The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือทักษะอยากรู้ - พระปลัดแสงสุรีย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือทักษะอยากรู้ - พระปลัดแสงสุรีย์

คู่มือทักษะอยากรู้ - พระปลัดแสงสุรีย์

51

Parnes (2020) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ LinkedIn แฟร์แฟกซ์ แคลิฟอร์เนีย
สหรัฐอเมริกา ไดก้ ล่าวว่า ทกุ คนต่างกอ็ ยากรใู้ นแบบที่ต่างกนั ออกไป ฝกึ ฝนกลยุทธ์ความเป็นผู้นำและ
การจัดการเพื่อระบุจุดแข็งของตน และจัดการทีมในลักษณะที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการคิดเชิง
นวัตกรรม การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความอยากรู้ในหลักสูตร “ความอยากรู้ประยุกต์ (Applied
Curiosity)” โดยทำความเข้าใจความอยากรู้ 4 ประเภท ดงั น้ี

1.นกั ผจญภัย (The Adventurer) ประเภทแรก คอื คนที่อยากรู้เกิดจากความรู้สึกของการ
ผจญภัย ลองนึกถงึ Amelia Earhart ที่กลา่ ววา่ "การผจญภยั น้ันคมุ้ ค่าในตวั เอง"

นักผจญภัยนั้นกล้าหาญและแม้กระทั่งแสวงหาความตื่นเต้น กระตือรือร้นที่จะมี
ประสบการณ์ท่ีไมธ่ รรมดาและมีส่วนรว่ มกบั ผูค้ นและวฒั นธรรมประเภทตา่ งๆ

นกั ผจญภัยจะถามคำถามเช่น:
- เราควรไปพบเจอใครและจะถามอะไรพวกเขาไดบ้ า้ ง?
- เราจะไปสมั ผสั ขอ้ มูลเชิงลึกขน้ึ ได้จากทีไ่ หน?
- เราเรียนรอู้ ะไรไดบ้ ้างจากการพจิ ารณามุมมองทแ่ี ตกตา่ งจากของเรา
- อะไรไมไ่ ด้ผล - หรอื แม้กระท่งั : อะไรท่ีจะทำในวิธแี ตกตา่ งออกไปแลว้ ได้ผล?
และจากคำกล่าวของ Saltzman เหตผุ ลหน่งึ ท่โี ครงการลม้ เหลวกเ็ พราะเราไม่ “ขุดค้นเศษ
ของความล้มเหลวของเราอย่างอยากรู้อยากเห็น” เราก้าวต่อไปเร็วเกินไปและ “ไม่ทำความเข้าใจ
จากส่ิงประดษิ ฐ์ท่มี ีประโยชนท์ เี่ ราควรจะเรยี นรู้จากมัน”
อย่าทำผิดพลาดในฐานะผู้จัดการ ให้ใช้สิ่งท่ีเรียนรู้เกี่ยวกับประเภทความอยากรู้เพื่อ
เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจากทีมแทน กลยุทธ์ความเป็นผู้นำและการจัดการ: ตัวอย่างเชน่ นักผจญภัยต้อง
อยากรู้สึกว่ามีความท้าทาย กระตุ้นให้นำความคิดที่หลากหลายมากขึ้นมาใช้ในการทำงานเพ่ือ
เปลยี่ นแปลงวิธีคิดทใ่ี ชอ้ ยู่ประจำ
2. นักคิด (The Thinker) ความอยากรู้ประเภทที่สองมีลักษณะเฉพาะโดยคำพูดของ
Aristotle “มันเป็นเครื่องหมายของความคิดที่มีการศึกษาที่จะสามารถพินิจพิจารณาความคิดโดยยัง


52

ไม่ได้ยอมรับมัน”นักคิด คือคนที่ถูกมองว่าเป็นนักปรัชญา พวกที่เป็นผู้นำทางความคิดที่พิจารณา
หวั ข้อต่างๆ อยา่ งลกึ ซงึ้ และมกั จะมองหาส่ิงที่น่าสนใจใหค้ ดิ อยูเ่ สมอ

คำถามทน่ี ักคดิ ในทมี อาจถาม :
- อะไรใชไ้ ด้ผล และเราจะทำซ้ำไดอ้ ย่างไรในอนาคต
- ตอนนเี้ รามีความคิดอะไรท่ไี ม่ไดผ้ ล?
- ความคิดของเรามีขอ้ บกพร่องอยา่ งไร?
- มีวธิ ีอ่นื ท่เี ราสามารถใช้ไดห้ รอื ไม่?
กลยุทธ์ความเป็นผู้นำและการจัดการ: ทำให้นักคิดสามารถรวบรวมแนวคิดและค้นคว้า
แนวทางใหม่ๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ในทีม ทำงานอย่างลึกซึ้งในตรรกะและเหตุผลของความคิด นักคิด
สามารถช่วยทุกคนมองย้อนกลบั และเสนอวิธีใหมใ่ นการคิดเกย่ี วกบั ปัญหาได้
3. นักสังเกต (The Observer) นักสังเกตเป็นเหมือน Leonardo da Vinci ซึ่งถูกมองว่า
เป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่มีความสามารถหรือความรู้มากมาย ช่างสังเกตอย่างถี่ถ้วน สามารถ
สังเกตเห็นส่งิ ต่าง ๆ ทค่ี นอน่ื อาจพลาดไป
นักสังเกตจะถามคำถามเช่น:
- เราไมไ่ ด้คำนึงถึงอะไร?
- เราพลาดอะไรท่ีคนอืน่ (เพ่อื นร่วมงาน คู่แขง่ ทมี ผูน้ ำในอตุ สาหกรรม) ได้เห็น?
- บทเรียนอะไรท่ีเราไดเ้ รียนรู้ว่าเราจะไม่ได้เรียนรู้หากโครงการน้ีประสบความสำเร็จกว่า

นี้?
- เราใชข้ ้อมูลอะไรทีไ่ ม่ถูกต้อง?
กลยทุ ธ์ความเป็นผ้นู ำและการจดั การ : ในขณะท่ีผ้นู ำหรือทีมอาจมองขา้ มข้อมูลสำคัญหรือ
อปุ สรรค ซง่ึ สามารถวางใจใหผ้ ู้สังเกตการณ์ สำรวจให้ลกึ ยง่ิ ข้ึน เปดิ โปงจุดบอดของทีม และค้นพบส่ิง
ใหมไ่ ด้
4. นกั แกป้ ัญหา (The Solver) ดงั ที่ Albert Einstein กลา่ วไว้ว่า "เราไมส่ ามารถแกป้ ัญหา
ด้วยความคิดแบบเดียวกับที่เราใชใ้ นการสรา้ งปัญหา" นักแก้ปัญหาก็เหมือน Einstein ที่สามารถระบุ
ปัญหาและค้นหาวิธีแก้ไขที่ทุกคนไม่เห็นได้ชัดเจน บ่อยครั้งสิ่งนี้มีบทบาทในความก้าวหน้าทาง
วิทยาศาสตรห์ รือทางเทคนิค
นกั แกป้ ัญหาจะถามว่า :
- อะไรที่เราคดิ ผิดไป?
- อะไรทไ่ี ม่ได้ผล?
- เราประเมินปัญหานี้ไม่ถกู ตอ้ งอยา่ งไร?


53

กลยทุ ธค์ วามเปน็ ผู้นำและการจดั การ: ในฐานะหัวหนา้ โครงการ ใหอ้ ำนาจนักคิด ในการพูด
และตั้งคำถามกับสมมติฐาน ดังที่ Saltzman ได้กล่าวว่า ความแตกต่างจากการประเมินบุคลิกภาพ
อื่นๆ เช่น Myers-Briggs "ความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่เฉพาะเจาะจง" ทกุ คนมคี วามสามารถที่จะอยาก
รู้อยากเห็นไดห้ ลายวธิ ี

การทำความรู้จักประเภทที่เป็นนั้น แล้วไปให้ไกลกว่านั้น เมื่อเปิดรับคุณลักษณะจาก
ความอยากรู้อยากเห็นประเภทอื่นๆ ก็จะพร้อมรับมือกับความท้าทายที่สำคัญที่สุดของโลก - หรือ
อย่างนอ้ ยทสี่ ดุ ของทีมได้

หลกั สูตรอ่ืนๆ ทีอ่ าจสนใจ :
- การสร้างอิทธพิ ลต่อผอู้ ื่น
- การจัดการในชว่ งเวลาทีย่ ากลำบาก
- การส่ือสารในชว่ งเวลาแหง่ การเปล่ียนแปลง

โปรดทบทวน - อุปสรรคและการเอาชนะอุปสรรค จากทัศนะของ Parnes มี
สาระสำคัญอะไร?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
...............................................................................................................................
หมายเหตุ : ศกึ ษาจากตน้ ฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลกิ ” ดูได้จากเว็บไซต์ข้างล่างน้ี

https://www.linkedin.com/business/learning/blog/top-skills-and-courses/4-curiosity-types-
that-will-help-your-team-solve-problems-in-the

จากทัศนะของแหล่งอ้างอิงทีน่ ำมากล่าวถึงข้างต้น สรุปได้วา่ อุปสรรคและการเอาชนะ
อปุ สรรคในการพัฒนาความอยากรู้ มีดังน้ี

อุปสรรคในการพัฒนาความอยากรู้


54

1) เต็มไปด้วยสิ่งเหนี่ยวรั้ง ขาดความตื่นตัว กระตือรือร้น กระหายความอยากรู้ ความ
วติ กกังวล ความกลัว หรือความเครียด ส่ิงเหลา่ น้ลี ้วนเป็นส่ิงทีท่ ำให้บคุ คลถูกจำกัดพ้นื ที่ในการอยาก
รู้ในส่ิงใหม่ การเรียนรู้ทกั ษะใหมๆ่ หรือปรับปรงุ ส่งิ ทีเ่ รามีประสบการณ์อยแู่ ล้ว ความคิดที่จะสละเวลา
จากตารางงานทีย่ ุ่งอยู่แลว้ การใช้งบประมาณท่ีจำกัด หรอื เสยี สละเวลาหยุดทำงานอันมีค่า การสร้าง
ความหวาดหวัน่ และความกดดนั ให้กบั ตัวเอง

2) การให้ความสำคัญแก่ตนมากกว่า มองความสำคัญของตัวเองมากกว่าผู้อื่น เพื่อน
ร่วมงานหรอื ส่งิ ท่ีอยู่รอบขา้ ง การปดิ กนั้ การแสดงความคิดเห็น ความคิดตา่ ง การไม่เปิดใจรับรู้สิ่งใหม่
การมั่นใจในตนเองสูง การไม่ยอมรับข้อผิดพลาด ปัดความรับผิดชอบ หากมีปัญหาในการทำให้ความ
ต้องการของตนเองมีความสำคัญ มีความมั่นใจในตนเองต่ำ หรือต่อสู้กับความนับถือตนเองที่ต่ำ หรือ
การทา้ ทายความคดิ ในเชิงลบ เป็นต้น

3) การถูกจำกัดให้เรียนรู้ทักษะเดียว ความพากเพียรอาจเป็นกุญแจสำคัญ แต่การรู้จัก
ความคดิ ความสามารถ และความสนใจของตัวเองอาจมีความสำคัญมากกว่า ใครบอกว่าทักษะแรกที่
พยายามจะต้องเป็นทักษะที่ถนัดทักษะเดียว แต่การลองใช้ทักษะใหม่เป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งในตัว
บุคคล การใช้เวลาและความพยายามเพื่อก้าวไปข้างหน้า เพื่อทำให้ตัวเองดีขึ้น เพื่อลองสิ่งใหม่ๆ
ดังนั้นการถูกขังอยู่ในเส้นทางทักษะเดียว เป็นการปิดกั้นโอกาสเรียนรู้ให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ การ
ลองสิ่งใหม่ ๆ และเป็นอุปสรรคในการค้นพบจุดประกายความตื่นตัวเพื่อการพัฒนาทักษะนั้นให้ดีข้ึน
ต่อไป ละก็เปน็ เร่ืองงา่ ยหรือจนกวา่ จะค้นพบสงิ่ หน่ึงท่ีสามารถรสู้ ึกหลงใหลได้ ก่อนที่จะร้ตู ัวได้จะต้อง
คน้ หาทักษะใหมๆ่ ท่รี สู้ ึกไดร้ าวกบั ได้รบั แรงบนั ดาลใจใหล้ องทำในส่ิงนัน้ ๆ ด้วย

4) ขอ้ กล่าวอ้างเหตุผลหรือคำแกต้ ัว “ฉันไม่มีเวลาเรียนรู้ทักษะใหม่” เป็นสิ่งท่ีเราทุกคน
พูดหรือคิดในขณะที่เลื่อนดู Instagram เป็นครั้งที่ร้อย การไม่มีเวลาเป็นเหตุผลให้เราไม่สามารถ
ปฏิบัติตามหรือพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ปิดโอกาสความอยากรู้ ไม่แสวงหาความรู้ใหม่ การไม่จัดลำดับ
ความสำคัญและไม่รับแผนปฏิบัติการใหม่ หรือไม่สร้างแรงจูงใจ ผลักดันให้อยากรู้ในสิ่งต่าง ๆ ปิด
โอกาสด้วยเหตุผลเอ่ยอ้างเข้าข้างตนเอง ไม่เปิดใจรับรู้ เรียนรู้และมักแก้ตัวยกอ้างเหตุผลหรือ
หลกี เลย่ี งโอกาสในการพฒั นาตน เปน็ ตน้

5) คิดน้อย ขาดการวางแผน การปรับความคิดใหม่อาจเป็นวิธีที่ทำได้ หากแทนที่จะ
มุ่งเน้นไปที่ผลประโยชน์และอุปสรรคในระยะสั้น หรือผลลัพธ์ที่จะเกิดระยะสั้นระยะยาว การเรียนรู้
ทักษะใหม่ ตลอดถึงการคิดวางแผนอาจมีผลตอ่ ความทา้ ทายพอ ๆ กับวิธีใหม่ที่นา่ ตื่นเต้น การสำรวจ
ความสนใจใหม่ ๆ ไม่เพียงแต่ช่วยฝึกฝนทักษะที่หวังว่าจะได้เรียนรู้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปรับปรุงใน
ด้านอื่นๆ ด้วย หากขาดการคิดและวางแผน ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการก่อให้เกิดทักษะใหม่และ
ประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้น ปิดโอกาสในการเรียนรู้ อันจะไม่สามารถช่วยเปิดโอกาสในเส้นทางทำให้
ค้นพบโอกาสในการอยากรู้ในสงิ่ ใหม่ ๆ ที่ดกี วา่ ได้


55

การเอาชนะอปุ สรรคในการพฒั นาความอยากรู้
1) ช่างคิด ช่างสังเกต และช่างสงสัย เป็นคนช่างสงสัย ช่างคิด ช่างสังเกต พยายาม
มองเห็นปัญหาจากการสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน เช่น มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมจึง
เกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นได้อย่างไร พยายามทำความสงสัยนั้นให้กระจ่างแจ้ง พยายามศึกษาค้นคว้าหา
เหตผุ ล และคน้ หาคำตอบจากส่ิงท่สี งสัยอยากรู้ อาศัยกระบวนการในการค้นหาคำตอบจากส่ิงที่สงสัย
อยากรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์รว่ มด้วย
2) ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกต ค้นคว้าหาสิ่งใหม่ ๆ การใช้คำถามเป็นวิธีสำคัญในการเสาะ
แสวงหาความรู้ที่มีประสิทธิภาพ เป็นกลวิธีการสอนที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะการคิด การ
ตีความ การไตร่ตรอง การถ่ายทอดความคิด สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการจัด
กระบวนการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี การถามจะช่วยให้สร้างความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนาความคิด
ใหม่ๆ กระบวนการถามจะช่วยขยายทักษะการคิด ทำความเข้าใจให้กระจ่าง ก่อให้เกิดการทบทวน
การเชือ่ มโยงระหว่างความคดิ ตา่ ง ๆ ส่งเสรมิ ความอยากรู้อยากเห็นและเกิดความทา้ ทาย
3) กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ ความมั่นใจ กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ กล้าแสดง
ความเห็น กล้าแสดงออกในสิ่งที่เหมาะสมบนพื้นฐานของประโยชน์ส่วนรวม กล้าตัดสินใจ กล้าเสนอ
วิธีการทำงานและมุมมองต่างๆ ที่ทำให้งานบรรลุเป้าหมาย ส่งผลถึงตนเองและองค์กรโดยรวม แสดง
ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความมั่นใจและมีจุดยืน โดยไม่ละเมิดสิทธิในการคิดของผู้อ่ืน
การฝึกและพฒั นาทักษะความอยากรู้ของบุคคล ทำใหเ้ หน็ มุมมองหลักการพฒั นากระบวนการคิดเพื่อ
ตอบสนองความอยากรู้ อยากเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งเป็นการคิดที่นอกกรอบ ไม่ติดในรูปแบบเดิม ๆ
พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรยี นรู้ เพื่อความอยากรู้ของบุคคลได้
การที่เป็นคนที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจแล้ว ย่อมทำให้เห็นถึงแนวทางและทางออกของปัญหา
ต่าง ๆ ได้ และจะชว่ ยตอบคำถามตา่ ง ๆ ทยี่ งั สงสัยใหค้ ลายจากความสงสัยได้
4) กล้าเผชิญกับสถานการณ์และพร้อมแก้ปัญหา การเผชิญหน้ากับความกลัว หรือ
ปญั หาต่าง ๆ “กลัว ไมก่ ลา้ ไม่อยาก ทำไมไ่ ดห้ รอก” เปน็ คำพดู ทเี่ ป็นอุปสรรคต่อการเรยี นรู้สิ่งใหม่ ๆ
ปิดกั้นการอยากรู้ หรือยับยั้งไม่อยากให้ใช้พยายามในการค้นหาคำตอบในสิ่งสงสัยอยากรู้เลย ซึ่งทุก
คนนั้นมีความสามารถที่จะอยากรู้อยากเห็นและค้นหาคำตอบในสิ่งนั้น ๆ ได้หลายวิธีและสามารถ
สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการคิดเชงิ นวัตกรรมดว้ ย
5) เปิดโอกาสใหไ้ ด้คิดอย่างสร้างสรรค์และแสวงหาคำตอบอยู่เสมอ ความคดิ สร้างสรรค์
เป็นสิ่งสำคัญของบุคคลที่จะช่วยสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งมีคุณค่า การจะตีความเกี่ยวกับ
“ความใหม่” ขึ้นอยู่กับผู้สร้างสรรค์หรือสังคม หรือแวดวงที่สิ่งใหม่นั้นเกิดขึ้น “ความใหม่” ความคิด
สร้างสรรค์จะช่วยให้เกิดความคิดเชื่อมโยงที่พยายามหาทางออกหลาย ๆ ทาง ใช้ความคิดท่ี
หลากหลาย แสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และนอกกรอบ คัดสรรหาทางเลือกใหม่ ๆ และพยายาม


56

ปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ หรือการเปิดโอกาสให้ได้คิดอย่างสร้างสรรค์ เป็นระบบและสามารถค้นหา
คำตอบตา่ ง ๆ ได้อย่างไม่จำกัดขอบเขตของการคิดเพื่อตอบโจทย์ของการอยากรู้มากยิ่งขน้ึ

6) กระตือรือร้นในการเรียนรู้และสร้างกำลังใจ การเสริมกำลังใจช่วยเพิ่มความมั่นใจ
ความกล้าแสดงออกในการมีส่วนร่วมในเรยี นรู้ การเรียนรู้จะเกิดขึน้ ได้ดี ถ้าบุคคลมีความรู้สึกประสบ
ความสำเร็จ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ เป็นผลมาจากการที่บุคคลมีความกระตือรือร้นในการอยากรู้
อยากพัฒนาตน หรือตั้งข้อสงสัย สังเกต และอยากรู้ในสิ่งต่าง ๆ และพยายามหาให้ได้มาซึ่งคำตอบ
ตลอดถงึ วิธีการตา่ ง ๆ ทีช่ ่วยลดภาวะความตรงึ เครียดไม่ให้เกิดขนึ้ ดงั นน้ั การท่มี คี วามกระตอื รือร้นใน
การเรียนรู้และสร้างกำลังใจ จะเป็นการสร้างพลังใจที่สำคัญยิ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้มาก
ขน้ึ ก่อให้เกดิ ความพยายามในการคน้ หาคำตอบในสง่ิ ท่ีสงสยั ได้เตม็ ศักยภาพ

7) ไม่ยึดรูปแบบตายตัวในการเรียนรู้ การที่ไม่ยึดรูปแบบตายตัวในการเรียนรู้หรือการ
คิดเพื่อตอบสนองความอยากรู้ของบุคคลนั้น โดยคำนึงถึงความยืดหยุ่นของวิธีการ การใช้โอกาสให้
เป็นประโยชน์ การทำตัวอย่างเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ การถามซ้ำ การตรวจสอบ ความถูกต้อง โดยไม่
ยึดรูปแบบและวิธีการที่ตายตัว ปรับตัวให้เข้ากับกระบวนการเรียนรู้ที่กำลังดำเนินอยู่ การมองความ
ผิดพลาดจากการเรียนรู้เป็นบทเรียนสำหรับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ฟังให้มากพูดให้น้อย เรามักจะมี
สมมตฐิ านของเราต่อการเรียนรหู้ น่ึง ๆ ซึ่งเปน็ ต้นเหตใุ หเ้ กดิ การเรยี นรทู้ ่ีผดิ พลาดได้ ดงั นน้ั จึงควร ไม่
ยดึ เอาตัวเองเปน็ สำคัญและการสั่งการใคร ๆ แต่เปน็ การคน้ หาองค์ความรตู้ ่าง ๆ ในสิ่งหรือข้อที่สงสัย
อยากรู้ให้สามารถเกดิ การเรยี นรู้และค้นหาความจรงิ อย่างถูกต้องน่นั เอง

8) เปิดโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา ความหลากหลายในการเรียนรู้ที่ต้องการ
ตอบสนองความอยากรู้ของบุคคลนั้น สามารถสร้างโอกาสในการเรียนรู้ได้ ซึ่งทำได้โดยค้นคว้าเอง
วิเคราะห์เอง และเสนอผลการศึกษาเอง หรือได้เรียนรู้เรื่องราวที่ทำการศึกษาและมีความรู้สึกเป็น
เจ้าของสิ่งที่เขาค้นพบ มีความตื่นตัวและความรับผิดชอบต่อการตรวจสอบข้อบกพร่อง มีการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวคิดใหม่ ๆ การเรียนรู้จากกันและกัน เน้นการสร้างความสัมพันธ์ แต่การรู้จัก
ความคิด ความสามารถ และความสนใจของตัวเองอาจมีความสำคัญมากกว่า การมีโอกาสและ
ทางเลอื กทมี่ ากมายในโลก และพรอ้ มที่จะเรียนรู้และเปิดโอกาสรับสิ่งทด่ี ี ๆ เขา้ มาเพื่อช่วยตอบสนอง
ความอยากรูไ้ ด้

9) ไม่มีข้อจำกัดในการเรียนรู้ “การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด” เป็นประโยคที่ปลุกพลังใจให้
เราอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา การหาช่องทางการเรียนรูแ้ บบที่เอื้อตอ่ การเพิ่ม สกิลใหม่ ๆ
หรอื นำบรรยากาศการเรียนรู้แบบน่าสนใจกลบั มาชา่ งยากเยน็ ถา้ การเรยี นรจู้ ะทำให้เรารสู้ ึกเหมือนได้
กลับไปเป็นเด็กอีกหน เพราะการเรียนรู้ทำให้เราเติบโต เปลี่ยนแปลงและรู้สึกเหมือนมีเรื่องใหม่ ๆ ท่ี
น่าตื่นเต้นได้เร่ือย ๆ การอยากลองสัมผัสทักษะใหม่ ๆ ข้อมูลใหม่ๆ การตั้งเป้าหมายท่ีดีมีความสำคญั
มากกว่าการมุ่งสู่ความสมบรู ณ์แบบ แม้ว่าแนวความคิดเดมิ ๆ อาจมองว่า 'ถ้าสิ่งใดควรค่าแก่การทำ


57

ก็คุ้มค่าที่จะทำให้ถูกต้อง' แต่แนวทางที่ดีกว่าก็อาจจะเป็นการทำให้เสร็จได้โดยไม่สมบูรณ์แบบ การ
เริ่มต้น - ทำงานให้เสร็จลุล่วง รู้สึกถึงความสำเร็จและความก้าวหน้า และจะทำให้สามารถก้าวข้าม
อุปสรรคในการเรียนรู้ทไี่ มจ่ ำกดั รปู แบบ สำหรับการเรียนร้หู รอื สนองความอยากรู้ไดเ้ ลย

10) มคี ณุ ธรรม รูจ้ ักให้มากกวา่ รบั การเคารพในสทิ ธิไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน การยึดมั่นใน
คุณธรรมและจริยธรรมที่ดีงาม มีความเสียสละ เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ มีการค้นคว้าเพิ่มเติม เปิดใจ
กว้าง รับฟังข้อตำหนติ ิเตยี นเพ่ือปรับเปล่ยี นและเรียนรู้ใหม้ าก พฒั นาความอยากร้ใู ห้มากขึ้น หรือแม้
การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ การหมั่นฝึกจิต ฝึกสติ นั่งสมาธิ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ
จิตใจและร่างกาย นอกจากน้ียงั สามารถชว่ ยลดระดับความเครยี ด ลดความเหนอื่ ยล้า ทำให้เกิดพลังใจ
ที่เข้มแข็ง มีทัศนะคติที่ดี มองโลกในเชิงบวก พร้อมให้ความรู้ต่าง ๆ มีความปรารถนาดี เข้าใจเป็น
มิตรภาพ เสียสละ ส่งเสริมการอยากรู้อยากเรียน มีความกระตือรือร้น ตื่นตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะเป็น
แนวทางอันส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะความอยากรู้และก้าวข้ามและเอาชนะอุปสรรคในการ
อยากรขู้ องบคุ คลได้

จากนานาทัศนะเกี่ยวกับอุปสรรคและวิธีการเอาชนะอุปสรรคในการพัฒนาความอยากรู้
ดังกล่าวข้างต้น ท่านเห็นว่ามีแนวคิด (Concepts) ที่สำคัญอะไรบ้าง ที่ทำให้เข้าใจในอุปสรรคและ
วิธีการเอาชนะอุปสรรคในการพัฒนานั้นได้อย่างกระชับและชัดเจน โปรดระบุแนวคิดนั้นในภาพท่ี
แสดงขา้ งล่าง


58

Gifford, B. E. (2019, MAY 27). 10 Ways to overcome barriers and learn new skills.
Retrieved August 12, 2021 from https://happiful.com/10-ways-to-overcome-
barriers-and-learn-new-skills/

Parnes, R. (2020, May 28). 4 Curiosity types that will help your team solve problems
in the crisis. Retrieved August 12, 2021 from
https://www.linkedin.com/business/learning/blog/top-skills-and-courses/4-
curiosity-types-that-will-help-your-team-solve-problems-in-the

Trautner, T. (2017, December 14). Developing curiosity in the young child’s brain.
Retrieved August 12, 2021 from
https://www.canr.msu.edu/news/developing_curiosity_in_the_young_childs_b
rain


59


60

หลงั จากการศกึ ษาคูม่ ือชุดนแ้ี ลว้ ทา่ นมีพฒั นาการดา้ นพทุ ธิพิสยั (Cognitive Domain) ซึ่ง
เป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางสมองหรือสติปัญญาตาม The Revised
Taxonomy (2001) ของ Benjamin S. Bloom โดยจําแนกพฤตกิ รรมในขอบเขตน้ีออกเปน็ 6 ระดับ
เรียงจากพฤติกรรมที่สลับซับซ้อนน้อยไปหามาก หรือจากทักษะการคิดขั้นต่ำกว่าไปหาทักษะการคิด
ขั้นสูงกว่า ดังนี้ คือ ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ (Understanding) การประยุกต์ใช้
(Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมิน (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating)
ดังนี้

1) บอกคุณสมบัติ จับคู่ เขียนลำดับ อธิบาย บรรยาย ขีดเส้นใต้ จำแนก หรือระบุ แนวทาง
เพือ่ พฒั นาความอยากรขู้ องนกั เรยี นได้

2) แปลความหมาย อธิบาย ขยายความ สรุปความ ยกตัวอย่าง บอกความแตกต่าง หรือ
เรียบเรียง แนวทางเพ่อื พฒั นาความอยากรู้ของนักเรียนได้

3) แก้ปัญหา สาธิต ทำนาย เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ เปลี่ยนแปลง คำนวณ หรือปรับปรุง
แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรขู้ องนักเรียนได้

4) แยกแยะ จัดประเภท จำแนกให้เห็นความแตกต่าง หรือบอกเหตุผล แนวทางเพื่อพัฒนา
ความอยากรู้ของนักเรยี นได้

5) วัดผล เปรียบเทียบ ตีค่า ลงความเห็น วิจารณ์ แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้ของ
นักเรียนได้

6) รวบรวม ออกแบบ จัดระเบียบ สร้าง ประดิษฐ์ หรือวางหลักการแนวทางเพื่อพัฒนา
ความอยากรู้ของนักเรยี นได้


61

1. โปรดศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะที่นำมากล่าวถึงแต่
ละทัศนะ

2. หลงั จากการศกึ ษาเน้ือหาโปรดทบทวนความเขา้ ใจจากคำถามท้ายเน้ือหาของแตล่ ะทศั นะ
3. ศึกษารายละเอียดของนิยามที่เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” เว็บไซต์ที่นำเสนอ

ไว้ท้ายเนอื้ หาของแต่ละทศั นะ

Perina (2014) นักการศกึ ษาและเชีย่ วชาญการเขยี น ไดก้ ลา่ วถงึ แนวทางเพ่ือพัฒนาความ
อยากรไู้ ว้ 7 วธิ ี ดังน้ี

1. อ่านให้กว้างและทำตามความสนใจของคุณ (Read Widely and Follow your
Interests) John Lloyd เป็นโปรดิวเซอร์และผู้กำกับรายการโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง
มหาศาล จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเริ่มประสบกับความล้มเหลวหลายครั้ง สิ่งนี้ทำให้เขาซึมเศร้า เขา
จัดการกับมันโดยการหยุดงาน ออกไปเดินเล่น และอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่ง เขาอ่านเกี่ยวกับ
“Socrates และเอเธนส์โบราณ เขาอา่ นเก่ียวกับแสงและแม่เหล็ก เขาอา่ นเกีย่ วกับยุคฟ้ืนฟูศิลปวิทยา
และอิมเพรสชั่นนิสต์ชาวฝรั่งเศส เขาไม่มีวิธีหรือแผนใดๆ เลย แต่เพียงทำตามความอยากรู้อยากเห็น
เท่านั้น ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม” การอ่านทั้งหมดนี้นำไปสู่ความคิด สำหรับการตอบคำถาม และ
เป็นทช่ี ืน่ ชอบของคนนับลา้ นด้วย

2. ขัดเกลาจิตใจตนเองกับจิตใจของผู้อื่น (Polish your Mind with the Minds of
Others)

จากสมดุ บนั ทึกของ Leonardo da Vinci มรี ายการส่ิงทีต่ อ้ งทำดังน้ี :
- คำนวณการวัดของ Milan และชานเมอื ง
- หาหนังสือที่ปฏิบัติต่อคริสตจักรของ Milan ซึ่งจะมีให้ที่สถานีระหว่างทางไป

Cordusio


62

- คน้ หาการวัด Corte Vecchio [ลานภายในวังของยคุ ]
- หาผ้เู ชีย่ วชาญด้านคณิตศาสตร์เพอ่ื ให้ชว่ ยแสดงวธิ กี ารยกกำลงั สองของสามเหลยี่ ม
- ถาม Bendetto Portinari [พ่อค้าชาวฟลอเรนซ์] ว่าพวกเขาไปอยู่บนน้ำแข็งที่แฟลน

เดอรส์ หมายความว่าอย่างไร
- วาดรปู เมอื ง Milan
- ถาม Maestro Antonio ว่า ปืนใหญ่ถูกวางตำแหน่งบนป้อมปราการทั้งกลางวันและ

กลางคนื อย่างไร
- ตรวจสอบหนา้ ไมข้ อง Maestro Gianetto
- ค้นหาผู้เชี่ยวชาญด้านไฮดรอลิก และให้เขาช่วยบอกวิธีซ่อมล็อค คลอง และโรงสีใน

แบบ Lombard
- ถามเรือ่ งการวดั ขนาดของดวงอาทติ ย์ ท่ี Maestro Giovanni Francese สัญญาไว้
ถอดบทเรียน : ความสนใจของ Leonardo ไม่เพียงแต่หลากหลายเท่านั้น แต่จากงาน 15
รายการในรายการของเขา อย่างน้อย 8 งานเกี่ยวข้องกับการปรึกษาหารือกับผู้อื่น และอีก 2 งาน
เกี่ยวข้องกับหนังสือของผูอ้ ืน่ “Montaigne เขียนว่าการเดินทางไปยังภูมิภาคและประเทศตา่ งๆ ช่วย
ให้เรา “ถูและขัดเกลาสมองของเรา” กับผู้อื่นได้อย่างไร และ Leonardo ดูเหมือนจะกระตือรือร้นท่ี
จะขดั เกลาสมองของเขากับคนอ่นื ๆ ให้ไดม้ ากท่สี ดุ ”
3. ไปร้านหนังสือหรือห้องสมุดจริง (ที่ไม่ใช่ออนไลน์) และค้นหาชั้นวางหนังสือ (Visit
a Physical Bookstore or Library and Browse the Shelves) ในยุคของการค้นหาโดย Google
เราไม่มีปัญหาในการหาคำตอบที่ตรงกับคำถามของเรา แต่เราอาจมีโอกาสน้อยที่จะพบข้อมูลที่ไม่
เจาะจงสำหรับคำถามของเราโดยบังเอิญ การไปที่ร้านหนังสือหรือห้องสมุดทำให้เราได้พบกับข้อมูล
อื่น ๆ ในลักษณะที่ไม่ได้กำหนดโดยโครงสร้างของอัลกอรธิ ึม “การขาดดุลโดยบงั เอิญทำใหน้ วัตกรรม
ยากขึ้น เพราะนวัตกรรมอาศัยการปะทะกันของความรู้และความคิดที่ไม่คาดคิด” ความอยากรู้ยัง
เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติมันเกี่ยวกับความรู้ที่เราต้องการสำรวจแต่ “คนที่อยากรู้อยากเห็นอย่าง
แท้จริงรู้วา่ เธอ ไม่รวู้ า่ เธอต้องการรู้อะไรเสมอไปดว้ ย”
4. เต็มใจถามคำถามโง่ๆ (Be Willing to Ask Dumb Questions) Mike Parker ซีอีโอ
ของ Dow Chemical กลา่ วว่า "ภาวะผ้นู ำท่ีไมด่ ีมักเกดิ จากการไรค้ วามสามารถหรือไมเ่ ต็มใจท่ีจะถาม
คำถาม หากได้ดูคนที่มีความสามารถคนที่มีไอคิวสงู กว่า การที่จะล้มเหลวในฐานะผู้นำ หากพูดได้เก่ง
มีความรมู้ ากมาย แต่ไมค่ อ่ ยเก่งในการถามคำถาม ดงั นน้ั ในขณะที่มีความรู้มากในระดบั สูง อาจไม่รู้ว่า
เกิดอะไรขึ้นในระบบ บางครั้งหากกลัวที่จะถามคำถาม แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือคำถามที่โง่ที่สุดนั้นทรงพลัง
มาก หากสามารถปลดล็อกการสนทนาได้” ถอดบทเรียน : เต็มใจที่จะถามคำถามทุกประเภท
แม้กระท่งั คำถามทอ่ี าจดูเหมือนโง่


63

5. ใส่ความคิดและข้อเท็จจริงมากมายในหัวของคุณ: อย่าพึ่ง Google (Put a Lot of
Ideas and Facts in your Head: Don’t Rely on Google) นักการศึกษาที่ก้าว หน้าอย่ า ง
Robinson วางกรอบความรู้ที่มีอยู่อย่างเป็นปรปักษ์กับแนวคิดใหม่ แม้แต่ในระดับพื้นฐานที่สุด
แนวคิดใหม่ทัง้ หมดของประกอบด้วยความคิดแบบเก่า…ในการสรา้ งสมาร์ทโฟน จำเป็นต้องรู้เก่ียวกับ
คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์” การทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กดดู ีเกนิ กว่าที่เป็นเพราะรกั ความ
บริสุทธิ์ของพวกเขา แต่ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดขึ้นเอง นักประดิษฐ์และศิลปินที่ประสบ
ความสำเร็จไดร้ วบรวมความรู้มากมายซึ่งพวกเขาสามารถนำไปใช้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเข้าใจกฎของโดเมน
แล้ว สามารถจดจอ่ กับการสร้างงานใหม่ได้ ผสมผสานแนวคดิ และประเด็นหลกั ใหม่อีกรอบ ทำให้เกดิ
การเปรยี บเทียบใหม่ ๆ และพบรูปแบบทไ่ี ม่ธรรมดา จนกว่าจะมีการพฒั นาอยา่ งสรา้ งสรรค์"

6. เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความสนใจในทุกสิ่ง (Be an Expert who is Interested in
Everything) “ในตลาดของพรสวรรค์ ผู้คนที่ต้องการมากที่สุดมักจะเป็นคนที่เสนอความเชี่ยวชาญท่ี
ไม่ค่อยมีคนมี แต่การมคี วามรู้อย่างกว้างๆ กม็ ีค่ามากข้ึนเช่นกัน แนวโนม้ ท้งั สองนี้มีความตึงเครียดซึ่ง
กันและกัน ควรมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเฉพาะทางหรือขยายฐานความรู้ที่มี" "นักคิดที่
อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะเติบโตในวันนี้และในอนาคตมีความผสมผสานในโลกที่มีการแข่งขันและ
ข้อมูลสูง สิ่งสำคัญคือ รู้เรื่องใหญ่หนึ่งหรือสองเรื่องและรู้ในเชิงลึกและรายละเอียดมากกว่าคนรุ่น
เดียวกันส่วนใหญ่ แต่หากต้องการจุดประกายความรู้นั้นจริงๆ ต้องมีความสามารถในการคิดเกี่ยวกับ
เรื่องนั้นจากมุมมองที่หลากหลาย และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิผลกับผู้ที่มีความ
เช่ยี วชาญที่แตกตา่ งกนั ”

7. อย่าพึ่งมุ่งความสนใจไปที่ปริศนา แต่เน้นเรื่องลึกลับ (Don’t Just Focus on
Puzzles but on Mysteries) “ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและข่าวกรอง Gregory Treverton
เคยสร้างความแตกต่างที่มีประโยชน์มากระหว่างปริศนาและความลึกลับ ปริศนามีคำตอบที่แน่นอน
เมื่อพบข้อมูลที่ขาดหายไป มันไม่ใช่ปริศนาอีกต่อไป ความหงุดหงิดที่รู้สึกเมื่อค้นหาคำตอบถูกแทนท่ี
ด้วยความพึงพอใจ ความลึกลับนั้นมืดมนและเรียบง่ายน้อยกว่า มันสร้างคำถามที่ไม่สามารถตอบได้
อยา่ งชัดเจน เพราะคำตอบมักขน้ึ อยกู่ บั ชดุ ปัจจัยทีซ่ ับซ้อนสงู และสมั พันธก์ ันท้ังที่รู้จกั และไม่ร้จู ัก”

“ปริศนาทำให้พึงพอใจในการตอบคำถามแม้ในขณะที่ตอบไม่ตรงประเด็นเลยก็ตาม สังคม
หรือองค์กรที่คิดแต่เรื่องปริศนาเท่านั้น คือสังคมที่มุ่งเป้าไปที่เป้าหมายที่ตั้งไว้มากกว่าที่จะมองถึง
ความเป็นไปไดท้ ่ียังมองไมเ่ หน็ ”

ดังนั้น "มุมมองสำคัญ" ออกจากโครงสร้างการเล่าเรื่องแบบเก่าเหล่านี้ ซึ่งทำให้เกิดความ
ลึกลับมากขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกสิ่งในการเล่าเรื่องสามารถอธิบายได้อย่างมีตรรกะในแบบที่ปริศนา
สามารถทำได้ ส่ิงนเี้ ปน็ จรงิ ในวทิ ยาศาสตร์ดว้ ย ดงั ท่ี Einstein กล่าวไว้ว่า “สิง่ สวยงามท่ีสดุ ทีเ่ ราสัมผสั
ได้คอื ความลกึ ลบั … มันเป็นแหลง่ กำเนิดของศลิ ปะและวทิ ยาศาสตร์ที่แทจ้ ริง”


64

โปรดทบทวน – แนวทางเพ่ือพฒั นาความอยากรู้ จากทัศนะของ Perina มีสาระสำคัญอะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
.......................................................................................................... .......................

หมายเหตุ - ศึกษาจากต้นฉบบั ภาษาองั กฤษ โปรด “คลิก” ดไู ด้จากเว็บไซตข์ ้างลา่ งนี้

https://www.psychologytoday.com/us/blog/finding-the-next-einstein/201407/seven-ways-be-
more-curious

Mitchell (2015) นกั คดิ และเขยี น ไดก้ ล่าวถึงแนวทางเพื่อพฒั นาความอยากรู้และกระตุ้น
ความอยากรขู้ องนักเรยี นไว้ 10 วิธี ดงั น้ี (10 Ways to Stimulate a Student's Curiosity)

1. ให้คุณค่าและตอบแทนความอยากรู้อยากเห็น (Value and Reward Curiosity)
บอ่ ยคร้งั ส่ิงลอ่ ใจคอื การให้รางวลั นกั เรียนเม่ือความอยากรู้อยากเห็น ซง่ึ นำไปสูผ่ ลลัพธ์ท่ีต้องการหรือ
ผลการเรียนที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตและตอกย้ำความอยากรู้ในการดำเนินการใดๆ เมื่อยกย่อง
นักเรียนโดยอธิบายว่าคำถาม การสำรวจ และการสืบสวนมีส่วนช่วยในการเรียนรู้ของตนเองหรือใน
ชั้นเรียนอย่างไร ทที่ ำใหร้ ู้ว่ามีค่าเพราะการมีแรงจูงใจโดยไมค่ ำนึงถงึ เกรดที่ได้

2. สอนนักเรียนให้ถามคำถามที่มีคุณภาพ (Teach Students How to Ask Quality
Questions) คำถามที่มีคุณภาพ เป็นสื่อกลางที่สำคัญสำหรับความอยากรู้ Google เก่งในการหา
คำตอบแต่ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดคำถาม คำถามที่ดีประกอบด้วย "ทำไม" "ถ้า" และ "อย่างไร" หนังสือท่ี
ยอดเยี่ยมสำหรับการทำความเข้าใจศิลปะการตั้งคำถามคือ A More Beautiful Question โดย
Warren Berger

3. สังเกตว่าเมื่อเด็กรู้สึกงงหรือสับสน (Notice When Kids Feel Puzzled or
Confused) มี "ชว่ งเวลาท่ีสอนได้" ทีจ่ ะจุดประกายความปรารถนาทจ่ี ะค้นหาคำตอบหรือไม่? หากจะ
ทำให้นักเรียนมองเหน็ ปญั หาเป็นความลกึ ลับทร่ี อการแก้ไขได้อย่างไร

4. ส่งเสริมให้นักเรียนดัดแปลง (Encourage Students to Tinker) การดัดแปลง
ซอ่ มแซมอาจเปน็ การเล่นกบั ความรสู้ ึก แนวคิด ความคิด และวสั ดุ ที่สรา้ งสรรค์ นกั เรยี นสามารถสร้าง


65

วิดเจต็ เรยี งความ บทความบลอ็ ก บทกวี การทดลองวทิ ยาศาสตร์ บรกิ าร หรอื ผลติ ภัณฑ์ใหมจ่ ากการ
สำรวจได้อย่างไร การปรับแต่งวัสดุ ความคิด และอารมณ์กระตุ้นความอยากรู้และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่
เป็นนวัตกรรมใหม่

5. กระจายความอยากรู้ไปรอบ ๆ (Spread the Curiosity Around) การสร้างโอกาส
สำหรับนักเรียนที่อยากรู้อยากเห็นมาก และนักเรียนที่ไม่อยากรู้อยากเห็นในการทำงานร่วมกันในการ
เรยี นรตู้ ามโครงงาน ความอยากรตู้ ิดต่อได้ในกลุ่มท่ที ำงานเพ่ือบรรลุเป้าหมายรว่ มกันในโลกแห่งความ
เปน็ จริง ช่วยในการผสมคำถามและแนวคิดใหม่ ๆ

6. ใช้เหตุการณ์ปัจจุบัน (Use Current Events) การรายงานข่าวสามารถชักนำให้
นักเรียนถามคำถามอย่างมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งช่วยค้นพบว่ามีอะไรอยู่ใต้พื้นผิวของปัญหาสังคม จากการ
วิจัย การถามว่า "ทำไม" เป็นส่วนประกอบสำคัญในการไขข้อขัดแย้งที่ยุ่งยากเหล่านี้ ซึ่งมักจะได้รับ
เหตผุ ลพ้นื ฐานว่าทำไมคนไม่เหน็ ด้วยกบั การแกป้ ญั หา

7. สอนนักเรียนให้เป็นคนขี้สงสัย (Teach Students to be Skeptics) คำว่า ขี้สงสัย
(Skeptic) มาจากภาษากรกี skeptikos หมายถึง "สอบถาม" หรอื "มองไปรอบ ๆ" คนขีส้ งสยั ต้องการ
หลักฐานเพิ่มเติมก่อนที่จะยอมรับคำกลา่ วอ้างของใครบางคนว่าเป็นความจรงิ หรือหากเต็มใจที่จะท้า
ทายสภาพที่เป็นอยู่ด้วยการตั้งคำถามอย่างเปิดกว้างและลึกซึ้ง ดังที่ Galileo เป็นคนขี้สงสัย Steve
Jobs ก็เชน่ กนั

8. สำรวจวัฒนธรรมและสังคมที่หลากหลาย (Explore a Variety of Cultures and
Societies) วัฒนธรรมหรือสังคมหนึ่งแตกต่างจากที่อื่นอย่างไร? กระตุ้นให้นักเรียนตรวจสอบความ
เชื่อมโยงทางพันธุกรรมหรืออารมณ์กับวัฒนธรรมอื่น เหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับความเชื่อหรื อค่านิยม
บางอย่างที่สังคมอนื่ ยดึ ถอื

9. สร้างแบบจำลองความอยากรู้ (Model Curiosity) สามารถทำเชน่ น้ไี ด้ในความสัมพันธ์
ที่เป็นทเี่ คารพนบั ถอื ของนักเรียนโดยสำรวจความสนใจ ขยายแนวคิด และมสี ว่ นรว่ มในการสนทนาท่ีมี
ความหมายเกีย่ วกบั สิง่ ทมี่ ีสว่ นสำคญั ที่สดุ

10. ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นที่บ้าน (Encourage Curiosity at Home) ช่วยให้
ผู้ปกครองเข้าใจถึงความสำคัญของความอยากรู้อยากเห็นในการพัฒนาของลูก และแนะนำวิธีท่ี
สามารถฟูมฟักความอยากรู้อยากเห็นได้ที่บ้าน ผู้ดูแลที่ให้การสนับสนุนอาจสร้างผลกระทบอย่างมาก
ต่อการพัฒนาความอยากร้แู ละความสามารถทจ่ี ำเป็นอ่นื ๆ


66

โปรดทบทวน – แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะของ Mitchell มี
สาระสำคญั อะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
.......................................................................................................... .......................

หมายเหตุ - ศกึ ษาจากตน้ ฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดไู ดจ้ ากเวบ็ ไซตข์ ้างล่างนี้

https://www.edutopia.org/blog/8-pathways-curiosity-hungry-mind-marilyn-price-mitchell

Kowald (2015) นักส่งเสริมและสรา้ งกลยุทธิ์ ได้กล่าวถึงแนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้
และกระตุ้นความอยากรู้ของนักเรียนไว้ 5 วิธี ดังนี้ (5 Strategies to Inspire Curiosity In
Students)

1. มีความอยากรู้อยากเห็นในตัวเอง สร้างทัศนคติที่เปิดกว้างและอยากรู้อยากเห็นต่อ
กิจกรรม ความคิด ผู้คน และวัฒนธรรมทั้งที่ใหม่และคุ้นเคย (Be Curious Yourself. Model an
Open, Inquisitive Attitude to New and Familiar Activities, Ideas, People, and Cultures)
ความอยากรอู้ ยากเหน็ น้ันเกดิ ได้ด้วยหลายวิธี การลองกีฬาใหม่ เร่ิมงานอดิเรกใหม่ หรอื เรียนหลกั สูตร
ออนไลน์ในวิชาที่ไม่คุ้นเคย หาคนที่มีภูมิหลังและมุมมองต่างกัน จากนั้นตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาจะพูด
ในขณะที่เผชิญกับความท้าทายใหม่เหล่านี้ แบ่งปันประสบการณ์กับนักเรียน - ความตื่นเต้น รางวัล
และความทา้ ทาย ในกระบวนการน้ี จะสรา้ งแรงบนั ดาลใจใหน้ ักเรียนจัดการกบั วชิ าใหม่ ๆ และอดทน
ต่อความอดึ อดั ในช่วงแรก ๆ ทีม่ กั มาพรอ้ มกบั การเรียนรู้ส่ิงท่ีไม่ค้นุ เคย

2. การถามคำถามและตอบคำถาม (Ask Questions and Question Answers) หากเคย
ได้ยินคำพูดที่ว่า "มันคือการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง" เมื่อพูดถึงความอยากรู้ สิ่งสำคัญคือ
คำถามไม่ใช่คำตอบที่ดึงดูดนักเรียน จุดหมายปลายทางมีค่าและจะให้รางวัลแก่การทำงานหนักของ
นักเรียน อย่างไรก็ตาม การเดินทางทำให้ผลลัพธ์นั้นน่าตื่นเต้นและน่าพอใจยิ่งข้ึน ความอยากรู้อยาก
เห็นทำให้เกิดการเดินทางและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ก้าวต่อไป ไม่ว่าเส้นทางจะคดเคี้ยวแค่ไหน จาก


67

คำถามทำไมนักเรียนไม่ชอบโรงเรียนล่ะ (Why Don't Students Like School?) นักวิทยาศาสตร์
ดา้ นความร้คู วามเขา้ ใจ ดังท่ี Daniel Willingham ให้เหตุผลวา่ การมุ่งความสนใจไปทีค่ ำตอบก่อนจะ
ลดความอยากรู้อยากเหน็ ตามธรรมชาติของนกั เรียนลง ต้องถามคำถามปลายเปิดที่กระตุ้นให้พวกเขา
คน้ หาคำตอบของตนเอง - คำถามทีไ่ ม่สามารถตอบไดด้ ้วยการตอบว่าใช่หรือไมใ่ ช่ หรือยกั ไหล่ เพ่ือให้
นกั เรยี นสร้างความเก่ียวขอ้ งกับเนอ้ื หา คำถามปลายเปิดสามารถเรม่ิ ตน้ ด้วยวลีเชน่ :

- จะเกดิ อะไรขึ้นถ้า…
- จะเปน็ อยา่ งไรหาก…
- ทำไม…
- เราจะรู้ไดอ้ ย่างไรว่า…
- คุณคดิ อยา่ งไรเมอ่ื ...
3. พิจารณารูปแบบ FQR : ขอ้ เท็จจริง, คำถาม, คำตอบ (Consider the format FQR:
Fact, Question, Response) เมื่อนำเสนอข้อเท็จจริงใหม่ ขยายด้วยคำถาม ตัวอย่างเช่น "
Beethoven ยังคงแต่งเพลงในขณะที่การได้ยินของเขาแย่ลง ความสงสัยว่าเขารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับ
เรื่องนั้น" คำตอบของนักเรยี นอาจเปน็ "หรือจะรู้สึกกลัวและโกรธ" และเมื่อเป็นแบบอย่างนักเรียนจะ
ได้เรียนรูก้ ารวางกรอบคำถามของตนเองและตั้งคำถามกับคำตอบ ดังคำพูดของ George Carlin ที่ได้
กลา่ วไว้ "อยา่ เพยี งแคส่ อนลูกของคุณให้อ่าน แตส่ อนใหพ้ วกเขาต้ังคำถามในส่ิงที่พวกเขาอ่านก่อน"
4. ฝึกฝนและส่งเสริมการฟังอย่างกระตือรือร้น (Practice and Encourage Active
Listening) แน่นอนว่าคำถามที่ดีจะไม่มีประโยชน์ถ้าไม่มีใครฟัง เมื่อตั้งใจฟังของนักเรียน หากกำลัง
แสดงใหเ้ ห็นว่าการทสี่ ามารถดำเนินชีวิตด้วยความอยากรู้อยากเห็นและส่ือสารอย่างมปี ระสิทธิภาพได้
อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น แสดงให้นักเรียนเห็นถึงวิธีการฟังอย่างตั้งใจ วิธีตีกลับหรือถอดความคิดเห็น
ของผพู้ ูด และวธิ ถี ามคำถามทส่ี รา้ งข้อมูลเพ่ิมเตมิ และอาจสร้างคำถามมากข้นึ
5. มองหาจุดเชื่อมโยงเรื่องที่ "ไม่น่าสนใจ" หรือวิชาที่ยากโดยเชื่อมโยงตรงกับความ
สนใจและชวี ิตประจำวนั ของนักเรียน (Look for the Hook; Relate "Uninteresting" or Difficult
Subjects Directly to your Student's Interests and Daily Life) ข้อดีอย่างหนึ่งของการเรียนรู้
ออนไลน์ที่เป็นเฉพาะบุคคล คือความสามารถในการปรับแต่งบทเรียนให้เข้ากับความสนใจ จุดแข็ง
และความท้าทายของนักเรียน หากนักเรียนของรักกีฬา ให้หาเกมการแข่งขันโปรดผ่านสถานที่แข่ง
(ภูมิศาสตร์) สถติ ิการแขง่ ขนั (คณิตศาสตร์) หรือภมู หิ ลังของผเู้ ล่นคนโปรด (ไดอารห่ี รือชีวประวัติ) ชื่อ
ทมี สามารถมีเรื่องราวเบอื้ งหลังทน่ี ่าทึ่งได้ หรอื ด้วยจุดเช่ือมโยงทเี่ หมาะสมกับความสนใจของนักเรียน
ความสามารถเปลี่ยนเกือบทุกวิชาให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าสนใจได้อย่างสมบูรณ์แบบนำเสนอ
ข้อมูลใหม่เป็นส่วนๆ ไป ตอนนี้หากได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนแล้ว อย่าเสี่ยงที่จะ
ทำลายมนั ดว้ ยขอ้ มลู ทีล่ ้นเกิน จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าทุก ๆ 10 นาทขี องบทเรยี น นักเรียนต้องใช้


68

เวลาอย่างน้อย 2 นาทีในการประมวลผลสิ่งที่ได้เรียนรู้ การพักผ่อนทั้งทางร่างกายและจิตใจช่วยให้
ร่างกายและสมองได้ฟื้นฟูตัวเอง ดังนั้นให้ใช้กลยุทธ์ 10/2 หรือ "แบ่งส่วนและเคี้ยว" การนำเสนอ
ข้อมูลใหม่โดยแบ่งเปน็ ช่วงย่อย 10 นาทีและจำกดั ไว้เพียง 2-3 ประเด็นหลัก จะช่วยให้นักเรียนสนใจ
และเขา้ ใจขอ้ มลู ได้ง่ายข้นึ

โปรดทบทวน – แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะของ Kowald มี
สาระสำคัญอะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
.......................................................................................................... .......................
หมายเหตุ - ศึกษาจากต้นฉบับภาษาองั กฤษ โปรด “คลกิ ” ดูไดจ้ ากเวบ็ ไซตข์ ้างลา่ งน้ี

https://www.connectionsacademy.com/support/resources/article/-strategies-to-inspire-
curiosity-in-students

Lawrence (2019) ได้กล่าวถึงแนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้และกระตุ้นความอยากรู้
ของนกั เรยี นไว้ 10 กลยุทธ์ (10 Strategies to promote Curiosity in Learning) ไว้ ดังนี้

1. ส่งเสริมคำถามเกี่ยวกับอะไรก็ได้ (Encourage Questions about Anything) เด็ก
อยากรอู้ ยากเหน็ เกย่ี วกบั ทุกสิ่ง อยา่ งไรกต็ าม ส่วนใหญม่ ักอายท่จี ะถามคำถาม ความเขนิ อายนเี้ กิดข้ึน
เนื่องจากเด็กๆ ไม่แน่ใจว่าผู้ใหญ่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อถูกถามเกี่ยวกับบางสิ่ง เป็นที่เข้าใจกันว่า
คำถามเหล่านี้บางคำถามอาจดูน่าอายหากถูกถามในที่สาธารณะ กลยุทธ์แรกในการส่งเสริมความ
อยากร้ใู นการเรยี นรู้ คือการกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนถามคำถาม ตอ้ งใหก้ ารรบั รองว่าจะไมม่ ีเสียงหัวเราะหรือ
เยาะเยย้ คำถามนัน้ และทำให้รู้สกึ มน่ั ใจว่า หากจะตอบคำถามน้ันอย่างตรงไปตรงมาและในวิธีที่เข้าใจ
ง่ายที่สุด เมื่อผู้เรียนมั่นใจว่าคำถามจะไม่ทำให้เกิดความอับอายหรือปัญหาใด ๆ ก็จะเต็มใจถามมาก
ขน้ึ สง่ิ น้ีแปลวา่ ความอยากรู้เพ่ิมขึ้นโดยอัตโนมัติเน่ืองจากคำตอบจะทำให้เกิดคำถามมากขึ้น จนกว่า
สมองจะได้รับข้อมูลท่พี งึ พอใจ


69

2. ให้รางวลั ความอยากรอู้ ยากเหน็ ในหม่ผู เู้ รียน (Reward Curiosity among Learners)
นักเรียนจำนวนมากระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนเพราะกลัวการเยาะเย้ย ความอับอาย หรือ
แม้แต่การลงโทษ ความกลัวนี้สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย เมื่อเริ่มให้รางวัลความอยากรู้อยาก
เห็น เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ลูกกวาดแท่งหรือช็อกโกแลตสำหรับคำถามทุกข้อเพร าะ
มนั สามารถพสิ ูจน์ได้ว่ามีราคาแพง ในทางกลบั กันการตบเบา ๆ ที่ดา้ นหลงั และชมเชยต่อหน้าเพ่ือน ๆ
เป็นการให้รางวัลที่ได้ผลอย่างอัศจรรย์ เมื่อให้รางวัลกับความอยากรู้อยากเห็น คนอื่นที่กำลังระงับ
ความอยากรู้และได้รับแรงกระตุ้นนั้นให้แสดงออกมาและแสวงหาคำตอบ จงสรรเสริญและให้รางวัล
กบั งานมหศั จรรยท์ ไี่ ม่เหมือนใคร ซง่ึ สามารถใชก้ ลยุทธ์งา่ ยๆ นีเ้ พ่ือส่งเสรมิ ความอยากรูอ้ ยากเห็นได้

3. อนุญาตให้สำรวจด้วยตนเอง (Allow Exploration by Self) แทนที่จะให้คำตอบหรอื
สอนการเรียนรู้เกี่ยวกับผลลัพธ์ ให้นักเรียนมีพื้นที่สำหรับการสำรวจ ให้ผู้เรียนสำรวจตัวเลือกต่างๆ
เกี่ยวกบั ส่งิ ท่ีอาจเปน็ ผลลัพธ์ของการทดลองหรือการคำนวณทางคณติ ศาสตร์ จดั เตรียมแหล่งข้อมูลที่
เป็นประโยชน์ในการค้นหาคำตอบที่เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น หากสามารถบอกใบ้โดยใช้สารานุกรมที่
ห้องสมุดกับนักเรียนในขณะที่สอนบางอย่างเกี่ยวกับเมฆหรือฤดูกาล เป็นต้น วิธีนี้จะช่วยให้ผู้เรียน
คน้ หาคำตอบด้วยตนเองและทำใหก้ ารเรยี นร้แู บบสำรวจต่างๆ แทนทีจ่ ะศึกษาในห้องเรยี นเพียงอย่าง
เดียว

4. การทดลองและการศึกษาด้วยตนเอง (Experimentation and Self Study) ในขณะ
ที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ให้เพิ่มบทเรียนด้วยการทดลองที่เรียบง่ายและใช้งานได้จริงเมื่อทำได้ ที่จริง
แล้วหากสามารถอนุญาตใหผ้ เู้ รียนทำการทดลองท่เี รียบงา่ ยและไม่เปน็ อันตรายท่ีบ้านได้ ตัวอย่างเช่น
การขอใหน้ กั เรียนเพาะเมลด็ และเฝ้าดูการแตกหนอ่ และพฒั นาเป็นพชื ขนาดเลก็ จะเป็นประโยชน์อย่าง
ยง่ิ ในการทดลองดังกล่าว ผเู้ รยี นร้สู ึกยินดที ี่ได้เห็นเมล็ดเติบโตเป็นขั้นๆ นอกจากนย้ี ังทำให้เกิดคำถาม
เกี่ยวกับดิน สภาพภูมิอากาศ น้ำ ปุ๋ย แมลงศัตรูพืช และหัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องอีก
มากมาย นอกจากนี้นักเรียนยังสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เพื่อนๆ ค้นพบจากการทดลอง สิ่งนี้ช่วยปรับปรุง
ประสบการณก์ ารเรียนร้โู ดยรวมของพวกเขาได้

5. สร้างโครงการกลุ่ม (Create Group Projects) ไม่ว่าจะสอนภาษา คณิตศาสตร์
ประวัติศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ มีขอบเขตเพียงพอในการสร้างโครงงานกลุ่ม แบ่งนักเรียนออกเป็น
กลุ่ม อย่างไรกต็ ามทักษะเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการสรา้ งกลุม่ : ต้องใชว้ จิ ารณญาณในการจัดตั้งกลุ่ม
ของผู้เรียนที่อยากรู้อยากเห็นมากกับคนที่ไม่มีความอยากรู้อยากเห็น การทำงานร่วมกันในโครงการ
กลุ่มทำให้ผู้เรียนรู้สึกมีส่วนร่วม จะพยายามใช้ทักษะของตนเพื่อแข่งขันกับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม
หากรู้สึกว่าล้าหลังก็จะพยายามติดตามเพื่อนๆ โดยการมีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับ
โครงการและวธิ ีที่สามารถช่วยเหลือได้


70

6. อยากรู้อยากเห็นที่บ้าน (Curiosity at Home) ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นในการ
เรียนรู้ที่โรงเรียนเป็นเลิศ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามเหล่านี้ด้วยการส่งเสริมความ
อยากรู้อยากเห็นนอกสถาบันการศึกษา สามารถทำได้โดยการพูดคุยกับผู้ปกครอง นี่เป็นสิ่งสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะผู้ปกครองเป็นผู้ให้การศึกษาคนแรกสำหรับผู้เรียนทุกคนน่าเสียดายที่
ผู้ปกครองสว่ นใหญท่ ุกวันนี้ไมค่ ่อยมีเวลาอยูก่ บั ลูก สิง่ น้เี กดิ ข้ึนเนื่องจากแรงกดดันทางการเงินทีอ่ าจทำ
ให้ทั้งคู่ทำงานและหาเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของครอบครัว เน้นความสำคัญของคำถาม
กระตนุ้ เตอื นจากเด็กและให้คำตอบอย่างสุดความสามารถ

7. ใช้ตัวอย่างที่ดี (Use Great Examples) ในทุกด้านของการเรียนรู้ ภาษา วิทยาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ และอื่นๆ มีผู้บุกเบิก ตัวอย่างเช่น Isaac Newton สงสัยว่าเหตุใดแอปเปิลจึงตกลงสู่
พน้ื ซง่ึ นำไปสู่การคน้ พบแรงโน้มถ่วง ขณะทพ่ี นี่ อ้ ง Wright อยากรู้ว่ามนุษย์สามารถบินได้อย่างไร เมื่อ
พูดถึงความยิ่งใหญ่ที่ผู้บุกเบิกทำได้เพราะความอยากรู้อยากเห็น เน้นว่าผู้เรียนสามารถทะยานไปสู่
จดุ สูงสดุ ไดอ้ ย่างไรเพยี งแค่ถามคำถามที่ถกู ต้องและพยายามคน้ หาคำตอบ

8. ค้นหาความหลงใหลและความชอบ (Identify Passions & Likes) ผู้เรียนทุกคนจะมี
ความกระตือรือร้นหรือชอบหัวข้อเฉพาะ สิ่งนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นการโน้มเอียงโดยกำเนิดต่อวิชา
หรือสาขาวิชา เนื้อหานี้อธิบายว่าทำไมผู้ที่อ่อนวิชาคณิตศาสตร์จึงเก่งด้านวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่ไม่
เข้าใจภาษาจึงกลายเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม กลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมในการส่งเสริมความอยากรู้
อยากเหน็ คอื การขอให้ผู้เรยี นคน้ หาขอ้ มูลเพม่ิ เติมเกยี่ วกับหัวข้อทสี่ นใจ หากผูเ้ รยี นหลงใหลในบางส่ิง
มาก แนะนำใหเ้ ริม่ สร้างบล็อก อนั ทจ่ี ริงนักเรยี นสามารถเปิดบล็อกไซต์ฟรีบนแหล่งข้อมูลออนไลน์ดีๆ
อย่าง Blogger.com หรือ Wix.com ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นแหล่งรายได้ในภายหลัง ผสมผสานสิ่งท่ี
คน้ พบกบั การเรยี นรเู้ ป็นประจำ สิ่งนี้สามารถพสิ ูจนไ์ ด้ยากเลก็ นอ้ ย ดว้ ยความพยายามทสี่ ามารถบรรลุ
ความสมดลุ ระหว่างความสนใจและการเรยี นร้สู ่ิงอนื่

9. ดูทีวีและอ่านหนังสือพิมพ์ (Reading TV & Newspapers) การส่งเสริมให้ผู้เรียนดูทวี ี
และอ่านหนังสือพิมพ์เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมในการส่งเสริมการเรียนรู้ ที่นี่หากไม่ได้พูดถึง
ภาพยนตร์และละคร ช่วยให้นักเรียนได้ดูช่องต่างๆ เช่น Discovery, National Geographic, The
History Channel และช่องอื่นๆ ที่คล้ายกันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ได้ หากนักเรียนเริ่มสงสัยเกีย่ วกบั
ส่งิ ที่กำลงั ดูในทวี ีและจะมีคำถามเก่ียวกบั สง่ิ ที่เหน็ เช่นเดยี วกบั หนังสือพิมพ์ทีม่ ีเหตุการณ์ปัจจุบัน มัน
สรา้ งความอยากรู้เก่ียวกบั เหตกุ ารณท์ ่ีเกิดข้นึ ในพื้นท่ีเฉพาะและทอี่ ื่นๆ ได้

10. เลิกใช้แบบเรียน (Move Away from Text Books) โดยปกติ ผู้เรียนทุกคนมองว่า
หนังสือเรียนเป็นเรื่องธรรมดาและน่าเบื่อ สำหรับนักเรียนดังกล่าว แสดงว่ามีตัวเลือกอื่นในการรับ
ความรู้ด้วย ซึ่งรวมถึงพจนานุกรม สารานุกรม เว็บไซต์การศึกษา และหนังสือที่เรียบง่ายแต่เช่ือถือได้
ซึ่งเขียนโดยนักเขียนที่ดี การเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการผ่านหนังสืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ตำราเป็นกลยุทธ์ที่


71

ยอดเย่ียมในการส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็น เน่ืองจากหนังสือการเรยี นรู้เหล่านี้จะมีข้อมูลเก่ียวกับ
หัวข้ออีกมากมาย จงึ เป็นเร่อื งธรรมดาทผ่ี ้เู รยี นจะอยากรอู้ ยากเห็นและอ่านหัวข้อเหลา่ นัน้ ด้วย

โปรดทบทวน – แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะของ Lawrence มี
สาระสำคัญอะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
..................................................................................................................... ............
หมายเหตุ - ศกึ ษาจากตน้ ฉบบั ภาษาอังกฤษ โปรด “คลกิ ” ดูได้จากเวบ็ ไซต์ขา้ งล่างนี้

https://edugorilla.com/10-strategies-to-promote-curiosity-in-learning/#

Mario (2020) นักวเิ คราะห์และการศึกษา ไดก้ ลา่ วถึงแนวทางเพ่อื พัฒนาความอยากรู้และ
วิธีส่งเสริมความอยากรู้ของนักเรียนเมื่อเรียนที่บ้าน (How to Promote Curiosity in your
Students when Learning from Home) ไว้ 5 ประการ ดังน้ี

1. ส่งเสริมคำถามและแนะนำวิธีใหม่ๆ ในการจับภาพ (Encourage Questions and
Introduce New Ways to Capture Them) การถามคำถามจากนักเรียนเมื่อกำลังเรียนรู้ทางไกล
สามารถทำได้ง่ายพอๆ กับการปรับภาษาเมื่อแนะนำหัวข้อหรือให้คำแนะนำเป็นครั้งแรก อย่าถามว่า
นักเรียนมีคำถามหรือไม่ – ให้ลองถามคำถามว่ามีคำถามอะไร การตั้งสมมติฐานว่าเลยว่ามีคำถาม
และการใหพ้ ้ืนทแี่ ละเวลาในการนึกถึงคำถามเหล่านัน้ จะกระตนุ้ ให้นกั เรยี นแบ่งปันคำถามได้ แผนภูมิ
KWL (รู้ อยากรู้ เรียนรู้) อาจเป็นเครื่องมือที่ดีในการใช้ที่นี่ เม่ือแนะนำวิชานี้แล้วและหากได้ทำงาน
ผ่าน 'บทเรียน' แล้ว ให้แชร์แผนภูมิกับนักเรียนและขอให้ทำให้เสร็จและส่งคืน กระตุ้นให้นึกถึงสิ่งที่
เรยี นรู้อย่แู ลว้ และ – ที่สำคญั – คอื สง่ิ ที่ตอ้ งการรู้ด้วย

2. เป็นต้นแบบความอยากรู้อยากเห็นด้วยตนเองและเป็นผู้ร่วมเรียนรู้ (Model
Curiosity yourself and be a Co-learner) นำโดยการทำเป็นตัวอย่างและแสดงให้นักเรียนเห็นว่า
หากสนใจและตื่นเต้นกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ การเปลี่ยนวิธคี ิดอาจสร้างความแตกต่างอย่างมาก แทนท่ี


72

จะคิดถึงสิ่งที่กำลังสอน ให้วางกรอบบทเรียนในแง่ของวิธีที่นักเรียนกำลังเรียนรู้ในขณะนี้ แทนที่จะ
คอยรบั ความรูจ้ ากผู้เช่ยี วชาญในสถานการณใ์ นห้องเรยี น ใหก้ ระตนุ้ ให้นักเรยี นเรียนรวู้ ิธีคน้ หาสงิ่ ต่างๆ
ด้วยตนเอง หากเปน็ ต้นแบบความอยากรู้อยากเห็น จะกระตอื รอื รน้ มากขึน้ ที่จะหาข้อมลู ในหัวข้อใดๆ
ท่ีกำลงั ทำอยู่ วธิ ีเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ในการทำเช่นน้ีคือ เร่ิมบทเรียนหรือแผ่นงานโดยบอกนักเรียนว่าหากไม่
คอ่ ยร้เู กย่ี วกับหวั ขอ้ นี้มากนกั แต่หากรู้สึกต่นื เตน้ ท่ีจะไดเ้ รยี นรรู้ ว่ มกันดว้ ย

3. จับคู่การพัฒนาทักษะกับหัวข้อที่น่าสนใจ (Match Skill Development with
Interesting Topics) ตอ้ งคิดใหด้ เี กีย่ วกับจุดเนน้ ในบทเรียน ว่าอะไรคอื สง่ิ สำคัญท่นี ักเรียนต้องเรียนรู้
และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหากทำจริงจากระยะไกล หรือหากกำลังฝึกทักษะอยู่ ก็ปล่อยให้การฝึกฝน
ทักษะนั้นในแบบของตนเอง ตัวอย่างเช่น หากเด็กวัยประถมกำลังเรียนรู้วิธีวัดสิ่งต่าง ๆ ในวิชา
คณิตศาสตร์โดยใช้หน่วยเซนติเมตร ให้ส่งเสริมให้วัดของเล่นชิ้นโปรดที่บ้านและถ่ายภาพพร้อม
คำอธิบายประกอบรปู ภาพแสดงความยาว หรือหากกำลงั สอนทักษะการวจิ ยั อันมีคา่ แก่นักเรียนที่อายุ
มากข้นึ กป็ ล่อยให้ทำวจิ ัยและนำเสนอในหวั ข้อที่ตนเลือก ไมจ่ ำเป็นต้องเป็นการนำเสนอสด สไลด์โชว์
ผลงานวจิ ยั ท่ีสามารถสง่ อีเมลให้ได้ก็มีค่าพอๆ กนั

4. สอนจากหลากหลายมุมมอง (Teach from a Variety of Perspectives) เป็นการ
กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนโดยแสดงให้เห็นว่ามีมุมมองที่แตกต่างกันในเรื่องเดียวกัน
สิ่งนี้จะกระตุ้นให้รู้จักคิดและพัฒนามุมมองของตนเองในสิ่งต่าง ๆ วิกฤตในปัจจุบันเป็นตัวอย่างที่ดี
ของมุมมองที่แตกต่างกันของแต่ละคน: นักเรียนมองโรคระบาดครั้งใหญ่และการเรียนรูท้ ีบ่ ้านอยา่ งไร
เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั พีน่ อ้ งหรือพอ่ แม่หรือปูย่ ่าตายายหรอื เพื่อนในครอบครวั ท่ีแยกตัวตามลำพัง ถา้ เปน็
ครูสอนประวัติศาสตร์ ส่งเสริมเสียงและเนื้อหาที่มีความสำคัญน้อยกว่าเพื่อแสดงให้นักเรียนมี
ทางเลือกแทนการเล่าเรื่องในหนังสือประวัติศาสตร์ หากกำลังอ่าน Jane Eyre กับนักเรียน การ
แบ่งปันขอ้ ความท่ตี ดั ตอนมาจาก Wide Sargasso Sea หรอื หากกำลังศึกษาเกี่ยวกบั ส่ือ แบง่ ปันความ
คิดเห็นสองอย่างในหัวข้อเดียวกันให้ฟัง การสนับสนุนให้ผู้เรียนแยกแยะและวิเคราะห์มุมมองท่ี
แตกตา่ งกนั จะชว่ ยพฒั นาทักษะการคดิ เชิงวพิ ากษ์ด้วย

5. ให้นักเรียนมีทางเลือกและความเป็นอิสระ (Give Students Choice and
Independence) นักเรียนที่มีอิสระจะมีส่วนร่วมมากขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นใน
ห้องเรียนหรือเป็นสว่ นหนึ่งของโปรแกรมการเรยี นทางไกล แน่นอนว่าการกำกบั ดแู ลของครูยังคงเปน็
สง่ิ สำคญั แตแ่ ทนที่จะแสดงบทบาทของผเู้ ช่ยี วชาญที่บอกผเู้ รยี นว่าต้องทำอะไร พยายามมองว่าตวั เอง
เป็นหัวหน้านักวิจัย ซึ่งไม่ต้องการที่จะปอ้ นข้อมูลกับเหล่านั้นบนจาน แต่สามารถกระตุน้ ความอยากรู้
อยากเห็นได้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมแล้วแนะนำให้รู้จักค้นคว้าด้วยตัวเอง ให้คิดอย่างมีวิจารณญาณและ
แบ่งปันงานวจิ ยั ดว้ ยความกระตือรือร้นและความตืน่ เต้น การเรียนรทู้ บ่ี ้านเป็นโอกาสสำหรับในการใช้
ประโยชน์จากความเปน็ อสิ ระนีใ้ หเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสดุ


73

โปรดทบทวน – แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะของ Mario มี
สาระสำคัญอะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
.......................................................................................................... .......................
หมายเหตุ - ศกึ ษาจากตน้ ฉบบั ภาษาองั กฤษ โปรด “คลิก” ดไู ดจ้ ากเวบ็ ไซต์ขา้ งล่างนี้

https://blog.pearsoninternationalschools.com/how-to-promote-curiosity-in-your-students-
when-learning-from-home/

Education Week (2561) เป็นองค์กรข่าวอิสระที่ครอบคลุมการศึกษา ได้กล่าวถึง
แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้และการส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนในห้องเรียนไว้ 7
ประการ ดังน้ี

1. เทคนคิ การกำหนดคำถาม (The Question Formulation Technique) เป็นกลยทุ ธ์ท่ี
เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่พัฒนาโดยสถาบันคำถามที่ถูกต้อง (The Right Question Institute) ซ่ึง
นักการศกึ ษาท่วั โลกใชเ้ พอื่ สอนนักเรียนถึงวธิ ีกำหนด ทำงาน และใช้คำถามของตนเอง

2. การเรียนรู้จากโครงงาน (Project-Based Learning : PBL) เป็นแนวทางการเรียนรู้ท่ี
เน้นการสอบถามของนักเรียนและการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนโดยนักเรียน มีแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยม
เก่ียวกบั PBL ที่ TeachThought, P21 และ Buck Institute for Education

3. แหล่งข้อมูลเบื้องต้น (Primary Source Materials) จาก Library of Congress และ
Inquiry Design Model จากครู C3 เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในการวางแผนร่วมกันเพื่อเริ่มต้นการ
เรยี นรู้ท่ีขบั เคล่อื นด้วยนักเรียน

4. Wonderopolis มีแหล่งข้อมูลและเนื้อหาหลากหลายสาขาวิชาเพื่อสนับสนุนการคิด
อย่างมีวจิ ารณญาณและความอยากรู้อยากเหน็ ของนักเรียน


74

5. Genius Hour มีสื่อและทรัพยากรมากมายเพื่ออำนวยความสะดวกชั่วโมงอัจฉริยะใน
ห้องเรยี น

6. ความคิดที่มองเห็นได้ (Visible Thinking) คือแนวทางการวิจัยจาก Project Zero ที่
ส่งเสรมิ การคิดและความอยากรู้อยากเหน็ ของนกั เรยี น

7. Recap เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ครูสามารถใช้เพื่ออำนวยความ
สะดวกในการสนทนาทีเ่ น้นคำถามได้

โปรดทบทวน – แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะของ Education
Week มสี าระสำคัญอะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
..................................................................................................................... ............
หมายเหตุ - ศกึ ษาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลกิ ” ดไู ดจ้ ากเวบ็ ไซตข์ า้ งลา่ งนี้

https://www.edweek.org/leadership/opinion-facilitating-student-curiosity-strategies-and-
resources/2018/01

Encyclopædia Britannica, Inc. (n.d.) เปน็ บริษัทสัญชาติอังกฤษ-อเมริกนั ทเี่ ปน็ ที่รู้จัก
จากการเผยแพร่สารานุกรมบริแทนนิกา ซึ่งเป็นสารานกุ รมท่ีเก่าแก่ที่สดุ ในโลกที่ตีพิมพ์อยา่ งต่อเนื่อง
ได้กล่าวถึงแนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้และวิธีในการปรับปรุงความอยากรู้ไว้ 10 ประการ (10
Ways to Improve Your Curiosity) ดงั น้ี

1. เติมพลังความหลงใหลของคุณ (Power Up Your Passion) ดังที่ขงจื๊อเคยกล่าวไวว้ ่า
“จงเลือกงานที่คุณรัก แล้วชีวิตคุณจะไม่มีวันทำงาน” เมื่อพูดถึงการเรียนรู้ เราอาจใช้ถ้อยคำใหม่ว่า
“ค้นหาสิ่งที่คุณหลงใหลและมันจะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สนุกสนานอย่างต่อเนื่อง ” แล้วคุณล่ะ
หลงใหลเกี่ยวกับอะไร? ไม่ว่าจะเป็นการอ่านนิยายแฟนตาซี การเดินป่า เรียนสัตวแพทยศาสตร์ หรือ


75

อะไรก็ได้ในโลกน้ี การดำด่ิงในสิ่งทร่ี ักเป็นวธิ ีทีย่ อดเยี่ยมในการทำให้ความอยากรู้อยากเห็นที่หล่ังไหล
ออกมา

2. ถามคำถามที่ยอดเยี่ยม (Ask Awesome Questions) คำถามที่ดีสามารถสร้างความ
แตกต่างระหว่างการสนทนาที่นา่ เบอ่ื กับบทสนทนาทนี่ ่าเหลือเช่ือได้ และเคลด็ ลบั ในการสนทนาท่ีดีคือ
ความอยากรู้อยากเห็น ตามที่ Terry Gross พิธีกรของ NPR กล่าวในการสัมภาษณ์ของ NYTimes
ดังนั้นการที่อยากรู้อยากเห็นจึงก้าวไปข้างหน้าแล้ว การถามคำถามปลายเปิด เช่น "บอกฉันเกี่ยวกับ
ตัวคุณ" เป็นขั้นตอนที่ถูกต้อง การพิจารณาว่า “ทำไม” เป็นอีกก้าวที่ดี : “ทำไมคุณถึงเชื่ออย่างนั้น”
“ทำไมมนั ถึงสำคญั กับคุณ” แนวทางทีอ่ บอุ่นและจริงจงั จะทำใหค้ สู่ นทนารู้สกึ สบายใจขึ้น

3. สอนและรับการสอน (Teach and Be Taught) หากเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องราวโลกทัศน์
หรือทักษะที่น่าสนใจมากมายที่เพื่อนและสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนมีหรือไม่? ครั้งต่อไปหากรู้สึก
เบื่อ อย่าหยิบโทรศพั ท์หรือจอยควบคุมวดิ โี อเกม ให้ถามใครสกั คนเกี่ยวกับความทรงจำอันล้ำค่าทีส่ ุด
ความหลงใหลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด งานอดิเรกที่ชื่นชอบ หรือแม้แต่ความคิดที่เกี่ยวกับความหมายของชีวิต
นกึ ถงึ ทกั ษะทน่ี า่ สนใจ ความคิดเห็นที่มี หรอื ขอ้ เท็จจริงทท่ี ราบและเสนอสิง่ เหล่าน้ันเปน็ การตอบแทน
การสอนและการอนุญาตใหผ้ ูอ้ น่ื สอนได้ เปน็ กจิ กรรมทีใ่ หผ้ ลตอบแทนสูงซ่งึ เป็นการเปิดเผยประโยชน์

4. เชื่อมต่อจุด (Connect the Dots) อาจคุ้นเคยกับแนวคิดที่ว่าต้องใช้เวลา 10,000
ชั่วโมงในการเรียนรู้บางสิ่ง แต่เคยคิดบ้างไหมว่าเส้นทางสู่ความเชี่ยวชาญน้ันมีความคล้ายคลึงกันกบั
สิ่งต่าง ๆ มากมาย? พยายามระบุวิธีฝึกฝนทักษะที่ดีที่สุดและดูว่าสามารถนำไปใช้กับด้านอื่น ๆ ใน
ชีวิตได้หรอื ไม่ เชฟที่เก่งที่สุดจะเชี่ยวชาญในองคป์ ระกอบพืน้ ฐานของการทำอาหาร เช่น การใช้เกลือ
กรด และไขมนั ผ้เู ลน่ บาสเก็ตบอลท่ีเก่งทสี่ ุดก็เชยี่ วชาญพ้ืนฐานของเกมเช่นเดยี วกนั หากจะนำส่ิงที่ได้
รู้ไปใช้กบั ชวี ติ ในด้านอน่ื ๆ ไดอ้ ย่างไร? ผลลพั ธ์อาจทำให้เกดิ ความประหลาดใจได้

5. เดินออกไป (Walk It Out) การเดินได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยให้
สมองนั้นรู้สึกดีและช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ไหลเวียน จากการวิจัยการเดินไม่เพียงแต่ช่วย
กล้ามเนื้อหรือหวั ใจให้ทำงาน แต่ยังช่วยการทำงานของสมองโดยรวมและความรู้สึกท่ีเป็นอยู่ที่ดี การ
เดนิ จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผสั ท้ังหมดของรา่ งกาย ตง้ั แตก่ ารมองเห็นไปจนถึงการดมกลิ่นดว้ ย ไม่มี
อะไรดีต่อการปลูกฝังความอยากรู้อยากเห็นและการเรียนรู้ที่สนุกสนานไปกว่าการได้สมองที่เปี่ยมไป
ด้วยความสขุ

6. ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย (Get Uncomfortable) มีอะไรที่ตั้งใจจะลองแต่ยังไม่ได้
ลองไหม หรือสิ่งที่เคยทำให้รู้สึกกลัว? ขอแนะนำให้คิดดีๆ เกี่ยวกับกิจกรรมท่ีหากไม่เคยทำมาก่อน
และลองทำดู เมือ่ ผลักดันตวั เองให้ทำในสิ่งท่ีรู้สึกกลัวทีจ่ ะทำ มนั จะช่วยให้สามารถขยายขอบเขตของ
ส่งิ ท่ีกำลังทำไดอ้ อกไปและทำสง่ิ ทไี่ มเ่ คยทำมาก่อน - และก็จะรสู้ กึ ประหลาดใจกบั สิ่งที่ทำได้นัน้


76

7. โอบกอดศัตรูของเจ้า (Embrace Thine Enemy) การพยายามทำความเข้าใจปัญหา
จากทั้งสองฝ่ายเป็นส่วนสำคัญของการเป็นนักคิดที่มีวิจารณญาณ ดังนั้นหากมีความท้าทายเกิดขึ้น :
ลองนกึ ถงึ ความเชื่อมั่นท่ีมี (เชน่ Netflix เป็นบรกิ ารสตรีมมงิ ท่ีดีทส่ี ดุ ) แล้วพลกิ กลับด้าน ตอนน้ีหาข้อ
โต้แย้งที่ชัดเจนสำหรับความคิดตรงข้าม (เช่น Hulu เป็นบริการสตรีมมิ่งที่ดีที่สุด) การปฏิบัตินี้ไม่
เพยี งแตช่ ว่ ยให้มองเหน็ โลกดว้ ยความเหน็ อกเห็นใจมากขนึ้ แต่ยังชว่ ยใหส้ ร้างกรณีท่ีดีข้ึนสำหรับความ
เชือ่ ของตนเอง เพราะหากเขา้ ใจขอ้ สนับสนุนและข้อโต้แย้งต่างๆ ที่ดขี ้นึ มาก

8. จำกัดเวลาการพึ่งพาเทคโนโลยี (Tech Time-Out) โลกสมัยใหม่ของเราเต็มไปด้วย
หน้าจอสว่างที่ต้องการความสนใจจากเรา เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เสียงยังช่วยให้
เราไลต่ ามความอยากรู้ไดภ้ ายในเสยี้ ววินาที ซึง่ นน่ั ก็ไมใ่ ช่ส่ิงเลวร้าย แตส่ ง่ิ สำคัญคือ ต้องสร้างพ้ืนฐาน
ให้ตัวเองและค้นหาส่วนที่น่าสนใจและน่ารู้ของชีวิตที่อยู่นอกเทคโนโลยี ลองสอบถามและทำอาหาร
สูตรเก่าแก่ของครอบครัว หรือร่างแผนที่ความทรงจำท่ีเราชื่นชอบ ซึ่งอาจคิดถึงการใฝ่หาทักษะชีวิต
และงานอดเิ รกทีไ่ ม่เก่ยี วกบั เทคโนโลยี เชน่ การเรยี นรู้การเล่นเครอื่ งดนตรี เป็นต้น

9. สำรวจสภาพแวดล้อมของคุณ (Explore Your Environment) ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ใน
เมืองที่พลุกพล่าน สถานที่พักผ่อนในชนบท หรือที่ไหนสักแห่งในระหว่างนั้น โลกภายนอกบ้านก็เต็ม
ไปด้วยจุดสนใจทขี่ อเพียงใหส้ ำรวจ อาจมีรา้ นธุรกจิ ครอบครัวขนาดเลก็ ท่ยี อดเย่ียมอยู่ห่างออกไปเพียง
ไมก่ ีน่ าที หรือพืน้ ที่ป่าแสนสบายที่มีกลิน่ อายของการผจญภัย บางทีอาจเดินไปตามเส้นทางอ่ืนเพื่อไป
โรงเรียนและทำความร้จู กั กับสว่ นใหม่ ๆ ของเมอื งท่ไี มเ่ คยรมู้ าก่อนก็ได้

10. กระจกเอ๋ยจงบอกข้าเถิด... (Mirror, Mirror, On the Wall...) ความอยากรู้มักจะ
หมายถึงการไล่ตามความคิดและแนวคิดของตนด้วยความกระตือรือร้นและพลังงาน แต่หยินก็มี
ความสำคัญพอๆ กับหยางในทุกสิ่ง นี่คือการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของมัน การไตร่ตรองคือ
การปฏิบัติโดยจงใจมองย้อนกลบั ไปถึงทางเลอื กและประสบการณใ์ นอดีตทผี่ ่านการไตรต่ รองมา ความ
เข้าใจที่เพิ่มขึ้น ด้วยความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้รู้จักตัวตนที่ดีขึ้น – และบางทีก็อยากรู้อยากเห็น
มากข้ึนด้วย

โปรดทบทวน – แนวทางเพอ่ื พฒั นาความอยากรู้จากทศั นะของ Encyclopædia
Britannica, Inc. มีสาระสำคัญอะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
..................................................................................................................... ............

หมายเหตุ - ศกึ ษาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลกิ ” ดูไดจ้ ากเว็บไซต์ข้างล่างน้ี

https://curiosity.britannica.com/10-ways-to-improve-your-curiosity.html


77

Heick (n.d.) นักการศึกษาและวิเคราะห์วางแผน ได้กล่าวถึงแนวทางเพื่อพัฒนาความ
อยากรู้และกลยุทธ์ที่จะส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นในการเรียนรู้ (10 Strategies To Promote
Curiosity In Learning) ไว้ 10 กลยุทธ์ ดังน้ี

1. จำลองความอยากรู้อยากเห็นในหลายรูปแบบ (Model Curiosity in its Many
Forms) ความอยากรู้เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ แต่ก็เหมือนกับสัญชาตญาณส่วนใหญ่ มันสามารถ
ขัดเกลาได้ผ่านการสังเกตและฝึกฝน ดังตัวอย่าง: คิดให้ดังขณะอ่านหนังสือที่มีภาพประกอบ ดูวิดีโอ
หรือแมแ้ ตส่ นทนา ตราบใดที่ยังสามารถ “หยุด” เพ่ือ “คิดออกมาดัง ๆ” ได้ ก็สามารถอธิบายว่ากำลัง
คิดอะไรและอย่างไร และทำไมถึงคิดถึงสิ่งที่กำลงั คดิ คำถามที่มี สิ่งท่ีกำลังสนใจ และที่สำคัญท่สี ุดคือ
ความกลา้ ที่จะตดิ ตามความอยากรู้อยากเห็นนั้นไปทุกท่ี

2. ฝังความอยากรู้อยากเห็นเป็นแกนหลักของกระบวนการออกแบบการสอน (Embed
Curiosity at the Core of the Instructional Design Process) ดังตัวอย่าง: หน่วยการเรียนรู้ตาม
การสอบถามซึ่งบทเรียนและกิจกรรม “ใช้การไม่ได้” หากปราศจากความอยากรู้ ตัวอย่างหนึ่งอาจ
เปน็ เซสชันเทคนิคการสร้างคำถาม (Question Formulation Technique: QFT)

3. วิเคราะห์ความอยากรู้อยากเห็น ช่วยให้นักเรียนเห็นส่วนต่าง ๆ หรือเข้าใจสาเหตุ
และผลกระทบของมัน (Analyze Curiosity. Help Students See its Parts or Understand its
Causes and Effects) ตัวอย่าง: ลองใช้ TeachThought Learning Taxonomy ในการออกแบบ
งานประเภทนี้

4. ให้รางวัลความอยากรู้ หากคุณต้องการให้ต้นไม้เติบโต คุณต้องให้อาหารมัน ความ
อยากรกู้ เ็ หมือนกัน (Reward Curiosity. If You Want a Plant to Grow, You Feed It. Curiosity
is the Same) ตัวอย่าง: การเรียนรู้ผ่านเกม (Gamification) เป็นแนวทางหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้สร้าง
แรงจูงใจจากภายใน แต่ผลกระทบอย่างหนึ่งของ Gamification ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักก็คือการมองเห็น
สามารถพัฒนาและปรับปรุงผลลัพธ์ที่ต้องการรวมถึงความอยากรู้อยากเห็นได้โดยการระบุผลลัพธ์ที่
ต้องการและการแสดงภาพความคบื หน้าและความสำเรจ็ ทม่ี ีต่อผลลพั ธ์เหลา่ นัน้


78

5. สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้เป็นเฉพาะบุคคล (Make Curiosity Personal)
ตวั อยา่ ง: กำหนดให้นกั เรียนเลอื กหัวขอ้ สำหรบั การเรียงความ จากน้นั ปรับปรุงหวั ข้อ/ประเดน็ หลักน้ัน
จนกว่าจะเป็นส่วนตัวและเป็นเรื่องเฉพาะตน หากความสามารถเริ่มต้นด้วยหัวข้อทั่วไป เช่น การ
เปลยี่ นแปลงของสภาพอากาศ จากนัน้ ใหน้ กั เรียนแต่ละคนปรับแต่งหวั ข้อน้ันตามภูมหิ ลัง ความสนใจ
และความอยากรอู้ ยากเห็นเฉพาะตัวจนกวา่ จะกลายเป็นเร่ืองทเี่ ฉพาะและ “เป็นส่วนตัว”

6. ให้นักเรียนเป็นผู้นำ เป็นการยากที่จะเกิดความอยากรู้อยากเห็นหากการเรียนรู้เป็น
แบบไม่มีการโต้ตอบและนักเรียนไม่มีอำนาจควบคุมใดๆ (Let Students Lead. It’s Difficult to
Be Curious If the Learning is Passive and the Student Doesn’t Have any Control) ตัวอยา่ ง:
อนุญาตให้นักเรียนมัธยมปลายใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบชี้นำตนเอง หรือแบบที่คล้ายคลึงกัน เพื่อ
สร้างหน่วยการเรยี นรตู้ ามโครงงานของตนเอง

7. หมุนกลับเนื้อหาการเรยี นรู้ ใส่กรอบเนื้อหา เฉกเช่น นักการตลาด เช่น ทำให้เนื้อหา
ใหม่ ขัดแย้ง “ไม่เห็นด้วย” ฯลฯ (Spin Content. Frame Content Like a Marketer–as New,
Controversial, ‘Frowned pon,’ etc) ตัวอย่าง: สอนหนังสือที่ถูก “ห้าม” จากรายการหนงั สือท่ใี ด
ทห่ี นึ่ง โปรดระวงั หนังสอื เลม่ นี้ การใช้วิจารณญาณที่ดีที่สดุ และเลือกสิง่ ท่จี ะดึงความสนใจและอาจเกิด
ความปั่นป่วน แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะสร้างปัญหาให้กับนักเรียนหรือตัวเราเอง) การทำให้ “น่าสนใจ” เป็น
สิ่งจำเป็นสำหรับเนื้อหาการเรียนรู้หลายสาขาและอุตสาหกรรม แต่มักเป็นเพียง “การกระตุ้น”
การศึกษาเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ “งานของครู” ในการสร้างความบันเทิงให้กับนักเรียน แต่หากไม่
สามารถวางกรอบสิ่งที่สอนในลักษณะที่น่าสนใจ จะต้องทุ่มเทและทิ้งโอกาสมากมายสำหรับการ
เติบโตของนกั เรียนในทุกวนั

8. เน้นคำถามไม่ใช่คำตอบ (Focus on Questions, not Answers) ตัวอย่าง: คำถาม
เป็นตัวบ่งชี้ความอยากรู้อยากเห็นที่ยอดเยี่ยม สร้างบทเรียนเพื่อเข้าหน่วยการเรียนรู้และให้คะแนน
สำหรับคำถาม - ปริมาณ คุณภาพ การปรับแต่ง ฯลฯ คำถามไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานและแนวทาง
ปฏิบัติเกี่ยวกับความอยากรู้อยากเห็น แต่ยังใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินได้อีกด้วย คุณภาพของ
คำถามไมเ่ พียงแต่เผยให้เห็นถึงความอยากรู้อยากเหน็ แตย่ ังรวมถงึ ความรู้พื้นฐาน ระดับการรู้หนังสือ
ความม่ันใจ การมีส่วนรว่ มของนักเรียน และอ่ืนๆ ด้วย

9. เช่อื มโยงส่งิ น้ีกับสงิ่ น้ัน (Connect this to that) การเชือ่ มโยงสง่ิ ท่ีนกั เรียนไม่รู้กับส่ิงท่ี
ทำ วิธีการนี้สามารถช่วยให้การเปิดใช้งานแบบแผนที่คุ้นเคยเพื่อให้เข้าใจถึงแนวคิดใหม่ ๆ ยิ่งรู้สึก
เข้าถึงเนื้อหา โครงการ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ได้มากเท่าไร ซึ่งก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะอยากรู้เรื่องนี้มากขึ้น
เท่านน้ั เช่นตวั อยา่ ง: เปรยี บเทยี บความขัดแยง้ ทางประวัติศาสตรร์ ะหวา่ งผู้นำรัฐบาลกับความขัดแย้ง
ระหว่างคนดังในโซเชยี ลมเี ดยี หรือแม้แต่เปรยี บเทียบ "คำบน่ " ในเพลงฮปิ ฮอปหรือร็อคแอนด์โรลคลา
สสิก


79

10. เลิกทำให้การเรียนรเู้ ป็นการเรียนแบบท่ีทำท่ีโรงเรียน ปล่อยใหเ้ น้ือหารักษาทิศทาง
ของตัวมันเอง (De-school It. Let the Content Stand on its Own) ตัวอย่าง: หากมีเบื้องหลัง
ของเนื้อหาก็บอกไป ตัวอย่างเช่น หากมองแค่ผิวเผิน ตัวเลขอารบกิ (เป็นหัวข้อในตวั ของมันเอง) โดย
เนอ้ื แท้แล้วดเู หมือนจะไม่นา่ สนใจ แต่ถา้ นักเรยี นได้รวู้ ่าเป็นระบบที่ “นำมา” จากปราชญ์ฮินดูโดยนัก
คณติ ศาสตรช์ าวอาหรบั และต้นกำเนิดทคี่ ่อนขา้ งเฉพาะนน้ั เหมาะแก่การอภิปราย ซง่ึ จะกลายเป็นเรื่อง
ที่นา่ สนใจมากขึ้นในโรงเรยี น มกั จะ “ทำให้เน้ือหาการเรยี นร้เู ป็นการเรียนแบบทท่ี ำโรงเรียน” เพื่อให้
เนอื้ หาการเรียนรู้ “ใชง้ านได้” ในหอ้ งเรยี น ซ่งึ มกั จะหมายความว่า “เนื้อหา” ทีน่ ่าสนใจและครบถ้วน
ทั้งหมดจะสูญเสียไป เพื่อให้เราสามารถบีบมันลงในกรอบเวลาที่จำกัด แบบฟอร์มการประเมิน หรือ
อื่นๆ ที่คล้ายกัน การนำเนื้อหาบางส่วนกลับคืนสู่ "สภาพ" ที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น สามารถกระตุ้นให้
เกดิ ความอยากร้อู ยากเหน็ ได้

โปรดทบทวน – แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะของ Heick มี
สาระสำคญั อะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
..................................................................................................................... ............
หมายเหตุ - ศกึ ษาจากตน้ ฉบับภาษาองั กฤษ โปรด “คลกิ ” ดูได้จากเว็บไซต์ข้างลา่ งนี้

https://www.teachthought.com/learning/10-strategies-to-promote-curiosity-in-learning/

Network Support (n.d.) เว็ปไซตอ์ งคก์ รเก่ยี วกบั การศึกษาออนไลน์ ได้กลา่ วถงึ แนวทาง
เพื่อพัฒนาความอยากรู้ผ่านคณะกรรมการการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Board)
ไว้ 5 กลยุทธ์ ดังน้ี

1. สร้างตัวอย่าง (Set the Example) การสร้างต้นแบบพฤติกรรมเชิงบวกจะช่วยปลูกฝัง
ความอยากรู้อยากเห็นให้กับนักเรียนได้เป็นอย่างดี นักเรียนเรียนรู้เกือบทุกอย่างด้วยการสังเกต
พฤติกรรมรอบตัว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ครูจะต้องน้อมรับและใช้ความอยากรู้อยากเห็นให้เป็น


80

ส่วนหน่งึ ของกระบวนการสอนเช่นกนั หากการสอนสนบั สนนุ แนวทางที่อยากรู้อยากเหน็ นกั เรยี นของ
กจ็ ะย่ิงมีสว่ นร่วมมากขน้ึ ในห้องเรียน

2. ใช้คำว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหาก” (Use More “What Ifs?”) คำง่ายๆ ไม่กี่คำนี้เม่ือ
นำมารวมกนั จะเปิดประตสู ูค่ วามเปน็ ไปได้อันย่ิงใหญ่ การใช้คำถามงา่ ยๆ วา่ "จะเกดิ อะไรขึ้นถ้าหาก"
ในตอนต้นของบทเรียนจะช่วยให้เกิดความอยากรู้และกระตุ้นให้นักเรียนขยายจินตนาการและคิดให้
ไกลกวา่ ปกติ

3. เรียนรู้ความสนใจของพวกเขา (Learn their Interests) ใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อค้นหาว่า
นักเรียนกำลังสนใจอะไร และสามารถรวมความสนใจนั้นให้เข้ากับบทเรียนเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
การบูรณาการนี้จะช่วยหล่อเลี้ยงความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนและปรับปรุงความมั่นใจใน
กระบวนการคิด กระตุ้นให้สำรวจและเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ดว้ ย

4. เพิ่มสีสันในห้องเรียนของคุณ (Spice up your Classroom) การเพิ่มความลึกลับ
เล็กน้อยและใช้อุปกรณ์ประกอบฉากเพื่อทำให้ห้องเรียนน่าสนใจยิ่งขึ้น แทนที่จะเขียนหัวข้อ ให้ทำ
การทดลอง เล่นเกม หรอื แสดงเป็นตัวละคร กิจกรรมเหล่านจี้ ะชว่ ยสรา้ งความสงสัยและทำให้นกั เรียน
อยากรอู้ ยากเห็นและตน่ื เต้นท่ีจะเรยี นรเู้ พ่ิมเติม ใชป้ ริศนา จิก๊ ซอว์ และแม้กระท่ังการลา่ ขมุ ทรัพย์เป็น
กิจกรรมปิดท้ายเพ่อื สร้างความอยากร้อู ยากเห็นเกีย่ วกับบทเรียนในวันถดั ไป

5. ให้โครงการ “อยากรู้อยากเห็น” (Give ‘Curious’ Projects) โพสต์ข้อเท็จจริงที่
น่าสนใจบนกระดานข่าว หรอื ใสก่ รอบรายการคำถามและกระตุ้นให้นักเรียนค้นหาคำตอบของคำถาม
เหล่านั้น จัดสรรนักเรียนออกเป็นกลุ่มและมอบหมายโครงงานที่อาจต้องการให้นักเรียนค้นคว้าสิ่งที่
แตกต่างออกไป เชน่ เมื่อเรยี นร้เู กีย่ วกบั เรื่อง Tempest โดย Shakespeare ซง่ึ สามารถสอนนักเรียน
ให้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับช่วงเวลานั้น ระบบการปกครอง ฯลฯ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอยากรู้ของ
นักเรียนในบทเรียนนั้นได้จริง ดังนั้น เราสามารถ กระตุ้นและสนับสนนุ ให้นกั เรียนของเราสำรวจและ
เรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ เก่ยี วกบั โลกรอบตัวโดยการสร้างความอยากร้อู ยากเหน็

โปรดทบทวน – แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะของ Network
Support มีสาระสำคญั อะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
..................................................................................................................... ............

หมายเหตุ - ศกึ ษาจากตน้ ฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลกิ ” ดูได้จากเวบ็ ไซต์ขา้ งลา่ งนี้

https://k12teacherstaffdevelopment.com/tlb/how-can-we-build-curiosity-in-the-
classroom/#respond


81

Walden University (n.d.) เป็นเว็ปไซต์ที่นำเสนอเกี่ยวกับกลยุทธ์การสอนของ
มหาวทิ ยาลยั ในมินนแี อโพลสิ , มินนโิ ซตา ได้กล่าวถงึ แนวทางเพ่อื พฒั นาความอยากรู้และจุดประกาย
ความอยากรอู้ ยากเหน็ ในการเรยี นรู้ (Teaching Strategies: Sparking Curiosity in Learning) ไว้ 4
วธิ ี ดังนี้

1. ส่งเสริมคำถาม (Encourage Questions) ความอยากรู้มักเริ่มต้นด้วย "ทำไม" ทำไม
ก๊าซธรรมชาติถึงไหม้เป็นสีน้ำเงิน? ทำไมสีน้ำเงิน (Blue) ภาษาอังกฤษสะกดเป็น Blue และไม่ใช่
Blew? ทำไมลมถึงพัด? หากต้องการจุดประกายความอยากรู้ของนักเรียน ต้องกระตุ้นให้ถามและ
พยายามตอบคำถาม นั่นหมายความว่าควรหลีกเลี่ยงการบรรยายที่น่าเบื่อซึ่งหากอธิบายทุกอย่างให้
ลองออกแบบชั้นเรียนเพื่อที่จะถามคำถามโดยปริยายหรือโดยชัดแจ้ง และอย่าลืมเปิดโอกาสให้
นกั เรียนมสี ่วนรว่ มและถามคำถามเกีย่ วกบั สง่ิ ทีก่ ำลังเรียนรู้รว่ มด้วย

2. ยืดหยุ่นให้กับความไม่สมบูรณ์ (Make Room for the Unstructured) ไม่ใช่ทุก
คำถามที่นักเรียนถามจะเปน็ คำถามทีค่ ุณคาดหวัง แต่คำถามทั้งหมดแสดงใหเ้ ห็นถึงความคิดที่อยากรู้
อยากเห็น ดังนั้นอย่าละเลยคำถามที่ไม่เข้ากับบทเรียนที่สอน ให้เวลาในชัน้ เรียนเพื่อตอบคำถามที่ไม่
คาดคิด หรือสร้างระบบที่สามารถ "จัดเก็บ" คำถามที่ไม่คาดคิดไว้ใช้ในภายหลังได้ เช่น บนไวท์บอร์ด
หรือในเอกสารออนไลน์ นอกจากการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับคำถามที่ไม่คาดคิดแล้ว ยังควรเว้นที่ว่าง
สำหรับการสำรวจคำถามของนักเรียนด้วย หากให้คำตอบท้งั หมด ความอยากรู้ของนักเรียนอาจลดลง
แต่ถ้าให้เวลานักเรียนแบบไม่มีโครงสร้างในการทดลอง อภิปราย สำรวจคำถาม ความอยากรู้ของ
นกั เรยี นกจ็ ะเพ่มิ ขนึ้

3. มีความกระตือรือร้น (Be Enthusiastic) สมมุติว่ากำลังสนุกกับการสอน ให้นักเรียน
เห็นความเพลิดเพลินนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เห็นความอยากรู้เอง แม้ว่าจะรู้คำตอบทั้งหมดสำหรับ
บทเรยี นหนงึ่ ๆ – และไมม่ คี ำถามที่ยังไมไ่ ดค้ ำตอบเกิดขึ้นพยายามร้ือฟ้ืนความอยากรู้อยากเห็นท่ีมีเมื่อ
ตอนได้เรียนรู้สิ่งที่กำลังสอนเป็นครั้งแรก คิดว่าตัวเองเป็นนักสำรวจที่เป็นผู้นำการสำรวจ ซึ่งอาจเคย
เดินทางบนเส้นทางนี้มาก่อน แตร่ ู้สึกต่ืนเต้นทจ่ี ะแสดงให้คนอ่ืนเห็นสิ่งท่ีพบและอยากได้ยินส่ิงที่จะทำ


82

ยิ่ง หากแสดงความกระตือรือร้นในการคน้ พบมากเทา่ ไหร่ นักเรียนก็จะยิ่งสงสัยในส่ิงที่กำลังสอนมาก
ขน้ึ เทา่ น้ัน

4. สร้างเวลาเพื่อพิจารณาและไตร่ตรอง (Create Time to Consider and Reflect)
ความอยากรู้เป็นเชื้อเพลิง มันผลักดันให้เราพยายามคิดออกและเรียนรู้ในที่สุด แต่เชื้อเพลิงนั้นไม่
จำเป็นต้องร้อนจัดเสมอไป ด้วยคำถามที่ตื่นเต้นและการทดลองที่กล้าหาญ ความอยากรู้อยากเห็น
ยังคงใชง้ านได้แม้ในขณะทเี่ ราอยเู่ ฉยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเงียบๆ ที่เราสามารถทบทวนสิ่ง
ที่เราค้นพบและพิจารณาถึงความหมายทั้งหมด การตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ให้เวลานักเรียนในการ
ไตร่ตรองในระดับนี้ ให้ได้จดบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่นักเรียนสนใจมากที่สุดในบทเรียนของวันนั้น หรือ
ขอให้ไดส้ ร้างงานศิลปะส้ันๆ เพอ่ื สะท้อนถึงส่ิงท่ีนักเรียนได้เรยี นรู้ การไตร่ตรองแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วย
ในการเรียนรู้เท่านั้น แต่ยังสอนให้นักเรียนทำให้ความอยากรู้อยากเห็นนั้นได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ปจั จบุ ันอย่างตอ่ เน่ืองด้วย

โปรดทบทวน – แนวทางเพื่อพัฒนาความอยากรู้จากทัศนะของ Walden
University มีสาระสำคญั อะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
.................................................................................................................................

หมายเหตุ - ศึกษาจากตน้ ฉบบั ภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดไู ดจ้ ากเว็บไซต์ขา้ งลา่ งนี้

https://www.waldenu.edu/online-masters-programs/ms-in-education/resource/teaching-
strategies-sparking-curiosity-in-learning


83

จากทัศนะของแหล่งอ้างอิงที่นำมากล่าวถึงข้างต้น สรุปได้ว่า แนวทางเพื่อการพัฒนาความอยากรู้
(Curious) มีดังนี้

แนวการพฒั นาความอยากรูข้ องนกั เรียน Mitchell
Heick
Kowald
Encyclopædia
Lawrence
Walden
Education
Mario
Network
Perina

1. สร้างตวั อย่าง (Set the Example) ✓ ✓
2. ใหน้ ักเรียนเปน็ ผู้นำ (Let Students Lead) ✓ ✓
3. ใช้เหตกุ ารณป์ ัจจุบนั (Use Current Events)
4. สรา้ งโครงการกลมุ่ (Create Group ✓

Projects) ✓✓
5. สอนและรับการสอน (Teach and Be
✓✓✓
Taught)
6. เชื่อมโยงสิ่งน้ีกับสิ่งน้นั (Connect this to ✓

that) ✓✓
7. เลกิ ใช้แบบเรียน (Move Away from Text
✓ ✓ ✓✓✓✓✓
Books)
8. ใหร้ างวัลความอยากรู้ อยากเหน็ (Reward ✓✓✓

Curiosity) ✓
9. ถามคำถามทีย่ อดเยยี่ ม (Ask Awesome

Questions)
10. แสดงความกระตอื รอื รน้ ในการคน้ (Be

Enthusiastic)
11. เรยี นรคู้ วามสนใจของพวกเขา (Learn their

Interests)


84

แนวการพัฒนาความอยากรขู้ องนักเรยี น Mitchell
Heick
Kowald
Encyclopædia
Lawrence
Walden
Education
Mario
Network
Perina

12. เติมพลงั ความหลงใหลของคณุ (Power Up ✓✓
Your Passion)

13. ใช้คำว่า “จะเกิดอะไรขนึ้ ถา้ หาก” (Use
More “What Ifs?”) ✓

14. เพ่มิ สสี ันในห้องเรียนของคณุ (Spice up ✓ ✓
your Classroom)
✓ ✓✓✓✓ ✓
15. สง่ เสริมให้นกั เรียนดดั แปลง (Encourage ✓
Students to Tinker)
✓✓ ✓✓✓
16. เนน้ คำถามไมใ่ ชค่ ำตอบ (Focus on
Questions, not Answers) ✓

17. กระจายความอยากรไู้ ปรอบ ๆ (Spread the
Curiosity Around) ✓✓

18. การเรยี นร้จู ากโครงงาน (Project-Based ✓ ✓ ✓ ✓✓
Learning : PBL)
✓ ✓✓
19. สำรวจสภาพแวดล้อมของคณุ (Explore Your
Environment) ✓

20. ใช้ตัวอยา่ งที่ดี (Use Great Examples) ใน ✓✓✓✓✓✓✓✓
ทุกด้านของการเรยี นรู้
✓ ✓✓
21. สอนนักเรยี นใหเ้ ป็นคนขส้ี งสยั (Teach
Students to be Skeptics) ✓✓ ✓

22. สง่ เสรมิ ความอยากรูอ้ ยากเห็นท่ีบา้ น
(Encourage Curiosity at Home)

23. สอนจากหลากหลายมมุ มอง (Teach from a
Variety of Perspectives)

24. ถามคำถามและตอบคำถาม (Ask Questions
and Question Answers)

25. สรา้ งความอยากร้อู ยากเหน็ ใหเ้ ปน็ เฉพาะ
บุคคล (Make Curiosity Personal)

26. ให้คณุ ค่าและตอบแทนความอยากร้อู ยากเห็น
(Value and Reward Curiosity)


85

แนวการพฒั นาความอยากรขู้ องนักเรยี น Mitchell
Heick
Kowald
Encyclopædia
Lawrence
Walden
Education
Mario
Network
Perina

27. การทดลองและการศึกษาดว้ ยตนเอง ✓ ✓
(Experimentation and Self Study) ✓

28. เชอ่ื มต่อจุด พยายามระบุวิธฝี กึ ฝนทกั ษะท่ีดี ✓
ทสี่ ุดของคุณ (Connect the Dots) ✓

29. การส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนดทู ีวีและอ่าน ✓
หนังสือพมิ พ์ (Reading TV & Newspapers)

30. โอบกอดศัตรูของเจ้า พยายามทำความเขา้ ใจ
ปัญหา (Embrace Thine Enemy) ✓

31. สรา้ งเวลาเพื่อพิจารณาและไตรต่ รอง (Create ✓✓
Time to Consider and Reflect)

32. ใหน้ ักเรียนมีทางเลือกและความเป็นอิสระ
(Give Students Choice and ✓
Independence)

33. เปน็ ผูเ้ ชี่ยวชาญทมี่ คี วามสนใจในทุกส่งิ (Be
an Expert who is Interested in ✓✓✓✓✓✓✓✓✓✓
Everything)

34. เดนิ ออกไป เพ่ือกระตนุ้ ประสาทสมั ผัสความ
อยากรู้อยากเห็นและการเรยี นรู้ (Walk It
Out)

35. มองยอ้ นกลับไปถึงทางเลอื กและประสบการณ์
ในอดีตของคณุ (Mirror, Mirror, On the
Wall...)

36. จบั คู่การพฒั นาทกั ษะกบั หัวข้อทน่ี า่ สนใจ
(Match Skill Development with
Interesting Topics)

37. กา้ วออกจากพ้ืนทป่ี ลอดภยั ทำกจิ กรรมท่ีคณุ
ไมเ่ คยทำมากอ่ นและลองทำดู (Get
Uncomfortable)

38. สอนนักเรียนให้ถามคำถามท่ีมคี ุณภาพ
(Teach Students How to Ask Quality
Questions)


86

แนวการพฒั นาความอยากรขู้ องนักเรยี น Mitchell
Heick
Kowald
Encyclopædia
Lawrence
Walden
Education
Mario
Network
Perina

39. สรา้ งแบบจำลองความอยากรอู้ ยากเห็นใน ✓✓ ✓✓
หลายรปู แบบ (Model Curiosity in its ✓✓✓
Many Forms) ✓ ✓✓ ✓

40. พจิ ารณารปู แบบ FQR : ข้อเท็จจรงิ , คำถาม, ✓ ✓
คำตอบ (Consider the format FQR: Fact, ✓✓
Question, Response) ✓✓ ✓
✓✓ ✓
41. จำกัดเวลาการพ่งึ พาเทคโนโลยี คน้ หาส่วนที่ ✓✓✓
น่าสนใจและน่ารขู้ องชวี ติ ทอี่ ยูน่ อกเทคโนโลยี
(Tech Time-Out)

42. อยา่ เพง่ิ มุ่งความสนใจไปที่ปริศนาแต่เน้นเรอ่ื ง
ลกึ ลบั (Don’t Just Focus on Puzzles but
on Mysteries)

43. เปน็ ตน้ แบบความอยากรอู้ ยากเหน็ ด้วยตนเอง
และเป็นผู้ร่วมเรยี นรู้ (Model Curiosity
yourself and be a Co-learner)

44. กระตุน้ ให้นักเรยี นตรวจสอบสำรวจวัฒนธรรม
และสังคมทหี่ ลากหลาย (Explore a Variety
of Cultures and Societies)

45. ฝงั ความอยากรู้อยากเหน็ เปน็ แกนหลักของ
กระบวนการออกแบบการสอน (Embed
Curiosity at the Core of the
Instructional Design Process)

46. เลกิ ทำให้การเรียนรเู้ ป็นการเรยี นแบบทท่ี ำท่ี
โรงเรยี น ปลอ่ ยใหเ้ น้อื หารกั ษาทิศทางของตวั
มนั เอง (De-school It. Let the Content
Stand on its Own)

47. หมนุ กลบั เน้อื หาการเรยี นรู้ ใสก่ รอบเน้อื หา
เฉกเชน่ นักการตลาด เชน่ ทำใหเ้ นอื้ หาใหม่
ขัดแยง้ 'ไม่เหน็ ด้วย' ฯลฯ (Spin Content.
Frame Content Like a Marketer–as


แนวการพฒั นาความอยากรู้ของนักเรียน Mitchell 87
Heick
New, Controversial, ‘Frowned pon,’ Kowald ✓
etc) Encyclopædia
48. มองหาจุดเชอ่ื มโยงเรือ่ งท่ี "ไมน่ า่ สนใจ" หรือ Lawrence
วิชาที่ยากโดยเชื่อมโยงตรงกับความสนใจและ Walden
ชีวิตประจำวนั ของนกั เรยี น (Look for the Education
Hook; Relate "Uninteresting" or Difficult Mario
Subjects Directly to your Student's Network
Interests and Daily Life) Perina

✓✓

จากนานาทศั นะเกยี่ วกบั แนวทางเพ่ือพัฒนาความอยากรู้ (curiosity) ดังกลา่ วขา้ งตน้ ท่าน
เห็นวา่ มแี นวคิด (Concepts) ทสี่ ำคญั อะไรบา้ ง ทท่ี ำให้เข้าใจในแนวทางเพอ่ื พฒั นานัน้ ได้อยา่ งกระชับ
และชัดเจน โปรดระบแุ นวคดิ นน้ั ในภาพท่ีแสดงขา้ งลา่ ง


88

Education Week. (2018, January 25). Facilitating student curiosity: Strategies and
resources. Retrieved August 13, 2021 from
https://www.edweek.org/leadership/opinion-facilitating-student-curiosity-
strategies-and-resources/2018/01

Encyclopædia Britannica, Inc. (n.d.). 10 Ways to improve your curiosity. Retrieved
August 13, 2021 from https://curiosity.britannica.com/10-ways-to-improve-your-
curiosity.html

Heick, T. (n.d.). 10 Strategies to promote curiosity in learning. Retrieved August 12,
2021 from https://www.teachthought.com/learning/10-strategies-to-promote-
curiosity-in-learning/

Kowald, T. O. (2015, June 9). 5 Strategies to inspire curiosity in students. Retrieved
August 12, 2021 from
https://www.connectionsacademy.com/support/resources/article/5-strategies-
to-inspire-curiosity-in-students

Lawrence, S. (2019, September 24) 10 Strategies to promote curiosity in learning.
Retrieved August 13, 2021 from https://edugorilla.com/10-strategies-to-
promote-curiosity-in-learning/#

Mario, M. D. (2020, May 7). How to promote curiosity in your students when learning
from home. Retrieved August 13, 2021 from
https://blog.pearsoninternationalschools.com/how-to-promote-curiosity-in-your-
students-when-learning-from-home/

Mitchell, M. P. (2015, February 17). Curiosity: The force within a hungry mind.
Retrieved August 12, 2021 from https://www.edutopia.org/blog/8-pathways-
curiosity-hungry-mind-marilyn-price-mitchell

Network Support. (n.d.). How can we build curiosity in the classroom?. Retrieved
August 13, 2021 from https://k12teacherstaffdevelopment.com/tlb/how-can-we-
build-curiosity-in-the-classroom/#respond


89

Perina, K. (2014, July 31). Seven ways to be more curious. Retrieved August 21, 2021
from https://www.psychologytoday.com/us/blog/finding-the-next-
einstein/201407/seven-ways-be-more-curious

Walden University. (n.d.). Teaching strategies: sparking curiosity in learning. Retrieved
August 13, 2021 from https://www.waldenu.edu/online-masters-programs/ms-
in-education/resource/teaching-strategies-sparking-curiosity-in-learning


90


91

วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้

หลงั จากการศึกษาคู่มือชุดน้แี ล้ว ทา่ นมีพัฒนาการด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ซึ่ง
เป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางสมองหรือสติปัญญาตาม The Revised
Taxonomy (2001) ของ Benjamin S. Bloom โดยจาํ แนกพฤตกิ รรมในขอบเขตน้ีออกเปน็ 6 ระดับ
เรียงจากพฤติกรรมท่ีสลับซับซ้อนน้อยไปหามาก หรือจากทักษะการคิดขั้นต่ำกว่าไปหาทักษะการคิด
ขั้นสูงกว่าดังนี้ ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ (Understanding) ประยุกต์ใช้ (Applying)
การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมนิ (Evaluating) และการสรา้ งสรรค์ (Creating) ดังน้ี

1) บอกคุณสมบัติ จับคู่ เขียนลำดับ อธิบาย บรรยาย ขีดเส้นใต้ จำแนก หรือระบุขั้นตอน
การพัฒนาความอยากรู้ ได้

2) แปลความหมาย อธิบาย ขยายความ สรุปความ ยกตัวอย่าง บอกความแตกต่าง หรือ
เรยี บเรียงขั้นตอนการพฒั นาความอยากรู้ ได้

3) แก้ปัญหา สาธิต ทำนาย เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ เปลี่ยนแปลง คำนวณ หรือปรับปรุง
ขัน้ ตอนการพัฒนาความอยากรู้ ได้

4) แยกแยะ จัดประเภท จำแนกให้เห็นความแตกต่าง หรือบอกเหตุผลขั้นตอนการพัฒนา
ความอยากรู้ ได้

5) วัดผล เปรียบเทยี บ ตีคา่ ลงความเหน็ วิจารณ์ข้นั ตอนการพัฒนาความอยากรู้ ได้
6) รวบรวม ออกแบบ จัดระเบียบ สร้าง ประดิษฐ์ หรือวางหลักการขั้นตอนการพัฒนา

ความอยากรู้ ได้
คำช้แี จง

1) โปรดศึกษาเนอ้ื หาเกีย่ วกบั ข้ันตอนการพัฒนาความอยากรู้ จากทศั นะท่ีนำมากลา่ วถึงแต่
ละทัศนะ

2) หลังจากการศึกษาเนื้อหาแต่ละทัศนะ โปรดทบทวนความเข้าใจจากคำถามท้ายเนื้อหา
ของแต่ละทศั นะ


92

3) หากท่านต้องการศึกษารายละเอียดของขั้นตอนการพัฒนาความอยากรู้ จากแต่ละ
ทัศนะทเี่ ปน็ ต้นฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดไู ดจ้ ากเว็บไซตน์ ำเสนอไว้ท้ายเน้ือหา
ของแต่ละทศั นะ

Puthiyamadam (2018) ที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลและการตลาด ได้กล่าวถึง ขั้นตอน
การพัฒนาความอยากรู้ไว้ 4 ขนั้ ตอน ดงั น้ี

ขั้นตอนที่ 1 ตระหนักถึงปัญหา (Recognize the Problem) การสร้างโลกที่เราไม่เคย
เห็นมาก่อน ด้วยการเรียนรู้ทักษะหรือเทคโนโลยีท่ีนิยมในขณะนั้นไม่เพียงพอ หรือแม้กระทั่งบาง
อย่างเช่น การคิดเชิงออกแบบก็อาจถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่ปฏิวัติวงการมากขึ้น การก้าวข้ามของการ
เปลี่ยนแปลงที่กำลังเร็วขึ้น เทคโนโลยีและข้อมูลเดินทางเร็วเสมือนล้านไมล์ต่อชั่วโมง บวกกับ
ความสามารถในการปรับตัว คือสิ่งที่จะแยกความสำเร็จและความล้มเหลวและวิธีแก้ปัญหา คนที่จะ
ประสบความสำเร็จจะมีความอยากรู้ ปราดเปรียว และว่องไวในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความ
อยากรู้และจินตนาการ คือหัวใจสำคัญของสิ่งที่พนักงานทุกคนต้องการตั้งแต่ระดับ C ไปจนถึงระดับ
แนวหน้า โดยไม่คำนงึ ถึงอายุ วุฒิการศึกษา หรือภูมิหลังทางวิชาชีพ ความอยากรู้เปน็ ตัวเร่งใหเ้ กดิ วฏั
จกั รของการเรยี นรูอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งซึง่ จำเป็นต่อการเผชญิ กบั อนาคตท่ีเปน็ ดิจิทัล

ขั้นตอนที่ 2 เริ่มทำลายประเพณี (Start Destroying the Traditional) การทำลาย
กำแพงกั้นความอยากรรู้ อบตัวและผู้คนที่ทำงานอยู่ การดำเนินการน้ีไม่ง่ายเท่ากับการนำผู้คนจำนวน
มากจากแผนกต่างๆ มารวมกนั ที่ห้องเดียวเพื่อเข้าร่วมเซสชนั และทุกคนจะกลบั ไปที่มุมของตนเองใน
ภายหลัง สิ่งนี้อาจสร้างความปรารถนาดีและความเอื้ออาทร แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยให้อยู่รอดใน
อนาคต บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องเริ่มจัดการกับความท้าทายและมองหาแนวทางแก้ไขสำหรับอนาคต
ด้วยวิธีการที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงและมีจดุ มุ่งหมาย ไม่สามารถทำได้โดยแผนกหนึง่ หรือชุดทักษะการ
ทำงาน จะต้องนำผู้คนจากทั่วทั้งองค์กรมารวมกันเพื่อเผชิญกับความท้าทาย การค้นหาโซลูชันข้าม
สายงาน และทำงานร่วมกันเพ่ือมุ่งสู่ความคล่องตัวและความว่องไวในการจัดการทุกสิ่งที่มาพร้อมกนั
หรือมักจะเป็นวิธที ี่สตาร์ทอัพหรือแนวคิดใหม่ที่ดีที่สดุ เกิดขึ้นภายในบริษัทขนาดใหญ่ ผู้คนที่มีความรู้


93

และทกั ษะต่างกันมารวมตวั กนั เพื่อทำส่ิงต่างๆ ใหเ้ กิดขึ้น และไมส่ ามารถจำกัดโครงการแบบคร้ังเดียว
ไดอ้ กี

ขั้นตอนที่ 3 ใช้หน้าต่างที่คุณสร้าง (Use the Windows You Create) การมีผลิตภัณฑ์
วิศวกรรม และทีมข้อมูลที่ทำงานรว่ มกับฝา่ ยทรัพยากรบุคคล ประสบการณ์ลูกค้า และการตลาด แต่
ถ้าทรัพยากรบุคคลรู้เพียงเล็กน้อยเกย่ี วกับวธิ ีการสร้างบริบทของข้อมูลจากแผนกการตลาดรู้และจาก
ฝ่ายข้อมูลเชิงลึกอาจมีกรอบความคิดและวิธีการทำงานกับตัวเลขที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าได้ให้
หน้าต่างทั้งหมดเพื่อสร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน เพื่อกระตุ้นและสอนให้อยากรู้ให้ความรู้และ
หน้าตา่ งสู่หอ้ งต่างๆ มากขน้ึ ดงั กำลังจดุ ไฟความอยากรผู้ ่านบางสิ่งบางอย่างตามธรรมชาติของมนุษย์
ของเรา นั่นคือสิ่งที่นักจิตวิทยา George Lowenstein เรียกว่า "การขาดแคลนสิ่งที่จำเป็นที่เกิดขึ้น
จากการรบั ร้ใู นความรูแ้ ละความเข้าใจ" เชน่ เดียวกบั ความหิวโหยหรือกลิน่ ของของอร่อยท่ีกระตุ้นต่อม
น้ำลายและกระตุ้นให้อยากกิน ข้อมูลเพียงเล็กน้อยก็เหมือนกับกลิ่นของคุกกี้อบสดใหม่ ข้อมูล
เล็กนอ้ ยนนั้ เพ่ิมความอยากรู้

ขั้นตอนที่ 4 จุดประกายความหิวโหย (Spark the Hunger) ถึงเวลาเริ่มถามคำถาม
หลายๆ คำถาม การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนั้นเกิดขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม บริษัทต่างๆ เช่น
Amazon กำลังดำเนินการรูปแบบการชำระเงินและแม้กระทั่งการจัดส่ง เพื่อความอยู่รอดของทุกคน
จำเป็นต้องออกจากหน้าที่การงาน แผนกหน่วยธุรกิจ และแม้แต่อุตสาหกรรมของตนเองเพื่อเอาชนะ
อยา่ ปลอ่ ยให้ตัวเองหยดุ น่ิงเพราะคลนื่ ของเทคโนโลยแี ละข้อมูลใหม่ๆ ท่กี ำลังเขา้ มาหา หรือหยุดกังวล
เกี่ยวกับความจริงและทีมงานอาจไม่ใช่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ทุกคนสามารถเรียนรู้ เริ่มต้นตอนนี้ด้วย
การรวมผู้คนจากมุมมองที่แตกต่างกัน และขอให้ทำมากขึ้น การเรียกร้องให้การแก้ปัญหาและใช้
ความคิดน้ันมากขึ้น และจะอยากรู้มากขึ้นเพื่อก้าวไปสู่ความท้าทาย จุดประกายความปรารถนาที่จะ
เรียนรู้และประสบความสำเร็จและสนองมันได้ การให้ทุกคนได้เรียนรู้ได้ง่ายและในขณะเดินทางเพื่อ
ดับความหิวกระหายความรู้นี้ด้วย Digital Fitness Assessment ซึ่งประเมินความร่วมมือกันใน
รูปแบบใหม่ และเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เริ่มต้นด้วยความรู้พื้นฐานที่ช่วยให้สมาชิกในทีมได้รับความ
เชย่ี วชาญเพยี งพอท่ีจะมีสว่ นร่วมในการสนทนาและการแกป้ ัญหาต่อไป ความอยากรชู้ ่วยเตรียมสมอง
ใหพ้ รอ้ มสำหรบั การเรียนรู้ มันเปล่ียนความคิดและเปิดใจรบั สิ่งใหม่ ผ้คู นเรียนรสู้ ่ิงทพ่ี วกเขาอยากรู้ได้
ดีขึ้น สามารถสร้างสถานการณ์ให้คนทำงานและแก้ปัญหารว่ มกันได้ ไม่เพียงแค่เปลี่ยนวิธีการทำงาน
ของผู้คนให้เติบโตในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณจะได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากรู้ที่
เติบโตเปน็ วฏั จักรการเรยี นรทู้ ีต่ ่อเนื่อง


94

โปรดทบทวน – ขั้นตอนการพัฒนาความอยากรู้ จากทัศนะของ
Puthiyamadam มีสาระสำคัญอะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
...............................................................................................................................
หมายเหตุ - ศึกษาจากต้นฉบับภาษาองั กฤษ โปรด “คลกิ ” ดูได้จากเว็บไซตข์ ้างล่างนี้

https://www.linkedin.com/pulse/yes-you-can-teach-curiosity-4-steps-making-happen-so-win-
tom?fbclid=IwAR1HJm6hdbUwLxpE2KGdxLwF0VzOIkxNrS1Nk3TCe4YqXsC1UMk73-
xzvN0

Decide Differently (n.d.) เว็บไซต์เพือ่ การศกึ ษา ได้กล่าวถึง การเพิ่มความอยากรู้และ
ข้ันตอนการพฒั นาความอยากรู้ไว้ 4 ขั้นตอน ดงั นี้

ข้ันตอนที่ 1. ไมร่ ู้ไม่เปน็ ไร (Be Okay not Knowing)
ถ้าคิดว่าการรู้คำตอบ แสดงว่าไม่ได้มองหาใช่ไหม บางทีอาจถูกสอนหรือมีเงื่อนไขว่า
จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างหรืออย่างน้อยก็ดูเหมือนรู้ทุกอย่าง แต่ถ้าเต็มใจที่จะยอมรับว่าทำไม่ได้แทน
ละ่ ? แล้วจะเกิดอะไรข้นึ ? ชีวติ จะพาไปไหน?
ขน้ั ตอนที่ 2. ให้เวลาตวั เองในการสอบถาม (Give yourself Time to Inquire)
ในชวี ิตท่ีวุน่ วายและยงุ่ เหยิงของเรา เราไมม่ ีเวลามากพอที่จะทำงานและรายการส่ิงท่ีต้อง
ทำท้ังหมดให้เสรจ็ นับประสาจะมเี วลาวา่ งสำหรบั การสงสัย แงบ่ วกของโรคระบาด คอื หลายคนมีเวลา
มากกว่าที่เคย การใช้เวลานั้นอย่างไร? ซึ่งสามารถสร้างการไตร่ตรอง ฝัน และสงสัยในตารางงานได้
หรอื ไม่?
ขน้ั ตอนท่ี 3 ถามและฟัง (Ask & Listen)


95

อะไรคือสิ่งที่คุณอยากรู้จริงๆ? การมีเพื่อนที่อายุ 60 ตัดสินใจว่าหากต้องการเรียนอูคเู ล
เล่ อีกคนกำลงั เรยี นภาษาสเปน แลว้ คณุ ละ่ ? อยากรูอ้ ะไร และเสียงภายในการเรยี กร้องอะไรจากตัว
คุณ?

ข้ันตอนที่ 4. แสวงหาความรู้ (Seek knowledge)
เมื่อจดจ่ออยู่กับบางสิง่ ท่ีกระตุ้นความอยากรู้ การสำรวจ ค้นคว้า ค้นพบว่ามีอะไรเกิดข้ึน
บ้าง หนึ่งในส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของขั้นตอนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ได้รับความอยากรู้เท่านั้น แต่ยัง
คน้ พบและเรยี นรสู้ งิ่ ท่ยี อดเย่ียมอ่ืนๆ ดว้ ย อย่างที่ Albert Einstein เตือนว่า "สิ่งสำคัญคืออย่าหยุดต้ัง
คำถาม ความอยากรู้มเี หตผุ ลในตัวของมนั เองอยู่แล้ว" ถา้ อยากร้นู ักปล่อยใหต้ ัวเองฝึกฝนสิ่งนี้และดูว่า
จะพาไปในทศิ ทางใด

โปรดทบทวน – ขั้นตอนการพัฒนาความอยากรู้ จากทัศนะของ Decide
Differently มสี าระสำคญั อะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
...............................................................................................................................
หมายเหตุ - ศกึ ษาจากตน้ ฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลกิ ” ดไู ดจ้ ากเว็บไซตข์ ้างลา่ งน้ี

from https://www.decidedifferently.com/choice-words-blog/2020/12/1/cultivate-curiosity-in-4-simple-
steps?fbclid=IwAR08xz5z8jFz15xRKfqpWA7z2ICoNZaf6PHrOMcXbznbTObiy8zJvpS5qvs

Muhdi (n.d.) ศาสตราจารย์สาขานวัตกรรมและกลยุทธ์ที่ IMD ได้กล่าวถึงถึง 5 ขั้นตอน
ในการสร้างองค์กรที่อยากรู้อยากเห็น (Five Steps to Create a Curious Organization) และ
ขัน้ ตอนการพัฒนาความอยากรู้ไว้ ดังน้ี

ขั้นตอนที่ 1 ถามคำถามมากขึ้น (Ask more Questions) - คำถามมีพลังมากกว่า
คำตอบ


96

ดังที่ Albert Einstein เคยกล่าวไว้ว่า "จงถามทุกส่ิง" ความคิดสร้างสรรค์ในบุคคลและ
นวัตกรรมองค์กรขึ้นอยู่กับความเต็มใจที่จะค้นหาข้อมูลใหม่ สำหรับผู้นำธุรกิจ แรงกดดันมักเกิดข้ึน
จากการบอกผู้คนว่าต้องทำอะไร เพื่อหาแนวทางแก้ไขและคำตอบที่ถูกต้อง ซึ่งไม่เหมือนกับวิชาชีพ
อื่นๆ เช่น การแพทย์ การที่ไม่ได้ฝึกวิธีการถามคำถามที่ถูกต้อง พูดตามตรง : ในทางปฏิบัติ การ
เปลี่ยนกลับเป็นผู้สั่งการเป็นเรื่องที่น่าดึงดดู ใจเพราะจะช่วยประหยัดเวลาและหมายความว่าสิ่งต่างๆ
อาจจะไดร้ บั การส่งมอบในแบบท่ีต้องการ อย่างไรก็ตามวธิ ีการน้จี ะขจัดความอยากรแู้ ละขัดขวางการ
เรยี นรูร้ วมท้ังของตวั เองด้วย ใหย้ ้อนบทบาทและถามคำถามเพ่ิมเติมแทน สนบั สนนุ ให้ทีมถามคำถาม
กันและกันมากขึ้น ยิ่งถามคำถามมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งท้าทายสมมติฐาน กระตุ้นให้เกิดความอยากรู้
มากขึ้นในผอู้ ่นื การกระตนุ้ การเรยี นร้แู ละขับเคลื่อนประสิทธิภาพด้วยนวัตกรรม พูดงา่ ยๆ ว่า “ถ้าไม่
ถามคำถาม ก็จะไมพ่ บคำตอบ”

ขน้ั ตอนท่ี 2 ถามผูค้ นมากขนึ้ (Ask more People) – ก้าวขา้ มขีดจำกัด องค์กร หรือ
อตุ สาหกรรมของคณุ

ในเวลาเดียวกัน ยิ่งถามคนทั้งในและนอกองค์กรมีมากเท่าไหร่ ไอเดียที่มีอยู่ก็จะย่ิง
สมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น คำถามสร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วม – และเปิดความคิดของเราและ
ของคนรอบข้างให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ได้ยินมุมมองทีห่ ลากหลายจากผู้มีสว่ นได้ส่วนเสียท่ีแตกต่าง
กัน ซึ่งสามารถเปดิ โอกาสใหม่หรือระบคุ วามเสี่ยงทีม่ องไม่เหน็ หากรู้ว่าไม่มีองค์กรใดผกู ขาดคำตอบ
สำหรับความท้าทายที่เราเผชิญอยู่ทั้งหมด การรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่มเข้าด้วยกันเป็นสิ่ง
สำคัญเพื่อปรับปรุงการแก้ปัญหาและสร้างระบบนิเวศที่มีคุณค่าและแข็งแกร่งด้วย การเรียนรู้ศิลปะ
แห่งการทำงานร่วมกนั และนวตั กรรมแบบเปิดเปน็ กุญแจสำคัญในการปลดล็อกการสรา้ งมูลค่า ความ
ได้เปรยี บในการแข่งขนั และความสำเร็จในระยะยาวด้วย

ขั้นตอนที่ 3 มุ่งเน้นเป้าหมายในการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพ (Focus Goals on
Learning, not just Performance)

การเรียนรู้ยังคงเป็นกิจกรรมเสริมหรือการรบกวน HR มากกว่าทักษะหลัก ภายใต้แบน
เนอร์ของ "การสร้างวัฒนธรรมที่มีแรงบันดาลใจ การรวมผลกระทบส่วนบุคคลและเป้าหมายการ
เรียนรคู้ วบคไู่ ปกบั ประสทิ ธิภาพการทำงานของพนักงานในทำนองเดยี วกัน โดยการสร้างแรงจูงใจและ
การจดั สถาบนั การเรียนร้เู ป็นเป้าหมายแทนท่ีจะเป็นเพียงสว่ นเสริม ความสามารถจงู ใจบุคคลใหม้ ีส่วน
ร่วมกับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าประสทิ ธิภาพเป็นสิง่ สำคัญ แต่ในปัจจุบันน้ีการทำให้แนใ่ จ
ว่าการได้พัฒนากรอบความคิดในการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีความสามารถในการ
แขง่ ขันได้ ทำให้ความอยากร้เู ป็นคา่ นิยมหลัก

ขั้นตอนที่ 4 จ้างเพอ่ื ความอยากรู้ (Hire for Curiosity)


97

แม้ว่าจะต้องเน้นที่การช่วยเหลือทีมที่มีอยู่ให้มีความอยากรู้มากขึ้นและเปิดรับการเรยี นรู้
ในที่ทำงาน แต่ก็จำเป็นต้องจ้างผู้มีความสามารถที่เหมาะสมด้วย การจะค้นหาและดึงดูดผู้คนที่มี
ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ และเรียนรู้มากขึ้นได้อย่างไร ในด้านหนึ่งมันหมายถึงการเรียนรู้วิธีทำให้
น่าสนใจย่ิงขึ้น สำหรบั คนอยากรู้เหล่านผ้ี ่านวธิ ีที่แบรนด์มีตำแหน่งเป็นนายจ้างและหุ้นส่วน ซึ่งรวมถึง
ค่านยิ ม วัตถุประสงค์ และแนวทางเพอื่ ความย่ังยืน ในอกี ทางหน่ึง มนั หมายถึงการมสี ่วนร่วมกับชุมชน
ที่หลากหลาย เช่น ผ่านการมีส่วนร่วมในการระดมมวลชนนวัตกรรมแบบเปิดเพื่อการแก้ปัญหาและ
การสร้างแนวคิด

ข้นั ตอนท่ี 5 การสำรวจกบั การแสวงประโยชน์ (Exploration vs Exploitation)
การสร้าง "ห้องปฏิบัติการนวัตกรรม" ที่แยกออกมาต่างหาก ซึ่งการทดลองและแนวคิด
ทง้ั หมดสามารถเกดิ ขนึ้ ได้อย่างปลอดภยั หา่ งจากธุรกจิ "จรงิ " กอ่ นทแ่ี นวคิดเหลา่ นน้ั จะถูกนำกลับเข้า
มาในธรุ กิจหลกั เพ่ือนำไปใช้ประโยชน์ แนวทางนี้ใชไ้ ด้แต่ด้วยตัวมนั เอง จะไม่ปลกู ฝังจิตวิญญาณแห่ง
การเรียนรู้และความอยากรู้เข้าไปในส่วนอื่น ๆ ขององค์กร ซึ่งหมายความว่า แนวคิดเรื่องนวัตกรรม
ถูกมองว่าแยกออกจาก "สิ่งที่ทำ" จำนวนมาก ให้พิจารณาสร้างพื้นที่ที่เป็นองค์รวมและครอบคลุม
มากขึ้น สำหรับการสำรวจที่รู้สึกเปิดกวา้ ง เข้าถึงได้ และเกี่ยวข้องกับทุกคน พื้นที่การสำรวจน้ีไม่ควร
ถูกกำหนดให้ต่อต้านขั้นตอนการแสวงหาผลประโยชน์เชน่ กัน ควรทำให้ชัดเจนว่ามีเวลาและสถานที่
สำหรับแต่ละคน เพื่อให้สมาชิกในทีมเข้าใจว่าควรอยู่ในโหมด "อยากรู้" เมื่อใด และความอยากรู้น้ัน
เปลี่ยนเป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรมเมื่อใด การแก้ปัญหาแบบมีโครงสร้างหรือกิจกรรมการสร้าง
นวัตกรรมซึ่งก่อตั้งขึ้นบนนวัตกรรมแบบเปิด ความสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและชี้แจงขั้นตอนการ
สำรวจและหาประโยชน์เหล่านี้ได้ เพื่อชว่ ยเปลี่ยนจากทีแ่ ข็งกระด้างให้กลายเป็นคนอยากรู้ ฉะน้ันการ
เปน็ ผนู้ ำที่ดีนน้ั เกย่ี วกับการตดั สินใจเลือกท่ดี ี ตัดสินใจเลือกอยา่ งมสี ติ เพ่ือทำให้เกิดความอยากรู้มาก
ขน้ึ และยอมรับการเรยี นรู้ ทำสิง่ นท้ี กุ วนั และทำให้เป็นนสิ ัยใหม่ทดี่ ีให้กับตน เริม่ ต้นด้วยท่ีตัวเองและ
เป็นแบบอย่างสำหรับการเปลีย่ นแปลงทตี่ ้องการเห็นในโลก ดงั ที่ Clayton Christensen นักวชิ าการ
ด้านธุรกิจชั้นนำกล่าวไว้วา่ “คำถาม คือที่ที่อยูใ่ นความคิดของเราซึง่ เป็นท่ีที่เหมาะสมสำหรับคำตอบ
หากไมไ่ ดถ้ ามคำถาม คำตอบกไ็ มม่ ีท่ีอยู่ หากต้องอยากรเู้ พอ่ื เปิดพื้นที่สำหรบั คำตอบที่เหมาะสม”

โปรดทบทวน – ขั้นตอนการพัฒนาความอยากรู้ จากทัศนะของ Muhdi มี
สาระสำคัญอะไร ?
…………………………………………………………………………………………….......................
...............................................................................................................................
...............................................................................................................................


98

หมายเหตุ - ศกึ ษาจากต้นฉบบั ภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดไู ดจ้ ากเว็บไซตข์ ้างล่างนี้

https://www.imd.org/research-knowledge/articles/learning-to-learn-five-steps-to-create-a-
curious-organization/?fbclid=IwAR244hUET0-l8g2VXc1uBATOzCkVPGbBq2967w-
6OyywjsRvpf7TRtMk_jc

จากทศั นะของแหล่งอ้างอิงตา่ งๆ ดังกล่าวขา้ งต้น สรปุ ได้วา่ ขัน้ ตอนการพัฒนาความอยากรู้
(Curiosity) มีดังน้ี

Puthiyamadam (2018) กล่าวถงึ 4 ข้ันตอน คือ
ข้นั ตอนท่ี 1 ตระหนกั ถึงปญั หา (Recognize the Problem)
ขัน้ ตอนที่ 2 เร่มิ ทำลายประเพณี (Start Destroying the Traditional)
ข้นั ตอนที่ 3 ใชห้ นา้ ตา่ งที่คุณสร้าง (Use the Windows You Create)
ขน้ั ตอนที่ 4 จุดประกายความหิวโหย (Spark the Hunger)

Decide Differently (n.d.) กลา่ วถึง 4 ขัน้ ตอน คอื
ขน้ั ตอนที่ 1. ไม่รู้ไมเ่ ป็นไร (Be Okay not Knowing)
ขน้ั ตอนท่ี 2. ให้เวลาตวั เองในการสอบถาม (Give yourself Time to Inquire)
ขน้ั ตอนที่ 3 ถามและฟัง (Ask & Listen)
ขั้นตอนท่ี 4. แสวงหาความรู้ (Seek knowledge)

Muhdi (n.d.) กล่าวถงึ 5 ขนั้ ตอน คือ
ขนั้ ตอนท่ี 1 ถามคำถามมากขึ้น (Ask more Questions)
ขน้ั ตอนที่ 2 ถามผูค้ นมากข้นึ (Ask more People)
ขั้นตอนที่ 3 มุ่งเน้นเป้าหมายในการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพ (Focus Goals on
Learning, not just Performance)
ขั้นตอนที่ 4 จา้ งเพื่อความอยากรู้ (Hire for Curiosity)
ขั้นตอนที่ 5 การสำรวจกับการแสวงประโยชน์ (Exploration vs Exploitation)


99

จากนานาทัศนะเกีย่ วกับข้ันตอนการพฒั นาความอยากรู้ (Curiosity) ดังกล่าวขา้ งต้น ท่าน
เหน็ วา่ มแี นวคิด (Concepts) ทส่ี ำคญั อะไรบ้าง ทที่ ำใหเ้ ข้าใจในขนั้ ตอนการพัฒนาน้ันได้อย่างกระชับ
และชัดเจน โปรดระบแุ นวคิดนน้ั ในภาพทีแ่ สดงข้างล่าง

Decide Differently (n.d.). Cultivate curiosity in 4 simple steps. Retrieved September
07, 2021 from https://www.decidedifferently.com/choice-words-
blog/2020/12/1/cultivate-curiosity-in-4-simple-
steps?fbclid=IwAR08xz5z8jFz15xRKfqpWA7z2ICoNZaf6PHrOMcXbznbTObiy8zJv
pS5qvs

Muhdi, L. (n.d.). Learning to learn : Five steps to create a curious organization.
Retrieved September 07, 2021 from https://www.imd.org/research-
knowledge/articles/learning-to-learn-five-steps-to-create-a-curious-
organization/?fbclid=IwAR244hUET0-l8g2VXc1uBATOzCkVPGbBq2967w-
6OyywjsRvpf7TRtMk_jc


100

Puthiyamadam, T. (2018, February 27). Yes, you can teach curiosity. 4 Steps to
making it happen so you can win the future. Retrieved September 07, 2021
from https://www.linkedin.com/pulse/yes-you-can-teach-curiosity-4-steps-
making-happen-so-win-
tom?fbclid=IwAR1HJm6hdbUwLxpE2KGdxLwF0VzOIkxNrS1Nk3TCe4YqXsC1UMk
73-xzvN0


Click to View FlipBook Version