The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยานิพนธ์ หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย เรื่อง พัฒนาการฟ้อนสาวไหม นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้แต่งนายภูดิท ศิริวัฒนกุล 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พัฒนาการฟ้อนสาวไหม นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้แต่งนายภูดิท ศิริวัฒนกุล 2565

วิทยานิพนธ์ หลักสูตรศิลปมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย เรื่อง พัฒนาการฟ้อนสาวไหม นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) ผู้แต่งนายภูดิท ศิริวัฒนกุล 2565

87 ไปด้านหน้า เอียงช้าย จากนั้นท าท่าเชื่อมไปด้านขวา 3 ครั้ง จังหวะที่ 4 เท้าซ้ายวางหลัง หนักหลัง ยกเท้าขวา ก้มตัวลงมือซ้ายจีบหงายไว้หน้าเข่า มือจีบขวาแล้วปล่อยวนมือซ้าย 3 รอบ ศีรษะเอียงช้าย จังหวะที่ 4 มือทั้งสองจีบคว่ าระดับข้อเท้า แล้วดึงมือทั้งสองขึ้นปล่อยหงายมือตกวงลง ท า 2 ครั้ง จังหวะที่ 3 มือทั้งสองจีบคว่ าไขว้มือ แล้วดึงจีบออกปล่อยมือตกวงลง แขนตึงระดับไหล่ ก้าวเท้าขวา ไปด้านหน้า ศีรษะเอียงขวา (1) (2) ภำพที่ 26 ท่าที่ 8 “ท่าม้วนไหมใต้ศอก” (1) ท่าม้วนไหมใต้ศอก (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 8 คือ ท่าที่ 8 เรียกว่า “ท่าม้วนไหมใต้ศอก” ปฏิบัติโดยก้าวเท้าช้าย มือช้ายจีบม้วนหงาย มือขวาจีบคว่ าอยู่ ใต้ศอกซ้าย แล้วดึงมือขวาสอดขึ้นปล่อยจีบท าสลับกัน 3 ครั้ง เท้าย่ าสลับกันซ้ายขวาตามจังหวะ


88 (1) (2) ภำพที่ 27 ท่าที่ 9 “ท่าพุ่งหลอดไหม” (1) ท่าพุ่งหลอดไหม (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 9 คือ ท่าที่ 9 เรียกว่า “ท่าพุ่งหลอดไหม” ปฏิบัติโดยในจังหวะที่ 4 ถอนเท้าขวาวางหลัง ก้าวเท้าซ้าย มือขวาจีบระดับหน้า มือซ้ายจีบใต้ศอกขวา จีบแล้วชักจีบปล่อยเข้า - ออก 3 ครั้ง ศีรษะเอียงช้าย แล้วน ามือซ้ายที่จีบมาวนที่จีบขวา 3 ครั้ง


89 (1) (2) (3) ภำพที่ 28 ท่าที่ 10 “ท่าสาวไหมรอบตัว (ขวาและซ้าย)” (1) ท่าสาวไหมรอบตัว ขวา (2) ท่าสาวไหมรอบตัว ซ้าย (3) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 10 คือ ท่าที่ 10 เรียกว่า “ท่าสาวไหมรอบตัว (ขวาและซ้าย)” ปฏิบัติโดยท าท่าพุ่งหลอดไหมช้าย - ขวา ครั้งที่ 4 ดึงจีบไปข้างตัว มือขวาจีบหงาย หักข้อมือ พุ่งจีบซ้ายมาที่จีบขวา แล้วปล่อยจีบ จากนั้นหยิบ จีบซ้ายหลังจีบขวา ดึงปล่อยจีบตกวงลงข้างตัว เอียงซ้าย และท าท่าพุ่งหลอดไหมช้าย - ขวา ครั้งที่ 4


90 ดึงจีบไปข้างตัว มือซ้ายจีบหงาย หักข้อมือ พุ่งจีบขวามาที่จีบซ้าย แล้วปล่อยจีบ จากนั้นหยิบจีบขวา หลังจีบซ้าย ดึงปล่อยจีบวงตกลงข้างตัว ศีรษะเอียงขวา (1) (2) (3) ภำพที่ 29 ท่าที่ 11 “ท่าคลี่ปมไหม (ซ้ายและขวา)” (1) ท่าคลี่ปมไหม ซ้าย (2) ท่าคลี่ปมไหม ขวา (3) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 11 คือ ท่าที่ 11 เรียกว่า “ท่าคลี่ปมไหม (ซ้ายและขวา)” ปฏิบัติโดยท าท่าเชื่อมไปทางด้านซ้าย เท้าขวา วางหลัง ก้าวเท้าซ้ายหนักหน้า มือขวาจีบไว้ที่ด้านข้างขาช้าย ศีรษะเอียงขวา วนจีบช้ายรอบจีบขวา 3 รอบ


91 จากนั้นหนักหลัง เปลี่ยนเป็นเอียงซ้าย มือซ้ายจีบไว้ที่ด้านข้างขาขวา ศีรษะเอียงช้าย วนจีบขวารอบ จีบช้าย 3 รอบ จากนั้นหนักหลังเปลี่ยนเป็นเอียงขวา มือทั้งสองจีบไขว้กันดึงเข้า - ออก 3 ครั้ง แล้วหมุนตัวไปด้านหลัง (ด้านซ้าย) กลับมาด้านหน้า แล้วท าท่าเชื่อมเดินไปทางขวา 3 จังหวะ จากนั้นในจังหวะที่ 4 เท้าซ้ายวางหลัง แล้วก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า หนักหน้า เอียงซ้าย มือซ้ายจีบไว้ที่ ด้านข้างขาขวา เอียงช้าย วนจีบขวารอบจีบซ้าย 3 รอบ จากนั้นหนักหลังเปลี่ยนเป็นเอียงขวา มือทั้งสองจีบไขว้กันดึงเข้า - ออก 3 ครั้ง แล้วหมุนตัวไปด้านหลัง (ด้านช้าย) กลับมาด้านหน้า ก้าวเท้าซ้ายหนักหน้า มือขวาจีบไว้ที่ด้านข้างขาซ้าย เอียงขวา วนจีบช้ายรอบจีบขวา 3 รอบ จากนั้นหนักหลังเปลี่ยนเป็นเอียงซ้าย มือทั้งสองจีบไขว้กัน ดึงเข้า - ออก 3 ครั้ง แล้วหมุนตัว ไปด้านหลัง (ด้านขวา) กลับมาด้านหน้า (1) (2) ภำพที่ 30 ท่าที่ 12 “ท่าปูเป็นผืนผ้า” (1) ท่าปูเป็นผืนผ้า (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 12 คือ ท่าที่ 12 เรียกว่า “ท่าพุ่งหลอดไหม” ปฏิบัติโดยก้าวเท้าซ้ายมือสองข้างจีบม้วนออกระดับหน้า 3 จังหวะ จังหวะที่ 4 ถอนเท้าขวา ก้าวเท้าซ้ายหนักหน้ามือทั้งสองจีบแล้วปล่อยระดับหน้า สลับกัน แล้วค่อย ๆ ก้มตัวลงในจังหวะที่ 8 มือทั้งสองจีบคว่ าไขว้มือ แล้วดึงมือขึ้นยืดตัว ปล่อยมือทั้งสองแขน ตึงระดับไหล่ตกวงลง เอียงซ้าย จากนั้นก้าวเท้าขวา มือทั้งสองจีบม้วนออกระดับหน้า 3 จังหวะ


92 ในจังหวะที่ 4 ถอนเท้าช้าย ก้าวขวา หนักหน้า มือทั้งสองจีบแล้วปล่อยระดับหน้าสลับกัน แล้วค่อย ๆ ก้มตัวลง จังหวะที่ 8 มือทั้งสองจีบไขว้มือ แล้วดึงมือขึ้นยึดตัว ปล่อยมือทั้งสองแขนตึงระดับไหล่ วงตกลง เอียงขวา แล้วท าท่าเชื่อมเดินไปกลางเวที 2 จังหวะ (1) (2) ภำพที่ 31 ท่าที่ 13 “ท่าพับผืนผ้า” (1) ท่าพับผืนผ้า (2) คิวอาร์โคดแสดงภาพเคลื่อนไหว ที่มำ: ผู้วิจัย จากภาพนิ่งที่ปรากฏด้านบน และภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏตามลิงก์ในคิวอาร์โคดที่ 13 คือ ท่าที่ 13 เรียกว่า “ท่าพับผืนผ้า” ปฏิบัติโดยในจังหวะที่ 3 ถอนเท้าซ้ายวางหลังย่อลง เป็นท่านั่งคุกเข่าทับส้นเท้า จังหวะที่ 6 มือทั้งสองปล่อยแบคว่ ามือลง ก้มตัวลงเล็กน้อย เอียงช้าย ปาดมือไปทางด้านขวา ท าช้าย – ขวา สลับกันไป 3 ครั้ง ครั้งที่ 4 เอียงขวา มือซ้ายจีบหงาย มือขวา ตั้งวงอยู่ด้านข้าง ท าสลับกัน ซ้าย - ขวา 2 ครั้ง จากนั้นท าท่าเชื่อม เริ่มด้วยมือขวา 3 ครั้ง กระบวนท่าฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ นั้นในแต่ละท่ามีความหมายของกระบวนท่า ดังนี้ 1) ท่าไหว้เป็นท่าที่ให้ความหมายถึง การไหว้บูชาครู อาจารย์ รวมถึงเป็นการขอขมาทั้ง ครู อาจารย์ แขกผู้มีเกียรติที่ก าลังชมการแสดงอยู่ เพื่อที่จะได้แสดงอิริยาบถต่าง ๆ ตามท่าฟ้อน


93 2) ท่าบิดบัวบาน หมายถึง การบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณครูบาอาจารย์ ที่เคารพด้วยดอกไม้สีขาว (ใช้ท่าบิดบัวบานแทนดอกไม้สีขาว) ก่อนที่จะท าการแสดงศิลปะวิทยาการ ต่าง ๆ ด้วยความนอบน้อม ในท่าร าเป็นท่าเสริมต่อจากการไหว้ ก่อนที่จะฟ้อนสาวไหมต่อไป 3) ท่าพญาครุฑบิน เป็นท่าที่หมายถึงความมีพลัง มีอ านาจ ความยิ่งใหญ่ และศักดิ์สิทธิ์ ของพญาครุฑ ซึ่งเป็นพาหนะของพระวิษณุ ในท่าร าเป็นท่าตั้งวงก่อนที่จะฟ้อนสาวไหมท่าสาวไหมช่วงยาว 4) ท่าสาวไหมช่วงยาว เป็นท่าฟ้อนที่ให้ความหมายว่า ก าลังเก็บดอกฝ้ายที่บานแล้ว จากต้นฝ้าย เพื่อเอามาแกะเมล็ดออกแล้วน าไปตาก ซึ่งท่านี้เป็นท่าหลัก และท่าเชื่อมใน การฟ้อนสาวไหม 5) ท่าม้วนไหมซ้าย-ขวา และท่าตากฝ้าย เป็นท่าที่ให้ความหมายว่าก าลังเก็บดอกฝ้ายไว้ในกระด้ง 6) ท่าตากฝ้าย เป็นท่าที่ให้ความหมายว่าตากฝ้ายไว้ในกระด้งแล้วท าการผึ่ง หรือ คลี่ให้กระจายตัว ปรับปรุงท่าโดยนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ในปีพ.ศ. 2544 7) ท่าม้วนไหมใต้เข่า เป็นท่าที่ให้ความหมายว่า ก าลังก้มเก็บดอกฝ้ายที่ตากแห้ง แล้วใส่ภาชนะเพื่อเอาไปตีให้แตกฟู หรือพองตัว แล้วน ามาพันเป็นแท่งเพื่อเอาใส่ในกวง แล้วปั่นเป็นเส้นฝ้าย 8) ท่าม้วนไหมใต้ศอก เป็นท่าที่ให้ความหมายว่า เมื่อปั่นฝ้ายเป็นเส้นแล้ว ดึงฝ้ายเป็นเส้น นั้นมาพันที่ศอกให้เป็นระเบียบ ป้องกันเส้นฝ้ายพันกันยุ่งเหยิง ก่อนที่จะเอาไปใส่บนกี่ทอผ้าเพื่อทอ เป็นผืนผ้าต่อไป 9) ท่าพุ่งหลอดไหม เป็นท่าที่ให้ความหมายถึง ก าลังทอเป็นผืนผ้าอยู่บนกี่ 10) ท่าสาวไหมรอบตัว เป็นท่าที่ให้ความหมายว่า ก าลังสาละวนอยู่กับการเอาเส้นฝ้าย ใส่บนกี่ หรือจัดเส้นฝ้ายให้เข้าในฟืมขณะที่มีการทอเป็นผืนผ้า 11) ท่าคลี่ปมไหม เป็นท่าที่ให้ความหมายว่า เมื่อทอเป็นผืนผ้าแล้ว ก็น ามาคลี่ เพื่อเก็บปมหรือเศษฝ้ายที่ติดมากับผืนผ้า สะบัดส่วนเกินออกให้หมด 12) ท ่าปูเป็นผืนผ้า เป็นท ่าที ่ให้ความหมายว ่าก าลังชื ่นชมผ้า เมื ่อทอเป็นผืนผ้า เสร็จแล้วและน ามาปูกับพื้นส ารวจดูว่าเรียบร้อยดีหรือไม่ 13) ท่าพับผ้า เป็นท่าที่ให้ความหมายว่า เมื่อตรวจดูความเรียบร้อยเสร็จแล้วก็พับเก็บไว้


94 1.4 กลวิธีกำรแสดงฟ้อนสำวไหมสำยสกุลช่ำงฟ้อนนำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ การศึกษากลวิธีการแสดงฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เป็นการศึกษาเพื่อหาความเป็นอัตลักษณ์ของนางบัวเรียวที่ชัดเจน เนื่องจากการฟ้อนสาวไหม เป็นการฟ้อนที่ท าให้นางบัวเรียวเป็นที่รู้จักในกลุ่มศิลปะการฟ้อนพื้นบ้านล้านนา และกรมศิลปากร ได้น าท่าฟ้อนสาวไหมไปปรับปรุงเพื่อถ่ายทอดการฟ้อนให้กับนักเรียน นักศึกษา ในสถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์รวมถึงบุคคลทั่วไป การฟ้อนสาวไหมเป็นการฟ้อนที่ได้รับความนิยมของจังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงปีพ.ศ. 2509 เป็นต้นมา จึงเกิดการประดิษฐ์ท่าฟ้อนที่แตกต่าง ตามแต่ครูแต่ละคนจะเห็นสมควรประยุกต์ท ่าฟ้อนขึ้นมา ดังนั้นจึงเกิดการฟ้อนส าวไหม หลายรูปแบบขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดพะเยา กลวิธีการแสดงฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียวที่ปรากฏได้ชัดเจน คือเป็นการฟ้อนแบบพื้นบ้าน ล้านนา ที่ไม่ได้มีการจัดระเบียบร่างกายของผู้แสดง แตกต่างกับการแสดงฟ้อนร าตามแบบ ของราชส านัก ที่มีกระบวนการจัดระเบียบร่างกายด้วยการดัดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนักแสดง ฟ้อนสาวไหมของ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เป็นฟ้อนล้านนาที่มีความละเอียดและสวยงามในท่าฟ้อน ลักษณะของการฟ้อนมีวงแขนกว้าง และนุ่มนวล ไม่กระตุกเข่าหรือยุบ สรีระของร่างกายเคลื่อนไหว ได้อย่างอิสระ การฟ้อนชุดนี้ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดาคือนายกุย สุภาวสิทธิ์ ที่ถ่ายทอดให้กับ นางบัวเรียว และมีการตัดท่าฟ้อนสาวไหมบางท่าออก เพื่อความสุภาพต่อการแสดงให้กับผู้ชม และในบางท่าฟ้อนเปลี่ยนจากการฟ้อนด้วยการยุ่ม เป็นการจีบแบบนาฏศิลป์แทน เพื่อให้เกิดความ สวยงามและเหมาะสมกับการฟ้อนของสตรี วิเครำะห์กลวิธีกำรแสดงฟ้อนสำวไหมของ นำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 1. ลักษณะของกำรใช้ร่ำงกำยในกำรฟ้อน 1.1 การใช้พลัง เน้นการฟ้อนไปตามกระบวนท่าฟ้อน ใช้เข่าในการใช้พลังรับ น้ าหนักการฟ้อน ใช้การเอนล าตัวไปด้านหน้าหรือด้านข้าง ไม่เอนตัวไปด้านหลัง และไม่ก้มหน้าให้ต่ า หรือขนานพื้น โดยสัมพันธ์กับดนตรีที่ใช้ฟ้อน 1.2 ทิศทางในการฟ้อน เคลื่อนตัวไปด้านข้าง หรือเดินด้านข้างซ้าย หรือขวา ไม่มีการแปรแถว แต่หากฟ้อนเดี่ยวขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้แสดงในการปรับลีลาและเคลื่อนที่ ตามความเหมาะสม 1.3 การใช้ศีรษะ 1.3.1 ศีรษะ การตั้งตรงของศีรษะพบเฉพาะการไหว้ผู้ชม เมื่อท าการแสดง ศีรษะจะเอียงไปตามล าตัว หรือเอียงตามมือข้างที่จีบ 1.3.2 สายตา มองตามปลายนิ้วก้อยของมือข้างใดข้างหนึ่ง เมื่อมือเคลื่อน ออกจากล าตัว


95 1.3.3 การใช้ล าตัว เน้นการเอนไปทางด้านหน้า ด้านซ้ายหรือขวา 45 องศา ในทุกท่าฟ้อน ไม่เอนล าตัวไปด้านหลัง 1.4 การใช้มือ 1.4.1 การใช้ข้อมือ ใช้การหักข้อมือในทิศทางของด้านหน้าและหลังมือใน การฟ้อนเป็นหลัก ตั้งแต่การเคลื่อนออกจากล าตัว และเคลื่อนเข้าหาล าตัว 1.4.2 การจีบ เมื่อมือเคลื่อนออกจากล าตัวต้องออกด้วยท่าจีบ จนกระทั่ง เคลื่อนเข้าหาล าตัวจะปล่อยจีบระดับหน้าผากเท่านั้น 1.4.3 การไหว้จะใช้ในการเริ่มต้นของการฟ้อนและการจบการแสดง 1.4.4 การตั้งวงใช้ในการเริ่มต้นของการฟ้อนและการแสดงโดยใช้ชื่อท่า พญาครุฑบิน 1.5 การใช้แขน 1.5.1 การเคลื่อนที่ของแขน เน้นการเคลื่อนไหวของมือและแขนที่สัมพันธ์ กับดนตรี โดยมีท ่าเชื ่อมการฟ้อนด้วยท ่าสาวไหมช ่วงยาวเป็นหลัก เชื ่อมและเปลี ่ยนท ่าร าใน ลักษณะของ วงแขนกว้างหรือห่างจากล าตัว 1.5.2 การส่งแขน ส่งแขนไปด้านข้าง ด้านหน้า และเหนือศีรษะ 1.6 การใช้เท้า 1.6.1 การก้าวเท้า เมื่อเคลื่อนที่ไปด้านซ้าย หรือขวา และก้าวถอยหลัง ในลักษณะเฉียงไปด้านหลัง เมื่อจะเริ่มต้นท่าฟ้อนต่อไปให้พร้อมกับจังหวะของกลองเต่งถิ้ง หรือ ฉาบ ในจังหวะที่ 3 และจังหวะที่ 4 1.6.2 การยกเท้า ย่อเข่าแล้วยกเท้า ข้างใดข้างหนึ่งไปด้านหลังพร้อมกับ เปิดปลายเท้า เท้าอีกข้างรับน้ าหนักไว้เพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวจากต าแหน่งหนึ่งไปยังต าแหน่งหนึ่ง 1.7 การนั่ง 1.7.1 นั่งคุกเข่าบนส้นเท้าโดยจมูกเท้าวางอยู่บนพื้น เข่าทั้งสองวางพื้นห่าง กันเล็กน้อยในช่วงแรก และตอนจบ 1.7.2 นั่งตั้งเข่า เป็นการนั่งบนส้นเท้า จมูกเท้าวางอยู่บนพื้น ขาข้างใดข้างหนึ่ง ตั้งฉาก


96 2. ดนตรี ใช้วงปี่พาทย์ล้านนาบรรเลงเพลงสาวไหมเชียงราย ซึ่งเป็นเพลงที่นายโม ใจสม เป็นผู้น ามาประกอบการฟ้อนสาวไหมของบัวเรียว ตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2496 เป็นเพลงจังหวะสองชั้น 3. โครงสร้ำงของกำรฟ้อน ปรับมาจากการฟ้อนเจิงของผู้ชาย โดยมีท่าหลักคือ ท่าสาวไหมช่วงยาว เนื่องจาก เป็นท่าฟ้อนที่คนนิยม และสามารถเชื่อมท่าฟ้อนไปยังท่าอื่น ๆ ได้ง่าย การใช้วงและจีบแบบนาฏศิลป์ ไทยเพื่อให้เกิดความงดงามยิ่งขึ้น และการเลียนแบบท่าทางการสาวไหมทอผ้าของสตรีชาวเหนือ 4. กำรอธิบำยกระบวนกำรทอผ้ำ มีความหมายต่อเนื่องสัมพันธ์กับความต่อเนื่องของกรรมวิธีทอผ้าตั้งแต่กระบวนการ เก็บดอกฝ้าย จนกระทั่งทอผ้าออกมาเป็นผืนผ้า 5. กลวิธีกำรแสดง ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของผู้แสดงในการใช้ลูกเล่น หรือการเปลี่ยนมือ เพื่อให้ผู้ชมเห็นว่ามีความซับซ้อน และรวดเร็ว โดยใช้ท่าหลักและท่าเชื่อม และกลวิธีที่ส าคัญคือ การกล่อมตัว และโยนตัวที่มีความเลื่อนไหลอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อแต่ละท่าเข้าด้วยกันตลอด การแสดง 6. รูปแบบกำรฟ้อน การฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ แบ่งการฟ้อนได้เป็น 3 ช่วง ด้วยกัน คือ 6.1 ตอนต้น การตั้งตัวในการฟ้อน เดินออกจากด้านหลังเวทีด้วยท่าจีบส่งหลัง นั่งคุกเข่า ยกมือไหว้หนึ่งครั้ง และฟ้อนด้วยท่าไหว้ ท่าบิดบัวบาน ท่าพญาครุฑบิน ท่าสาวไหมช่วงยาว ท่าม้วนไหมซ้าย - ขวา ท่าตากฝ้าย และลุกขึ้นยืนด้วยท่าสาวไหมช่วงยาว สื่อถึงการแสดงความ เคารพต่อผู้ชม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สถานที่ ที่ใช้แสดงก่อนเริ่มการแสดง 6.2 ตอนกลาง ท่ายืน ฟ้อนด้วยท่าม้วนไหมใต้เข่า ท่าม้วนไหมใต้ศอก ท่าพุ่ง หลอดไหม ท่าสาวไหมรอบตัว ท่าคลี่ปมไหมสื่อถึงกรรมวิธีในการทอผ้า ตั้งแต่การเก็บดอกฝ้าย สาวไหม พุ่งกระสวย ทอผ้า 6.3 ตอนจบ ท่านั่งในครั้งที่ 2 ฟ้อนด้วยท่าปูเป็นผืนผ้า ท่าพับผ้า ท่าพญาครุฑ บินไหว้ ในตอนจบ สื่อถึงการเสร็จสิ้นกรรมวิธีการทอผ้า ส าเร็จออกมาเป็นผืน เกิดความปีติยินดี และท าความเคารพผู้ชม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สถานที่ ที่ใช้แสดงก่อนการจบการแสดง


97 นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้รับการส่งเสริมในการแสดงด้านการฟ้อนพื้นเมือง และฟ้อนไทย ประยุกต์ทั้งภายในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ที่มีสถาบันการศึกษาให้ ความสนใจและตัวบุคคลที่ส่งเสริมการฟ้อนของแม่ครูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟ้อนสาวไหม การฟ้อนสาวไหมของบัวเรียวเป็นการฟ้อนที่มีลีลาแตกต่างจากคนอื่น นางบัวเรียวย้ ากับ ลูกศิษย์เสมอว่า “การฟ้อนสาวไหมต้องให้ฟ้อนแล้วเกิดจินตนาการเป็นเส้นไหม หากเราจินตนาการ ให้เป็นเส้นแล้วผู้ชมก็จะได้รู้สึก และสัมผัสถึงความเป็นเส้นไหม และอย่าให้เส้นไหมที่เราฟ้อน ขาดมิเช่นนั้นมันจะไม่สวยงาม” (บัวเรียว รัตนมณีภรณ์, 2564, 28 มิถุนายน, สัมภาษณ์) ดังนั้น จุดนี้จึงเป็นจุดเด่นและเอกลักษณ์ของนางบัวเรียวในการฟ้อนที่ได้รับความนิยมเมื่อใคร เห็นย่อมส่งเสริมให้กับการฟ้อนอันสวยงามและความเป็นเอกลักษณ์ บุคคลที่ส่งเสริมการฟ้อนของแม่ครูบัวเรียวมาโดยตลอด มีดังนี้ 1) นายกุย สุภาวสิทธิ์ บุคคลผู้คิดค้นท่าฟ้อนสาวไหม ให้กับนางบัวเรียว ด้วยการมอง การณ์ไกลและต้องการสร้างความเป็นตัวตนให้กับบุตรสาว เทคนิคการฟ้อนสาวไหมของบัวเรียว ที่ได้รับการถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหมจากผู้เป็นบิดา การฟ้อนสาวไหมที่นายกุยได้ถ่ายทอดให้กับ บุตรสาวนั้น เป็นการปรับท่าฟ้อนเจิงมาสู่การฟ้อนสาวไหม เมื่อพิจารณาการถ่ายทอดการฟ้อน ของนางบัวเรียวแสดงให้เห็นถึงจินตนาการชัดเจนมากขึ้นว่า การฟ้อนสาวไหม บิดาได้ถ่ายทอดนั้น ท่านได้น าเอาการฟ้อนเจิงบวกกับจินตนาการเป็นการฟ้อนสาวไหมและถ่ายทอดให้กับนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 2) นายโม ใจสม ครูที่เห็นความสามารถทางการฟ้อนของนางบัวเรียวอีกท่านหนึ่ง นอกจากบิดา ท่านได้ส่งเสริมการฟ้อนของนางบัวเรียวตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนมาเป็นผู้น าการฟ้อน และขับร้องเพลงไทยประยุกต์ และได้น านางบัวเรียวไปช่วยสอนและถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหม จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในยุคของการเผยแพร่ศิลปะการแสดงไทยเดิมประยุกต์นั้น นางบัวเรียวได้ ติดตามนายโม เดินทางไปเป็นผู้ช่วยสอนการฟ้อนไทยเดิมประยุกต์ และการสอนฟ้อนสาวไหม ฟ้อนดาบ ให้กับกลุ่มชาวบ้านผู้สนใจ ท าให้การฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว เป็นที่นิยมในการฟ้อน ตามงานวัดต่าง ๆ เนื่องจากการฟ้อนสาวไหม เป็นการฟ้อนเดี่ยว คือ ร าเพียงคนเดียว ใช้ทักษะ การฟ้อนสูงและสวยงามในสายตาของผู้ชม จึงท าให้ผู้ชมที่มีความพึงพอใจมอบสินน้ าใจให้กับช่าง ฟ้อนระหว ่างการแสดงเป็นจ านวนมากเป็นปัจจัยหนึ ่งที ่ท าให้ฟ้อนสาวไหมเกิดการเผยแพร ่ทั ่ว จังหวัดเชียงราย และยังเกิดการผสมผสานการฟ้อนกับการบรรเลงดนตรีตามรูปแบบของนายโม ใจสม ซึ่งได้รับความนิยมมากในจังหวัดเชียงราย 3) นางพลอยศรี สรรพศรี และนายอินทร์หล่อ สรรพศรี(สามี) ท่านทั้งสองได้สร้าง ครอบครัวนักดนตรีไทย ให้กับจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะนางพลอยศรี สรรพศรี ผู้มีความเชี่ยวชาญ เรื่องการฟ้อนแบบราชส านัก และเป็นผู้ส่งเสริมการฟ้อนของบัวเรียว ด้วยการถ่ายทอดฟ้อนลาวแพน


98 และร าอวยพรให้กับนางบัวเรียว ได้พานางบัวเรียวไปบันทึกเทปการฟ้อน ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ล าปาง และออกแสดงในโอกาสต่าง ๆ 4) นายชาญ สิโรรส เป็นผู้ท านุบ ารุงพระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมมีความเมตตา ต่อศิลปินช่างฟ้อน เช่น นายค า กาไวย์ ศิลปินแห่งชาติ และนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินพื้นบ้าน ของจังหวัดเชียงราย ท่านส่งเสริมนางบัวเรียว ด้วยการน าไปแสดง และเผยแพร่การฟ้อนสาวไหม ณ จังหวัดเชียงใหม่ ในงานขันโตกดินเนอร์โรงแรมต ่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พุทธสถาน จังหวัดเชียงใหม่ ลัดดาแลนด์เชียงใหม่ เป็นต้น 2. วิธีกำรถ่ำยทอดกระบวนท่ำฟ้อนสำวไหมสำยสกุลช่ำงฟ้อนนำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 2.1 กำรสร้ำงพื้นที่ในกำรถ่ำยทอด ในปี พ.ศ. 2515 นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้จัดตั้งคณะช่างฟ้อนของตัวเองขึ้น โดยมี ลูกศิษย์เป็นกลุ่มสตรีในหมู่บ้านศรีทรายมูล การเผยแพร่การฟ้อนของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เป็นการเผยแพร่ด้วยวิธีการสอนตามอัธยาศัย และการเรียนแบบยึดความสะดวกของครูผู้สอน และผู้เรียนเป็นหลัก แบ่งเป็นยุคของการถ่ายทอดได้ดังนี้ ยุคที่ 1 เป็นการถ่ายทอดการฟ้อนพื้นบ้านล้านนาสู่ชุมชน ได้แก่ หัววัด กลุ่มแม่บ้าน อยู่ในช่วง พ.ศ. 2501 - 2528 เป็นการเผยแพร่ไปพร้อมกับการถ่ายทอดวงปี่พาทย์ล้านนา และฟ้อนไทยประยุกต์ ของนายโม ใจสม ในเขตจังหวัดเชียงราย การถ่ายทอดด้วยวิธีนี้ใช้ระยะเวลา หนึ่งเดือน ด้วยการไปอาศัยและนอนอยู่ที่วัดที่เดินทางไปถ่ายทอดร่วมกันเป็นหมู่คณะ โดยเฉพาะวันที่ เข้าร่วมการแข่งขันและจัดงานปอยหลวง และการถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหมแบบพื้นบ้าน ณ บ้านสาวไหม จังหวัดเชียงราย ยุคที่ 2 เป็นยุคแห่งการถ่ายทอดการฟ้อนสู่สถาบันการศึกษา พ.ศ. 2529– ปัจจุบันเป็น การถ่ายทอดการฟ้อนโดยการแสวงหาความรู้ทางด้านภูมิปัญญาพื้นบ้านและวัฒนธรรมไทยในชุมชน โดยสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ซึ่งมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นผู้บุกเบิกและค้นพบการฟ้อนสาว ไหมต้นแบบของนางบัวเรียว น าโดยนายสนั่น ธรรมธิ ในครั้งนั้นจัดการแสดงนิทรรศการความรู้ บทความในสถานีวิทยุด้านศิลปวัฒนธรรม ของจังหวัดเชียงใหม่ และเขียนลงในวารสารทางวิชาการ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จนเป็นที่รู้จักของเชียงใหม่อีกครั้ง ชมรมล้านนาในสถาบันอุดมศึกษาจึงรู้จัก นางบัวเรียว ด้วยงานเขียนที่กล่าวถึงการฟ้อนสาวไหมต้นแบบ ที่เป็นต้นก าเนิดของฟ้อนสาวไหม วิทยาลัยนาฏศิลป ท าให้ผู้สนใจด้านวิชาการฟ้อนพื้นบ้านล้านนาเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น จนท าให้ นักแสดงและนักวิชาการหลายคนเกิดความสนใจในศิลปะการฟ้อนสาวไหมต้นแบบของ นางบัวเรียว และเดินทางมาศึกษาที่บ้าน หรือเชิญไปเป็นวิทยากรในการถ่ายทอดฟ้อนสาวไหม ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน และฟ้อนพื้นบ้านล้านนาอื่น ๆ ตามที่สถาบันการศึกษาและชุมชนสนใจ


99 การสร้างพื้นที่ทางสังคมของบัวเรียว มีลักษณะการสร้างที่เป็นขั้นตอนด้วยประสบการณ์ และความรู้ที่สั่งสมมาตั้งแต่การได้รับความรู้จากบิดา และจากครูผู้อุปถัมภ์ที่สร้างองค์ความรู้ทางด้าน การแสดง ให้แก่นางบัวเรียว จึงท าให้สามารถก าหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการถ่ายทอดอย่าง เป็นมาตรฐานได้ดังนี้ 2.2 หลักเกณฑ์และกระบวนกำรถ่ำยทอดองค์ควำมรู้ท่ำฟ้อนสำวไหมของนำงบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ การถ ่ายทอดองค์ความรู้ นับเป็นความส าคัญต ่อการอน ุรักษ์องค์ความรู้ให้คงอยู ่ โดยเฉพาะองค์ความรู้ที่เกิดจากการสืบทอดการแสดงพื้นบ้าน ซึ่งถือเป็นมรดกทางภูมิปัญญา ของท้องถิ่น ผ่านตัวศิลปินมีการสั่งสมประสบการณ์ เกิดการปรับปรนองค์ความรู้เพื่อให้สอดคล้อง กับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม เกิดเป็นอัตลักษณ์ของตัวศิลปิน และถูกถ่ายทอดองค์ความรู้นั้น ให้แพร่หลายเป็นที่นิยมจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง จากการศึกษางานวิจัยการถ่ายทอดองค์ความรู้ ฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ผู้วิจัยได้ก าหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการถ่ายทอดการแสดงฟ้อนสาวไหม ไว้ดังนี้ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอด 2. โอกาสในการถ่ายทอดองค์ความรู้ 3. การถ่ายทอดความรู้เดี่ยวเฉพาะบุคคล 4. การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่ม 5. การประเมินผลการถ่ายทอด 1. ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงผู้ถ่ำยทอดและผู้รับกำรถ่ำยทอด การถ่ายทอดฟ้อนสาวไหมเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ และเป็นความรู้เฉพาะตน ของผู้ถ่ายทอดท่าฟ้อน ผู้ถ่ายทอดจึงมักค านึงถึงปัจจัยของผู้รับการถ่ายทอดด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้ - ผู้รับการถ่ายทอดเป็นศิษย์ตามหลักสูตรการศึกษา - ผู้ถ่ายทอดเป็นผู้คัดเลือกผู้รับการถ่ายทอดด้วยตนเอง - ผู้ถ่ายทอดต้องการผู้ช่วยในการถ่ายทอด - ผู้รับการถ่ายทอด ต้องการสืบทอดท่าฟ้อนและกลวิธีในการฟ้อน ด้วยปัจจัยดังกล่าว ท าให้ตัวผู้ถ่ายทอดจ าเป็นต้องพิจารณาและก าหนดวิธีการในการถ่ายทอด ให้ศิษย์ในแต่ละกลุ่มด้วยตนเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการถ่ายทอด ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างผู้ ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอดจึงมีความส าคัญที่จะส่งผลให้การถ่ายทอดบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ การถ่ายทอดท่าฟ้อนซึ่งเป็นการฝึกฝนทักษะของผู้รับการถ่ายทอด การปฏิบัติท่าฟ้อนให้ ดูเป็นตัวอย่าง การสัมผัสร่างกายผู้รับการถ่ายทอด การจับท่า จัดระเบียบร่างกายให้ฟ้อนด้วยท่าทาง


100 ที่ถูกต้องสวยงาม การเน้นย้ าวิธีการให้ปฏิบัติท่าฟ้อนแบบซ้ า ๆ หรือการจ าแนกรายละเอียดใน แต่ละท่าด้วยการเน้นย้ าให้ผู้รับการถ่ายทอดฝึกปฏิบัติซ้ ามาซ้ าไปจนเกิดความช านาญ ความเคร่งครัด ของตัวผู้ถ่ายทอดเหล่านี้จึงจ าเป็นต้องใช้พลังงานและความตั้งใจเป็นอย่างมาก มีความส าคัญ ที่จะส่งผลให้การฟ้อนออกมาอย่างถูกต้องและงดงาม ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถ่ายทอด กับผู้รับการถ่ายทอดจึงเป็นมูลเหตุที่ส าคัญยิ่ง จึงขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนของผู้รับการถ่ายทอดดังนี้ 1) ผู้รับการถ่ายทอดมีความกตัญญูต่อผู้ถ่ายทอด ให้ความส าคัญในการแสดง ความเคารพแสดงความห ่วงใย มีน้ าใจคอยช ่วยเหลือปรนนิบัติผู้ถ ่ายทอดเมื ่อมีโอกาสทุกครั้ง ท าให้ตัวผู้ถ่ายทอดเกิดความเมตตา และปรารถนาที่จะให้ความรู้แก่ผู้รับการถ่ายทอดให้ได้รับความรู้ อย่างสุดความสามารถ ศิษย์ของนางบัวเรียว ทุกคนจึงมีการแสดงความเคารพต ่อนางบัวเรียวอย ่าง จริงจัง และเรียกท่านว่า “แม่ครู” เปรียบเสมือนนางบัวเรียวเป็นแม่อีกคนหนึ่งที่มีความรักความ เมตตาคอยห่วงใยใส่ใจดูแล คอยอบรมสั่งสอนแก่ศิษย์ที่เข้ามาขอวิชาความรู้ ขั้นตอนแรกของการเข้าขอรับการถ่ายทอด ผู้เรียนจะต้องตั้งขันครู ซึ่งถือเป็น ธรรมเนียมที่เคร่งครัด เพราะมีความเชื่อว่าหากเกิดความผิดพลาดขึ้น ครูบาอาจารย์จะมาเอาผิด และลงโทษกับผู้สอนมิใช่ตัวผู้เรียน ขั้นตอนการขึ้นขันครู จึงเป็นการขอขมาและขออนุญาตก่อน การเรียน การสอน และเป็นการแสดงความเคารพฝากเนื้อฝากตัว ขอเป็นศิษย์ของผู้ที่เข้ามา ขอวิชาความรู้จากนางบัวเรียว


101 ภำพที่ 32 บทบูชาครู (ค าเรียกครู) จากเอกสารบันทึกของนางบัวเรียว ที่มำ: ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายและสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2549, น. 103) 2) ผู้รับการถ่ายทอดมีพรสวรรค์สามารถปฏิบัติได้ตามที่ผู้ถ่ายทอดอบรมสั่งสอน ผู้รับการถ่ายทอดสามารถเรียนรู้และจดจ าท่าทางการถ่ายทอดความรู้ได้อย่างแม่นย าและรวดเร็ว รวมถึงมีท่วงท่าลีลาที่อ่อนช้อยงดงาม ไม่ท าให้ผู้ถ่ายทอดหนักใจหรือกังวล ซึ่งยังจะส่งผลต่อผู้ถ่ายทอด ให้ต้องการที่จะถ่ายทอดรายละเอียดกลวิธีขั้นสูงให้กับผู้รับการถ่ายทอดอีกประการหนึ่ง นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ มีทักษะและความช านาญการฟ้อนที่ยอดเยี่ยม สามารถ ฟ้อนได้อย ่างอ่อนช้อยงดงามเป็นที ่ชื ่นชอบของผู้ชม แต่เมื ่อพบเจอศิษย์ที่มีพรสวรรค์ในการฟ้อน ก็ปรารถนาดีที่จะถ่ายทอดความรู้กลวิธีในการฟ้อนของตนแก่ศิษย์ผู้นั้นอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ได้สืบทอดการฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้อย่างงดงาม ด้วยความภาคภูมิใจ 3) ผู้รับการถ่ายทอดมีความอดทนอดกลั้นและไม่ย่อท้อต่อการฝึกฝน การสืบทอด การฟ้อนมีความส าคัญคือการปฏิบัติตามผู้ถ่ายทอดอย่างถูกต้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งเน้นการฝึกฝน


102 ปฏิบัติแบบซ้ า ๆ จนเกิดความช านาญ หากผู้รับการถ่ายทอดไร้ความอดทน มีความเกียจคร้านหรือย่อ ท้อต่อการฝึกหัด จะท าให้ผู้นั้นขาดการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง ขาดทักษะความช านาญของ การฟ้อน ส่งผล ให้ขาดความสามารถในการเข้าถึงการฟ้อนที่ถูกต้องและงดงามได้ นางบัวเรียว เป็นผู้ถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหม ที่มีศิษย์ขอเข้ารับการถ่ายทอดท่าฟ้อน จ านวนมาก ทั้งจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือซึ่งในบางครั้งต้องเดินทางไปยัง ต่างจังหวัดเพื่อถ่ายทอดท่าฟ้อนตามสถานศึกษาต่าง ๆ เหล่านั้นหรือหน่วยงานที่ขอความอนุเคราะห์ ให้นางบัวเรียวไปเป็นวิทยากรในถ่ายทอดท่าฟ้อนสาวไหม และบรรดาศิษย์กลุ่มต่าง ๆ ในจังหวัด เชียงราย และจากต่างจังหวัดที่ขอเข้ารับการถ่ายทอดท่าฟ้อนที่บ้านสาวไหมซึ่งเป็นที่พักอาศัยของ นางบัวเรียวในจังหวัดเชียงราย ทั้งแบบขอเข้ารับการถ่ายทอดแบบเป็นหมู่คณะและแบบขอเข้ารับ การถ่ายทอดแบบตัวต่อตัว ด้วยเวลาที่มีจ ากัดจึงเป็นเหตุให้นางบัวเรียว จ าเป็นต้องเข้มงวดและตั้งใจ ถ่ายทอดท่าฟ้อนให้กับผู้เรียนทุกคนด้วยความอดทนอดกลั้นและไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อย และด้วยจ านวนผู้ขอเข้ารับการถ่ายทอดที่มีจ านวนมากนี้ ความอดทนอดกลั้นและไม่ย่อท้อต่อ การฝึกฝนของผู้เรียน การตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติซ้ า ๆ หรือการใส่ใจแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง จึงจะท าให้ผู้รับการถ่ายทอดสามารถฟ้อนออกมาได้อย่างถูกต้องและงดงาม นางบัวเรียวจะถ่ายทอดท่าฟ้อนแบบไม่มีดนตรี ฝึกฝนทบทวนตามกระบวนทีละท่า ตามล าดับแบบซ้ าไปซ้ ามา จนกว่าผู้รับการถ่ายทอดจะเกิดความช านาญ แล้วจึงฝึกฝนท่าเชื่อม ในแต่ละท่าที่ท าให้การฟ้อนเกิดความต่อเนื่อง หลังจากนั้นจึงจะให้ฟ้อนกับดนตรี ซึ่งนางบัวเรียว จะเป็นผู้ก าหนดหนดประเภทของดนตรีที่จะใช้ฟ้อนให้เหมาะสมกับผู้ฟ้อน หรือโอกาสและสถานที่ ที่ศิษย์จะน าไปแสดง ได้แก่ วงปี่พาทย์ล้านนา วงสะล้อซอซึง และวงกลองสิ้งหม้อง ซึ่งดนตรีใน แต่ละประเภทจะมีกลวิธีในการแสดงที่แตกต่างกัน ในการฝึกฝนท่าฟ้อนกับดนตรีจะมีรายละเอียด เพิ่มขึ้นอีกมากมายเช่นเสียงของดนตรีที่เป็นตัวก าหนดจังหวะและท่าทางหรือท านองเพลง ที่เป็นตัวก าหนดความต่อเนื่องของท่าฟ้อน ปัจจัยเหล่านี้จะท าให้การฟ้อนเกิดความสวยงาม ซึ่งนางบัวเรียวจะเป็นผู้สาธิตปฏิบัติท่าฟ้อนน าทุกครั้งเพื่อเป็นตัวอย่าง รวมถึงอธิบายกลวิธีการฟ้อน ระหว่างการสาธิตไปด้วย ผู้รับการถ่ายทอดจึงจ าเป็นต้องมีความอดทนอดกลั้นและตั้งใจเก็บ รายละเอียดเหล่านี้ให้ครบถ้วน จึงจะท าให้ผู้รับการถ่ายทอดสามารถฟ้อนออกมาได้อย่างถูกต้อง และงดงาม ตามแบบฉบับการฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 4) ผู้รับการถ่ายทอดมีความกระตือรือร้น และใส่ใจในการฟ้อนอย่างจริงจัง การเอาใจใส่ต่อข้อแนะน าท่าฟ้อนรวมถึงกลวิธีของผู้ถ่ายทอด จ าเป็นต้องน าไปฝึกฝนเพิ่มเติมด้วย ตนเองเพื่อให้เกิดทักษะและความช านาญ และการฝึกฝนร่างกายให้เกิดความเคยชินเมื่อต้องแสดงจริง ไม่เกิดความเหน็ดเหนื่อย ไม่เกิดความประหม่าหรือไม่มั่นใจ ความกระตือรือร้นฝึกฝนด้วยตนเองนี้ จึงถือเป็นการฝึกฝนที่จะท าให้การฟ้อนเกิดความสมบูรณ์แบบสวยงาม


103 เมื่อมีเวลาว่างนางบัวเรียว มักจะใช้เวลาฝึกฝนให้กับศิษย์คนสนิทหรือผู้ที่ขอเข้ารับ การถ่ายทอดที่ต้องการการฝึกฝนที่มีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อจะน าการฟ้อนไปใช้แสดงในโอกาส ต่าง ๆ โดยการให้ศิษย์ฟ้อนให้ดู และจับท่าเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องหรือการจัดวางร่างกายให้ถูกต้อง สวยงามเหมาะสมกับสรีระของผู้ฟ้อน การใส่ลีลาและอารมณ์ในขณะฟ้อน ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องเกิดจากความกระตือรือร้นของผู้รับการถ่ายทอดที่จะเข้ามาขอรับค าแนะน าเพิ่มเติมหลังจาก น าไปฝึกฝนด้วยตนเอง จะท าให้เกิดทักษะและความช านาญในการฟ้อน 2. โอกำสในกำรถ่ำยทอดองค์ควำมรู้ ฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เกิดจากประสบการณ์การฟ้อน ที่ยาวนานจนเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมของผู้คนทั้งในจังหวัดเชียงรายและในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นการฟ้อนที่เป็นอัตลักษณ์ของนางบัวเรียว กริยาท่าทางที่สื่อความหมายถึงขั้นตอนการเก็บฝ้าย จนถึงการถักทอจนส าเร็จเป็นผืนผ้าถือเป็นวิถีชีวิตของสตรีพื้นบ้านภาคเหนือ การฟ้อนของนางบัวเรียว จึงเป็นการสะท้อนเอกลักษณ์และวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคเหนือได้อย่างงดงาม ถือเป็นมรดกทาง ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ควรได้รับการสืบทอดรักษา จึงมีผู้เข้ารับการถ่ายทอดเพื่อสืบทอดองค์ความรู้ มากมายหลายโอกาสดังนี้ 1) การถ่ายทอดความรู้โดยผู้อุปถัมภ์หรือหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน ตั้งแต่ในอดีตวัดถือเป็นสถานที่รวบรวมองค์ความรู้ทางด้านศิลปวิทยาทุกแขนงไว้ รวมถึงดนตรีและการขับร้องฟ้อนร า วัดจึงเปรียบเสมือนโรงเรียนฝึกฝนช่างฝีมือของชาวบ้าน ในท้องถิ่น การอุปถัมภ์ดูแลสนับสนุนค่าใช้จ่ายโดยพระสงฆ์ มีช่าง (สล่า) เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้แก่ชาวบ้าน นางบัวเรียวได้เล ่าเรียนวิชาการฟ้อนร าอยู ่กับวัดศรีทรายมูล วัดและพระสงฆ์ จึงถือเป็นผู้อุปถัมภ์ให้การสนับสนุนนางบัวเรียวมาตั้งแต่ในอดีต ปัจจุบันนี้มีหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนนางบัวเรียวมากขึ้น เช่นกรมส่งเสริม วัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย หมู่บ้าน ชุมชน ชมรม หรือ หน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชน ที่ให้การสนับสนุนดูแลค่าใช้จ่ายนางบัวเรียว เพื่อใช้ใน การเผยแพร ่องค์ความรู้เพื ่อสืบสานศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคเหนือ หรือในงานพิธีการที่ส าคัญ ของจังหวัดเชียงราย โครงการที่จัดขึ้นเป็นความต้องการจากหัวหน้าหน่วยงานนั้น ๆ โดยมอบหมาย ให้นางบัวเรียวเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้เหมาะสมกับกิจกรรมของโครงการที่จัดขึ้นการแสดงที่นิยม ให้นางบัวเรียวเป็นผู้ถ่ายทอดได้แก่ ฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบ 2) การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยหลักสูตรของสถานศึกษา การถ่ายทอดเพื่อสืบสานศิลปะการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือ นับเป็นเรื่องยากมาก หากมิได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมการถ่ายทอดอย่างถูกต้องตามล าดับขั้นตอน ให้เป็นไปอย่าง ต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้สถาบันการศึกษาจึงมีความส าคัญมาก เป็นแหล่งที่ใช้ถ่ายทอดและรวบรวม


104 องค์ความรู้ไว้อย ่างเป็นระบบ สามารถเผยแพร่องค์ความรู้ให้แก่ผู้ที่ต้องการสืบทอดหรือต้องการ ศึกษาได้อย่างถูกต้อง การจัดการเรียนการสอนของหลักสูตรที่มีความหลากหลายจึงจ าเป็นต้องได้รับ การถ่ายทอดจากตัวศิลปินโดยตรงเพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน เป็นข้อมูลที่ใช้บันทึกได้อย่างถูกต้อง แม่นย า ชุดการแสดงในสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ถูกก าหนดไว้ในหลักสูตร ของบางสถาบันการศึกษาทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา สถาบันการศึกษา เหล่านั้นมีความต้องการให้นักเรียน นักศึกษาได้รับการถ่ายทอดวิชาการฟ้อนจากนางบัวเรียวโดยตรง เพื่อนักเรียนนักศึกษาจะได้รับการถ่ายทอดท่าฟ้อนที่ถูกต้อง และกลวิธีในการฟ้อนจากนางบัวเรียว การแสดงที่ได้รับความนิยมถ่ายทอดมี2 ประเภทคือ การฟ้อนแบบบุรุษเพศ ได้แก่ ฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบ และการฟ้อนแบบสตรีเพศ ได้แก่ ฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนสร้อยแสงแดง 3) การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยผู้ถ่ายทอดเอง จากความรู้และประสบการณ์ด้านการแสดงและการฟ้อนที่หลากหลายท าให้ นางบัวเรียวสามารถเป็นผู้ก าหนดชุดการแสดงเพื่อให้เหมาะสมกับผู้รับการถ่ายทอด ซึ่งมีปัจจัยที่ เกี่ยวข้องด้วยทักษะความสามารถ สรีระร่างกาย หรือโอกาสที่ใช้แสดงของผู้รับการถ่ายทอด รวมถึงรูปแบบและกลวิธีที่ใช้แสดง จึงจ าเป็นต้องได้รับการพิจารณาและก าหนดเองโดยนางบัวเรียว การสนับสนุนจากภาครัฐหรือผู้อุปถัมภ์เป็นอีกส่วนส าคัญ ที่มอบหมายโครงการ ให้แก่นางบัวเรียวเป็นผู้ก าหนดชุดการแสดงหรือการฟ้อน เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับโครงการ ที่จัดขึ้น นางบัวเรียวจะพิจารณาปัจจัยเพื่อก าหนดชุดการแสดงให้สอดคล้องกับโครงการนั้น ๆ ได้แก่ โอกาสที่ใช้ในการแสดง สถานที่จัดการแสดง ทักษะนักแสดงและผู้ร่วมแสดง ระยะเวลาส าหรับ การฝึกซ้อม ทีมงานผู้ช่วยในการถ่ายทอดและฝึกซ้อม จึงก าหนดชุดการแสดงเพื่อใช้ถ่ายทอด ให้สอดคล้องตามความต้องการผู้จัดท าโครงการในครั้งนั้น 4) การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยผู้รับการถ่ายทอด ผู้รับการถ่ายทอดความรู้มีความศรัทธาและเชื่อถือในความสามารถของผู้ถ่ายทอด เมื่อมีความต้องการได้รับความรู้ที่ถูกต้องสวยงามและกลวิธีที่ใช้แสดง ผู้รับการถ่ายทอดมักจะก าหนด ชุดการแสดงเพื่อขอเข้ารับการถ่ายทอดจากนางบัวเรียว ซึ่งเหตุผลส าหรับผู้รับการถ่ายทอด มีปัจจัย ดังนี้ - เพื่อใช้การแสดงชุดนั้นในการศึกษางานวิจัย - เพื่อใช้แสดงในโอกาสพิเศษ ได้แก่ ไปแสดงต่างประเทศ ใช้แสดงเพื่อสอบ คัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา น าไปแสดงความสามารถพิเศษในการประกวดแข่งขัน - เพื่อน าไปถ่ายทอดให้กับศิษย์ในสถานศึกษาของตน - เพื่อน าไปถ่ายทอดให้กับชุมชน ชมรมหรือหน่วยงานของตน - เพื่อต้องการอนุรักษ์สืบสานการฟ้อนชุดนั้น ๆ


105 นางบัวเรียวจะใช้ความเข้มข้นในการถ่ายทอดเป็นพิเศษ แนะน าวิธีการแสดงทุกท่าทุก ขั้นตอนโดยละเอียด รวมถึงให้ผู้รับการถ่ายทอดได้บันทึกท่าเป็นภาพนิ่ง วีดีทัศน์ และบันทึกวิธีการลง สมุดบันทึกท่า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือหลงลืมของผู้รับการถ่ายทอด 3. กำรถ่ำยทอดควำมรู้เดี่ยวเฉพำะบุคคล การอนุรักษ์และสืบสานกระบวนท่าฟ้อนกลวิธีในการแสดงรวมถึงกลเม็ดเด็ดพราย ที่มีลักษณะเฉพาะของตัวศิลปิน ต้องใช้ความพิถีพิถันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้รับการถ่ายทอด ผู้ถ่ายทอดจึงต้องใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้เดี่ยวเฉพาะบุคคล การแก้ไขข้อบกพร่องของท่า จับท่า จัดท่าทางสรีระให้เกิดความสวยงาม ซึ่งเน้นฝึกปฏิบัติซ้ า ๆ จนเกิดทักษะความช านาญ การถ่ายทอด เฉพาะบุคคลหรือแบบตัวต่อตัว จะท าให้ผู้รับการถ่ายทอดสามารถปฏิบัติได้ดีกว่าแบบหลายคน นางบัวเรียวจะคัดเลือกจากศิษย์คนสนิทถ่ายทอดความรู้แบบตัวต่อตัว เพื่อให้เป็นผู้ช่วย ใน การสอน หรือศิษย์ที่ไว้ใจสามารถมอบหมายให้ไปถ่ายทอดความรู้กับผู้ขอรับการถ่ายทอดท่าฟ้อน สายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ จากหน่วยงาน ชมรม หรือสถาบันต่าง ๆ ทั้งในพื้นที่ จังหวัดเชียงรายและนอกพื้นที่ รวมถึงครูอาจารย์ที่จะน าความรู้ไปถ่ายทอดให้กับศิษย์ในสถานศึกษา ของตน และบุคคลที่ต้องการน าการฟ้อนสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ไปแสดง ในโอกาสพิเศษก็มักจะได้รับ การถ่ายทอดแบบตัวต่อตัวด้วยเช่นกัน 4. กำรถ่ำยทอดควำมรู้เป็นกลุ่ม การถ่ายทอดความรู้การแสดงพื้นบ้าน ถือเป็นการอนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรม มรดกทางภูมิปัญญาของชาติแล้ว การที่มีผู้เข้ารับการถ่ายทอดจ านวนมากย่อมส่งผลดีต่อการสืบสาน การแสดงพื้นบ้านเพื่อให้อยู่คู่ประเทศชาติสืบต่อไป การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มสามารถจ าแนก ประเภทกลุ่มผู้รับการถ่ายทอดได้ดังนี้ 1) การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในสถาบันการศึกษา การถ่ายทอดความรู้ทางด้านการฟ้อนสายสกุลช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ นอกจากเพื่อใช้แสดงแล้ว เพื่อให้องค์ความรู้ดังกล่าวไม่สูญหายไป การก าหนดหลักสูตรของ สถาบันการศึกษาให้มีการเรียนการสอนการฟ้อนสายสกุลช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ให้อยู่ในหลักสูตรท าให้การถ่ายทอดความรู้มีความต่อเนื่อง และถูกบันทึกอย่างเป็นระบบระเบียบ องค์ความรู้ยังถูกส่งต่อไปยังตัวผู้เรียนได้อีกเป็นจ านวนมาก นางบัวเรียวให้ความส าคัญกับการถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในสถาบันการศึกษามาก ตอบรับค าเชิญให้เป็นวิทยากรพิเศษในการถ่ายทอดท่าฟ้อนจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทุกครั้ง ถ้าครั้งใดไม่สะดวกก็จะมอบหมายให้กับศิษย์คนสนิทที่ไว้ใจได้ไปปฏิบัติภารกิจในการถ่ายทอดความรู้แทน หรือนัดหมายกับกลุ่มผู้ขอเข้ารับการถ่ายทอดจากสถาบันการศึกษาให้มาเรียนที่บ้านสาวไหม ของนางบัวเรียวซึ่งเป็นที่พักอาศัยในปัจจุบัน การเรียนการสอนจะด าเนินตามขั้นตอนตั้งแต่พื้นฐาน


106 ไปจนถึงผู้เรียนสามารถปฏิบัติท่าฟ้อนได้ตามที่หลักสูตรก าหนดไว้ การแสดงที่นิยมถ่ายทอดได้แก่ ฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบฟ้อนสาวไหม ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนสร้อยแสงแดง 2) การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในกลุ่มเยาวชน เยาวชนที่เข้ารับการถ่ายทอด ได้แก่ ชมรมในชุมชนวัดศรีทรายมูล และหน่วยงาน จากภาครัฐและเอกชน ในจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ การถ่ายทอดความรู้ให้แก่เยาวชนถือเป็น สิ่งส าคัญ เพราะเยาวชนคือก าลังส าคัญในการสืบสานศิลปวัฒนธรรมมรดกทางภูมิปัญญาของชาติ ให้อยู่สืบไป ถึงจะเป็นการหมุนเปลี่ยนเวียนมาในแต่ละกลุ่มแต่อย่างน้อยเยาวชนที่เข้ารับการถ่ายทอด จากนางบัวเรียวได้ซึมซับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ได้บ้าง นางบัวเรียวให้ความเมตตากับเยาวชนที่เข้ามารับการถ่ายทอด หากเป็นเด็กเล็ก แค่เพียงสามารถปฏิบัติท่าฟ้อนได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว จะไม่เน้นย้ าให้เกิดความน่าเบื่อหน่ายกับ ตัวเด็ก ซึ่งมีสมาธิหรือความจดจ่อน้อยกว่าผู้ใหญ่ ส่วนเด็กโตที่สามารถฟ้อนได้ดีก็จะต้องฝึกปฏิบัติ ตามขั้นตอนจนกว่าจะสามารถจดจ าและฟ้อนได้อย่างสวยงาม 3) การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้เข้ารับการถ่ายทอดในกลุ่มนี้ ได้แก่ ชมรมผู้สูงอายุ ชมรมแม่บ้าน ชาวบ้าน ในชุมชนวัดศรีทรายมูล และหน่วยงานจากภาครัฐและเอกชน เข้ารับการถ่ายทอดเพื่อน าไปแสดง ในกิจกรรมโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ เช่น ในงานบุญ งานรับเสด็จ งานเฉลิมพระเกียรติ กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ การถ่ายทอดท่าฟ้อนให้กลุ่มผู้สูงอายุจะถูกปรับปรุงให้ง่ายต่อการปฏิบัติตาม ของผู้สูงอายุเช่น จะไม่มีการนั่งย่อหรือโน้มตัวที่เยอะมากจนเกินไป จะท าให้ผู้สูงอายุปฏิบัติท่าฟ้อน ได้ล าบาก และการจับจังหวะของท่าให้เลือกฟังจากดนตรีหลักของเพลงเท่านั้น 5. กำรประเมินผลกำรถ่ำยทอด นางบัวเรียวมีความเอาใจใส่ดูแลต่อผู้รับการถ่ายทอดอย่างสม่ าเสมอเพื่อให้สิ่งที่ถ่ายทอด เหมาะสมและสามารถปฏิบัติท่าฟ้อนออกมาได้อย่างถูกต้องสวยงาม 1) การประเมินผลก่อนการถ่ายทอด นางบัวเรียวประเมินทักษะพื้นฐานของผู้รับการถ่ายทอดเพื่อเตรียมความพร้อมและ ขั้นตอนให้เหมาะสมกับบุคคลหรือกลุ่มคนนั้น และก าหนดชุดการแสดงหากต้องเตรียมผู้ช่วย ในการถ่ายทอดก็จะวางแผนติดต่อให้ทราบก่อนล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ที่จะมาช่วยสอนได้มีเวลาเตรียมตัว 2) การประเมินผลระหว่างการถ่ายทอด นางบัวเรียวจะถ่ายทอดท่าฟ้อนแบบไม่มีดนตรี ปฏิบัติซ้ าจนกว่าผู้รับการถ่ายทอด จะปฏิบัติได้จนมีทักษะและช านาญจึงให้ฟ้อนกับดนตรี หากมีใครที่ยังไม่สามารถปฏิบัติท่าฟ้อนได้ก็ จะเรียกมาทบทวนหรือแยกมาสอนส่วนตัวจนกว่าจะสามารถปฏิบัติท่าฟ้อนได้ หากมีคนที่มีไหวพริบดี


107 ก็จะคัดเลือกขึ้นมาเพื่อฟ้อนน า เป็นแบบอย่างแก่เพื่อน ๆ และผู้ที่ติดตามหรือเป็นผู้ช่วยสอน ของนางบัวเรียว ต้องเข้าใจทันต่อความคิดของนางบัวเรียวในขณะสอน และใส่ใจในกิจกรรมการสอน ทุกครั้ง เพื่อให้กิจกรรมการสอนทุกครั้งส าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี 3) การประเมินผลหลังการถ่ายทอด นางบัวเรียวจะให้ผู้รับการถ่ายทอดฟ้อนให้ดูและสังเกตหาข้อบกพร่องของผู้รับ การถ่ายทอด เพื่อติชมและให้ก าลังใจเป็นแนวทางในฝึกฝน เพื่อเป็นการพัฒนาการฟ้อนให้ถูกต้อง สวยงามและพร้อมเพียงมากขึ้น กล่าวโดยสรุปพัฒนาการฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว แบ่งออกเป็น 4 ช่วง 1) การรับ การถ่ายทอดจากบิดา 2) การเรียนรู้ท่าร าไทยจากนายโม ใจสม นางพลอยศรี สรรพศรี และนางนวลฉวี เสนาค า 3) การปรับปรุงท่าฟ้อนและกลวิธีในการแสดงจากนายชาญ สิโรรส 4) การสร้างสรรค์การแสดงและถ่ายทอดในแบบฉบับของตนเอง กระบวนท่าฟ้อนมีทั้งหมด 13 ท่า ประกอบด้ว ท่าไหว้ (เทพพนม) ท่าบิดบัวบาน ท่าพญาครุฑบิน ท่าสาวไหมช่วงยาว ท่าม้วนไหม ซ้าย - ขวา ท่าตากฝ้าย ท่าม้วนไหมใต้เข่าซ้าย - ขวา ท่าม้วนไหมใต้ศอกซ้าย - ขวา ท่าพุ่งหลอดไหม ท่าสาวไหมรอบตัวซ้าย - ขวา ท่าคลี่ปมไหม ท่าปูเป็นผืนผ้า และท่าพับผ้า โครงสร้างของท่าฟ้อนประกอบด้วย ท่าฟ้อนเจิง วง และจีบแบบนาฏศิลป์ไทยภาคกลาง และท่าฟ้อนเลียนแบบกรรมวิธีการทอผ้า โดยมีกลวิธีที่ใช้แสดงดังนี้ 1) กลวิธีแสดงประกอบวงสะล้อซอซึง ใช้การโยนตัวและใช้มือวนเป็นวงไหลอย่าง ต่อเนื่องตามท านองเพลง ย่ าเท้าตรงกับจังหวะฉิ่ง 2) กลวิธีแสดงประกอบวงป้าดฆ้องหรือปี่พาทย์ล้านนาเพิ่มการเกร็งร่างกายเพื่อให้ ท่าฟ้อนมีน้ าหนักมากขึ้นตามท านองเพลงเสียงแน (ปี่) ย่ าเท้าตรงกับจังหวะกลอง 3) กลวิธีแสดงประกอบวงกลองสิ้งหม้องมีการกระทบจังหวะสะดุ้งตัวเพื่อให้เกิดท่าที่ หนักหน่วงขึ้นและย่ าเท้าตรงกับจังหวะฆ้อง มีความหมายต่อเนื่องสัมพันธ์กับความต่อเนื่อง ของกรรมวิธีทอผ้าตั้งแต่กระบวนการเก็บดอกฝ้าย จนกระทั่งทอผ้าออกมาเป็นผืนผ้า กลวิธีที่ส าคัญที่ใช้ในการแสดง คือการเปลี่ยนมือเพื่อให้ผู้ชมเห็นว่ามีความซับซ้อน และรวดเร็ว โดยใช้ท่าหลักและท่าเชื่อม และกลวิธีที่ส าคัญอีกประการ คือการกล่อมตัว และโยนตัวที่มี ความลื่นไหลอย่างต่อเนื่องเชื่อมแต่ละท่าเข้าด้วยกันตลอดการแสดง โดยแบ่งการฟ้อนได้เป็น 3 ช่วง คือ ตอนต้น สื่อถึงการแสดงความเคารพต่อผู้ชม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สถานที่ที่ใช้แสดง ตอนกลาง สื่อถึงกรรมวิธีในการทอผ้า ตั้งแต่การเก็บดอกฝ้าย สาวไหม พุ่งกระสวย ทอผ้า


108 ตอนจบ สื่อถึงการเสร็จสิ้นกรรมวิธีการทอผ้า ส าเร็จออกมาเป็นผืน เกิดความปีติยินดี และท าความเคารพผู้ชม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สถานที่ที่ใช้แสดง วิธีถ่ายทอดกระบวนท่าฟ้อน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มสถาบันการศึกษา กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มเยาวชน โดยใช้เกณฑ์การถ่ายทอดจากความสัมพันธ์ที ่ดีระหว ่างครูและศิษย์อย่างสมัย โบราณเป็นส าคัญ ได้แก่ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถ่ายทอดกับผู้รับการถ่ายทอด 2) โอกาสในการถ่ายทอดความรู้ 3) การถ่ายทอดความรู้เดี่ยวเฉพาะบุคคล 4) การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่ม 5) การประเมินผลการถ่ายทอด


บทที่ 5 สรุป อภิปรำยผล และข้อเสนอแนะ 1. สรุปผลกำรวิจัย วิทยานิพนธ์เรื ่อง พัฒนาการฟ้อนสาวไหม: นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติและพัฒนาการฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์2) เพื่อศึกษากลวิธีการแสดงและการถ่ายทอดกระบวนท่าฟ้อนสาวไหม สายสกุลช ่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ โดยศึกษาจากหนังสือ ต ารา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สื่อพิมพ์และบทความตลอดจนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งผู้วิจัยได้ลงภาคสนามเพื่อฝึกปฏิบัติท่าร า รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การสังเกต ใช้การวิเคราะห์เชิงพรรณนาเพื ่ออธิบายเนื้อหา ส่วนต่าง ๆ ตามที่ก าหนดไว้ในวัตถุประสงค์โดยผลการศึกษาปรากฏดังนี้ ด้านประวัติฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ผู้วิจัยพบว่านางบัวเรียว ได้สั่งสมองค์ความรู้เพื่อน ามาใช้ปรับปรุงกระบวนท่าและกลวิธีที่ใช้แสดงฟ้อนสาวไหม จนกระทั่ง กลายเป็นแบบฉบับของตนเอง โดยแบ่งองค์ความรู้ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ สายตระกูล นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (นามสกุลเดิมคือ สุภาวสิทธิ์) ได้รับการถ่ายทอดความรู้ ด้านการฟ้อนต่าง ๆ จากนายกุย สุภาวสิทธิ์ ผู้เป็นบิดา แต่เดิมนายกุยมีภูมิล าเนาอยู่ที่ บ้านแม่ก๊ะ ต าบล แม่คือ อ าเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานละแวกวัดศรีทรายมูล ต าบลเวียง อ าเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และนายกุย สุภาวสิทธิ์ หรือ “พ่อครูกุย” ได้มีต้นสายของการฟ้อนมา จากการเรียนวิชาเจิงต่อสู้จากนายปวน ค ามาแดง ซึ่งนายกุยให้ความสนใจในการศึกษาเจิงต่อสู้เป็น อย ่างยิ ่ง ภ ายหลังถูกน าม าป ร ะดิษ ฐ์เป็นท ่าฟ้อนส า วไหมเพื ่อถ ่ายทอดให้กับบ ุต รส า ว คือ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ตั้งแต่อายุ 8 ปี สายอุปถัมภ์ เมื่อนางบัวเรียวอายุ 9 ปี ได้น าฟ้อนสาวไหมออกแสดงในโอกาสต่าง ๆ ละแวก ชุมชนวัดศรีทรายมูล มาเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี เมื่อ พ.ศ. 2496 นางบัวเรียวได้พบกับนายโม ใจสม ชาวมอญพระประแดงซึ ่งเป็นนักดนตรีและมีประสบการณ์ด้านนาฏศิลป์ไทย ได้อพยพไปอยู ่ใน ละแวกวัดศรีทรายมูล ซึ่งนายโมได้ช่วยฟื้นฟูวงกลองเต่งถิ้งของวัดศรีทรายมูล รวมถึงสอนนาฏศิลป์ และดนตรีไทยจนมีนักดนตรีฝีมือดีหลายคน ในช่วงเวลานั้นนางบัวเรียวมีความชื่นชอบการแสดง ฟ้อนร าไทยประยุกต์ของนายโม ซึ่งมีความอ่อนช้อยงดงาม จึงเข้ารับการฝึกหัดการแสดงฟ้อนร ากับ นายโม ที่วัดศรีทรายมูลเมื่อมีงานฉลองหรืองานบุญ นายโมและคณะศรัทธามักได้รับมอบหมายจาก ท่านเจ้าอาวาสวัดศรีทรายมูล ให้น านักดนตรีและช่างฟ้อนท าการแสดงในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งนางบัวเรียวก็ได้


110 เข้าร่วมแสดงด้วยนางบัวเรียวมักจะแสดงฟ้อนสาวไหมเป็นส่วนใหญ่ แต่เดิมการฟ้อนสาวไหม ใช้ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือประเภทใดก็ได้ ต่อมานายโม ใจสม เป็นผู้ริเริ่มใช้วงเต่งถิ้งบรรเลงเพลง พื้นบ้านภาคเหนือ เช่น ปราสาทไหว และฤๅษีหลงถ้ า ซึ่งต่อมานายโมเห็นว่าดนตรีไม่กระชับ จึงเลือกใช้ เพลง “ลาวสมเด็จ” เพื่อใช้ประกอบกับการฟ้อนสาวไหม และได้ถ่ายทอดฟ้อนไทยประยุกต์ เช่น สร้อยแสงแดง สีนวล ญวณร าพัด และมอญแปลง ให้แก่นางบัวเรียว พ.ศ. 2500 นางพลอยศรี สรรพศรี ครูโรงเรียนเชียงรายวิทยาคม จังหวัดเชียงราย ซึ่งเคยเป็น ช่างฟ้อนอยู่ในคุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ได้รับชมการฟ้อนสาวไหม ของนางบัวเรียว ช่างฟ้อนของวัดศรีทรายมูลจังหวัดเชียงรายในขณะนั้น จึงเกิดความประทับใจ ต่อมาในปีพ.ศ. 2507 นางพลอยศรีและนายอินหล่อ สรรพศรี(สามี) จึงได้เชิญชวนให้นางบัวเรียวมาร่วม ฟ้อนสาวไหม ร่วมกับคณะดนตรีช่างฟ้อนของตน และตระเวนออกแสดงในโอกาสส าคัญต่าง ๆ และนางพลอยศรี ได้ถ่ายทอดการแสดงฟ้อนและนาฏศิลป์ไทยชุดต่าง ๆ ให้แก่นางบัวเรียว พ.ศ. 2509 นายชาญ สิโรรส เป็นบุตรของเจ้าชื่น สิโรรส และเจ้าสุริยฉาย สิโรรส (นามสกุลเดิม อิศรางกูร ณ อยุธยา) ซึ่งถือเป็นบุคคลส าคัญของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุน ทางด้านศิลปวัฒนธรรมและพระพุทธศาสนา เป็นผู้จัดกิจกรรมและการแสดงในโอกาสส าคัญต่าง ๆ ได้เป็นผู้แนะน าให้นางบัวเรียวมาฟ้อนที่จังหวัดเชียงใหม่ในโอกาสส าคัญ ๆ และเป็นผู้ให้ค าแนะน า ในการปรับปรุงท่าฟ้อน และวิธีแสดงของนางบัวเรียว เพื่อให้เหมาะสมกับโอกาส และสถานที่ที่ใช้แสดง มากขึ้น เช่น การตัดท่าฟ้อนที ่มีการนั ่งเหยียดขาไปทางผู้ชมออก เนื่องจากท ่าลักษณะดังกล ่าว เป็นท ่าทางที ่ไม ่สุภาพไม ่เหมาะสมกับผู้รับชมการแสดง เป็นต้น จนกระทั่งนางบัวเรียวเป็นที่รู้จัก อย่างแพร่หลาย เป็นที่เลื่องลือว่านางบัวเรียวช่างฟ้อนจากจังหวัดเชียงราย สามารถฟ้อนสาวไหม ได้อย่างงดงาม ทั้งลีลาท่าทางรวมถึงการสอดแทรกอารมณ์ในขณะแสดงด้วย ในเวลานั้นจึงมีผู้ที่สนใจ ติดต่อขอรับการถ่ายทอดฟ้อนสาวไหมจากนางบัวเรียว เพื่อน าไปแสดงอย่างแพร่หลาย พัฒนาการฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ สามารถแบ่งออกเป็น 4ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 นางบัวเรียวได้รับการสืบทอดท่าฟ้อนสาวไหมของจากบิดาคือ นายกุย สุภาวสิทธิ์ ซึ่งได้ปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหมมาจากการฟ้อนเจิงที่เป็นลักษณะการต่อสู้ของผู้ชาย ซึ่งนายกุย ได้รับการถ่ายทอดกระบวนท่าการต่อสู้หรือเชิงต่อสู้นี้มาจากนายปวน ค ามาแดง ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ เรื่องเจิงต่อสู้และคาถาอาคม ช่วงที่ 2 ได้รับความรู้จากครูผู้ถ่ายทอดการแสดงร าไทย คือนายโม ใจสม นางพลอยศรี สรรพศรี และนางนวลฉวี เสนาค า จนพัฒนาตนเองเป็นช่างฟ้อนที่ได้รับการยอมรับจากพ่อครูแม่ครู ให้เป็นต้นเสียง เป็นผู้น าฟ้อนของคณะช่างฟ้อน จนเป็นที่รู้จักของประชาชนชาวจังหวัดเชียงราย รวมถึงการเข้าร่วมถ่ายทอดการฟ้อนดังกล่าวตามสถานที่ต่าง ๆ ร่วมกับนายโม ใจสม


111 ช่วงที่ 3 เป็นช่วงของการพัฒนาท่าฟ้อนสาวไหม เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและความนิยม จากประสบการณ์ที่ได้ไปแสดงเผยแพร่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับค าแนะน าและปรับปรุงท่าฟ้อน จาก นายชาญ สิโรรส ช่วงที่ 4 เป็นช่วง สร้างสรรค์การแสดงชุดใหม่ ๆ และพัฒนาการถ่ายทอดการฟ้อนสาวไหม สายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบันและถ่ายทอดอย่าง เป็นระบบ มีกระบวนท่าที่เป็นมาตรฐาน เหมาะสมแก่การถ่ายทอด เพื่อการอนุรักษ์และสืบทอด ฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ให้คงอยู่สืบไป กลวิธีในการแสดง ฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์มี ผู้วิจัยพบว่า ประกอบด้วยท่าฟ้อน 13 ท่าได้แก่ ท่าไหว้(เทพพนม) ท่าบิดบัวบาน ท่าพญาครุฑบิน ท่าสาวไหมช่วงยาว ท่าม้วนไหมซ้าย - ขวา ท่าตากฝ้าย ท่าม้วนไหมใต้เข่าซ้าย - ขวา ท่าม้วนไหมใต้ศอกซ้าย – ขวา ท่าพุ่งหลอดไหม ท่าสาวไหมรอบตัวซ้าย - ขวา ท่าคลี่ปมไหม ท่าปูเป็นผืนผ้า และท่าพับผ้า การฟ้อนของนางบัวเรียวเป็นการอวดฝีมือของผู้ฟ้อน โดยส่วนของร่างกายที่เคลื่อนไหวมาก ที่สุดคือ มือ ศรีษะ และล าตัว ด้วยภาวะของตัวผู้ฟ้อนที่ต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับองค์ประกอบ ทางด้านการแสดง ได้แก่ สถานที่ในการแสดง และประเภทของวงดนตรีที่ใช้ในการแสดง ท าให้ตัวผู้ แสดงสามารถฟ้อนได้อย่างเลื่อนไหลต่อเนื่อง พลังที่ส่งออกมาจากการฟ้อน มีความหนักเบาต่างกัน ซึ่งมีปัจจัยจากประเภทของวงดนตรีเป็นส าคัญ ผู้แสดงสื่ออารมณ์แสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม อย่างมีความสุข ท่าทางการฟ้อนสื่อถึงการสาวไหม ทอผ้า มีจินตนาการและความรู้สึกในขณะฟ้อน การแสดงไม่จ าเป็นต้องเคร่งครัดเรื่องล าดับของท่า และจ านวนของท่ามากนัก ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ของโอกาสที ่แสดง แต่จะประกอบด้วย 3 ส่วนส าคัญ ได้แก่ ตอนเริ่มการแสดง กลวิธีที่ใช้ในการแสดง ประกอบวงดนตรีมี 3 ประเภทมีดังนี้ 1) กลวิธีในการแสดงฟ้อนสาวใหม่ในวงสะล้อ ซอซึง การใช้ร่างกาย กล่อมตัว โย้ตัว และโยนตัว เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่องเป็นวงกลม ตามท านองเพลง และกระทบตัวเล็กน้อยในตอนท้ายของกระบวนท่ากับจังหวะกลองการใช้มือ จีบมือ วนมือเป็นวงกลม และดึงจีบปล่อยออกด้านข้างหรือด้านหลังของล าตัวอย่างต่อเนื่องและ นุ ่มนวล การย่ าเท้า ย่ าเท้าลงกับจังหวะฉิ่ง แบบเนิบช้าและนุ่มนวล การใช้พื้นที่ ใช้การเคลื่อนที่ ในการแสดงน้อย มีการเคลื่อนที่ไปทางซ้ายและทางขวา เดินทางขึ้นด้านหน้าและด้านข้างหลัง มีการบิดตัวหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง 2) กลวิธีในการแสดงฟ้อนสาวใหม่ในวงป้าดฆ้องหรือปี่พาทย์ล้านนา การใช้ร่างกาย โย้ตัว โยนตัว และกล่อมตัว เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่องเป็นวงกลม ตามท านองเพลงหรือเสียงของแน (ปี่) แต่จะมีการยั้งตัวเพื่อให้ท่าทางการฟ้อนมีความหนักหน่วง มากขึ้นการใช้มือ จีบมือ วนมือเป็นวงกลม และดึงจีบปล่อยออกด้านข้างหรือด้านหลังของล าตัว


112 อย่างต่อเนื่อง แต่จะมีการเกร็งมือและแขนเพื่อให้ท่าฟ้อนมีความหนักหน่วงขึ้น การย่ าเท้า ย่ าเท้า กระชับตรงจังหวะกลอง ใช้การเคลื่อนที่ในการแสดงน้อย มีการเคลื่อนที่ไปทางซ้ายและทางขวา เดินทางขึ้นด้านหน้าและด้านข้างหลัง มีการบิดตัวหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง 3) กลวิธีในการแสดงฟ้อนสาวใหม่ในวงกลองสิ้งหม้อง การใช้ร่างกาย กล่อมตัว โย้ตัว และโยนตัว เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่องเป็นวงกลม มีการสะดุ้งตัวหรือการกระทบตัวให้เข้ากับเสียงกลอง การใช้มือจีบมือ วนมือเป็นวงกลม และดึงจีบ ปล่อยออกด้านข้างหรือด้านหลังของล าตัวอย่างต่อเนื่อง การย่ าเท้า ใช้น้ าหนักในการย่ าเท้าที่หนักหน่วง มากขึ้นด้วยการย่ าเท้าและยกส้นเท้าเตะก้นหรือเรียกว่าท่า “ม้าย่ าไฟ” เพื่อให้สอดคล้องกับเสียงของ ดนตรีที่เร้าใจ สนุกสนาน การใช้พื้นที่ใช้พื้นที่มากกว่าการฟ้อนประกอบวงดนตรีอีก 2 ประเภท การเดินในลักษณะเป็นวงกลมเหมือนการเดินขุมของฟ้อนเจิง เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่เดินทางได้มากขึ้น มีการบิดตัวและหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง กลวิ ธีการแสดง ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของผู้แสดงในการใช้ลูกเล่น หรือ การเปลี่ยนมือเพื่อให้ผู้ชมเห็นว่ามีความซับซ้อน และรวดเร็ว โดยใช้ท่าหลักและท่าเชื่อม และกลวิธีที่ส าคัญคือการกล่อมตัวและโยนตัวที่มีความเลื่อนไหลอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อแต่ละท่า เข้าด้วยกันตลอดการแสดง กลวิธีในการถ่ายทอดองค์ความรู้ฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ผู้วิจัยพบว่ากลวิธีในการถ่ายทอดของนางบัวเรียว มีดังนี้ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอด 1.1 ผู้รับการถ่ายทอดมีความกตัญญูต่อผู้ถ่ายทอด 1.2 ผู้รับการถ่ายทอดมีพรสวรรค์สามารถปฏิบัติได้ตามที่ผู้ถ่ายทอดอบรมสั่งสอน 1.3 ผู้ รับก ารถ่ ายทอดมี คว ามอดทนอดกลั้ นและไม่ ย่ อท้ อต่ อก ารฝึ กฝน 1.4 ผู้รับการถ่ายทอดมีความกระตือรือร้น และใส่ใจในการฟ้อนอย่างจริงจัง 2) โอกาสในการถ่ายทอดองค์ความรู้ 2.1 การถ่ายทอดความรู้โดยผู้อุปถัมภ์หรือหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน 2.2 การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยหลักสูตรของสถานศึกษา 2.3 การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยผู้ถ่ายทอดเอง 2.4 การถ่ายทอดความรู้ก าหนดโดยผู้รับการถ่ายทอด 3) การถ่ายทอดความรู้เดี่ยวเฉพาะบุคคล นางบัวเรียวจะคัดเลือกจากศิษย์คนสนิทถ่ายทอดความรู้แบบตัวต่อตัวเพื่อให้เป็นผู้ช่วย ใน การสอน หรือศิษย์ที่ไว้ใจสามารถมอบหมายให้ไปถ่ายทอดความรู้กับผู้ขอรับการถ่ายทอดท่าฟ้อน สายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ จากหน่วยงาน ชมรม หรือสถาบันต่างๆทั้งในพื้นที่จังหวัด เชียงรายและนอกพื้นที่ รวมถึงครูอาจารย์ที่จะน าความรู้ไปถ่ายทอดให้กับศิษย์ในสถานศึกษาของตน


113 และบุคคลที่ต้องการน าการฟ้อนสายสกุลช่างฟ้อน นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ไปแสดงในโอกาส พิเศษก็มักจะได้รับการถ่ายทอดแบบตัวต่อตัวด้วยเช่นกัน 4) การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่ม 4.1 การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในสถาบันการศึกษา 4.2 การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในกลุ่มเยาวชน 4.3 การถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มในกลุ่มผู้สูงอายุ 5) การประเมินผลการถ่ายทอด 5.1 การประเมินผลก่อนการถ่ายทอด 5.2 การประเมินผลระหว่างการถ่ายทอด 5.3 การประเมินผลหลังการถ่ายทอด 2. อภิปรำยผล จากการศึกษางานวิจัยเรื่อง พัฒนาการฟ้อนสาวไหม: นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ผู้วิจัยสามารถ อภิปรายผลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้ดังนี้ ประวัติฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้รับการสืบทอดกระบวน ท่าฟ้อนต้นแบบจากบิดา ซึ่งฟ้อนสาวไหมถูกประดิษฐ์ขึ้นจากลายเจิงสาวไหม เป็นศิลปะการต่อสู้ และสร้างสรรค์กระบวนท่ามาจากการทอผ้าฝ้าย อันเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในท้องถิ่นจังหวัด เชียงราย โดยนายกุย สุภาวสิทธิ์ มีลีลาที่อ่อนช้อยนุ่มนวลเหมาะส าหรับผู้หญิง ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัยเรื่อง การศึกษาชีวิตและผลงานบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ช่างฟ้อนล้านนา ของรัตนะ ตาแปง จากการศึกษาพัฒนาการของฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ผู้วิจัยพบว่า มีความสอดคลองกับทฤษฎี “เลียน รับ ปรับ แต่ง” ของพูนพิศ อมาตยกุลซึ่งทฤษฎีได้กล่าวถึง ปรากฏการณ์ธรรมชาติของชีวิตอันต ่อเนื ่องของมนุษย์ ที ่มีการเรียนรู้และรับเอาวัฒนธรรมอื ่น ปรับตัวเข้ากับตัวเอง ในการด ารงอยู่กับความเป็นตัวตนเพื่อการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ทฤษฎีนี้เป็น ทฤษฎีว่าด้วยการเลียนแบบ จากนั้นรับหรือยอมรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งไม่ได้รับมาทั้งหมด แต่รับมาบางส่วนที่เข้าใจและสามารถด าเนินการได้ สู่การปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมบ้าน ครอบครัว ท้องถิ ่น จากนั้นจึงเป็นการแต ่งให้งดงามสมสง่ากับความเป็นตัวตน สังคม ในบริบทรอบข้าง ซึ่งสอดคล้องกับพัฒนาการของฟ้อน สาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ที่ผู้วิจัย สามารถแบ่งพัฒนาการออกได้เป็น 4 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่1การเลียน นางบัวเรียวได้รับการสืบทอดท่าฟ้อนสาวไหมของจากบิดาคือนายกุย สุภาวสิทธิ์ ซึ่งได้ปรับปรุงท่าฟ้อนสาวไหมมาจากการฟ้อนเจิงที่เป็นลักษณะการต่อสู้ของผู้ชาย


114 ช่วงที่ 2 การรับ เป็นการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางด้านการแสดงนาฏศิลป์ไทยจาก นายโม ใจสม นางพลอยศรี สรรพศรี และนางนวลฉวี เสนาค า ช่วงที่ 3 การปรับ เป็นช่วงของการพัฒนาท่าฟ้อนสาวไหม เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย และความนิยมจากประสบการณ์ที่ได้ไปแสดงเผยแพร่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยการแนะน า และปรับปรุงท่าฟ้อนของนายชาญ สิโรรส ช่วงที่ 4 การแต่ง เป็นช่วงพัฒนากลวิธีในการแสดงและถ่ายทอดให้เป็นมาตรฐานในแบบ ฉบับของตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของยุคสมัยปัจจุบัน และสามารถถ่ายทอดอองค์ ความรู้ได้อย่างเป็นระบบ จากการศึกษากลวิธีในการแสดงฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ผู้วิจัยพบว่า ฟ้อนสาวไหมประกอบด้วยท่าฟ้อนจ านวน 13 ท่า ได้แก่ ท่าไหว้ (เทพพนม) ท่าบิดบัวบาน ท่าพญาครุฑบิน ท่าสาวไหมช่วงยาว ท่าม้วนไหมซ้าย - ขวา ท่าตากฝ้าย ท่าม้วนไหมใต้เข่าซ้าย - ขวาท่าม้วนไหมใต้ศอกซ้าย - ขวา ท่าพุ่งหลอดไหม ท่าสาวไหมรอบตัวซ้าย - ขวา ท่าคลี่ปมไหม ท่าปูเป็น ผืนผ้าและท่าพับผ้า ซึ่งมีความสอดคล้องกับบทความเรื่องการจัดการความรู้นาฏศิลป์พื้นบ้าน ล้านนา เรื่องการฟ้อนสาวไหม ของวัลยา ไชยพรม และรัตนา ณ ล าพูน จากการศึกษาวงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงฟ้อนสาวไหม ผู้วิจัยพบว่ามีวงดนตรีที่ใช้ ประกอบการแสดงฟ้อนสาวไหม 3 ประเภท ได้แก่ วงสะล้อซอซึง วงป้าดฆ้องหรือปี่พาทย์ล้านนา และวงกลองสิ้งหม้อง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่อง ฟ้อนสาวไหม: กรณีศึกษาบัวเรียว รัตมณีภรณ์ และค า กาไวย์ของรุจน์จรุง มีเหล็ก ซึ่งกลวิธีในการแสดงประกอบวงดนตรีแต่ละประเภทจะมี ลักษณะเฉพาะในการฟ้อนของวงดนตรีในแต่ละประเภท ดังนี้ 1) กลวิธีในการแสดงฟ้อนสาวใหม่ในวงสะล้อ ซอซึง การใช้ร่างกาย กล่อมตัว โย้ตัว และโยนตัว เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่องเป็นวงกลมตามท านองเพลง และกระทบตัวเล็กน้อยในตอนท้าย ของกระบวนท่ากับจังหวะกลองการใช้มือ จีบมือ วนมือเป็นวงกลม และดึงจีบปล่อยออกด้านข้าง หรือด้านหลังของล าตัวอย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล การย่ าเท้า ย่ าเท้าลงกับจังหวะฉิ่ง แบบเนิบช้า และนุ่มนวล การใช้พื้นที่ใช้การเคลื่อนที่ในการแสดงน้อย มีการเคลื่อนที่ไปทางซ้ายและทางขวา เดินทางขึ้นด้านหน้าและด้านข้างหลังมีการบิดตัวหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง 2) กลวิธีในการแสดงฟ้อนสาวใหม่ในวงป้าดฆ้องหรือปี่พาทย์ล้านนา การใช้ร่างกาย โย้ตัว โยนตัว และกล่อมตัว เป็นการเคลื่อนไหวร ่างกายต่อเนื่องเป็นวงกลมตามท านองเพลงหรือเสียง ของแน (ปี่) แต่จะมีการยั้งตัวเพื่อให้ท่าทางการฟ้อนมีความหนักหน่วงมากขึ้น การใช้มือ จีบมือ ว น มือ เ ป็น วง ก ล ม และดึงจีบปล่อยออกด้ านข้ างหรือด้ านหลังของล าตัวอย่ างต่อเนื่อง แต่จะมีการเกร็งมือและแขนเพื่อให้ท่าฟ้อนมีความหนักหน ่วงขึ้น การย่ าเท้า ย่ าเท้ากระชับตรง


115 จังหวะกลอง ใช้การเคลื่อนที่ในการแสดงน้อย มีการเคลื่อนที่ไปทางซ้ายและทางขวา เดินทาง ขึ้นด้านหน้าและด้านข้างหลัง มีการบิดตัวหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง 3) กลวิธีในการแสดงฟ้อนสาวใหม่ในวงกลองสิ้งหม้อง การใช้ร่างกาย กล่อมตัว โย้ตัว และโยนตัว เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายต่อเนื่องเป็นวงกลม มีการสะดุ้งตัวหรือการกระทบตัวให้เข้า กับจเสียงกลอง การใช้มือจีบมือ วนมือเป็นวงกลม และดึงจีบปล ่อยออกด้านข้างหรือด้านหลัง ของล าตัวอย่างต่อเนื่อง การย่ าเท้า ใช้น้ าหนักในการย่ าเท้าที่หนักหน่วงมากขึ้น ด้วยการย่ าเท้า และยกส้นเท้าเตะก้นหรือเรียกว่าท่า “ม้าย่ าไฟ”เพื่อให้สอดคล้องกับเสียงของดนตรี ที่เร้าใจ สนุกสนาน การใช้พื้นที่ ใช้พื้นที่มากกว่าการฟ้อนประกอบวงดนตรีอีก 2 ประเภท การเดินในลักษณะเป็น วงกลมเหมือนการเดินขุมของฟ้อนเจิง เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่เดินทางได้มากขึ้น มีการบิดตัว และหมุนตัว และย่ าเท้าเป็นวงกลมรอบตัวเอง จากการศึกษาการถ่ายทอดฟ้อนสาวไหมของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์มีส่วนส าคัญที่ท าให้ การแสดงฟ้อนสาวไหมเป็นที ่รู้จักอย ่างแพร ่หลาย ซึ ่งนางบัวเรียวมีหลักเกณฑ์ในการถ ่ายทอด องค์ความรู้ที ่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของนางเฉลย ศุขะวณิช (ศิลปินแห่งชาติ) ตามแนวทางของไพโรจน์ ทองค าสุก ได้แก่ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ถ่ายทอด และผู้รับการถ่ายทอดเมื่อลูกศิษย์มีความกตัญญูย่อมส่งผลให้ได้รับความเมตตาและความทุ่มเท ในการถ่ายทอดความรู้จากผู้เป็นครูลักษณะผู้รับการถ ่ายทอดแบ ่งออกเป็น 2 ลักษณะได้แก ่ การถ ่ายทอดความรู้เดี ่ยวเฉพาะบุคคลมุ ่งเน้นการฝึกหัดให้ผู้รับการถ่ายทอดสามารถฟ้อนได้สวยงาม ตามมาตรฐานซึ่งนางบัวเรียวก าหนดไว้ และการถ่ายทอดความรู้เป็นกลุ่มซึ่งจะต้องประเมินตามข้อจ ากัด ของผู้รับการถ่ายทอดในแต่ละกลุ่ม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ 1 สถาบันการศึกษา มีข้อจ ากัดตามที่หลักสูตรก าหนดไว้ เน้นความถูกต้องของ กระบวนท่า จังหวะ และเน้นย้ าลีลาของท่าฟ้อนให้เกิดความสวยงาม ตามมาตรฐานการฟ้อนสาวไหม สายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ กลุ่มที่ 2 เยาวชน มีข้อจ ากัดด้านสมาธิ หากเป็นเด็กเล็กสามารถปฏิบัติท่าฟ้อนพอได้ จะไม่เน้นย้ าให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ซึ่งเด็กเล็กมีสมาธิหรือความจดจ่อน้อยกว่าผู้ใหญ่ ส่วนเด็กโต ที่สามารถฟ้อนได้ดี จะให้ฝึกปฏิบัติจนกว่าจะสามารถจดจ าท่าฟ้อนได้อย่างแม่นย าและฟ้อนได้อย่าง สวยงาม กลุ่มที่ 3 ผู้สูงอายุ มีข้อจ ากัดด้านร่างกาย จึงมีการปรับท่านั่งฟ้อนให้เป็นท่ายืนฟ้อนแทน แต่มือที่ใช้ฟ้อนยังคงเดิม ตัดทอนท่าย่อเข่าหรือโน้มตัวที่มากจนเกินไปออก เพราะจะท าให้ผู้สูงอายุ ปฏิบัติท่าฟ้อนได้ล าบาก ไม่ท าท่าซ้ าหลายครั้ง ท่าฟ้อนที่ต้องท าซ้ าข้างซ้ายและข้างขวาจะเลือกท า เพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น


116 ด้วยการอุทิศตนของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ในการแสดงและการถ่ายทอด รวมถึง การพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง มีการก าหนดมาตรฐานส าหรับการแสดงและการถ่ายทอด และใช้หลักในการพิจารณาประเมินผู้รับการถ่ายทอดเพื่อให้วิธีที่ใช้ถ่ายทอดมีความเหมาะสม จึงท าให้การแสดงฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ได้รับความนิยมเป็นที่ แพร่หล ายจวบจนถึงปัจจุบัน และได้ รับกา รยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งช าติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน - ช่างฟ้อน) ประจ าปี พ.ศ. 2559 การอธิบายกระบวนท่าร าในงานวิจัยเล่มนี้ ผู้วิจัยใช้นวัตกรรมการอธิบายท่าร าด้วยวิธีการใช้ “รหัสคิวอาร์” หรือ “คิวอาร์โคด (QR code ย่อจาก Quick Response code) เทคโนโลยีรหัส รูปภาพที่สามารถเชื่อมโยงกับวีดิทัศน์ซึ่งมีการบันทึกไว้ในระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวกต่อผู้ที่จะ สืบค้นข้อมูลของท่าฟ้อน และเป็นแนวทางในการใช้เทคโนโลยีในการอธิบายท่าร าให้แก่ผู้ที่ต้องการบันทึก ท่าร าในงานเอกสารและงานวิจัยทางด้านนาฏศิลป์ต่อไป 3. ข้อเสนอแนะ 3.1 ข้อเสนอแนะที่พบในงำนวิจัย 3.1.1 เป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าข้อมูล องค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติและพัฒนาการ ฟ้อนสาวไหมสายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 3.1.2 เป็นแนวทางในการศึกษากลวิธีการแสดงและการถ่ายทอดกระบวนท่าฟ้อนสาวไหม สายสกุลช่างฟ้อนนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 3.2 ข้อเสนอแนะในกำรวิจัยครั้งต่อไป 3.2.1 ศึกษาเพื่อหาองค์ความรู้จากการแสดงชุดอื่น ๆ ของนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ 3.2.2 ศึกษาแนวคิด และวิธีการสร้างสรรค์การแสดงพื้นบ้านภาคเหนือของ นางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์


บรรณำนุกรม กรมศิลปากร. (2547). นำฏศิลป์ไทย. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. กรมศิลปากร. (2532). ศิลปวัฒนธรรม เล่มที่ 3. กรุงเทพฯ: พิฆเณศ. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2558). คู่มือกำรเสนอขอขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรมของชำติ. กรุงเทพฯ :ส านักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์. คนึงนุช พรหมนุชานนท์. (2556). กำรศึกษำภูมิปัญญำฟ้อนเชิง สู่กำรออกแบบศูนย์สืบสำน นำฏล้ำนนำ จังหวัดเชียงใหม่. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร, กรุงเทพมหานคร. เครือจิต ศรีบุญนาค. (2553). กำรผสมผสำนทำงวัฒนธรรม: กรณีศึกษำศิลปะกำรแสดงที่ พัฒนำจำกภำพศิลำจ ำหลักสถำปัตยกรรมขอมโบรำณในประเทศไทยและกัมพูชำ. งานวิจัย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. จารุวรรณ ธรรมวัตร. (2523). กำรละเล่นพื้นเมืองของเด็กอีสำน. กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. ดิษฐ์ โพธิยารมย์. (2553). องค์ควำมรู้ศิลปินแห่งชำติ: นำยมำนพ ยำระณะ. งานวิจัย กรมส่งเสริม วัฒนธรรม. ธนิต อยู่โพธิ์. (2531). ศิลปละคอนร ำและคู่มือนำฏศิลป์ไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. ธิดารัตน์ ภักดีรัตน์. (2553). นำฏศิลป์ 1. กรุงเทพฯ: เอมพันธ์. ธีรยุทธ ยวงศรี. (2540). กำรดนตรีกำรขับ กำรฟ้อน ล้ำนนำ. เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมืองนวรัตน์. นงเยาว์กาญจนจารี. (2541). ดำรำรัศมี: พระประวัติพระรำชชำยำ เจ้ำดำรำรัศมี. เชียงใหม่: สุริยวงศ์ บุ๊คเซ็นเตอร์. ประทิน พวงส าลี. (2514). หลักนำฏศิลป์. พระนคร: ไทยมิตรการพิมพ์. พิชัย ปรัชญานุสรณ์ และคณะ. (2548). ดนตรีและนำฏศิลป์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพาณิช. พูนพิศ อมาตยกุล. (2550). อำศรมดนตรีวิทยำ. นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหิดล. พาณีสีสวย. (2524). สุนทรียะของนำฏศิลป์ไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฏธนบุรี. ไพโรจน์ ทองค าสุก. (2544). วิเครำะห์รูปแบบควำมเป็นครูสู่กระบวนกำรถ่ำยทอดควำมรู้ของ ผู้เชี่ยวชำญนำฏศิลป์ไทย ครูเฉลย ศุขะวณิช. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. ภัทรนันท์ ภูยาทิพย์ และชุติมา มณีวัฒนา. (2562). การปรับปรน จากหุ่นกระบอกภาคกลางมาสู่ หุ ่นกระบอกภาคอีสาน. วำรสำรศิลปกรรมศำสตร์ มหำวิทยำลัยขอนแก่น, 11(2), กรกฎาคม – ธันวาคม, 140-155.


118 ภัทรวดี ภูชฎาภิรมย์. (2552). วัฒนธรรมดนตรีและเพลงต ำรวจกลำง. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. มาณพ มานะแซม. (2557). กำรศึกษำพัฒนำกำรและบริบทที่เกี่ยวข้องงำนนำฏกรรมล้ำนนำ เพื่อสร้ำงสรรค์นำฎกรรมล้ำนนำและเพิ่มคุณค่ำทำงกำรท่องเที่ยว. เชียงใหม่: ภาควิชา ศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. โมฬี ศรีแสนยงค์. (2555). หลักกำรวิเครำะห์และวิจำรณ์กำรละคร. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยราช ภัฎมหาสารคาม. ราชบัณฑิตยสถาน. (2542). พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์. รัตนะ ตาแปง. (2556). กำรศึกษำชีวิตและผลงำนบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ช่ำงฟ้อนล้ำนนำ. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, เชียงราย. รัตนา มณีสิน. (2540). สุนทรียะทำงนำฏศิลป์ไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฏสวนดุสิต. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์. (2543). นำฏศิลป์ล้ำนนำ: กรณีศึกษำพระรำชชำยำเจ้ำดำรำรัศมี (พ.ศ. 2416) ถึงปัจจุบัน. กรุงเทพฯ: ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. รุจน์จรุง มีเหล็ก. (2548). ฟ้อนสำวไหม : กรณีศึกษำครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ และครูค ำ กำไวย์ ศิลปินแห่งชำติ. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพมหานคร. วัลยา ไชยพรม และรัตนา ณ ล าพูน. (2559). การจัดการความรู้นาฏศิลป์พื้นบ้านล้านนา เรื่องการฟ้อนสาวไหม. วำรสำรสำรสนเทศศำสตร์, 34(4), ตุลาคม – ธันวาคม, 29-49. วิถีพานิชพันธ์. (2548). วิถีล้ำนนำ. เชียงใหม่: ซิลค์เวอร์ม. วิมล จิโรจพันธุ์. (2551). มรดกทำงวัฒนธรรม "ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ". กรุงเทพฯ: แสงดาว. วีณา วีสเพ็ญ. (2525). วรรณคดีกำรละคร. มหาสารคาม:ส านักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ศรีศักร วัลลิโภดม และคณะ. (2535). ดนตรีและนำฏศิลป์กับเศรษฐกิจและสังคมสยำม. กรุงเทพฯ: ธนาคารกรุงเทพ. สกนธ์ ภู่งามดี. (2562). ศูนย์ศิลปาชีพ : มหาตักศิลาทางความงามในพระบรมราชินูปถัมภ์สมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง. วำรสำรวิชำกำรอยุธยำศึกษำ, 11(2), กรกฎาคม – ธันวาคม, 7-21. สุดาพร ไกรอ่ า. (2530). กำรเปลี่ยนแปลงรูปแบบของกำรฟ้อนสำวไหมในจังหวัดเชียงรำย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, เชียงราย. สุมนมาลย์นิ่มเนติพันธ์. (2541). กำรละครไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์. (2547). ศิลปะนำฏศิลป์ ม.4-ม.6 หนังสือเรียนสำระกำรเรียนรู้พื้นฐำน กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ศิลปะ. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. สุมาลีวุวรรณแสง. (2525).วรรณกรรมกำรละครไทย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย.


119 สุมิตร เทพวงษ์. (2548). นำฏศิลป์ไทยส ำหรับครูประถมศึกษำและมัธยม. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. สุรพล ด าริห์กุล. (2542). ลำยค ำล้ำนนำ. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย. สุรพล วิรุฬห์รักษ์. (2547). หลักกำรแสดงนำฏยศิลป์ปริทรรศน์. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห ่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุจิตต์วงษ์เทศ. (2532). ร้องร ำท ำเพลง : ดนตรีและนำฏศิลป์ชำวสยำม. กรุงเทพฯ: มติชน. ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. (2535). ควำมหมำยและขอบข่ำยงำนวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห ่งชาติ. (2542). ศิลปะกำรแสดงของไทย. กรุงเทพฯ: ส านักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. ส านักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2552). ภูมิปัญญำกำรถ่ำยทอดท่ำฟ้อนพื้นเมืองล้ำนนำ. เชียงราย: งานวิจัยส านักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. หลวงวิจิตรวาทการ. (2507). นำฏศิลป์ไทย. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์บุ๊คส์. อาคม สายาคม. (2545). รวมงำนนิพนธ์ของนำยอำคม สำยำคม ผู้เชี่ยวชำญ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. อรริสา เตชะเทียมจันทร์. (2549). นำฏศิลป์ไทย. [ออนไลน์] สืบค้น 15 สิงหาคม 2562. จาก http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/samutprakan อมรา กล่ าเจริญ. (2531). สุนทรียนำฏศิลป์ไทย. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. อมรา กล่ าเจริญ. (2553). เพลงและกำรละเล่นพื้นบ้ำน. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. อนุกูลโรจนสุขสมบูรณ์. (2549). แนวคิดทฤษฎีกำรฟ้อนล้ำนนำแบบใหม่. (วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพมหานคร. อัจฉรา ภาณุรัตน์. (2549). เอกสำรค ำสอนรำยวิชำท้องถิ่นศึกษำ. สุรินทร์: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัย ราชภัฏสุรินทร์. อาภรณ์มนตรีศาสตร์, จาตุรงค์มนตรีศาสตร์และมนตรีตราโมท. (2517). นำฏศิลปศึกษำ. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. อุนนัดดา กังวาลย์. (ม.ป.ป). ต ำรำฟ้อนสำวไหม. ม.ป.ท.


บุคลำนุกรม บัวเรียว รัตนมณีภรณ์. ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน - ช่างฟ้อน). (ผู้ให้สัมภาษณ์). ภูดิท ศิริวัฒนกุล. (ผู้สัมภาษณ์) เมื่อ 28 มิถุนายน 2564. บุญชม วงศ์แก้ว. หัวหน้าคณะสายทิพย์เชียงราย ดนตรีพื้นเมืองล้านนา. (ผู้ให้สัมภาษณ์). ภูดิท ศิริวัฒนกุล. (ผู้สัมภาษณ์) เมื่อ 20 สิงหาคม 2564. รัตนะ ตาแปง. ประธานหลักสูตร ศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีและนาฏศิลป์. (ผู้ให้สัมภาษณ์). ภูดิท ศิริวัฒนกุล. (ผู้สัมภาษณ์) เมื่อ 17 ตุลาคคม 2564. สนั่น ธรรมธิ. นักวิชาการศึกษาด้านส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ผู้ให้สัมภาษณ์). ภูดิท ศิริวัฒนกุล. (ผู้สัมภาษณ์) เมื่อ 25 ตุลาคม 2564. อรอนงค์ ปัญญาวงศ์. นางสาวไทยประจ า พ.ศ.2535 ศิลปินนักแสดง. (ผู้ให้สัมภาษณ์). ภูดิท ศิริวัฒนกุล. (ผู้สัมภาษณ์) เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2565.


ภาคผนวก


122 ภาพที่33 ผู้วิจัยถ่ายภาพร่วมกับนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ที่มา: ผู้วิจัย


123 ภาพที่34 ผู้วิจัยถ่ายภาพร่วมกับนายบุญชม วงศ์แก้ว ที่มา: ผู้วิจัย


124 ภาพที่35 นายสนั่น ธรรมธิร่วมพิธีไหวครูพื้นเมืองล้านนา ที่มา: ผู้วิจัย


125 ภาพที่36 สังเกตการณ์พิธีไหว้ครูพื้นเมืองล้านนา ที่มา: ผู้วิจัย ผู้วิจัยรับการถ่ายทอดฟ้อนสาวไหมจากผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตนะ ตาแปง ประธานหลักสูตร ศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ ซึ่งเป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดฟ้อนสาวไหม จากนางบัวเรียว รัตนมณีภรณ์


126 ภาพที่37 ผู้วิจัยฝึกหัดท่าสาวไหมรอบตัวและท่าสาวไหมใต้เข่า ที่มา: ผู้วิจัย


127 ภาพที่38 ผู้วิจัยฝึกหัดท่าคลี่ปมไหม ที่มา: ผู้วิจัย


128 ประวัติผู้วิจัย ชื่อ-สกุล นายภูดิท ศิริวัฒนกุล วันเดือนปีเกิด 3 เมษายน พ.ศ. 2526 สถานที่เกิด เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ เลขที่ 6/26 หมู่ 6 ต าบลคลองสอง อ าเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ต าแหน่ง อาจารย์ สถานที่ท างาน สาขาวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ประวัติการศึกษา พ.ศ. 2539 ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดไผ่ตัน พ.ศ. 2542 ประกาศณียบัตรนาฏศิลป์ชั้นต้น วิทยาลัยนาฏศิลป พ.ศ. 2545 ประกาศณียบัตรนาฏศิลป์ชั้นกลาง วิทยาลัยนาฏศิลป พ.ศ. 2549 ศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา ศิลปะการแสดง – นาฏศิลป์สากล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2565 ศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์


Click to View FlipBook Version