ก รายงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 นางสาวกมลชนก กล้าขยัน ชั้นปีที่ 5 หมู่เรียนที่ 2 รุ่นที่ 20 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ รายงานการวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู รายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 (ฝึกเต็มรูป 2) ณ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
ข หัวข้อวิจัย การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้ดำเนินการวิจัย นางสาวกมลชนก กล้าขยัน หน่วยงาน สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ปี พ.ศ. 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้คือ 1) เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ ทักษะการฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของข้อสอบ ทักษะการฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 สำหรับนักเรีย นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนทดสอบก่อนเรียน ทักษะการ ฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้รายวิชา ภาษาอังกฤษ อ15101 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 3 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/6 จำนวน 10 คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 จำนวน 43 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ ส ั ง ก ั ด ส ำ น ั ก ง า น เ ข ต พ ื ้ น ท ี ่ ก า ร ศ ึ ก ษ า ป ร ะ ถ ม ศึก ษ า ช ั ย ภ ู ม ิ เ ข ต 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้, แบบทดสอบรายวิชาภาษาอังกฤษ, แบบสอบถาม ความพึงพอใจ, สถิติที่ใช้ในงานวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังนี้จากวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 8 แผนการจัดการเรียนรู้ คือ 1.00 ซึ่งค่าความสอดคล้องที่เหมาะสม นั้นมีค่าตั้งแต่ 0.5 – 1.00 2) ผลรวมค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งหมด 40 ข้อ คือ 1.00 ซึ่งมีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสม มีค่าตั้งแต่ 0.5 – 1.00 3) ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษ พื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน ซึ่งผลต่างมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ + 8.81 4) ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน เฉลี่ยรวมทุกด้านคือ 4.49 จึงสามารถสรุปได้ว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับ มาก
ค Research Title Developing English Listening skills using (Total Physical Response: TPR) Researcher Kamolchanok Klakhayun Organization Faculty of Education, English Major Chaiyaphum Rajabhat University Year 5 ABSTRACT The objectives of this research are 1) To determine the content consistency (IOC) of the lesson plans for 5th-grade students 2) To determine the content consistency (IOC) of the English listening tests for 5th-grade students. 3) To make a comparison between pre-test and post-test by using Total Physical Response: TPR. 4) To study the students’ satisfaction with the teaching methods. The population and sample are 56 primary five students in semester 2 of academic year 2022 at Anubanchaiyaphum School . The instruments used in the study are: 1) Lesson plans, 2) English listening test, 3) The statistics are percentage, average and standard deviation. 4) Questionnaires on opinion towards English Listening skills using (Total Physical Response: TPR). 4) To study the satisfaction of students with teaching methods. The results of this research demonstrated that the objectives of this research are 1) To determine the content consistency (IOC) of the lesson plans for 5th-grade students. The content consistency (IOC) value of lesson plans is 1.00. 2) To determine the content consistency (IOC) of the English listening tests for 5th-grade students. The content consistency (IOC) value of tests is 1.00. 3) To make a comparison between the pre-test and post-test by using Total Physical Response: TPR, the difference average between the pre-test higher than the post-test is +8.81. 4) To study the students’ satisfaction with the teaching methods. The conclusion is students are very satisfied with the teaching methods and the average is 4.49.
4 กิตติกรรมประกาศ รายงานผลการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เล่มนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากคณาจารย์ เพื่อน รุ่นพี่ ในสาขาวิชาภาษาอังกฤษ ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำช่วยเหลือและตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยวิธีการ ดำเนินงานตลอดจนปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ทำให้รายงานนี้เสร็จได้อย่างสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณนางสาวสุธิดา อยู่ภักดี นางรัตตัญญู โพธิ์ศรี และนางอัญจนา สุพันดี โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ เป็นอย่างสูงที่ให้ความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยตลอดจนพิจารณาความสอดคล้องเชิงเนื้อหาความสอดคล้องของแบบทดสอบและให้คำแนะนำ ในการแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและวิธีการจัดการเรียนการสอน ขอขอบพระคุณนางสาวสุธิดา อยู่ภักดี ครูพี่เลี้ยง โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิจังหวัดชัยภูมิ ที่ได้อำนวยความสะดวกในเรื่องต่าง ๆ ตลอดจนคำแนะนำเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลการวิจัย ขอขอบคุณนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ ทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ในการจัดการเรียนการสอนและการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อเป็นการเก็บข้อมูลในการศึกษา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ครั้งนี้ด้วยความตั้งใจเป็นอย่างดีทำให้ได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ชั้นปีที่ 5 รุ่นที่ 20 ทุกคนรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องที่คอยให้กำลังใจสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทุกด้าน ด้วยความเมตตาจิตตลอดมา นางสาวกมลชนก กล้าขยัน 2566
คำนำ รายงานการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ทักษะการฟัง โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 เล่มนี้ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาดูแล ช่วยเหลือให้คำแนะนำ กำกับติดตามจนสำเร็จลุล่วงด้วยดียิ่งจากท่านอาจารย์นภาพร เลขาโชค อาจารย์ปรึกษาในรายวิชารายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 (5002702) ผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ้งใน พระคุณจึงขอขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณท่านผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความกรุณาในการตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้และเครื่องมือ ในการพัฒนาการเรียนรู้ในครั้งนี้ ซึ่งได้แก่ นางสาวสุธิดา อยู่ภักดีตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ นางรัตตัญญู โพธิ์ซรี ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ และนางอัญจนา สุพันดี ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ ที่ได้ตรวจสอบเนื้อหาและชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง จนทำให้การพัฒนาการเรียนรู้ครั้งนี้ ดำเนินการไปได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลชัยภูมิที่ให้ความอนุเคราะห์ในการปฏิบัติ การสอนในสถานศึกษา 5 โดยอนุญาตให้ทำการเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ในครั้งนี้ ด้วยความกรุณาของครูพี่เลี้ยง คุณครูสุธิดา อยู่ภักดี ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ คณะครูในกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และคุณครูสายชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทุกท่าน ที่ได้ให้ความกรุณาให้คำแนะนำชี้ แนะแนวทางการเก็บข้อมูลใน การจัดการเรียนการสอนจนสำเร็จลุล่วงด้วยดีตลอดจนคณะครูโรงเรียน อนุบาลชัยภูมิทุกท่าน ให้กำลังใจ และอำนวยความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดี ขอขอบใจนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียนสุนทรวัฒนา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ที่คอยให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยความตั้งใจเป็นอย่างดี จนทำให้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ กมลชนก กล้าขยัน
สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข สารบัญตาราง ง สารบัญรูปภาพ จ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์การศึกษา 3 1.3 ขอบเขตการศึกษา 4 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 5 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 10 2.2 การทักษะการฟังและทฤษฎีการสอนทักษะการฟัง 17 2.3 หลักการสอนด้วยการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง 20 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 23 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการศึกษา 3.1 กลุ่มตัวอย่าง 26 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 26 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 29 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 32 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 34 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 34 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลและอภิปรายผลการศึกษา 41 5.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษา 45 บรรณานุกรรม
สารบัญ (ต่อ) เรื่อง ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา - ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ (5แผน) - ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน - แบบทดสอบความพึงพอใจของนักเรียน ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์ข้อมูล - แบบประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) สำหรับผู้เชี่ยวชาญ ในการตรวจสอบเครื่องมือการศึกษา ภาคผนวก ค ข้อมูลสถิติจากการวิเคราะห์ผลการศึกษา ภาคผนวก ง ภาพประกอบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้
สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่1 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบ 30 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method ; TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์และหาประสิทธิภาพเครื่องมือในการศึกษา คือ แผนการจัดการเรียนรู้ 35 ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์และหาประสิทธิภาพ เครื่องมือในการศึกษา คือ แบบทดสอบก่อนเรียน 36 และหลังเรียนจากแผนการจัดการเรียนรู้ ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบผลต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของคะแนนทดสอบก่อนเรียน 38 และหลังเรียน ตารางที่ 5 ผลการทดสอบค่าคะแนนที (t-test) 38 ตารางที่ 6 ผลจากแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน 39 รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4
สารบัญรูปภาพ เรื่อง หน้า รูปภาพที่ 1 แบบแผนการศึกษาแบบ One Group Pretest-Posttest Design 30
1 บทที่ 1 ที่มาและความสำคัญ 1.1 ที่มาและความสำคัญ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นเครื่องมือที่ สำคัญในการติดต่อสื่อสารการศึกษาการค้นคว้าหาความรู้ การประกอบอาชีพการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับ วัฒนธรรม และวิสัยทัศน์ของชุมชนโลกทำาให้สามารถเข้าใจถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของ สังคม อันจะก่อให้เกิดมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช่วยพัฒนา ผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น สามารถเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และสามารถใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมถึงสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น ซึ่งภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐานที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดให้เรียนตลอดหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ภาษาอังกฤษ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 220) โดยเฉพาะ ในศตวรรษที่ 21 เป็นยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ มีการใช้เครื่องมืออย่างหลากหลายในการแสวงหาความรู้ภาษาอังกฤษถือว่าเป็นทักษะ ที่สำคัญแห่งศตวรรษ ที่ 21 และเป็นเครื่องมือที่สำคัญในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ เพราะภาษาอังกฤษเป็น ภาษาสากล ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด ภาษาหนึ่ง โดยที่องค์ความรู้ที่สำคัญของโลกส่วนใหญ่ ถูกบันทึก และเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เพื่อให้นักเรียนได้มี ความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ รวมถึงสามารถพัฒนาตนเองให้ทันโลกทันเหตุการณ์ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีนโยบายเร่งปฏิรูปการเรียนรู้ใหม่ทั้งระบบเพื่อให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เพื่อยกระดับ คุณภาพการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน โดยเน้นการเสริมสร้างสมรรถนะ และทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อแสวงหาความรู้ อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคม อาเซียนอีกด้วย (สถาบันภาษาอังกฤษ กระทรวงศึกษาธิการ,2558 : 1-18) เนื่องจากความสำคัญและความจำเป็นดังกล่าว การเรียนการสอนภาษาอังกฤษจึงควรเน้นให้ผู้เรียนสามารถ ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับวัฒนธรรมและใช้ภาษาอังกฤษให้เป็นประโยชน์ใน การศึกษาต่อในระดับสูงหรือประกอบอาชีพ ให้ผู้เรียนมีความสามารถทางภาษาอังกฤษทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน และเขียน ตลอดจนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์หรือความคาดหวัง ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่กำหนดให้จัดการเรียนการสอนตามแนวการเรียนเพื่อการสื่อสาร (Communicative Approach)
2 จากการจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ วิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษา ชัยภูมิ เขต 1 พบว่านักเรียน ฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษสั้น ๆ ไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการฟังจาก ครูผู้สอน หรือฟังจากสื่อการเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ต นักเรียนไม่กล้าใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพราะฟัง ภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ ไม่คุ้นเคยกับสำเนียงภาษาขาดความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ อีกทั้งไม่สามารถจับ ใจความสำคัญ เพราะนักเรียนส่วนใหญ่มักจะจดจ่ออยู่กับประโยคแรก จึงทำให้ฟังประโยคถัดมาไม่ทัน ไม่เข้าใจ สาเหตุเนื่องมาจากกังวลกับการฟังประโยคแรก การแปลความหมายและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษของครูส่วนใหญ่เน้นพัฒนาทักษะทางภาษาเพียง 2 ด้าน คือทักษะการอ่าน และทักษะการเขียน เนื่องจากเป็นทักษะที่นักเรียนต้องเรียนเป็นส่วนใหญ่ นักเรียนไม่ค่อยได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้น พัฒนาทักษะการฟัง การฟังส่วนใหญ่มากจากการเรียนกับครูต่างชาติ ซึ่งเป็นเจ้าของภาษาเองนักเรียนได้เรียนกับ ครูต่างชาติเพียงหนึ่งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งน้อยมากสำหรับการฝึกทักษะการฟังของนักเรียน รวมไปถึง นักเรียนไม่มีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ และไม่ได้นำภาษาอังกฤษไปใช้จริง จึงทำให้นักเรียนฟังภาษาอังกฤษ ไม่เข้าใจ ไม่มีความมั่นใจในตนเอง และไม่กล้าใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เนื่องจากกังวลในการ พูดโต้ตอบและการฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ จากการศึกษาค้นคว้าเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษให้ มีประสิทธิภาพมากขึ้นผู้วิจัยพบว่ากิจกรรมที่ใช้ได้ผลดีสำหรับเด็กคือ เกมและเพลงที่ใช้ท่าทางประกอบ กิจกรรม ประเภทตอบสนองด้วยท่าทางและกิจกรรม การฟังง่าย ๆ ที่ให้เด็กได้ฟังซ้ำ ๆได้โดยมีลักษณะของการสื่อสารอย่าง ชัดเจน ทำให้การเรียนภาษาเป็นไปอย่างมีความหมาย มุ่งเน้นการใช้ภาษาเพื่อเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ไม่ใช่เน้น ด้านไวยากรณ์ ครูสามารถให้งานแล้วให้เด็กค้นพบกฎเกณฑ์ ทางไวยากรณ์ง่าย ๆ ด้วยตนเอง โดยปกติแล้วถ้า กิจกรรมใดสนุกเด็กก็จะจำได้ และภาษาที่ใช้ในกิจกรรมนั้น ๆ ก็จะติดอยู่ใน ความทรงจำด้วย เด็กจะมีความรู้สึก ภูมิใจในความสำเร็จ ซึ่งจะเกิดเป็นแรงจูงใจและเป็นเจตคติคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ต่อไป (Phillips, S. 2545 : 16-19) วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response Method ; TPR) ที่บุกเบิกโดย เจมส์ แอชเชอร์ (James Asher) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เป็นวิธีการสอนที่เน้น บทบาทความเข้าใจ การรับรู้ ภาษาเป็นภาษาที่สองของนักเรียนโดยมีหลักการสำคัญ คือ เน้นบทบาทของความ เข้าใจในการฟัง ด้วยการให้ปัจจัยที่มีความหมาย และใช้คำสั่งสั้น ๆ ง่ายๆ ครูจะพูดพร้อมแสดงท่าทาง หรือปฏิบัติ ตามประโยคคำสั่งนั้น แล้วให้นักเรียนปฏิบัติตามจนนักเรียน มีความพร้อมที่จะปฏิบัติด้วยตนเอง โดยที่ครูไม่ต้อง เป็นแบบให้การแสดงท่าทางในการฝึกด้วยประโยคคำสั่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้นักเรียนเข้าใจและสื่อ ความหมายได้ตรงที่สุด Asher ได้นำวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางนี้มาทดลองใช้ ในปี ค.ศ. 1969 และได้ผลสรุปว่าการเรียนภาษาจะได้ผลช้าลง ถ้าผู้เรียนรีบร้อนที่จะพูดจนเกินไป ก่อนที่จะสามารถฟังภาษา
3 ให้เข้าใจและได้เรียนรู้คำศัพท์มากพอสมควรแล้ว วิธีการสอนนี้ เป็นวิธีหนึ่งที่เหมาะสมต่อการนำมาใช้ในการจัด การเรียนการสอน สำหรับนักเรียนที่เริ่มเรียนภาษาต่าง ประเทศ (Asher, J. 1979 : 34) จากที่ผู้ศึกษาเป็นครูผู้สอนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้ตระหนักถึงภารกิจ ในการจัดการเรียนเพื่อให้นักเรียนบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จากการสังเกตนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานพบกว่าผู้เรียนมีความบกพร่อง ทางการฟังภาษาอังกฤษเนื่องจากนักเรียนไม่สามารถฟังสำเนียงของเจ้าของภาษาที่พูดในระดับความเร็วปกติได้ ไม่ เข้าใจและนักเรียนไม่สนใจข้อความหรือบทสนทนาต่อไปเนื่องจากจดจ่ออยู่กับข้อความหรือบทสนทนาส่วนแรก เพราะกำลังนึกความหมายของข้อความนั้น ๆ จึงทำให้ไม่สามารถจับใจความส่วนแรกได้ อีกทั้งไม่สามารถแยกแยะ เสียงของคำที่ใกล้เคียงกันได้ ซึ่งทำให้นักเรียนเกิดความสับสนและเข้าใจความหมายของคำนั้น ๆ ผิด ผู้วิจัยเห็นว่า วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) จะสามารถพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษและทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติ ที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษได้ ผู้วิจัยจึงได้สนใจศึกษา การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยใช้วิธีสอนแบบตอบสนอง ด้วยท่าทาง (TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ (ทักษะการฟัง) และเพื่อสร้างบทเรียนพัฒนาทักษะการฟัง รวมไปถึงเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนต่อไปและการนำไปสู่การพัฒนาความสามารถในทักษะการฟังและพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์ 1.2.1 เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ ทักษะการฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.2.2 เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของข้อสอบ ทักษะการฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.2.3 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนทดสอบก่อนเรียน ทักษะการ ฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) 1.2.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ รายวิชา ภาษาอังกฤษ อ15101
4 1.3 คำถามการศึกษา 1.3.1 ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมหรือไม่ 1.3.2 ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของข้อสอบ รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมหรือไม่ 1.3.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 ทักษะการฟัง โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนหรือไม่ 1.3.4 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) หรือไม่ อย่างไร 1.4 ขอบเขตของการศึกษา 1.4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.4.1.1 ประชากรในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3 จำนวน 3 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/6 จำนวน 10 คน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 จำนวน 43 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ รวมทั้งสิ้น 56 คน 1.4.1.2 กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 จำนวน 43 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 1.4.2 ตัวแปรในการศึกษา 1.4.2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ แผนการจักการเรียนรู้ รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 1.4.2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 1) ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรี ย น รู้ รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
5 3) ผลสัมฤทธิ์การฟังภาษาอังกฤษหลังเรียนด้วยบทเรียนพัฒนาทักษะการฟัง รายวิชาภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 4) ผลความพึงพอใจที่มีต่อบทเรียนพัฒนาทักษะการฟัง รายวิชาภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.4.3 เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยเน้นทักษะการฟัง ตามวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนละ 60 นาที ประกอบด้วยเนื้อหาดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Bug in a bottle 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง The Happy Campers 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 เรื่อง On the Go! 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 เรื่อง Band practice 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 เรื่อง Let's Go to Disneyland 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 เรื่อง Kids and Their Teacher 7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 เรื่อง Warm Air and a Sandwich 8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 36 เรื่อง food items are lucky and unlucky 1.4.4 ระยะเวลาและสถานที่ในการศึกษา ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยเริ่มตั้งแต่ เดือน ธันวาคม 2565 เป็นต้นไปจนกระทั่ง สิ้นสุดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จัดการเรียนการสอนที่ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 การสอนภาษาอังกฤษแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) หมายถึง การสอนที่ใช้หลักการทำความเข้าใจโดยดูจากกริยา ท่าทาง ในการเรียนรู้ภาษาที่สอง ตามแนวคิดของอัชเชอร์ (Asher. 1982) โดยให้ปัจจัยป้อนที่มีความหมายและลดความตรึงเครียด โดยเริ่มจากการใช้ประโยคคำสั่งง่ายๆ เน้นการให้ความหมายโดยรวมของภาษาควบคู่ไปกับการแสดงออกด้วยท่าทางซึ่งผู้สอนจะพูดภาษาอังกฤษ พร้อมแสดงท่าทาง ตามความหมายของคำนั้น ๆ ประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วให้ผู้เรียนปฏิบัติตาม ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ประเภทดังนี้
6 1. TPL-B (Total Physical Response – Body) เป็นการสอนโดยใช้คำสั่งที่มีคำศัพท์ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย (body movement) เช่น นั่งลง(sit down ) ยืนขึ้น ( stand up ) เลี้ยวซ้าย (turn left ) เลี้ยวขวา (turn right ) เดินหน้า ( go straight) ถอยหลัง (back) กระโดด (jump) ปรบมือ (clap your hand ) หยุด (stop) กลับหลัง (turn around ) ชูมือขึ้น (raise your hand ) เอามือลง (put down your hand ) โบกมือ (wave your hand)เป็นต้น กิจกรรมหรือเกมที่ใช้อาจ ใช้เกม Simon say เช่น Simon say touch your nose ถ้าไม่ได้พูดคำว่า Simon say ไม่ต้องทำตาม 2.TPR-O(Total Physical response – objects) เป็นการสอนโดยใช้คำสั่งที่เป็นคำศัพท์ที่เป็น สิ่งของ Object เช่น สมุด (book)ปากกา (pen) ดินสอ Pencil ยางลบ eraser ไม้บรรทัด rule แผนที่ map โต๊ะtable เก้าอี้ chair ประตู door นาฬิกา clock ไฟฉาย flash light ดอกไม้ flower ใบไม้ leaf ก้อนหิน rock จาน plate ชาม bowl แก้วน้ำ glass ช้อน spoon ส้อม fork หวี comb กระจก mirror เป็นต้น อย่าไปติดการ สอนในชั้นเรียนอาจพาผู้เรียนออกนอกห้องเรียน เพื่อเรียนรู้วัตถุสิ่งของต่างๆหรืออาจใช้เกม bring me (a pen , a red pencil) 3. TPR –P (Total Physical Response – Picture) เป็นการสอนเกี่ยวกับการออกคำสั่งที่เกี่ยวข้อง กับรูปภาพ การเลือกภาพที่ใช้ในการเรียนการสอนควรใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียน โดยยกตัวอย่างคำถามจากภาพ เมื่อครูถามแล้วให้นักเรียนไปชี้ภาพดู ไม่มีการพูดภาพที่ครูกำหนดควรเป็นภาพตัดแปะจะได้เคลื่อนย้าย คน สัตว์ สิ่งของ ไปไว้ตามตำแหน่งต่างๆของภาพได้ เพื่อตรวจสอบผู้เรียน เป็นการสอนโดยใช้คำสั่งที่เกี่ยวกับข้องกับรูปภาพมี เป้าหมายให้นักเรียนรู้จักกลุ่มคำเกี่ยวกับภาพต่างๆ มี 3 ประเภทคือ ภาพโปสเตอร์ แผ่นพับ รูปภาพที่มีอยู่แล้ว ภาพ ตัดแปะจากผ้า หรือ กระดาษ ภาพวาดลายเส้นหรือภาพสีที่ผลิตโดยครูหรือผู้เรียนหรือ ภูมิปัญญาท้องถิ่น 4.TPR-S Total physical response – story telling) เป็นการสอนภาษาโดยการเล่าเรื่อง โดยครูเล่าเรื่องคล้ายกับชีวิตประจำวันของนักเรียนหรือเล่านิทาน 2-3 ครั้ง แล้วให้ผู้เรียนมาแสดงละครจากเรื่องที่ ครูเล่าหรือบางครั้งอาจเปลี่ยนเป็นอาจารย์อ่านให้ฟัง 1-3 ครั้ง ให้นักเรียนเขียนขึ้นมาใหม่ เหมือนที่ครูเล่าหรือไม่ แสดงว่าผู้เรียนฟังแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ให้เริ่มจากง่ายๆก่อน เป็นการสอนเกี่ยวกับการออกคำสั่งที่เกี่ยวข้อง กับรูปภาพ การเลือกภาพที่ใช้ในการเรียนการสอนควรใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียน โดยยกตัวอย่างคำถามจากภาพ เมื่อครูถามแล้วให้นักเรียนไปชี้ภาพให้ดูไม่มีการพูดภาพที่ครูกำหนดควรเป็นภาพตัดแปะจะได้เคลื่อนย้าย คน สัตว์ สิ่งของ ไปไว้ตามตำแหน่งต่างๆของภาพได้ เพื่อตรวจสอบว่านักเรียนรู้จักภาพเหล่านั้นจริงๆ ไม่ใช้การท่องจำภาพ เท่านั้นเป็นการสอนที่ใช้เรื่องเล่าการสอนภาษาโดยการใช้รูปภาพ TPR-P การสอนภาษาด้วยการเล่าเรื่อง ควรใช้ เมื่อผู้เรียนมีความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ โดยครูเล่าเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน หรือนิทาน เองง่ายๆ ครูเล่าเรื่องให้ฟังอีกครั้งหนึ่งจากนั้นให้ผู้เรียนออกมาแสดงเรื่อง ( ตามที่ครูเล่า ) โดยไม่ต้องพูด ต่อมาให้ ผู้เรียนเล่าเรื่องเอง แล้วให้ผู้เรียนคนอื่นมาแสดงละครตามเรื่องที่ผู้เรียนเล่าให้ฟัง จุดประสงค์ของ TPR-S คือ
7 ต้องการให้ผู้เรียนฟังครูพูดให้เข้าใจและทำท่าทาง โดยผู้เรียน ไม่ต้องพูด เพียงแต่แสดงท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง เท่านั้น 1.5.2 แผนการจัดการเรียนรู้หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้นประกอบด้วย หน่วยการเรียนรู้ สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ และการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ ในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดยเน้นทักษะการฟัง ด้วยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วย ท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งประกอบด้วยแผนจัด การเรียนรู้จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Bug in a bottle 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง The Happy Campers 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 เรื่อง On the Go! 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 เรื่อง Band practice 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 เรื่อง Let's Go to Disneyland 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 เรื่อง Kids and Their Teacher 7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 เรื่อง Warm Air and a Sandwich 8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 36 เรื่อง Food items are lucky and unlucky 1.5.3 แบบทดสอบก่อนเรียน หมายถึง แบบทดสอบรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดยเน้นทักษะการฟัง ด้วยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 จำนวน 40 ข้อ เพื่อทราบความรู้พื้นฐานและภูมิหลังทางการเรียนในหน่วยนั้น ๆ ของ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้เนื้อหาจากแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 8 แผนการจัดการเรียนรู้ 1.5.4 แบบทดสอบหลังเรียน หมายถึง แบบทดสอบรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดยเน้นทักษะการฟัง ด้วยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 จำนวน 40 ข้อ เพื่อวัดและประเมินผลหลังเรียน ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้เรียนและครูผู้สอนสามารถนำ ข้อมูลดังกล่าวไปพัฒนาและปรับปรุงการเรียนรู้และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือกิจกรรมการเรียนรู้ให้ เหมาะสมกับผู้เรียนและสถานการณ์ต่อไป โดยใช้เนื้อหาจากแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 8 แผนการจัด การเรียนรู้
8 1.5.5 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การเปรียบเทียบคะแนนที่ได้จากการทำ แบบทดสอบทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนว่ามีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด ของ รายวิชาภาษาอังกฤษ พื้นฐานโดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้เนื้อหาจากแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 8 แผนการจัดการเรียนรู้ 1.5.6 ทักษะการฟัง หมายถึง ความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษ ตามที่ผู้สอนกำหนดในแผนการ จัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบไปด้วยบทความเรื่อง Bug in the bottle, The Happy Campers, On the Go!, Band practice, Let’s go to Disneyland, Kid and Their teacher, Warm Air and a Sandwich, Food items are lucy and unlucky. 1.5.7 ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของนักเรียนเกี่ยวกับการเรียนการสอน รายวิชาภาษาอังกฤษ พื้นฐาน โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 วัดได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจภายหลังการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1.5.8 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 จำนวนทั้งสิ้น 56 คน ซึ่งเป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565
9 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาในครั้งนี้เป็นการพัฒนาทักษะการฟังโดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method ; TPR) รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (อ15101) สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 5 ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาและเพื่อตอบคำถามการศึกษาในครั้งนี้ จึงได้นำเสนอองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง กับหัวข้อการศึกษา ตามลำดับต่อไปนี้ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 2.1.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ 2.2 การทักษะการเขียนและทฤษฎีการสอนทักษะการฟัง 2.2.1 ความหมายของการฟัง 2.2.2 การสอนทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 2.2.3 องค์ประกอบเกี่ยวกับความสามารถทางการฟังภาษาอังกฤษ 2.2.4 การวัดและประเมินผลทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 2.3 หลักการสอนด้วยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method; TPR) 2.3.1 ความหมายของวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method; TPR) 2.3.2 ประเภทของวิธีการสอนที่ตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method; TPR) 2.3.3 ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method; TPR) 2.4 การหาค่าประสิทธิภาพ 2.4.1 การคำนวณหาประสิทธิภาพ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.4.1 งานวิจัยภายในประเทศ 2.4.2 งานวิจัยในต่างประเทศ
10 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 2.1.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยประกอบด้วยสาระและ มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) จำนวน 4 สาระ โดยงานวิจัยเล่มนี้เกี่ยวข้องกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยจึงขอเสนอสาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที 5 ดังนี้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ดังตารางที่ 1 สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น อย่างมีเหตุผล ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง และคำแนะนำง่าย ๆ ที่ฟังและอ่าน • คำสั่งและคำขอร้องที่ใช้ในห้องเรียน ภาษาท่าทาง และคำแนะนำในการเล่นเกม การวาดภาพ หรือการ ทำอาหารและเครื่องดื่ม - คำสั่ง เช่น Look at the…/here/over there./ Say it again./ Read and draw./ Put a/an…in/on/under a/an…/ Don’t go over there. etc. - คำขอร้อง เช่น Please take a queue./ Take a queue, please./ Can/Could you help me, please? etc. - คำแนะนำ เช่น You should read everyday./ Think before you speak./ - คำศัพท์ที่ใช้ในการเล่นเกม Start./ My turn./ Your turn./ Roll the dice./ Count the number./ Finish./ - คำบอกลำดับขั้นตอน First,… Second,… Next,… Then,… Finally,… etc.
11 2. อ่านออกเสียงประโยค ข้อความ และบท กลอนสั้น ๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน • ประโยค ข้อความ และบทกลอน • การใช้พจนานุกรม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง และ คำแนะนำง่าย ๆ ที่ฟังและอ่าน -หลักการอ่านออกเสียง เช่น การออกเสียงพยัญชนะ ต้นคำและพยัญชนะท้ายคำ การออกเสียงเน้นหนัก-เบา ในคำและกลุ่มคำ - การออกเสียงตามระดับเสียงสูง-ต่ำในประโยค - การออกเสียงเชื่อมโยง (linking sound) ในข้อความ - การออกเสียงบทกลอนตามจังหวะ 3. ระบุ /วาดภาพ สัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมายตรงตามความหมายประโยคและ ข้อความสั้น ๆ ที่ฟัง หรืออ่าน • กลุ่มคำ ประโยคผสม ข้อความ สัญลักษณ์ เครื่องหมาย และความหมายเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม อาหาร เครื่องดื่ม เวลาว่างและนันทนาการ สุขภาพและสวัสดิการ การ ซื้อ-ขาย และลมฟ้าอากาศ และเป็นวงคำศัพท์สะสม ประมาณ 750-950คำ (คำศัพท์ที่เป็นรูปธรรมและ นามธรรม) 4. บอกใจความสำคัญ และตอบคำถาม จากการฟังและอ่านบทสนทนา และ นิทานง่าย ๆ หรือ เรื่องสั้น ๆ • ประโยค บทสนทนา นิทาน หรือเรื่องสั้น ๆ คำถาม เกี่ยวกับใจความสำคัญของเรื่อง เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร - Yes/No Question เช่น Is/Are/Can…? Yes,…is/are/can./ No,…isn’t/aren’t/can’t. Do/Does/Can/Is/Are...? Yes/No… etc. - Wh-Question เช่น Who is/are…? He/She is…/They are… What…?/Where…? It is…/They are… What…doing? …is/am/are… etc. - Or-Question เช่น Is this/it a/an…or a/an…? It is a/an… etc.
12 สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. พูด/เขียนโต้ตอบในการสื่อสารระหว่าง บุคคล • บทสนทนาที่ใช้ในการทักทาย กล่าวลา ขอบคุณ ขอโทษ ชมเชย การพูดแทรกอย่างสุภาพ ประโยค/ ข้อความที่ใช้แนะนำตนเอง เพื่อนและบุคคลใกล้ตัว และสำนวนการตอบรับ เช่น Hi/Hello/Good morning/Good afternoon/Good evening/I am sorry./How are you?/I'm fine. Thank you. And you?/ Hello. I am.../ Hello,...I am... This is my sister. Her name is.../ Hello,.../Nice to see you. Nice to see you too./Goodbye./Bye./See you soon/later./Good/Very good./Thanks./ Thank you./Thank you very much./ You're welcome./It's O.K. etc. 2. ใช้คำสั่ง คำ ขอร้อง คำขออนุญาต และให้คำแนะนำง่าย ๆ • คำสั่ง คำขอร้อง คำขออนุญาต คำแนะนำที่มี 1-2 ขั้นตอน 3 . พูด /เขีย น แสด งความต ้องการร ขอความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการร ให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ง่าย ๆ • คำศัพท์ สำนวนภาษา และประโยคที่ใช้บอกความ ต้องการ ขอความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ ค ว า ม ช ่ ว ย เ ห ล ื อ เ ช ่ น Please…/May…?/I need…/Help me!/Can/Could…?/Yes,…/No,… etc. 4. พูด/เขียนขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ตนเอง เพื่อน ครอบครัว และเรื่องใกล้ตัว • คำศัพท์สำนวนภาษา และประโยคที่ใช้ขอและให้ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน ครอบครัวและเรื่องใกล้ตัว เช่น What do you do? I'm a/an.... What is she / he? She/He is a/an (อาชีพ) How old / tall...? I am... Is/Are/Can...or...?
13 ...is/are/can... Is/Are...going to...or...? ... is/are going to... etc. ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 5. พูด/เขียนแสดงความรู้สึกของตนเอง เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว และกิจกรรม ต่าง ๆ พร้อมทั้งให้เหตุผลสั้น ๆ ประกอบ • คำและประโยคที่ใช้แสดงความรู้สึกและการให้ เหตุผล เช่น ชอบ ไม่ชอบ ดีใจ เสียใจ มีความสุข เศร้า หิว รสชาติเช่น I'm.../He/She/it is.../You/We/They are… I/You/We/They like.../He/She likes... because... I/You/We/They love.../He/She loves... because... I/You/We/They don't like/love/feel... because... He/She doesn't like/love/feel... because... I/You/We/They feel...because... etc. สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด และการเขียน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. พูด/เขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและ เรื่องใกล้ตัว • ประโยคและข้อความที่ใช้ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ บุคคล สัตว์สถานที่และกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ข้อมูล ส่วนบุคคล เรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว จำนวน 1-500 ลำดับ ที่ วัน เดือน ปีฤดูกาล เวลา สภาพดินฟ้าอากาศ อารมณ์ความรู้สึก สี ขนาด รูปทรงตำแหน่งของสิ่ง ต่าง ๆ • เครื่องหมายวรรคตอน 2. เขียนภาพ แผนผัง และแผนภูมิแสดง ข้อมูลต่าง ๆ ตามที่ฟังหรืออ่าน • คำ กลุ่มคำ ประโยคที่แสดงข้อมูลและความหมาย ของเรื่องต่าง ๆ ภาพ แผนผังแผนภูมิตาราง 3. พูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว • ประโยคที่ใช้ในการพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ กิจกรรมหรือเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว
14 สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ได้ อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. ใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และกิริยาท่าทาง อย่างสุภาพตามมารยาทสังคมและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา • การใช้ถ้อยคำ น้ำเสียงและกิริยาท่าทางตามมารยาท สังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา เช่น การขอบคุณ ขอโทษ การใช้สีหน้าท่าทางประกอบการ พูดขณะแนะนำตนเองการสัมผัสมือ การโบกมือ การแสดงความรู้สึกชอบ/ไม่ชอบ การกล่าวอวยพร การแสดงอาการตอบรับหรือปฏิเสธ 2. ตอบคำถาม/บอกความสำคัญของ เทศกาล/วันสำคัญงานฉลองและชีวิต ความเป็นอยู่ง่าย ๆ ของเจ้าของภาษา • ข้อมูลและความสำคัญของเทศกาล/วันสำคัญ/งาน ฉลองและชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าของภาษา เช่น วันคริสต์มาส วันขึ้นปีใหม่เครื่องแต่งกาย ฤดูกาล อาหาร เครื่องดื่ม 3. เข้าร่วมกิจกรรมทางภาษาและ วัฒนธรรมตามความสนใจ • กิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรม เช่น การเล่นเกม การร้องเพลง การเล่านิทาน วันขอบคุณพระเจ้า วันคริสต์มาส วันขึ้นปีใหม่
15 สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา กับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. บอกความเหมือน/ความแตกต่าง ระหว่างการออกเสียงประโยค ชนิดต่าง ๆ การใช้เครื่องหมาย วรรคตอน และการลำดับคำ (order) ตามโครงสร้างประโยค ของ ภาษาต่างประเทศและภาษาไทย • ความเหมือน/ความแตกต่างระหว่างการออกเสียง ประโยคชนิดต่าง ๆ ของภาษาต่างประเทศและ ภาษาไทย • การใช้เครื่องหมายวรรคตอนและการลำดับคำตาม โครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและ ภาษาไทย 2. บอกความเหมือน/ความแตกต่าง ระหว่างเทศกาลและงานฉลองของ เจ้าของภาษากับของไทย • ความเหมือน/ความแตกต่างระหว่างเทศกาลและ งานฉลองของเจ้าของภาษากับของไทย สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต 3.1ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็นพื้นฐาน ในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. ค้นคว้า รวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและนำเสนอด้วย การพูด/การเขียน • การค้นคว้า การรวบรวม และการนำเสนอคำศัพท์ที่ เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. ฟัง พูด และอ่าน/เขียนในสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและ สถานศึกษา • การใช้ภาษาในการฟัง พูด และอ่าน/เขียนใน สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
16 สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.5 1. ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้นและ รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ • การใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้นและ การรวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องใกล้ตัว จากสื่อและ แหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ 3.6 รวมตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษา 2551 เพื่อการจัดการเรียนรู้ ตารางที่ 2 ตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษา 2551 เพื่อจัดการเรียนรู้ ระดับประถมศึกษาปีที่ 5 มาตรฐาน ตัวชี้วัด ต 1.1-1 1. ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง และ คำแนะนำง่าย ๆ ที่ฟังและอ่าน ต 1.1-2 2. อ่านออกเสียงประโยค ข้อความ และบทกลอนสั้น ๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน ต 1.1-3 3. ระบุ/วาดภาพ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายตรงตามความหมายของประโยคและข้อความ สั้น ๆ ที่ฟัง หรืออ่าน ต 1.1-4 4. บอกใจความสำคัญและตอบคำถามจากการฟังและอ่านบทสนทนา และนิทานง่าย ๆ หรือเรื่องสั้น ๆ ต 1.2-1 5. พูด/เขียนโต้ตอบในการสื่อสารระหว่างบุคคล ต 1.2-2 6. ใช้คำสั่ง คำขอร้อง คำขออนุญาต และให้คำแนะนำง่าย ๆ ต 1.2-3 7. พูด /เขียนแสดงความต้องการ ขอความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ความ ช่วยเหลือในสถานการณ์ง่าย ๆ ต 1.2-4 8. พูด/เขียนเพื่อขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เพื่อน ครอบครัว และเรื่องใกล้ตัว ต 1.2-5 9. พูด/เขียนแสดงความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัวและกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งให้เหตุผลสั้น ๆ ประกอบ ต 1.3-1 10. พูด/เขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและเรื่องใกล้ตัว ต 1.3-2 11. เขียนภาพ แผนผัง และแผนภูมิแสดงข้อมูลต่าง ๆ ตามที่ฟังหรืออ่าน ต 1.3-3 12. พูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว
17 ต 2.1-1 13. ใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และกิริยาท่าทางอย่างสุภาพ ตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษา ต 2.1-2 14. ตอบคำถาม /บอกความสำคัญของเทศกาล /วันสำคัญ/งานฉลองและชีวิตความเป็นอยู่ ง่าย ๆ ของเจ้าของภาษา ต 2.1-3 15. เข้าร่วมกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ ต 2.2-1 16.บอกความเหมือน /ความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยคชนิดต่าง ๆ การใช้ เครื่องหมายวรรคตอน และการลำดับคำ (order) ตามโครงสร้างประโยค ของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย ต 2.2-2 17.บอกความเหมือน /ความแตกต่างระหว่างเทศกาลและงานฉลองของเจ้าของภาษากับ ของไทย ต 3.1-1 18. ค้นคว้า รวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และนำเสนอด้วย การพูด/การเขียน ต 4.1-1 19. ฟัง พูด และอ่าน/เขียนในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและสถานศึกษา ต 4.2-1 20. ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ 2.2 การทักษะการฟังและทฤษฎีการสอนทักษะการฟัง 2.2.1 ความหมายของการฟัง นักการศึกษาได้ให้ความหมายและประสิทธิภาพของการฟัง ดังต่อไปนี้ Krashen (1983, pp.79-89) ได้ให้ความหมายของการฟังไว้ว่าการฟังหมายถึงการให้ ปัจจัยป้อนเข้าที่มีความหมายแก่ผู้ฟัง ซึ่งมีวิธีการหลายอย่างทีÉช่วยให้นักเรียนได้รับปัจจัยป้อนเข้าที่มีความหมาย ตัวอย่างเช่น วิธีการของอัชเชอร์ที่เรียกว่า การตอบสนองด้วยท่าทาง (Total physical response)o วิธีการนี่คือ การที่ผู้สอนใช้คําสั่งให้นักเรียนแสดงหรือปฏิบัติตาม นักเรียนจะไม่ถูกบังคับ ให้พูดภาษาทีÉสอง หรือภาเป้าหมาย จนกว่าพวกเขาจะเข้าใจในสิ่งที่พูดออกมา Widdowson (1983, pp.59-60) กล่าวว่าการฟัง (Listening) หมายถึงความสามารถที่จะเข้าใจว่า ประโยคใดประโยคหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับประโยคอื่นๆ อย่างไร และเข้าใจว่าประโยค ดังกล่าวมีหน้าที่อย่างไรใน การสื่อสารและไม่สนใจต่อสิ่งที่ไม่ต้องการ Underwood (1989, p.1) ได้ให้ความหมายของการฟังไว้ว่าหมายถึง การที่ผู้ฟังให้ความสนใจและความพยายามเพื่อการเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ฟัง รวมทั่งความพยายามที่จะ เข้าใจความหมายตามวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารด้วยเข้าใจประโยคที่พูดว่าสัมพันธ์กับประโยคอื่นๆ มีหน้าที่อย่างไร ในการสื่อสารผู้ฟังจะเลือกจําเฉพาะสิ่งที่สัมพันธ์หรือตรงกับจุดประสงค์ในการฟัง โดยตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
18 Riverse (1980, p.16) ได้ให้ความหมายว่าการฟังคือการทําความเข้าใจคําพูดต้องมีการตีความหมายหรือ วิเคราะห์ในสิ่งที่ได้ฟังผู้ฟังจะรับคําพูดของผู้พูดแล้วนํามาสร้างความหมายคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงภาษาพูดให้ เกิดความหมายขึ้นภายในใจ (Block, 1993, p.108) ซึ่ง 32 ต้องใช้ความสนใจและพยายามให้ทราบความหมาย ของสิ่งที่ได้ยินจึงจะเข้าใจความหมายที่ผู้พูดต้องการจะสื่อ จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ (2550, น. 79) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการ ฟังไว้ว่า การฟังต่างกับการได้ยิน เพราะการได้ยินเป็นเพียงการรับรู้คลื่นเสียงที่กระทบโสตประสาท แต่การฟังหมายถึง การรับรู้คลื่นเสียงแล้วแปลความหมายของเสียงที่ได้ยินด้วย การฟังจึงสัมพันธ์กับ กระบวนการ คิด เพราะการจะฟังให้เข้าใจได้นั้น ผู้ฟังต้องฟังแล้วคิดตามไปด้วย ฐิติรัตน์ ลดาวัลย์ (2543, น. 32) ได้ให้ความหมายของการฟังว่า การฟังนั้นต่างกับการได้ยิน ซึ่งเป็นการรับรู้อย่างหนึ่งของร่างกาย โดยอาศัยโสตประสาทเป็นเครื่องรับรู้ แต่การฟังเป็น พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจาก การท้างานอย่างตั้งใจของระบบประสาท ซึ่งจะต้องประกอบด้วย การได้ยิน การรับรู้หรือสัญชาตญาณ การจำได้ และความเข้าใจ หมายความว่าในการฟังนั้นต้องมีการรับสารและ ตีความหมายของสารที่ได้ยินนั้นด้วย การฟังจึงนับว่า เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้ฟังต้องใช้ทักษะ ไหวพริบ และความคิดเป็นสำคัญ ชายุดา จันทะปิดตา (2555, น. 19) ได้ให้ความหมายของการฟังไว้ว่า การฟังหมายถึง กระบวนการรับรู้ที่เกิดจากการได้ท้าและตีความหมายโดยผ่านกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ท้าต้องมีความ สนใจและพิจารณาคัดสรรสาระที่ได้ฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงตามสถานการณ์และวัตถุประสงค์นั้น ๆ 2.2.2 การสอนทักษะการฟังภาษาอังกฤษ การฟังในชีวิตประจำวันของคนเราจะเกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ การฟังที่ได้ยินโดยมิได้ตั้งใจใน สถานการณ์รอบตัวทั่วๆไป (Casual Listening) และ การฟังอย่างตั้งใจและมีจุดมุ่งหมาย (Focused Listening) จุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ของการฟัง คือ การรับรู้และทำความเข้าใจใน “สาร” ที่ผู้อื่นสื่อ ความมาสู่เรา ทักษะการฟังภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและมีความสามารถ ในการฟังอย่างเข้าใจในสารที่ได้รับฟัง ครูผู้สอนควรมีความรู้และเทคนิคในการสอนทักษะการฟังอย่างไร จึงจะสามารถจัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้ประสบผลสำเร็จ 1. เทคนิควิธีปฏิบัติการสอน สิ่งสำคัญที่ครูผุ้สอนควรพิจารณาในการสอนทักษะการฟัง มี 2 ประการ คือ 1.1 สถานการณ์ในการฟัง สถานการณ์ที่ก่อให้เกิดการฟังภาษาอังกฤษได้นั้น ควรเป็นสถานการณ์ของการฟังที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง สถานการณ์จริง หรือ สถานการณ์จำลองในห้องเรียน ซึ่งอาจเป็นการฟังคำสั่งครู การฟังเพื่อนสนทนา การฟังบทสนทนาจากบทเรียน การฟังโทรศัพท์ การฟังรายการ วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์
19 1.2 กิจกรรมในการสอนฟัง ซึ่งแบ่งเป็น 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมนำเข้าสู่การฟัง (Pre-listening) กิจกรรมระหว่างการฟัง หรือ ขณะที่สอนฟัง ( While-listening) กิจกรรมหลังการฟัง (Post-listening) แต่ละกิจกรรมอาจใช้เทคนิค ดังนี้ 1) กิจกรรมนำเข้าสู่การฟัง ( Pre-listening) การที่ผู้เรียนจะฟังสารได้อย่างเข้าใจ ควรต้องมี ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสารที่ได้รับฟัง โดยครูผู้สอนอาจใช้กิจกรรมนำให้ผู้เรียนได้มีข้อมูลบางส่วนเพื่อช่วยสร้าง ความเข้าใจในบริบท ก่อนการรับฟังสารที่กำหนดให้ เช่น การใช้รูปภาพ อาจให้ผู้เรียนดูรูปภาพที่เกี่ยวกับเรื่องที่จะ ได้ฟัง สนทนา หรือ อภิปราย หรือ หาคำตอบเกี่ยวกับภาพนั้น ๆการเขียนรายการคำศัพท์ อาจให้ผู้เรียนจัดทำ รายการคำศัพท์เดิมที่รู้จัก โดยใช้วิธีการเขียนบันทึกคำศัพท์ที่ได้ยินขณะรับฟังสาร หรือการขีดเส้นใต้ หรือวงกลม ล้อมรอบคำศัพท์ในสารที่อ่านและรับฟังไปพร้อมๆกันการอ่านคำถามเกี่ยวกับเรื่อง อาจให้ผู้เรียนอ่านคำถามที่ เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในสารที่จะได้รับฟัง เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบแนวทางว่าจะได้รับฟังเกี่ยวกับเรื่องใด เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าเกี่ยวกับข้อมูลประกอบการรับฟัง และค้นหาคำตอบที่จะได้จากการฟังสารนั้นๆ การทบทวนคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง อาจทบทวนคำศัพท์จากความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะปรากฎอีกในสารที่จะได้รับฟัง เป็นการช่วยทบทวนข้อมูลส่วนหนึ่งของสารที่จะได้เรียนรู้ใหม่จากการฟัง 2) กิจกรรมระหว่างการฟัง หรือ กิจกรรมขณะที่สอนฟัง ( While-listening) เป็นกิจกรรมที่ ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติในขณะที่รับฟังสารนั้น กิจกรรมนี้มิใช่การทดสอบการฟัง แต่เป็นการ “ฝึกทักษะการฟัง เพื่อความเข้าใจ” กิจกรรมระหว่างการฟังนี้ ไม่ควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติทักษะอื่นๆ เช่น อ่าน หรือ เขียน หรือ พูด มากนัก ควรจัดกิจกรรมประเภทต่อไปนี้ 3) กิจกรรมหลังการฟัง (Post-listening) เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษา ภายหลังที่ได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมระหว่างการฟังแล้ว เช่น อาจฝึกทักษะการเขียน สำหรับผู้เรียนระดับต้น โดยให้เขียนตามคำบอก (Dictation) ประโยคที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นการตรวจสอบความรู้ ความถูกต้องของการเขียน คำศัพท์ สำนวน โครงสร้างไวยากรณ์ ของประโยคนั้น หรือฝึกทักษะการพูด สำหรับผู้เรียนระดับสูง โดยการให้อภิปรายเกี่ยวกับสารที่ได้ฟัง หรืออภิปรายเกี่ยวกับอารมณ์หรือเจตคติของผู้พูด เป็นต้น 2.2.3 องค์ประกอบเกี่ยวกับความสามารถทางการฟังภาษาอังกฤษ อรุณี วิริยะจิตรา (2532, หน้า 18-21) ได้ให้องค์ประกอบของการฟัง สรุปได้ดังนี้ 2.2.3.1 ผู้ส่งสาร ผู้รับสาร คือบุคคลอยางน้อย 2 คนที่มีบทบาทร่วมกันอยู่ ในกระบวนการ การสื่อสาร ซึ่งถือวาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการสื่อสาร หากขาดองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วการสื่อสารจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 2.2.3.2 สาร หมายถึง เรื่องราวที่มีความหมายและแสดงออกมาโดยอาศัยหลักการหรือสิ่งใดก็ ตามที่สามารถทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกัน ได้แก่ความรู้ ความคิด เหตุการณ์ สถานการณ์ ฯลฯ ซึ่งผู้พูด ต้องการให้ผู้ฟังทราบสารมักประกอบไปด้วยส่วนสำคัญสองส่วนเสมอ คือ เนื้อหาและภาษาที่ใช้เนื้อหาที่สื่อสารกัน
20 มีขอบเขตกว้างมากอาจเป็นเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตได้ ซึ่งเนื้อหา นั้นยังแบ่งออกได้เป็นสองประเด็นที่ สำคัญอีกสองประเด็น คือ ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น 3. สื่อ หมายถึง ตัวกลางที่จะช่วยถ่ายทอดสารจากผู้พูดไปยังผู้ฟัง หากขาดสื่อผู้พูดไม่ สามารถถ่ายทอดสารไปสู่ผู้ฟังได้ ในการสื่อสารด้วยวาจา สื่อคือภาษาพูด รวมทั้งกิริยาท่าทางอาการต่างๆ ที่สามารถใช้สื่อความหมายได้แต่หากการสื่อสารเกิดขึ้นระหวางบุคคลกลุ่มใหญ่อาจต้องใช้สื่ออื่นมาช่วย เช่น เอกสาร หรือเครื่องขยายเสียงเป็นต้น 4. ผลที่เกิดขึ้น หรือการตอบสนอง หมายถึง การเปลี่ยนแปลงท่าทีและพฤติกรรมของ ผู้รับสาร อันเป็นผลโดยตรงที่ได้จากการรับสารแล้ว การตอบสนองอาจเกิดในรูปใดก็ได้ เช่น เกิด ความพอใจ ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ ยอมรับหรือปฏิเสธ ผลที่ได้รับจากการสื่อสารนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ส่งสารและผู้รับสาร สื่อที่ใช้และสถานการณ์ 2.2.4 การวัดและประเมินผลทักษะการฟังภาษาอังกฤษ 2.2.4.1 ระดับกลไก หมายถึง ระดับการใช้ภาษาที่เกิดจากการฝึกจนคล่องเป็นอัตโนมัติ โดยการจำแนกเสียงที่เป็นภาษาต่างประเทศออกเสียงของภาษาแม่ 2.2.4.2 ระดับความรู้ หมายถึง ระดับการใช้ภาษาที่นำเอาความหมายของภาษามาใช้ โดยการบอกความหมายของเสียงที่ได้ยิน 2.2.4.3 ระดับถ่ายโอน หมายถึง ระดับการใช้ภาษาในบริบที่แตกต่างจากท่าใช้ฝึกภาษา โดยการเข้าใจคำพูดที่ไม่เคยชิน 2.2.4.4 ระดับสื่อสาร หมายถึงระดับการใช้ภาษาที่ผู้เรียนมีความสามารถสื่อความหมายได้รับ สารทางภาษาด้วยความเข้าใจ โดยเข้าใจข้อความที่มีเนื้อความต่อเนื่อง เช่น บทเพลง คำบรรยาย บทสนทนา 2.2.4.5 ระดับวิพากวิจารณ์ หมายถึงระดับของการใช้ภาษาที่เป็นระดับของการตี ความประยุกต์ความเข้าใจ โดยสามารถแยกความหมายที่ต่างกัน หรือฟังน้ำเสียงที่ต่างกัน 2.3 หลักการสอนด้วยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method; TPR) 2.3.1 ความหมายของวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method; TPR) นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของคา ว่าการตอบสนองด้วยท่าทาง ดังนี้Asher (1979) ได้ให้คำจำ กัดความว่า การตอบสนองด้วยท่าทาง คือ การเรียนภาษาที่สอง หรือ ภาษาต่างประเทศ โดยเป็นการสอนที่ให้นักเรียนฟังคา สั่งพร้อมกับตอบสนองด้วยท่าทางที่เหมาะสม Widodo (2009) กล่าวว่าการตอบสนองด้วยท่าทาง หมายถึงการกระตุน้ ให้นกัเรียนฟังและตอบสนองผ่านท่าทางจากคำสั่งของ ครูศิริเพ็ญ อึ้งสิทธิพูนพร (2552) ได้ให้ความหมายเพิ่มเติมว่าการตอบสนองด้วยท่าทาง เป็นวิธีการสอนโดยการฟัง
21 คำสั่งและปฏิบัติตามด้วยการออกท่าทางหรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าการสอนคำสั่งและตอบสนองด้วยท่าทาง และมณี อินทพันธ์ (2553) ได้กล่าวว่าการตอบสนองด้วยท่าทางคือ วิธีการสอนที่ครูเป็นต้นแบบแสดงท่าทาง พร้อมพูดคำศัพท์หรือประโยคโดยมีสื่อที่เป็นสิ่งของหรือรูปภาพให้นักเรียนปฏิบัติตาม จากความหมายของ การตอบสนองด้วยท่าทางที่กล่าวมาสรุปได้ว่าการตอบสนองด้วยท่าทางคือ วิธีการสอนภาษาที่สองที่ไม่ใช่ภาษาแม่ ของประเทศตนเอง เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลีเป็นต้น โดยนักเรียนเกิดทักษะการฟัง และการตอบสนองโดยแสดงออกจากท่าทางตามคำสั่งของครู 2.3.2 ประเภทของวิธีการสอนที่ตอบสนองด้วยท่าทาง 1. TPL-B (Total Physical Response – Body) เป็นการสอนโดยใช้คำสั่งที่มีคำศัพท์ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ของร่างกาย (body movement) เช่น นั่งลง (sit down ) ยืนขึ้น ( stand up ) เลี้ยวซ้าย (turn left ) เลี้ยวขวา (turn right ) เดินหน้า ( go straight) ถอยหลัง(back) กระโดด (jump) ปรบมือ (clap your hand ) หยุด (stop) กลับหลัง (turn around ) ชูมือขึ้น (raise your hand ) เอามือลง (put down your hand ) โบกมือ (wave your hand)เ ป ็ น ต ้ น ก ิ จ ก ร ร ม ห ร ื อ เ ก ม ท ี ่ ใ ช ้ อ า จ ใ ช ้ เ ก ม Simon say 2. TPR-O(Total Physical response – objects) เป็นการสอนโดยใช้คำสั่งที่เป็นคำศัพท์ที่เป็นสิ่งของ Object เช่น สมุด (book)ปากกา (pen) ดินสอ Pencil ยางลบ eraser ไม้บรรทัด rule แผนที่ map โต๊ะtable เก้าอี้ chair ประตู door นาฬิกา clock ไฟฉาย flash light ดอกไม้ flower ใบไม้ leaf ก้อนหิน rock จาน plate ชาม bowl แก้วน้ำ glass ช้อน spoon ส้อม fork หวี comb กระจก mirror เป็นต้น อย่าไปติดการสอนในชั้น เ ร ี ย น อ า จ พ า ผ ู ้ เ ร ี ย น อ อ ก น อ ก ห ้ อ ง เ ร ี ย น เ พ ื ่ อ เ ร ี ย น ร ู ้ ว ั ต ถ ุ ส ิ ่ ง ข อ ง ต ่ า ง ๆ 3. TPR –P (Total Physical Response – Picture) เป็นการสอนเกี่ยวกับการออกคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับ รูปภาพ การเลือกภาพที่ใช้ในการเรียนการสอนควรใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียน โดยยกตัวอย่างคำถามจากภาพ เมื่อครูถามแล้วให้นักเรียนไปชี้ภาพดู ไม่มีการพูดภาพที่ครูกำหนดควรเป็นภาพตัดแปะจะได้เคลื่อนย้าย คน สัตว์ สิ่งของไปไว้ตามตำแหน่งต่างๆของภาพได้ เพื่อตรวจสอบผู้เรียน เป็นการสอนโดยใช้คำสั่งที่เกี่ยวกับข้องกับรูปภาพ มีเป้าหมายให้นักเรียนรู้จักกลุ่มคำเกี่ยวกับภาพต่างๆ มี 3 ประเภทคือ ภาพโปสเตอร์ แผ่นพับ รูปภาพที่มีอยู่แล้ว ภาพตัดแปะจากผ้า หรือ กระดาษ ภาพวาดลายเส้นหรือภาพสีที่ผลิตโดยครูหรือผู้เรียนหรือ ภูมิปัญญาท้องถิ่น 4. TPR-S (Total physical response – story telling) เป็นการสอนภาษาโดยการเล่าเรื่อง โดยครูเล่าเรื่อง คล้ายกับชีวิตประจำวันของนักเรียนหรือเล่านิทาน 2-3 ครั้ง แล้วให้ผู้เรียนมาแสดงละครจากเรื่องที่ครูเล่าหรือ บางครั้งอาจเปลี่ยนเป็นอาจารย์อ่านให้ฟัง 1-3 ครั้ง ให้นักเรียนเขียนขึ้นมาใหม่ เหมือนที่ครูเล่าหรือไม่ แสดงว่าผู้เรียนฟังแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ให้เริ่มจากง่ายๆก่อน เป็นการสอนเกี่ยวกับการออกคำสั่งที่เกี่ยวข้อง กับรูปภาพ การเลือกภาพที่ใช้ในการเรียนการสอนควรใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียน โดยยกตัวอย่างคำถามจากภาพ เมื่อครูถามแล้วให้นักเรียนไปชี้ภาพให้ดูไม่มีการพูดภาพที่ครูกำหนดควรเป็นภาพตัดแปะจะได้เคลื่อนย้าย คน สัตว์ สิ่งของ ไปไว้ตามตำแหน่งต่างๆของภาพได้ เพื่อตรวจสอบว่านักเรียนรู้จักภาพเหล่านั้นจริงๆ ไม่ใช้การท่องจำภาพ
22 เท่านั้นเป็นการสอนที่ใช้เรื่องเล่าการสอนภาษาโดยการใช้รูปภาพ TPR-P การสอนภาษาด้วยการเล่าเรื่อง ควรใช้เมื่อผู้เรียนมีความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ โดยครูเล่าเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน หรือนิทานเองง่ายๆ ครูเล่าเรื่องให้ฟังอีกครั้งหนึ่งจากนั้นให้ผู้เรียนออกมาแสดงเรื่อง ( ตามที่ครูเล่า ) โดยไม่ต้องพูด ต่อมาให้ผู้เรียนเล่าเรื่องเอง แล้วให้ผู้เรียนคนอื่นมาแสดงละครตามเรื่องที่ผู้เรียนเล่าให้ฟัง จุดประสงค์ของ TPR-S คือต้องการให้ผู้เรียนฟังครูพูดให้เข้าใจและทำท่าทาง โดยผู้เรียน ไม่ต้องพูด เพียงแต่แสดงท่าทางประกอบการเล่า เรื่องเท่านั้น 2.3.3 ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method; TPR) อัชเชอร์ (สนธยาพรรษ ยาทวม. 2538 : 24 อ้างอิงจาก Asher. 1979 : 24 –25) กล่าวว่า หลักการสําคัญของวิธีสอนนี้คือ การสอนด้วยประโยคคําสั่งภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งแสดงทาทางของ คํากริยาเพื่อปฏิบัติตามคําสั่งนั้น ๆ ซ้ำประมาณ 2 – 3 ครั้ง ให้ผู้เรียนปฏิบัติตามความสามารถด้วยตนเอง โดยไม่มีแบบจากครูผู้สอน โดยลําดับขั้นการสอนมีดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นนํา และทบทวนบทเรียน โดยครูพูดประโยคคําสั่งภาษาอังกฤษ พร้อมกับแสดง ท่าทาง ประกอบคําสั่ง 2 – 3 ครั้ง นักเรียนฟังและปฏิบัติไปพรอม ๆ กับครู ขั้นที่ 2 ขั้นปฏิบัติ ครูสั่งใหนักเรียนปฏิบัติตามคําสั่ง โดยไม่ต้องดูแบบอย่างจากครู ครูสังเกตว่า ถ้าผู้เรียนปฏิบัติไม่ถูกต้องให้กลับไปทํากิจกรรมในขั้นที่ 1 ใหม่ ขั้นที่ 3 ขั้นประเมินการปฏิบัติ และให้ข้อมูลย้อนกลับ ครูประเมินการปฏิบัติของนักเรียน ด้วย การสังเกต และแสดงให้นักเรียนทราบถึงผลการปฏิบัติทุกระยะของการปฏิบัติกิจกรรมของนักเรียน ขั้นที่ 4 ขั้นกิจกรรม และขั้นประเมินผลการเรียนรู้ครูให้นักเรียนทํากิจกรรม ซึ่งได้แก่ การเล่นเกม การแสดงท่าทางประกอบเพลง การแสดงบทบาทสมมุติ และการทําแบบฝึกหัดเสริมทาย บทเรียน เป็นต้น จะเห็นได้ว่า การสอนภาษาโดยกลวิธีการสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทางนั้น มีลําดับขั้นตอน อย่างค่อยเป็น คอยไป โดยเริ่มจากการสาธิตโดยครูผู้สอนเป็นตนแบบ ผู้เรียนเริ่มรับประสบการณตรงด้านการฟัง และเมื่อผู้เรียนแสดงความเข้าใจในสิ่งที่ผู้สอนแสดงให้ดูแล้ว จึงให้ผู้เรียนพูดและปฏิบัติโดยไม่มีการเรงให้ผู้เรียนพูด โดยที่ยังไม่พร้อมนอกจากนั้นกิจกรรมเสริมที่ใช้ตรวจความเข้าใจของผู้เรียนยังน่าสนใจ ไม่นาเบื่อ สร้างบรรยากาศ ที่ดีในการเรียนภาษาและในตอนท้ายชั่วโมงผู้เรียนยังได้ฝึกทักษะการอ่านและเขียนด้วยการทําแบบฝึกหัดอีกด้วย
23 2.4 การหาค่าประสิทธิภาพ 2.4.1 การคำนวณหาประสิทธิภาพ ความหมายของการทดสอบประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง สภาวะหรือคุณภาพ ของสมรรถนะในการดำเนินงาน เพื่อให้งานมีความสำเร็จโดยใช้เวลาความพยายาม และค่าใช้จ่ายคุ้มค่าที่สุดตาม จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ โดยกำหนดเป็นอัตราส่วนหรือ ร้อยละระหว่างปัจจัยนำเข้ากระบวนการ แ ล ะ ผ ล ลั พธ์ (Ratio between input, process and output) ป ร ะ ส ิ ทธ ิภ าพ เน้ นก ารด ำเนินการ ที่ถูกต้องหรือกระทำสิ่งใดๆ อย่างถูกวิธี(Doing the thing right) คำว่า ประสิทธิภาพ มักสับสนกับ คำว่า ประสิทธิภาพ (Effectiveness) ซึ่งเป็นคำที่คลุมเครือ ไม่เน้นปริมาณ และมุ่งให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเน้นการทำสิ่งที่ถูกต้องที่ควร (Doing the right thing) ดังนั้นสองคำนี้จึงมักใช้คู่กัน คือ ประสิทธิภาพและประสิทธิผล การคำนวณหาประสิทธิภาพ คือ การหาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ซึ่งมีแนวทางการคำนวณ ดังนี้ 1. การคำนวณหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) 2. การคำนวณหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2)
24 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.5.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ จุฑามาศ สุธรรมรักษ์ (2541 : 121) ได้ทำการศึกษาการพัฒนาความสามารถในการฟังและการ พูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการใช้กิจกรรมการสอนแบบ TPR โดยกลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลวัดปิตุลาธิราชรังสฤษดิ์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ใช้เวลาดำเนิน การทั้งสิ้น 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ คาบละ 50 นาที ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีพัฒนาการความสามารถใน การฟังและการพูดภาษาโดยการใช้กิจกรรมตาม แนวการสอนแบบ TPR มัณฑนา พันธุ์ดี (2543 : 138) ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถในการฟังและการพูด ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง ที่ได้รับการสอนโดยการสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง กลุ่มทดลองเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง โรงเรียนเซนคาเบรียลอเขตดุสิต กรุงเทพฯ จำนวน 20 คน ใช้เวลาในการทดลองทั้งสิ้น 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ ครับและ 50 นาที ผลการศึกษาพบว่า ความสามารถใน การฟังและการพูดสังเกตของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการสอนโดยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ .01 โดยความสามารถในการฟัง และการพูดอังกฤษของนักเรียน หลังจากทำการทดลองสูงกว่าก่อนทำการทดลอง วนิดา วงษ์จันทร์หาญ (2532 : 53 – 59) นำวิธีสอนแบบที่พี่อาร์ไปทดลองสอนนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ทดลองเปรียบเทียบกับวิธีการสอนปกติ ใช้เวลาในการทดลอง 60 คาบ พบว่าผลการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษด้านการฟังและผลการเรียนรู้ด้านคำศัพท์ ของนักเรียนกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม และพบว่าวิธีการสอนแบบ TPR ช่วยให้นักเรียนมีความมั่นใจในการแสดงออกมากขึ้น สามารถปฏิบัติตามคำสั่ง โดยไม่กังวลว่าจะผิด จึงจะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ ศศิธร พรหมอินทร์ ศศิธร (2536) ได้ศึกษาเปรียบเทียบแรงจูงใจและผลสัมฤทธิ์ ในการเรียน รายวิชา ภาษา อังกฤษ ในการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หก โรงเรียนบ้านหนองตู จังหวัดอุดรธานี ที่ได้รับการสอนแบบ TPR และวิธีสอนภาษาเพื่อสื่อความหมาย (Communicative approach) โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นป.6 จำนวน 56 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองที่ได้รับการสอนแบบ TPR และกลุ่ม ควบคุมกลุ่มละ 28 คน ผลการวิจัยปรากฏว่า 1. คะแนนเฉลี่ยแรงจูงใจและผลสัมฤทธิ์ในการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษ ของกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุมสูงขึ้นภายหลังจากการทดลอง 2. แรงจูงใจในการเรียนของนักเรียน ที่ได้รับการสอนแบบ TPR แตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่าง มีนัยสำคัญ ที่ระดับ .05 นั่นคือกลุ่มที่สอนโดยวิธีTPR มีแรงจูงใจและผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่สอนต่าง วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อความหมาย
25 สุดา ชาตรีนันท์ (2528 : 72) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ แรงจูงใจและความคงทนในการ เรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง โรงเรียนศรีบุณยานน จ.นนทบุรี ที่ได้รับการสอน แบบ TPR ที่มีกิจกรรมเสริม และการสอนตามคู่มือครูโดยแบ่งผู้เรียนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่ม 45 คน คือ กลุ่มทดลองที่ ได้รับการสอนแบบ TPR ที่มีกิจกรรมเสริมและการสอนตามคู่มือคู่พบว่าผลสำฤทธิ์ทางการเรียน และแรงจูงใจ ในการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 แสดงว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนภาษาอังกฤษแบบ TPR ที่มีกิจกรรมเสริม มีแรงจูงใจในการเรียนสูง กว่านักเรียนที่ได้รับการ สอนตามคู่มือครูความคงทนในการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษทั้งสองกลุ่ม เมื่อทิ้งช่วง 2 สัปดาห์ภายหลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 แสดงว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนภาษาอังกฤษแบบ TPR ที่มีกิจกรรมเสริมและการสอนตามคู่มือครูมีความคงทนในการเรียนรู้ รายวิชาภาษาอังกฤษเมื่อทิ้งช่วง 2 สัปดาห์ภายหลังการทดลองแตกต่างกันโดยนักเรียนที่ได้รับการสอนแบบ TPR ที่มีกิจกรรมเสริมมีความคงทนในการเรียนรู้สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนตามคู่มือครู และเมื่อถึงช่วง 3 สัปดาห์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2.5.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างประเทศ อัชเชอร์ คูซูโด อาร์ เดอ ลา ตอเร ( Asher, Kusudo and R. de la Torre. 1974) ได้ทำการเปรียบเทียบการเรียนภาษาสเปนของนักเรียนชั้น ปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัย ระหว่างนักศึกษาที่ได้รับการ สอนโดยวิธีTPR และนักศึกษาที่ได้รับการสอนโดยวิธีฟัง-พูด พบว่าหลังจากการสอนด้วยวิธีการ TPR ไปแล้ว 45 ชั่วโมงนักศึกษากลุ่มนี้มีความสามารถในการฟังได้เท่ากับนักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีการฟัง-พูด ถึง 150 ชั่วโมงและมีความสามารถในการทดสอบการอ่านได้เท่ากัน และหลังจากสอนด้วย TPR นั้น มีความสามารถ ในทุกทักษะ มากกว่านักศึกษาที่เรียนด้วยวิธี Audio – Lingual ในเวลา 150 ชั่วโมงถึง 50 อัชเชอร์ (Asher. 1977) ได้ทำการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียน 30 คน แค่ใช้วิธีการสอนแบบ TPR กับนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการฟัง-พูด ในระยะเวลา120 ชั่วโมง เท่ากัน พบว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบ TPR มีผลสำฤทธิ์ทางการเรียนได้เท่ากับนักเรียนที่ได้รับการสอนด้วย การฟัง-พูดในระดับชั้นที่สูงกว่า มาโจวีย์ ฮอล ฮาเลย์ (Majorie Hall Haley, 1987) ได้ทำการวิจัยเรื่องผลของการโต้ตอบในทันที และการใช้ท่าทางในการตอบที่มีผลต่อความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ ทัศนคติแรงจูงใจ และความสนใจของ นักเรียนระดับปีที่ 1 ของสเปน โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อศึกษาว่าผู้เรียนภาษาต่างประเทศจะประสบ ความสำเร็จในทักษะการพูดหรือไม่ เมื่อได้รับการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response) กลุ่มตัวอย่างประชากรที่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ในปับติมอร์ 3 โรงเรียน จำนวน 178 คน ซึ่งได้รับการศึกษา
26 โดยการใช้พูดภาษาอังกฤษวัดทัศนคติ แรงจูงใจ และตอบแบบสอบถามผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีความสามารถ สูงขึ้น แสดงให้เห็นว่าการเรียนโดยให้นักเรียนลงมือกระทำเป็นวิธีที่ได้ผลในการเรียนการสอนในภาษาต่างประเทศ สวาฟเฟอร์และวูดรัฟ (Swaffer and Woodruff. 1978) ได้ทำการทดลองกับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยเท็กซัสที่เรียนวิชาภาษาเยอรมันโดยภายในสัปดาห์แรกใช้วิธีการสอนตามหลัก TPR คือป้อน ข้อมูลให้กับผู้เรียนด้วยภาษาที่สามารถเข้าใจได้ ลดความเครียดของผู้เรียนและให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษามีโอกาส ผลปรากฏว่ามีการพัฒนาดังนี้ 1. นักศึกษาสนใจที่จะเรียนภาษาเยอรมันต่อในภาคเรียนที่สอง เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 2. นักศึกษาได้รับวิธีการสอนแนวทีอาร์ มีพัฒนาการด้านภาษาเยอรมันเพิ่มมากขึ้น 3. นักศึกษาสามารถทำคะแนนในการทดสอบการอ่าน และการฟัง จากข้อสอบมาตรฐาน โดยมีอัตราการ สอบผ่านถึง 70% และ 68% ตามลำดับ 4. นักศึกษาสามารถรับรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของตนเอง แซงเลอร์ (Zuengler. 1993 : 403 – 432) ได้ทดลองส่งเสริมกิจกรรมการเรียนภาษาอังกฤษให้แก่ นักศึกษาที่มาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน สหรัฐอเมริก กลุ่มทดลองเป็นนักศึกษาชายในวิชาเอกเดียวกัน เป็นนักศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ 22 คน กับนักศึกษาที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ 23 คน รวม 45 คน โดยให้นักศึกษาทั้ง 45 นี้ ฟังบทสนทนาซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหาในวิชาเอกของเขา ด้วยการใช้หูฟังใน ห้องปฏิบัติการพร้อมกัน 1 บท จากนั้นให้นักศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ จับคู่กับนักศึกษาที่ไม่ใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ 15 คู่ ส่วน15 คนที่เหลือเป็นผู้สังเกตการณ์ จากนั้นให้นักศึกษาทั้ง 15 คู่นั้นฟังบท สนทนาที่ 2 ด้วยกัน ในขณะที่ฟังการสนทนาให้ทุกคนมีโอกาสพูดคุย กันให้มากที่สุดมีการหยุดเทพเพื่อทำความ เข้าใจเป็นระยะ ๆ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจด้วยท่าทางอยู่น้ำเสียง จนผู้พูดและผู้ฟังสามารถสื่อสารเข้าใจตรงกัน ผู้สอนจะใช้คำถามเพื่อให้คู่สนทนาได้มีโอกาสพูดถึงสิ่งอื่นๆ ที่ขยายออกไปจากการสนทนาหลังจากการเรียน ปรากฏว่าผู้เรียนมีการปฏิสังสรรค์ กันเป็นอย่างดีและสามารถใช้ ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว จากผลงานจากผลของงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศเมื่อเปรียบเทียบ วิธีการสอนแบบที่พี่อาร์กับการสอนแบบอื่นแล้ว จะพบว่าผู้เรียนได้พัฒนาทักษะต่างๆมากขึ้นโดยเฉพาะทักษะ การฟังและการพูดซึ่งได้ส่งผลต่อทักษะการอ่าน และการเขียนด้วยเช่นกัน และยังช่วยเปลี่ยนทัศนคติของผู้เรียนที่มี ต่อวิชาภาษาอังกฤษอีกด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าวิธีการนี้สามารถนำไปใช้กับผู้เรียนทุกระดับตั้งแต่ระดับ ชั้นประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัย เนื่องจากวิธีการนี้ไม่ได้เน้นเรื่องของไวยกรณ์แต่เน้นเรื่องของภาษา เพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ให้ผู้เรียนเป็นอิสระและเน้นการโต้ตอบด้วยการกระทำหรือท่าทาง ซึ่งกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ฝึกนั้นจะเน้นความสนุกสนานลดความเครียดของผู้เรียนเป็นหลัก
26 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการศึกษา การศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method ; TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการศึกษาตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 3.1 กลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 จำนวน 43 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การสอนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการฟัง) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 ในครั้งนี้ประกอบด้วย 3.2.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนละ 60 นาที รวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง 3.2.1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ซึ่งใช้เป็นทั้ง แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน แบบทดสอบนี้เป็นแบบทดสอบปรนัยประเภทเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ 3.2.1.3 แบบประเมินเพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 ชุด และของแบบทดสอบวัดสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 3 ชุด 3.2.1.4 แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน จำนวน 1 ชุด
27 3.2.2 การพัฒนาเครื่องมือในการศึกษา 3.2.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการฟัง) โดยใช้เทคนิค การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Respond Method ; TPR)สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5/4 ซึ่งประกอบไปด้วยตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ในหน่วยการเรียนรู้ทั้งสิ้น จำนวน 1 ตัวชี้วัด และแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน ดังต่อไปนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Bug in a bottle 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง The Happy Campers 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 เรื่อง On the Go! 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 เรื่อง Band practice 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 เรื่อง Let's Go to Disneyland 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 เรื่อง Kids and Their Teacher 7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 เรื่อง Warm Air and a Sandwich 8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 36 เรื่อง Food items are lucky and unlucky ซึ่งได้มีการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 เพื่อกำหนดปัญหาและทักษะที่จำเป็นต้องพัฒนา 2) ศึกษาแนวคิด หลักทฤษฎี การจัดเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้าง และพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ 3) ศึกษาและกำหนดตัวชี้วัด วัตถุประสงค์ และเนื้อหาสาระที่ใช้ในการพัฒนาแผน การจัดการเรียนรู้ 4) ดำเนินการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ (ฉบับร่าง) ขึ้น 5) นำแผนการจัดการเรียนรู้ (ฉบับร่าง) ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาค่าความสอดคล้อง เชิงเนื้อหา (IOC) และขอคำแนะนำเพิ่มเติมในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ 1) นางสาวสุธิดา อยู่ภักดี ตำแหน่งครูชำนาญการ วุฒิการศึกษาครุศาสตร์บัณฑิต ประสบการณ์ทำงาน 12 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ 2) นางรัตตัญญู โพธิ์ศรี ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ ประสบการณ์ทำงาน 29 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ
28 3) นางอัญจนา สุพันดี ตำแหน่งครู วุฒิการศึกษาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ หลังจากที่ได้นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน แล้วนั้น พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 8 แผน มีความถูกต้องสมบูรณ์ เหมาะสมกับระดับชั้นและสามารถนำไปใช้ได้จริง 6) นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 3.2.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน เป็นแบบทดสอบปรนัยประเภทเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ซึ่งได้มีการพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการศึกษาเรียนดังกล่าวตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) ศึกษาหลักการและทฤษฎีที่เหมาะสมในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 2) วิเคราะห์ตัวชี้วัด วัตถุประสงค์ และเนื้อหาสาระจากแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวนทั้งสิ้น 8 แผน 3) สร้างแบบทดสอบวัดผมสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและสอดคล้อง กับแผนการจัดการเรียนรู้ 4) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาค่าความ สอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) และขอคำแนะนำเพิ่มเติมในการจัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญท่านเดียวกันกับผู้ที่ประเมินค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ 1) นางสาวสุธิดา อยู่ภักดีตำแหน่งครูชำนาญการ วุฒิการศึกษาครุศาสตร์บัณฑิต ประสบการณ์ทำงาน 12 ปีกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ 2) นางรัตตัญญู โพธิ์ศรีตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ ประสบการณ์ทำงาน 29 ปี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ 3) นางอัญจนา สุพันดี ตำแหน่งครูวุฒิการศึกษาครุศาสตร์ บั ณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ หลังจากที่ได้นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน แล้วนั้น พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 8 แผน มีความถูกต้องสมบูรณ์ เหมาะสมกับระดับชั้นและสามารถนำไปใช้ได้จริง หลังจากที่ได้นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ จำนวน 40 ข้อไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน แล้วนั้น พบว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีความเรียบร้อยและถูกต้องสมบูรณ์ 5) นำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง (ทั้งในการสอบก่อนเรียนและหลังเรียน)
29 3.2.2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจ การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ รายวิชาภาษาอังกฤษ พื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ซึ่งได้มีการพัฒนาแบบสอบถามความพึงพอใจ ตามลำดับขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1) ศึกษาหนังสือเอกสารที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาแบบสอบถาม ความพึงพอใจ และจากงานวิจัยต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาแบบทดสอบถามความพึงใจ หลังจากการจัดการเรียนการสอน 2) สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน โดยใช้แนวคิด จากหนังสือ เอกสารและงานวิจัยต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามที่ได้ศึกษามา โดยใช้ข้อคำถาม เกี่ยวกับด้านเนื้อหา ด้านสื่อการสอน ด้านครูผู้สอน ด้านวิธีการจัดการเรียนการสอนและข้อเสนอแนะในการจัด การเรียนการสอน 3) นำแบบสอบถามไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง โดยนำไปใช้หลังการจัดการเรียนการสอน ครบทั้งสิ้น 8 แผน 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.3.1 รูปแบบของการศึกษา ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ทักษะการฟังภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ผู้ศึกษาได้ดำเนินการศึกษาแบบ (One Group Pre-test- Post-test Design) โดยมีรูปแบบการทดลองตามภาพประกอบดังนี้ ภาพประกอบที่ 1 แบบแผนการศึกษาแบบ (One Group Pre-test-Post-test Design) สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการศึกษา O1 คือ แบบทดสอบก่อนเรียน X คือ การพัฒนาทักษะการเขียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5/4 O2 คือ แบบทดสอบหลังเรียน O1 X O2
30 3.3.2 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ศึกษาได้ทำการทดลองสอนกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบในรายงานผลการศึกษา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดยใช้วิธีการสอน แบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ซึ่งผู้ศึกษาได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ว/ด/ป เรื่อง วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล 28/พ.ย./65 1. สอบก่อนเรียน (Pre-test) ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จำนวน 40 ข้อ ข้อสอบก่อนเรียน (Pre-test) จำนวน 40 ข้อ 5/ธ.ค./65 1. Bug in a bottle ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Bug in a bottle แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Bug in a bottle 12/ธ.ค./65 1. The Happy Campers ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่5 เรื่อง The Happy Campers แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง The Happy Campers 19/ธ.ค./65 1. On the Go! ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 เรื่อง On the Go! แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 เรื่อง On the Go! 26/ธ.ค./65 1. Band practice ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 เรื่อง Band practice แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 เรื่อง Band practice 9/ม.ค./66 1. Let's Go to Disneyland ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 เรื่อง Let's Go to Disneyland แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 เรื่อง Let's Go to Disneyland 16/ม.ค./66 1. Kids and Their Teacher ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 เรื่อง Kids and Their Teacher แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 เรื่อง Kids and Their Teacher
31 ว/ด/ป เรื่อง วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ รวบรวมข้อมูล 30/ม.ค./ 66 1. Warm Air and a Sandwich ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 เรื่อง Warm Air and a Sandwich แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 เรื่อง Warm Air and a Sandwich 6/ก.พ./66 1. food items are lucky and unlucky ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 36 เ ร ื ่ อ ง food items are lucky and unlucky แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 36 เรื่อง food items are lucky and unlucky 13/ก.พ./66 1. สอบหลังเรียน (Posttest) 2. แบบสอบถามความพึง พอใจ - ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) จำนวน 40 ข้อ - ให้นักเรียนทำแบบสอบถามความพึง พอใจ ภายหลังการจัดการเรียนการสอน - ข้อสอบหลังเรียน (Post-test) - แบบสอบถามความพึงพอใจ จากตารางที่ 1 ขั้นตอนการเก็บข้อมูลการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี 5/4 ผู้ศึกษาได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีวิธีการ ดังต่อไปนี้ 1) ก่อนการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการให้ นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน ซึ่งได้ทำการทดสอบหลังการจัดการเรียนการสอน โดยมีเนื้อหามาจากแผนจัดการเรียนรู้ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น 2) ดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการเรียนรู้ รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 จำนวน 8 แผน แผนละ 60 นาที รวมทั้งสิ้น 8 ครั้ง 3) หลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้ศึกษาดำเนินการทดสอบ หลังเรียน (Post-test) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดยใช้แบบทดสอบ หลังเรียนแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ซึ่งได้ทำการทดสอบหลังการจัดการเรียนการสอน โดยมีเนื้อหา มาจากแผนจัดการเรียนรู้ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น 4) ผู้ศึกษาดำเนินการสอบถามความพึงพอใจจากนักเรียน จำนวน 14 ข้อ ภายหลังจาก การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนครบทั้ง 8 แผน แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ตามขั้นตอนที่กล่าวมา
32 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังต่อไปนี้ 3.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการฟัง) ซึ่งหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC : Item Index of Objective Congruence) โดยการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน แล้วหาดัชนีความสอดคล้องวัตถุประสงค์ที่ต้อง ประเมิน (IOC) ซึ่งมีเกณฑ์การพิจารณาดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่าคำถามสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อคำถามสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อคำถามไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด แล้วนำข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านมาหาค่าความสอดคล้อง เชิงเนื้อหาของข้อคำถามที่ต้องการประเมิน (IOC : Item Index of Objective Congruence) ซึ่งค่าความ สอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 – 1.00 มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้ ข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50 ต้องปรับปรุง ยังใช้ไม่ได้ 3.4.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน (ทักษะการฟัง) โดยการหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งเป็นการหาค่าความเที่ยงตรงโดยให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน พิจารณาว่าข้อสอบแต่ละข้อ วัดได้ตรง ตามสิ่งที่ต้องการวัดตามเนื้อหาหรือมีความสอดคล้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมากน้อยเพียงใด โดยใช้เกณฑ์การประเมินค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC: Item Index of Objective Congruence) ซึ่งมีเกณฑ์การประเมินแบบเดียวกันกับเกณฑ์การประเมินของแผนการจัดการเรียนรู้ข้างต้น 3.4.3 คะแนนของแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) การได้มาซึ่งคะแนนของแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test)และแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่างนั้น ผู้ศึกษาได้ทำการวิเคราะห์คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภายหลัง การจัดการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้กับคะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)ค่าร้อยละ (%) และนำไปตรวจสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test แบบ pair sample test
33 3.4.4 แบบสอบถามความพึงพอใจภายหลังการจัดกิจกรรมการสอน วิเคราะห์ระดับความพึงพอใจจากแบบสอบถามความพึงพอใจโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( x ) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (SD) ค่าร้อยละ ซึ่งแบบประเมินเป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่ามี 5 ระดับ ตามเกณฑ์และความหมาย การแปลค่าเฉลี่ย (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 103) ดังต่อไปนี้ เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถึง ความพึงพอใจระดับมากที่สุด 4 หมายถึง ความพึงพอใจระดับมาก 3 หมายถึง ความพึงพอใจระดับปานกลาง 2 หมายถึง ความพึงพอใจระดับน้อย 1 หมายถึง ความพึงพอใจระดับน้อยที่สุด เกณฑ์การแปลความหมาย คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อยที่สุด
34 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการศึกษาตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้กำหนดความหมายของสัญลักษณ์ ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจใน การแปลความหมาย และนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูกต้อง ตลอดจนการสื่อความหมายของข้อมูลที่ตรงกัน ดังนี้ หมายถึง คะแนนเฉลี่ย S.D. หมายถึง ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน N หมายถึง จำนวนนักเรียน t หมายถึง ค่าจากการทดสอบ 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 โดยใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ผู้ศึกษาได้ทำการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุปผล ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.2.1 ผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ ผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้ จากการปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1) เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแผนการจัดการ เรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 โดยมีผลตามตารางที่ 2 ดังนี้
35 ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์และหาประสิทธิภาพเครื่องมือในการศึกษา ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ ลำดับที่ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา จำนวน ผู้เชี่ยวชาญ ดัชนีความ 1 2 3 สอดคล้อง IOC 1 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง Bug in a bottle 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 2 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง The Happy Campers 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 3 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 เรื่อง On the Go! 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 4 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 เรื่อง Band practice 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 5 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 เรื่อง Let's Go to Disneyland 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 6 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 เรื่อง Kids and Their Teacher 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 7 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 31 เรื่อง Warm Air and a Sandwich 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 8 ตัวชี้วัดข้อที่ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 36 เรื่อง Food items are lucky and unlucky 1 แผน 1.00 1.00 1.00 1.00 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 8 แผน 1.00 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์การตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้ จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ท่าน มีผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 แผน โดยรวม มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 เมื่อพิจารณาเป็นรายแผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ถ มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 17 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 18 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 31 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 และแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 36 มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 ตามลำดับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากภาคผนวก ค
36 4.2.2 ผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ผลการวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 เพื่อหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการฟัง รายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน อ15101 โดยใช้วิธีการสอน แบบตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response: TPR) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 มีค่าความสอดคล้อง ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยมีผลตามตารางที่ 3 ดังนี้ ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์และหาประสิทธิภาพเครื่องมือในการศึกษา คือ แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลัง เรียนจากแผนการจัดการเรียนรู้ ลำดับที่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ดัชนีความ 1 2 3 สอดคล้องIOC 1 แบบทดสอบข้อที่ 1 1 1 1 1.00 2 แบบทดสอบข้อที่ 2 1 1 1 1.00 3 แบบทดสอบข้อที่ 3 1 1 1 1.00 4 แบบทดสอบข้อที่ 4 1 1 1 1.00 5 แบบทดสอบข้อที่ 5 1 1 1 1.00 6 แบบทดสอบข้อที่ 6 1 1 1 1.00 7 แบบทดสอบข้อที่ 7 1 1 1 1.00 8 แบบทดสอบข้อที่ 8 1 1 1 1.00 9 แบบทดสอบข้อที่ 9 1 1 1 1.00 10 แบบทดสอบข้อที่ 10 1 1 1 1.00 11 แบบทดสอบข้อที่ 11 1 1 1 1.00 12 แบบทดสอบข้อที่ 12 1 1 1 1.00 13 แบบทดสอบข้อที่ 13 1 1 1 1.00 14 แบบทดสอบข้อที่ 14 1 1 1 1.00 15 แบบทดสอบข้อที่ 15 1 1 1 1.00 16 แบบทดสอบข้อที่ 16 1 1 1 1.00 17 แบบทดสอบข้อที่ 17 1 1 1 1.00 18 แบบทดสอบข้อที่ 18 1 1 1 1.00 19 แบบทดสอบข้อที่ 19 1 1 1 1.00
37 ลำดับที่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ดัชนีความ 1 2 3 สอดคล้องIOC 20 แบบทดสอบข้อที่ 20 1 1 1 1.00 21 แบบทดสอบข้อที่ 21 1 1 1 1.00 22 แบบทดสอบข้อที่ 22 1 1 1 1.00 23 แบบทดสอบข้อที่ 23 1 1 1 1.00 24 แบบทดสอบข้อที่ 24 1 1 1 1.00 25 แบบทดสอบข้อที่ 25 1 1 1 1.00 26 แบบทดสอบข้อที่ 26 1 1 1 1.00 27 แบบทดสอบข้อที่ 27 1 1 1 1.00 28 แบบทดสอบข้อที่ 28 1 1 1 1.00 29 แบบทดสอบข้อที่ 29 1 1 1 1.00 30 แบบทดสอบข้อที่ 30 1 1 1 1.00 31 แบบทดสอบข้อที่ 31 1 1 1 1.00 32 แบบทดสอบข้อที่ 32 1 1 1 1.00 33 แบบทดสอบข้อที่ 33 1 1 1 1.00 34 แบบทดสอบข้อที่ 34 1 1 1 1.00 35 แบบทดสอบข้อที่ 35 1 1 1 1.00 36 แบบทดสอบข้อที่ 36 1 1 1 1.00 37 แบบทดสอบข้อที่ 37 1 1 1 1.00 38 แบบทดสอบข้อที่ 38 1 1 1 1.00 39 แบบทดสอบข้อที่ 39 1 1 1 1.00 40 แบบทดสอบข้อที่ 40 1 1 1 1.00 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบจากแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 8 แผน จำนวน 40 ข้อ 1.00 จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์การตรวจสอบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจาก แผนการจัดการเรียนรู้ ทั้ง 8 แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 40 ข้อ โดยรวมมีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ท่าน ดังนี้แบบทดสอบทั้งหมด 40 ข้อ มีค่าความ สอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) แต่ละข้อ มีค่าเท่ากับ 1.00 เมื่อพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน มีผลการวิเคราะห์ ความสอดคล้องของแบบทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ท่าน ดังนี้ 1. ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 1 นางสาวสุธิดา อยู่ภักดี มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 2. ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 2 นางรัตตัญญู โพธิ์ศรีมีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 3. ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 3 นางอัญจนา สุพันดี มีค่าความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00
38 สรุปได้ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้งหมด 40 ข้อ เท่ากับ 1.00 มีค่าความสอดคล้องที่ เหมาะสม ซึ่งค่าความสอดคล้องที่เหมาะสมนั้นมีค่าตั้งแต่ 0.50 – 1.00 4.2.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคะแนนทดสอบก่อนเรียนกับคะแนนทดสอบหลังเรียน ในการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ทำการนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญครบทั้ง 3 ท่าน ไปทำการทดสอบกับกลุ่ม ตัวอย่าง ซึ่งตรงตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 คือ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนกับคะแนนทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยมีผลตามตารางที่ 4 ดังนี้ ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบผลต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คะแนนทดสอบก่อนเรียน กับคะแนนทดสอบหลังเรียน การทดสอบ จำนวนนักเรียน ค่าเฉลี่ย ( x ) การทดสอบก่อนเรียน 40 คะแนน 43 13.06 การทดสอบหลังเรียน 40 คะแนน 43 21.88 ผลต่างของคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน +8.82 จากตารางที่ 4 พบว่า ค่าเฉลี่ยจากการทดสอบก่อนเรียนจากแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 8 แผน จำนวน 40 ข้อ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 จำนวน 43 คน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 13.06 และค่าเฉลี่ย จากการทดสอบหลังเรียนจากแผนการเรียนรู้ทั้ง 8 แผน จำนวน 40 ข้อ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 จำนวน 40 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 21.88 ซึ่งผลต่างของคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนกับการทดสอบหลังเรียน เท่ากับ +8.82 แสดงให้เห็นว่ามีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น นอกจากนี้ผู้ศึกษาได้นำคะแนนระหว่างการทำ แบบทดสอบก่อนเรียนและการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบค่าที (t-test) และได้ผลการทดสอบ ตามตารางที่ 5 ตารางที่ 5 ผลการทดสอบค่าคะแนนที (t-test) ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 การทดสอบ จำนวนนักเรียน ค่าเฉลี่ย ( x ) S.D. t-value การทดสอบก่อนเรียน 40 คะแนน 43 13.06 2.47 17.27 การทดสอบหลังเรียน 40 คะแนน 43 21.88 2.66 จากตารางที่ 5 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนทดสอบก่อนเรียน ตามแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า คะแนนจากการทดสอบก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( x =13.06, S.D. = 2.47)
39 และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (หลังเรียน) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( x = 21.88 S.D. = 2.66) และการทดสอบ ค่าที พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากภาคผนวก ค 4.2.4 ผลการศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน ในการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ทำการสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน ภายหลังการจัดการเรียนการสอนครบทั้ง 8 แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ข้อที่ 4) คือ เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 โดยมีผลตามตารางที่ 6 ดังนี้ ตารางที่ 6 ผลจากแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ แปลผล x S.D. 1. ด้านเนื้อหา 1.1 มีความยากง่าย เหมาะสมกับระดับชั้น 4.47 0.67 มาก 1.2 มีความน่าสนใจ 4.32 0.74 มาก 1.3 แบบฝึกหัดตรงตามเนื้อหา 4.37 0.72 มาก ค่าเฉลี่ยโดยรวมด้านที่ 1 4.39 0.03 มาก 2. ด้านครูผู้สอน 2.1 เสียงดังฟังชัด 4.44 0.73 มาก 2.2 เข้าสอนตรงเวลา 4.79 0.41 มากที่สุด 2.3 แต่งกายเรียบร้อย 4.53 0.63 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวมด้านที่ 2 4.58 0.16 มากที่สุด 3. ด้านวิธีการสอน 3.1 มีสื่อประกอบการสอน 4.30 0.77 มาก 3.2 ครูใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย (ทำงานกลุ่ม/งานเดี่ยว) 4.65 0.48 มากที่สุด 3.3 ครูสอนตามขั้นตอนและเข้าใจง่าย 4.55 0.48 มากที่สุด 3.4 ครูสอนดีและเข้าใจง่าย 4.46 0.63 มาก 3.5 ครูยกตัวอย่างประกอบในแต่ละแบบฝึกหัดอย่างชัดเจน 4.53 0.70 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวมด้านที่ 3 4.50 0.12 มาก
40 รายการประเมิน ระดับความพึงพอใจ แปลผล x S.D. 4. ด้านสื่อการสอน 4.1 สื่อการสอนมีความน่าสนใจ 4.51 0.40 มากที่สุด 4.2 สามารถเรียนรู้ได้ง่าย 4.46 0.59 มาก 4.3 ตรงตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ 4.55 0.66 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยรวมด้านที่ 4 4.51 0.13 มากที่สุด ค่าเฉลี่ยโดยภาพรวม 4.49 0.52 มาก จากตารางที่ 6 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ ( x = 4.49, S.D.= 0.52) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านครูผู้สอน ( x = 4.58, S.D.= 0.16) ข้อที่มีค่าเฉลี่ยรองลงมาอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านสื่อการสอน ( x = 4.51, S.D.= 0.13) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยรองลงมาอยู่ในระดับมาก คือ ด้านวิธีการสอน ( x = 4.50, S.D.= 0.12) ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด อยู่ในระดับมาก คือ ด้านเนื้อหา ( x = 4.39, S.D.= 0.03) ตามลำดับ เมื่อพิจารณาการแจกแจงข้อมูลรายย่อยทั้ง 14 ข้อ สิ่งที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/4 ให้คะแนนมากที่สุด 3 อันดับ ดังนี้ 1. เข้าสอนตรงเวลา ( x = 4.79) 2. ครูใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย (ทำงานกลุ่ม/งานเดี่ยว) ( x = 4.65) 3. ตรงตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ ( x = 4.47) เมื่อพิจารณาการแจกแจงข้อมูลรายย่อยทั้ง 14 ข้อ สิ่งที่นักเรียนชั้นชั้นประถมศึกษาปีที่5/4 ให้คะแนนน้อยที่สุด 3 อันดับ ดังนี้ 1. มีมีสื่อประกอบการสอน ( x = 4.30) 2. มีความน่าสนใจ ( x = 4.32) 3. แบบฝึกหัดตรงตามเนื้อหา ( x = 4.37)