆ้องโหม้ง 1 ใบ ก็ประสมวงได้ หรืออาจมีการเพิ่มจ านวนฉาบและฆ้อง มากขึ้นก็เป็นเพียงเพิ่มความดังกระหึ่มมากขึ้นเท่านั้น
78 จังหวะจองกลองสิ้งหม้อง ใช้เสียงฆ้องตีเป็นจังหวะยืนพื้น ส่วนกลองและฉาบตีสลับ เสียงกันบ้าง โอกาสที่ใช้บรรเลงวงกลองสิ้งหม้อง ใช้ตีประกอบการฟ้อนเชิง ฟ้อนดาบ และใช้ตีใน ขบวนแห่โดยทั่วไป (บุญชม วงศ์แก้ว, 2564, 20 สิงหาคม, สัมภาษณ์) วงดนตรีที่ใช้ประกอบการฟ้อนสาวไหมนั้น มีความส าคัญต่อกลวิธีการฟ้อนของนางบัวเรียว เป็นอย่างมาก เนื่องจากดนตรีเป็นปัจจัยหลักในการแสดงฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว ผู้วิจัยสามารถ วิเคราะห์ความแตกต่างและเอกลักษณ์ในการแสดงฟ้อนสาวไหมในแต่ละวงดนตรีที่ใช้ประกอบ การแสดงได้ดังนี้ ภำพที่ 18แผนภูมิสรุปความสัมพันธ์ในฟ้อนสาวไหมสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ที่ปรากฏในวงดนตรี 3 ประเภท ที่มำ: ผู้วิจัย
79 กลวิธีในกำรแสดงฟ้อนสำวใหม่ในวงสะล้อ ซอซึง 1) การใช้ร่างกาย กล่อมตัว โย้ตัว และโยนตัว เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่อง เป็นวงกลมตามท านองเพลง และกระทบตัวเล็กน้อยในตอนท้ายของกระบวนท่ากับจังหวะกลอง 2) การใช้มือ จีบมือ วนมือเป็นวงกลม และดึงจีบปล่อยออกด้านข้างหรือด้านหลัง ของล าตัวอย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล 3) การย่ าเท้า ย่ าเท้าลงกับจังหวะฉิ่ง แบบเนิบช้าและนุ่มนวล 4) การใช้พื้นที่ ใช้การเคลื่อนที่ในการแสดงน้อย มีการเคลื่อนที่ไปทางซ้ายและ ทางขวา เดินทางขึ้นด้านหน้าและด้านข้างหลัง มีการบิดตัวหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง กลวิธีในกำรแสดงฟ้อนสำวใหม่ในวงป้ำดฆ้อง หรือปี่พำทย์ล้ำนนำ 1) การใช้ร่างกาย โย้ตัว โยนตัว และกล่อมตัว เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่อง เป็นวงกลมตามท านองเพลงหรือเสียงของแน (ปี่) แต่จะมีการยั้งตัวเพื่อให้ท่าทางการฟ้อนมีความหนัก หน่วงมากขึ้น 2) การใช้มือ จีบมือ วนมือเป็นวงกลม และดึงจีบปล่อยออกด้านข้างหรือด้านหลัง ของล าตัวอย่างต่อเนื่อง แต่จะมีการเกร็งมือและแขนเพื่อให้ท่าฟ้อนมีความหนักหน่วงขึ้น 3) การย่ าเท้า ย่ าเท้ากระชับตรงจังหวะกลอง 4) การใช้พื้นที่ ใช้การเคลื่อนที่ในการแสดงน้อย มีการเคลื่อนที่ไปทางซ้ายและ ทางขวา เดินทางขึ้นด้านหน้าและด้านข้างหลัง มีการบิดตัวหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง กลวิธีในกำรแสดงฟ้อนสำวใหม่ในวงกลองสิ้งหม้อง 1) การใช้ร่างกาย กล่อมตัว โย้ตัว และโยนตัว เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่อง เป็นวงกลม มีการสะดุ้งตัว หรือการกระทบตัวให้เข้ากับเสียงกลอง 2) การใช้มือ จีบมือ วนมือเป็นวงกลม และดึงจีบปล่อยออกด้านข้างหรือด้านหลัง ของล าตัวอย่างต่อเนื่อง 3) การย่ าเท้า ใช้น้ าหนักในการย่ าเท้าที่หนักหน่วงมากขึ้น ด้วยการย่ าเท้าและยกส้น เท้าเตะก้นหรือเรียกว่าท่า “ม้าย่ าไฟ” เพื่อให้สอดคล้องกับเสียงของดนตรีที่เร้าใจ สนุกสนาน 4) การใช้พื้นที่ ใช้พื้นที่มากกว่าการฟ้อนประกอบวงดนตรีอีก 2 ประเภท การเดิน ในลักษณะเป็นวงกลมเหมือนการเดินขุมของฟ้อนเจิง เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่เดินทางได้มากขึ้น มีการบิดตัวและหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง
80 1.3 กระบวนท่ำฟ้อนสำวไหมสำยสกุลช่ำงฟ้อนนำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เพื่อให้การอธิบายกระบวนท่ามีความชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้วิจัยได้น า “รหัสคิวอาร์” หรือ “คิวอาร์โคด (QR code ย่อจาก Quick Response code) เทคโนโลยีรหัสรูปภาพที่สามารถเชื่อมโยงกับวีดิทัศน์ ซึ่งมีการบันทึกไว้ในระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน โดยผู้วิจัยจะท าการอธิบาย กระบวนท่า ประกอบภาพนิ่งท่าร าซึ่งเป็นท ่าหลัก และภาพเคลื่อนไหวหรือวีดิทัศน์ท่าเชื ่อม โดยกระบวนท่าฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ มี 13 ท่า ดังนี้ (1) (2) ภำพที่ 19 ท่าที่ 1 “ท่าไหว้” (1) ท่าไหว้ (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 1 คือ ท่าที่ 1 เรียกว่า “ท่าไหว้” ปฏิบัติโดยนั่งคุกเข่าทับส้นเท้า มือทั้งสองข้างประนมไหว้ระหว่างอก แล้วจีบหงายระหว่างอก โน้มตัวไปทางขวา ดึงจีบขึ้นระดับศีรษะท าท่าไหว้ ท าติดต่อกัน 3 ครั้ง ครั้งที่ 4 มือประนมอยู่ระดับศีรษะเอียงช้าย ครั้งที่ 5 ศีรษะเอียงขวา
81 (1) (2) ภำพที่ 20 ท่าที่ 2 “ท่าบิดบัวบาน” (1) ท่าบิดบัวบาน (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 2 คือ ท่าที่ 2 เรียกว่า “ท่าบิดบัวบาน” ปฏิบัติโดยนั่งคุกเข่าทับส้นเท้า มือขวาจีบคว่ า มือซ้ายตั้งวง ข้อมือ ทั้งสองข้าง ชนกัน เอียงขวา เปลี่ยนจีบซ้าย - ขวา สลับกันไป 8 จังหวะ ศีรษะเอียงตามมือจีบ
82 (1) (2) ภำพที่ 21 ท่าที่ 3 “ท่าพญาครุฑบิน” (1) ท่าพญาครุฑบิน (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 3 คือ ท่าที่ 3 เรียกว่า “ท่าพญาครุฑบิน” ปฏิบัติโดยนั่งคุกเข่าทับส้นเท้า มือทั้งสองข้างตั้งวงระดับ แง่ศีรษะเอียงศีรษะด้านซ้าย
83 (1) (2) ภำพที่ 22 ท่าที่ 4 “ท่าสาวไหมช่วงยาว” (1) ท่าสาวไหมช่วงยาว (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 4 คือ ท่าที่ 4 เรียกว่า “ท่าสาวไหมช่วงยาว” ปฏิบัติโดยนั่งคุกเข่าทับส้นเท้า มือขวาจีบคว่ า ตะแคง ข้อมือไปด้านหลัง มือซ้ายจีบหน้าอก ท าสลับกัน ซ้าย - ขวา 4 จังหวะ
84 (1) (2) ภำพที่ 23 ท่าที่ 5 “ท่าม้วนไหม (ซ้ายและขวา)” (1) ท่าม้วนไหม (ซ้ายและขวา) (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 5 คือ ท่าที่ 5 เรียกว่า “ท่าม้วนไหม (ซ้ายและขวา)” ปฏิบัติโดยในจังหวะที่ 5 ตั้งเข่าช้าย มือขวาจีบหงายไว้ ที่เข่าช้าย มือซ้ายดึงจีบจากมือขวาและปล่อยจีบออกทางซ้าย ศีรษะเอียงขวา มือซ้ายจีบปล่อยวนมือ ขวา 3 รอบ จังหวะที่ 4 มือซ้ายจีบดึงขึ้นแล้วปล่อย 1 ครั้ง จังหวะที่ 5 จีบคว่ าดึงแล้วดึงจีบ ปล่อยวง ตกลงไปด้านหลัง เอียงช้าย มือขวาจีบแล้วปล่อยวนมือซ้าย 3 รอบ จังหวะที่ 4 มือขวาจีบดึงขึ้นแล้ว ปล่อย 1 ครั้ง จังหวะที่ 5 จีบคว่ าแล้วดึงจีบ ปล่อยวงตกลงไปด้านหลัง เอียงขวา จากนั้นท าท่าเชื่อม ค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปทางซ้าย 3 จังหวะ
85 (1) (2) ภำพที่ 24 ท่าที่ 6 “ท่าตากฝ้าย” (1) ท่าตากฝ้าย (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 6 คือ ท่าที่ 6 เรียกว่า “ท่าตากฝ้าย” ปฏิบัติโดยนั่งคุกเข่าตั้งเข่าขวา มือทั้งสองข้างจีบคว่ า ระหว่าง ตรงกลางเข่าทั้งสองข้าง ศีรษะเอียงซ้าย แล้วนั่งคุกเข่าตั้งเข่าขวา มือทั้งสองข้างปล่อยจีบเป็นแบหงาย ข้างล าตัว อยู่ระดับสะโพก ศีรษะเอียงขวา
86 (1) (2) (3) ภำพที่ 25 ท่าที่ 7 “ท่าม้วนไหมใต้เข่า (ขวาและซ้าย)” (1) ท่าม้วนไหมใต้เข่า ขวา (2) ท่าม้วนไหมใต้เข่า ซ้าย (3) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 7 คือ ท่าที่ 7 เรียกว่า “ท่าม้วนไหมใต้เข่า (ขวาและซ้าย)” ปฏิบัติโดยจังหวะที่ 4 เท้าขวาวางหลัง หนักหลัง ยกเท้าซ้ายก้มตัวลง มือขวาจีบหงายไว้หน้าเข่า มือซ้ายจีบแล้วปล่อยวนมือขวา 3 รอบ ศีรษะเอียงขวา จังหวะที่ 4 มือทั้งสองจีบคว่ าระดับข้อเท้า แล้วดึงมือทั้งสองขึ้นปล่อยหงายมือตกวงลง ท า 2 ครั้ง จังหวะที่ 3 มือทั้งสองจีบคว่ าไขว้มือ แล้วดึงจีบออกปล่อยมือตกลง วงแขนตึงระดับไหล่ ก้าวเท้าซ้าย