คำถำม-ธงคำตอบ
ข้อสอบขอ้ เขยี นความรู้ชน้ั เนติบณั ฑติ
กฎหมายแรงงานและวธิ ีพจิ ารณาคดแี รงงาน
(พ.ศ. 2524 – พ.ศ. 2563)
เรยี บเรยี งโดย
ผูช้ ่วยศาสตราจารย์อุดม งามเมอื งสกลุ
มกราคม 2564
คำนำ
รวมคำถาม-ธงคำตอบ ฉบับน้รี วบรวมขึ้นเพื่อเป็นวิทยาทาน มไิ ด้จดั ทำ
เพื่อประโยชน์ทางการค้า โดยเป็นการรวบรวมจากข้อสอบข้อเขียนความรู้ชั้น
เนติบัณฑิต ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 – พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการฝึก
เขียนตอบและใช้ประกอบการทบทวนความรู้กฎหมายแรงงาน ซึ่งประกอบด้วย
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
พ.ศ. 2518 พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน
และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2542 ผู้รวบรวมใคร่ขอขอบคุณสำนักอบรม
ศกึ ษากฎหมายแหง่ เนตบิ ณั ฑิตยสภา มา ณ โอกาสน้ีดว้ ย
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์อุดม งามเมอื งสกลุ
มกราคม 2564
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบ
ข้อเขียนความรู้ช้นั เนตบิ ณั ฑิต
กฎหมายแรงงานและวธิ พี จิ ารณาคดีแรงงาน
(พ.ศ. 2524 – พ.ศ. 2563)
เรียบเรยี งโดย ผู้ช่วยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 4
(ข้อ 1) นายสนิทเปน็ ลกู จา้ งบริษทั สยามมติ ร จำกดั ไดร้ ับค่าจ้างเปน็ รายวัน วัน
เกิดเหตุเลิกงานแล้ว นายสนิทเดินทางกลับบ้านโดยนั่งรถยนต์ท่ีบริษัทสยามมิตร
จำกดั จดั บริการรับส่งลูกจ้าง ระหว่างทางเกดิ อบุ ตั เิ หตรุ ถยนต์แลน่ ตกลงข้างถนน
นายสนิทได้รับอันตรายขาหักไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้เป็นเวลา 15 วัน
บริษัทสยามมิตร จำกัด ไม่ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลและเงนิ ทดแทนให้ โดยอ้าง
ว่าเหตุเกิดหลังจากเลิกงานแล้ว นายสนิทยื่นคำร้องต่อพนักงานเงินทดแทนแห่ง
ทอ้ งที่ พนักงานเงนิ ทดแทนสอบสวนแล้วได้ความดังกล่าว ให้วินิจฉัยว่าพนักงาน
เงินทดแทนชอบท่จี ะมคี ำสั่งให้บริษัทสยามมิตร จำกัด จ่ายค่ารกั ษาพยาบาลและ
เงนิ ทดแทนใหแ้ ก่นายสนิทหรอื ไม่ (พ.ศ. 2524)
ธงคำตอบ
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16
เมษายน พ.ศ. 2515 ขอ้ 2 ไดใ้ ห้บทนิยามคำวา่ “ประสบอันตราย” ไวห้ มายความวา่
การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการ
ทำงานใหแ้ ก่นายจ้าง หรอื การป้องกันรกั ษาประโยชน์ให้แกน่ ายจ้าง1
กรณีตามปัญหาน้เี ปน็ เร่ืองนายสนิทลกู จ้างได้รับอนั ตรายเน่ืองจากเดินทาง
กลับบ้าน แม้รถยนต์ที่นายสนิทนัง่ กลับบ้านจะเป็นรถยนต์ที่บริษัทสยามมิตร จำกดั
ซง่ึ เปน็ นายจ้างจดั บริการรบั สง่ แกล่ ูกจา้ ง กเ็ ป็นเพยี งสวัสดิการท่นี ายจา้ งจัดใหเ้ ท่านน้ั
ถือไม่ได้ว่านายสนิทได้รับอันตรายเนื่องการทำงานให้แก่นายจ้าง หรือการป้องกัน
รักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง นายสนิทจึงไม่มีสิทธิเรียกค่ารักษาพยาบาลและเงิน
ทดแทนจากจายจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ
52 และข้อ 492 (คำพิพากษาฎีกาท่ี 128/2524) พนักงานเงินทดแทนชอบที่จะส่ัง
ยกเลกิ คำรอ้ งของนายสนิทลูกจา้ งเสยี
1 ปัจจบุ ัน คือ พระราชบญั ญัติเงนิ ทดแทน พ.ศ. 2537
2 โปรดดู พระราชบัญญัตเิ งินทดแทน พ.ศ. 2537
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนติบณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 5
(ขอ้ 2) บริษัทหัวหมากบริการ จำกัด ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขอ
อนุญาตเลิกจ้างนายชาติซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างในบริษัทนั้น โดยอ้างเหตุว่ามี
ความจำเป็นต้องลดจำนวนลูกจ้าง เพราะบริษัทได้เปลี่ยนแปลงระบบการผลิต
ใหม่ ศาลแรงงานกลางไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้เลิกจ้างได้ตามมาตรา 52
แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ บริษัทหัวหมากบริการ จำกัด จึงเลิกจ้าง
นายชาติ ต่อมานายชาติได้ไปยืน่ คำร้องกล่าวหาบริษัทดงั กล่าวตอ่ คณะกรรมการ
แรงงานสัมพันธ์ วา่ นายชาติเป็นลกู จ้างเกี่ยวข้องกบั ข้อเรียกร้อง การที่บริษัทเลิก
จ้างนายชาติในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างงานมีผลใช้บังคับเป็น
การกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
สั่งให้บริษัทรับนายชาติกลับเข้าทำงานตามเดิม ท่านเห็นว่าคณะกรรมการ
แรงงานสัมพันธ์มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยช้ีขาดคำร้องกล่าวหาของนายชาติ
หรอื ไม่ (พ.ศ. 2525)
ธงคำตอบ
เม่อื ปรากฏวา่ กรรมการลกู จา้ งถกู นายจา้ งเลิกจ้างตามท่ีได้อนุญาตจากศาล
แรงงานแลว้ การเลิกจา้ งนั้นย่อมไม่ใช่การกระทำอันไม่เป็นธรรม ลูกจ้างไมม่ สี ทิ ธจิ ะ
ยื่นคำร้องกล่าวหาบริษัทนายจ้างต่อคณะกรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อให้วินิจฉัยช้ี
ขาดอีก และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก็ไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยชี้ขาดการที่
บริษัทนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง โดยได้รับอนุญาตจากศาลแรงงานแล้ว (คำพิพากษา
ฎกี าที่ 2675/2524)3
3 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2675/2524 นายจ้างขออนุญาตศาลแรงงานให้เลิกจ้าง
กรรมการลูกจ้างศาลแรงงานมีคำสั่งอนุญาต คดีถึงที่สุด แล้วต่อมาลูกจ้างร้องต่อคณะกรรมการ
แรงงานสัมพันธ์ว่าการเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ดังนี้ แม้คณะกรรมการ
แรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานก็ไม่มีผลบังคับเพราะไม่มีอำนาจ
วินจิ ฉัยไดท้ ั้งนีเ้ นอ่ื งจากมาตรา 52 แห่งพระราชบญั ญตั ิแรงงานสมั พันธฯ์ ไดใ้ ห้อำนาจศาลแรงงาน
เรียบเรียงโดย ผชู้ ่วยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 6
(ข้อ 3) นายเอกเป็นลูกจ้างของบรษิ ัทดาวเด่น จำกัด เมื่อตน้ ปี พ.ศ. 2523 บริษัท
เลกิ จา้ งนายเอก ครน้ั เม่อื ศาลแรงงานกลางเปิดทำการแล้ว นายเอกได้เป็นโจทย์ฟ้อง
บรษิ ทั ดาวเด่น จำกัด หาวา่ เลกิ จา้ งไม่ธรรมตามมาตรา 49 แห่งพระราชบญั ญัติจัดตง้ั
ศาลแรงงานฯ บริษัทจำเลยให้การต่อสู้คดีโดยอ้างว่า 1.นายเอกไม่ได้ร้องเรียนต่อ
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก่อนมาฟ้องศาล และ 2.นายเอกถูกเลิกจ้างก่อนศาล
แรงงานกลางเปิดทำการ นายเอกจึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ ท่านเห็นว่าข้ออ้างในสอง
ประการของบรษิ ทั จำเลยมเี หตุผลฟงั ได้ หรอื ไม่ (พ.ศ. 2526)
ธงคำตอบ
ข้ออ้างประการแรกฟังไม่ได้ เพราะการที่ลูกจ้างจะฟ้องนายจ้างหาว่าเลิก
จ้างโดยไม่เป็นธรรมนี้ ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ลูกจ้างต้องร้องเรียนต่อ
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก่อนฟ้องคดี นายเอกจงึ มีสิทธฟิ ้องจำเลยได้โดยไมต่ ้อง
ไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก่อน (คำพิพากษาฎีกาที่ 137/2524
และ 2425/2524)4
ข้ออา้ งประการทสี่ องฟังไม่ได้ เพราะขณะท่ีนายเอกถกู เลิกจ้าง (ต้นปี พ.ศ.
2523) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ ได้ประกาศให้ใช้บังคับแล้ว (ใช้บังคับ
ต้งั แต่ 12 พฤษภาคม 2522) และมาตรา 49 แหง่ พระราชบัญญตั ิฉบบั ดังกลา่ วกม็ ีผล
ที่จะอนุญาตให้นายจ้างเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ฉะนั้น เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง
กรรมการลกู จา้ งตามทศ่ี าลแรงงานอนุญาตแล้ว จึงหาเปน็ การกระทำอันไม่เป็นธรรมแต่อย่างใดไม่
4 คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 2425/2524 โจทก์ไดย้ ื่นคำร้องกลา่ วหาจำเลยต่อคณะกรรมการ
แรงงานสัมพนั ธเ์ มือ่ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้วนิ ิจฉัยชี้ขาด และออกคำสั่งตามมาตรา 125
ประกอบด้วยมาตรา 41(4) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 แล้ว กฎหมายมิได้
บัญญัติว่าให้คำวินิจฉัยนั้นเป็นที่สุดหรือให้อุทธรณ์ ต่อผู้ใดอีก ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์คำ
วินจิ ฉัยของคณะกรรมการ แรงงานสัมพนั ธ์ ตาม พระราชบัญญตั จิ ดั ตง้ั ศาลแรงงานและวิธีพจิ ารณา
คดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8(4) แต่กลับมาฟ้องจำเลยเปน็ คดีนี้ จะถือว่าโจทก์ ดำเนินคดีโดย
ไมช่ อบดว้ ยวิธีพิจารณาไม่ได้ เพราะแปลได้วา่ โจทก์ฟอ้ งตาม มาตรา 8(2) โดยได้ปฏิบตั ิตามเง่ือนไข
ในวรรคท้ายแลว้
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 7
เป็นการให้สิทธิแก่ลูกจ้างที่จะไม่ต้องถูกนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตั้งแต่วันที่
กฎหมายฉบบั น้มี ีผลใชบ้ งั คบั เมอื่ ปรากฏว่านายเอกถูกเลกิ จ้างหลงั จากท่ีมาตรา 49 มี
ผลใชบ้ งั คับแล้ว นายเอกจึงมสี ทิ ธฟิ อ้ งคดีนไี้ ด้เม่อื ศาลแรงงานกลางเปิดทำการแล้ว
(ข้อ 4) บริษทั ดวงดี จำกดั จา้ งนายสมโชคเป็นลูกจา้ งประจำ มอี ายกุ ารทำงาน
ติดต่อกันครบ 3 ปีขึ้นไป อัตราค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ 5,000 บาท ต่อมาไฟไหม้
โรงงานของบริษทั บริษทั ดวงดี จำกดั ไม่มีทรัพย์สนิ จะดำเนนิ กจิ การต่อไปจึงเลกิ
จ้างนายสมโชค นายสมโชคทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัท ดวงดี
จำกัด ยอมรับค่าชดเชย เป็นเงิน 10,000 บาท บริษัท ดวงดี จำกัด ไม่ชำระเงิน
ตามสัญญา นายสมโชคจึงฟ้องเรียกค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 180 วัน เป็นเงิน
10,000 บาท บริษัท ดวงดี จำกัด รับว่า ข้อเท็จจริงเป็นดังที่กล่าวข้างต้น แต่
ยอมรับผิดเพียงเท่าที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเท่านั้น ถ้าท่านเป็น
ศาลจะพิพากษาให้บริษัท ดวงดี จำกัด จ่ายค่าชดเชยให้นายสมโชค ตามฟ้อง
หรือไม่ (พ.ศ. 2527)
ธงคำตอบ
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงานข้อ 465 เม่ือ
นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง โดยลูกจ้างไม่ได้กระทำผิดตามข้อ 476 นายจ้างจะต้องจ่าย
ค่าชดเชยแก่ลูกจ้างที่มีอายุการทำงานติดต่อกันครบ 3 ปีขึ้นไป เท่ากับค่าจ้างอัตรา
สดุ ทา้ ย 180 วัน นายสมโชคจงึ มีสิทธไิ ดร้ ับคา่ ชดเชยจากบรษิ ัท ดวงดี จำกดั เป็นเงิน
30,000 บาท แม้จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมรับค่าชดเชยจากบริษทั
ดวงดี จำกัด เปน็ เงนิ 10,000 บาท ก็ไมม่ ผี ลบงั คับเพราะประกาศกระทรวงมหาดไทย
ดังกล่าวเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน สัญญา
ประนีประนอมยอมความระหว่างบริษัท ดวงดี จำกัด กับนายสมโชค มีข้อความผิด
5 ปัจจบุ นั คือ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118
6 ปจั จบุ ัน คือ พ.ร.บ.คมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119
เรยี บเรยี งโดย ผ้ชู ่วยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 8
แผกแตกต่างจากประกาศกระทรวงมหาดไทย ดังกล่าว จึงตกเป็นโมฆะ ถ้าข้าพเจ้า
เป็นศาลจะพิพากษาให้ บริษัท ดวงดี จำกัด จ่ายค่าชดเชยให้นายสมโชคเป็นเงิน
30,000 บาท ตามฟอ้ ง (คำพพิ ากษาฎกี าท่ี 3583/2524)7
(ขอ้ 5) บริษัท ทุ่งพระเมรุ จำกัด มีลูกจ้างประจำทำงานอยู่ 100 คน ในวันที่ 1
ตุลาคม 2528 ลูกจ้าง 10 คน ร่วมกันลงลายมือช่ือทำหนังสือแจง้ ข้อเรียกร้องยืน่
ต่อบริษัทขอให้จ่ายเงินค่าครองชีพเพิ่มขึ้น และในวันรุ่งขึ้นก็ได้มีลูกจ้างอีก 10
คน ยนื่ ลายมือชอื่ สนับสนุนข้อเรียกรอ้ งดังกลา่ ว กรณีหน่งึ กบั อีกกรณีหน่ึงในวันท่ี
1 ตุลาคม 2528 ของบริษัทจำนวน 30 คน ร่วมกันลงลายมือชื่อทำหนังสือแจ้ง
ขอ้ เรยี กร้องขอให้บรษิ ัทจ่ายเงินโบนัสให้ แต่ตอนบา่ ยวนั นัน้ เอง ลูกจา้ ง 20 คน ที่
ลงลายมือชื่อในหนังสือแจ้งข้อเรียกร้องนั้นได้ถอนชื่อของตนออกจากการ
สนับสนุนข้อเรียกร้อง ดังนั้น ท่านเห็นว่า บริษัททุ่งพระเมรุ จำกัด มีหน้าที่ตาม
กฎหมายทจี่ ะตั้งผู้แทนเพ่ือเจรจากับฝา่ ยลูกจ้างตามข้อเรยี กรอ้ งท้งั 2 กรณหี รอื ไม่
(พ.ศ. 2528)
ธงคำตอบ
การยื่นข้อเรียกร้องของลูกจ้างต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 13 กำหนดไว้โดยเฉพาะจำนวนลูกจ้าง
จะตอ้ งมอี ยู่ครบจำนวนท่ีกฎหมายกำหนดไวไ้ ม่น้อยกวา่ ร้อยละ 15
สำหรบั กรณแี รก เมอื่ ปรากฏว่าการยื่นข้อเรียกร้องในวนั แรก มลี ายมือชื่อผู้
เรียกร้องเพียง 10 คนไม่ครบร้อยละ 15 ข้อเรียกร้องผลและถือได้ว่าตกไป การที่มี
7 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3583/2524 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครอง
แรงงาน มีวัตถุประสงค์ในอันที่จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูกจ้างเป็นการคุ้มครองและอำนวย
ประโยชน์แก่ลูกจ้างจึงเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนสัญญา
ประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าชดเชยซึ่งทำขึ้นผิดแผกแตกต่างไปจากประกาศ
กระทรวงมหาดไทย เรอ่ื ง การคมุ้ ครองแรงงานจงึ เปน็ โมฆะใช้บงั คบั มิได้
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนตบิ ณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 9
การยื่นลายมือชื่อผู้เรียกร้องเพิ่มขึ้นหาทำให้ข้อเรียกร้องดังกล่าวมีผลข้ึ นมาอีกไม่
บริษัท ทุ่งพระเมรุ จำกัด จึงไม่มีหนา้ ทีต่ ามกฎหมายทีจ่ ะต้องตัง้ ผู้แทนเพื่อเจรจากบั
ฝา่ ยลกู จ้าง (คำพพิ ากษาฎีกาที่ 2607-2608/2517)
ส่วนกรณีหลัง เมื่อปรากฏว่าลูกจ้างผู้สนับสนุนข้อเรียกร้องถอนชื่อออก
จากการสนับสนุน จนเหลือจำนวนลูกจ้างที่สนับสนุนข้อเรียกร้องไม่ครบร้องละ 15
ข้อเรียกร้องนี้จึงสิ้นสภาพลงนับแต่วันที่ลูกจ้างสนับสนุนข้อเรียกร้องไม่ครบจำนวน
ตามกฎหมาย บริษทั ทงุ่ พระเมรุ จำกดั จงึ ไม่มีหน้าท่ีตามกฎหมายทจ่ี ะต้องต้ังผู้แทน
เมอื่ เจรจากบั ฝา่ ยลูกจ้างเชน่ เดียวกนั (คำพิพากษาฎกี าท่ี 3415/2525)8
(ข้อ 6) นายโชติกับนายชัย เป็นลูกจ้างของบริษทั รวมช่าง จำกัด ต่อมาปรากฏ
ว่านายโชติป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังต้องหยุดทำงานบ่อยๆ ไม่สามารถปฏิบัติ
หน้าที่ได้โดยสม่ำเสมอ และบริษัทสืบทราบว่าก่อนที่นายชัยจะเข้ามาทำงานกับ
บริษัทนายชัยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกฐานลักทรัพย์มาก่อน บริษัทจึงมี
คำสัง่ เลิกจ้างนายโชตแิ ละนายชัย ให้วินิจฉัยว่า บริษัทจะตอ้ งจ่ายค่าชดเชยให้แก่
บุคคลทงั้ สองหรอื ไม่ (พ.ศ. 2529)
ธงคำตอบ
สำหรับกรณีของนายโชติ แม้จะปรากฏว่าป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังไม่
สามารถปฏิบัติงานให้บริษัทได้โดยสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่เป็นกรณีต้องตามประกา
8 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3415/2525 การยื่นข้อเรียกร้องของลูกจ้างต่อนายจ้างต้อง
ปฏิบัติตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการตามท่ี พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 13 กำหนดไว้ โดยลูกจ้าง
ต้องมีอยคู่ รบจำนวนไม่น้อยกวา่ ร้อยละสิบห้าของลูกจา้ งทัง้ หมดซ่ึงเกีย่ วขอ้ งกับข้อเรยี กรอ้ ง หาใช่มี
อย่คู รบจำนวนเพียงเฉพาะในวันย่นื ข้อเรียกร้องไม่ การท่ลี กู จ้างผู้สนบั สนนุ ข้อเรยี กรอ้ งถอนชอ่ื ออก
จากการสนับสนนุ ขอ้ เรยี กรอ้ งด้วยความสมัครใจเหลือจำนวนลกู จา้ งผู้สนับสนุนขอ้ เรียกร้องไม่ครบ
ร้อยละสิบห้าของลูกจ้างซึ่งเกี่ยวกับข้อเรียกร้องตามมาตรา 13 แห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ ข้อ
พิพาทแรงงานนั้น จึงสิ้นสภาพนับแต่วันที่ลูกจ้างผู้สนับสนุนข้อเรียกร้องไม่ครบจำนวนตาม
กฎหมาย
เรยี บเรียงโดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 10
กระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 บริษัทจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่
นายโชติ (นยั คำพพิ ากษาฎกี าท่ี 2985/2527)9
ส่วนกรณีนายชัย แม้ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงาน
ข้อ 47 (6) จะกำหนดให้นายจา้ งไม่ตอ้ งจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่เลิกจ้างเพราะลูกจ้าง
ถูกจำคุก แต่ก็ต้องเป็นการถกู จำคุกในขณะทเ่ี ป็นลูกจา้ ง เมือ่ ปรากฏนายชัยถูกจำคุก
มาก่อนการเข้าเป็นลูกจ้างของบริษัท บริษัทจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นายชัย
เช่นเดียวกนั (คำพิพากษาฎีกาท่ี 2909/2524)
(ขอ้ 7) นายเสริมซึ่งเป็นลูกจ้างทำหน้าท่ีขับรถยนตข์ องบรษิ ทั ประชาชนื่ จำกัด
ได้ขับรถด้วยความประมาทชนขบวนรถไฟ เป็นเหตุให้นายเสรมิ ตาย รถยนต์ของ
บริษัทและรถไฟเสียหาย ถ้าบริษัทประชาชื่น จำกัด และการรถไฟแห่งประเทศ
ไทยจะฟ้องนางสุดาภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเสริมให้รับผิดในความ
เสียหายของบริษัทและของขบวนรถไฟ บริษัทประชาชื่น จำกัด และการรถไฟ
แหง่ ประเทศไทยจะยืน่ ฟอ้ งคดีที่ศาลแรงงานกลางไดห้ รอื ไม่ (พ.ศ. 2530)
ธงคำตอบ
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 8(5) บัญญัติให้ศาลแรงงานมี
อำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
สบื เนื่องจากขอ้ พิพาทแรงงานหรอื เก่ยี วกบั การทำงานตามสญั ญาจา้ งแรงงาน
9 ปัจจุบัน คือ พ.ร.บ.คมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 และ คำพพิ ากษาศาลฎีกา
ที่ 2985/2527 การเลิกจ้างในกรณลี กู จา้ งปว่ ยไม่อาจปฏิบัติงานใหน้ ายจ้างได้น้ัน ไม่เข้าข้อยกเว้น
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเร่ืองการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 47 อันนายจ้างจะเลิกจ้างไดโ้ ดยไม่
ต้องจ่ายค่าชดเชย เมื่อลูกจ้างฟ้องเรียกค่าชดเชยตามอัตราค่าจ้างสุดท้ายซึ่งต่ำกว่าอัตราตาม
กฎหมายมาด้วยความสมคั รใจ มิได้พลง้ั พลาดผิดหลงจงึ ยังไม่สมควรทศี่ าลจะอา้ งความเปน็ ธรรมนำ
คา่ จา้ งทลี่ กู จ้างมิไดร้ ับจริงมาเป็นฐานคำนวณให้ลกู จา้ งไดร้ ับค่าชดเชยเกนิ คำขอ
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 11
การที่นายเสริมขับรถด้วยความประมารทชนขบวนรถไฟ เป็นการกระทำ
โดยละเมิด และโดยที่บริษัทประชาชื่น จำกัด เป็นนายจ้างของนายเสริม เมื่อนาย
เสริมตายบริษัทย่อมจะฟ้องนางสุดาภริยาของนายเสริมในฐานะทายาทให้รับผิดใน
ความเสียหายที่นายเสริมได้ก่อให้เกิดขึ้นได้ และถือว่าเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิด
ระหว่างนายจ้างกับลกู จ้างเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน บริษัทประชา
ชน่ื จำกัด จึงย่นื ฟ้องนางสุดาท่ีศาลแรงงานกลางได้ (คำพิพากษาฏกี าท่ี 383/2530)
ส่วนกรณีท่ีการรถไฟฯ จะฟ้องนางสดุ านน้ั โดยท่นี ายเสรมิ ไม่ใช่ลูกจ้างของ
การรถไฟฯ จึงไม่ถือว่าเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างการ
รถไฟฯ จงึ ย่ืนฟ้องนางสุดาที่ศาลแรงงานกลางไมไ่ ด้
(ข้อ 8) สหภาพแรงงานบริษัทไทยงาม จำกัด ซึ่งมีลูกจ้างของบริษัทดังกล่าว
เกินกว่าร้อยละ 50 เป็นสมาชิก ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัทขอเพิ่มค่าจ้างอีกวัน
ละ 10 บาท และไดม้ กี ารเจรจากนั แล้วแต่ไมอ่ าจตกลงกันได้ จนถงึ เป็นข้อพิพาท
แรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ตามกฎหมาย บริษัทไทยงาม จำกัด จึงแจ้งการปิดงาน
เป็นหนังสือให้สหภาพแรงงานฯ ทราบ โดยบริษัทให้ปิดงานเฉพาะลูกจ้างที่เป็น
สมาชิกของสหภาพแรงงานเท่านั้น ส่วนลูกจ้างที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพ
แรงงานคงใหม้ าทำงานปกติ
สหภาพแรงงานฯ จึงนำคดีมาฟ้องศาลแรงงาน ขอให้ศาลบังคับให้
บริษทั เปิดงานตามปกติ โดยอ้างเหตุผลวา่
ก. บริษัทไม่มีสิทธิปิดงาน เพราะทางบริษัทไม่ได้เป็นฝ่ายแจ้งข้อ
เรียกรอ้ งต่อสหภาพแรงงานฯ
ข. การปิดงานของบริษัทเป็นการปิดงานบางส่วน ซึ่งไม่มีกฎหมาย
อนุญาตให้ทำได้
จึงเป็นการปิดงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ท่านเห็นว่าข้ออ้างของ
สหภาพแรงงานฯท้งั 2 ประการฟงั ไดต้ ามกฎหมายหรอื ไม่ (พ.ศ. 2531)
เรยี บเรียงโดย ผูช้ ่วยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 12
ธงคำตอบ
สำหรับข้ออ้างประการแรกที่ว่า บริษัทไมม่ ีสิทธิปิดงาน เพราะบริษัทไม่ได้
เป็นฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องต่อสหภาพแรงงานฯ นั้น พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
พ.ศ. 2518 มาตรา 22 วรรคสาม ได้ให้สิทธิแก่นายจ้างที่จะปิดงานและลูกจ้างที่จะ
นดั หยุดงานไดเ้ ม่ือมขี อ้ พิพาทแรงงานที่ตกลงกนั ไมไ่ ด้ ไมว่ า่ ฝา่ ยใดจะเป็นฝ่ายแจ้งข้อ
เรียกร้องไม่ใช่จะมีสิทธิเฉพาะฝ่ายที่แจ้งข้อเรียกร้อง ดังนั้นในกรณีตามปัญหา แม้
บริษัทจะมิได้เป็นฝ่ายที่แจ้งข้อเรียกร้อง บริษัทก็มีสิทธิที่จะปิดงานได้ (คำพิพากษา
ฎกี าที่ 453/2528)
ส่วนข้ออ้างประการที่สองที่ว่า นายจ้างจะปิดงานบางส่วนไม่ได้นั้น ไม่มี
ข้อความใดในพระราชบญั ญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ที่มีลักษณะเป็นการจำกัด
สทิ ธิของนายจา้ งว่าเม่ือข้อพิพาทแรงงานทต่ี กลงกันไมไ่ ดแ้ ล้ว นายจ้างจะต้องใช้สิทธิ
ปิดงานทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้น บริษัทย่อมมีสิทธิปิดงานบางส่วนเฉพาะลูกจ้างที่มีขอ้
พิพาทแรงงานทีต่ กลงกันไม่ได้นัน้ ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 3433, 3432/2530)
ข้ออา้ งทงั้ 2 ประการของสหภาพแรงงานฯ จงึ ฟังไมข่ ้ึน
(ข้อ 9) บริษัทเอกกมล จำกัด ประกาศรับสมัครลูกจ้างเข้าทำงานในบริษทั
โดยได้กำหนดให้ผู้สมัครกรกรายการในแบบใบสมัครด้วยว่าเคยทำงานที่ใดมา
ก่อน และเคยต้องคดีใดมาก่อนบ้าง นายดำยื่นใบสมัครเข้าทำงานกับบริษัท
ดังกล่าวโดยกรอกข้อความในใบสมัครว่าไม่เคยทำงานทีใ่ ด และไม่เคยต้องหาคดี
ใดมาก่อนซึ่งเป็นความเท็จ บริษัทเอกกมลจำกัดไม่ทราบความจริงจึงตกลงจ้าง
นายดำเข้าทำงาน ต่อมาทางบริษัททราบว่านายดำเคยทำงานที่อื่นมาแล้ว และ
เคยต้องหาคดีลักทรัพย์ก่อนยื่นใบสมัครจึงเลิกจ้างนายดำ นายดำได้ยื่นฟ้อง
บริษัทเอกกมลจำกัด ต่อศาลแรงงานกลาง เพอื่ เรียกค่าเสียหายฐานเลกิ จ้างไมเ่ ปน็
ธรรมและเรียกค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครอง
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 13
แรงงานข้อ 4610 ท่านเห็นว่า นายดำมีสิทธิที่จะได้ค่าเสียหายและค่าชดเชยตาม
ฟอ้ งหรอื ไม่
ธงคำตอบ
การที่นายดำยื่นใบสมัครเข้าทำงานโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จทำให้
บริษัทเอกกมล จำกัด ไม่ทราบความจริงและยอมรับเข้าทำงาน เมื่อบริษัททราบ
ความจรงิ ยอ่ มมสี ทิ ธเิ ลิกจา้ งได้ โดยไมถ่ ือวา่ เป็นการเลกิ จา้ งไม่เป็นธรรม นายดำจงึ ไม่
มีสิทธิที่จะได้ค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯตามมาตรา 49 แต่
การเลิกจ้างนี้ไม่ปรากฏว่านายดำไดก้ ระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนด
ไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องคุ้มครองแรงงานข้อ 4711 นายดำจึงมีสิทธิท่ี
จะค่าชดเชย
(ขอ้ 10) นางดาวเป็นลูกจ้างของบริษัทหลักชยั จำกัด ต่อมาทางบริษัทเลิก
จ้างนางดาว ซึ่งนางดาวเห็นว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม จึงได้ไปยื่นคำร้อง
กล่าวหาบริษัทหลักชัย จำกัด ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ คณะกรรมการ
แรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยชี้ขาดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม และสั่งให้บริษัท
หลักชัย จำกดั รับนางดาวกลับเข้าทำงานหรอื มฉิ ะนัน้ ให้ใช้ค่าเสียหายแก่นางดาว
5 หมื่นบาท บริษัทหลักชัย จำกัด ได้นำเงินค่าเสียหายไปวางไว้ที่คณะกรรมการ
แรงงานสัมพันธ์เพื่อชำระให้แก่นางดาวตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่
คณะกรรมการแรงงานสมั พันธก์ ำหนด แตน่ างดาวประสงคจ์ ะกลบั เข้าทำงานตาม
คำสั่งลำดับแรกของคณะกรรม การแรงงานสัมพันธ์ บริษัทหลักชัย จำกัด ไม่
ยอมรับนางดาวกลับเข้าทำงาน นางดาวจึงยื่นฟ้องต่อศาลแรงงาน ขอให้ศาล
บงั คบั บริษัทหลักชยั จำกัด รบั นางดาวกลับเขา้ ทำงาน และฟ้องต่อศาลทมี่ ีอำนาจ
10 ปจั จุบนั คือ พ.ร.บ.คมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118
11 ปัจจุบัน คือ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119
เรียบเรียงโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 14
พิจารณาคดีอาญาขอให้ลงโทษบริษัทหลักชัย จำกัด ฐานมีการกระทำอันไม่เป็น
ธรรม ทา่ นเหน็ ว่านางดาวมที างที่จะชนะคดที ั้งสองหรอื ไม่ (พ.ศ. 2533)
ธงคำตอบ
สำหรับคดีทีฟ่ ้องต่อศาลแรงงานเพื่อใหศ้ าลบังคบั บริษทั หลักชัย จำกัด รับ
นางดาวกลบั เข้าทำงานนัน้ ไดค้ วามว่าคณะกรรมการแรงงานสมั พนั ธ์มคี ำสงั่ ให้บรษิ ัท
หลักชัย จำกัด รับนางดาวกลับเข้าทำงานหรือมิฉะนัน้ ใหใ้ ช้ค่าเสียหายแก่นางดาว 5
หมน่ื บาท ขอ้ ความตามคำสัง่ ดงั กลา่ วมคี วามหมายวา่ การปฏบิ ัติตามคำสั่งจะปฏิบัติ
อยา่ งใดอย่างหน่ึงก็ได้ แม้บรษิ ัทหลกั ชยั จำกดั จะสามารถรับนางดาวกลับเข้าทำงาน
ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกระทำ โดยเลือกเอาการใช้ค่าเสียหายแทนได้ บริษัทหลักชัย
จำกัด ซึ่งเป็นนายจ้างและเป็นผู้ต้องปฏิบัติตามคำสัง่ ดังกลา่ วเป็นผู้มีสิทธิเลือกว่าจะ
ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างใด หาใช่ให้นางดาวผู้เป็นลูกจ้างเป็นผูเ้ ลือกไม่ นางดาวจึงไม่มี
ทางที่จะขอให้ศาลบังคับคดีบริษัทหลักชัย จำกัด รับนางดาวกลับเข้ามาทำงาน
ตามเดิม (คำพิพากษาฎีกาท่ี 1391/2524)
ส่วนการฟ้องคดีอาญานั้น พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 126
บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงาน
สัมพันธ์ตามมาตรา 125 ภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กำหนด
การดำเนินคดีอาญาต่อบุคคลนั้นให้เป็นอันระงับไป” เมื่อปรากฏว่า บริษัทหลักชัย
จำกัด ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ภายในระยะเวลาที่
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กำหนดแล้ว การดำเนินคดีอาญาต่อบริษัทหลักชัย
จำกัด จึงเป็นอันต้องระงับไป นางดาวไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ลงโทษทางอาญาแก่
บรษิ ัทหลักชัย จำกดั คดขี องนางดาวในส่วนอาญาจึงไมม่ ที างที่จะชนะเชน่ เดยี วกนั
(ขอ้ 11) บริษัทนายจ้างมีข้อบังคับให้จ่ายเงินโบนัสแก่ลูกจ้างทุกปีและได้มี
การจ่ายตลอดมา เมื่อ พ.ศ. 2530 บริษัทนายจ้างยังได้ทำข้อตกลงจ่ายค่าครอง
ชีพแก่ลูกจ้างคนละ 300 บาทต่อเดือนตามที่ลูกจ้างได้แจ้งข้อเรียกร้อง ต่อมา
ภาวะการค้าไม่ดี เมื่อ พ.ศ. 2532 บริษัทนายจ้างได้ออกข้อบังคับมาใหม่ ให้
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 15
ยกเลิกการจ่ายเงินโบนัสและค่าครองชีพแก่ลูกจ้างทุกคน นายกิ่งซึ่งเป็นลูกจ้าง
เมื่อ พ.ศ. 2529 และนายขำซึ่งเป็นลูกจ้างที่เข้าทำงานเมื่อ พ.ศ. 2533 ไดเป็น
โจทก์ฟ้องบริษัทนายจา้ งกล่าวหาว่าเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
งานโดยไม่ชอบ ขอให้จ่ายเงินโบนัสและค่าครองชีพตามข้อตกลงเดิม ดังนี้ นาย
กิง่ และนายขำมสี ทิ ธิไดร้ ับเงนิ โบนสั และคา่ ครองชพี หรือไมเ่ พยี งใด (พ.ศ. 2534)
ธงคำตอบ
การท่บี ริษทั นายจา้ งมีขอ้ บงั คบั ใหจ้ า่ ยเงินโบนสั ประจำปีแก่ลูกจ้างทุกปีถือ
วาเปน็ ขอ้ ตกลงเกี่ยวกบั สภาพการจ้างงานทไี่ มไ่ ดเ้ กิดจากการแจ้งขอ้ เรียกร้องส่วนข้อ
เรยี กรอ้ ง สว่ นขอ้ ตกลงที่จ่ายค่าครองชพี นนั้ เปน็ ขอ้ ตกลงเกยี่ วกับสภาพการจ้างท่ีเกิด
จากการแจ้งข้อเรียกรอ้ ง นายก่ิงเป็นลกู จา้ งต้งั แต่ พ.ศ. 2529 มสี ทิ ธไิ ด้รับเงินทังสอง
ประเภทอยูก่ ่อนแลว้ บริษัทนายจ้างจะออกข้อบังคับมายกเลิกโดยพลการไม่ได้ เว้น
แต่แจ้งข้อเรียกร้องขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.
2518 มาตรา 13 นายกิ่งจึงมีสิทธิได้รับเงินโบนัสและค่าครองชีพตามข้อตกลงเดิม
(คำพพิ ากษาฎกี าท่ี 2514/2533)
ส่วนนายขำซึ่งเข้าทำงานเมื่อ พ.ศ. 2533 ภายหลังที่บริษัทนายจ้างได้
ยกเลกิ เงินโบนสั ไปก่อนแล้ว เงินโบนัสเป็นเงนิ ท่ีนายจ้างจ่ายเองโดยมิได้เกิดจากการ
แจ้งข้อเรียกร้อง บริษัทนายจ้างมีสิทธิเลิกเสียสำหรับลูกจ้างที่เข้ามาทำงานใหม่ได้
นายขำจงึ ไมม่ สี ทิ ธิได้รบั เงนิ โบนัส (คำพิพากษาฎกี าที่ 47/2532) ส่วนคา่ ครองชีพนั้น
เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องต้องบังคับตาม
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 ซึ่งห้ามมิให้นายจ้างทำ
สัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่
สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า ดังนั้นแม้นายขำเข้ามาทำงานใน
ภายหลังบริษัทนายจ้างจะทำสัญญาจ้างนายขำโดยไม่จ่ายค่าครองชีพซึ่งเป็นเงินท่ี
ต้องจ่ายตามขอ้ ตกลงเก่ียวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากข้อเรยี กร้องอันเป็นการขัดตอ่
มาตรา 20 ไม่ได้ นายขำจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าครองชีพ (คำพิพากษาฎีกาที่
1707/2527)
เรยี บเรยี งโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 16
(ขอ้ 12) ลกู จา้ งได้รับเงนิ เดือน 6,000 บาท และคา่ ครองชพี เดือนละ 1,000
บาท เงินค่าครองชีพนั้นนายจ้างจ่ายให้เป็นประจำทุกเดือนพร้อมกับเงินเดือน
ลูกจ้างทำงานมาแล้ว 2 ปี 6 เดือน นายจ้างประสบภาวะขาดทุนจึงได้เลิกจ้าง
ลกู จา้ ง
ดังน้ี ลูกจา้ งมสี ทิ ธไิ ดร้ ับคา่ ชดเชยหรอื ไม่เพยี งใด (พ.ศ. 2535)
ธงคำตอบ
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯข้อ 46 เม่ือ
นายจ้างเลกิ จา้ งลกู จ้างโดยลูกจา้ งไมไ่ ด้กระทำความผิดตามข้อ 4712 นายจ้างจะตอ้ ง
จ่ายค่าชดเชยตามอายุงานของลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างทำงานมาแล้วครบ 1 ปี แต่ไม่
ครบ 3 ปี นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน หรือ 3
เดือน การที่นายจ้างเลิกจ้างเพราะประสบภาวะขาดทุน จึงเป็นการเลิกจา้ งที่ลูกจ้าง
ไม่ไดก้ ระทำความผดิ ใดๆ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับคา่ จา้ งอัตราสุดท้าย 90
วัน หรือ 3 เดือน
สำหรับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนั้น หมายถึง เงินเดือนหรือค่าจ้างครั้งสุดท้าย
เงินใดที่นายจ้างจ่ายให้เป็นค่าจ้างแก่ลูกจ้างจะต้องนำมาคำนวณค่าชดเชยด้วย
ปรากฏว่านายจ้างจ่ายค่าครองชีพให้แก่ลูกจ้างเดือนละ 1,000 บาท โดยจ่ายทุก
เดือนเพื่อตอบแทนการทำงาน เช่นเดียวกับค่าจ้าง ค่าครองชีพจึงเป็นค่าจ้างตาม
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ค่าครองชีพจึงต้องนำมา
รวมคำนวณค่าชดเชยด้วย ลูกจ้างได้รับเงินเดือน 6,000 บาท ค่าครองชีพ 1,000
บาท รวมเปน็ ค่าจา้ งอัตราสุดทา้ ยเดือนละ 7,000 บาท ลูกจ้างมสี ิทธไิ ด้รับค่าชดเชย
90 วัน หรือ 3 เดือน จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 21,000 บาท (คำพิพากษา
ฎีกาท่ี 2819/2532)13
12 ปจั จบุ นั คอื พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118, มาตรา 119
13 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2532 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจ้าง โจทก์เป็น
ลูกจ้างประจำ โดยให้ทำงานที่โรงงานกระดาษบางปะอิน แล้วจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์แม้จำเลยให้
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนตบิ ณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 17
(ข้อ 13) นายพลการและนายสงบถ้อยเป็นลูกจ้างของธนาคารธนบุรี จำกัด
โดยทำงานมาแลว้ คนละ 9 ปี ครงั้ สุดท้ายได้จา่ ยค่าจา้ งเดือนละคนละ 9000 บาท
ทั้งสองคนถูกเลิกจ้างด้วยเหตุที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้นำเอกสารที่เคยใช้ในกิจการ
ธนาคารซงึ่ มีรายชื่อลูกคา้ และข้อความเก่ียวกบั การเงนิ ของธนาคารไปเผาทำลาย
แต่นายพลการนำไปขายเอาเงินที่ขายได้ 1,000 บาท ไปเป็นประโยชน์แก่ตนเอง
สว่ นนายสงบถ้อยถูกเลกิ จา้ งด้วยเหตุขาดงานไปโดยไมล่ าแต่ไปรบั ราชการทหารที่
ถูกเกณฑ์เป็นเวลา 2 ปี นายพลการและนายสงบถ้อยตา่ งฟ้องเรียกคา่ ชดเชยจาก
ธนาคารธนบุรี จำกดั
ดังนี้ นายพลการและนายสงบถ้อยจะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยหรือไม่
เพียงใด (พ.ศ. 2536)
การในตอนต้นว่า จำเลยไม่เคยว่าจ้างโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์ทางการจ้าง หรือสัญญาจ้างกับโจทก์
แตจ่ ำเลยไดใ้ ห้การเปน็ ขอ้ ต่อมาว่า โจทกท์ ุกคนถูกโรงงานกระดาษบางปะอินเลกิ จ้างต้ังแต่วันที่ 21
มกราคม 2531 โจทกจ์ งึ มีสทิ ธิไดร้ บั ค่าจ้างเพยี งวันที่ 21 มกราคม 2531 หลงั จากน้นั โจทกไ์ มม่ ีสทิ ธิ
ได้รับค่าจ้างอีก ที่โรงงานกระดาษบางปะอินจ่ายค่าจ้างงวดเดือนมกราคม 2531จนถึงวันที่ 31
มกราคม 2531 เป็นจำนวนเกินกว่าที่มีสิทธิได้รับจึงฟ้องแย้งเรียกค่าจ้างที่จ่ายเกินจากโจทก์ตาม
คำให้การดังกล่าวย่อมเหน็ ไดช้ ัดวา่ จำเลยได้เลกิ จ้างโจทก์ จึงมผี ลเปน็ การยอมรบั อย่ใู นตวั ว่า โจทก์
เป็นลูกจ้างของจำเลยและจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2531 ตามฟ้อง ทั้งจำเลย
ยังฟ้องแย้งเรียกค่าจ้างที่อ้างว่าได้จ่ายเกินจากโจทก์อีกด้วย จึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์เป็น
ลูกจา้ งประจำของจำเลยหรือไม่ จำเลยจ่ายคา่ ครองชีพใหแ้ ก่โจทกม์ ีจำนวนแน่นอน เป็นการประจำ
ทุกเดือนเพื่อตอบแทนการทำงานเช่นเดียวกับค่าจ้างค่าครองชีพจึงเป็นค่าจ้างตาม ประกาศ
กระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จ
ลกู จา้ ง จำเลยรดู้ ีอยวู่ า่ โจทก์ทุกคนมีสิทธิได้รบั คา่ จา้ งเพียงถึงวันท่ี 21 มกราคม 2531 เท่าน้ัน การ
ท่ีจำเลยจา่ ยค่าจ้างให้แก่โจทกห์ ลังจากวนั ดังกล่าวจนถึงวันท่ี 31 เดอื นเดียวกัน จึงเป็นการจา่ ยตาม
อำเภอใจโดยไมป่ รากฏเหตทุ ีจ่ ะทำให้สำคัญผดิ แตป่ ระการใดจำเลยไมม่ ีสิทธิเรยี กเงนิ คืน
เรยี บเรียงโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 18
ธงคำตอบ
การที่นายพลการถูกเลิกจ้างเพราะนำเอกสารของธนาคารไปขายเอาเงนิ ที่
ขายได้ไปเป็นประโยชน์แก่ตนเองนั้น ถือได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้
โดยชอบดว้ ยกฎหมาย สำหรบั ตนเองโดยอาศัยโอกาสที่ตนได้ปฎิบัติหน้าท่ีตามคำสัง่
ของนายจ้าง จึงเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ตามข้อ 47( 1)14 แห่งประกาศ
กระทรวงมหาดไทย เรือ่ งการคุม้ ครองแรงงาน นายพลการจึงไมม่ ีสทิ ธิไดร้ บั คา่ ชดเชย
(คำพพิ พากษาฎกี า 2379/2531)
ส่วนนายสงบถอ้ ยถูกเลกิ จา้ งโดยเหตุขาดงานไปโดยไมล่ า จึงเป็นการละท้ิง
หน้าที่เป็นเวลา 3วันทำงานติดต่อกัน แต่เมื่อนายสงบถ้อยละทิ้งหน้าที่ไปเนื่องจาก
ต้องไปรับราชการทหารตามกฎหมาย อันเป็นเหตใุ ห้นายสงบถ้อยไมไ่ ดไ้ ปทำงาน จึง
ไม่ใช่เป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันควรที่นายจ้างจะเลิกได้โดยไม่ต้องจ่าย
ค่าชดเชยตามข้อ 47 (5) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้งครองแรงงาน
นายสงบถ้อยถึงมีสิทธิได้รับชดเชยตามข้อ 46 (3) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย
ฉบับดังกล่าว ซึ่งนายสงบถ้อยทำงานครบ 3 ปีแล้ว จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับ
ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วันเป็นเงิน 54,000 บาท (9,000/30 x 180 = 54,000
บาท) (คำพพิ ากษาฎีกา 2211/2532)
(ขอ้ 14) นายดินเป็นลูกจ้างของนายน้ำและเป็นกรรมการลูกจ้างโดยชอบ
ด้วยกฎหมายในสถานประกอบการของนายน้ำด้วย หลังจากนายดินทำงานกับ
นายน้ำครบ 1 ปี นายดินทุจริตต่อหน้าที่โดยลักทรัพย์ในสถานประกอบการของ
นายน้ำไป นายน้ำจึงร้องขอต่อศาลแรงงานเพื่อเลิกจ้างนายดิน ศาลแรงงานได้มี
คำสั่งอนุญาตให้นายน้ำเลิกจ้างนายดินได้ นายดินฟังคำเสร็จก็ยื่นฟ้องต่อศาล
แรงงานขอใหน้ ายน้ำจ่ายคา่ ชดเชยตามกฎหมายคงุ้ ครองแรงงานแก่นายดิน
ดงั นี้ นายดินมอี ำนาจฟ้องต่อศาลแรงงานเพอื่ เรยี กค่าชดเชยจากนายน้ำ
หรอื ไม่ (พ.ศ. 2537)
14 ปัจจุบนั คือ พ.ร.บ.คมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(1)
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนตบิ ัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 19
ธงคำตอบ
พระราชบญั ญัตแิ รงงานสมั พนั ธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 บัญญัติว่า “ห้ามมิ
ใหน้ ายจ้างเลิกจ้าง ลดคา่ จ้าง ลงโทษ ขัดขวางการปฏบิ ตั หิ น้าท่ีของกรรมการลูกจ้าง
หรือกระทำการใดๆ อันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจา้ งไม่สามารถทำงานอย่ตู ่อไปได้
เวน้ แต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน”
นายดินเป็นกรรมการลูกจ้างและได้กระทำการโดยทุจริต ซึ่งนายน้ำได้ขอ
อนุญาตเลิกจ้างนายดินต่อศาลแรงงานและศาลแรงงานได้มีคำสั่งอนุญาตให้เลิกจ้าง
นายดินแล้ว แตค่ ำส่งั ของศาลทีอ่ นุญาตให้เลกิ จ้างดังกล่าว หามีผลเป็นการเลกิ จ้างไป
ในตวั ไม่ นายดินยงั คงมนี ิตสิ มั พนั ธเ์ ป็นลกู จา้ งนายน้ำอย่จู นกวา่ นายน้ำจะมีคำสั่งเลิก
จ้างนายดิน เมื่อยังไม่ปรากฏว่านายน้ำได้มีคำสั่งเลิกจ้างนายดิน จึงยังไม่มีอำนาจ
ฟอ้ งตอ่ ศาลแรงงานเพื่อเรยี กค่าชดเชยจากนายน้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตังศาลแรงงานและวิธี
พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 (เทียบคำพิพากษาฎีกา 3073-
3205/2533)
(ข้อ 15) นายสมพงษ์ขับรถไปส่งของให้แก่นายจ้างตามหน้าที่ แต่ขับด้วย
ความเร็วสูงอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบญั ญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 เป็น
การกระทำโดยประมาทเลินเล่อ และเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของนายจ้างที่สั่งไม่ให้
ขับรถด้วนความเร็วเกินกว่าท่ีกฎหมายกำหนด รถยนต์ดังกล่าวพลิกคว่ำเสียหาย
เปน็ เงิน 300,000 บาท นายสมพงษ์ไดร้ ับบาดเจ็บขาขาดไปขา้ งหน่งึ นายจ้างเลย
ออกคำสั่งเลิกจ้างนายสมพงษ์ โดยอ้างเหตุเลิกจ้างว่า “หย่อนความสามารถใน
การขับรถยนต์ให้แก่นายจ้างเนื่องจากขาขาด” ดังนี้ นายสมพงษ์มสี ิทธิไดร้ ับเงิน
ทดแทนจากกรณีที่ได้รับบาดเจ็บถึงขาขาดและมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากกรณีที่
นายจา้ งเลิกจ้างหรอื ไม่ (พ.ศ. 2538)
เรยี บเรยี งโดย ผชู้ ่วยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 20
ธงคำตอบ
การที่นายสมพงษ์ได้รับบาดเจ็บถึงขาขาดไปข้างหนึ่ง ด้วยเหตุที่เกิดข้ึน
ในขณะขับรถยนต์ไปส่งของให้นายจ้างนั้น เป็นกรณีที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กาย
เน่ืองจากการทำงานให้แกน่ ายจา้ ง ถือวา่ นายสมพงษ์ “ประสบอันตราย” ตามมาตรา
5 แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 นายจา้ งต้องจ่ายเงนิ ใหแ้ ก่นายสมพงษ์
ตามจำนวนทก่ี ฎหมายกำหนด ทง้ั นี้ เวน้ แตล่ กู จา้ งประสบอันตรายเพราะเสพของมึน
เมาหรือสิ่งเสพติดอื่นจนไม่สามารถครองสติได้ หรือจงใจให้ตัวเองประสบอันตราย
ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญตั ดิ ังกล่าว ดังนน้ั การขบั รถยนตท์ ่ฝี า่ ฝืนกฎหมายก็
ดี โดยประมาทเลินเลอ่ ก็ดี หาใช้ข้อยกเว้นอย่างหนึ่งอย่างใดตามบทมาตราดังกล่าว
ข้างตน้ ไม่ นายสมพงษ์จงึ มสี ทิ ธิได้รับเงนิ ทดแทน
สำหรับที่นายสมพงษ์ถูกเลิกจ้างนั้น นายจ้างมิได้อ้างเหตุความผิดที่
เกี่ยวกับการขับรถยนต์ แต่ได้อ้างเหตุเลิกจ้างไว้ชัดแจ้งในคำสั่งเลิกจ้างว่า “หย่อน
ความสามารถในการขับรถยนต์ให้แก่นายจ้างเนื่องจากขาขาด” ซึ่งเหตุดังกล่าวมิใช่
การกระทำความผิด และมิใชก่ รณีหนึ่งกรณีใดที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยดังท่ไี ด้
บัญญัติไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 4715 นาย
สมพงษ์จึงมสี ิทธไิ ด้รบั ค่าชดเชยจากนายจา้ ง (คำพิพากษาฎกี าท่ี 6462/2534)
(ขอ้ 16) บริษัททองแท้ จำกัด ซึ่งเป็นนายจ้างได้ยื่นข้อเรียกร้องตาม
พระราชบัญญตั ิแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 โดยทำเปน็ หนังสือยื่นต่อ
ลูกจ้างของตนโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อขอลดค่าจ้างที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างลง
จากเดิมวันละ 50 บาท นายชอบซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทดังกล่าวได้รับเลือกต้งั
ให้เป็นผู้แทนของลูกจ้างเข้าร่วมเจรจาข้อเรียกร้องนี้ ในระหว่างระยะเวลาที่
ผู้แทนของฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างเจรจาข้อเรียกร้องดังกล่าว นายชอบป่วย
แพทย์ตรวจแออกใบรับรองแพทย์ว่าป่วยสมควรหยุดพัก 2 วัน เมื่อครบกำหนด
2 วันหายปว่ ย นายชอบไมอ่ ยากไปทำงาน จึงหยดุ ตอ่ อกี 1 วัน วนั รงุ่ ขน้ึ นายชอบ
15 ปจั จบุ ัน คือ พ.ร.บ.คมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 21
ยนื่ ใบลาปว่ ยต่อนายจา้ งพร้อมใบรบั รองแพทย์ตามระเบยี บ แตไ่ ดแ้ ก้ใบรับรองว่า
ป่วย 3 วัน นายจ้างทราบเรื่องจึงไม่อนุญาตให้นายชอบลาป่วยในวันที่แก้ไขแล
เลิกจ้าง เพราการกระทำดังกล่าว นายชอบอ้างว่าระหว่างการเจรจาข้อรียกร้อง
นายชอบได้รบั ความคมุ้ ครองตามพระราชบัญญัติแรงงานสมั พนั ธ์ นายจ้างจะเลิก
จ้างมิได้ ดงั น้ี บริษทั ทองแท้ จำกดั มีสิทธิเลิกจ้างนายชอบหรือไม่ (พ.ศ. 2539)
ธงคำตอบ
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 31 (1) บัญญัติว่าเมื่อ
แจง้ ตามมาตรา 13 แล้ว ถา้ ขอ้ เรียกร้องยังอยู่ในการเจรจาไกล่เกลย่ี หา้ มนายจา้ งเลกิ
จ้างหรือโยกย้ายหน้าที่การงานของลูกจ้างอันเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่บุค คล
ดังกล่าวทุจรติ ต่อหน้าทห่ี รือทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจา้ ง
เมื่อข้อเท็จปรากฏว่านายชอบแก้ใบรับรองแพทย์และได้ทำการปลอม
เอกสารและใช้เอกสารปลอม การกระทำดงั กล่าวจงึ ทำใหน้ ายจ้างได้รบั ความเสียหาย
เป็นการทำความผิดอาญาโดยเจตนา เข้าข้อยกเว้นที่ทำให้บริษัทมีสิทธิเลิกจ้างนาย
ชอบในระหวา่ งการเจรจาข้อเรียกร้องดงั กล่าวของนายชอบจึงไม่ได้รับความคุ้มครอง
ตามมาตรา 31 (เทยี บคำพพิ ากษาฎกี าที่ 2334/2523)16
(ขอ้ 17) บริษทั ดวงดี จำกัด ได้จา้ งนายแก้วเปน็ ลูกจา้ งอตั ราค่าจ้างเดือนละ
100,000 บาท นายแก้วทำงานดีและขยันขันแข็งในการงาน ไม่เคยประพฤติผิด
ระเบียบวินัยของนายจ้าง ต่อมาบริษัทดวงดี จำกัด ประสบภาวะขาดทุนเพราะ
เศรษฐกิจตกตำ่ บรษิ ทั ดวงดี จำกัด พจิ ารณาด้วยเหตุผลอันรอบคอบ แลว้ เห็นว่า
16 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2334/2523 การที่โจทก์แก้ไขใบรับรองแพทย์ซึ่งต้องยื่นต่อ
จำเลยตามระเบยี บ เพอื่ เปน็ หลักฐานในการพิจารณาอนญุ าตให้โจทก์ลาป่วย โดยเพมิ่ วนั ท่ีแพทย์ให้
หยุดพักรักษาตัวขึ้นอีก1 วัน และได้ยื่นใบรับรองแพทย์ที่แก้ไขแล้วตอ่ จำเลยนั้น เป็นความผิดฐาน
ปลอมและใช้เอกสารปลอม การกระทำของโจทก์ดงั กล่าวยอ่ มทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จึง
เป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การ
คมุ้ ครองแรงงาน ขอ้ 47(1) ตอนทา้ ย จำเลยเลิกจ้างโจทกโ์ ดยไม่ตอ้ งจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ได้
เรยี บเรียงโดย ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 22
นายแก้วมีอัตราค่าจ้างสูง หากต้องจ้างและจ่ายค่าจ้างให้นายแก้วต่อไป กิจการ
ของบริษัทจะไม่อาจดำรงอยู่ได้ ด้วยเหตุนี้บริษัทดวงดี จำกัด จึงมีคำสั่งเลิกจ้าง
นายแก้ว โดยจ่ายค่าชดเชยให้ครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว แต่นายแก้วเห็นว่าเลิก
จ้างโดยที่ตนไม่มีความผิดเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จึงฟ้องต่อศาลแรงงาน
ขอให้บงั คบั นายจา้ งรบั ตนกลบั เข้าทำงานดงั เดมิ
ดังนี้ การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม
พระราชบัญญัติจัดตงั้ ศาลแรงงานและวิธพี จิ ารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา
49 หรือไม่ (พ.ศ. 2540)
ธงคำตอบ
การเลิกจ้างที่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้างพระราชบัญญัติ
จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 นั้น จะต้อง
พิเคราะหว์ า่ มสี าเหตุเพยี งพอท่ีจะเลิกจ้างไดห้ รอื ไมเ่ ปน็ ประการสำคัญ โดยพิจารณา
โดยพิจารณาสาเหตุทั้งฝ่ายลูกจา้ งหรือนายจ้างกไ็ ด้ การที่บริษัทดวงดี จำกัด ซึ่งเปน็
นายจ้างประสบภาวะขาดทุน เพราะเศรษฐกิจตกต่ำ และนายแก้วมีอัตราค่าจ้างสูง
ซึ่งหากต้องจ้างและจ่ายค่าจ้างให้นายแก้วต่อไป กิจการของบริษัทดวงดี จำกัด
นายจ้างก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ถือเป็นความจำเป็นของนายจ้าง แม้นายแก้วซึ่งเป็น
ลูกจ้างผู้ทำงานดี มีความขยันขันแขง็ ในการงานและไม่เคยประพฤติผิดระเบียบของ
นายจา้ งก็ตาม เมือ่ บรษิ ัทดวงดี จำกดั ผเู้ ป็นนายจา้ งไมไ่ ดม้ เี จตนากลั่นแกลง้ นายแก้ว
ก็มีสาเหตุเพียงพอที่จะเลิกจ้างนายแก้วได้ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อ
ลกู จ้างตามบทกฎหมายข้างต้น (เทียบคำพพิ ากษาฎกี าท่ี 1895/2529)
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนตบิ ัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 23
(ขอ้ 18) นายสมชายเป็นลูกจ้างได้เงินเดือน 24,000 บาท หรือ ชั่วโมงละ
100 บาท เดือนกันยายน 2541 นายจ้างได้สั่งให้นายสมชายทำงานล่วงเวลาใน
วันทำงานปกติรวมทั้งสิ้น 20 ชั่วโมง นายจ้างมิได้จ่ายเงินตอบแทนการทำงาน
ล่วงเวลาใหแ้ ก่นายสมชาย นายสมชายเรยี กรอ้ งคา่ ล่วงเวลา นายจ้างอ้างวา่ นาย
สมชายทำข้อตกลงว่าจะไม่มีการคิดค่าล่วงเวลา หากข้ออ้างของนายจ้างเป็น
ความจรงิ
ให้วินิจฉัยว่า นายสมชายมีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาจากนายจ้างหรือไม่
เพยี งใด (พ.ศ. 2541)
ธงคำตอบ
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 61 บัญญัติให้
นายจ้างที่ลกู จ้างทำงานล่วงเวลาต้องจ่ายคา่ ลว่ งเวลาไม่น้อยกวา่ 1 เทา่ ครึง่ ของอัตรา
จ้างตอ่ ชัว่ โมงทำงาน ซ่งึ บทบญั ญตั ิดงั กลา่ วเป็นกฎหมายเก่ียวกับความสงบเรียบร้อย
การทำข้อตกลงแม้เป็นจริงดังที่นายจ้างกล่าวอ้าง ก็เป็นข้อตกลงที่แตกต่างจาก
บทบัญญัติ จึงตกเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ (เทียบคำพิพากษาที่ 1390/2537) นาย
สมชายมีสิทธไิ ด้รบั ค่าล่วงเวลาตามอัตราขา้ งตน้ เปน็ เงนิ 100x1.5x20 = 3,000 บาท
(ขอ้ 19) บริษัทจำเลยตกลงจ้างโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
2536 โดยตกลงด้วยวาจาว่านอกจากเงินเดอื นแล้วบรษิ ทั จำเลยจะแบ่งส่วนกำไร
ให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 5 ของกำไรสุทธิด้วย ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2536
บริษัทจำเลยได้ทำบันทึกช่วยจำลงชื่อบริษัทจำเลยฝ่ายเดียวถึงโจทก์ว่าจะจ่าย
ส่วนแบ่งกำไรแก่โจทก์ตามข้อตกลงด้วยวาจาดังกล่าว และบริษัทจำเลยได้จ่าย
ส่วนแบ่งกำไรตามบนั ทึกนั้นให้แก่โจทก์ตง้ั แตป่ ี 2536 ถึงปี 2538 แล้ว ตอ่ มาในปี
2539 บริษัทจำเลยได้ออกประกาศโดยลำพังเปลี่ยนการจ่ายส่วนแบ่งกำไรเสีย
ใหมเ่ หลือเพียงอัตรารอ้ ยละ 1.5 ของกำไรสทุ ธิ
เรียบเรียงโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 24
ให้วินิจฉัยวา่ ข้อตกลงด้วยวาจาและบันทึกชว่ ยจำในเรือ่ งการแบ่งสว่ น
กำไรดังกล่าวมีผลผูกพันโจทก์และบริษัทจำเลยหรือไม่ และบริษัทจำเลยจะออก
ประกาศแก้ไขบันทึกช่วยจำที่บริษัทจำเลยลงชื่อไว้ฝ่ายเดียวโดยลำพังได้หรือไม่
(พ.ศ. 2542)
ธงคำตอบ
การที่บริษัทจำเลยตกลงรับโจทก์เข้าทำงานโดยตกลงด้วยวาจาว่าจะแบ่ง
ส่วนกำไรในอัตราร้อยละ 5 ของกำไรสทุ ธิใหแ้ ก่โจทกน์ ้นั เป็นส่วนหน่ึงของสัญญาจ้าง
แรงงาน และต่อมาบริษัทจำเลยได้ทำบันทึกช่วยจำถึงโจทก์ในเรื่องดังกล่าว แม้
บันทึกช่วยจำนั้นบริษัทจำเลยจะลงชื่อฝ่ายเดียว แต่บริษัทจำเลยก็ได้จ่ายส่วนแบ่ง
กำไรอันเป็นสภาพการจ้างให้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2536 ถึงปี 2538 บันทึกช่วยจำของ
บริษัทจำเลยจึงเป็นข้อตกลงเก่ียวกับสภาพการจ้างงาน ตามพระราชบญั ญตั ิแรงงาน
สัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 5, มาตรา 10 วรรคสองด้วย ข้อตกลงด้วยวาจาและ
บันทกึ ช่วยจำในเรื่องการแบ่งส่วนกำไรจึงมผี ลผูกพันโจทกแ์ ละบริษัทจำเลย
เม่ือบันทึกช่วยจำเป็นสัญญาจ้างแรงงานและเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพ
การจ้าง การที่บริษัทจำเลยออกประกาศโดยลำพังเปลี่ยนการจ่ายส่วนแบ่งกำไรเสยี
ใหม่เหลือเพียงอัตราร้อยละ 1.5 ของกำไรสุทธิ โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์
และไม่เป็นคณุ แกโ่ จทกซ์ ่ึงเป็นลกู จ้าง ท้ังมิไดด้ ำเนินการแก้ไขเพ่ิมเติมเก่ียวกับสภาพ
การจ้างงาน ดว้ ยการแจง้ ข้อเรยี กร้อง และมีข้อตกลงเก่ียวกบั สภาพการจ้างงานฉบับ
ใหม่ตามขน้ั ตอนของพระราชบญั ญตั แิ รงงานสัมพนั ธ์ พ.ศ. 2518 ประกาศเปลย่ี นการ
จา่ ยส่วนแบง่ กำไรจึงไม่มีผลใชบ้ งั คบั บรษิ ัทจำเลยจงึ ไม่อาจออกประกาศแก้ไขบันทึก
ชว่ ยจำท่ีบรษิ ทั จำเลยลงชอ่ื ไว้ฝา่ ยเดยี วได้ (เทียบคำพิพากษาฎกี าที่ 6629/2541)17
17 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6629/2541 ขณะโจทก์เขา้ ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย จำเลย
ตกลงกบั โจทกว์ ่าจะให้สว่ นแบง่ กำไรแก่โจทกใ์ นอตั รา 5 เปอร์เซน็ ตข์ องกำไรสุทธิ แม้ขอ้ ตกลงน้ีเดิม
ไม่ได้ ทำเป็นหนังสือไว้ แต่ต่อมาจำเลยได้ทำบนั ทึกตามเอกสารพิพาทถึงโจทก์ แล้วจำเลยก็ยังคง
จ่ายส่วนแบง่ กำไรตามหลกั เกณฑ์ตามบันทึกดังกลา่ วตลอดมาถือไดว้ ่าขอ้ ตกลงดังกล่าวเป็นสัญญา
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 25
(ข้อ 20) บริษัทไม่ม่ันคง จำกัด ออกคำสัง่ เป็นหนงั สือเลิกจ้าง นายสมคิดซึ่ง
เป็นพนกั งานขับรถ โดยอ้างเหตุผลไว้เพยี งว่า “นายสมคิดฝ่าฝืนขอ้ บงั คับเกีย่ วกบั
การทำงานโดยได้ละทิง้ หน้าที่เป็นเวลาครึ่งวนั ทั้งที่ผู้บังคับบัญชาได้เคยตักเตอื น
ดว้ ยวาจาในเร่อื งละทงิ้ หนา้ ท่ีไว้ครง้ั หน่ึงแล้วเม่ือเดอื นก่อน” นายสมคิดย่ืนคำฟอ้ ง
ต่อศาลแรงงานเรียกค่าชดเชย บริษัทไมม่ ั่นคง จำกัด ยื่นคำใหก้ ารวา่ นอกจากเหตุ
เลิกจ้างดังที่ได้อ้างในคำสั่งเลิกจ้างแล้ว นายสมคิดยังได้เล่นการพนันกับเพื่อน
พนกั งานในบริเวณบริษัทซ่ึงตามขอ้ บังคับเก่ียวกับแถลงขอ้ เท็จจริงตามคำให้การ
ของบริษทั ไมม่ ่นั คง จำกดั
ให้วินิจฉัยว่า บริษัทไม่มั่นคง จำกัด ยกเหตุเลิกจ้างทั้งสองประการข้ึน
อา้ งไดเ้ พยี งใดและจะตอ้ งจ่ายค่าชดเชยแกน่ ายสมคิดหรือไม่ (พ.ศ. 2543)
ธงคำตอบ
ในกรณีที่บริษัทไม่มั่นคง จำกัด นายจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้าง
แรงงาน จะต้องระบุเหตุผลการเลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างหากมิได้ระบุ
เหตุผลไว้ บริษัทไม่มั่นคง จำกัด จะยกเหตุที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยขึ้นอ้างภายหลัง
ไม่ได้ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ตามมาตรา 17 วรรค
จ้างแรงงานมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยจำเลยจึงไม่มีสิทธิแต่ฝ่ายเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงการจ่าย
ส่วนแบ่งกำไรให้แก่โจทก์ใหม่โดยคิดค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่ตกลงไว้และแบ่งกำไรให้เพียงอัตรา 1.5
เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ ซึ่งไม่เป็นคุณและไม่ได้รับความยินยอมจาก โจทก์ก่อนได้ คดีนี้ศาล
แรงงานฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการคดิ คา่ ใช้จา่ ยสงู กวา่ ท่ไี ดต้ กลงกันไว้และ
แบ่งกำไรให้แก่โจทก์เพียงอัตรา 1.5 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ โจทก์มิได้ยินยอมด้วย และเงินส่วน
แบง่ กำไรนี้มใิ ช่เงนิ โบนัส เพราะเงนิ โบนัสมขี ้อตกลงอย่ตู ่างหากแลว้ การทจ่ี ำเลยอุทธรณว์ ่า โจทก์ได้
ยินยอมให้จำเลยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงดังกล่าวในปีถัดไปจากปี 2538 ไปได้แล้วและที่ว่า
ผลประโยชน์ตอบแทนการขายของโจทก์หรือที่เรียกว่าส่วนแบ่งกำไร หมายถึงโบนัสของฝ่ายขาย
จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานเป็นอุทธรณ์ใน
ข้อเทจ็ จรงิ ตอ้ งห้ามอทุ ธรณต์ ามพระราชบญั ญัตจิ ดั ต้ังศาลแรงงานและวธิ พี จิ ารณาคดแี รงงานพ.ศ.
2522 มาตรา 54 วรรคหน่ึง ศาลฎกี าไมร่ บั วินจิ ฉยั
เรียบเรยี งโดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 26
สาม18 ดังนั้น บริษัทไม่มั่นคง จำกัด จึงยกเหตุละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาครึ่งวันโดย
ผู้บังคับบัญชาได้เคยตักเตือนด้วยวาจาไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งได้ระบุไว้ในหนังสือคำสั่ง
เลิกจ้างขึ้นอ้างในคำให้การตอสู้คดีที่นายสมคิดฟ้องเรียกค่าชดเชยได้ แต่จะยกเว้น
เหตุเรื่องเล่นการพนันกบั เพื่อนพนักงานในบริเวณบริษัทซึ่งมิใช่เหตผุ ลที่ได้ระบุไวใ้ น
หนังสือคำสั่งเลิกจ้างและเป็นเหตุอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในหนังสือคำสั่งเลิกจ้าง
ขน้ึ อา้ งเป็นข้อตอ่ สใู้ นคำให้การไม่ได้ (คำพิพากษาฎกี าท่ี 2599-2606/2541)
กรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยด้วยเหตุที่ลูกจ้างฝ่าฝืน
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างตามพระราชบญั ญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.
2541 มาตรา 119 (4) นน้ั หากมใิ ชก่ รณที ่รี า้ ยแรง นายจ้างตอ้ งตักเตือนเป็นหนังสือ
แก่ลูกจา้ งนั้นกอ่ น แม้นายสมคิดจะละทิง้ หน้าที่เป็นเวลาครึ่งวัน และบริษัทไม่ม่ันคง
จำกัด จะไดต้ กั เตือนไว้แล้วครั้งหนึง่ แลว้ เมื่อเดอื นก่อนแต่เป็นการตักเตือนด้วยว่าจา
มิใช่การตักเตือนเป็นหนังสือ จึงไม่เป็นกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชด
เฉยตามบทกฎหมายขา้ งตน้ บรษิ ัทไม่มัน่ คง จำกัด ต้องจ่ายคา่ ชดเชยแกน่ ายสมคิด
(ข้อ 21) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2545 นางดวงใจซึ่งเป็นนายจ้างออก
หนังสือเลิกจ้างนายสมโชคซึ่งเป็นลูกจ้าง กล่าวอ้างว่า นายสมโชคกระทำการ
ทุจริตต่อหน้าที่ ต่อมานายสมโชคยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานวา่ ขอ้ กล่าว
อ้างของนายจ้างไม่ไม่เป็นความจริง ขอให้มีคำสั่งให้นางดวงใจจ่ายค่าชดเชย
60,000 บาท แกต่ น ระหวา่ งท่พี นกั งานตรวจแรงงานทำการสอบสวนข้อเท็จจริง
นายสมโชคได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางดวงใจต่อศาลแรงงานทำการสอบสวน
บรรยายฟ้องว่าอ้างของนายจ้างไม่ไม่เป็นความจริง และเป็นการเลิกจ้างไม่เป็น
ธรรม นายสมโชคโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานในมูลกรณีเลิกจ้าง
ครั้งเดียวกันนี้ไว้แล้ว แต่พนักงานตรวจแรงงานยังไม่มีคำสั่งขอให้บังคับนาง
ดวงใจจำเลยจ่ายค่าชดเชย 60,000 บาท และค่าเสียหายกรณีเลิกจ้างไม่เป็น
ธรรม 200,000 บาท แก่โจทก์ (พ.ศ. 2544)
18 ปัจจุบัน คอื พ.ร.บ.คุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 วรรคทา้ ย
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนติบณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 27
ให้วินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางจะรับคดีที่นายสมโชคฟ้องไว้พิจารณา
ได้หรอื ไม่
ธงตอบ
เมื่อนางดวงใจซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างนายสมโชค หากนายสมโชคซึ่งเป็น
ลูกจ้างเห็นว่าตนมิได้กระทำการทุจริตต่อหน้าที่และมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงาน
ตรวจแรงงานเพื่อให้มีคำสั่งให้นางดวงใจจ่ายค่าชดเชยหรือจะยื่นคดีต่อศาลแรงงาน
เพื่อบังคับให้นางดวงใจจ่ายค่าชดเชยก็ได้ แต่จะต้องเลือกใช้สิทธิทางใดทางหนึ่ง ไม่
อาจใชส้ ทิ ธคิ วบคกู่ นั ไปไดใ้ นขณะเดียวกนั (คำพพิ ากษาฎีกาท่ี 570/2545) การที่นาย
สมโชคได้ยนื่ คำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานขอใหม้ คี ำส่ังให้นางดวงใจจ่ายค่าชดเชย
ถือว่านายสมโชคเลือกที่จะใช้สิทธิในการเรียกร้องค่าชดเชยด้วยการยื่นคำร้อ งต่อ
พนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.
2541 แล้ว การที่นายสมโชคนำมูลกรณีเลิกจ้างครั้งเดียวกันนั้นไปยื่นฟ้องต่อศาล
แรงงานกลาง เพื่อขอให้บังคับนางดวงใจจ่ายค่าชดเชยให้ตนเช่นเดียวกับที่ได้ยื่นคำ
รอ้ งตอ่ พนกั ตรวจแรงงาน ย่อมเป็นการไม่ชอบ ศาลแรงงานกลางไม่อาจรบั คดีในสว่ น
ที่เกี่ยวกับค่าชดเชยไว้พิจารณาได้ สำหรับคดีในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายจากกรณี
เลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมเป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายตามมาตรา 49 แห่ง
พระราชบัญญัตจิ ดั ตั้งศาลแรงงานและวิธีพจิ ารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ซึ่งเปน็ คดี
ที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ศาลแรงงานกลางย่อมรับคดีใน
ส่วนที่เก่ยี วกบั คา่ เสยี หายไวพ้ ิจารณาได้ (คำพพิ ากษาฎีกาท่ี 238/2545)19
19 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 238/2545 ตามพระราชบัญญตั ิคมุ้ ครองแรงงานฯ มาตรา 123
ถึงมาตรา 125 มีลักษณะกำหนดให้ลูกจ้างจะต้องเลือกใช้สิทธิทางใดทางหนึ่งระหว่างใช้สิทธิฟ้อง
คดีตอ่ ศาลแรงงานหรือจะยืน่ คำร้องต่อพนกั งานตรวจแรงงานก็ได้แต่เพยี งทางเดยี วจะใช้สิทธิพร้อม
กันทงั้ สองทางไม่ได้ การทโี่ จทก์ยืน่ คำร้องต่อพนกั งานตรวจแรงงานขอใหบ้ งั คบั จำเลยจ่ายคา่ ชดเชย
สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างค้างจ่ายและคา่ จา้ งสำหรับวันหยุดพกั ผ่อนประจำปี อัน
เปน็ เงินตามสทิ ธิในพระราชบัญญัตคิ ุ้มครองแรงงานฯ แล้ว ถือวา่ โจทกเ์ ลอื กใช้สิทธิที่จะดำเนินการ
ต่อจำเลยด้วยการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำคดีไปฟ้องศาล
เรียบเรยี งโดย ผ้ชู ่วยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 28
(ข้อ 22) เมอ่ื วนั ที่ 1 มนี าคม 2544 นายสมศกั ด์เิ ขา้ ทำงานเป็นลกู จา้ งบรษิ ัท
สุราไทย จำกัด โดยตกลงทดลองงานเป็นเวลา 5 เดือน ระหว่างที่นายสมศักด์อิ ยู่
ในระหว่างทดลองงานได้รับเลือกตั้งจากลูกจ้างบริษัทให้เป็นกรรมการลูกจ้าง
และเมื่อลูกจ้างของบริษัทมีความประสงค์ที่จะให้บริษัทจัดจัดสวัสดิการเกี่ยวกับ
น้ำด่มื และห้องนำ้ ใหม้ ากข้ึน นายสมศกั ดกิ ไ็ ด้ลงลายมือชือ่ ในขอ้ เรียกร้องและเป็น
ผู้แทนในการเจรจาด้วยผู้หนึ่ง ภายหลังการเจรจาข้อเรียกร้องบริษัทตกลงจัด
สวัสดิการให้ลูกจ้างตามที่เรียกร้องและได้จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
เป็นหนังสือโดยให้มีผลใช้บังคับเป็นเวลา 2 ปี ต่อมาวันที่ 15 กรกฎาคม 2544
บริษัทมีคำสั่งเลิกจ้างนายสมศักดิ์โดยมิได้ดำเนินการทางศาลเนื่องจากบริษัทได้
อนุญาตให้นายสมศักดิ์ลางานเพื่อไปดูแลมาดาซึ่งป่วยหนักที่โรงพยาบาล
ต่างจังหวัดได้เพยี ง 2 วัน แต่นายสมศักด์ิกลับอยู่ดูแลมารดาที่โรงพยาบาลต่ออกี
5 วนั เพราะไมม่ ีคนอื่นดูแล
ให้วินิจฉัยว่า การกระทำของบริษัทสุราไทย จำกัด ต่อนายสมศักด์ิ
กรรมการลูกจา้ งชอบดว้ ยกฎหมายแรงงานสมพันธห์ รอื ไม่ เพยี งใด (พ.ศ. 2545)
ธงคำตอบ
แม้นายสมศักดิ์จะเป็นลูกจ้างทดลองงาน ก็มีฐานะเป็นลูกจ้างที่ได้รับการ
คุ้มครองตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 (คำพิพากษาฎีกาท่ี
5586/2539) เมื่อนายสมศักด์ิไดล้ งมือชื่อในข้อเรียกร้องและเป็นผู้แทนในการเจรจา
แรงงานอีกจนกว่าการดำเนินการของพนักงานตรวจแรงงานจะสิ้นสุด เมื่อปรากฏว่าระหว่างที่
พนกั งานตรวจแรงงานพิจารณาคำร้องของโจทก์ โจทกไ์ ด้นำมูลกรณีเลิกจ้างอนั เดียวกันน้ไี ปยืน่ ฟ้อง
จำเลยต่อศาลแรงงานกลางอีก ศาลแรงงานกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้อง
เรียกเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ ดังกล่าว การที่โจทก์ฟ้องเรยี กค่าเสียหายจากการ
เลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมนั้นเป็นการฟ้องเรยี กตามสทิ ธิในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตัง้ ศาล
แรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมิใช่ฟ้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ ศาลแรงงาน
กลางจึงมอี ำนาจพจิ ารณาพพิ ากษาในส่วนน้ไี ด้
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนตบิ ณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 29
ข้อเรียกร้องด้วยผู้หนึ่งนายสมศักดิ์จึงเป็นลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง ย่อม
ได้รับการคุ้มครองมใิ ห้นายจ้างเลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมี
ผลใช้บังคับตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 การที่นาย
สมศักดิ์ไดร้ ับอนุญาตใหล้ างานเพื่อไปดูแลมารดาซึง่ ปว่ ยหนกั ที่ตา่ งจังหวัดได้เพียง 2
วัน แต่นายสมศักดิ์กลับอยู่ดูแลมารดาที่โรงพยาบาลต่ออีก 5 วัน เพราะไม่มีคนอ่ืน
ดูแลนั้น แม้จะเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาเกินกว่าสามวันทำการติดต่อกันก็ตาม
แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุผลอันสมควร ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 123(4) ที่
บริษัทสุราไทย จำกัด นายจ้างจะเลิกจ้างนายสมศักดิ์ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับ
สภาพการจ้างมีผลใช้บังคับอยู่ได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3651/2529)20 บริษัท
สุราไทย จำกัด เลิกจ้างนายสมศักดิ์ จึงเปน็ การฝ่าฝนื พระราชบญั ญตั ิแรงงานสัมพันธ์
พ.ศ. 2518 มาตรา 123
เนื่องจากนายสมศักดิ์ได้รับเลือกตั้งจากลูกจ้างของบริษัทสุราไทย จำกัด
ใหเ้ ปน็ กรรมการลูกจ้าง หากบรษิ ัทสุราไทย จำกัด นายจา้ งจะเลิกจา้ งนายสมศักดิ์ซ่ึง
เป็นกรรมการลูกจ้าง บริษัทสุราไทย จำกัด จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน
ก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 บริษัทสุราไทย
จำกัด เลกิ จ้างนายสมศกั ด์ิโดยมไิ ด้ดำเนินการทางศาล จึงเปน็ การเลกิ จ้างโดยมิได้รับ
อนุญาตจากศาลแรงงาน เป็นการฝ่าฝนื พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
มาตรา 52
20 คำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 3651/2529 การละทิ้งหน้าท่ีเป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกนั
โดยไม่มีเหตุอันสมควรตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(4)
หมายถงึ ไม่มีเหตอุ ันสมควรทีจ่ ะต้องละทิ้งหน้าท่ีเป็นเวลาสามวันทำงานติดตอ่ กนั มิใช่หมายถึง การ
ละทง้ิ หนา้ ที่นั้นกระทำไปโดยไมส่ มควรเพราะเป็นการฝา่ ฝนื ระเบยี บข้อบังคบั ของนายจ้างผู้คัดค้าน
ลากจิ กลับไปบา้ นที่ต่างจังหวัดเพราะมารดาปว่ ยหนกั ครบกำหนดลากิจแลว้ อาการของมารดาของ
ผคู้ ัดคา้ นไมท่ ุเลาลงต้องเข้ารักษาทีส่ ถานอี นามัยและโรงพยาบาลตามลำดับ ผู้คัดค้านได้โทรเลขถึง
เพื่อนร่วมงานขอให้ลาต่อแทนดังนี้การละท้ิงหน้าที่ของผู้คัดค้านมเี หตุอันสมควร กรณีไม่ต้องด้วย
ประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 47(4) ผู้ร้องจะขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการ
ลกู จา้ งไมไ่ ด้
เรียบเรียงโดย ผชู้ ่วยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 30
(ขอ้ 23) บริษัทเอมอิ่ม จำกัด ตกลงจ้างนางสาวสร้อยเป็นนักร้องประจำ
ห้องอาหารค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท นางสาวสร้อยต้องตอกบัตรลงเวลา
เรม่ิ ทำงานและเลิกงาน หากไม่ตอกบตั รจะไม่ได้รบั คา่ จ้าง วนั ใดที่หยุดงานโดยไม่
มีใบลาจะถูกตัดค่าจา้ ง ระหวา่ งเวลาทำงานต้องอยู่ในสถานทท่ี ำงาน และตอ้ งร้อง
เพลงตามที่หัวหน้าวงดนตรีกำหนดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 บริษัทเอมอิ่ม
จำกัด สั่งให้นางสาวสร้อยไปร้องเพลงในงานวันเกิดของลูกค้าคนสำคัญใน
ต่างจังหวัด นางสาวสร้อยจึงออกเดินทางจากบ้านพักเวลา 15.00 นาฬิกา เพื่อ
ไปให้ทันเวลาเริ่มงาน 18.00 นาฬิกา ระหว่างการเดินทาง รถประจำทางท่ี
นางสาวสร้อยโดยสารแล่นผิดทางตกถนน นางสาวสร้อยถึงแก่ความตาย มารดา
นางสาวสรอ้ ยยืน่ คำรอ้ งขอรับเงินทดแทน บริษัทเอมอ่ิม จำกัด โต้แย้งว่า มารดา
นางสาวสร้อยไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนเพราะนางสาวสร้อยเป็นนักร้อง ไม่มี
ฐานะเปน็ ลกู จา้ ง ทงั้ ประสบเหตุอันตรายโดยยังมิได้ลงมือทำงานให้แก่นายจ้าง
ให้วินิจฉัยว่า นางสาวสร้อยมีฐานะเป็นลูกจ้างหรือไม่ และประสบ
อันตรายเนื่องจากการทำงานหรือไม่ และมารดานางสาวสร้อยจะมีสิทธิได้รับเงิน
ทดแทนหรอื ไม่ (พ.ศ. 2546)
ธงคำตอบ
นางสาวสร้อยตกลงรับจ้างทำงานเป็นนักร้องประจำห้องอาหารให้แก่
บริษัทเอมอิ่ม จำกัด โดยรบั ค่าจ้างเดือนละ15,000 บาท เมื่อนางสาวสร้อยต้องตอก
บัตรลงเวลาเริ่มทำงานและเลิกงาน ต้องยื่นใบลาเมื่อหยุดงาน ต้องอยู่ในสถานที่
ทำงาน และต้องร้องเพลงตามที่หัวหน้าวงดนตรีกำหนด แสดงว่านางสาวสร้อยต้อง
ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบและอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของบริษัทเอมอิ่ม จำกัด
นางสาวสร้อยจงึ มีฐานะเป็นลูกจ้างของบริษัทเอมอิ่ม จำกัด (เทียบเคียงคำพิพากษา
ฎีกาที่ 3305/2545)
นางสาวสร้อยซึ่งเป็นลูกจ้างออกเดินทางจากบ้านพักเพื่อไปร้องเพลงใน
งานวันเกิดของลูกค้าคนสำคัญในต่างจังหวัดตามคำสั่งของนายจ้าง และประสบ
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนตบิ ัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 31
อุบัติเหตุขณะเดินทาง แสดงว่าในวันดังกล่าวนางสาวสร้อยไม่ต้องเข้าไปทำงานท่ี
ห้องอาหารของนายจา้ ง แต่ต้องเดนิ ทางไปทำงานยังสถานที่จัดงานวนั เกดิ ของลูกคา้
เพ่อื ปฏิบตั ิหน้าท่ีตามคำส่ังนายจา้ งย่อมชใี้ ห้เหน็ วา่ ลกู จา้ งเรมิ่ ลงมอื ทำงานแล้ว แม้จะ
ยังไม่ถึงสถานที่ที่จะทำงานให้แก่นายจ้าง ก็ถือได้ว่านางสาวสร้อยประสบอันตราย
เนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537
มาตรา 5 (เทยี บเคยี งคำพพิ ากษาฎกี าท่ี 4919/2538)
เมื่อนางสาวสร้อยประสบอันตรายจนถึงแก่ความตาย มารดาของนางสาว
สร้อย จึงเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทน ทั้งน้ี ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.
2537 มาตรา 20
(ขอ้ 24) นายเรืองเป็นลูกจ้างของบริษัทรุ่งทรัพย์ จำกัด ทำงานตำแหน่ง
พนักงานบัญชี ณ สำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มาได้ 4 ปี ได้รับ
ค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท ต่อมาบริษัทรุ่งทรัพย์ จำกัด สั่งให้นายเรืองไป
ทำงานในตำแหน่งเดิม ณ สำนักงานสาขา จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเปิดทำการ
มากว่า 10 ปีแล้ว นายเรืองเห็นว่าต้องเดินทางไกลขึ้น จึงไม่ยอมไปทำงานที่
สำนักงานสาขาตั้งแตว่ ันแรกท่ีรับคำสั่ง แต่ยังคงไปนั่งอยู่ทีท่ ำงานสำนกั งานใหญ่
ตลอดมา ต่อมาอีก 7 วัน บริษัทรุ่งทรัพย์ จำกัด จึงเลิกจ้างนายเรืองด้วยเหตุ
ดังกลา่ ว
ใหว้ นิ จิ ฉยั วา่ คำสัง่ ของบริษทั รุ่งทรัพย์ จำกดั ทีใ่ ห้นายเรืองไปทำงานที่
สำนักงานสาขา เปน็ คำส่ังทช่ี อบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมหรอื ไม่ และบริษัทรุ่ง
ทรพั ย์ จำกดั ต้องจ่ายคา่ ชดเชยให้แก่นายเรืองหรอื ไม่ (พ.ศ. 2547)
ธงคำตอบ
บริษัทรุ่งทรัพย์ จำกัด มีสำนักงาน 2 แห่ง การที่บริษัทรุ่งทรัพย์ จำกัด
นายจ้างมีคำสั่งให้นายเรือง ลูกจ้างไปทำงานในตำแหน่งเดิมที่สำนักงานสาขา อัน
เปน็ สถานประกอบกจิ การอีกแหง่ หนง่ึ ทีม่ อี ยกู่ ่อนแล้วโดยไม่ปรากฏว่าบรษิ ัทรุง่ ทรัพย์
เรียบเรียงโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 32
จำกัด ไดอ้ อกคำสง่ั โดยกลัน่ แกล้งนายเรือง คำสัง่ ทีใ่ ห้นายเรืองไปทำงานที่สำนักงาน
สาขาจึงเป็นคำสั่งท่ีชอบดว้ ยกฎหมายและเป็นธรรม นายเรืองมีหน้าที่ต้องไปทำงาน
ที่สำนักงานสาขาตามคำส่ังของบริษัทรุ่งทรัพย์ จำกัด เมื่อนายเรืองไม่ไปทำงานท่ี
สำนักงานสาขา แม้จะยังไปนั่งอยู่ที่ทำงานสำนักงานใหญ่ก็ถือได้ว่าเป็นการละท้ิง
หน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มเี หตุอันสมควร บริษัทรุ่งทรัพย์ จำกดั
จึงเลิกจ้างนายเรืองไดโ้ ดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (5) (เทยี บคำพิพากษาศาลฎีกาท่ี 39/2545)21
(ขอ้ 25) ลูกจ้างบริษัทมีทรัพย์ จำกัด ได้แจ้งข้อเรียกร้องต่อบริษัทนายจ้าง
ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพนั ธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ขอใหบ้ ริษทั นายจ้าง
จดั บ้านพกั อาศยั ให้แกล่ กู จา้ ง เมอื่ ผู้แทนฝา่ ยนายจา้ งกบั ผูแ้ ทนฝ่ายลูกจา้ ง เจรจา
กันเองตามกฎหมายแล้วไมอ่ าจตกลงกนั ได้ ลูกจ้างจึงนัดหยุดงานโดยแจ้งการนัด
หยุดงานเป็นหนังสือให้นายจ้างและพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบ
ล่วงหน้าเป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้ว เมื่อครบระยะเวลาที่แจ้ง ลูกจ้างก็หยุดงานไป
โดยนายจ้างโต้แย้งว่าเป็นการนัดหยุดงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้วินิจฉัยว่า
21 คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 39/2545 โจทกท์ ำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 ซึ่ง
ประจำอยู่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 สามารถย้ายโจทก์ไปปฏิบัติงานใน
โครงการก่อสร้างจังหวัดใกล้เคียงได้ ดังนั้น คำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์ไปทำงานในโครงการ
สร้างสะพานข้ามแม่น้ำจังหวัดนนทบุรี จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ไม่ยอมไป
ทำงานที่โครงการดังกล่าวแม้จะยังคงไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ทุกวัน ย่อมเป็นการละทิ้งหน้าที่
สามวันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม
พระราชบัญญัตคิ ุม้ ครองแรงงานฯ มาตรา 119(5) สทิ ธใิ นการเลกิ จา้ งของนายจา้ งในกรณที ่ีลกู จ้าง
ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควรจะเกิดขึ้นเมื่อลูกจ้างได้ละทง้ิ
หน้าที่ล่วงพ้นในวันที่สามไปแล้ว และนายจ้างย่อมไม่อาจให้การเลิกจ้างมีผลย้อนหลงั นับแต่วันที่
ลูกจา้ งเรม่ิ ละทิ้งหนา้ ที่ ฉะนน้ั การทโี่ จทก์ไปทำงานที่สำนักงานใหญข่ องจำเลยท่ี 1ทุกวัน ระหว่าง
วันท่ี 3 ถงึ วันที่ 8 มกราคม โจทก์ยอ่ มมสี ิทธิได้รบั คา่ จา้ งในระหว่างเวลาดงั กลา่ ว
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนตบิ ณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 33
การนัดหยุดงานของลูกจ้างดังกล่าวชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
พ.ศ. 2518 หรือไม่ (พ.ศ. 2548)
ธงคำตอบ
การนัดหยุดงานเป็นการที่ลูกจ้างร่วมกันไม่ทำงานชั่วคราวเนื่องจากข้อ
พพิ าทแรงงาน ซ่งึ พระราชบญั ญตั ิแรงงานสมั พันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 34 (1) บัญญตั ิ
ห้ามมิให้นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงานเมื่อยังมิได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องตอ่
อีกฝ่ายหนง่ึ ตามมาตรา 13 หรือไดแ้ จง้ ข้อเรยี กรอ้ งแลว้ แตข่ อ้ พิพาทแรงงานนั้นยงั ไม่
เป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ตามมาตรา 22 วรรคสาม ตามปัญหา เมื่อ
ลูกจ้างแจ้งข้อเรียกร้องและผู้แทนฝ่ายนายจ้างกับผู้แทนฝ่ายลูกจ้างได้เจรจากันเอง
แล้วไม่อาจตกลงกันได้ ย่อมเกิดเป็นข้อพิพาทแรงงานตามมาตรา 21 เท่านั้น ซึ่งข้อ
พิพาทแรงงานดังกล่าวจะกลายเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ก็ต่อเมื่อฝ่าย
ลูกจ้างผู้แจ้งข้อเรียกร้องได้แจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน
ทราบแล้ว แต่พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไม่อาจไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายตก
ลงกนั ไดภ้ ายใน 5 วนั นับแต่รับแจง้ ตามมาตรา 22 วรรคหนง่ึ และวรรคสาม
เมื่อปรากฏวา่ ลูกจา้ งมิไดแ้ จ้งให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบ
ตามขั้นตอนและได้นัดหยุดงานไปในขณะที่ข้อพิพาทแรงงานนั้นยังไม่เป็นข้อพิพาท
แรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ การนัดหยุดงานของลูกจ้างจึงไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.แรงงาน
สัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 34 (1)
(ขอ้ 26) บริษัททันใจ จำกัด ประกอบกิจการรับส่งเอกสาร
และพัสดุภัณฑ์ด่วนพิเศษ มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดให้ลูกจ้างต้อง
ดำเนินการจัดส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์แก่ลูกค้าโดยเร็ว นายเอกเป็นลูกจา้ งของ
บริษัทดังกล่าวมีหน้าทีส่ ่งเอกสารให้แก่ลูกคา้ โดยทำงานมาครบ 1 ปีแล้ว ต่อมา
บริษัททันใจ จำกัด นายจ้างได้รับเอกสารที่มีผู้ส่งถึงลูกค้า จึงมอบหมายให้นาย
เอกไปส่ง หลังจากนน้ั 4 วนั ลกู คา้ ได้โทรศพั ท์มาทวงถามเอกสารจากบริษทั ทนั ใจ
เรยี บเรียงโดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 34
จำกัด จึงได้ทราบว่านายเอกยังมิได้นำส่งตามท่ีได้รับมอบหมาย โดยนายเอกอ้าง
วา่ ลืม บริษัททันใจ จำกัด จงึ มีคำสัง่ เลิกจา้ ง นายเอก โดยอา้ งสาเหตดุ ังกล่าวและ
ไม่จ่ายค่าชดเชย นายเอกฟ้องคดีต่อศาลแรงงาน ขอให้บังคับบริษัททันใจ จำกดั
นายจ้างจ่ายค่าชดเชย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แก่ตน
บริษัททันใจ จำกัด ต่อสู้คดีว่า นายเอกยังมิได้นำเรื่องการเลิกจ้างไปร้องเรยี นต่อ
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อวินิจฉัยเสียก่อน จึงยังไม่อาจดำเนินการฟ้อง
คดีต่อศาลแรงงานได้ และเหตุแห่งการเลิกจ้างดังกล่าวทำให้นายเอกไม่มีสิทธิ
ได้รับค่าชดเชย ใหว้ ินิจฉยั ว่า
(ก) นายเอกมีสทิ ธดิ ำเนินการฟอ้ งคดีต่อศาลแรงงานหรือไม่
(ข) นายเอกฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงหรือไม่
และจะมีสทิ ธิไดร้ ับคา่ ชดเชยหรือไม่ (พ.ศ. 2549)
ธงคำตอบ
(ก) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.
2522 มาตรา 8 วรรคสองบัญญัติใจความว่า คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลแรงงาน หากกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานกำหนดให้ร้องเรียนต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนหรือวิธีการที่กำหนดไว้ จะดำเนินการใน
ศาลแรงงานได้ ต่อเม่ือไดป้ ฏบิ ัติตามข้ันตอนและวิธีการที่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้
แล้ว นายเอกฟ้องต่อศาลแรงงานขอให้บังคับบริษัททันใจ จำกัด นายจ้างจ่าย
ค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
มาตรา 118 ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวมิได้กำหนดให้ผู้ฟ้องคดีต้องไปร้องเรียนต่อ
พนักงานเจ้าหนา้ ทห่ี รือต้องปฏบิ ตั ติ ามข้นั ตอนหรอื วิธีการใด ๆ ก่อนฟ้อง นายเอกจึง
มีสิทธิดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแรงงานได้โดยไม่ต้องนำเรื่องไปร้องเรียนต่อ
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธก์ ่อน
(ข) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 บัญญัติ
ใจความว่า นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใหแ้ ก่ลูกจ้างซ่ึงเลิกจ้างในกรณีตอ่ ไปน้ี...(4)
ฝ่าฝืนข้อบังคบั เกี่ยวกบั การทำงานอันชอบดว้ ยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้าง
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนตบิ ณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 35
ได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
บริษัททันใจ จำกัด นายจ้างประกอบกิจการรับส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์ด่วนพิเศษ
ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือของลูกค้าในการให้บริการที่ต้องนำส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์
ให้แก่ลูกค้าอย่างรวดเร็วและถูกต้อง เมื่อนายเอกซึ่งมีหน้าที่ดังกล่าวละเลยไม่นำ
เอกสารไปส่งให้แกล่ กู คา้ ของนายจ้าง ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชอ่ื ถือของลกู ค้าท่ีมี
ต่อบริการของนายจ้าง เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง
นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างนายเอกได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย นายเอกจึงไม่มีสิทธิไดร้ บั
ค่าชดเชย (เทียบคำพพิ ากษาฎีกาที่ 5296/2539)
(ขอ้ 27) นายเที่ยงลูกจ้างเป็นโจทก์ฟ้องบริษัทดำขาว จำกัด นายจ้างเป็น
จำเลยต่อศาลแรงงานว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด เป็น
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 100,000 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยได้มีคำสั่งย้ายโจทก์ซึ่งเป็นหัวหน้างานพัสดุให้ไปดำรง
ตำแหน่งพนักงานพสั ดโุ ดยใหไ้ ปนงั่ ทำงานทีโ่ กดัง 4 แต่โจทกไ์ ม่ปฏบิ ัติตาม จงึ เป็น
การฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจา้ ง จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างได้ ในวัน
นัดพิจารณา โจทก์แถลงรับว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยให้การ แต่โจทก์เห็นว่า
คำสั่งยา้ ยของจำเลยเปน็ คำส่ังทไี่ ม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ตอ้ งปฏิบัตติ าม
ให้วินิจฉัยว่า คำสั่งย้ายของจำเลยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
และการเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าว เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่
(พ.ศ. 2550)
ธงคำตอบ
คำสั่งของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างย้ายโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจากตำแหน่ง
หัวหน้างานพัสดุไปเป็นพนักงานพัสดุเป็นการลดตำแหน่งของลูกจ้าง เมื่อไม่ปรากฏ
ว่าลกู จ้างไดใ้ ห้ความยินยอม ยอ่ มเป็นการเปล่ียนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่
ลกู จ้าง ไมช่ อบดว้ ยมาตรา 20 แหง่ พระราชบญั ญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 คำสั่ง
เรียบเรยี งโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 36
ย้ายของจำเลยจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 7238-
7239/2544)22
เมอื่ คำส่งั ย้ายของจำเลยเป็นคำสัง่ ทไี่ ม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ก็ไม่จำต้อง
ปฏิบัติตาม จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างมิได้
จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวย่อมเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำ
ความผดิ ถือเป็นการเลกิ จา้ งโดยไม่มเี หตอุ นั สมควร จงึ เป็นการเลิกจา้ งที่ไม่เป็นธรรม
ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน
พ.ศ. 2522 (เทยี บคำพิพากษาฎีกาท่ี 2729/2529)
(ขอ้ 28) บริษัทโรงแรมสีส้ม จำกัด กับนางสาวสมหญิงได้ตกลงทำสัญญา
จ้างแรงงานกันไว้ข้อหนึ่งว่าเนื่องจากงานต้อนรับลูกค้าเป็นงานที่ถือเป็น
ภาพลักษณ์ของบริษัท ดังนั้นภายในสองปีนับแต่วันที่เริ่มสัญญาหากนางสาว
สมหญิงต้งั ครรภใ์ ห้ถอื วา่ นางสาวสมหญิงไดบ้ อกเลิกสัญญา ท้ังนี้ ใหส้ ัญญาสน้ิ สุด
ลงตั้งแต่วันที่แพทย์วินิจฉัยหรือเมื่อเห็นได้ชัดว่านางสาวสมหญิงตั้งครรภ์
หลังจากนางสาวสมหญิงทำงานเป็นพนักงานต้อนรับได้ปีเศษ นางสาวสมหญิงก็
ตั้งครรภ์ บรษิ ทั โรงแรมสีส้ม จำกดั จงึ แจง้ ให้นางสาวสมหญงิ ออกจากงานในวนั ท่ี
นางสาวสมหญงิ ย่ืนใบรับรองของแพทยว์ า่ นางสาวสมหญงิ มีครรภแ์ ละจ่ายค่าจ้าง
ให้ถึงวันออกจากงาน โดยอ้างเหตุว่าสัญญาจ้างสิ้นสุด นางสาวสมหญิงเห็นว่า
22 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7238 - 7239/2544 การที่จำเลยมีคำสั่งยกเลิกตำแหน่งผู้ชว่ ย
ผู้จัดการฝา่ ยขายซึ่งโจทกท์ ำงานอยู่และมคี ำส่ังให้โจทกไ์ ปทำงานในหน้าที่พนกั งานขายท้ังใหล้ ดเงิน
เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างท่ีเปน็ โทษแก่โจทก์ เมื่อโจทกไ์ มไ่ ด้ให้ความยนิ ยอม จำเลยย่อม
ไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพการจา้ งดังกล่าวได้ตามลำพงั เพียงฝ่ายเดียว เนื่องจากมใิ ช่เปน็
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติ
แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 ไมม่ ีผลบงั คับแกโ่ จทก์ การทีโ่ จทก์ไม่ปฏิบตั ิตามคำสั่งจึงถือ
ไม่ได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนต่อคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยในกรณีร้ายแรง หรือ
โจทกล์ ะท้งิ หนา้ ที่
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนติบณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 37
สัญญาจ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าบริษัทโรงแรมสีส้ม จำกัด เลิกจ้างตนจึง
เรียกร้องขอคา่ ชดเชย
ให้วินิจฉัยว่า สัญญาจ้างระหว่างบริษัทโรงแรมสสี ้ม จำกัด กับนางสาว
สมหญิงข้อดังกล่าวใช้บังคับได้หรือไม่ เพียงใด พฤติการณ์ที่บริษัทโรงแรมสีส้ม
จำกัด แจ้งต่อนางสาวสมหญิงดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างหรือไม่ และต้องจ่าย
ค่าชดเชยใหแ้ กน่ างสาวสมหญิงหรอื ไม่ (พ.ศ. 2551)
ธงคำตอบ
สัญญาจ้างระหว่างบริษัทโรงแรมสีส้ม จำกัด กับนางสาวสมหญิงข้อท่ี
กำหนดว่าภายในระยะเวลาสองปนี ับแต่วันเริ่มสัญญา หากนางสาวสมหญิงตั้งครรภ์
ให้ถือว่านางสาวสมหญิงได้บอกเลิกสัญญา โดยให้สัญญาสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่แพทย์
แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งวินิจฉัยหรือเมื่อเห็นได้ชัดว่านางสาวสมหญิงตั้งครรภ์นั้น เป็น
สัญญาที่มีวัตถปุ ระสงค์เพอ่ื ให้มีผลเปน็ การเลกิ จ้างนางสาวสมหญิงเพราะเหตุมีครรภ์
อันขัดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 43 ซึ่งเป็นกฎหมาย
เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 สัญญาจ้างข้อดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ (เทียบคำ
พิพากษาฎกี าท่ี 1394/2549)23
23 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2549 ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ส. ตามสัญญาจ้าง
พนักงานต้อนรบั บนเครื่องบินที่ว่าภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วนั เริ่มสญั ญา หาก ส. ตั้งครรภ์ให้
ถอื ว่า ส. ได้บอกเลิกสญั ญานแ้ี ลว้ เปน็ ข้อตกลงทมี่ วี ตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ให้มีผลเป็นการเลิกจ้าง เพราะ
ส. มีครรภ์ อันขดั ต่อ พ.ร.บ.คมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 43 ซง่ึ เปน็ กฎหมายเกี่ยวกับความ
สงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 การปฏิบัติงานบนเครื่องบิน
เปน็ การทำงานในเวลาทำงานปกติของ ส. แม้คา่ ช่ัวโมงบนิ ที่ ส. ได้รับในแต่ละเดอื นจะมีจำนวนไม่
แน่นอนและไม่เท่ากนั แต่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างก็จ่ายค่าชั่วโมงบินให้แก่ ส. เมื่อมีการปฏิบัติงานบน
เครื่องบินในแต่ละเดือนทุกเดือน ตามอัตราที่คำนวณจากเวลาที่ได้ปฏิบัติงานบนเครื่องบิน ค่า
ชั่วโมงบินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์จ่ายใหแ้ ก่ ส. เป็นการตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้าง
เรยี บเรียงโดย ผูช้ ่วยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 38
พฤติการณท์ ่บี ริษทั โรงแรมสีส้ม จำกัด แจง้ ให้นางสาวสมหญงิ ออกจากงาน
ในวันที่นางสาวสมหญิงยื่นใบรับรองของแพทย์ว่านางสาวสมหญิงมีครรภ์และจ่าย
ค่าจ้างให้ถึงวันออกจากงานโดยอ้างเหตุว่าสัญญาจ้างสิ้นสุดนั้น ถือได้ว่าเป็นการ
กระทำใดท่นี ายจา้ งไมใ่ หล้ กู จ้างทำงานต่อไปและไมจ่ ่ายคา่ จ้างให้ ไมว่ า่ จะเป็นเพราะ
เหตุส้ินสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด ซึ่งอยู่ในความหมายของการเลิกจ้างตาม
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคสอง จึงเป็นกรณีที่
บริษัทโรงแรมสสี ้ม จำกัด เลิกจ้างนางสาวสมหญิง และเมื่อการเลิกจ้างดังกล่าวมใิ ช่
เพราะเหตใุ นกรณีหนงึ่ กรณใี ดตามมาตรา 119 บริษัทโรงแรมสีสม้ จำกัด จงึ ตอ้ งจ่าย
คา่ ชดเชยใหแ้ กน่ างสาวสมหญิง
(ขอ้ 29) เดิมบริษัทสีม่วง จำกัด ประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
กำหนดเวลาทำงานปกตขิ องลกู จา้ งฝา่ ยผลติ เปน็ 2 ชว่ ง ชว่ งทหี่ น่งึ เวลา 07.00 –
16.00 นาฬิกา และช่วงที่สองเวลา 16.00 – 01.00 นาฬิกา ตอ่ มาปี 2546 มีการ
ขยายพื้นที่การผลิต บริษัทสีม่วง จำกัด จึงประกาศยุบการทำงานช่วงที่สอง ให้
ลูกจ้างทำงานเฉพาะช่วงทีห่ นึง่ ลูกจา้ งทุกคนยินยอมปฏิบัตติ าม ครั้นต้นปี 2552
บริษัทสีม่วง จำกัด ก็ประกาศกำหนดเพิ่มการทำงานช่วงที่สองและสั่งให้ลูกจ้าง
สลับกันทำงานทั้งในช่วงที่หนึ่งและช่วงที่สอง ลูกจ้างจำนวนหนึ่งไม่ยินยอม
ทำงานชว่ งท่สี อง บรษิ ทั สมี ่วง จำกัด จงึ สงั่ ลงโทษลูกจา้ งดงั กลา่ วด้วยการพักงาน
และไม่จ่ายคา่ จ้างให้
ให้วินิจฉัยว่า กรณีที่บริษัทสีม่วง จำกัด ประกาศยุบการทำงานช่วงท่ี
สอง กรณที ่ปี ระกาศกำหนดเพ่ิมการทำงานชว่ งทีส่ อง และกรณที ีส่ ่ังลงโทษลกู จา้ ง
ในแต่ละกรณีดังกล่าวชอบดว้ ยกฎหมายหรือไม่ (พ.ศ. 2552)
สำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมงของวันทำงาน จึงเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครอง
แรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบณั ฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 39
ธงคำตอบ
กรณที บี่ รษิ ัทสีมว่ ง จำกดั ประกาศใหล้ กู จา้ งในฝ่ายผลิตซึ่งเดมิ มีการทำงาน
เป็น 2 ช่วง ช่วงที่หนึ่งเวลา 07.00–16.00 น. และช่วงที่สองเวลา 16.00–01.00 น.
โดยให้ยุบการทำงานช่วงที่สองให้ลูกจ้างทำงานเฉพาะช่วงที่หนึ่งโดยลูกจ้างยินยอม
นั้น นับว่าเป็นการเปล่ยี นแปลงเวลาทำงานท่เี ป็นคุณลูกจา้ ง จงึ กระทำได้โดยชอบไม่
ขัดต่อพระราชบัญญัตแิ รงงานสมั พนั ธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 แตอ่ ยา่ งใด
ส่วนกรณีที่บริษัทสีม่วง จำกัด ประกาศกำหนดเพิ่มการทำงานช่วงที่สอง
และสั่งให้ลูกจ้างสลับกันทำงานทั้งในช่วงที่หนึ่งและช่วงที่สองนั้น ทำให้ลูกจ้างต้อง
รบั ภาระท่ีอาจเกดิ ข้นึ จากการเปลยี่ นแปลงเวลาทำงาน จงึ เปน็ การเปลี่ยนแปลงท่ีขัด
หรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง ไม่ชอบด้วย
พระราชบญั ญตั ิแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20 ดังน้นั ในกรณีที่บริษัทสีม่วง
จำกัด สั่งให้ลูกจ้างสลับไปทำงานในช่วงที่สองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
และสั่งลงโทษลูกจ้างที่ไม่ยอมไปทำงานในช่วงเวลาดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(เทยี บคำพิพากษาฎกี าท่ี 9017/2550)
(ข้อ 30) นายจันทร์ เป็นลูกจ้างของบริษัทยางพารา จำกัด มาตั้งแต่วันที่ 1
กุมภาพันธ์ 2545 เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2550 บริษัทยางพารา จำกัด ได้ประกาศ
จดทะเบียนควบรวมกิจการกับบริษัทยางหล่อดอก จำกัด โดยเปลี่ยนชื่อเป็น
บริษัทยางไทย จำกัด การควบรวมกิจการมีผลตั้งแต่วันท่ี 1 เมษายน 2550 เป็น
ต้นไป บริษัทยางพารา จำกัด ได้ประกาศให้ลูกจ้างทราบว่าลูกจ้างคนใดที่
ต้องการโอนไปทำงานกับบริษทั ยางไทย จำกัด ต้องแสดงความจำนงภายในวนั ท่ี
15 มีนาคม 2550 มิฉะนั้นจะถือว่าไม่ประสงค์ทำงานเป็นลูกจ้างอีกต่อไป นาย
จันทร์ไม่ได้แสดงความจำนงโอนไปทำงานกับบริษัทยางไทย จำกัด ภายใน
ระยะเวลาที่กำหนดเนื่องจากต้องการประกอบอาชพี ส่วนตัว แต่ต่อมาเกิดเปลี่ยน
ใจ ฉะนั้นในวันที่ 1 เมษายน 2550 นายจันทร์ไปท่ีบริษัทยางไทย จำกัด เพื่อเข้า
ทำงาน แต่บริษัทยางไทยจำกดั ปฏิเสธไม่ให้นายจันทร์เข้าทำงานโดยอ้างว่าไม่มี
เรียบเรยี งโดย ผู้ช่วยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 40
ชื่อเป็นลูกจ้างของบริษัทให้วินิจฉัยว่า นายจันทร์จะใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชย
บรษิ ทั ยางไทย จำกดั ไดห้ รือไม่ (พ.ศ. 2553)
ธงคำตอบ
เมื่อบริษทั ยางพารา จำกดั ได้ควบรวมกจิ การกับบริษัทยางหล่อดอก จำกดั
และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทยางไทย จำกัด ดังนั้น บริษัทยางไทย จำกัด ย่อมต้องรับ
โอนมาทงั้ สทิ ธแิ ละหน้าทีเ่ กี่ยวกบั ลกู จา้ งของบริษทั ยางพารา จำกดั ทกุ ประการ ตาม
พระราชบัญญัติคุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 13 โดยผลของการควบกิจการ
ดังกล่าวลกู จ้างของบรษิ ทั ยางพารา จำกัด ย่อมต้องโอนไปเป็นลูกจา้ งของบริษัทยาง
ไทย จำกัด ในทนั ทีโดยอัตโนมตั ิ แมล้ ูกจา้ งของบริษทั ยางพารา จำกดั จะไม่ได้แสดง
ความจำนงออกมาอย่างชัดแจ้งว่าประสงค์จะโอนไปเป็นลูกจ้างของบริษัทยางไทย
จำกดั กต็ าม (เทยี บคำพพิ ากษาฎีกาท่ี 7242-7254/2545)24
24 คำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 7242 - 7254/2545 พระราชบญั ญัติคุม้ ครองแรงงานฯ มาตรา
13 มีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองลูกจ้างมิให้ต้องถูกออกจากงานหรือถูกลิดรอนสิทธิและ
ผลประโยชน์ใดที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการโอนกิจการหรือการควบรวมกิจการของนายจ้างตาม
กฎหมาย การที่ธนาคารจำเลยที่ 1จดทะเบียนควบรวมกิจการกับธนาคาร ซ. แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น
ธนาคารจำเลยที่ 2 ซ่ึงการควบรวมกิจการดังกล่าวมิใช่การเลิกกิจการของจำเลยที่ 1 เพียงแต่
จำเลยที่ 1 ต้องสิ้นสภาพไปโดยผลของการควบรวมกิจการกับนิติบุคคลอืน่ เท่านั้น และเป็นผลให้
จำเลยท่ี 2ต้องรับโอนไปท้ังสิทธิ หน้าท่ี ความรบั ผิดของจำเลยท่ี 1 ทงั้ สนิ้ ตามนยั ประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 1243 และจำเลยท่ี 2 ยังต้องรับโอนไปทั้งสิทธแิ ละหน้าที่ทุกประการอัน
เกี่ยวกับลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 13 และประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 577 วรรคแรก ซ่งึ ผลของกฎหมายดังกลา่ วลกู จ้างของจำเลยท่ี 1
ย่อมต้องโอนไปเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2ในทันทีโดยอัตโนมัติแม้จะมิได้แสดงเจตจำนงออกมา
อย่างชัดแจ้งว่า ประสงค์จะโอนไปเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ก็ตาม เว้นแต่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1
รายที่แสดงความประสงค์อย่างชัดแจ้งว่าไม่ยินยอมโอนไปเป็นลูกจ้างของจำเลยท่ี 2 ในกรณีเชน่ น้ี
จงึ จะถือวา่ จำเลยที่ 1 ได้เลกิ จา้ งลูกจ้างดังกล่าวเนอ่ื งจากสภาพนิตบิ ุคคลของจำเลยท่ี 1 ได้หมดสิ้น
ไปอันเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯมาตรา
118 วรรคสอง เม่อื ไม่ปรากฏว่าโจทก์ท้งั สบิ สามได้แสดงเจตนาตอ่ จำเลยท่ี 1 หรือจำเลยที่ 2 วา่ ไม่
รวมข้อสอบ-ธงคำตอบเนติบัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 41
การที่บริษัทยางพารา จำกัด ประกาศกำหนดเงื่อนไขให้ลูกจ้างที่ต้องการ
โอนไปทำงานกับบริษัทยางไทย จำกัด ต้องแสดงความจำนงภายในวันท่ี 15 มีนาคม
2550 มิฉะนั้น จะถือว่าไม่ประสงค์ทำงานเป็นลูกจ้างอีกต่อไปนั้น เป็นการกำหนด
เง่ือนไขที่ขัดแย้งต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 13 ซึ่งเป็น
กฎหมายที่เก่ียวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจงึ ไม่มีผลบังคับ แมน้ ายจันทร์
จะไม่ได้แสดงความจำนงภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวก็ตาม ก็ต้องถือว่านาย
จันทร์ได้โอนไปเป็นลูกจ้างของบริษัทยางไทย จำกัด แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน
2550 เป็นต้นไปเมื่อนายจันทร์ไปที่บริษัทยางไทย จำกัด เพื่อเข้าทำงาน แต่บริษัท
ยางไทย จำกดั ปฏเิ สธไมใ่ หเ้ ขา้ ทำงานโดยอ้างว่าไมม่ ีรายช่อื เป็นลกู จา้ งของบริษทั นั้น
ถือได้ว่าบริษัทยางไทย จำกัด ได้เลิกจ้างนายจันทร์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง
แรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 วรรคสอง ทง้ั เปน็ การเลกิ จ้างโดยทน่ี ายจันทร์ไม่ได้
กระทำความผิด นายจันทรจ์ ึงมีสทิ ธฟิ ้องเรยี กคา่ ชดเชยจากบริษัทยางไทย จำกัด ได้
(ข้อ 31) บริษัทเข้มงวดจำกัด ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้าง
นายแตนซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างโดยอ้างเหตุกิจการขาดทุนมาก นายแตนยื่นคำ
คัดค้าน ศาลแรงงานพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้บริษัทเข้มงวด จำกัด เลิก
จ้างนายแตนได้ นายแตนอุทธรณ์คำส่งศาลแรงงานต่อศาลฎีกา ระหว่างการ
พิจารณาคดีของศาลฎีกา บริษัทเข้มงวด จำกัด มีหนังสือเลิกจ้างนายแตน นาย
แตนยื่นคำร้องต่อศาลว่าบริษัทเข้มงวด จำกัด ยังไมม่มีสิทธิเลกิ จ้างตนเนื่องจาก
คดียังไม่ถึงที่สุด ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับ ไม่อนุญาตให้บรษิ ทั เข้มงวด จำกดั
เลิกจ้างนายแตน นายแตนจึงยื่นฟ้องบริษัทเข้มงวด จำกัด อ้างว่าการที่บริษัท
ประสงค์ที่จะโอนไปเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงต้องถือว่าโจทก์ทั้งสิบสามได้โอนไปเป็นลูกจ้าง
ของจำเลยที่ 2 แล้ว การที่จำเลยที่ 1 ประกาศกำหนดเงื่อนไขให้ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ที่ประสงค์จะ
ทำงานกับจำเลยที่ 2 ตอ้ งแสดงเจตจำนงตอบรับการเปน็ ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ภายในระยะเวลาที่
กำหนด มิฉะนั้นจะถูกเลิกจ้างนั้น เป็นการกำหนดเงื่อนไขที่ขัดแย้งต่อบทกฎหมายข้างต้นซึ่งเป็น
กฎหมายท่ีเก่ียวกบั ความสงบเรยี บร้อยของประชาชน จงึ ไมม่ ีผลบังคับ
เรยี บเรียงโดย ผชู้ ่วยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 42
เข้มงวด จำกัด ดำเนินการต่างๆ จนกระทั่งไดเ้ ลกิ จ้างตนไปโดยต่อมาศาลฎีกาไม่
อนุญาตใหเ้ ลกิ จา้ งนนั้ เปน็ การกระทำโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย ถอื เป็นการละเมิด
และเรียกค่าเสียหาย 2,000,000 บาท
ให้วนิ ิจฉยั บรษิ ทั เข้มงวด จำกดั มีสิทธิเลกิ จ้างนายแตนในระหว่างท่ีคดี
ยังไม่ถึงที่สุดหรือไม่ และ การที่บริษัทเข้มงวด จำกัด ได้ดำเนินการต่างๆ
จนกระทั่งได้เลิกจ้างนายแตนไปโดยต่อมาศาลฎีกาไม่อนุญาตให้เลิกจ้างนั้นถือ
เป็นกรณลี ะเมดิ ต่อนายแตนหรอื ไม่ (พ.ศ. 2554)
ธงคำตอบ
พระราชบัญญัติแรงงนสมั พันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 กำหนดห้ามมใิ หใ้ ห้
นายจ้างเลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน เมื่อบริษัท
เข้มงวด จำกัด ไดย้ น่ื คำรอ้ งต่อศาลแรงงานและศาลแรงงานมคี ำส่งั อนญุ าตใหเ้ ลิกจ้าง
นายแตนซึง่ เป็นกรรมการลูกจ้างได้ บริษัทเข้มงวด จำกัด ซึ่งเป็นนายจ้างย่อมมีสิทธิ
เลิกจ้างนายแตนได้ทันที แม้ว่าคดีที่อนุญาตเลิกจ้างนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดเพราะเหตุท่ี
นายแตนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาก็ตาม การอุทธรณ์ไม่เป็นการตัดสิทธิของนายจ้างที่จะ
ปฎิบัติตามคำสั่งอนุญาตของศาลแรงงาน บริษัทเข้มงวด จำกัด จึงมีสิทธิเลิกจ้าง
วนายแตนในระหวา่ งทคี่ ดียงั ไมถ่ งึ ทส่ี ุดได้ (เทียบคำพพิ ากษาฎกี าท่ี 39/2531)
กรณีที่บริษัทเข้มงวด จำกัด ได้ดำเนินการยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาล
แรงงานจนกระทั่งศาลแรงงานอนุญาตให้บริษัทเข้มงวด จำกัด เลิกจ้างนายแตน
กรรมการลูกจ้างได้ และบริษัทเข้มงวด จำกัด ก็ได้มีหนังสือเลิกจ้างนายแตนตามท่ี
ศาลแรงงานอนุญาตนั้น เป็นการปฎิบัติตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.
2518 มาตรา 52 ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งกรณีก็ไม่ปรากฎว่าบริษัท
เข้มงวด จำกัด ปฎิบัติต่อนายแตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่สุจริตอย่างหน่ึง
อย่างใด แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับไม่อนุญาตให้บริษัทเข้มงวด จำกัด เลิกจ้าง
นายแตน การกระทำของบริษทั เขม้ งวด จำกดั ดังกล่าว กไ็ ม่ถอื ว่าเป็นกรณีละเมดิ ตอ่
นายแตน (เทยี บคำพพิ ากษาฎีกาท่ี 2354/2528)
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนตบิ ัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 43
(ขอ้ 32) นายดำและนายแดงเปน็ ลูกจา้ งของบรษิ ทั เขยี วเกษตร จำกดั ตง้ั แต่
วันท่ี 5 มกราคม 2552 เม่อื วนั ท่ี 15 มกราคม 2554 ในระหว่างเวลาทำงาน นาย
ดำออกไปทำธรุ ะนอกที่ทำงานโดยมิได้ลากิจให้ถูกต้อง บริษัท เขียวเกษตร จำกดั
มีหนังสือเตือนนายดำในการฝ่าฝืนข้อบงั คับเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าว หนังสือ
เตือนลงวันที่ 30 มกราคม 2554 ต่อมานายดำไม่ไปทำงานวันที่ 20 ละ 21
มกราคม 2555 โดยไม่ไดแ้ จง้ ให้หัวหนา้ งานทราบ แต่ในวันที่ 22 มกราคม 2555
นายดำมาทำงานตามปกติอ้างว่าท่ีไม่มาทำงานเพราะปวดท้อง ขอลาป่วย แต่ไม่
ย่ืนหนงั สอื ลาปว่ ยและไม่มีใบรับรองของแพทย์ ซ่งึ เป็นการไมป่ ฏบิ ัตติ ามข้อบังคับ
เก่ียวกับการทำงานของบริษัท ส่วนนายแดงไม่พอใจนายจนั ทร์ซงึ่ เป็นหวั หนา้ งาน
ที่นำเรื่องการกระทำผิดของนาย ดำไปฟ้องผู้จัดการบรษิ ัทเขียวเกษตร จำกัด จึง
ไปต่อว่าและร้องตะโกนด่านายจันทร์ต่อหน้าลูกจ้างคนอื่น ๆ ผู้จัดการเรียกนาย
แดงมาพบ นายแดงได้ขอโทษเร่ืองอารมณ์ร้อนและขอขมาโทษตอ่ นายจันทร์ และ
ได้ทำหนังสือยอมรับผิดมีข้อความว่า นายแดงรับว่าได้ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับ
การทำงานของบริษทั จะปรับปรุงแกไ้ ขตนเองไมก่ ระทำความดังกลา่ วอีก หนงั สือ
ยอมรบั ผิดของนายแดงลงวนั ท่ี 30 มกราคม 2555 ผู้จดั การรับหนงั สือยอมรับผิด
ของนายแดงไว้และมีคำสั่งย้ายนายแดงไปทำงานแผนกอื่นแทน หลังจากย้าย
แผนกทำงานได้ 10 เดือน นายแดงก็เกิดเหตุโต้เถียงกบั นายองั คารซึ่งเป็นหัวหน้า
งานคนใหมแ่ ละร้องตะโกนดา่ ทอนายองั คารต่อหนา้ ลกู จา้ งคนอืน่ ๆ อีก ให้วินิจฉัย
ว่า บริษัทเขยี วเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายดำและนายแดงโดยไม่จา่ ยค่าชดเชย
ได้หรอื ไม่ (พ.ศ. 2555)
ธงคำตอบ
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) นายจ้างไม่
ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจา้ งซึ่งเลิกจา้ งในกรณีลูกจ้างฝ่าฝนื ข้อบังคบั เก่ียวกับการ
ทำงาน และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่
เรยี บเรยี งโดย ผู้ชว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 44
จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างได้
กระทำผดิ
กรณีของนายดำ การฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานครั้งแรกเป็นเรื่อง
ลากิจไมถ่ ูกต้อง ส่วนการฝ่าฝนื ข้อบงั คับเกย่ี วกับการทำงานครั้งหลังเป็นเรื่องลาป่วย
ไมถ่ กู ต้อง เป็นคนละเรือ่ งกนั การฝา่ ฝืนขอ้ บงั คับเก่ยี วกับการทำงานของนายดำครั้ง
หลัง จึงมิใช่เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน นอกจากนี้หนังสือเตือนในการฝ่าฝืน
ข้อบังคบั เกี่ยวกับการทำงานครัง้ แรกของนายดำก็ส้ินผลบงั คับไปแล้ว เพราะหนังสือ
เตือนมีผลบงั คับได้ไมเ่ กิน 1 ปี นับแต่วันที่ลกู จา้ งกระทำผิด มิใช่นับแต่วันท่ีนายจ้าง
ออกหนังสือเตือน บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายดำโดยไม่จ่ายค่าชดเชย
ไม่ได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 6910/2546)
กรณีของนายแดง แม้การที่นายแดงร้องตะโกนด่านายจันทร์และนาย
อังคารจะเป็นการกระทำต่อหัวหน้า งานคนละคนกัน แต่ก็เป็นการกระทำผิดในเหตุ
เดยี วกนั การฝา่ ฝนื ขอ้ บังคับเกี่ยวกบั การทำงานของนายแดงครงั้ หลังเป็นการกระทำ
ผิดซ้ำกับการกระทำครั้งแรก แต่หนังสือยินยอมรับผิดของนายแดงที่รับว่า นายแดง
ได้กระทำผิดและจะปรับปรุงแก้ไขตนเอง จะไม่กระทำผิดอีกนั้น มิใช่หนังสือเตือน
ของนายจ้าง ดังนั้น แม้นายแดงจะกระทำผิดครั้งหลังภายใน 1 ปี ก็ตาม ก็ไม่ถือว่า
นายแดงกระทำผิดซ้ำคำเตือน ฉะนั้น บริษัทเขียวเกษตร จำกัด จะเลิกจ้างนายแดง
โดยไม่จ่ายคา่ ชดเชยไมไ่ ดเ้ ชน่ เดยี วกนั (เทยี บคำพิพากษาฎกี าที่ 7353/2544)25
25 คำพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 7353/2544 ตามขอ้ บังคับเกย่ี วกับการทำงานของจำเลยไดแ้ บ่ง
พนักงานหรือลกู จ้างไว้เปน็ 2 ประเภท คือประเภทผู้บงั คบั บัญชากบั ประเภทพนักงานธรรมดา โดย
ถอื เอาระดบั ตำแหนง่ หนา้ ท่ีในการทำงานเป็นเกณฑ์ พนักงานท่ีไดร้ ับแต่งต้ังให้ดำรงตำแหน่งระดับ
หวั หนา้ งานในงานทุกสว่ นถือวา่ เป็นผ้บู งั คับบญั ชาท้ังสิน้ มิได้ถือวา่ ผ้ทู ีม่ อี ำนาจบังคับบัญชาหรือส่ัง
การพนักงานคนใดจะเป็นผูบ้ งั คับบัญชาเฉพาะของพนักงานคนนั้นเท่าน้ัน เมื่อ ก. ได้รับแต่งตั้งให้
เป็นผู้จัดการอาคาร มีระดับเป็นหัวหน้างานในอาคาร ก. จึงเป็นผู้บังคับบัญชาตามข้อบังคับ
เกี่ยวกบั การทำงานของจำเลย เมื่อปรากฏว่ากอ่ นหนา้ นี้โจทกเ์ คยดหู มิ่น พ. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา
ของโจทก์และจำเลยได้ตกั เตือนโจทกเ์ ป็นหนังสอื มาแล้วคร้ังหน่ึง การที่ต่อมาโจทกก์ ล่าวดูหม่ิน ก.
เกี่ยวกับการทำงานอีกจึงเป็นการดูหมิ่นผู้บังคับบัญชาอันเป็นการทำผิดซ้ำคำเตือนตาม
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หนา้ | 45
(ข้อ 33) บริษัทรวยล้น จำกัด ประกาศใช้ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
กำหนดเวลาทำงานไว้ไม่เกิน 48 ชว่ั โมง แตใ่ นทางปฏบิ ตั บิ ริษัทรวยลน้ จำกัด ให้
ลูกจา้ งทำงานสัปดาหล์ ะ 40 ช่ัวโมง และใชฐ้ านการทำงานสปั ดาหล์ ะ 40 ชั่วโมง
ในการคิดค่าล่วงเวลา ต่อมาบริษัทรวยล้น จำกัด ประกาศยกเลิกทางปฏิบัติท่ี
ทำงานสัปดาหล์ ะ 40 ชว่ั โมง เปน็ ใหท้ ำงานสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง โดยไม่ไดย้ ่ืนข้อ
เรยี กร้องและไมไ่ ดร้ ับความยนิ ยอมจากลูกจา้ ง
ให้วินิจฉัยว่า ประกาศยกเลิกทางปฏิบัติดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม
ขอ้ ตกลงเกี่ยวกับสภาพการจา้ งหรือไม่ บรษิ ทั รวยล้น จำกัด มสี ทิ ธิประกาศยกเลกิ
ทางปฏิบตั ิได้หรือไม่ และประกาศยกเลิกทางปฏิบัติมีผลให้ลกู จ้างต้องปฏิบัติตาม
ข้อบงั คับการทำงานสปั ดาห์ละ 48 ชว่ั โมง หรือไม่ (พ.ศ. 2556)
ธงคำตอบ
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่กำหนดเวลาไว้ไม่เกินสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง
ของบริษัทรวยล้น จำกัด นั้น เป็นข้อตกลงเกี่ยวกบั สภาพการจ้าตาม พ.ร.บ.แรงงาน
สัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 10 ส่วนในทางปฏิบัติบริษัทรวยล้น จำกัด ให้ลูกจ้าง
ทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง นั้น เป็นเรื่องที่นายจ้างให้ประโยชน์แก่ลูกจ้าง โดยให้
ทำงานต่ำกว่าชั่วโมงทำงานที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเก่ียวกับการทำงาน ไม่ถือว่าเป็น
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจากสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง เป็น
สัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง นายจ้างย่อมมีสิทธิท่ีจะไมใ่ ห้ประโยชน์นั่นต่อไปโดยประกาศ
ยกเลิกทางปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งมีผลทำให้ลูกจ้างต้องทำงานตามที่กำหนดไว้ใน
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานสัปดาห์ละไม่เกิน 48 ชั่วโมง ได้ โดยไม่ต้องยื่นข้อ
เรียกรอ้ งหรือไดร้ บั ความยินยอมจากลกู จ้าง ประกาศยกเลิกทางปฏิบัตจิ ึงมีผลผูกพัน
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119(4) จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่าย
ค่าชดเชย
เรยี บเรียงโดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 46
ใหล้ กู จา้ งตอ้ งปฏิบตั ิตามข้อบังคับเกี่ยวกบั การทำงานท่ใี ห้พนักงานทำงานสัปดาห์ละ
48 ชั่วโมง (เทียบคำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 3066-3189/2548)26
(ขอ้ 34) เมื่อปี 2554 เกิดอุทกภัย บริษทั รมิ นำ้ จำกัด ถูกนำ้ ท่วมโรงงาน จึง
ประกาศหยุดกิจการช่ัวคราวตลอดเวลาทถี่ ูกน้ำท่วม และหา้ มลูกจ้างไปทำงานกับ
บริษัทอื่นในช่วงหยุดกิจการชั่วคราว นางสาวชลลดาทำงานกับบริษัทริมน้ำ
จำกัด มา 10 ปีเศษ ไปทำงานกับบรษิ ัทชายน้ำ จำกดั ในช่วงหยุดกิจการช่วั คราว
เป็นเวลา 5 วัน โดยได้รับค่าจ้างวันละ 600 บาท บริษัทริมน้ำ จำกัด ทราบ
เช่นน้ันจึงไม่จา่ ยเงนิ รอ้ ยละ 75 ของค่าจา้ ง ใหแ้ ก่นางสาวชลลดา อ้างว่านางสาว
ชลลดาไปทำงานกับบริษัทชายน้ำ จำกัด และได้รับค่าจ้างแล้ว จึงไม่มีสทิ ธิไดร้ บั
เงินร้อยละ 75 ของค่าจ้าง ในช่วง 5 วัน และบริษัทริมน้ำ จำกัด ยังมีคำสั่งเลิก
จ้างนางสาวชลลดา อ้างว่าละทิ้งหน้าที่ 3 วันทำงาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
และไม่จ่ายคา่ ชดเชย
26 คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 3066 - 3189/2548 ระเบียบวา่ ด้วยการบรหิ ารงานบุคคลของ
จำเลยฉบับที่ถูกยกเลิกและฉบับใหม่ต่างก็กำหนดให้พนักงานอื่นนอกจากที่ได้ระบุไว้อันหมายถงึ
พนกั งานฝ่ายบรกิ ารภาคพื้นซ่ึงรวมโจทกก์ ลมุ่ ที่ 2 และกลุ่มท่ี 3 ทำงานไม่เกนิ สัปดาหล์ ะ 48 ชวั่ โมง
ตลอดมาต้งั แตป่ ี 2521 ไมม่ กี ารเปล่ียนแปลง แม้จำเลยจะใหโ้ จทก์กลุ่มท่ี 2 และกลุ่มที่ 3 ทำงานไม่
เกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง แต่จำเลยก็ไม่ได้ประกาศหรือออกระเบียบใหมใ่ ห้ทำงานไม่เกินสัปดาห์
ละ 40 ชั่วโมง นับเป็นเรื่องที่จำเลยให้ประโยชน์แก่โจทก์กลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 โดยให้ทำงานตำ่
กว่าชั่วโมงทำงานที่กำหนดไว้ในสภาพการจ้าง จำเลยย่อมมีสิทธิไม่ให้ประโยชน์นั้นต่อไปโดยให้
โจทกก์ ล่มุ ที่ 2 และกลุ่มที่ 3 ทำงานไม่เกนิ สปั ดาหล์ ะ 48 ช่วั โมง เตม็ ตามสภาพการจ้างท่ีไดก้ ำหนด
ไว้ได้ ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง แม้จำเลยอ้างสง่ เอกสารหมาย ล. 10 โดยไม่ส่งสำเนา
ให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน แต่การที่ศาลแรงงานกลางรับเอกสารหมาย ล. 10 ไว้
และได้วนิ ิจฉัยถงึ เอกสารดังกลา่ วในคำพิพากษาแสดงวา่ ศาลแรงงานกลางเหน็ วา่ เพือ่ ประโยชนแ์ ห่ง
ความยตุ ิธรรมในอันที่จะให้ได้ความแจ้งชัดในข้อเท็จจริงแห่งคดจี ึงรับฟงั เอกสารหมาย ล. 10 โดย
อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 45 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้ใช้ในการ
พจิ ารณาคดีแรงงานโดยเฉพาะจึงไม่ขดั ตอ่ ป.วิ.พ. มาตรา 90 วรรคหนงึ่
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนตบิ ัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 47
ให้วินิจฉัยว่า บริษัทริมน้ำ จำกัด ต้องจ่ายเงินร้อยละ 75 ของค่าจ้าง
ให้แก่นางสาวชลลดาในช่วง 5 วันที่ไปทำงานให้แก่บริษัทชายน้ำ จำกัด หรือไม่
และต้องจ่ายคา่ ชดเชยแก่นางสาวชลลดาหรือไม่ (พ.ศ. 2557)
ธงคำตอบ
บริษัทริมน้ำ จำกัด ประสบปัญหาน้ำท่วมโรงงาน ไม่สามารถให้ลูกจ้าง
ทำงานได้ เป็นกรณมี คี วามจำเปน็ ทสี่ ำคัญอันมผี ลกระทบต่อการประกอบกิจการของ
นายจ้างตามปกติ จึงมีสิทธิหยุดกิจการชั่วคราวโดยจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกวา่
รอ้ ยละ 75 ของค่าจ้าง ในวนั ท่ีลกู จ้างไดร้ บั กอ่ นหยดุ กิจการช่ัวคราวตลอดระยะเวลา
ที่นายจา้ งไมไ่ ดใ้ หล้ ูกจา้ งทำงาน ดงั นั้น บรษิ ัทรมิ น้ำ จำกัด จงึ ตอ้ งจ่ายเงนิ จำนวนร้อย
ละ 75 ของค่าจ้าง ให้แก่นางสาวชลลดา ในช่วง 5 วัน ที่ไปทำงานกับบริษัทชายน้ำ
จำกัด เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่ค่าจ้าง แต่เป็นเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้าง
ในช่วงหยุดกิจการช่วั คราว ตามพระราชบญั ญตั คิ ุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา
75 และกฎหมายมิได้บัญญัติห้ามลกู จ้างไปทำงานกบั บุคคลอื่นในระหว่างที่นายจ้าง
ประกาศหยุดกิจการชั่วคราว ทั้งในช่วงเวลาดังกล่าว นางสาวชลลดาก็มิได้มีหน้าที่
ทำงานใหแ้ กบ่ รษิ ัทริมนำ้ จำกดั แตอ่ ย่างใด การท่นี างสาวชลลดาไปทำงานกับบริษัท
ชายนำ้ จำกดั จงึ มใิ ช่เป็นการละทิง้ หน้าทตี่ ามมาตรา 119 (5) เมือ่ บริษัทรมิ นำ้ จำกดั
เลิกจ้างนางสาวชลลดาด้วยเหตุนี้ ย่อมเป็นการเลิกจ้างโดยที่นางสาวชลลดามิได้
กระทำผิด บริษทั รมิ น้ำ จำกดั จึงตอ้ งจา่ ยค่าชดเชยให้แก่นางสาวชลลดา ตามมาตรา
118 (5) (เทยี บคำพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 7675/2548)27
27 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7675/2548 ประกาศของโจทก์ที่แจ้งให้ลูกจ้างทราบถึงความ
จำเป็นของโจทก์ทีต่ ้องหยุดกิจการทั้งหมดลงชว่ั คราวและจ่ายเงนิ ให้แกล่ ูกจ้างในอัตราร้อยละห้าสบิ
ของค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่โจทก์หยุดกิจการชั่วคราวตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. 2541 มาตรา 75 มิใช่หนังสือเลิกจ้างลูกจ้าง แม้ในประกาศจะระบุให้ลูกจ้างพ้นสภาพจาก
การเป็นพนักงานไปทันทีที่ไปทำงานประจำกับนิติบุคคลอื่น ก็เป็นเพียงเงื่อนไขที่โจทก์จะใช้สิทธิ
เลิกจ้างลูกจ้างเท่านัน้ การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างไปทำงานกับนิติบุคคลอื่นจึงมิใช่เป็นการตก
ลงเลิกสัญญาจา้ งกับโจทก์ จำเลยที่ 2 ยังคงเป็นลูกจ้างโจทก์ ระหว่างที่โจทก์ประกาศหยุดกิจการ
เรียบเรียงโดย ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยอ์ ุดม งามเมอื งสกลุ ห น้ า | 48
(ขอ้ 35) นายเพิ่มศักดิ์เป็นคนโสด บิดามารดาถึงแก่กรรมแล้ว มีนางพิมพร
เป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกัน นายเพิ่มศักดิ์เคยให้เงินช่วยเหลือนางพิมพร
เป็นบางเดือน จำนวนครั้งละ 1,000 บาท ถึง 1,500 บาท บริษัทเพิ่มทรัพย์
จำกัด ซงึ่ เป็นนายจ้าง สง่ั ให้นายเพ่มิ ศักดิไ์ ปรับผลการตรวจนำ้ ลายของลูกค้าและ
มอบของชำร่วยให้แก่ลูกค้านอกสำนักงานที่เป็นที่ทำงานเป็นปกติ เมื่อนายเพิ่ม
ศักดิ์เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของนายจา้ งเสร็จ ระหว่างเดินทางกลับได้
แวะรับประทานอาหารที่บ้านลูกค้าอีกคนหนึ่งในละแวกเดียวกัน หลังจากน้ัน
เดนิ ทางกลับ แต่ประสบอุบัตเิ หตุจนถึงแก่ความตายระระหว่างทาง
ให้วินิจฉัยว่า นายเพิ่มศักดิ์ประสบอันตรายเนื่องมาจากการทำงานให้
นายจ้างหรอื ไม่ และนางพิมพรมีสิทธไิ ดร้ บั เงินทดแทนหรือไม่
ธงคำตอบ
นายเพิ่มศักดิ์ลูกจ้างเดินทางไปรับผลการตรวจน้ำลายของลูกค้าและมอบ
ของชำร่วยให้แก่ลูกค้านอกสำนักงานที่ทำงานปกติตามคำสั่งของนายจ้างนั้น ถือว่า
เป็นการออกไปปฏิบัติงานในทางที่จ้างของนายจ้าง เมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จย่อมต้อง
เดินทางกลับ ระหว่างเดินทางกลับก็ยังถือเป็นช่วงเวลาปฏิบัติงานในทางการที่จ้าง
ของนายจ้าง แม้นายเพิ่มศักดิ์แวะรับประทานอาหารที่บ้านลูกค้าอีกคนหนึ่งใน
ละแวกเดียวกันไมไ่ ดเ้ ดนิ ทางกลบั ทนั ที กไ็ ม่ทำใหก้ ารปฏบิ ตั หิ น้าทีส่ ิน้ สดุ ลง เมื่อนาย
เพิ่มศักดิ์ประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายในระหว่างเดินทางกลับบ้านลูกค้าของ
นายจ้าง จึงถือว่านายเพิ่มศักดิ์ประสบอันตรายจนถึงแก่ความตายเนื่องมาจากการ
ช่ัวคราว โจทกม์ ไิ ด้มอบหมายงานให้จำเลยที่ 2 ทำ สว่ นเงินที่โจทกจ์ ่ายใหใ้ นอัตรารอ้ ยละห้าสิบของ
ค่าจา้ งกม็ ใิ ช่ค่าจา้ ง แตเ่ ป็นเงนิ ท่ีตอ้ งจา่ ยตาม มาตรา 75 และบทมาตราดงั กล่าวก็มิได้บัญญัติห้าม
ลกู จา้ งไปทำงานกับบคุ คลอืน่ ในระหวา่ งทนี่ ายจ้างประกาศหยุดกจิ การชัว่ คราว การท่ีจำเลยที่ 2 ไป
ทำงานกับนิติบุคคลอื่นจึงมิใช่การละทิ้งหน้าที่หรือทำผิดสัญญาจ้าง เมื่อโจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 2
โดยทีจ่ ำเลยที่ 2 มิไดก้ ระทำผดิ ตาม มาตรา 119 โจทก์จึงตอ้ งจา่ ยคา่ ชดเชยใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี 2
รวมขอ้ สอบ-ธงคำตอบเนติบัณฑติ ฯ (กฎหมายแรงงาน) หน้า | 49
ทำงานให้นายจ้างตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5 (เทียบคำ
พิพากษาศาลฎกี าที่ 1805/2540)
แม้นายเพิ่มศักดิ์ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายจนถึงแก่ความตายจะไม่มีบิดา
มารดา ภริยา หรือบุตร ซึ่งมีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน
พ.ศ. 2537 มาตรา 20 วรรคหน่งึ (1) ถึง (4) คงมีแต่นางพิมพรพ่สี าวที่เคยได้รับการ
ช่วยเหลือจากนายเพิ่มศักดิ์ การที่นายเพิ่มศักดิ์เคยให้เงินช่วยเหลือนางพิมพรเป็น
บางเดอื น คร้งั ละ 1,000 บาท ถงึ 1,500 บาท นน้ั เปน็ เพยี งทำให้นางพิมพ์พรได้รับ
ความสะดวกสบายในชีวิตเพิ่มขึ้นเท่านั้น นางพิมพรไม่ได้รับความเดือดร้อนเพราะ
ไมไ่ ด้รับเงินจากนายเพิ่มศักด์ิในบางเดอื น ไมถ่ อื วา่ นางพมิ พรเป็นผอู้ ยู่ในอุปการะของ
ลูกจ้างก่อนลูกจ้างถึงแก่ความตายตามมาตรา 20 วรรคท้าย นางพิมพรจึงไม่มีสิทธิ
ได้รบั เงนิ ทดแทน (เทียบคำพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 3922/2546)28
(ขอ้ 36) ฝ่ายลูกจา้ ง คือ สหภาพแรงงานเดินหนา้ ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ต่อ
ฝ่ายนายจ้าง คือ บริษัทเดินหน้า จำกัด มีการเจรจากันหลายครั้ง แต่ไม่สามารถ
ตกลงกันได้ จึงแจ้งพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเขา้ มาไกล่เกลี่ย 2 ครั้ง ก็
ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จนครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2558 ผู้แทนฝ่าย
นายจ้างยินยอมตกลงตามข้อเรียกร้องของฝ่ายลูกจ้าง 2 ข้อ พนักงานประนอม
ข้อพิพาทแรงงานจึงทำบันทึกข้อตกลงให้ผู้แทนฝ่ายนายจ้างลงลายมือชื่อไว้ แต่
ผู้แทนฝ่ายลูกจ้างไม่ยอมลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลง นายจ้างจึงแจ้งเป็น
28 คำพิพากษาศาลฎกี าที่ 3922/2546 ผตู้ ายเคยให้เงนิ โจทกบ์ างเดือน เดอื นละประมาณ
1,000 บาท ถงึ 1,500 บาท ซ่งึ เปน็ จำนวนเงนิ ไม่มากนกั โดยให้ในช่วงผู้ตายไดง้ านทำในระยะเวลา
ไม่ถึงหนึ่งปี การให้ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นเพียงแต่ทำให้โจทก์ได้รับความสะดวกสบายในชีวิต
ครอบครัวเพิ่มขึน้ เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ตอ้ งไดร้ ับความเดือดร้อนเพราะไม่ได้รับเงินจากผ้ตู าย
ในบางเดือน การท่โี จทก์ได้รบั เงนิ จากผตู้ ายดงั กล่าวจึงไมถ่ งึ ขั้นทจ่ี ะถอื วา่ โจทก์อยู่ในความอุปการะ
ของผู้ตายตามความหมายของ พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 20 วรรคท้าย โจทก์จงึ ไม่มี
สิทธไิ ด้รับเงินทดแทน
เรยี บเรยี งโดย ผชู้ ่วยศาสตราจารยอ์ ดุ ม งามเมืองสกลุ ห น้ า | 50
หนังสอื แก่พนักงานประนอมขอ้ พิพาทแรงงานและผู้แทนฝ่ายลกู จ้างว่าจะใช้สิทธิ
ปิดงานตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2558 เป็นต้นไป ต่อมาวันที่ 29 มีนาคม 2558
ผู้แทนฝ่ายลูกจ้างลงลายมอื ชื่อในบันทึกท่ีพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทำ
ไว้ แตน่ ายจ้างก็ส่งั ปิดงานตั้งแตว่ ันท่ี 30 มนี าคม 2558 เปน็ ตน้ ไป
ให้วินิจฉัยว่า นายจ้างปิดงานโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และ
นายจา้ งต้องจ่ายคา่ จ้างแกล่ กู จา้ งในชว่ งปดิ งานหรอื ไม่ (พ.ศ. 2559)
ธงคำตอบ
เมื่อลูกจา้ งยื่นข้อเรียกร้องตอ่ นายจ้าง และมีการเจรจากันหลายครั้งแต่ตก
ลงกันไม่ได้ ถือว่ามีข้อพิพาทแรงงานเกดิ ขึ้น พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเขา้
มาไกล่เกลี่ยแลว้ ก็ยงั ไม่สามารถตกลงกันได้ ถอื วา่ มขี อ้ พพิ าทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้
เกิดขึน้ แม้ต่อมานายจา้ งจะยนิ ยอมตกลงตามขอ้ เรียกรอ้ งของลกู จา้ งบางสว่ นเพยี ง 2
ขอ้ และลงลายมือช่ือไวใ้ นบนั ทึกข้อตกลงท่พี นกั งานประนอมขอ้ พิพาทแรงงานทำขึ้น
แต่เมื่อผู้แทนฝ่ายลูกจ้างไม่ยอมลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทำให้
ข้อตกลงสน้ิ ผล แมผ้ แู้ ทนฝ่ายลูกจา้ งจะมาลงลายมอื ชื่อในบันทึกข้อตกลงในวันรุ่งขึ้น
ก็ไม่ทำให้ข้อตกลงซึ่งสิ้นผลไปแล้วกลับมามีผลขึ้นอีก ยังถือว่ามีข้อพิพาทแรงงานท่ี
ตกลงกันไมไ่ ด้อยู่
เมื่อนายจ้างแจ้งการปิดงานเป็นหนังสือแก่พนักงานประนอมข้อพิพาท
แรงงานและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2558 และสั่งปิดงานเมื่อวันที่
30 มีนาคม 2558 ซึง่ เป็นเวลาลว่ งพน้ กว่า 24 ชวั่ โมงแล้ว จงึ เปน็ การปดิ งานโดยชอบ
ด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสมั พันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 34 และนายจา้ งไม่มีหน้าที่
ต้องจ่ายค่าจ้างในช่วงปิดงานให้แก่ลูกจ้าง (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาท่ี
1701/2547)29
29 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1701/2547 การที่สหภาพแรงงานฟาร์-อีสต์ การ์เมนท์ เท็กซ์
ไทล์ ย่ืนข้อเรียกรอ้ งเพ่ือขอเปลยี่ นแปลงสภาพการจา้ ง ต่อโจทก(์ นายจา้ ง)หลายข้อ แตผ่ ู้แทนโจทก์
ยนิ ยอมตกลงตามขอ้ เรยี กรอ้ งเพียง 2 ขอ้ ตามที่พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้ไกล่เกล่ียใน