รายงานการวิจยั ปฏิบตั ิการในชนั้ เรียน
การศกึ ษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น และความพึงพอใจต่อการใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมอื นจรงิ (PhET)
รว่ มกับการจดั การเรยี นการสอนออนไลน์ เร่อื งแรงเสียดทาน ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4
STUDY OF ACADEMIC ACHIEVEMENT AND SATISFACTION USE OF AN INTERACTIVE
SIMULATION WITH LEARNING MANAGEMENT ONLINE ON FRICTION FORCE
FOR STUDENT GRADE 10
ผูว้ ิจยั
นางสาวธนั ยาภรณ์ ทองแท้
รายงานการวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชนั้ เรียนฉบบั นเ้ี ป็นสว่ นหนึง่ ของการศกึ ษา
รายวิชา การปฏิบตั กิ ารสอนในสถานศกึ ษาในสาขาวิชาเฉพาะ 1
หลักสตู รศกึ ษาศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาฟิสิกส์
คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564
ก
กติ ติกรรมประกาศ
วิจัยเลม่ นสี้ ำเรจ็ ลลุ ว่ งไปไดด้ ว้ ยดี เน่ืองจากได้รับความอนุเคราะห์ ความเมตตากรุณา จาก ผศ.ดร.
ชาติ ทีฆะ และครูณัฐติญา พุทธิโชติ ที่ได้ให้คำเสนอแนะ แนวคิด แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ และคอย
ช่วยเหลือผู้วิจัยให้แก้ไขวิจัยให้มีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้นจนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี โอกาสนี้ผู้วิจัย
ขอกราบขอบพระคณุ เปน็ อย่างสงู
ขอกราบขอบพระคุณบิดามารดา ที่กรุณาช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายและคอยเป็นกำลังใจในการ
ทำงานวิจยั น้ีจนสำเร็จลลุ ่วงไปไดด้ ้วยดี
ขอบคุณเพื่อนทั้งสามคน ได้แก่ นางสาวกนกวรรณ คำศิลา ที่ให้คำปรึกษา แนะนำตลอดการทำ
วิจัย นางสาวสุพิชญา ศรีสวัสดิ์ และนางสาวพัชราภา สิมาขันธ์ ที่คอยให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจ
กนั ตลอดจนงานวิจัยเสรจ็ ลุล่วงไปได้ดว้ ยดี
สุดท้ายนี้ผู้วิจยั หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานวิจยั เล่มน้ีจะมีประโยชน์ตอ่ ผูส้ นใจศึกษา และนำไปพัฒนา
ใหด้ ีข้นึ หากการวจิ ยั ครง้ั น้ีมีขอ้ บกพร่องประการใด ผูว้ ิจัยขออภยั มา ณ โอกาสน้ี
นางสาวธนั ยาภรณ์ ทองแท้
นักศึกษาฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู
ข
ชอ่ื ผู้วิจยั นางสาวธันยาภรณ์ ทองแท้ รหัสประจำตวั นักศกึ ษา 6011056150001
อาจารย์ที่ปรกึ ษา ผศ.ดร.ชาติ ทีฆะ
หน่วยงาน หลกั สตู รศึกษาศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาฟิสกิ ส์
คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั สวนดสุ ติ
ระยะเวลา กนั ยายน พ.ศ. 2564
จำนวน 58 หน้า
บทคดั ยอ่
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการ
จัดการเรียนการสอนออนไลนร์ ่วมกับการใชแ้ บบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง เรอ่ื งแรงเสียดทาน ของนกั เรยี น
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการ
เรยี นการสอนออนไลน์รว่ มกบั การใช้แบบจำลองโตต้ อบเสมือนจริง เร่อื งแรงเสียดทาน กลุ่มตัวอยา่ งทใ่ี ชใ้ น
การวจิ ยั คอื นกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4/2 โรงเรียน มหรรณพาราม จำนวน 20 คน โดยใชก้ ารเลอื กแบบ
เจาะจง เครื่องมือในการทำวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนการสอน เรื่อง แรงเสียดทานโดยใช้
แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง 2) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบ
เสมอื นจริง สถติ ิที่ใชใ้ นงานวิจยั ไดแ้ ก่ คา่ ร้อยละ (P) ค่าเฉลย่ี ( X̅ ) คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติ
ทีใ่ ชท้ ดสอบสมมติฐาน คอื ความกา้ วหน้าทางการเรียน
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนซึ่งมี
ความกา้ วหน้าทางการเรยี นเท่ากับ 0.78 อยูใ่ นระดับสงู และมคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดับมาก
ลายมือชื่อนักศึกษา.........................................................................................ปีการศกึ ษา 2564
ลายมือชือ่ อาจารย์ที่ปรึกษา 1..............................................................อาจารย์นเิ ทศก์
2..............................................................ครูพีเ่ ล้ียง
3..............................................................ประธานหลักสตู ร
ค
Researcher Miss Thanyaphon Thongthae
Student ID 6011056150001
Research Consultants Asst. Prof. Dr. Chat Teeka
Organization Physics Education Program, Faculty of Science and
Technology, Suan Dust University
Duration September 2021
Pages 58 Pages
Abstract
The purposes of this research were: 1) to compare the before and after learning
achievement learning of the learners online with the of PhET interactive simulations for
Students grade 1 0 2 ) to survey the satisfaction of grade 10 students towards online
teaching and learning management with the use of PhET interactive simulations. friction
The sample include 20 students in Mathayom Suksa 4/2 from Mahannaparam School. We
selected base on the Purposive Sampling. The equipment used in this research were : 1)
learning management plan that uses PhET interactive simulations of friction. 2) Satisfaction
questionnaire ion on Ohm's Law by using PhET interactive simulations The statistical
techniques employed are percentage mean standard diviation (S.D.) and normalized gain.
The research result found that : Students have academic achievement after school.
higher than before and the average normalized gain was is a high (<g>=0.76) which was
the high level of satisfaction. and Satisfaction is a high level.
สารบัญ ง
กติ ตกิ รรมประกาศ หนา้
บทคัดย่อภาษาไทย ก
บทคัดย่อภาษาองั กฤษ ข
สารบัญ ค
สารบญั ตาราง ง
สารบญั ภาพ ช
ซ
บทที่ 1 บทนำ
1
ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา 3
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย 3
สมมตฐิ านของการวิจัย 3
ขอบเขตการวิจัย 4
กรอบแนวคิดการวจิ ยั 4
ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ 5
คำจำกัดความท่ใี ชใ้ นงานวจิ ยั
6
บทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารงานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้อง 8
12
แนวคิดทฤษฎที เี่ กีย่ วข้องกบั การวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น 13
แนวคดิ ทฤษฎที ่ีเกย่ี วข้องกับความพึงพอใจ 15
แนวคิดเก่ยี วกับแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจรงิ 16
แนวคดิ เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนออนไลน์
แรงเสยี ดทาน 19
งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง 19
19
บทท่ี 3 วธิ ีการดำเนินการวจิ ยั
ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง
ตัวแปรท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวิจยั
จ
สารบญั (ต่อ)
ขน้ั ตอนในการสรา้ งและหาคุณภาพเครื่องมือ หน้า
การเก็บรวบรวมข้อมูล 20
การวเิ คราะห์ข้อมูล 22
สถติ ทิ ใี่ ช้ในการวิจยั 23
23
บทท่ี 4 ผลการวิจัย
25
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของผู้เรยี นก่อนและหลงั เรียนเรื่องแรงเสียดทาน
รว่ มกับการใช้แบบจำลองโตต้ อบเสมอื นจริง 27
ความพงึ พอใจทางการเรียนที่มีต่อการจัดการเรยี นรู้ เร่ืองแรงเสียดทาน
รว่ มกบั การใชแ้ บบจำลองโต้ตอบเสมอื นจริง 29
30
บทที่ 5 สรปุ ผลการวิจัย อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 31
32
สรุปผลการวจิ ยั 34
อภปิ รายผลการวจิ ัย 35
ขอ้ เสนอแนะ 37
52
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก 54
ภาคผนวก ก รายนามผเู้ ชี่ยวชาญในการตรวจสอบ แนะนำ และแก้ไขเครอื่ งมือวิจยั 58
ภาคผนวก ข เครอื่ งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ภาคผนวก ค คะแนนผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกอ่ นเรียนและหลังเรยี น
ผลการวิเคราะหค์ ะแนน ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรยี น
ภาคผนวก ง (Normalized Gain)
ภาพกจิ กรรมการจดั การเรยี นการสอนเรื่องแรงเสยี ดทานรว่ มกบั การใช้
แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
ประวัติผู้วจิ ยั
ฉ
สารบญั ภาพ หนา้
ภาพที่ 20
55
3.1 รายละเอยี ดของเคร่ืองมือตา่ ง ๆ ในแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจรงิ 55
ง-1 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนออนไลน์ 56
ง-2 การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนออนไลน์ 56
ง-3 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนออนไลน์ 57
ง-4 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนออนไลน์
ง-5 การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนออนไลน์
ช
สารบัญตาราง หนา้
26
ตารางท่ี 27
4.1 การวิเคราะหผ์ ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 28
4.2 สรุปความกา้ วหน้าทางการเรียนของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4/2
53
จากคะแนนสอบ ก่อนเรยี นและหลังเรยี น โดยใชแ้ บบจำลองโต้ตอบ 53
เสมือนจริง เร่อื ง แรงเสียดทาน
4.3 บนั ทึกผลคา่ เฉลย่ี ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากแบบประเมินความพึงพอใจ
ของนักเรียนหลงั ไดร้ ับกิจกรรมการเรยี นร้โู ดยใชแ้ บบจำลองโตต้ อบ
เสมอื นจริง เร่อื ง แรงเสยี ดทาน
ค-1 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน กอ่ นและหลังเรยี นของนกั เรียน
ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4/2
ค-2 ผลการวเิ คราะห์ความก้าวหน้าทางการเรยี นของนักเรยี น
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4/2 จากคะแนนสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น
โดยใชแ้ บบจำลอง โต้ตอบเสมือนจริง เรอ่ื ง แรงเสียดทาน
1
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา
ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคโควิด 19
(Coronavirus Disease 2019, COVID-19) ซึ่งเป็นเชื้อที่มีแพร่อย่างรวดเร็วและกว้างขวางไปหลาย
ประเทศทั่วโลกซึ่งมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ประกอบกับองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้
การระบาดของโรคโควิด 19 เป็นการระบาดใหญ่ (pandemic) ในส่วนของประเทศไทยรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ส่งผลให้จำเป็นต้องมีมาตรการใน
การป้องกันเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อ (เสถียร พูลผล และปฏิพล อรรณพบริบูรณ์, 2563) จาก
มาตรการดังกล่าวส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ : ให้สถานศึกษาใน
สังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ณ วันที่ 2 มกราคม 2564
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2564) มีใจความสำคัญตอนหนึง่ ระบวุ ่า “ใหส้ ถานศึกษาทุกแหง่ ของรัฐและเอกชน
ทั้งในระบบและนอกระบบซึ่งอยู่ในสังกัดและกำกับของกระทรวงศึกษาธิการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามที่
ศูนยบ์ รหิ ารสถานศกึ ษาโควดิ 19 (ศบค.) กำหนด ใน 28 จงั หวัด ปิดเรียนด้วยเหตุพเิ ศษต้ังแตว่ ันจนั ทร์ท่ี 4
มกราคม 2564 ถึง วนั อาทติ ยท์ ่ี 31 มกราคม 2564 หรือจนกวา่ จะมีประกาศเปลยี่ นแปลง ทงั้ นใี้ นระหว่าง
ที่สถานศึกษาต้องปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษดังกล่าวทให้ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนดแนวทางในการจัดการ
เรียนการสอนตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ เช่น การสื่อสารแบบทางไกลหรือด้วยวิธี
อิเล็กทรอนิกส์ หากไม่สามารถจัดการเรียนการสอนโดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ สถานศึกษาอาจ
จัดการเรียนการสอนโดยใบสั่งงานหรือมอบหมายงานตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน”
สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐและเอกชนทุกแห่งจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเรียนการสอน
เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประกันคุณภาพของผู้เรียนที่จะสำเร็จ
การศึกษาในระยะวิกฤตินี้ โดยโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย เป็นสถานศึกษาในสังกัดและกำกับของ
กระทรวงศึกษาธกิ ารทไี่ ดร้ บั ผลกระทบข้างต้นนดี้ ้วยเช่นกัน
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในปัจจุบัน มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมี
บทบาทที่สำคัญในฐานะการเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ และได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในด้าน
การศึกษาเกิดเป็นการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ (online learning) หรือการเรียนการสอนทาง
อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) ซึ่งเป็นรูปแบบสำหรับการเรียนการสอนทางไกลที่ผู้เรียนและผู้สอนไม่
จำเป็นต้องไปยังสถานศึกษา ก่อให้เกิดความสะดวกสบายและเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว ทุกสถานที่ ทุกเวลา
โดยมกี ารนำเสนอดว้ ยตวั อกั ษร ภาพน่ิง ผสมผสานกับการใชภ้ าพเคล่อื นไหว วดี ีทศั นแ์ ละเสยี ง
2
โดยอาศัยเทคโนโลยีของเว็บในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีระบบการจัดการรายวิชาใน
การบรหิ ารจัดการการสอนดา้ นต่าง ๆ ผา่ นระบบออนไลน์ โดยมคี วามมงุ่ หวงั ให้ผู้เรยี นมคี วามรู้ความเข้าใจ
ในเนื้อหาจากชั้นเรยี นเพ่ิมมากขน้ึ สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทำให้เกิดการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง (พิเชฐ คู
ชลธารา, 2559; ชนินทร์ ตั้งพานทอง, 2560; ปัณฑิตา อินทรักษา, 2562) ซึ่งการเรียนการสอนรูปแบบ
ออนไลน์เป็นวิธีที่เหมาะสมในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 เนื่องจากทั้งผู้เรียนและผู้สอน
สามารถสื่อสารกันจากที่บ้านผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์เคลื่อนที่
การจัดการเรียนการสอนฟิสิกส์ให้ได้ผลดีนั้นจำเป็นต้องมีสื่อการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียน สามารถเข้าใจและ
มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน ซึ่งสื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริง เป็นสื่อที่มีความสามารถในการจัดการเรียน
การสอนให้เกิดประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับให้ใช้กันอย่างแพร่หลายในการสอนฟิสิกส์
(AdamsW.K., 2008)
ในต่างประเทศ มหาวิทยาลัยโคโรลาโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดทำโครงการ The Physics
Education Technology (PhET) ซึ่งเป็นโครงการที่นักฟิสิกส์ร่วมมือกับนักพัฒนาระบบ ได้สร้างและ
พฒั นาสื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจรงิ ข้นึ ซงึ่ สามารถใชง้ านไดบ้ นเว็บไซต์
www.//phet.colorado.edu/en/simulations/category/physics โดยไมเ่ สียค่าใช้จ่าย สอ่ื จำลอง
โต้ตอบเสมือนจริงที่สร้างขึ้นมีทั้งหมด 50 สื่อจำลอง ครอบคลุมเนื้อหาทั้งในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
และระดับมหาวิทยาลัยและบางสื่อจำลองครอบคลุมเนื้อหาขั้นสูงขึ้นด้วย โดยเนื้อหาในสื่อจำลองโต้ตอบ
เสมือนจริงแบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม คือ 1) การเคลื่อนที่ 2) งานพลังงานและกำลัง 3) คลื่นเสียง
4) อุณหพลศาสตร์และความรู้อน 5) ไฟฟ้า 6) แสงและรังสี 7) ปรากฏการณ์ควอนตัม 8) เคมีฟิสิกส์ และ
9) คณติ ศาสตร์ ซึง่ จุดประสงค์หลักของการสร้างสื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริงของ PhET มี 2 ประเด็น คือ
เพ่ือเพิ่มความสนใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกดิ ความสนใจในเนื้อหา และเพอื่ ปรบั ปรุงการเรียนการสอนให้ดี
ขึน้ ส่ือจำลองโตต้ อบเสมือนจริงของ PhET สามารถใช้งานบนเว็บไซตไ์ ดโ้ ดยตรง ผา่ นเว็บเบราว์เซอร์ หรือ
สามารถดาวน์โหลดตดิ ตั้งไว้บนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรอื คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสำหรบั ใช้ในกรณีที่ไม่มี
อินเทอร์เน็ต สื่อจำลองโต้ตอบ เสมือนจริงของ PhET สามารถใช้งานบนโปรแกรมแฟลช (Flash) และใช้
ภาษาจาวา (Java) ในการแสดงผลของสื่อจำลอง โต้ตอบเสมือนจริงและยังใช้งานได้บนระบบปฏิบัติการ
แอนดรอยด์ (Android) หรอื ไอโอเอส (IOS) ผา่ นโทรศัพท์เคลอ่ื นท่หี รอื สมารต์ โฟน (Smart Phone) แท็บ
เล็ต (Tablet) และไอแพด (I Pad) ได้ การใช้งานสื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริงของ PhET ในการจัดการ
เรียนการสอนสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การใช้เป็นสื่อสาธิตประกอบการบรรยายแบบมี
ปฏิสัมพันธ์ (Interactive Lecture Demonstrations ; ILDs) ซึ่งสามารถทำให้ผู้เรียนมองเห็น
ปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ได้อยา่ งชัดเจนสามารถทำซ้ำได้หลาย ๆ ครงั้ และสามารถเปล่ียนแปลงเงื่อนไขต่าง
ๆ เพ่อื ให้แสดงผลการสาธิตทีแ่ ตกต่างกนั ได้ (PerkinsK., 2006) หรอื การใชเ้ ป็นส่อื ประกอบการทดลอง ซ่ึง
สามารถทำใหผ้ ู้เรียน
3
ออกแบบหรือสร้างรูปแบบการทดลองไดด้ ว้ ยตัวเอง สามารถ ทดลองได้หลาย ๆ ครั้งโดยไม่สิ้นเปลืองวัสดุ
อุปกรณ์ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายจากการทดลองเหมือนการทดลองจริง และสื่อ จำลองโต้ตอบเสมือน
จริงของ PhET ยังมีความคล้ายคลึงกับสื่อของจริงที่ใช้ในห้องปฏิบัติการและจากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า
สื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริงของ PhET เช่น สื่อเรื่อง การเคลื่อนที่ สามารถใช้ ทดแทนการทดลองด้วย
อุปกรณ์ของจริงได้ และทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจไดโ้ ดยไม่แตกต่างจากการทดลองดว้ ยอุปกรณ์จริง ใน
การเรยี นร้เู รือ่ ง แรงสียดทาน
ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการนำเอาแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงมาปรับใช้ในรายวิชารายวิชา
ฟสิ ิกส์ 1 (ว30103) สำหรับนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4/2 โรงเรียนมหรรณพาราม
1.2 วตั ถปุ ระสงค์
1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอน
ออนไลนร์ ว่ มกบั การใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจริง เร่ืองแรงเสียดทาน ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4
2) เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน
ออนไลนร์ ว่ มกบั การใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจรงิ เรื่องแรงเสียดทาน
1.3 สมมติฐานการวจิ ัย
1) นกั เรียนมีการพัฒนาการเรียนร้จู ากสอื่ จำลองโตต้ อบเสมือนจริง รายวิชาฟิสกิ ส์ เรือ่ งแรง
เสียดทาน อยู่ในร้อยละ 70
2) นกั เรยี นมีความเข้าใจมากขึ้นหลงั จากการเรียนรู้โดยใช้สื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
เรอื่ งแรงเสยี ดทาน
1.4 ขอบเขตการวจิ ัย
1) ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียน วิทยาศาสตร์การแพทย์
โรงเรียนมหรรณพาราม จังหวัดกรุงเทพมหานคร ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
จำนวน 3 ห้องเรียน รวมทงั้ หมด 187 คน
2) กลุ่มตวั อยา่ ง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียน วิทยาศาสตร์การแพทย์
โรงเรียนมหรรณพาราม จังหวัดกรุงเทพมหานคร ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 29 คน
4
3) ตวั แปรทีศ่ กึ ษา
1) ตวั แปรตน้ – การจัดการเรียนการสอนออนไลน์รว่ มกับการใช้แบบจำลองโต้ตอบ
เสมอื นจรงิ เร่อื งแรงเสยี ดทาน ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4
2) ตัวแปรตาม – ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี น และความพึงพอใจทมี่ ีต่อการ
จดั การเรยี นการสอนออนไลนร์ ว่ มกับการใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
ของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
4) เนอื้ หา
เนื้อหาวิชาฟิสิกส์ เรื่องแรงเสียดทาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พ.ศ.2551
5) ระยะเวลาทศ่ี กึ ษา
การวิจัยคร้ังน้ี ดำเนินการจัดการเรียนรู้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 ระยะเวลาท่ีใช้ในการ
เรยี นการสอน 1 คาบเรยี น จำนวนเวลา 50 นาที
1.5 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั
ในการวิจัยครงั้ น้ี สามารถนำเสนอกรอบความคดิ ในการวิจยั ดงั นี้
ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม
การจัดการเรียนการสอนออนไลนร์ ่วมกบั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียน และ
การใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจรงิ ความพึงพอใจทมี่ ีตอ่ การจดั การเรยี นการสอน
เร่อื งแรงเสยี ดทาน ของนกั เรียน ออนไลน์ร่วมกบั การใช้แบบจำลองโต้ตอบ
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 เสมือนจรงิ ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4
- ส่อื จำลองโตต้ อบเสมือนจรงิ
- แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น
1.6 ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ บั
1. ได้แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงในการเรียน
การสอนในรายวชิ าฟิสกิ ส์
2. ผู้เรียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกับแรงเสยี ดทานตามหลักการและทฤษฎอี ย่างถูกต้อง
5
1.7 คำจำกัดความท่ใี ช้ในงานวจิ ยั
การจดั การเรียนการสอนออนไลน์ (Online learning)
เปน็ รปู แบบสำหรับการเรยี นการสอนทางไกลท่ีผู้เรียนและผสู้ อนไมจ่ ำเปน็ ต้องไปยังสถานศกึ ษา ก่อให้เกิด
ความสะดวกสบายและเขา้ ถึงได้อย่างรวดเร็ว ทุกสถานที่ ทุกเวลา ซึ่งมีการนำเสนอด้วยตัวอักษร ภาพนง่ิ
ผสมผสานกบั การใช้ภาพเคล่ือนไหว วีดิทศั น์ และเสยี ง โดยอาศัยเทคโนโลยีของเว็บในการถา่ ยทอดเน้ือหา
รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีระบบการจัดการรายวิชาในการบริหารจัดการการสอนด้านต่าง ๆ ผ่านระบบ
ออนไลน์ โดยมีความมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาจากชั้นเรียนเพิ่มมากขึ้น สามารถ
ประยกุ ต์ใช้ความรู้และทำใหเ้ กดิ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง
แบบจำลองโต้ตอบเสมอื นจริง
เป็นส่อื สาธิตประกอบการบรรยายแบบมปี ฏสิ ัมพนั ธ์ (Interactive Lecture Demonstrations ; ILDs) ซง่ึ
สามารถทำให้ผู้เรียนมองเห็นปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ได้อย่างชัดเจน สามารถทำซ้ำได้หลายๆครั้งและ
สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้แสดงผลการสาธิตที่แตกต่างกันได้ หรือการใช้เป็นส่ือ
ประกอบการทดลอง ซงึ่ สามารถทำให้ผู้เรยี นออกแบบหรือสร้างรูปแบบการทดลองไดด้ ว้ ยตัวเอง สามารถ
ทดลองได้หลาย ๆ ครั้งโดยไมส่ ิ้นเปลอื งวสั ดุอุปกรณ์ และไม่ก่อให้เกดิ อันตรายจากการทดลองเหมือนการ
ทดลองจริง ซึ่งสื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริงของ PhET ยังมีความคล้ายคลึงกับสื่อของจริงที่ใช้ใน
หอ้ งปฏิบตั ิการ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนฟิสิกส์
คะแนนของนักเรยี นที่ไดจ้ ากการประเมินด้วยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาฟสิ ิกส์ ระดับช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 เรอ่ื ง แรงเสยี ดทาน ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จำนวน 10 ขอ้ ที่ผู้วิจยั พฒั นาขน้ึ
ความพึงพอใจต่อการจดั การเรียนรู้
พฤตกิ รรมของผู้เรยี นทีแ่ สดงออกถงึ ความรู้สึกต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจรงิ (PhET) ร่วมกับการ
จัดการเรียนการสอนออนไลน์ ในเรื่องแรงเสียดทาน โดยจะประเมินจากแบบวัดความพึงพอใจชนิดมาตร
ประมาณค่า 5 ระดับ ทผี่ ู้วิจัยได้สรา้ งขน้ึ
แรงสยี ดทาน
แรงตา้ นการเคล่ือนท่บี นผิวสัมผัสท่ีเกดิ ขึ้นระหว่างวัตถุ หรือแรงท่ีต้านทานการเคล่ือนท่ีของวัตถุไปบนพ้ืน
ผิวสัมผัส ซึ่งส่งผลให้วัตถุดังกล่าวเคลื่อนที่ช้าลงหรือหยุดนิ่งไปในท้ายที่สุด ดังนั้น แรงเสียดทานจึงมี
ทิศทางตรงกนั ข้ามกบั การเคลื่อนท่ีของวัตถุ และมีขนาดขึน้ อยู่กบั ลกั ษณะของพ้ืนผิวสัมผสั และ แรงหรือ
น้ำหนัก ที่กระทำในลักษณะตั้งฉากต่อพื้นผิวดังกล่าว หากแรงกดตั้งฉากกับผิวสัมผัสมีขนาดมากเท่าใด
ย่อมสง่ ผลให้เกดิ แรงเสียดทานมากขน้ึ เท่านั้น
6
บทท่ี 2
ทฤษฎแี ละเอกสารงานวิจยั ที่เกีย่ วข้อง
วิจยั เร่ือง การศึกษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน และความพงึ พอใจต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบ
เสมือนจรงิ (PhET) ร่วมกบั การจดั การเรียนการสอนออนไลน์ เรือ่ งแรงเสียดทาน ของนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปที ่ี 4
ใชแ้ นวคดิ ทฤษฎีเอกสารและวิจยั ทีเ่ ก่ยี วข้องดงั ต่อไปน้ี
2.1 แนวคิดทฤษฎีทเี่ กยี่ วข้องกบั การวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
ไพศาล หวังพานิช (2549) ไดแ้ บ่งการวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นตามจดุ มงุ่ หมายและลักษณะวิชา
ทีส่ อน ซึง่ สามารถวดั ได้ 2 แบบ คอื
1.การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะของผู้เรียน
โดยเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถดังกล่าวในรูปของการกระทำจริงให้ออกเป็นผลงาน เช่น วิชา
ศิลปศกึ ษา พลศกึ ษา การช่าง เปน็ ตน้ การวัดแบบนจี้ ึงตอ้ งใชข้ อ้ สอบภาคปฏิบัติ (Performance Test)
2.การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา อันเป็นประสบการณ์การ
เรียนของผูเ้ รียน รวมถงึ พฤติกรรมความสามารถในด้านตา่ ง ๆ สามารถวัดไดโ้ ดยใช้ "ขอ้ สอบวัดผลสัมฤทธิ์"
(Achievement Test)
การวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น จะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน คอื
1.ด้านความรู้ ความคิด (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ
ทางดา้ นสติปญั ญา และสมอง ประกอบดว้ ยพฤตกิ รรม 6 ด้าน ดังนี้
1.1 ด้านความรคู้ วามจำ หมายถึง ความสามารถระลกึ ถงึ เรือ่ งราวประสบการณ์ที่ผ่านมา
1.2 ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการจับใจความ การแปลความ การตีความ การ
ขยายความของเรอื่ งได้
1.3 การนำไปใช้ หมายถึง ความสมารถในการนำความรู้หรือหลักวิชาที่เรียนมาแล้วในการสร้าง
สถานการณ์จรงิ ๆ หรือสถานการณ์ทค่ี ล้ายคลงึ กัน
1.4 การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆหรือวัตถุสิ่งของเพ่ือ
ต้องการคน้ หาสาเหตเุ บ้ืองต้น หาความสมั พันธ์ระหวา่ งใจความ ระหวา่ งสว่ นรวม ระหว่างตอนตลอดจนหา
หลักการท่ีแฝงอยใู่ นเรื่อง
7
1.5 การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้มาจัดระบบใหม่ เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่
เหมอื นเดิม มคี วามหมายและประสทิ ธิภาพสงู กวา่ เดมิ
1.6 การประเมินค่า หมายถึง การวินิจฉัยคุณค่าของบุคคล เรื่องราว วัสดุสิ่งของ อย่างมี
หลกั เกณฑ์
2.ด้านความรู้สึก (Affective Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและ
พฒั นาการในด้านความสนใจ คุณคา่ ความซาบซง้ึ และเจตคตติ า่ ง ๆ ของนักเรยี น
3.ด้านการปฏิบัติการ (Psycho-moto Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะ
ในการปฏิบตั แิ ละการดำเนนิ การ เช่น การทดลอง เปน็ ตน้
สรุปได้ว่าการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถวัดได้ทั้งด้านทักษะปฏิบัติโดยใช้แบบทดสอบ
ภาคปฏิบัติ และการวัดทางด้านเนื้อหาโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนซ่ึงการวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน จะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ความคิด ด้าน
ความรู้สกึ และดา้ นการปฏิบตั ิการ
2.3.4 เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับครูที่จะใชต้ รวจสอบพฤติกรรมหรือผล
การเรียนรู้ของผเู้ รยี นอนั เน่อื งมาจากการเรียนการสอนของครวู า่ ผ้เู รยี นมีความรู้ ความสามารถหรอื ประสบ
ผลสำเร็จในการเรียนมากน้อยเพียงใด ซึ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนีจ้ ะเป็นแนวทางในการปรับปรุง
และพัฒนการเรียนการสอนต่อไป ซึ่งบุญชม ศรีสะอาด (2535) ได้เสนอลักษณะของเครื่องมือที่ใช้วัดผล
สมั ฤทธท์ิ างการเรยี นไว้ 2 ประเภท คอื
1.แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Test หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตาม
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สำหรับตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ท่ี
กำหนดหรอื ไม่ กรวัดตามจดุ ประสงคน์ ั้นเปน็ หวั ใจสำคญั ของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทน้ี
2.แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Reference Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อให้วัด
ครอบคลมุ หลกั สูตร จึงสรา้ งตามตารางวเิ คราะหห์ ลกั สตู ร ความสามารถในการจำแนกผสู้ อบตามความเก่ง
อ่อนไดด้ ี เป็นหวั ใจของข้อสอบประเภทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐานซึ่งเป็นคะแนนที่
ใช้ความสมารถในการให้ความหมาย และแสดงถึงศักยภาพของบุคคลน้ัน เมอื่ เปรียบเทียบกับบุคคลอ่ืน ๆ
ที่ใช้เป็นกลุ่มเปรยี บเทียบ
นอกจากน้ี ลว้ นและอังคณา สายยศ (2536) ได้แบง่ ไวเ้ ป็น 2 พวก คือ
8
1.แบบทดสอบของครู (Teacher Made Test) หมายถึง ชุดของคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้นซึ่งเป็นข้อ
คำถามทเี่ ก่ียวกบั ความรู้ท่ีนักเรียนได้เรยี นในห้องเรียนว่า ห้องเรียนมีความรมู้ ากแคไ่ หน บกพรอ่ งท่ีจุดไหน
จะไดส้ อนซอ่ มเสริม หรอื เปน็ การวัดความพร้อมที่จะเรยี นบทเรียนใหม่ ซง่ึ ขนึ้ อยกู่ บั ความต้องการของครู
2.แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) แบบทดสอบประเภทนี้สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละ
สาขา หรือจากครูที่สอนวิชานั้น ๆ แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้งจนกระทั่งมีคุณภาพดีพอ จึง
สร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบ เพื่อเป็นหลักเปรียบเทียบผลประเมินค่าของการสอนเรื่องใดก็ได้
แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำเนินการสอน บอกวิธีสอน และยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแน น
ด้วย
สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ซึ่งแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบอิงเกณฑ์ และแบบทดสอบอิงกลุ่ม และยงั มแี บบทดสอบของ
ครูและแบบทดสอบมาตรฐานท่ีสามารถวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนไดเ้ ชน่ กนั
2.2 แนวคดิ ทฤษฎที ่ีเก่ยี วข้องกับความพึงพอใจ
แนวคิดและทฤษฎคี วามพงึ พอใจ
จากการศึกษาค้นคว้างานเอกสารและแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ และมีผู้วิจัย
หลายท่าน ได้ใหค้ วามหมายแนวคดิ และทฤษฎี ไวด้ ังนี้
โวลแมน (Wolman) (อ้างในสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, 2555) ได้ให้
ความหมายของความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก (Feeling) มีความสุขเมื่อได้รับผลสำเร็จตามความมุ่ง
หมายทตี่ ้องการหรอื ตามแรงจูงใจ
ทฤษฎีความต้องการของ Maslow (มาสโลว์) (อ้างในสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏ
เชยี งใหม่, 2555) เป็นนกั วจิ ัยวทิ ยาชาวองั กฤษ ไดส้ ร้าง ทฤษฎคี วามต้องการตามลำดับข้ันสมมติฐานอยู่ 2
ประการ คือ
1.มนุษย์มีความต้องการอยู่ตลอดเวลาตราบใดทีย่ ังมีชีวิตอยู่ความต้องการที่ได้รับการ ตอบสนอง
แล้ว ก็จะไม่เป็นแรงจงู ใจสำหรับพฤติกรรมนั้นอีกต่อไป ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง เท่านั้น
จึงจะมอี ทิ ธพิ ลจงู ใจต่อไป
2.ความต้องการของคนมีลักษณะเป็นลำดับขั้นจากต่างไปหาสูงตามลำดับความสำคัญในเมื่อ
ความต้องการขั้นต่ำได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการขั้นสูงก็จะตามมา มาสโลว์ได้แบ่งลำดับความ
ต้องการของมนษุ ยอ์ อกเปน็ 5 ลำดับ ดงั น้ี
9
2.1 ความตอ้ งการทางดา้ นรา่ งกาย (Physiological Needs)
2.2 ความต้องการความปลอดภยั หรอื ความมน่ั คง (Security or Safety Needs)
2.3 ความต้องการทางดา้ นสงั คม (Social or Belongingness Needs)
2.4 ความตอ้ งการทจ่ี ะมฐี านะเด่นในสังคม (Esteem or Status Needs)
2.5 ความตอ้ งการท่ีจะไดร้ บั ความสำเร็จในชวี ติ (Self-actualization or SelfRealization)
สง่า ภู่ณรงค์ (2540) ได้กล่าวว่าความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อได้รับความสำเรจ็
ตามความมุง่ หมาย หรือเป็นความร้สู กึ ขั้นสดุ ทา้ ยทไี่ ด้รับผลสำเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์
ปริญญา จเรรชั ต์และคณะ (2546) กลา่ วไว้ว่าความพึงพอใจ หมายถงึ ทา่ ทีความรู้สึกหรือทศั นคติ
ในทางที่ดีของบุคคลที่มีต่อสิ่งที่ปฏิบัติร่วมปฏิบัติ หรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติโดยผลตอบแทนที่ได้รับ
รวมท้งั สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งเป็นปัจจยั ทำใหเ้ กิดความพึงพอใจหรือไม่พงึ พอใจจากความหมาย
ของความพึงพอใจดังกล่าวพอสรุปความได้ว่าความพึงพอใจเป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง ที่เป็นนามธรรมเป็น
ความรู้สึกส่วนตัวทั้งทางด้านบวกและลบขึน้ อยู่กับการได้รับการตอบสนองเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรม ใน
การแสดงออกของบคุ คลท่มี ีผลต่อการเลอื กทีจ่ ะปฏบิ ัตสิ ่งิ ใดสิ่งหน่งึ
สุภาลักษณ์ ชัยอนันต์ (2540) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจเป็น
ความรูส้ ึกส่วนตวั ท่รี สู้ กึ เปน็ สุขหรือยินดที ่ีได้รับความตอบสนองความต้องการในสิ่ง ทข่ี าดหายไป หรือส่ิงท่ี
ทำให้เกิดความไมส่ มดุล ความพึงพอใจเปน็ ส่ิงท่ีกำหนดพฤติกรรมท่ีจะแสดงออกของบุคคล ซ่งึ มผี ลต่อการ
เลอื กทีจ่ ะปฏบิ ตั ิในกิจกรรมใด ๆ นั้น
ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (2541) กล่าวถึง ความหมายของความพึงพอใจในการบริการสามารถจำแนก
เป็น 2 ความหมาย ในความหมายที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของผู้บริโภคหรือผู้รับบริการ (Customer
satisfaction) และความพึงพอใจในงาน (Job satisfaction) ของผใู้ ห้บรกิ าร ดังน้ี
1.ความหมายของความพึงพอใจของผู้บริการ ตามแนวคดิ ของนกั การตลาดจะพบนิยามของความ
พงึ พอใจของผู้รบั บรกิ ารเปน็ 2 นยั คอื
1.1 ความหมายที่ยึดสถานการณก์ ารซ้ือเปน็ หลัก ให้ความหมายวา่ ความพึงพอใจเป็นผลทเ่ี กิดข้ึน
เนอื่ งจากการประเมนิ สง่ิ ท่ไี ด้รบั ภายหลังสถานการณก์ ารซื้อสถานการณ์หนึ่ง มกั พบในงานวจิ ัยการตลาดท่ี
เนน้ แนวคดิ ทางพฤติกรรมศาสตร์
10
1.2 ความหมายที่ยืดประสบการณ์เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าเป็นหลัก ให้ความหมายว่า ความ
พงึ พอใจเป็นผลทเี่ กิดข้นึ เนอ่ื งจากการประเมินภาพรวมทั้งหมดของประสบการณห์ ลาย ๆ อย่างทเ่ี ก่ยี วข้อง
กับผลิตภัณฑ์หรือบริการในระยะเวลาหนึ่ง หรืออีกนัยหนึง่ คือ ความพึงพอใจ หมายถึง การประเมินความ
สมารถของการนำเสนอผลติ ภณั ฑห์ รือบรกิ ารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเน่ือง
2.ความหมายของความพึงพอใจในงานของผูบ้ รกิ าร ตามแนวคิดของนักจิตวิทยาองค์กรความพงึ
พอใจในการทำงานจะมีผลต่อความสำเร็จของงานเป็นเป้าหมายสูงสุดของความสำเร็จในการดำเนินงาน
บริการขึน้ อยกู่ ับ กลยทุ ธ์ การสร้างความพึงพอใจใหก้ ับลกู คา้ เพ่ือใหล้ ูกค้าเกดิ ความรู้สกึ ท่ีดีและประทับใจ
ในการบริการท่ไี ด้รบั จนตดิ ใจและกลับมาใช้บริการเปน็ ประจำ การศึกษาความพึงพอใจของลกู ค้าตลอดจน
ผู้ปฏิบัติงานถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้จะนำมาซึ่งความได้เปรียบในเชิงการ
แข่งขันทางการตลาด เพื่อความก้าวหน้าและการเติบโตของธุรกิจบริการอย่างไม่หยุดยั้ง และส่งผลให้
สัดมส่วนรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงกล่าวได้ว่า ความพึงพอใจมีความสำคัญต่อผู้ให้บริการและ
ผ้รู บั บริการ
มณี โพธิเสน (2543) ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกยินดีหรือเจตคติที่ดีของ
บคุ คลเมอ่ื ได้รบั การตอบสนองความต้องการของตน ทำให้เกดิ ความรสู้ ึกทด่ี ใี นส่ิงนน้ั ๆ
อุทัยพรรณ สุดใจ (2544) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สกึ หรือทัศนคติของบคุ คลที่มีตอ่ สิ่งใด
สิ่งหนึ่งโดยอาจจะเป็นไปในเชิงประเมินค่ว่า ความรู้สึกหรือทัศนคติต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นเป็นไปในทางบวก
หรอื ทางลบ
พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ สถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 775) ไดใ้ หค้ วามหมายของความ พึงพอใจ
หมายถึง ความพึงพอใจ ความชอบใจ ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Satisfaction จากที่กล่าวมาทัง้ หมดข้าง
ตนั จึงสรุปได้ว่า ความพงึ พอใจ หมายถึง ความรูส้ กึ ที่เป็นการยอมรับ ความรู้สกึ ชอบ ความรู้สึกที่ยินดีกับ
การปฏบิ ตั งิ าน ทัง้ การให้บริการและการรบั บรกิ ารในทุกสถานการณ์ ทกุ สถานที่
สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ คือ ทัศนคติอย่างหนึ่งที่ใช้บ่งบอกถึงความชอบ อาจมีมากหรือน้อย
ข้นึ อยกู่ ับตวั บุคคลนั้น ๆ ทีไ่ ด้พบเจอ เมือ่ มกี ารวัดความพงึ พอใจของผเู้ รยี นกจ็ ะนำไปสู่กระบวนการพัฒนา
โดยครผู ู้สอนเพ่อื ใหก้ ารเรยี นการสอนมปี ระสิทธภิ าพทีด่ ียงิ่ ข้ึน
ลกั ษณะความพึงพอใจ
ลักษณะความพึงพอใจผู้วิจัยได้ศึกษาจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและได้นำมาเสนอลักษณะ
ของความพึงพอใจของนักวชิ าการตา่ ง ๆ ดังน้ี
สรุ ศักดิ์ นาถวลิ (2544 : 10) ไดก้ ลา่ วว่า ลักษณะความพงึ พอใจไว้ ดังน้ี
11
1.ความพึงพอใจเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกทางบวก ของบุคคลหรือสิ่งหนึ่งส่ิง
ใด บุคคลจะรบั รคู้ วามพึงพอใจ จำเป็นตอ้ งมีการปฏิสมั พนั ธ์กบั สภาพแวดล้อมรอบตัวการตอบสนองความ
ต้องการของมนุษย์ สว่ นบคุ คลด้วยการโตต้ อบกับบคุ คลอื่นและสิ่งตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจำวนั ทำใหแ้ ต่ละคนมี
ประสบการณ์รับรู้ เรียนรู้ สิ่งที่ได้รับการตอบสนองแตกต่างกันไป และหากสิ่งที่ได้รับเป็นไปตามความ
ตอ้ งการก็จะก่อใหเ้ กดิ ความพึงพอใจ
2.ความพึงพอใจเกิดจากกรประเมินความแตกต่าง ระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่ได้รับจริงใน
สถานการณ์ บริการก่อนที่ลูกค้าจะมาใช้บริการใดก็ตาม มักจะมีมาตรฐานของการบริการนั้นไว้ในใจอยู่
ก่อนเสมอแล้ว ซึ่งมีแหล่งอ้างอิงมาจากคุณดำหรือเจตคติที่ยืดถือต่อบริการประสบการณ์ดั้งเดิมที่เคยใช้
บรกิ าร การบอกเลา่ ของผู้อ่ืนกรรับทราบข้อมูล การรบั ประกนั บริการจากโฆษณา การให้คำม่ันสัญญาของ
ผู้ให้บริการเหล่านีเ้ ป็นปัจจัยพื้นฐาน ที่ผู้ใช้บริการเหล่านีเ้ ป็นปัจจยั พืน้ ฐานทีผ่ ู้รับบริการ ใช้เรียบเทียบกับ
บริการที่ได้รับในวงจร ของการให้บริการตลอดช่วงเวลาของความจริง สิ่งที่ผู้บริการได้รับความรู้เกี่ยวกับ
การบริการที่ได้รับการบริการ คือ ความคาดหวังในสิ่งที่คิดว่าได้รับ (Expectations) นี้มีอิทธิพลต่อ
ช่วงเวลาของการเผชิญความจริงหรือการพบปะระหว่างผู้ ให้บริการและผู้รับบริการเป็นอย่างมาก เพราะ
ผู้รับบริกรจะประเมินเปรียบเทียบสิ่งที่ได้รับจริงในกระบวนการบริการที่เกิดขึ้น (Performance) กับ
ความหวังเอาไว้หากสิ่งท่ีไดร้ ับเปน็ ไปตามความคาดหวังถือว่าเปน็ การยนื ยันท่ถี ูกต้อง (Confirmation) กับ
ความคาดหวังที่มีผู้รับริการย่อมเกิดความพึงพอใจต่อการบริการดังกล่าว แต่ถ้าไม่เป็นไปตามคาดหวัง
อาจจะสูงหรือต่ำกว่านับว่าเป็นการยืนยันที่คลาดเคลื่อน (Disconfirmation) ความคาดหวังดังกล่าวทั้งน้ี
ช่วงความแตกต่าง (Discrimination) ที่เกิดขึ้นจะช้ีให้เห็นระดับความพงึ พอใจหรอื ไม่พึงพอใจมากน้อยได้
ถา้ ยืนยนั เบย่ี งเบนไปในทางบวกแสดงถงึ ความพงึ พอใจ ถา้ ไปในทางลบแสดงถงึ ความไม่พอใจ
จากความหมายทีก่ ล่าวมาท้ังหมดข้างตัน สรปุ ได้ว่า ลกั ษณะของความพึงพอใจเปน็ การแสดงออก
ทางอามณ์และความรู้สึกทางบวกของบุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด บุคคลจะรับรู้ความพึงพอใจที่รู้สึกได้ในข้ัน
สดุ ทา้ ยที่ไดร้ ับผลสำเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์
การวดั ความพงึ พอใจ
การวดั ความพึงพอใจ ปรญิ ญา จเรรัชต์และคณะ (2546, หน้า 5) กลา่ ววา่ มาตรวัดความพึงพอใจ
สามารถกระทำได้หลายวธิ ีได้แก่
1.การใช้แบบสอบถามโดยผู้สอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องกา รทราบความคิดเห็นซึ่ง
สามารถทำได้ในลักษณะทีก่ ำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระคำถามดังกล่าวอาจถามความพงึ
พอใจในดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การบรกิ ารการบรหิ ารและเง่ือนไขต่าง ๆ เปน็ ต้น
12
2.การสัมภาษณ์เป็นวธิ ีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหนึ่งซ่ึงต้องอาศัยเทคนิค และวิธีการที่ดีที่จะ
ทำให้ได้ขอ้ มูลทีเ่ ป็นจริงได้
3.การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่าจะ
แสดงออกจากการพูดกิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และการสังเกตอย่างมี
ระเบยี บแบบแผน
สรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจ สามารถหาได้หลายวิธีเช่นการใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์
และการสังเกต ผู้วิจัยจึงได้ใช้การวัดความพึงพอใจโดยใช้แบบสอบถามเพราะเปน็ การตอบคำถามที่อิสระ
และสามารถแสดงทศั นคตขิ องบคุ คลไดอ้ ยา่ งชัดเจน
2.3 แนวคิดเก่ียวกับแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
แนวคิดเก่ยี วกับแบบจำลองโตต้ อบเสมอื นจรงิ
ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ห้องทดลองเสมือน (Virtual Laboratory)ถูกนำมาใช้ในการจดั
การศึกษา ซึ่งผู้เรียนสามารถใช้การทดลองเสมือนจริงในการทดสอบสมมติฐานท่ี 22 ตั้งไว้ รวมทั้งสังเกต
ผลที่ได้จากการทดสอบ (ถนอมพร เลาหจรัสแสง,2554) ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีการพัฒนาความสามารถใน
การปฏบิ ตั ิการทดลองทางวิทยาศาสตร์ นอกจากน้ีผูเ้ รียนยังสามารถปฏิบัติการทดลองได้โดยไม่มีข้อจำกัด
ในเรือ่ งเวลา สถานท่ีและมคี วามปลอดภยั ขณะทำการทดลอง
แนวคิดเกยี่ วกบั โครงการ The Physics Education Technology (PhET)
PhET เป็นห้องทดลองเสมือน ซึ่งถูกพัฒนาโดย University of Colorado โดยผู้เชี่ยวชาญมีส่วนร่วมใน
การออกแบบ ได้แก่ นักพัฒนาโปรแกรม นักวิทยาศาสตร์ ครูและนักเรียนPerkins, Adams, Dubson,
Finkelstein, Reid, Wieman & LeMaster, (2006)ได้กล่าวว่า โครงการ The Physics Education
Technology (PhET) ไดท้ ำการสรา้ งแบบจำลองโตต้ อบเสมือนจรงิ ซึ่งสามารถใช้งานได้บนเว็บไซต์ https
://phet. colorado.edu/en/simulations แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงเป็นสื่อการสอนที่สามารถ
จำลองสถานการณ์ทางฟิสิกส์ แสดงผลลัพธ์ในการทดลอง แสดงผลการคำนวณตัวแปรในทางฟิสิกส์
สำหรับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่เี กดิ ขึ้นในธรรมชาติทำใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถมองเหน็ ภาพท่ีเกิดข้ึนได้อย่างชัดเจน
แบบจำลอง โต้ตอบเสมือนจริงมีเนื้อหาที่ครอบคลุมในหลายหัวข้อ ในหลายระดับชั้นตั้งแต่ระดับชั้น
มัธยมศึกษาตอนต้น ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาตอนปลายระดับฟสิ ิกส์พืน้ ฐานในมหาวทิ ยาลยั ช้ันปีท่ี 1 ไปจนถึง
เนื้อหาใน ระดับสูง เช่นเลเซอร์ สารกึ่งตัวนำปรากฏการณ์ เรือนกระจก กัมมันตภาพรังสี ปฏิกิริยา
นิวเคลียร์และการวิเคราะห์ฟูเรียร์ เป็นต้น โดยแบ่งเน้ือหาออกเป็น 5 กลุ่มวิชา ดังนี้ 1) ฟิสิกส์ 2) เคมี 3)
ชีววิทยา
13
4) วิทยาศาสตร์โลก และ 5) คณติ ศาสตร์ จุดมุ่งหมายหลักของการสร้างแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจรงิ มี 2
ประเด็น คือเพื่อกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้ ของผู้เรียนและส่งเสริมปรับปรุงการเรียนการสอน
Wieman & Perkins, (2006) และ Wieman, Adams & Perkins (2008)ได้กล่าววา่ ผลการใช้แบบจำลอง
โต้ตอบเสมือนจริงจากหลายงานวิจัย พบว่าแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียน
การสอน้เป็นอย่างมาก เป็นสื่อที่มีสมรรถภาพสูงกว่าสื่อแบบเก่าและเป็นการสะท้อนผลอย่างชัดเจนว่า
ผู้เรียนในยุคปัจจุบันที่มกี ารรับรู้ข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ สามารถเข้าถึงสื่อแบบจำลอง
โตต้ อบเสมือนจริงได้อย่างสะดวก เพราะการใชง้ านแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง เปิดให้ใช้งานได้ฟรีและ
ยังสามารถใช้งานผ่านทางโปรแกรมสำเร็จรูปที่ไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต แบบจำลอง
โต้ตอบเสมือนจริงจึงมีความสะดวก และเข้าถึงผู้เรียนได้โดยง่าย ด้วย ความเหมาะสมของแบบจำลอง
โตต้ อบเสมอื นจรงิ จึงทำใหเ้ ป็นสอ่ื ที่มคี วามน่าสนใจและเหมาะกับ การเรยี นการสอนในยุคศตวรรษที่ 21
2.4 แนวคดิ เกย่ี วกบั การจดั การเรยี นการสอนออนไลน์
Alibak M. และคณะ (2019). กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบออนไลน์เป็นวิธีการถ่ายทอด
เนื้อหา รูปภาพ วิดีโอ การใช้สื่อหลายๆประเภท (Multimedia) ร่วมกับการสนทนาแลกเปลี่ยนความ
คิดเหน็ ผา่ นอปุ กรณอ์ ิเลก็ ทรอนกิ ส์ และเทคโนโลยสี มัยใหม่
Care E. (2018). กล่าวว่า เป็นการให้ผู้เรียนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่มีความหลายหลาย ทันสมัย สามารถ
เรียนรู้ด้วยตนเองได้ตามความต้องการ ซึ่งการเรียนการสอนแบบออนไลน์มีความจำเป็นมากในปัจจุบัน
เนื่องจากการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ผู้เรียนจำเป็นต้องมีทักษะทางด้านการสื่อสาร การใช้คอมพิวเตอร์
และเทคโนโลยสี ารสนเทศการร้เู ทา่ ทนั สือ่ เพ่ือสง่ เสรมิ ให้เกดิ การเรียนรู้ตลอดชีวติ
จักรกฤษณ์ โพดาพล (2563). กล่าวว่า การเรียนรู้แบบการเรียนรู้แบบออนไลน์ เป็นการเรียนที่มีความมี
ความยดึ หยนุ่ สูง เปน็ การเตรียมการเรยี นรใู้ ห้กับผเู้ รียนท่ีมีความใฝเ่ รียนรู้ สำหรบั นกั เรียนนักศึกษาท่ัวไปที่
ต้องเข้าเรียนตามหลักสูตรผูเ้ รียนจำตอ้ งมีความรับผิดชอบในการเรียนมากกว่าปกติ เพราะเป็นการเรยี นรู้
ดว้ ยตัวเอง
วิทยา วาโย และคณะ (2563). กล่าวว่าในระหว่างที่มีการเรียนการสอนนั้น ผู้สอนควรมีการจัด
กระบวนการสอนให้เหมาะสม เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดความราบรื่น สอดคล้องตามแผนการสอน
รวมทั้งผู้เรียนให้ความร่วมมือตลอดระยะเวลาของการเรียน ซึ่งจากทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย่ (Gagne's
Theory of Instruction) ท่ผี สู้ อนสามารถนำมาประยกุ ตใ์ ชร้ ะหว่างการสอนออนไลน์ ดังน้ี
14
ขั้นที่ 1 เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention) ก่อนเข้าสู่เนื้อหา เช่น วิดีโอ รูปภาพกราฟิก
สถานการณ์เด่นในปัจจุบัน หรือการจัดสิ่งแวดล้อมในการสอนให้มีความแปลกใหม่ เพื่อให้เกิดการเร่งเร้า
ความสนใจของผู้เรียนและอยากติดตามการเรยี นเพิ่มขนึ้
ขน้ั ที่ 2 บอกวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ (Specify Objective) เป้าหมายของการเรยี น เพอื่ ใหผ้ ู้เรียน
สามารถเตรียมความพรอ้ มของตนเองในการเรียนให้บรรลวุ ตั ถุประสงค์
ขั้นที่ 3 ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge) เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถ
ทบทวนองค์ความรู้เดิมของตนเองและเชื่อมโยงสู่การเรียนเนื้อหาใหม่ได้ง่ายขึ้น เช่น การถาม-ตอบ การ
เล่าประสบการณ์เรยี น การสอบก่อนเรียน (Pre-Test) เปน็ ต้น
ข้ันท่ี 4 นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information) ผูส้ อนควรนำเสนอเนือ้ หาที่กระชับ มี
ภาพประกอบหรือมีผังความคิด (Mind Mapping) เพื่อให้มีเรียนมีความเข้าใจสามารถสืบค้นเนื้อหาจาก
แหลง่ เรยี นรูอ้ ่ืน ๆ ได้
ขั้นที่ 5 ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning) วิธีการและขั้นตอนของการเรียนออนไลน์
ซึ่งเป็นการแนะนำวิธีการบูรณาการความรู้เดิมที่มีเชื่อมโยงเข้ากับความรู้ใหม่ เพื่อนำไปสู่การใช้ความรู้ท่ี
เหมาะสม
ขั้นที่ 6 ตอบสนองบทเรียน (Elicit Response) ด้วยการมีส่วนร่วมระหว่างเรียน เช่น การตอบ
คำถามการแสดงความคิดเห็นระหว่างเรียน ทั้งการพูดและการเขียน (Chat Box) เพื่อตรวจสอบความ
เข้าใจเน้ือหาของผ้เู รยี น
ขั้นที่ 7 ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) เป็นสะท้อนการรับการส่งข้อมูลของผู้สอน
ให้กับผูเ้ รยี นเพื่อทบทวนเป้าหมายและวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้
ขั้นที่ 8 ประเมินเพื่อการปรับปรุงระหว่างการเรียน (Formative Evaluation) เพื่อปรับปรุง
ประสิทธิภาพของการเรียนการสอนทำให้ผู้สอนสามารถปรับเนื้อหาบทเรียนให้สอดคล้องกับผู้เรียน และ
จำแนกผู้เรียนตามระดับความรู้ความเข้าใจได้ ได้แก่ การตั้งคำถาม การให้ข้อมูลย้อนกลับ การสังเกต
ผู้เรียนขณะที่มีการสอนแบบออนไลน์ เป็นต้น เพื่อให้ผู้สอนสามารถที่จะปรับการสอนให้มีประสิทธิภาพ
รวมท้ังตรวจสอบความรขู้ องผเู้ รียนเพื่อไม่ใหเ้ กดิ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ขั้นที่ 9 เตรียมกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า (Preparing Strategies) กรณีที่มีข้อจำกัด
เกิดขึ้นระหว่างการเรียนการสอน อาจมีสาเหตุมาจากระบบเครือข่ายไม่เสถียร ผู้เรียนไม่สามารถเข้าถึง
เนื้อหาการเรียนจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่เพียงพอ หรือผู้เรียนมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก
การใช้งานอินเทอร์เน็ต รวมทั้งผู้สอนไม่สามารถจัดการสอนออนไลน์แบบถ่ายทอดสดได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่
15
จำเปน็ ตอ้ งเรง่ แก้ไขตามสาเหตุ เพอื่ ใหส้ ามารถจัดการเรยี นการสอนได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ โดยส่ิงเหล่านี้
ภาครัฐและสถานศึกษาควรมีการจัดบริการพ้นื ทส่ี ำหรบั เรยี นรู้ในชุมชนเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถท่ีจะเข้าไปใช้
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการเรียนรู้ได้ รวมทั้งการสนับสนุนแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น ห้องสมุดชุมชน
อินเทอร์เน็ต ชุมชน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าไปใช้งานและศึกษาความรู้เพิ่มเติม ด้านผู้สอนควรมีการ
วางแผนรูปแบบการสอน เช่น การบันทึกวิดีโอ การออกแบบกิจกรรมการสอน ที่ให้ผู้เรียนสามารถที่จะ
เรียนรดู้ ว้ ยตนเองแลว้ นำความรู้ท่ไี ด้มาแลกเปล่ียนกับผู้สอนและสมาชิกในช้นั เรียนตอ่ ไปได้
ขั้นที่ 10 สรุปผลการเรียนและการนำความรู้ไปใช้ (Enhance and Transfer) เป็นการสรุปมโน
มตกิ ารเรียน หวั ขอ้ ท่ีสำคัญรวมทัง้ เปิดโอกาสใหผ้ ้เู รียนถามข้อสงสัยเพ่ือนำไปประยุกต์ใชค้ วามรูต้ ่อไป
2.5 แรงเสียดทาน
แรงเสียดทาน คือ แรงต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีทิศตรงข้ามกับทิศการเคลื่อนที่ของวัตถุเม่ือ
ออกแรงกระทำต่อวัตถุ โดยแรงเสยี ดทานจะเกิดขึ้นระหวา่ งผิวสัมผัส
แรงเสียดทานสถิต (⃑f ) คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นเมื่อออกแรงกระทำกับวัตถุ แต่ขนาดของ
แรงกระทำยังไม่มากพอที่จะทำให้วัตถุเคลื่อนที่ได้ ขนาดของแรงเสียดทาน (⃑f) จะเท่ากับขนาดของแรง
กระทำ (⃑F⃑) สังเกตว่าแรงเสียดทานสถิตจะมีค่าได้หลายค่าแปรตามแรงที่ กระทำตราบที่วัตถุยังคงหยดุ
น่งิ และจะมคี ่าสูงสุดไดค้ า่ หนงึ่ กอ่ นท่ีวตั ถุจะเร่มิ เคล่ือนที่
แรงเสียดทานจลน์ (f⃑⃑⃑k⃑) คือแรงเสียดทานที่มีค่ามากสุดพอดีที่จะทำให้วัตถุที่ถูกแรงกระทำ
เคลื่อนที่ในสภาวะสมดุล (ความเร็วคงท)ี่
สัมประสิทธิ์ความเสยี ดทาน (Coefficient of Friction, )
สัมประสิทธิ์ความเสียดทาน เป็นค่าคงที่ของผิวสัมผัสแต่ละคู่ของวัตถุขึ้นอยู่กับลักษณะของ
ผิวสมั ผสั ของคูว่ ตั ถุน้ัน สามารถหาคา่ ไดจ้ ากอตั ราสว่ นของแรงเสยี ดทานต่อแรงปฏิกิริยา
= f หรอื F f
N
ภาพท่ี 2.1 แรงท่ีกระทำต่อวัตถเุ ม่ือวตั ถุสมดุลบนพน้ื ราบ
เม่อื วัตถุสมดุลแสดงดงั ภาพท่ี 2.1
16
สมดลุ ในแนวดงิ่ ได้ N = mg
สมดุลในแนวราบ F= f
จาก f = N
จะได้ f = mg
หมายเหตุ แรงเสยี ดทานถ้าหาจากสูตร f = N จะเป็นแรงเสยี ดทานสงู สุด
2.6 งานวิจยั ท่เี กยี่ วขอ้ ง
2.6.1 งานวิจยั ในประเทศ
สิริพร อินทสนธิ์ (2563). งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับโควิด-19 กับการเรียนการสอน
ออนไลน์ ซึ่งผลการวิจัยพบว่าการระบาดของโควิด–19 เกิดการเปลี่ยนแปลงกับโลกครั้งสำคัญ ส่งผลให้
สถาบันการศึกษาและบุคคลทั่วโลกต้องปรับตัว เกิดการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีอย่างกว้างขวางรวดเร็ว
และมีการสร้างสรรค์เนื้อหาการเรียนการสอนเพื่อใช้ในการการเรียนทางไกลให้กับผู้เรียนทุ กระดับชั้นได้
เข้าถึงเนื้อหา เพื่อให้การเรียนการสอนในช่วงที่ต้องมีการเว้นระยะห่างระหว่างกันได้ดำเนินต่อไปอย่าง
ราบรื่นและเพื่อให้เกิดการเข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่องจึงได้มีการใช้โปรแกรม Line และโปรแกรม
Zoom Cloud Meeting ในการเรียนการสอนออนไลน์ เพราะโปรแกรมทั้งคู่มีการใช้งานง่าย ไม่เสีย
ค่าใช้จ่าย สามารถที่จะสร้างเนื้อหา บันทึกข้อมูล ส่งงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีการใช้ Google
Classroom และ YouTube มาใช้ในการจดั การเรียนการสอนแต่ละบทเรยี น ซึ่งมีข้อดีคือผู้เรียนสามารถ
เข้าถึงการเรียนการสอนได้ทุกสถานที่ และทุกเวลา และลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 แต่ใน
ระหว่างเรียนผู้สอนก็พบปัญหาที่เกิดจากการเรียนออนไลน์คือความเสถียรของสัญญาณอินเทอร์เน็ตของ
ทั้งผู้เรียนและผู้สอนที่บางครั้งก็ช้า เกิดการรับฟังเนื้อหาที่ไม่ต่อเนื่อง อีกทั้งการปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง
ผู้เรียนและผู้สอน และผู้เรียนกับผู้เรียน รวมทั้งการสอนออนไลน์ยังไม่สามารถทดแทนการเรียนการสอน
แบบห้องเรยี นจรงิ ๆ ได้ ไม่ใช่ทกุ วิชาจะสามารถเปลี่ยนมาสอนแบบออนไลน์ไดท้ ้ังหมด ตอ้ งคำนึงถึงความ
เหมาะสม และประสิทธิภาพของการสอน เพราะห้องเรียนออนไลน์ยังทดแทนไม่ได้ คือ “การปฏิสัมพันธ์
ระหวา่ งกัน” ท้ังอาจารยผ์ ู้สอน ทง้ั ผู้เรยี น และระหวา่ งผู้เรยี น ซ่ึงถอื เปน็ หวั ใจของการเรียน
จักรกฤษณ์ โพดาพล (2563). งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ออนไลน์ และ
วิถีท่ีเป็นไปทางการศึกษา ซึ่งผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ เป็นสิ่งใหม่ในการรับรู้
ของบุคคลทั่วไป แต่สำหรับแวดวงการศกึ ษาได้รับรู้และตระหนักถึงการเปลีย่ นแปลงท่ีจะเกิดขึน้ กอ่ นท่จี ะ
มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 แล้ว ด้วยกระบวนทัศน์การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 ที่มี
การปรับตัวทีละน้อย แต่เมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 จึงได้มีการปรับใช้ในอัตราที่เร่งขน้ึ
อาจจะมีความปัญหาบ้าง แต่เมื่อตั้งหลักได้ก็สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเลือกใช้
แพลตฟอร์มตามที่ถนัด การออกแบบบทเรียน การจัดการห้องเรียน การใช้สื่อในการเรียนการสอน และ
17
การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน ถึงแม้จะมีปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติ แต่ต้อง
ยอมรับวา่ การจดั การเรยี นการสอนออนไลนเ์ ปน็ วิถีใหม่ที่จะเป็นไปของการศึกษาไทยในอนาคตอันใกล้น้ี
จุฑามาศ ใจสบาย (2019). ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ โดยใช้ Google
Classroom รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต ผลการวิจัยพบว่าจากคะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน
และหลังเรียนได้ค่าเฉลี่ยก่อนเรียน 37.80 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.77 และค่าคะแนนของการทำ
แบบทดสอบหลังเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ย 41.10 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.60 เมื่อนำมาเปรียบเทียบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแลว้ พบว่าผลสัมฤทธิห์ ลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดบั
.01 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์
โดยใช้ Google Classroom รายวชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ ชีวิต
โชตกิ า เรอื งแจม่ (2549). ไดท้ ำการศกึ ษาเก่ียวกับการศึกษาเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และเจตคตติ ่อวิชาฟิสิกส์ของนักเรียน ระหว่างการเรยี นโดยใชบ้ ทเรียนออนไลนผ์ ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
กับการเรียนแบบปกติในชั้นเรียน ผลการวิจัยพบว่านักเรียนที่เรียนจากบทเรียนออนไลน์ผ่านเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตมีคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์สูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบปกติในช้ัน
เรียน และพบว่าเจตคติต่อวิชาฟิสิกส์ของนักเรียนที่เรียนจากบทเรียนออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
สงู กว่านกั เรยี นทเี่ รยี นแบบปกตใิ นชน้ั เรียน
ชาญวิทย์ คำเจริญ และดารกา พลัง (2562) ได้ทำการวิจัยโดยผลจากการศกึ ษานีแ้ สดงให้เหน็ วา่
การเคลอ่ื นท่ีแนววิถโี คง้ ด้วยการออกแบบใบกิจกรรมประกอบการสอนร่วมกนั กับส่ือจำลองโต้ตอบเสมือน
จริงเรื่อง การเคล่ือนที่แนววิถีโค้ง สามารถแสดงผลให้นักศึกษาเห็นถึงลักษณะการเคลือ่ นที่แนววิถีโค้งใน
รูปแบบที่แตกตา่ งกันไปได้อย่างชัดเจน ทำให้นักศกึ ษามีความเข้าใจ เรื่อง การเคลื่อนที่แนววิถโี ค้งได้ดขี ึ้น
เป็นสื่อการสอนที่มีความสะดวกในการสอนในห้องบรรยาย ประหยัดเวลาในการจัดเตรียมสื่อไม่เสีย
ค่าใช้จ่ายในการใช้งานมีความเหมาะสมในการนำไปใช้ในการสอนฟิสิกส์และจากการตรวจสอบความ
เข้าใจของนักศึกษาจากคำตอบในใบกิจกรรมและการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง พบว่านักศึกษามีความ
เข้าใจที่ดีขึ้น มองเห็นภาพการเคลื่อนที่ได้ชัดเจนขึ้น เมื่อมีการใช้สื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริงมาเป็นส่ือ
ประกอบการสอน ดังนั้น การใช้สื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริงสามารถนำไปใช้ในการสอนฟิสิกส์และ
สามารถนำไปพัฒนาเปน็ ส่ือการสอน เรอ่ื ง การเคล่ือนที่แนววถิ ีโค้งได้
18
2.6.2 งานวิจยั ต่างประเทศ
Wieman & Perkins, (2006) และ Wieman, Adams & Perkins (2008) ผลการใช้แบบจำลอง
โต้ตอบเสมือนจริงจากหลายงานวิจัยพบว่าแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียน
การสอน้เป็นอย่างมาก เป็นสื่อที่มีสมรรถภาพสูงกว่าสื่อแบบเก่าและเป็นการสะท้อนผลอย่างชัดเจนว่า
ผู้เรียนในยุคปัจจุบันที่มีการรับรู้ข้อมูลผา่ นทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถเข้าถึงสื่อแบบจำลอง
โต้ตอบเสมือนจริงได้อย่างสะดวก เพราะการใช้งานแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงเปิดให้ใช้งานได้ฟรีและ
ยังสามารถใช้งานผ่านทางโปรแกรมสำเร็จรูปที่ไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต แบบจำลอง
โต้ตอบเสมือนจริงจึงมีความสะดวก และเข้าถึงผู้เรียนได้โดยง่าย ด้วย ความเหมาะสมของแบบจำลอง
โตต้ อบเสมือนจริง จึงทำใหเ้ ปน็ สอ่ื ท่มี คี วามนา่ สนใจและเหมาะกับ การเรียนการสอนในยคุ ศตวรรษที่ 21
19
บทท่ี 3
วิธีการดำเนนิ การวจิ ยั
การวจิ ัยครัง้ นีใ้ ชร้ ะเบียบวธิ ีวิจยั เชงิ ทดลอง(Experimental Research) โดยใชแ้ บบแผนการวิจัย
แบบกง่ึ ทดลอง (quasi-experimental design) ผวู้ จิ ัยไดด้ ำเนนิ วจิ ัยตามหัวข้อดงั ต่อไปน้ี
3.1 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
3.1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียน
วิทยาศาสตร์การแพทย์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จากโรงเรียนมหรรณพาราม เขตตลิ่งชัน
จังหวดั กรุงเทพมหานคร 10170 จำนวน 187 คน
3.1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 แผนการเรียน
วิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ (Smart Class) ภาคการเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จากโรงเรียนมหรรณ
พาราม เขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10170 จำนวน 20 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง
(Purposive Sampling)
3.2 ตวั แปรท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
การจดั การเรยี นการสอนออนไลนร์ ่วมกับ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรยี น และ
การใชแ้ บบจำลองโต้ตอบเสมือนจรงิ ความพงึ พอใจทม่ี ีต่อการจัดการเรยี นการสอน
เรอื่ งแรงเสียดทาน ของนกั เรียน ออนไลนร์ ่วมกับการใช้แบบจำลองโต้ตอบ
ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 เสมือนจรงิ ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4
- ส่ือจำลองโตต้ อบเสมือนจริง
- แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น
3.3 เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
1. แผนการจดั การเรียนการสอน เร่อื ง แรงเสยี ดทาน โดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมอื นจริง
2. แบบสอบถามความพงึ พอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อการใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจริง
20
3.4 ขนั้ ตอนในการสรา้ งและหาคุณภาพเคร่อื งมือ
ผวู้ จิ ัยได้ดำเนินการสร้างและหาคณุ ภาพเครือ่ งมือ ดงั ขน้ั ตอนต่อไปน้ี
3.4.1 แผนการจัดการเรยี นการสอน เร่อื ง แรงเสยี ดทาน โดยใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจรงิ
ผู้วิจัยได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงเรื่อง แรงเสียดทาน
จากเว็บไซต์ https ://phet.colorado.edu/en/simulation/circuit-construction-kit-dc-virtuallab
ซึ่งในแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงจะมีรายละเอียดของเครื่องมือต่าง ๆ ให้ผู้เรียนสามารถเลือกใช้งานได้
ดงั แสดงในภาพประกอบ 3.1
21
ภาพท่ี 3.1 รายละเอยี ดของเครื่องมือต่าง ๆ ในแบบจำลองโต้ตอบเสมอื นจริง
การใช้งานแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง สามารถใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์Tablet, I-pad
และSmart phone โดยใชโ้ ปรแกรม Java และFlash สำหรับการแสดงผลแบบจำลองโตต้ อบสมอื นจรงิ
ผู้วจิ ยั สรา้ งแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยดำเนนิ การดังนี้
1. ศึกษาหลักสูตร มารตฐาน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลางและเนื้อหา เรื่องแรงเสียดทาน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง
2560) กระทรวงศึกษาธิการ
2. กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับ
มาตรฐานตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลางของเนอื้ หาในแตล่ ะหวั ข้อ
3. สรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้จำนวน 1 แผน ใชเ้ วลาสอนทง้ั ส้นิ 2 ช่ัวโมง โดยแผนประกอบด้วย
3.1 สาระ มารตฐาน ตัวชี้วดั
3.2 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.3 สาระการเรยี นรู้
3.4 กระบวนการจดั การเรียนรู้ ตามขัน้ ตอนดังนี้
- ข้นั นำเข้าสบู่ ทเรียน
- ข้ันสอน
- ขน้ั สรปุ
22
3.5 สือ่ การเรยี นรู้
3.6 การวัดและประเมนิ ผล
4. นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอให้าจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องความ
สอดคล้องและความเหมาะสมของเนื้อหา ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือ
และการวัดผลประเมินผล เพื่อนำมาปรับปรงุ แกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะ โดยถือความคิดเหน็ ที่สอดคล้องร้อย
ละ 80 ขน้ึ ไปเป็นเกณฑ์
3.4.2 แบบสอบถามความพงึ พอใจของผูเ้ รียนทม่ี ีต่อการใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจริง
ในการสำรวจความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงเรื่อง แรงเสียดทาน
ผู้วิจัยได้ใช้แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง ประกอบไปด้วยคำถาม
จำนวน 10 ขอ้ โดยมีระดับการประเมินคา่ ความพงึ พอใจ 5 ระดบั ดังน้ี
ระดับ 5 พึงพอใจมากทส่ี ดุ ( มคี ่าคะแนนระหวา่ ง 4.20 – 5.00 )
ระดับ 4 พึงพอใจมาก ( มีค่าคะแนนระหว่าง 3.40 – 4.19 )
ระดบั 3 พึงพอใจปานกลาง ( มคี า่ คะแนนระหว่าง 2.40 – 3.39 )
ระดับ 2 พึงพอใจน้อย ( มีคา่ คะแนนระหวา่ ง 1.80 – 2.39 )
ระดับ 1 พึงพอใจนอ้ ยที่สดุ ( มคี ่าคะแนนระหวา่ ง 1.00 – 1.79 )
3.5 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจยั ไดด้ ำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยมขี นั้ ตอน ดงั ตอ่ ไปนี้
1. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน จำนวน 10 ข้อ ทำการทดสอบ
กบั นกั เรยี นกลุ่มเป้าหมาย จากนัน้ เกบ็ คะแนนไวใ้ ชเ้ ปรียบเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรียน
2. จัดการเรยี นการสอน เร่อื งแรงเสียดทาน โดยใช้แบบจำลองโตต้ อบเสมือนจริงร่วมกับ
การจัดการเรยี นการสอนออนไลน์
3. เมื่อนกั เรยี นกลุ่มตัวอย่างเรียนเสรจ็ เรียบร้อย ให้นักเรยี นกลมุ่ ตัวอย่างทำแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรียนเรอ่ื งแรงเสียดทาน และแบบประเมนิ ความพึงพอใจเรื่องแรงเสียดทาน
รว่ มกับการจัดการเรียนการสอนออนไลน์
4. นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อน
และหลังเรียนมาทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ เพื่อวิเคราะห์ผลความก้าวหน้าทางการเรียน และ
วิเคราะห์ผลแบบประเมินความพึงพอใจทางการเรียน โดยวิธีการทางสถิติเพื่อประเมินผลของความพึง
พอใจ
23
3.6 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
วิเคราะหผ์ ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน จากแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรียน เรอ่ื งแรงเสียดทาน โดยใชส้ ถติ ิ Normalized gain วิเคราะห์หาค่าสถิตติ ่าง ๆ
3.7 สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิจยั
1. วเิ คราะห์ขอ้ มลู คา่ ดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) แบบทดสอบกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ โดยเลือก
ขอ้ สอบท่ีมีค่า IOC มากกว่า 0.50 เปน็ แบบทดสอบท่ีมคี วามเที่ยงตรงตามเนอ้ื หา
∑R
IOC = N
โดยท่ี IOC คือ ดัชนคี วามสอดคล้อง
R คือ คะแนนการพิจารณาจากผ้เู ชี่ยวชาญ
∑ R คือ ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผ้เู ช่ียวชาญ
N คือ จำนวนผเู้ ชยี่ วชาญ
2. ค่าร้อยละ (percenter)
โดยท่ี P f
P = n × 100
คอื ค่ารอ้ ยละ
f คอื ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
n คอื ขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ ง
3. คา่ เฉล่ีย (mean)
สตู รคา่ เฉล่ีย
̅X = ∑X
n
24
โดยท่ี ̅X คือ ค่าเฉลย่ี ของคะแนนสอบของนักเรียน
∑ X คือ ผลรวมของคะแนนของนกั เรียนแตล่ ะคน
n คือ จำนวนนักเรียน
4. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
S. D. = √n ∑ X2 − (∑ )2
n(n − 1)
โดยท่ี . . คือ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนนกั เรียน
คอื คะแนนของนกั เรยี น
∑ คือ ผลรวมของคะแนนของนกั เรียนแต่ละคน
∑ 2 คอื ผลรวมคะแนนท้งั หมดของคะแนนแตล่ ะตวั ยกกำลังสอง
คอื จำนวนนกั เรยี น
5. สถิติทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เพ่อื เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นก่อน
และหลังการใช้ชุดสาธิตการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ
และความกา้ วหน้าทางการเรยี น (Normalized gain, <g>)(Hake, 1998)
(%post) − (%pre)
〈g〉 = 100 − (%pre)
เมื่อ 〈g〉 คือ ค่า Normalized gain
(%pre) คอื ค่าร้อยละของคะแนนทดสอบก่อนเรียน
(%post) คอื ค่ารอ้ ยละของคะแนนสอบหลังเรยี น
โดยท่ี 〈g〉 ≥ 0.70 หมายความวา่ มคี วามกา้ วหนา้ ทางเรยี นในระดับสูง (High level)
หมายความว่ามีความก้าวหน้าทางเรียนในระดับปานกลาง (Medium
0.7 > 〈g〉 ≥ 0.3
หมายความวา่ มคี วามก้าวหน้าทางเรียนในระดับต่ำ (Low level)
level)
〈g〉 < 0.3
25
บทที่ 4
ผลการวิจยั
การวิจัยเรื่อง การศึกษาความเข้าใจมโนมติทางวิทยาศาสตร์และความพึงพอใจของนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 เรอ่ื ง แรงเสยี ดทาน โดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงครง้ั นี้มีวตั ถุประสงค์ คอื
1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของการใช้แบบจำลองโตต้ อบเสมือนจริงของผู้เรียนในเรื่อง
แรงเสยี ดทาน
2. เพื่อสำรวจความพึงพอใจต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงในการจัดการเรียนการสอน
เร่อื งแรงเสยี ดทาน
4.1 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของผ้เู รยี นก่อนและหลังเรียนเรอื่ งแรงเสียดทานร่วมกับการใชแ้ บบจำลอง
โต้ตอบเสมือนจริง
ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนกอ่ นและหลังเรียน เร่อื งแรงเสยี ดทาน ร่วมกบั การใช้แบบจำลองโตต้ อบ
เสมือนจรงิ ในการจัดการเรยี นรขู้ องนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 แผนการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ –
คณติ ศาสตร์ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรยี นมหรรณพาราม จังหวัดกรงุ เทพมหานคร จำนวน
20 คน ผวู้ ิจยั ได้นำการจดั การเรียนรู้แบบออนไลนร์ ่มกบั การใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจรงิ เรอื่ งแรง
เสยี ดทาน ไปทดลองกับกลุ่มตัวอยา่ ง เพ่ือหาความแตกต่างของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนและหลงั เรยี น
จำนวนอยา่ งละ 10 ขอ้ จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยพิจารณาความกา้ วหน้าทางการเรยี น
(Normalized gain, <g>)(Hake, 1998) เปน็ รายบคุ คล ดงั ตารางที่ 4.6
26
ตารางที่ 4.1 การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียน
วิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนมหรรณพาราม จังหวัด
กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 คน เป็นรายบุคคลดังน้ี
คนที่ Pre- % Pre Post- % Post < > แปลความหมาย
test test
1 8 80 9 90 0.50 Medium level
29 90 10 100 1.00 High level
39 90 10 100 1.00 High level
4 8 8 9 90 0.50 Medium level
5 3 30 9 90 0.90 High level
6 6 60 8 80 0.50 Medium level
7 8 80 9 90 0.50 Medium level
88 80 10 100 1.00 High level
98 80 10 100 1.00 High level
10 9 90 9 90 0 Low level
11 8 80 10 100 1.00 High level
12 8 80 9 90 0.50 Medium level
13 8 80 10 100 1.00 High level
14 8 80 10 100 1.00 High level
15 6 60 9 90 0.80 High level
16 6 60 9 90 0.80 High level
17 8 80 10 100 1.00 High level
18 7 70 9 90 0.70 High level
19 8 80 10 100 1.00 High level
20 7 70 10 100 1.00 High level
ผลจากการวิเคราะหจ์ ากตารางท่ี 4.1 จากการศึกษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน กล่มุ ตัวอยา่ งของ
นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 แผนการเรียนวทิ ยาศาสตร์ – คณติ ศาสตร์ ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564
โรงเรยี นมหรรณพาราม จงั หวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 คน เปน็ รายบคุ คลพบวา่ นกั เรียนมี
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นเร่ืองแรงเสยี ดทานรว่ มกบั แบบจำลองโต้ตอบเสมอื นจริง หลังการจัดการเรยี นรสู้ งู
กวา่ กอ่ นการจดั การเรยี นรู้ เมื่อวเิ คราะห์ความก้าวหนา้ ทางการเรียน (<g>) นกั เรียนมคี วามก้าวหน้า
ทางการเรยี นอยใู่ นระดับตำ่ จำนวน 1 คน, ระดบั ปานกลางจำนวน 5 คน และอยู่ในระดับสูงจำนวน 14
คน
27
ตารางท่ี 4.2 สรปุ ความกา้ วหน้าทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/2 จากคะแนนสอบก่อน
เรยี นและหลังเรยี น โดยใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมอื นจรงิ เร่ือง แรงเสียดทาน
เร่อื ง คะแนนก่อนเรยี นเฉล่ีย คะแนนหลังเรยี นเฉลี่ย < > เฉล่ีย
แรงเสยี ดทาน 0.78
̅X S. D ̅X S. D
7.50 1.36 9.45 0.59
จากตารางท่ี 4.2 พบวา่ ผลข้อมูลคะแนนสอบ เรือ่ งแรงเสยี ดทาน หลังเรยี นมคี า่ สูงกว่ากอ่ นเรียน
ซึง่ มคี ะแนนเฉลยี่ ก่อนเรยี นและความเบยี่ งเบนมาตรฐานเท่ากับ 7.50 และ 1.36 ตามลำดับ ส่วนคะแนน
เฉล่ยี หลงั เรยี นและความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากบั 9.45 และ 0.59 ตามลำดับ และเมื่อวิเคราะห์
ความกา้ วหนา้ ทางการเรียนเฉลี่ย พบว่ามคี วามก้าวหนา้ ทางการเรยี นเท่ากับ 0.78 ซ่งึ อยู่ในระดบั สูง
4.2 ความพึงพอใจทางการเรยี นทีม่ ีต่อการจดั การเรยี นรู้ เรือ่ งแรงเสียดทาน ร่วมกับการใชแ้ บบจำลอง
โต้ตอบเสมือนจริง
ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรียนกอ่ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้และหลังการจัดกจิ กรรม
การเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง เรื่อง แรงเสียดทาน แล้วนำคะแนนเฉลี่ยหลังการจัด
กิจกรรมการเรยี นร้มู าเปรยี บเทยี บโดยใช้ Normalized gain ดังตารางตอ่ ไปนี้
28
ตารางที่ 4.3 บันทึกผลค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนหลัง
ได้รับกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชแ้ บบจำลองโต้ตอบเสมอื นจรงิ เร่อื ง แรงเสยี ดทาน
หวั ข้อประเมิน X̅ S. D แปลผล
ดา้ นเน้อื หา 4.05 0.67 มาก
1. เนอื้ หาทเ่ี รียนน่าสนใจสามารถมองเหน็ ใกล้ตัวนกั เรียนพบเจอ 3.95 0.59 มาก
ในชวี ติ ประวัน 4.00 0.55 มาก
2. หลังจากเรยี นรู้แล้ว นกั เรยี นมีความเข้าใจเร่ืองแรงเสยี ดทาน 4.05 1.20 มาก
3. เนือ้ หาเขา้ ใจง่ายและมองเห็นไดช้ ัดเจนเมอื่ ทำกจิ กรรม 4.20 0.68 มาก
4. เนอ้ื หามีประโยชน์ สามารถนำไปใชต้ ่อในอนาคตได้
5. กจิ กรรมการเรยี นการสอนทำให้นักเรียนมีโอกาสแสดงความ 4.05 0.74 มาก
คดิ เห็น
4.30 0.56 มากทส่ี ุด
คา่ เฉลี่ย
4.25 0.70 มากทส่ี ดุ
ด้านสอ่ื /นวัตกรรม
4.00 1.18 มาก
6. ส่อื จำลองโตต้ อบเสมอื นจริงมีความน่าสนใจ และสง่ เสรมิ
กระบวนการเรียนรู้ 4.40 0.58 มากทสี่ ดุ
7. การเรยี นรดู้ ้วยสือ่ จำลองโต้ตอบเสมือนจริง ทำใหร้ ูส้ กึ สนุกกับ
การเรยี นมากขึ้น 3.95 1.24 มาก
8. สอื่ จำลองโต้ตอบเสมือนจริงชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจในเน้ือหามากกวา่
การเรียนปกติ 4.18 0.85 มาก
9. สอื่ จำลองโต้ตอบเสมือนจริงมคี วามเหมาะสมกบั สถานการณ์ 4.12 0.80 มาก
การเรยี นออนไลน์
10. การใช้สอ่ื จำลองโตต้ อบเสมือนจรงิ ทำใหส้ ามารถทำกิจกรรม
ไดม้ ากกวา่ การทดลองแบบปกติ
ค่าเฉลยี่
รวม
จากตารางท่ี 4.3 พบว่านักเรียนมคี วามพงึ พอใจจากการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชแ้ บบจำลอง
โตต้ อบเสมอื นจริง เรื่อง แรงเสยี ดทาน มีความพึงพอใจด้านเนือ้ หาคิดเปน็ ค่าเฉลีย่ รวมเทา่ กบั 4.01 (ระดับ
ความพึงพอใจมาก) ความพึงพอใจด้านสื่อ/นวัตกรรมคิดเป็นค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.18 (ระดับความพึง
พอใจมาก) และสรปุ คิดเป็นคา่ เฉลีย่ รวมท้ังหมด 4.12 (ระดับความพงึ พอใจระดบั มาก)
29
บทที่ 5
สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยเร่ือง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบ
เสมือนจริง (PhET) ร่วมกับการจัดการเรยี นการสอนออนไลน์ เรอ่ื ง แรงเสียด ซ่ึงสรุปผลการศกึ ษาได้ ดงั น้ี
ในการวจิ ัยครงั้ นผี้ ้วู ิจัยได้กำหนดวัตถปุ ระสงคไ์ วด้ งั นี้
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอน
ออนไลนร์ ่วมกับการใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมอื นจริง เร่อื งแรงเสยี ดทาน ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4
2. เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน
ออนไลน์ร่วมกับการใชแ้ บบจำลองโต้ตอบเสมอื นจรงิ เร่ืองแรงเสยี ดทาน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 แผนการเรียน วิทยาศาสตร์
การแพทย์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จากโรงเรียนมหรรณพาราม เขตตลิ่งชัน จังหวัด
กรงุ เทพมหานคร 10170 จำนวน 20 คน โดยใช้การเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แผนการจัดการเรียนการสอน เรื่อง แรงเสียดทาน โดยใช้
แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรยี นท่ีมีต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบ
เสมอื นจรงิ จากนนั้ นำขอ้ มลู ท่ีได้มาวเิ คราะห์ด้วยสถติ ิ คา่ เฉลย่ี ส่วนเบยี่ งเบนมาตฐาน และความก้าวหน้า
ทางการเรียน (normalize gain)
5.1 สรุปผลการวจิ ยั
5.1.1 สรุปผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนโดยใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจรงิ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง พบว่า หลังการจัดการเรียนรู้มี
ผลสมั ฤทธส์ิ งู กวา่ ก่อนการจัดการเรียนรู้ เมอ่ื วิเคราะห์ความก้าวหน้าทางการเรียน (<g>) พบวา่ นักเรียนมี
ความกา้ วหนา้ ทางการเรียนอยใู่ นระดับต่ำจำนวน 1 คน, ระดับปานกลางจำนวน 5 คน และอยใู่ นระดับสูง
จำนวน 14 คน
5.1.2 ความพงึ พอใจของนกั เรยี นต่อการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
ความพึงพอใจทางการเรียนเรื่องแรงเสียดทานโดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง โดย
แบ่งการประเมินออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ความพึงพอใจด้านเนื้อหาและความพึงพอใจด้านสื่อ/นวัตกรรม
พบว่า ผ้เู รียนมีความพึงพอใจในด้านเน้ือหาอยใู่ นระดับ มาก (X̅ = 4.01) สำหรบั ความพึงพอใจด้านส่ือ/
นวัตกรรม พบวา่ ผู้เรยี นมีความพงึ พอใจในระดับมาก (̅X = 4.18)
30
5.2 อภิปรายผล
5.2.1 อภปิ รายผลผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นโดยใชแ้ บบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องแรงเสียดทานโดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง พบว่า
หลังการจัดการเรยี นรูม้ ีผลสมั ฤทธิ์สูงกวา่ กอ่ นการจัดการเรยี นรู้ เมื่อวิเคราะห์ความก้าวหนา้ ทางการเรยี น
(<g>) พบว่า นักเรยี นมีความก้าวหน้าทางการเรยี นอยใู่ นระดับต่ำจำนวน 1 คน, ระดับปานกลางจำนวน 5
คน และอยใู่ นระดบั สงู จำนวน 14 คน จะเหน็ ไดว้ ่าผ้เู รียนมผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนหลังเรยี นดขี น้ึ เมือ่ ได้รับ
การจัดการเรียนการสอน เรื่อง แรงเสียดทาน โดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง ซึ่งแบบจำลองโต้ตอบ
เสมือนจริงเป็นสื่อการสอนท่ีสามารถชว่ ยให้นักเรยี นเห็นภาพการทดลองเรือ่ งแรงเสียดทานมากข้ึน โดยที่
ไม่ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ให้ยุ่งยากเหมือนการทดลองในห้องเรียนแบบปกติ และสามารถปรับค่าต่าง ๆ
ตามที่ต้องการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้แล้วนักเรียนยังสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ
สมาร์ตโฟน (Smart Phone) แทป็ เลต็ (Tablet) และไอแพด (I Pad) ในการทดลองหาคา่ ตวั แปรตา่ งๆ ได้
สื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริงเรื่อง แรงเสียดทาน จึงมีความเหมาะสมในการนำมาใช้เป็นสื่อในการจัดการ
เรยี นการสอนแบบออนไลน์
5.2.2 อภปิ รายผลความพงึ พอใจของนักเรียนต่อการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
ผู้เรียนมคี วามพึงพอใจต่อการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 เรือ่ ง แรงเสียดทาน โดยใชแ้ บบจำลองโตต้ อบเสมือนจริง ใหน้ กั เรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 4/2 จำนวน 20 คน ประเมินหลังการจัดกิจกรรมโดยใช้แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
เรอ่ื ง แรงเสยี ดทาน โดยแบง่ การประเมนิ ออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ความพึงพอใจด้านเนื้อหา ความพึงพอใจ
ดา้ นสื่อ/นวตั กรรม พบวา่ นักเรียนมคี วามพงึ พอใจอยูใ่ นระดบั มากทัง้ 2 ด้าน ทั้งน้ี เน่อื งจากนักเรียนได้
ลงมอื ปฏบิ ัติจริงและแบบจำลองโต้ตอบเสมอื นจริงนั้นทำใหน้ กั เรียนมองภาพได้ชดั เจนยิ่งขน้ึ ได้ผลเปน็
ไปตามทฤษฎี ทำใหน้ กั เรยี นเกิดความสนใจและมคี วามกระตือรือร้นในการทำกจิ กรรมการเรียนการสอน
มีลำดับขั้นตอนทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ มีสื่อการสอนที่เห็นภาพได้อย่างชัดเจน และมีความ
เหมาะสมกับเน้อื หาสาระทเ่ี รียน ซง่ึ นักเรียนมีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมาก
31
5.3 ข้อเสนอแนะ
1) ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นคือ ข้อจำกัดของเวลา ผู้สอนควร
กำหนดเวลาการทำกิจกรรมแต่ละขั้นตอนใหช้ ดั เจนและเหมาะสมกับระดับความสามารถของผู้เรียน และ
ความพร้อมของนักเรียน เช่น คอมพวิ เตอร์มีปัญหา ระบบอินเทอร์เน็ตล่ม ล้วนก่อให้เกิดผลกระทบในการ
จดั การเรยี นการสอนออนไลน์ทั้งส้นิ
2) ผู้สอนควรมีสื่อหรือกิจกรรมทหี่ ลากหลาย เพ่ือกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดความสนใจและตอบสนอง
ความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ รวมทั้งผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ตอบคำถาม แสดงความคิดเห็น
หรือมีปฏสิ ัมพันธ์ในระหว่างการเรยี น เพอื่ ทำใหผ้ ูเ้ รยี นมคี วามผ่อนคลายระหวา่ งเรียนมากยง่ิ ข้ึน
3) ควรมีการจัดการเรียนการสอนโดยใชแ้ บบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงในเร่ืองอนื่ ๆ นอกจากเรื่อง
แรงเสยี ดทาน เพอื่ ประโยชน์ในการสอนฟิสกิ ส์ในเรอื่ งตอ่ ไป
32
บรรณานุกรม
ชาญวิทย์ คำเจริญ. (2562). การใช้สื่อจำลองโต้ตอบเสมือนจริง: การเคลื่อนที่แนววิถีโค้ง. วารสารครุ
ศาสตร์อตุ สาหกรรม. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงใหม.่
จฑุ ามาศ ใจสบาย. (2019). การพฒั นาบทเรียนออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom รายวิชา เทคโนโลยี
สารสนเทศเพ่ือชีวิต. สบื ค้น 9 มกราคม 2564, จาก
file:///C:/Users/muanfun/Downloads/162-Article%20Text-1874-2-10-
20200222%20(2).pdf
ชนินทร์ ตั้งพานทอง. (2560). ปัจจัยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนออนไลน์เพื่อเสริมการเรียนการสอน
(วิทยานิพนธ์วทิ ยาศาสตร์มหาบัณฑิต, จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, กรงุ เทพมหานคร). สืบค้นจาก
http://cuir.chula.ac.th/bitstream/123456789/59699/1/5882349726.pdf
โชตกิ า เรอื งแจม่ . (2549). การศกึ ษาเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นและ เจตคตติ ่อวิชาฟิสกิ ส์ของ
นกั เรยี น ระหว่างการเรยี นโดยใช้บทเรยี นออนไลน์ ผา่ นเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตกับการเรยี นแบบ
ปกตใิ นชั้นเรียน (วทิ ยานิพนธ์ ศึกษาศาตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลยั รามคำแหง,
กรงุ เทพมหานคร). สบื ค้นจาก
https://dric.nrct.go.th/index.php?/Search/SearchDetail/181136
วทิ ยา วาโย และคณะ. (2563). การเรียนการสอนแบบออนไลน์ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส
COVID-19 : แนวคดิ และการประยุกต์ใช้จดั การเรียนการสอน. วารสารศูนย์อนามัยท่ี 9,
14(34), 285-298.
สายฝน สวสั เออื้ และคณะ. (2557). ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ด้วยบทเรยี นออนไลน์ เรอ่ื ง สมดุลเคมี
สำหรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นแก้วเสดจ็ พิทยาคม จังหวดั กาฬสินธ์.ุ วารสาร
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม, 8(1), 149-157.
เสถยี ร พูลผล และปฏิพล อรรณพบริบรู ณ์. (2563). สำรวจความคิดเหน็ ของนักศึกษาเภสชั ศาสตรท์ ีม่ ีตอ่
การเรยี นการสอนออนไลน์ในชว่ งโควทิ 19 เพอื่ ออกแบบแนวทางการจดั การเรียนรรู้ ปู แบบใหม่
ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยาม. ใน การประชมุ วิชาการ ครง้ั ที่ 15 ประจำปี 2563
(น. 36-47). กรุงเทพมหานคร: มหาลยั สยาม
33
จุฑามาศ ใจสบาย. (2019). การพัฒนาบทเรยี นออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom รายวชิ า เทคโนโลยี
สารสนเทศเพ่ือชวี ิต. สืบคน้ 9 มกราคม 2564, จาก
file:///C:/Users/muanfun/Downloads/162-Article%20Text-1874-2-10-
20200222%20(2).pdf
รัธนาฏ กมลกลาง. (2559). ศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาฟสิ ิกสข์ องนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ท่ี
เรยี นโดยใช้เว็บเป็นฐานรว่ มกับการเรยี นรแู้ บบรว่ มแรงรว่ มใจ และศึกษาความพึงพอใจของ
นักเรียนทีม่ ตี ่อการเรียน. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ปัณฑติ า อนิ ทรักษา. (2019). การจดั การเรยี นรู้ด้วยสอื่ สงั คมออนไลน.์ วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั
นเรศวร, 21(4), 357-365.
นฤมาน นายะสนุ ทรกลุ . (2545). ความพงึ พอใจต่อการจดั การเรียนการสอนสาขาเลขานกุ ารของนักศึกษา
ระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง วทิ ยาลัยเทคนิคราชบรุ ี. มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.
กรุงเทพมหานคร.
กาญจนา เกียรติประวัต.ิ (2534). วิธีสอนทั่วไปและทักษะการสอน.วัฒนาพานิช : กรุงเทพมหานคร.คณะ
ศึกษาศาสตรมหาวิทยาลัยนเรศวร. (2550). รายงานประจำปี 2550. พิษณุโลก :โรงพิมพ์ดวงดี
การพิมพ์ จังหวัดพจิ ติ ร.
ปราณี กองจนิ ดา. (2549). การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนคณติ ศาสตรแ์ ละทักษะการ คิดเลขใน
ใจของนักเรียนท่ีไดร้ ับการสอนตามรปู แบบซิปปาโดยใชแ้ บบฝึกหัดท่เี น้นทักษะการคิดเลขในใจ
กับนกั เรียนที่ได้รบั การสอนโดยใชค้ มู่ อื คร.ู วิทยานพิ นธ์ ค.ม. (หลักสตู รและการสอน).
พระนครศรีอยธุ ยา: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนครศรอี ยธุ ยา.
สมพร เชื้อพันธ.์ (2547). การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนคณติ ศาสตร์ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษา
ปที ่ี 3 โดยใชว้ ิธีการจดั การเรยี นการสอนแบบสร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเองกบั การจัดการเรียน
การสอตามปกต.ิ วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลกั สตู รและการสอน). พระนครศรีอยุธยา: บัณฑิต
วทิ ยาลยั สถาบันราชภัฏพระนครศรอี ยธุ ยา.
34
ภาคผนวก
35
ภาคผนวก ก
รายนามผู้เชีย่ วชาญในการตรวจสอบ แนะนำ และแก้ไขเครอื่ งมือวิจยั
36
รายนามผ้เู ชยี่ วชาญในการเปน็ ท่ีปรกึ ษา
ผศ.ดร.ชาติ ทีฆะ ตำแหนง่ อาจารย์ประจำหลักสูตรศกึ ษาศาสตรบัณฑิต
สาขาวชิ าฟสิ กิ ส์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
มหาวทิ ยาลัยสวนดสุ ิต
รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครอ่ื งมือ
คณุ ครูณัฐติญา พุทธิโชติ ตำแหนง่ ครู คศ.1 (ฟิสิกส์)
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
โรงเรยี นมหรรณพาราม
37
ภาคผนวก ข
เครื่องมอื เกบ็ รวบรวมข้อมูล
38
เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั
1. แผนการจดั การเรยี นรู้เรื่องแรงเสยี ดทานรว่ มกับการใชแ้ บบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
2. แบบประเมินวดั ความพึงพอใจการจดั กิจกรรมการเรียนร้เู รื่องแรงเสียดทานรว่ มกบั การใช้
แบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริง
3. แบบทดสอบผลสมั ฤทธก์ิ ่อนเรียน และหลังเรยี น
39
แผนการจัดการเรียนรู้
เรื่อง แรงเสยี ดทาน
สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ รายวิชา ฟิสิกส์ 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
เวลา 1 ช่ัวโมง 40 นาที
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แรงและกฎการเคลอ่ื นท่ี
1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชว้ี ัด
สาระฟสิ กิ ส์ 1
เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรงและกฎการ
เคลื่อนที่ ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์
พลังงานกล โมเมนตัม และกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
ผลการเรยี นรทู้ ี่ 7
วิเคราะห์ อธบิ าย และคำนวณแรงเสียดทานระหวา่ งผิวสมั ผัสของวตั ถคุ หู่ นง่ึ ๆ ในกรณที ่วี ตั ถหุ ยุด
นิ่งและวตั ถุเคล่ือนท่ี รวมทัง้ ทดลองหาสัมประสิทธ์ิความเสียดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวตั ถุคู่หน่ึง ๆ และ
นำความรู้ เรอ่ื งแรงเสยี ดทานไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั
สาระการเรียนรเู้ พมิ่ เติม
• แรงทเ่ี กิดขึ้นท่ผี วิ สมั ผัสระหวา่ งวัตถุสองก้อนในทิศทางตรงขา้ มกับทศิ ทางการเคล่อื นที่หรอื แนวโนม้ ท่จี ะ
เคลื่อนท่ีของวตั ถุ เรียกว่า แรงเสียดทาน แรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสคู่หนึ่ง ๆขน้ึ กบั สัมประสทิ ธิ์ความ
เสยี ดทานและแรงปฏิกริ ิยาต้งั ฉากระหวา่ งผวิ สมั ผัสคนู่ น้ั ๆ
• ขณะออกแรงพยายามแต่วัตถยุ ังคงอยู่น่ิง แรงเสียดทานมีขนาดเท่ากับแรงพยายามทีก่ ระทำต่อวัตถนุ น้ั
และแรงเสียดทานมีคา่ มากท่ีสุดเมื่อวัตถุเริ่มเคล่ือนท่ี เรียกแรงเสียดทานนีว้ ่าแรงเสยี ดทานสถติ แรงเสียด
ทานท่กี ระทำต่อวัตถุขณะกำลังเคล่ือนท่ี เรียกวา่ แรงเสียดทานจลนโ์ ดยแรงเสยี ดทานที่เกิดระหวา่ ง
ผิวสมั ผสั ของวัตถคุ ู่หนงึ่ ๆ คำนวณได้จากสมการ ≤
=
• การเพ่มิ หรือลดแรงเสียดทานมีผลต่อการเคล่ือนท่ี
ของวตั ถุ ซ่ึงสามารถนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั
40
2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
2.1 ผ้เู รียนสามารถอธิบายความหมายและลักษณะของแรงเสยี ดทานได้
2.2 ผู้เรียนสามารถใช้สื่อแบบจำลองโต้ตอบเสมือนจริงประกอบการเรียน และนักเรียนสามารถ
อธบิ ายและเข้าใจเรื่องแรงเสียดทานได้
3.สาระสำคัญ
เมื่อเราผลักวัตถุใด ๆ บนพื้น บางที่เราจะรู้สึกว่าผลักไปได้ง่ายแต่บางที่ก็จะผลักไปได้ยาก
โดยเฉพาะ ถ้าพน้ื ลื่นเราออกแรงผลกั เพยี งนิดเดียววัตถุน้นั กเ็ คล่ือนทไี่ ด้แลว้ แสดงวา่ ผิวสัมผัสระหว่าง
พนื้ กับผิววตั ถจุ ะต้อง มผี ลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถนุ ้ัน และอีกสิ่งหน่งึ ที่มีผลต่อการเคลื่อนท่ีคือน้ำหนัก
ที่กดลงไปบนพื้น เพราะถ้ามีแรงกดลงไปมากจะมีผลทำให้ผิวสัมผัสระหว่างวัตถุทั้งสัมผัสกันมากขึ้นการ
เคลื่อนที่ก็จะยากตามไปด้วย แสดงว่าขณะที่เราออกแรงผลักเพื่อให้วัตถุเคลื่อนก็จะต้องมีแรงต้านการ
เคลอ่ื นทเี่ กิดขนึ้ แรงทเ่ี กิดข้ึนนีเ้ รยี กว่า "แรงเสยี ดทาน"
ดังนั้น แรงเสียดทาน (frictional force) คือ แรงต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุเกิดขึ้นระหว่าง
ผวิ สมั ผสั ของวัตถุค่นู น้ั จะมที ศิ ตรงข้ามกบั การเคลอื่ นท่เี สมอ ขึ้นอยกู่ ับนำ้ หนกั ทก่ี ดลงไปบนพื้น
=
ผิวสัมผัสและคุณสมบัติเฉพาะตัวของผิวสัมผัสนั้น ๆ การหาปริมาณแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นสามารถหาได้
จากสมการดังต่อไปน้ี
เมอ่ื คอื แรงเสียดทานที่เกิดขนึ้ ระหว่างผวิ สัมผัสน้นั มีหน่วยเปน็ นวิ ตัน
คือ สมั ประสิทธ์ิความเสียดทานระหวา่ งผวิ สมั ผสั นน้ั
คือ แรงปฏิกริ ยิ าท่ีเกิดข้นึ เน่ืองจากวตั ถุกระทำต่อพื้นขณะนัน้ มีหน่วยเปน็ นวิ ตนั
แรงเสียดทานท่ีเกดิ ข้นึ ระหวา่ งพืน้ มี 2 ชนดิ คือ
1.แรงเสียดทานสถิต (Static friction) คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นเมื่อมีแรงมากระทำต่อวัตถุและวัตถุยัง
อยู่นิ่งซึ่งแรงเสียดทานสถิตจะมีค่าตั้งแต่ศูนย์จนถึงค่ามากที่สุด โดยค่ามากที่สุดจะเกิดขณะที่วัตถุเร่ิม
เคลื่อนที่ไดพ้ อดี
เขียนสมการไดด้ งั น้ี
=
41
2.แรงเสียดทานจลน์ (kinetic friction) คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว
คงที่
=
สมบตั ิของแรงเสียดทาน
1.แรงเสียดทานมีคา่ เป็นศูนย์ เมอื่ วัตถุไม่มีแรงภายนอกมากระทำ
2.ขณะที่มีแรงภายนอกมากระทำกับวัตถุและวัตถุยังไม่เคล่ือนที่ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นมีขนาด
ต่าง ๆ กันตามขนาดของแรงที่มากระทำ และแรงเสียดทานที่มีค่ามากที่สุด คือ แรงเสียดทานสถิตที่เป็น
แรงเสยี ดทาน ท่ีเกิดขึน้ เมือ่ วตั ถเุ ร่มิ เคลื่อนท่ี
3.แรงเสียดทานมีทศิ ทางตรงกันข้ามกับการเคลือ่ นที่ของวัตถุ
4.แรงเสยี ดทานสถติ มีค่าสงู กว่าแรงเสยี ดทานจลนเ์ ลก็ น้อย
5.แรงเสยี ดทานจะมคี ่ามากหรือน้อยขนึ้ อยู่กับลักษณะของผวิ สมั ผสั ผิวสัมผัสหยาบหรอื ขรขุ ระจะ
มีแรงเสยี ดทานมากกว่าผวิ เรยี บและล่นื
6.แรงเสียดทานขึ้นอยู่กับน้ำหนักหรือแรงกดของวัตถุที่กดลงพื้น ถ้าแรงกดหรือน้ำหนักมาก แรง
เสียดทานกจ็ ะมากขนึ้ ด้วย
7.แรงเสียดทานไมข่ นึ้ อยกู่ บั ขนาดหรอื พืน้ ทีผ่ วิ สัมผัส
4. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน
ความสามารถในการสอื่ สาร
ความสามารถในการคดิ
ความสามารถในการแกป้ ัญหา
ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้ (K)
ความหมาย ลักษณะของการเคลอื่ นทแี่ บบโพรเจกไทล์
42
5.2 ทักษะ/กระบวนการ/กระบวนการคดิ (P)
1) การสงั เกต
2) การอธิบาย
3) การสบื ค้นข้อมลู
4) การนำความรู้ไปใช้ในชวี ิตประจำวัน
5.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
1) ใฝ่เรียนรู้
2) ม่งุ มนั่ ในการทำงาน
3) มเี จตคติต่อวิทยาศาสตร์
4) เหน็ คณุ ค่าของการนำความรู้ไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั
6. จดุ เนน้ สู่การพฒั นาคุณภาพผเู้ รียน
6.1 ความสามารถและทักษะ
มีความสามารถในการแสวงหาความรเู้ พ่ือการแก้ปญั หา
มีความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีเพ่อื การเรยี นรู้
มคี วามสามารถในการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ)
มีทักษะการคิดขัน้ สูง
ทกั ษะชีวิต
ทักษะการสื่อสารอย่างสรา้ งสรรค์ตามชว่ งวัย
6.2 คุณลกั ษณะที่ชว่ ยเสริมผูเ้ รยี นตามชว่ งวยั
ใฝเ่ รียนรู้
ใฝ่ดี
มุ่งมั่นในการศึกษาและการทำงาน
7. สาระการเรยี นรู้สูก่ ารบรู ณาการ
การเรียนรูส้ ู่ ASEAN
หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง
กลุม่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย คณติ ศาสตร์