The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือพกทริคไปเทรน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mook44jin, 2022-09-10 03:29:21

คู่มือพกทริคไปเทรน

คู่มือพกทริคไปเทรน

GUIDE BOOK

พก trick
ไป
train

“ สมุดคู่มือสำหรับขึ้นฝึ กบนหอผู้ป่ วย ”

คำนำ

การจัดประสบการณ์ฝึกปฏิบัติเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนการสอนวิชาชีพ
การพยาบาล เป็นการนำความรู้ภาคทฤษฏีมาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้รับบริการบนหอผู้ป่วย
นักศึกษาจำเป็นต้องมีความเข้าใจในหลักการและมีความพร้อมด้านทักษะในการปฏิบัติ
การพยาบาล นำมาซึ่งความเครียดในเผชิญกับสถานการณ์จริงที่ไม่เคยพบมาก่อน การเรียน
และการเตรียมความพร้อมก่อนการขึ้นฝึกภาคปฏิบัติบนหอผู้ป่วยจึงมีความสำคัญอย่างมาก

คณะผู้จัดทำตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อมของนักศึกษาพยาบาล
ก่อนการขึ้นฝึกปฏิบัติงานบนหอผู้ป่วยครั้งแรก จึงได้จัดทำคู่มือ พก Trick ไป Train
ฉบับนี้ขึ้น เพื่อช่วยลดความเครียด เสริมสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหัตถการใน
สถานการณ์จริงบนหอผู้ป่วยครั้งแรกของนักศึกษาพยาบาล และสร้างเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ
การพยาบาล

คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือ พก Trick ไป Train ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์
สำหรับผู้อ่านทุกๆ ท่านไม่มากก็น้อย

คณะผู้จัดทำ

CONTENT

“3” สัญญาณชีพ Get on train
การสวมถุงมือ
การใส่สายยาง
“1-2”
ทางจมูก

สารบัญ การทำแผล “7” การดูดเสมหะและ
การให้ออกซิเจน
“4-6” การใส่สาย
สวนปัสสาวะ “8-12”

“28-33” การให้สารน้ำ “13-21”

การอาบน้ำสมบูรณ์ ทางหลอดเลือดดำ การฉีดยา

บนเตียง “22-27”

ความรู้เพิ่มเติม “43-53”

“34-42” ความรู้เฉพาะ
หอผู้ป่วย

Finish!!

อุณหภูมิ 1
(TEMPERATURE: T)
VITAL S GNS
ค่าปกติ 36.5-37.4
Cํ
PR = 60-100 /min
ไข้ต่ำ 37.5-38.4 ํC
เช็ดตัวลดไข้ พักผ่อน ทารกแรกเกิด - 1 เดือน 100-160 ครั้ง/นาที
วัยรุ่น,วัยผู้ใหญ่ 60-100 ครั้ง/นาที
ไข้สูง 38.5-39.5 Cํ TACHYCARDIA (เร็ว) > 100 ครั้ง/นาที
ทำ Tepid sponge BRADYCARDIA (ช้า) < 60 ครั้ง/นาที

ไข้สูงมาก 39.6-40.2 ํC ชีพจ

พิจารณาให้ยาลดไข้ (PULSE RATE: PR)

อัตราการหายใจ BP = 90/60-140/90 mmHg
(RESPIRATION RATE: RR)
SYSTOLIC BLOOD PRESSURE
RR = 16-20 /min
“ 90-140 mmHg “
แรกเกิด - 1 เดือน 40-60 ครั้ง/
นาที DIASTOLIC BLOOD PRESSURE
วัยรุ่น (12-18 ปี) 18-20 ครั้ง/นาที
ผู้ใหญ่ (> 18 ปี) 14-24 ครั้ง/นาที “ 60-90 mmHg “

DYSPNEA = ภาวะหายใจเร็ว ความดั
นโลหิต
BRADYPNEA = ภาวะหายใจช้า (BLOOD PRESSURE: BP)

NOTE ค่าปกติ 95%-100%

Contact precaution Mild Hypoxia

ในผู้ป่วยที่ต้องใช้มาตรการลด 91%-94%
ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย
เชื้อ เช่น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยา Moderate Hypoxia

ต้องแยกอุปกรณ์ในการวัดสัญญาณ 86%-90% Oxygen
ชีพ ไม่ใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้ป่วยอื่น Severe Hypoxia saturation

< 85%

การสวมถุงมือ 2

ขณะที่สวมหรือถอด
ระวังไม่ให้ถุงมือด้านนอกสัมผัส
กับผิวหนังหรืออุปกรณ์อื่นที่จะ
ทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรค

เมื่อสวมถุงมือแล้ว
ยกมือให้สูงกว่าระดับเอว ไม่หยิบ
จับสิ่งของที่ไม่ Sterile

Sterile

disposable

การปฏิบัติหัตถการ
ทุกหัตถการ ที่ต้องสัมผัส
ผู้ป่วยหรือสารคัดหลั่ง

ของผู้ป่วย
ควรสวมถุงมือสะอาด

ทุกครั้ง

NASOGASTRIC INSERTION 3

อุปกรณ์

stethoscope ชามรูปไต ถุงมือ disposable Fixumull

Asepto NG tube ไม้พันสำลี K-y jelly
syringe

ขั้นตอน

1. จัดท่านอนศีรษะสูง 30-45 องศา (ท่า Fowler’ s position) ท่า Fowler’ s position

2. วางชามรูปไตไว้บริเวณข้างแก้ม ทำความสะอาดช่องปากและฟัน ด้วย 0.12% chlorhexidine
3. วัดตำแหน่ง
ผู้ใหญ่วัดจากปลายจมูกถึงติ่งหู และจากติ่งหูถึง xiphoid
เด็ก วัดจากปลายจมูกถึงติ่งหู และจากติ่งหูถึงกึ่งกลางระหว่าง xiphoid กับสะดือ
!!ระวังสายไม่ให้โดนใบหน้าของผู้ป่วย!!
4. หล่อลื่นปลายสายด้วย K-Y Jelly ประมาณ 4 นิ้ว
5. ให้ผู้ป่วยแหงนศีรษะเล็กน้อย จับสายห่างจากปลายประมาณ 3 FB สอดเข้ารูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง
ค่อย ๆ ดันสายอย่างนุ่มนวล บอกให้ผู้ป่วยหายใจเข้าลึก ๆ และช่วยกลืนสาย
6. เมื่อสาย NG tube เข้าไปถึงคอให้ผู้ป่วยก้มศีรษะลง และให้อ้าปากดู
7. ถ้าผู้ป่วยไอ หรือขย้อนให้หยุดดันและดึงสายออกทันที แล้วค่อยใส่ใหม่
8. เมื่อถึงตำแหน่งที่กำหนดให้ติด fixomull/transpore ที่ข้างแก้มหรือจมูก เพื่อป้องกันการหลุด

การทดสอบสาย

1. ต่อปลายสาย NG กับ Syringe แล้วใช้ Syringe ดูดอาหารออกมาถ้ามีแสดงว่า
อยู่ในกระเพาะอาหาร
2. ทดสอบโดยการดันลมเข้าไป 5-10 ml ใช้ stethoscope วางใต้ชายโครงด้าน
ซ้ายแล้วดันลมเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อฟังเสียง
3. ติดพลาสเตอร์
กรณีทดสอบสายก่อน feed ให้ทำเช่นเดียวกับข้อ 1 และ 2

ถ้าได้ปริมาณมากกว่า 50 ซีซี ให้ดันอาหารกลับเข้าไปช้า ๆและเลื่อนเวลา
ให้อาหารออกไปอีก 1 ชั่วโมง

ถ้าได้น้อยกว่า 50 ซีซี ให้ดันอาหารกลับเข้าไปช้าๆ และให้อาหารมื้อนั้นได้

แผลเปียก wet dressing4
ปิดพัดลม เปิดไฟให้สว่าง
อย่าลืมล้างมือให้ถูกวิธีก่อน

เริ่มการทำความสะอาดแผล ประเมินแผลโดยใส่ถุงมือสะอาด
เปิดแผลและทิ้งผ้าก๊อซชั้นนอก
จัดท่าผู้ป่วยให้เหมาะสม
1 วนออกนอก ริมขอบแผล วนออกนอก 2-3 นิ้ว
ในชามรูปไต



ใช้สำลีชุบ 0.9 % NSS เช็ด

2-3 นิ้ว 2

ล้างในแผล
ใช้สำลีชุบ 0.9 % NSS
ล้างในแผลให้สะอาด
3

ใช้ก๊อซหรือก๊อซเดรน
ชุบน้ำยา



ใช้ก๊อซหรือก๊อซเดรนชุบน้ำยา
ปิดแผลหรือสอดให้พอดี
กับขนาดแผล

4

5 ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ

และพลาสเตอร์

5

แผลแห้ง dry dressingอย่าลืมล้างมือให้ถูกวิธีก่อน

1 turn off เริ่มการทำความสะอาดแผล
จัดท่าผู้ป่วยให้เหมาะสม

ปิดพัดลม
2เปิดไฟให้สว่าง
turn on

ประเมินแผลโดย ทิ้งลงชามรูปไต
ใส่ถุงมือสะอาดเปิด
แผลและทิ้งผ้าก๊อซ
ชั้นนอกในชามรูปไต


3 ใช้สำลีชุบ 0.9 % NSS บิด
**แผลผ่าตัด หมาดๆ เช็ดปาดลง ไม่ย้อน

ไปมา แล้วทิ้งสำลีลงในชาม
รูปไต
4ปาดลง ไม่

ย้อนไปมา
ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ
และ transpore ปิดแผล
หรือ fixomull

แผลที่มีท่อระบาย tube drain 6

อย่าลืมล้างมือให้ถูกวิธีก่อนเริ่มการทำความสะอาดแผล

จัดท่าผู้ป่วยให้เหมาะสม

ปิดพัดลม ประเมินแผลโดยใส่ถุงมือ
เปิดไฟให้สว่าง สะอาดเปิดแผลและทิ้งผ้าก๊อซ

1 ชั้นนอกในชามรูปไต



ทำความสะอาดแผลบริเวณ
รอบ ๆ ท่อระบายโดยใช้สำลี

ชุบ 0.9 % NSS
เช็ดวนออกด้านนอก
2
เช็ดวนออกด้านนอก

ทำความสะอาดท่อระบายด้วยสำลีชุบ

0.9 % NSS เช็ดผิวหนังรอบท่อระบาย

3เช็ดท่อระบายจากโคนท่อไปยังปลายท่อ โคนท่อไปยังปลายท่อ

พับผ้าก๊อซ สอดระหว่าง

วางก๊อซคลุมปิดท่อระบาย 4ผิวหนังและท่อระบาย

ปิดพลาสเตอร์

การใส่สายสวนปัสสาวะ (Retained Catheterization) 7

อุปกรณ์ (แบบคาสายสวน) เพศหญิง เพศชาย

สาย Cath
(เด็ก 6-8 Fr. , หญิง 12-14 Fr. , ชาย 14-16 Fr.)

น้ำยาหล่อลื่น (K-Y jelly)
0.9 % NSS
ภาชนะหรือถุงสำหรับใส่สำลีที่ใช้แล้ว
ผ้าปิดตา และถาดรอง
กระบอกฉีดยาสะอาดปราศจากเชื้อ 1 กระบอก
(ขนาด 5 cc. ในเด็ก และขนาด 10 cc. ในผู้ใหญ่)
น้ำกลั่น (sterile water)
เข็ม เบอร์ 18
Urine bag สะอาดปราศจากเชื้อ 1 ถุง
พลาสเตอร์

ขั้นตอน

6

1. เตรียมอุปกรณ์ ล้างมือให้สะอาด กั้นม่านให้มิดชิด ปิดตาผู้ป่วยด้วยผ้า
2. จัดท่าผู้ป่วย
เพศหญิง : Dorsal recumbent position
เพศชาย : Dorsal position
3. จัดอุปกรณ์ใส่ถุงมือ sterile 1 คู่ ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ เหลือสำลีไว้ 1 ก้อน
4. เปลี่ยนถุงมือคู่ใหม่ ปูผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง นำอุปกรณ์มาวางบนผ้า
5. ทำความสะอาดรูปัสสาวะ แล้วใส่สายสวน โดยให้ผู้ป่วยเบ่งถ่าย เพื่อให้หูรูดขยายใส่ได้ง่าย
6. ใส่เข้าไปจนสุดสาย แล้วใช้ syring ฉีดน้ำเข้าไป 10 cc แล้วค่อยๆดึงสายให้รู้สึกตึงมือ เอาผ้า
สี่เหลี่ยมเจาะกลางออก แล้วจึงติดสายสวนไว้ไม่ให้เลื่อนหลุด ห้อยถุง urine bag ไว้กับเตียง
เพศหญิง : บริเวณต้นขาด้านใน
เพศชาย : ติดบริเวณ Anterior Superior Iliac spine
7. เก็บอุปกรณ์

SUCTION 8

การดูดเสมหะ อุปกรณ์

การดูดเสมหะออกจากทางเดินหายใจ มี 2 วิธี - สาย Suction ผู้ใหญ่ 14-16 Fr
1. การดูดเสมหะระบบปิด (Close suctioning เด็ก 8-12 Fr
system) : เครื่องช่วยหายใจทำงานขณะดูด - ถุงมือสะอาดปราศจากเชื้อ
เสมหะ - ชุด Self-Inflating bag
2. การดูดเสมหะระบบเปิด (Open suctioning - stethoscope
system) : ปลดอุปกรณ์ที่ให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย - สำลีชุบ 70% แอลกอฮอล์
ก่อนทำการดูดเสมหะ
Open suctioning system
Close suctioning system

ขั้นเตรียม

1. ประเมินสภาพผู้ป่วย (ประเมินอัตรา/ลักษณะการหายใจ เสียงปอด Oxygen sat และอาการ
แสดงของภาวะพร่องออกซิเจน เช่น ระดับความรู้สึกตัวลดลง สีผิว เล็บ และริมฝีปากเขียว
2. แจ้งให้ผู้ป่วยทราบทุกครั้งก่อนการดูดเสมหะ เพื่อลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือ
3. จัดท่าผู้ป่วยศีรษะสูง 30-45 องศา (semi-Fowler’s position)
4. ป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน โดยให้ Oxygen 100 % จากเครื่องช่วยหายใจนาน 2 นาที

การดูดเสมหะระบบเปิด 9

1. ล้างมือ สวมถุงมือ ใส่ mask สวมเสื้อคลุม
2. ทําความสะอาดปากและฟันด้วยไม้พันสําลี น้ำยา 0.12% Chlorhexidine และน้ำสะอาด
3. สวมถุงมือปราศจากเชื้อ จับสายดูดเสมหะที่ปราศจากเชื้อต่อเข้ากับหัวต่อเครื่องดูดเสมหะ
เปิดความดันที่ 100-120 mmHg
4. ใส่สายดูดเสมหะเข้าทางหลอดลมไปถึง carina จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือปิด suction
control และค่อยๆดึงสายดูดเสมหะขึ้นมา ใช้เวลาไม่เกิน 10-15 วินาที
5. หลังดูดเสมหะควรให้ออกซิเจน 100 % หรือ ประมาณ 10 ลิตรต่อนาที
เป็นเวลา 2-3 นาที
6. ล้างสายยาง และปิดเครื่องดูดเสมหะ
7. ประเมินสัญญาณชีพ ฟังเสียงการทํางานของปอด และวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ภายหลังการดูดเสมหะ

เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย

**ระยะเวลาในการดูดเสมหะแต่ละครั้งไม่เกิน 10-15 วินาที เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ
พร่องออกซิเจน และการกระตุ้น vagus nerve ซึ่งทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
**แต่ละครั้ง ควรเว้นระยะให้หยุดพัก 20-30 วินาที เพื่อป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน
**ไม่ควรเกิน 3 ครั้งต่อรอบของการดูดเสมหะ เพราะอาจทำให้ไม่สุขสบาย และเกิด
การบาดเจ็บของเยื่อบุทางเดินหายใจได้

10

การดูดเสมหะระบบปิด

1. เปิดปลายสายดูดเสมหะระบบปิดและเช็ดด้วยสำลีชุบ 70% แอลกอฮอล์
2. ต่อสายยางดูดเสมหะเข้ากับปลายสายดูดเสมหะระบบปิดของเครื่องดูดเสมหะ
3. ปรับความดันให้อยู่ในระดับ 100-120 mmHg
4. ทำการดูดเสมหะระบบปิดยึดหลักปราศจากเชื้อ (Sterile technique)
และดูดเสมหะโดยใช้วิธี Deep suction
5. ใช้มือข้างหนึ่งจับบริเวณข้อต่อกับท่อช่วยหายใจ อีกมือหนึ่งดันสายดูดเสมหะเข้าไปในท่อช่วย
หายใจ ใส่เข้าไปอย่างนุ่มนวลลงไปลึกจนถึงระดับที่ควร คือปลายสายดูดเสมหะพ้นท่อช่วยหายใจ
ไม่เกิน 2 cm

6. ใช้นิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายกดบริเวณปุ่ม suction control พร้อมกับดึงสายดูดเสมหะออก
การดูดสมหะแต่ละครั้ง ใช้เวลาไม่เกิน 10-15 วินาที

*หยุดดึงสายดูดเสมหะเมื่อเห็นแถบดำออกมาอยู่ในถุง















7. ปล่อยนิ้วหัวแม่มือที่กดปุ่มควบคุม ให้ผู้ป่วยหยุดพักหายใจ 20-30 วินาที ก่อนที่จะดูด
เสมหะครั้งต่อไป
8. ให้ออกซิเจน 100% จากเครื่องช่วยหายใจ 2-3 นาทีหลังดูดเสมหะ

การดูดเสมหะระบบปิด 11

9. ภายหลังดูดเสมหะผู้ป่วยเสร็จแล้วให้ล้างสายดูดเสมหะ
การล้างสายดูดเสมหะ

1) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแถบดำบนสายดูดเสมหะเข้ามาอยู่ในถุง
2) เช็ดข้อต่อท่อล้างสายดูดเสมหะด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% และเปิดออกต่อกับ
syringe ที่บรรจุ NSS
3) ฉีดน้ำเกลือ NSS จาก syringe พร้อมกับกดปุ่มควบคุม suction control
เพื่อป้องกันน้ำเข้าสู่ท่อช่วยหายใจ ทำอย่างต่อเนื่องจนสายดูดเสมหะสะอาด

10. เช็ดข้อต่อสายดูดเสมหะและสายยางดูดเสมหะ ด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70%
และปิดจุกสายดูดเสมหะระบบปิด
11. ปิดเครื่องดูดเสมหะ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
12. ประเมินสภาพผู้ป่วยหลังจากดูดเสมหะ ฟังเสียงปอด สังเกตลักษณะการหายใจ
วัดระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด บันทึกลักษณะ สี ปริมาณเสมหะและ
อาการแสดงของผู้ป่วย

Oxygen therapy การให้ออกซิเจน 12

ข้อบ่งชี้ในการให้ Oxygen อุปกรณ์

1. ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องออกซิเจน OXYGEN TANK กระป๋ อง O2 HUMIDIFIER กระป๋ อง O2 Jet Nebulizer
O2 sat < 90%
PaO2 ในเลือด < 70 mmHg

2. ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่อง Oxygen
แบบเฉียบพลัน เป็นต้น

ศัพท์ควรรู้

Anoxia : ภาวะขาดออกซิเจน
Cyanosis : ผิวหนังสีเขียวคล้ำ
Hypoxemia : ภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด
Hypoxia : ภาวะพร่องออกซิเจนในร่างกาย

ระบบการให้ออกซิเจน

1. Variable performance (low-flow) system

โดยผู้ป่วยได้รับอากาศส่วนหนึ่งจากอุปกรณ์การให้ออกซิเจน อีกส่วนหนึ่งได้รับ
จากบรรยากาศ ได้แก่ nasal cannula, simple face mask, non rebreathing
mask, Partial-rebreathing mask

2. Fixed performance (high-flow) system

ผู้ป่วยจะได้รับอากาศทั้งหมดจากอุปกรณ์การให้ออกซิเจน
ไม่มีบรรยากาศภายนอกเข้ามาผสม ได้แก่ Venturi mask,
Aerosol mask, Oxygen box, Oxygen T-piece, Tracheostomy
mask , High flow

การฉีดยา 13

ความหมายคำย่อ-อักษรย่อ

ที่มักปรากฏในใบสั่งยา ที่ควรรู้

บอกเวลาในการใช้ยา บอกความถี่ในการใช้ยา

ac ย่อมาจาก Ante cibum ก่อนอาหาร QD ย่อมาจาก quaque die วันละครั้ง
pc ย่อมาจาก Post cibum หลังอาหาร OD ย่อมาจาก ommi die วันละครั้ง
hs ย่อมาจาก Hora somni ก่อนนอน bid ย่อมาจาก Bis in die วันละ 2 ครั้ง
prn ย่อมาจาก pro re nanta เมื่อต้องการ tid ย่อมาจาก Ter in die วันละ 3 ครั้ง
Stat ย่อมาจาก Statim ทันทีทันใด qid ย่อมาจาก Quater in die วันละ 4 ครั้ง
q ย่อมาจาก quaque ทุกๆ

บอกปริมาณยา บอกวิธีใช้ยา
mg ย่อมาจาก milligram มิลลิกรัม
ml ย่อมาจาก milliliter มิลลิลิตร po Per oral ให้รับประทานยา
tsp ย่อมาจาก teaspoon ช้อนชา Inj. Injection ยาฉีด
tbsp ย่อมาจาก tablespoon ซ้อนโต๊ะ IV. intravenous ฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำ
ID Intradermal ฉีดยาเข้าผิวหนัง
บอกชนิดของยา IM Intramuscular ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ
Cap ย่อมาจาก Capsula ยาแคปซูล SC. subcutaneous ฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนัง
Tab ย่อมาจาก Tabella ยาเม็ด Sl sublingual ยาอมใต้ลิ้น
susp ย่อมาจาก Suspension ยาน้ำ Rectral Suppo. Rectal Suppositories
Syr ย่อมาจาก Syrupus ยาน้ำเชื่อม ให้สอดทางทวารหนัก
oint ย่อมาจาก ointment ขี้ผึ้ง Vag. Suppo. Vaginal Suppositories
ให้สอดทางช่องคลอด

14

การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง
(Subcutaneous injection)

บริเวณที่ฉีดยา : บริเวณต้นแขน หน้าท้องรอบสะดือ บริเวณ
สะบัก (Scapular area) ต้นขา
ไม่ฉีดบริเวณที่มีรอยโรค ไม่ตรงปุ่มกระดูก ไม่ตรงตำแหน่ง
หลอดเลือดหรือเส้นประสาทรวม

ปริมาณยาที่ฉีดไม่ควรเกินดรั้งละ 1-2 cc.ในแต่ละบริเวณ

ยาที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ควรมีลักษณะใส ละลายน้ำได้ มีความ
เข้มข้นต่ำ และมีความเป็นกลาง
ยาที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนังส่วนใหญ่ คือ insulin Heparin และ
วัคซีนบางชนิด
มี pain receptors อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดมาก

การฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง 15

(Subcutaneous injection)

วิธีฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง
1.หาบริเวณสำหรับฉีดยา : บริเวณต้นแขนส่วนกลางด้านนอก,
บริเวณส่วนกลางของหน้าขา, บริเวณหน้าท้องที่อยู่ระหว่าง
แนวใต้ชายโครงกับแนวของ anterior superior iliac
spine ยกเว้น บริเวณรอบสะดือ 1 นิ้ว เพราะมี pain receptor
มาก, บริเวณสะบัก
2.ใช้มือข้างหนึ่งจับผิวหนังยกขึ้น (ในผู้ป่วยที่อ้วนให้กางนิ้วมือ
ออกตรึงผิวหนังให้ตึง) แต่วิธีหลังนี้จะไม่ใช้ในการฉีด heparin
3.การแทงเข็มถ้าใช้เข็มยาว 5/8 นิ้ว ให้แทงเข็มทำมุม 45 องศา
ถ้าใช้เข็มยาว 1/2 นิ้ว ให้แทงเข็มทำมุม 90 องศา
4.การฉีด heparin ไม่ต้องทดสอบว่าปลายเข็มอยู่ในหลอดเลือด
หรือไม่
5.การฉีด heparin และ insulin ห้ามคลึง!!!บริเวณที่ฉีดยา
แล้ว

16

การฉีดยาเข้าในผิวหนัง (Intradermal injection)

การฉีดยาเข้าในผิวหนัง (Intradermal injection)
ตำแหน่งที่นิยมใช้ฉีดยาเข้าในผิวหนัง คือ บริเวณหน้าแขนหรือ
ต้นแขน ในบางครั้งอาจฉีดบริเวณหลังหรือต้นขาก็ได้
เป็นการฉีดยาเข้าในชั้น dermis (ชั้นหนังแท้) เพื่อให้เกิดผลเฉพาะที่
ส่วนมากเป็นการฉีดเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค ทดสอบยาหรือสาร
ต่าง ๆ
ยาหรือสารต่าง ๆ ที่ฉีดจะถูกดูดซึมช้าที่สุด
บริเวณท้องแขนด้านในของปลายแขน เป็นบริเวณที่เหมาะสมที่สุด
เพราะมีผิวหนังบาง มีขนน้อยสีผิวจาง ทำให้มองเห็นปฏิกิริยาของ
การทดสอบได้ชัดเจน

จำนวนยาฉีดไม่เกิน 0.5 cc.แต่ส่วนมากจะฉีดไม่เกิน 0.1 cc.

17

การฉีดยาเข้าในผิวหนัง (Intradermal injection)

วิธีฉีดยา
วิธีการฉีดยาเข้าในผิวหนัง

1. ไล่อากาศออกจากกระบอกฉีดยาจนหมดก่อนฉีดยา
2. ทำผิวหนังให้ตึง
3.แทงเข็มทำมุม 5-15 องศา กับผิวหนัง โดยหงายปลายตัดเข็มขึ้น และ

แทงเข้าไป ให้ปลายตัดเข็มเลยเข้าไปในผิวหนังเล็กน้อย
หมายเหตุ: การแทงเข็มมุมกว้าง และแทงลึก จะทำให้ปลายเข็มเข้าไปใน
ชั้นใต้ผิวหนัง
4. ไม่ต้องทดสอบว่าปลายตัดเข็มอยู่ในหลอดเลือดหรือไม่
5.สังเกตบริเวณที่ฉีดจะมีตุ่มนูนขึ้นมา ถ้าไม่มีตุ่มนูน แสดงว่าฉีดลึกเข้าไป
ในชั้นใต้ผิวหนัง
6. ไม่ต้องคลึง!!!บริเวณที่ฉีดยา
7. ใช้ปากกาลูกลื่นหมึกสีน้ำเงินหรือดำ เขียนรอบรอยนูนที่เกิดจากการ
ฉีดยาและบอกผู้ป่วยไม่ให้ลบรอยหมึกที่เขียนไว้

18

การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular injection)

การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular injection)
การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ ยาจะถูกดูดซึมเร็วเพราะมีเลือดมาเลี้ยงมาก
แต่อาจจะเกิดอันตรายต่อเส้นประสาทหรือฉีดเข้าหลอดเลือดได้
เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่ทนต่อการระคายเคืองได้ดี
ยาที่มีความเหนียวข้น และระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อหรือมีส่วนผสมของ
น้ำมันก็สามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อได้

19

การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular injection)

บริเวณสำหรับที่ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ

Deltoid muscle
(กล้ามเนื้อต้นแขน)

- ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน คือ จุด 1/3 ของกล้ามเนื้อ
deltoid ด้านบน หรือตำแหน่งที่ต่ำจาก acromion ลงมา
ประมาณ 2-3 นิ้วมือ

vastus lateralis muscle
(กล้ามเนื้อหน้าขา)

- แบ่งหน้าขาตามดวามยาว (จาก greater trochanter ไป
ยัง lateral femoral condyle) ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนกลาง
เป็นส่วนที่เหมาะสมสำหรับฉีดยา

ventrogluteal muscle
(กล้ามเนื้อสะโพกส่วนหน้า)

- ventral gluteal muscles ที่ใช้ฉีด คือ จุดกึ่งกลาง
ของสามเหลี่ยมที่เกิดระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง เมื่อวางนิ้วชี้
ตรง anterior Superior iLiac spine และกางนิ้วกลาง
ออกเต็มที่และบนขอบของ superior iliac crest

Dorsogluteal muscle
(กล้ามเนื้อสะโพกส่วนหลัง)

- dorsogluteal muscles ที่ใช้ฉีดคือตำแหน่งส่วนบนด้าน
นอกของกล้ามเนื้อสะโพก หรือตำแหน่งเหนือเส้นที่ลากระหว่าง
posterior superior iliac spine กัu greater
trochanter

การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 20
(intravenous injection)

- ยาที่ต้องให้มีลักษณะเป็นน้ำใส และไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
วิธีการฉีดมี 4 วิธี

1. การฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยตรง
2.การฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยผ่าน Heparin lock
3. การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำผ่านชุดให้สารละลายทางหลอด

เลือดดำ
4. การให้ยาทางหลอดเลือดดำเป็นหยด

การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 21
(intravenous injection)

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้นอกเหนือจากการได้รับยาฉีดแล้ว มี
ดังนี้

1.การติดเชื้อ (infection) อาจเกิดการติดเชื้อที่ตำแหน่งแทง
เข็มหรือติดเชื้อทั่วร่างกาย (Systemic) การให้ IV นานๆ ใน
ตำแหน่งเดียวมีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น ควรเปลี่ยนตำแหน่งทุก
96 ชั่วโมง หรือเมื่อมี Phlebitis

2.Phlebitis (หลอดเลือดดำอักเสบรุนแรง) ปัจจัยที่ทำให้เกิด
เช่น การที่ Catheter คาอยู่ในหลอดเลือดดำนาน ให้สารหรือ
ยาที่ระดายเดืองต่อผนังหลอดเลือดดำ เช่น KCL หรือ ยา
ปฏิชีวนะรวมถึงการใช้หลอดเดือดดำที่มีขนาดเล็ก

3.Embolism เกิดได้ทั้ง air embolism และ clot embolism
4. มียาหรือสารละลายเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังรอบๆ

(infiLtration) เกิดจากการที่เข็ม หรือ catheter ทะลุผนัง
หลอดเลือดดำ
5.Fluid overload จากการที่ผู้ป่วยได้รับสารละลายทางหลอด
เลือดดำเร็วเกินไป

การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ 22

ชนิดของสารน้ำ

1. ISOTONIC SOLUTION ความเข้มข้น = สารน้ำในร่างกาย
ใช้รักษาผู้ที่มีอาการเสียน้ำนอกเซลล์มาก เช่น อาเจียน ท้องเสีย และมีเลือดออกผิด
ปกติ
ตัวอย่าง


0.9% normal saline Lactated ringer's solution 5% dextrose in water (D5W)

2. Hypertonic solutions ความเข้มข้น > สารน
้ำในร่างกาย
สารน้ำชนิดนี้จะดึงน้ำเข้าช่องว่างของหลอดเลือด ทำให้น้ำในหลอดเลือดเพิ่มขึ้น
ข้อควรระวัง ควรให้ในปริมาณน้อยและให้อย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ความดันเลือด
เพิ่มขึ้น

ตัวอย่าง
- 10% dextrose in water
- 5% dextrose 0.45% sodium chloride
- 5% dextrose in 0.9% sodium chloride (normal saline)



3. Hypotonic solutions ความเข้มข้น < สารน้ำในร่างกาย
จะทำให้น้ำเคลื่อนเข้าสู่เซลล์ ซึ่งทำให้เซลล์ขยายตัวและบวม เซลล์อาจแตกได้ มี
ประโยชน์ในการทดแทนน้ำที่เข้าสู่ร่างกายสูญเสียโดยไม่ต้องการให้ระดับของ
โซเดียมในพลาสมาสูงขึ้น

ตัวอย่าง
- 0.33 sodium chloride (1/3 strength saline)
- 0.45 sodium chloride

คำนวณหยดน้ำเกลือ 23

1.เปลี่ยน ml./hr. เ
ป็ น drop/min

สู ตร
drop/min = ปริมาณสารน้ำใน 1 ชม. X set IV
เวลา 60 นาที

set micro drip มีอยู่ 2 แบบ ต้องดูที่ฉลากของ set
set micro drip อัตราการหยด 15 drop/1 ml.
set micro drip อัตราการหยด 20 drop/1 ml.

ตัวอย่าง
แพทย์สั่ งให้สารน้ำ 60 ml./hr. --- 1 ml = 15 drop

60 ml = 60x15

60


= 15 drop/min

สู ตรลัด
- หากใช้ SET 15 drop/min ให้เอาจำนวนสารน้ำที่แพทย์สั่ งหารด้วย 4
เช่น แพทย์สั่ งสารน้ำ 60 cc/hr = 60/4 = 15 drop/min
- หากใช้ SET 20 drop/min ให้เอาจำนวนสารน้ำที่แพทย์สั่ งหารด้วย 3
เช่น แพทย์สั่ งสารน้ำ 60 cc/hr = 60/3 = 20 drop/min

2. เปลี่ยน drop/min เป็ น ml/hr

สู ตร
ml/
hr = ปริมาณสารน้ำ (drop) X 60 นาที
set IV

ตัวอย่าง
ผู้ป่ วยได้รับสารน้ำ 15 drop/min จะได้รับสารน้ำปริมาตรเท่าใด
ใน 1 ชั่วโมง (ใช้ IV SET 15)

15 X 60 = 60 ml/hr
15

คำนวณหยดน้ำเกลือ 24

3. คำนวณระยะเวลาที่สารน้ำหมด
สู ตร

ระยะเวลาที่สารน้
ำหมด = ปริมาณสารน้ำทั้งหมด

ปริมาณสารน้ำที่แพทย์สั่ ง (ml/min)
ตัวอย่าง
ผู้ป่ วย B ได้รับสารน้ำ 1000 ml. แพทย์สั่ งให้สารน้ำ 40 ml/hr.
(ใช้ set iv 15 drop)

ระยะเวลาที่สารน้ำจะหมด = 1000
40

= 25 hr.

4.ต้องการให้หมดภายใน .... ชั่วโมง

ตัวอย่าง


ต้องการให้หมดภายใน 8 ชั่วโมง
drop/min = ปริมาณสารน้ำในทั้งหมด x set iv

เวลากำหนด 8 h้ r x 60 นาที

= 1000 x 20

480

= 41 drop/min

: จะต้องทำการปรับหยดประมาณ 41 drop/min จึงจะหมดภายใน 8 hr.

5. การคำนวณเวลาที่ใช้ใน 1 หยด
สู ตร

ปริมาณสารน้ำ X จำนวนหยด
เวลา (นาที)

Set macro (15 drop/min)

40 cc/hr = 40 x 15 = 10 drop/min (6 วิ = 1 หยด)
60

60 cc/hr = 15 drop/min (4 วิ = 1 หยด)
80 cc/hr = 20 drop/min (ประมาณ 3 วิ = 1 หยด)
100 cc/hr = 25 drop/min (ประมาณ 2 วิ = 1 หยด)
120 cc/hr = 30 drop/min (2 วิ = 1 หยด)

การประเมินภาวะ PHLEBITIS 25

ภาวะหลอดเลือดดําอักเสบ ( Phlebitis)
หมายถึง การอักเสบของหลอดเลือดดําบริเวณที่ให้สารน้ำ/เลือด/ส่วนประกอบของ

เลือด และยา มีลักษณะปวด บวม แดง ร้อน คลําเส้นเลือดดําจะได้รอยนูนบริเวณที่แทงเข็ม
หรือคลําเส้นเลือดดําได้เป็นเส้นแข็งเหนือตําแหน่งที่แทงเข็ม
โดยมีการแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 5 ระดับ

อ้างอิง : ชมรมเครือข่ายพยาบาลผู้ให้สารน้ำแห่งประเทศไทย.(2561).แนวทางการพยาบาลผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ.กรุงเทพ : ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรีวัน.

การให้เลือด 26

การปฏิบัติก่อนการให้เลือด

1. เมื่อรับเลือดมาจากธนาคารเลือด ให้เจ้าหน้าที่พยาบาล 2 คน ตรวจสอบความถูกต้อง
(double recheck) ของถุงเลือด ใบคล้องเลือด และใบนำส่งเลือด ให้ตรงกันทุกจุด
รวมทั้งตรวจสอบวันหมดอายุ ลักษณะของเลือด/ ส่วนประกอบของเลือด
เมื่อพบว่าไม่ตรงหรือมีความผิดปกติ ให้ประสานกับธนาคารเลือดพร้อมกับนำเลือด
ใบคล้องเลือดและใบนำส่งเลือดส่งคืนธนาคารเลือด

2. แจ้งให้ผู้ป่วยทราบเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นขณะ
ให้เลือด/ส่วนประกอบของเลือด และแจ้งให้เจ้าหน้าที่พยาบาลทราบทันทีหากมีอาการข้างเคียง
เกิดขึ้น

3. วัดสัญญาณชีพ (ชีพจร ความดันโลหิต อุณหภูมิ และอัตราการหายใจ) เพื่อเป็น
ข้อมูลพื้นฐาน ก่อนให้เลือด ไม่เกิน 60 นาที

4. ดูแลให้ได้รับ Pre - medication ตามแผนการรักษา เช่น CPM, Lasix, Hydrocortisone
เป็นต้น

ขั้นตอนการให้เลือด / ส่วนประกอบของเลือด

1. ตรวจสอบความถูกต้องของผู้ป่วย โดยการระบุตัวผู้ป่วยให้ตรงกันอย่างน้อย 2 ตัวบ่งชี้

กรณีผู้ป่วยรู้สึกตัว ให้ สอบถามชื่อ-สกุลของผู้ป่วยให้ตรงกับชื่อ-สกุลบนใบ คล้อง
เลือด และตรวจสอบHN บน ใบคล้องเลือดกับป้ายข้อมือของผู้ป่วย

กรณีผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ให้ ตรวจสอบชื่อ-สกุล และ HN บนใบคล้องเลือดกับป้าย
ข้อมือของผู้ป่วยกับ ลักษณะเฉพาะของผู้ป่วย อย่างน้อย 2 ลักษณะขึ้นไป เช่น เพศ อายุ
ลักษณะการเจ็บป่วย การวินิจฉัยโรค เป็นต้น ห้ามใช้หมายเลขห้อง หรือเตียงเป็นตัวบ่งชี้

2. ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในกระบวนการบ่งชี้ผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยอ่านชื่อสกุล
ของตนเองที่ใบคล้องเลือด สอบถามกลุ่มเลือดของผู้ป่วย หากพบว่าไม่ตรงกัน
ห้ามให้เลือด ต้องทำการตรวจสอบกลุ่มเลือดของผู้ป่วยซ้ำกับธนาคารเลือด

การให้เลือด 27

การติดตาม เฝ้าระวัง

1.หลังให้เลือดแต่ละถุง ให้วัดสัญญาณชีพ 15 นาที 4 ครั้ง และ 30 นาที 2 ครั้ง
(วัดอุณหภูมิ ชีพจร อัตราการหายใจ และความดันโลหิต) และอาการผิดปกติของผู้ป่วย เช่น เหนื่อย
หอบ มีไข้ หนาวสั่น ผื่นคัน แน่นหน้าอก ปวดหลัง หากพบสัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงและ/หรือมี
อาการผิดปกติ ให้หยุดให้เลือดแล้วรายงานแพทย์

2.ตรวจสอบการไหลของเลือดเป็นระยะเพื่อให้การให้เลือดได้ตามแผนการรักษาและ
เวลาที่กำหนด

3. สังเกตอย่างใกล้ชิดและถี่ขึ้นในกรณี เช่น ผู้ป่วยได้รับเลือดที่รวดเร็ว หรือผู้ป่วยที่
ไม่สามารถบอกอาการผิดปกติได้ หรือผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว

4. ทำการบันทึกการให้เลือด / ส่วนประกอบของเลือด ชนิด จำนวน วันที่ให้ และอาการ
ของผู้ป่วยหลังการให้เลือดในบันทึกทางการพยาบาล

การปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีปฏิกิริยาภายหลังการรับเลือด/ ส่วนประกอบของเลือด การ ให้เลือดผิด

1.หยุดให้เลือด/ ส่วนประกอบของเลือดทันที พร้อมกับบันทึกจำนวนเลือดที่ให้ผู้ป่วย
2.สังเกตและประเมินผู้ป่วย วัดสัญญาณชีพ (ชีพจร ความดันโลหิต อุณหภูมิ และ
อัตราการหายใจ)
3.รายงานแพทย์เจ้าของไข้/ แพทย์เวร ให้สารน้ำและยาตามแผนการรักษา
4.โทรศัพท์แจ้งธนาคารเลือดทราบ บันทึกรายละเอียดของอาการผู้ป่วยในใบคล้อง เลือดและใบนำส่ง
ตรวจการเกิดปฎิกิริยาจากการรับเลือด
5.เจาะเลือดผู้ป่วย 2 หลอด (หลอด EDTA 6 ซี.ซี. , หลอด cloth blood 6 ซี.ซี.)
พร้อมทั้งถุงเลือดและชุดให้เลือดนำส่งไปยังธนาคารเลือดโดยเร็ว
6.บันทึกทางการพยาบาล

การกำจัดเลือดและส่วนประกอบของเลือดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ
ทิ้งถุงเลือดและชุดให้เลือดในถังขยะติดเชื้อ

BED BATH 28

อุปกรณ์

- เสื้อ ผ้าถุงหรือกางเกงสำหรับผู้ป่วยเปลี่ยน
- ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ 2 ผืน และผ้าถูตัวผืนเล็ก 2 ผืน
- ผ้าปู ผ้าขวางเตียง ผ้ายาง ปลอกหมอน หรือผ้าห่มอย่างละ 1 ผืน
- หวี แป้ง ไม้พันสำลี น้ำยาบ้วนปาก โลชั่น สบู่
- ชามรูปไต
- อ่างน้ำ 2 ใบ
- แอลกอฮอลล์ 25% หรือโลชั่นสำหรับทาผิว แป้ง

ขั้นตอนการทำความสะอาดช่องปากและฟัน

- คลุมผ้าบนหน้าอกผู้ป่วย
กรณีผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว
- ใช้ไม้พันสำลีชุบ 0.12% Chlohexedine ทำความสะอาดช่องปากด้านไกลตัว

ทิ้งลงขยะติดเชื้อ
- ใช้ไม้พันสำลีชุบ 0.12% Chlorhexedine ทำความสะอาดช่องปากด้านใกล้ตัว
กรณีผู้ป่วยรู้สึกตัวดี
- หากผู้ป่วยสามารถแปรงฟันเองได้ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยแปรงฟันด้วยตนเอง
โดยอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยในการแปรงฟัน

ขั้นตอนการทำความสะอาดใบหน้า

- ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด เช็ดตาด้านไกลตัวจากหัวตาไปหางตา
- พับผ้าอีกด้าน เช็ดตาด้านใกล้ตัวจากหัวตาไปหางตา
- เช็ดบริเวณใบหน้า ซับให้แห้งด้วยผ้าขนหนูที่คลุมไว้บนหน้าอก

BED BATH 29

ขั้นทำความสะอาดลำตัว

- เช็ดบริเวณหน้าอก ด้วยสบู่ เช็ดตามด้วยน้ำจนสะอาด ซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวอีกผืน
- รองผ้าเช็ดตัวใต้แขนด้านไกลตัว-ใกล้ตัว และเช็ดแขนตามลำดับ
- แช่มือและล้างมือแต่ละข้าง และซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวอีกผืน

เปลี่ยนน้ำและซักผ้าถูตัว ครั้งที่ 1
- รองผ้าเช็ดตัวใต้ขาด้านไกลตัว-ใกล้ตัวและเช็ดขาตามลำดับ
- แช่เท้าและล้างเท้าแต่ละข้าง และซับให้แห้ง

เปลี่ยนน้ำและซักผ้าถูตัว ครั้งที่ 2
- จัดท่านอนตะแคงหรือคว่ำชิดริมเตียง โดยพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยเข้าหาพยาบาล
ใส่ไม้กั้นเตียงในรายที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เพื่อเตรียมเช็ดแผ่นหลัง
- เปิดเฉพาะส่วนหลัง ปูผ้าเช็ดตัวตามยาวแนบหลังผู้ป่วย เช็ดแผ่นหลังให้สะอาด
ซับให้แห้ง

BED BATH 30

การนวดกล้ามเนื้อหลัง

- ลูบหลังด้วย Alcohol 25% หรือแป้งให้ทั่วแผ่นหลัง/ทาโลชั่น

1) ท่าลูบ (Stroking)
2) บิด (Kneading)
3) ตบ (Clapping)
4) คลึง (Flicking)
5) สับ (Hacking)
6) ทุบ (Beating)
7) สั่นสะเทือน (Vibration)
8) นวดท่า stroking down

จัดท่านอนผู้ป่วยให้สุขสบายและเหมาะสม

การทำเตียงที่มีผู้ป่วย

- รื้อผ้าปูด้านหลังของผู้ป่วยม้วนไว้ชิดลำตัวผู้ป่วย
- ทำความสะอาดเตียงและที่นอน โดยเริ่มจากหัวเตียงไปปลายเตียง
ตู้ข้างเตียงและสิ่งแวดล้อม
- ปูผ้าและปูผ้ายาง ผ้าขวางเตียง เปลี่ยนปลอกหมอน
- สวมเสื้อและนุ่งผ้าให้ผู้ป่วยเพื่อลดการใช้พลังงานพลิกตะแคงตัว
ผู้ป่วยและทำเตียงอีกข้าง ดึงผ้าให้ตึง
- จัดท่าผู้ป่วยนอนหงาย ทาแป้ง สวมเสื้อผ้าอีกข้าง หวีผม
- นำอุปกรณ์ใช้แล้วไปทำความสะอาด เก็บเข้าที่

การทำเตียง 31

1. เตียงที่ยังมีผู้ป่วยครองเตียงอยู่ แต่ผู้ป่วยไม่ได้นอนอยู่ที่เตียง (OPEN BED)
เช่น นั่งข้างๆ เตียง ไปห้องน้ำ ซึ่งเมื่อทำเตียงเสร็จไม่ต้องคลุมผ้า เพื่อให้ผู้ป่วย
เข้านอนได้อย่างสะดวก

2. เตียงที่มีผู้ป่วยอยู่บนเตียง (OCCUPIED BED ) เตียงที่มีผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง
และไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้ในขณะที่ทำเตียง

3. เตียงสำหรับรอรับผู้ป่วยที่ดมยาสลบ (ETHER BED ) เป็นการทำเตียง
เพื่อรอรับผู้ป่วย ที่ได้รับยาสลบจากการที่ทำผ่าตัด

4. เตียงว่าง (CLOSED BED OR ANESTHETIC BED) เป็นเตียงที่ไม่มีผู้ป่วยครองเตียง
เป็นการทำเตียงภายหลังจากการที่ผู้ป่วยกลับบ้าน ย้าย หรือถึงแก่กรรม และ
เป็นการเตรียมเตียงเพื่อรับผู้ป่วยรายใหม่

การจัดท่า 32

1. ท่านอนหงาย (DORSAL
POSITION/ SUPINE POSITION)

ประเมินร่างกายทั่วไป
ตรวจวัดสัญญาณชีพ

2. ท่านอนตะแคง
(LATERAL POSITION)

3. ท่านอนหงายศีรษะสูง
(FOWLER'S POSITION)
ตรวจศีรษะ คอ อก ช่วยให้หายใจ

ได้สะดวกขึ้น

4. ท่านอนตะแคงซ้ายกึ่งคว่ำ
(SIM'S POSITION)

ประเมินทวารหนัก ส่องกล้องตรวจดู
ลำไส้

การสวนอุจจาระ

5. ท่านอนคว่ำ
(PRONE POSITION)
การตรวจกล้ามเนื้อและกระดูก

33

การจัดท่า

6. ท่านอนคว่ำคุกเข่า
(KNEE-CHEST POSITION)
ใช้ตรวจทวารหนัก ต่อมลูกหมาก

7. ท่านอนศีรษะต่ำปลายเท้าสูง
(TRENDELENBURG POSITION)

ใช้ในการผ่าตัดช่องท้อง

8. ท่านอนหงายชันเข่า
(DORSAL RECUMBENT

POSITION)
ในเพศหญิงตรวจระบบสืบพันธ์ุ

9. ท่านอนหงายพาดเท้าบน
ขาหยั่ง (LITHOTOMY POSITION)

ตรวจระบบสืบพันธุ์

34

NOTE

ควา
มรู้
เพิ่มเติม

การรับใหม่-จำหน่าย 35

การรับใหม่ เน้นการซักประวัติปัญหาและอาการสำคัญ
ที่ทำให้ผู้ป่วยตัดสินใจมาโรงพยาบาล

อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล อาการที่เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยตัดสินใจ
มาโรงพยาบาล ระบุ 1-2 อาการ
ตามด้วยระยะเวลาที่เจ็บป่วย

การเจ็บป่วยในปัจจุบัน ซักประวัติเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นถึงปัจจุบัน

เริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อใด ความนานของอาการ
อาการมีลักษณะอย่างไร ตำแหน่งที่มีอาการ
ได้รับการรักษาอย่างไร

D-METHOD การจำหน่าย

D - Diagnosis H - Health
✅ บอกชื่อ สาเหตุ อาการของโรค ✅ เข้าใจสุขภาพ ข้อจำกัด ผลกระทบ
ของการเจ็บป่วย
M - Medicine
✅ ชื่อ ขนาด สรรพคุณ ผลข้างเคียงจากยา O - Out patient
✅ การมาตรวจตามนัด
E - Environment D - Diet
✅ จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม ✅ อาหารที่ควรรับประทานและ

T - Treatment ไม่ควรรับประทาน
✅ วิธีการรักษา การสังเกตอาการ

GlasGow Coma 36
SCORE
EYE OPENING : E

4 ลืมตาได้เองไม่ต้องกระตุ้น

3 ลืมตาเมื่อกระตุ้น (เสียง) VERBAL RESPONSE : V
2 ลืมตาเมื่อกระตุ้น (ปวด)
1 ไม่ลืมตา 5 พูดคุยถามตอบได้ไม่สับสน
4 ออกเสียงเป็นประโยค สับสน
C ไม่ลืมตา เพราะตา 3 ออกเสียงเป็นคำมีความหมาย
บวมปิด 2 ออกเสียงไม่เป็นคำพูด (อือ,อา)

1 ไม่ออกเสียง

T ใส่ท่อ / สื่อสารไม่ได้

MOTOR RESPONSE : M

6 เคลื่อนไหวแขนได้ตามสั่ง ระดับไม่รุนแรง
5 เอามือปัดตำแหน่งเจ็บได้ MILD : 13-15
4 ขยับเมื่อเจ็บ แต่ไม่ทราบตำแหน่งที่เจ็บ
3 เมื่อเจ็บงอศอก หมุนข้อมือเข้าลำตัว ระดับปานกลาง
2 เมื่อเจ็บ เหยียดแขนหมุนข้อมือออกนอกลำตัว MODERATE : 9-12
1 ไม่เคลื่อนไหว อ่อนปวกเปียก
ระดับรุนแรง
SEVERE : =< 8 COMA

MOTOR POWER

เกรด 0 = ไม่มีการเคลื่อนไหว

เกรด 1 = กล้ามเนื้อหดรัดตัว แต่ไม่เคลื่อนไหว

เกรด 2 = เคลื่อนไหวได้ในแนวราบ แต่ต้านแรงโน้มถ่วงไม่ได้

เกรด 3 = ต้านแรงโน้มถ่วงได้ แต่ต้านแรงผู้ตรวจไม่ได้

เกรด 4 = ยกต้านแรงผู้ตรวจได้พอควร

เกรด 5 = มีกำลังปกติ สามารถต้านแรงผู้ตรวจได้

37

TUBE

- หลอดเก็บเลือด -

การติดป้ายชื่อบน TUBE ลำดับการเจาะเลือดใส่ Tube

1. ปิด sticker เป็นแนวตรง 12 3
ไม่ม้วนเกลียวรอบหลอดเลือด
45 6
2. ไม่ปิดทับแถบสีที่บอกชนิด
ของหลอดเก็บเลือดและขีด เหลือง - ฟ้า - แดง - เขียว - ม่วง - เทา
บอกระดับเลือดต้องเจาะ

** ถ้าเรียงสลับกัน จะทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีใน tube ไปยัง tube อื่น
อาจทำให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อน

ชนิดของหลอดเก็บเลือด

Tube จุก สีฟ้า
Sodium Citrate
ตรวจปัจจัยการแข็งตัวของเลือด เช่น PT, PTT, INR
ปริมาณที่ใช้ 3 ml

Tube จุก สีม่วง
EDTA
ตรวจโลหิตวิทยา เช่น CBC, Hb typing, ipth
ปริมาณที่ใช้ 3 ml

38

TUBE TRICK : ไม่ควรเจาะเลือด

- หลอดเก็บเลือด - บริเวณที่มีแผลเป็น, ,มีเลือด
ออกใต้ผิวหนัง, แขนข้างที่ทำ
AV SHUNT, แขนที่ให้ IV

ชนิดของหลอดเก็บเลือด (ต่อ)

Tube จุก สีเขียว

Heparin
ตรวจพิเศษ เช่น Lipid profile test, Liver function test
ปริมาณที่ใช้ 3 ml

Tube จุก แดงสั้น

Tube จุกสีแดงสั้น
ตรวจเคมีคลินิก เช่น E’Lyte, tumor marker, TFT, viral load
ปริมาณที่ใช้ 3-4 ml

Tube จุก สีแดงยาว
Tube จุกสีแดงยาว
ตรวจ เช่น Anti-HIV
ปริมาณที่ใช้ 4-5 ml

Tube จุกสีเทา
Sodium fluoride : NAF
ตรวจ เช่น FBS, Blood alcohol
ปริมาณที่ใช้ 2-3 ml

39

การดูแลก่อนและหลัง " ผ่าตัด "

PRE-OPERATIVE CARE

1.NPO 6-8 ชั่วโมง ก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันการสำลักอาหารเข้าหลอดลมและปอด
ระหว่างให้ยาระงับความรู้สึก
2.ควรทำความสะอาดร่างกาย ตัดเล็บ งดใช้ครีม,เครื่องสำอาง ล้างสีเล็บมือและเท้า เพื่อช่วยให้
แพทย์และพยาบาล สังเกตอาการผิดปกติ ที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดออกซิเจนในระหว่างการผ่าตัด
และหลังผ่าตัด
3. ถอดเครื่องประดับทุกชนิดและฟันปลอม เพื่อป้องกันการหลุดเข้าไปอุดหลอดลมขณะผ่าตัด
4. ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระให้เรียบร้อยก่อนเข้าห้องผ่าตัด
5. งดโกนขนบริเวณที่จะผ่าตัดด้วยตัวเอง

การปฏิบัติตัวก่อนผ่าตัด

การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด


1. ถบ้าริปเววณดแที่ผผ่ลาคตัวดรอแาจจ้งมพีสยาายบยาาลงเจพาื่กอแข
อผยลาเรพืะ่องัรบะปบวาดยเลือดออกจากแผล ห้ามผู้ป่วยดึงออกเอง

2. หายใจเข้าออกลึกๆ ทำ 5 ครั้ง ในทุก 1 ชั่วโมง
- นอนศีรษะสูง งอเข่าเล็กน้อย ยกเว้นในกรณี Block หลัง
- มือทั้ง 2 ข้าง วางบริเวณแผลหรือใช้หมอนวางบริเวณแผล
ทำให้ลดความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น
- หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ทางจมูก ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที
ห่อริมฝีปากเหมือนจะผิวปาก แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ยาวๆ

3. ไอแบบมีประสิทธิภาพ เพื่อเอาเสมหะออกจากลำคอ
- หายใจเข้าออกลึกๆ ประมาณ 4 ครั้ง
ครั้งที่ 4 หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้ประมาณ 3 วินาที
ใช้มือทั้ง 2 ข้างประคองแผลก่อนไอ แล้วไอออกมา
จากส่วนลึกของลำคอ 1-2 ครั้ง

PosT-OPERATIVE CARE

Intake / 40

Output

Intake คือ จำนวนสารน้ำที่ร่างกายได้รับ การบันทึกสารน้ำ
ทุกอย่างที่ผู้ป่วยรับเข้าไปในร่างกาย เช่น น้ำดื่ม นม รวมทั้งปริมาณ
สารละลายทางหลอดเลือด

Output คือ จำนวนน้ำที่ร่างกายขับออก การบันทึกสารน้ำ
ที่ร่างกายสูญเสีย ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นปัสสาวะ และอื่นๆ เช่น อาเจียน
น้ำระบายจากแผล หรือช่องท้อง ทรวงอก

DATE INTAKE OUTPUT Sign
TIME
Oral fluid Parenteral Total Urine Emesis Drain Total

24-8

8-16








16-24

Total








24-8

8-16








16 - 24

Total

41

ท่อระบาย JACKSON DRAIN

RADIVAC DRAIN

การดูแลท่อระบาย ประเมินการทำงานของท่อระบาย 1
ให้อยู่ในระบบปิด ต้องให้เป็นความดันลบ

หรือสูญญากาศตลอดเวลา

2 ดูแลวางสายระบายไม่ให้ หัก พับ งอ ใช้ตัวหนีบของขวด
Jackson pratt drain หนีบกับชายเสื้อ เพื่อยึดสาย
ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และจัดสายท่อระบายให้ตึง
พอดี ไม่ดึงรั้ง

กรณี: ท่อระบายชนิดไม่เป็นสูญญากาศ

1. อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบ 5. จัดวางตำแหน่งกระเปาะ ให้อยู่ใน
2. สวมถุงมือ เปิดฝาจุกใช้สำลีชุบ ตำแหน่งที่เหมาะสม
แอลกอฮอล์ 70% เช็ดฝาปิดจุกกระเปาะ 6. สังเกตและบันทึกทางการพยาบาล
3. เทสารคัดหลั่ง (Content) ออกจาก ตามมาตรฐานการพยาบาลและบันทึก
กระเปาะลงในถุงพลาสติก โดยใช้หลัก ปริมาณของสารคัดหลั่ง (Content)
สะอาด (Aseptic technique) ทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ช่วงเวรดึก
4. บีบพับให้กระเปาะแบน พร้อมเช็ด (เวลา 06.00 น.) และบันทึกจำนวนลงใน
บริเวณฝาปิด สมุดบันทึกสารน้ำเข้า-ออก และใน
ฟอร์มปรอท

กระบวนการพยาบาล 42
Nursing Process

1 การประเมินภาวะสุขภาพ
(Health assessment)

ประเมินผล 2
(Evaluation)
การวินิ จฉัยการพยาบาล
5 (Nursing diagnosis)

ปฏิบัติการพยาบาล 3
(Implementation)
วางแผนการพยาบาล
4 (Nursing care plan)

43

Ward

WARD : ENT 44

Tracheostomy Tube

การใส่ท่อให้อากาศผ่านเข้าหลอดลมและปอด ท่อหลอดลมคอ
โดยไม่ผ่านช่องจมูกและลำคอส่วนบน
“ 2 ชั้น ”
“ 2 ชนิด ”

มักใช้ในผู้ป่วย
ที่รักษาที่บ้าน

Silver tube (ชนิดโลหะ) outer cannula (ชั้นนอก)

สามารถถอดออก

ล้างทำความสะอาด ง่ายต่อ

การดูแลรักษาและลดการ

อุดกั้นของท่อจากเสมหะ

Portex tube (ชนิดพลาสติก) inner cannula (ชั้นใน)

การดูแล

“การทำความสะอาดแผลเจาะคอ” “การดูดเสมหะ”

ใช้ไม้พันสำลีชุบ 0.9% NSS เช็ดท่อ ใต้ท่อ ทำในกรณีที่หายใจลำบาก
และแป้นรอบท่อ หรือไอขับเสมหะเองไม่ได้
นำก๊อซรองใต้แป้น เพื่อรองรับเสมหะ เพื่อให้ท่อหลอดลมคอเปิดโล่ง
ไม่ให้เกาะท่อ ไม่กดทับผิวหนัง หายใจผ่านท่อได้สะดวก

WARD : MED 45

Sepsis

(ภาวะติดเชื้อ)

การประเมินผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด systemic inflammatory
response syndrome : SIRS

อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 38°C หรือน้อยกว่า 36°C
อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 90 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจมากกว่า 20 ครั้ง/นาที
จำนวนเม็ดเลือดขาวมากกว่า 12,000/ไมโครลิตร หรือน้อยกว่า
4,000/ไมโครลิตร หรือเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อน (band cell)
มากกว่าร้อยละ 10

Contact Precautions : CP

(ผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา)

แยกผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาไปอยู่ห้องแยกหรืออยู่ห่างจากผู้ป่วยอื่น
อย่างน้อย 3 ฟุต

เขียนป้ายหรือสัญลักษณ์ที่แสดงว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา
มีการแยกของใช้สำหรับผู้ป่วย ได้แก่ เครื่องวัดความดันโลหิต
ปรอทวัดไข้ หูฟัง ขวดรองรับปัสสาวะ ผ้าเช็ดตัว อุปกรณ์อาบน้ำ
การทำความสะอาดมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วยด้วยแอลกอฮอล์เจล
สวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น สวมหน้ากากอนามัย ถุงมือ สวมผ้ากันเปื้อน
พลาสติก

WARD : MED 46

Bedsore

(แผลกดทับ)

แผลกดทับระดับ 1
ผิวหนังยังไม่ฉีกขาดแต่มองเห็นเป็นรอยแดง
เมื่อใช้มือกดรอยแดงไม่จางหายไป
(non-blanchable erythema)

แผลกดทับระดับ 2
มีการสูญเสียผิวหนังบางส่วน
(partial-thickness skin loss)
ลึกถึงชั้นใต้ผิวหนัง ผิวหนังอาจไม่ฉีกขาดแต่
เป็นตุ่มน้ำใสหรือตุ่มน้ำปนเลือดจางๆ ตุ่มน้ำ
อาจแตกหรือยังไม่แตกก็ได้

แผลกดทับระดับ 3
มีการสูญเสียผิวหนังทั้งหมด
(full-thickness skin loss)
มองเห็นลึกถึงชั้นไขมันแต่มองไม่เห็นกระดูก
เอ็นและกล้ามเนื้อ

แผลกดทับระดับ 4
มีการสูญเสียผิวหนังทั้งหมด
(full-thickness skin loss)
ซึ่งสามารถมองเห็นกระดูกเอ็นหรือกล้ามเนื้อ

Cancer Ward 47

อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ภาวะแทรกซ้อน
ปากแห้ง น้ำลายเหนียวข้น เยื่อบุช่องปากอักเสบ หลังได้รับการฉายรังสี
ความต้านทานโรคต่ำ ซีด
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี


ความรุนแรงของ ระยะที่ 1 อาการผิวหนังร้อนแดง (Erythema)

การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง จะเกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมงแรกของการฉายรังสี

แบ่งเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 2 อาการผิวหนังคล้ำขึ้นจากการมีสารสี

จับผิวหนัง (Hyperpigmentation)

ทำให้ผิวหนังเป็นสีคล้ำ

ระยะที่ 3 อาการผิวหนังแห้งเป็นขุย และหลุดลอกเป็นสะเก็ดหรือแผ่นบาง ๆ

(Dry Desquamation) เกิดอาการคัน ถ้าเกาจะแตกเป็นแผลได้ง่าย

ระยะที่ 4 ผิวหนังแตกเป็นแผล และมีน้ำเหลืองซึม (Moist Desquamation)

ผิวหนังจะพองเป็นตุ่มใสๆ แตกออกเป็นแผล มีน้ำไหลซึมออกมา คล้ายแผลจาก

น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ จำเป็นต้องหยุดพักการฉายรังสี

1. ห้ามลบเส้นบริเวณที่ฉายรังสีที่แพทย์ขีดไว้ ถ้าเส้นลบ การดูแลผิวหนัง
บริเวณที่ฉายรังสี

แพทย์จะต้องขีดใหม่ ทำให้เสียเวลาในการรักษา

2. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด หรือการสัมผัสบริเวณที่ฉายรังสี

โดยตรงกับความร้อนหรือความเย็น ควรสวมหมวกหลวมๆ หรือกางร่ม

3. หากเกิดอาการคัน ผิวหนังตกสะเก็ด หรือแตกเป็นแผล ห้ามถู แกะ เกาแผล

ควรสวมเสื้อหลวมๆ นุ่มๆ ที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เพื่อลดการเสียดสีผิวหนัง

ควรตัดเล็บ ให้สั้นเพื่อป้องกันการแกะเกา

4. ผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี ควรล้างด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำสบู่ที่ไม่มีส่วนผสม

ของน้ำหอม

5. ถ้าเกิดอาการคัน ห้ามทาแป้งฝุ่น เพราะแป้งฝุ่นผสมด้วยโลหะหนัก ทำให้

ระคายเคือง ผิวดำคล้ำมากขึ้น ให้ใช้แป้งข้าวโพดบริสุทธิ์แทน

6. ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 เป็นเวลา 1 ปี หลังการฉายรังสีเสร็จสิ้น


Click to View FlipBook Version