รายงานการวจิ ยั ปฏิบัติการในชนั้ เรยี น
การศึกษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เรือ่ งการหมุนเวียนของอากาศ โดยใช้ส่ือการสอน
รว่ มกบั วิธสี อนแบบสาธติ
A STUDY MATHEMATICS ACHIEVEMENT IN AIR CIRCULATION BY TEACHING
MATERIALS AND DEMONSTRATION METHOD
ผวู้ จิ ยั
นางสาวธนั ยาภรณ์ ทองแท้
รายงานการวิจยั ปฏิบัตกิ ารในชัน้ เรยี นฉบบั น้เี ป็นส่วนหนงึ่ ของการศึกษา
รายวชิ า การปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศกึ ษาในสาขาวิชาเฉพาะ 2
หลกั สูตรศกึ ษาศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาฟิสิกส์
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
การศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เร่ืองการหมุนเวียนของอากาศ โดยใช้สื่อการสอน
ร่วมกบั วธิ สี อนแบบสาธิต
A STUDY MATHEMATICS ACHIEVEMENT IN AIR CIRCULATION BY TEACHING
MATERIALS AND DEMONSTRATION METHOD
ผ้วู จิ ยั
นางสาวธนั ยาภรณ์ ทองแท้
รายงานการวจิ ัยปฏบิ ัติการในชัน้ เรยี นฉบบั นี้เป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษา
รายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ 2
หลกั สตู รศกึ ษาศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาฟสิ ิกส์
คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยสวนดุสิต
ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
ก
กิตติกรรมประกาศ
งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ตามวัตถุประสงค์ เนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงจาก
ผศ.ดร. ชาติ ทีฆะ อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยที่กรุณาให้คำปรึกษา คำแนะนำ ตลอดจนพิจารณาตรวจ
สอบปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง เพื่อให้วิจัยนี้มีความถูกต้องและเสร็จ
สมบูรณม์ ากย่ิงขึ้น จงึ ขอกราบขอบพระคณุ เป็นอย่างสงู ไว้ ณ โอกาสน้ีดว้ ย
ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้
ในการทำวิจัย ให้ข้อคิดเห็นและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการแก้ไขปรับปรุงเครื่องมือให้มี
คณุ ภาพมากย่ิงข้ึน
ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ ติ่งอ่วม คณะครูและบุคลากรโรงเรียน
มหรรณพาราม จังหวัดกรุงเทพมหานคร ทุกท่านที่ให้ความสะดวกต่างๆ รวมทั้งให้ความอนุเคราะห์และ
อนุญาตในการดำเนินการวิจัยเพื่อให้คณะผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลในการวิจยั ครั้งน้ี ทำให้งานวิจัยฉบับนี้สำเรจ็
ลุลว่ งไปได้ดว้ ยดี
ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำและคำปรึกษาจนสามารถนำไปปรับปรุงพัฒนาวิจัยได้สำเร็จลุล่วง
ได้ดจี ากคณะครใู นกลมุ่ สาระวทิ ยาศาสตร์ และครพู เ่ี ลยี้ ง โรงเรยี นมหรรณพาราม
ขอขอบคุณนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/5 โรงเรียนมหรรณพาราม จังหวัดกรุงเทพมหานครท่ีได้
ใหค้ วามร่วมมอื ในการเรียนการสอนในคาบเรียนเป็นอยา่ งดี ทำใหค้ ณะผวู้ จิ ยั ไดเ้ ก็บผลวิจยั สำเรจ็ ลลุ ว่ งไดด้ ี
ขอกราบขอบพระคุณบิดามารดา ที่กรุณาช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายและคอยเป็นกำลังใจในการ
ทำงานวิจยั นี้จนสำเรจ็ ลุล่วงไปได้ดว้ ยดี
สุดทา้ ยน้หี ากงานวจิ ยั ฉบับน้ีมขี ้อผดิ พลาดประการใดทางผวู้ ิจยั ก็ขออภัยมา ณ ท่ีนดี้ ้วย และผูว้ จิ ัย
หวังเป็นอยา่ งย่งิ วา่ งานวิจัยฉบบั น้จี ะมีประโยชนต์ อ่ ผ้ทู ่ีสนใจและต้องการศึกษาต่อไป
ธันยาภรณ์ ทองแท้
นกั ศึกษาฝึกประสบการณว์ ชิ าชีพครู
ชือ่ เรอ่ื ง ข
ผวู้ ิจัย การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรือ่ งการหมนุ เวยี นของอากาศ
อาจารยท์ ีป่ รึกษา โดยใชส้ ่ือการสอนร่วมกับวิธสี อนแบบสาธิต
หน่วยงาน นางสาวธนั ยาภรณ์ ทองแท้ รหัสนักศึกษา 6011056150001
ผศ. ดร. ชาติ ทีฆะ
ปี พ.ศ. หลักสตู รศึกษาศาตรบัณฑิต สาขาวิชาฟิสิกส์
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ
2565
บทคดั ยอ่
การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการหมุนเวียนของ
อากาศ กอ่ นและหลงั การจัดการเรยี นรู้โดยใช้ส่ือการสอนร่วมกับวธิ สี อนแบบสาธิต และความพงึ พอใจของ
นักเรยี น หลังการจดั การเรยี นร้โู ดยใชส้ อื่ การสอนรว่ มกับวิธสี อนแบบสาธิต กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใชใ้ นการวิจัยคือ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 โรงเรียนมหรรณพาราม จำนวน 20 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง
เครื่องมือในการทำวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนการสอน เรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ 2)
แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและแบบทดสอบหลังเรียน เร่อื ง การหมุนเวยี นของอากาศ 3) ใบบันทึกผลกิจกรรม
แบบจำลองการหมุนเวียนของอากาศ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้
โดยใช้สื่อร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต สถิติที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละ (P) ค่าเฉลี่ย (x̅) ค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (S.D.) การวเิ คราะห์ความกา้ วหนา้ ทางการเรยี น (Normalized gain)
ผลการวิจัยพบวา่ นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 5/5 มผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เรอื่ ง การหมุนเวียน
ของอากาศ หลังการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้สือ่ การสอนร่วมกับวิธสี อนแบบสาธติ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
โดยมีค่าความก้าวหน้าทางการเรียนเท่ากับ 0.63 ซึ่งมีความก้าวหน้าทางการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง
(Medium level)
คำสำคัญ : การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้ส่ือการสอน วิธีสอนแบบสาธติ
ลายมอื ชื่อนักศึกษา..................................................................................ปกี ารศึกษา 2563
ลายมือช่ืออาจารยท์ ีป่ รกึ ษา 1.......................................................อาจารย์นิเทศก์
2.......................................................อาจารยพ์ ่ีเล้ยี ง
3.......................................................ประธานหลกั สตู ร
ค
Research Title A STUDY MATHEMATICS ACHIEVEMENT IN AIR CIRCULATION
BY TEACHING MATERIALS AND DEMONSTRATION METHOD
Researcher Miss Thanyaphon Thongthae Student ID 6011056150001
Researcher Consultants Asst. Prof. Dr. Chat Teeka
Organization Bachelor of Education, Program in Physics Faculty of
Science and Technology, Suan Dusit University
Year 2022
Abstract
The purpose of this research was to compare the achievement in air circulation
before and after learning management by using teaching materials together with
demonstration teaching methods and student satisfaction after learning management by
using teaching media together with demonstration teaching method. The samples were
20 students in grade 11 from Mahannaparam School were selected by the purposive
sampling. The research instrument including 1) Teaching management plan about air
circulation 2) Pre-study test and post-study test about air circulation 3 ) Air Circulation
Model Activity Sheet 4) The questionnaire on the satisfaction of learners towards learning
management by using media together with the demonstration teaching method. The
statistical techniques employed are percentage mean standard diviation (S.D.) and
normalized gain.
The research result found that : students in grade 11 have academic achievement
air circulation after school. higher than before and the average normalized gain was is a
high (<g>=0.63) which was the high level of satisfaction. and Satisfaction is a Medium level.
Keywords : Teaching materials Demonstration method
ง
สารบญั
หน้า
กติ ตกิ รรมประกาศ ก
บทคดั ย่อภาษาไทย ข
บทคัดย่อภาษาองั กฤษ ค
สารบัญ ง
สารบญั ตาราง ฉ
สารบญั ภาพ ช
บทที่ 1 บทนำ 1
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1
วัตถปุ ระสงค์ 2
ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ 2
ขอบเขตการวจิ ยั 2
คำจำกดั ความที่ใช้ในงานวิจัย 3
บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้อง 5
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐานพุทธศักราช 2551(ฉบับบปรับปรงุ พ.ศ. 2560) 5
แนวคดิ เก่ยี วกบั การจดั การเรียนรู้โดยใช้สื่อ 11
แนวคิดทฤษฎที ่เี กย่ี วข้องกบั วิธีสอนแบบสาธติ 13
แนวคดิ ทฤษฎที ี่เก่ียวข้องกบั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 14
แนวคิดทฤษฎีที่เกีย่ วข้องกับความพงึ พอใจ 16
การหมุนเวยี นของอากาศ 21
งานวิจัยที่เก่ยี วข้อง 23
บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนนิ การวิจยั 25
ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง 25
เคร่ืองมอื ในการวิจยั 26
ข้ันตอนในการสรา้ งและหาคุณภาพเครื่องมือ 26
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 28
การวิเคราะห์ข้อมลู 28
จ
สารบัญ (ต่อ)
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล หนา้
ผลการศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น 31
ผลการศกึ ษาความพึงพอใจทางการเรียนท่ีมตี อ่ การจัดการเรยี นรู้ 31
32
บทที่ 5 สรุปผลการวจิ ัย อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 34
สรุปผลการวจิ ัย 34
อภิปรายผลการวจิ ัย 35
ข้อเสนอแนะ 35
36
บรรณานุกรม 36
บรรณานกุ รมภาษาไทย 37
บรรณานุกรมภาษาตา่ งประเทศ 38
40
ภาคผนวก รายนามผเู้ ช่ยี วชาญในการสร้างเครือ่ งมอื 41
ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อรว่ มกบั การจดั การเรียนรู้
ภาคผนวก ข ดว้ ยวิธสี อนแบบสาธิต เรือ่ ง การหมนุ เวียนของอากาศ 54
สำหรบั นักเรียนระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5
ภาคผนวก ค แบบประเมนิ ความพึงพอใจของผู้เรียนทม่ี ีต่อการจัดการเรียนรู้ 56
โดยใชส้ ื่อร่วมกับวธิ สี อนแบบสาธติ
ภาคผนวก ง แบบประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ 80
ทางการเรียน (IOC) เร่ือง การหมนุ เวยี นของอากาศ 82
ภาคผนวก จ ผลการวเิ คราะหผ์ ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น 86
ภาคผนวก ฉ ภาพกิจกรรมการเรยี นการสอน
ประวตั ิผู้วิจยั
ฉ
ตารางท่ี สารบญั ตาราง หน้า
4.1 31
4.2 ผลการเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นกอ่ นและหลังจดั การเรยี นรู้ 32
สรุปความก้าวหนา้ ทางการเรียนของนักเรียนจากคะแนนสอบ
4.3 ก่อนเรียนและหลังเรยี น 33
บันทึกผลค่าเฉลี่ย ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน จากแบบประเมินความพึงพอใจ
ง-1 ของนักเรยี นหลงั ได้รับกิจกรรมการเรียนรู้ 78
ผลการวเิ คราะหแ์ บบประเมินความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบ
จ-1 กบั ตัวชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้ โดยผูเ้ ช่ียวชาญ 81
จ-2 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ก่อนและหลังเรยี นของนกั เรียน 81
ผลการวเิ คราะหค์ วามกา้ วหน้าทางการเรยี นของนักเรียน
ช
สารบัญภาพ หน้า
ภาพท่ี 83
ฉ - 1 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใชส้ อ่ื แบบจำลองการหมุนเวียนของอากาศ 83
ฉ - 2 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนในชน้ั เรียน 84
ฉ - 3 การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนในช้นั เรียน 84
ฉ - 4 การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียน 85
ฉ - 5 นักเรยี นชัน้ ม.5/5 ตอบคำถามในใบกจิ กรรมแบบจำลองการหมุนเวยี นของอากาศ 85
ฉ - 6 นักเรยี นชั้น ม.5/5 ตอบคำถามในใบกจิ กรรมแบบจำลองการหมุนเวียนของอากาศ
1
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา
วิทยาศาสตร์ล้วนมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในสงั คมปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เป็น
ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ วิทยาศาสตร์มีความเกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจำวันและการ
ประกอบอาชีพต่าง ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทำให้มนุษ ย์
สามารถคิดค้นเครื่องอำนวยความสะดวกได้หลากหลายประเภทมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ล้วนเป็นผล
มาจากการนำความรทู้ างด้านวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกบั ศาสตร์ด้าน อน่ื ๆ วิทยาศาสตร์จงึ เปน็ ศาสตร์ท่ี
ช่วยให้คนเรานั้นได้พัฒนากระบวนการคิด ทั้งความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล ความคิดสร้างสรรค์ การคิด
วิเคราะห์ วิจารณ์ และที่สำคัญทำให้เกิดทักษะในการค้นหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่าง
เป็นระบบ อีกทั้งสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลาย (วิชุดา วงศ์เจริญ, 2561) โดยทั่วไป
วิทยาศาสตร์นั้นสามารถแบ่งออกได้อีกหลายสาขาวิชา หนึ่งในนั้นคือวิชาโลกดาราศาสตร์และอวกาศ
วิชาโลกดาราศาสตร์และอวกาศเปน็ วิชาที่ศึกษาวัตถุในท้องฟ้า (อาทิ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดาว
หาง และดาราจักร) รวมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนอกชั้นบรรยากาศของโลก โดย
ศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ลักษณะทางกายภาพ ทางเคมี ทางอุตุนิยมวิทยา และการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ท้องฟ้า ตลอดจนถึงการกำเนิดและวิวัฒนาการของเอกภพ การที่ครูจะสามารถปฏิบัติงานการสอนได้ดี
ขึ้นอยู่กับความสามารถในการผสมผสานกับศาสตร์อื่นๆว่าด้วยการสอนกับศิลปะของการสอนเข้าด้วยกัน
เพื่อให้เกิดประสิทธิผลของการสอนสูงสุด ซึ่งวิธีสอน/เทคนิคการสอนของครูไม่สามารถกล่าวได้ว่าวิธีใด
เป็นวิธีสอนที่ดีที่สุด เพราะการเรียนการสอนนั้นจะต้องขึ้นกับองค์ประกอบหลายประการดังนั้นจึงเป็น
หนา้ ทข่ี องครูที่จะตอ้ งตดั สนิ ใจเลือกวิธกี ารสอนตามความเหมาะสมของสภาพที่เป็นอยู่ควรนำเทคนิคต่างๆ
มากระตุ้นและปลุกเร้าเพื่อเลือกความสนใจของผู้เรียนโดยพิจารณาให้เหมาะสมกับเนื้อหาและเวลาท่ี
กำหนดให้ และการเลือกวิธีการสอนนั้นผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้หลากหลายวิธแี ละ
สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับผู้เรียนกับแต่ละสถานการณ์ และแต่ละสิ่งแวดล้อม เนื่องจาก
การสอนมีหลากหลายรูปแบบ ครูผู้สอนจึงจำเป็นต้องเลือกวิธีสอนให้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการ
สอน ดังนั้นการสอนโดยใช้สื่อร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิตจึงเป็นเทคนิคที่น่าสนใจและสามารถกระตุ้นให้
ผูเ้ รียนอยากที่จะเรียนรูใ้ นเรอื่ งนนั้ ๆ
การสอนโดยใช้วิธีการสาธิต ก็นับว่าเป็นวิธีการสอนที่ผู้สอนสามารถนำไปเป็นวิธีการสอนให้กับ
ผู้เรียนได้ เพราะการสาธิตเป็นการแสดงแบบหนึ่งที่ผู้เรียนได้เห็นและเข้าใจจากเรื่องราวที่เป็นจริง ได้
สังเกตจากตัวอย่างที่ผู้เรียนได้นำเสนอ ทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนมากยิ่งขึ้น ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 :
228) ได้กล่าวถึงธรรมชาติของการสอนแบบนี้ว่ายังเป็นการสอนที่เน้นผู้สอนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนมีส่วน
2
ร่วมในการเรียนน้อยเพราะเพียงสังเกตสิ่งที่ครูแสดงขึน้ เท่านั้น แต่การสอนแบบนี้มีประโยชน์มากสำหรบั
การนำประสบการณ์ท่ีซับซ้อนอธิบายได้ยากมาแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยผู้มีประสบการณ์ ช่วยให้เกิด
ความคดิ รวบยอดในเร่ืองใดเรอื่ งหนึ่ง อย่างไรก็ตามความสำเร็จของการสอนวธิ ีนอ้ี ยูท่ ี่ความสามารถในการ
สาธติ ของผ้สู าธติ ด้วย ดังน้ันอาจจะกล่าวได้วา่ การสอนแบบสาธิตสามารถนำไปใช้รว่ มกบั การสอนวิธีอ่ืน ๆ
ได้หลายวิธใี นทกุ ๆ สว่ นของกิจกรรมการเรยี นการสอน ซงึ่ การสอนโดยใชส้ ื่อร่วมกับวธิ ีสอนแบบสาธิต จึง
เป็นการจดั การเรียนการสอนที่น่าสนใจและนำมาใช้ในการจดั การเรียนการสอน เนื่องจากเมื่อครูมีสื่อการ
สอนเพื่อที่จะทำให้นักเรียนมีความสนใจอยากที่จะเรียนรู้ในเรื่องน้ันๆ ถ้าในกรณีที่มีสื่อชิ้นเดียว การที่ครู
ใช้เทคนิคการสอนด้วยวิธีการสาธิตจะช่วยทำให้การใช้สื่อการสอนมาจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนมี
ประสิทธภิ าพมากย่ิงข้ึน
จากทีก่ ล่าวมาผู้วิจยั จึงจดั ทำงานวิจยั เร่ือง การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่องการหมุนเวียน
ของอากาศ โดยใชส้ ่อื การสอนรว่ มกบั วธิ สี อนแบบสาธติ ซ่ึงเห็นว่าวิธสี อนโดยใช้ส่ือการสอนรว่ มกับวิธีสอน
แบบสาธิต เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้แบบหนึ่งที่จะสามารถส่งเสริมใหน้ ักเรียนอยากที่จะเรียนรู้ในวิชาโลก
ดาราศาสตร์ และอวกาศ ได้เรยี นรู้ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพมากขึน้
1.2 วตั ถุประสงค์
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ ก่อนและหลังการ
จัดการเรียนรู้โดยใช้ส่อื การสอนร่วมกบั วธิ ีสอนแบบสาธิต ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
2. เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ส่อื
การสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธติ
1.3 ประโยชน์ที่ได้รับ
1. นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนมากกว่าก่อนเรยี น หลงั ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้โดย
ใช้ส่ือการสอนรว่ มกับวธิ ีสอนแบบสาธิต
2. นักเรยี นมีความพึงพอใจตอ่ การจัดการเรียนร้โู ดยใชส้ อ่ื การสอนร่วมกบั วธิ สี อนแบบสาธติ
1.4 ขอบเขตการวจิ ัย
ขอบเขตของการวจิ ยั มดี ังนี้
1. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง
ประชากรทใี่ ช้ในการวิจยั คร้งั น้ี เปน็ นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ท้งั หมด 5 ห้อง จำนวน
180 คน โรงเรยี นมหรรณพาราม จงั หวดั กรงุ เทพมหานคร ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
3
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 จำนวน 20 คน
โรงเรียนมหรรณพาราม จังหวัดกรงุ เทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ซึ่งได้มาจากการเลอื ก
แบบเจาะจง (Purposive sampling)
2. ตัวแปรที่ใชใ้ นการวจิ ันในครัง้ น้ี มดี งั ตอ่ ไปน้ี
ตวั แปรตน้ ได้แก่ การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธติ
ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่อื ง การหมนุ เวยี นของอากาศ
3. ระยะเวลาในการวิจัยครัง้ นี้
1. ระยะเวลาในการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบ
สาธติ จำนวน 1 เดือน
2. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการการหมุนเวียนของอากาศ โดยใช้
แผนการจดั การเรียนรู้โดยใช้ส่ือการสอนรว่ มกบั วธิ สี อนแบบสาธิต จำนวน 2 ชัว่ โมง
4. เน้อื หาในการวิจยั ครั้งน้ี
เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยนี้ ตรงตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง 2560) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การหมุนเวียน
ของอากาศ
1.5 คำจำกดั ความทใ่ี ช้ในงานวจิ ัย
เทคนคิ การใช้สื่อการสอน หมายถงึ กลวธิ ีต่างๆทค่ี รูใชใ้ นการดำเนนิ กจิ กรรมการเรียนการสอน
โดยใช้สิ่งใดก็ตามที่บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนในรูปของวัสดุ อุปกรณ์ และเทคนิควิธีการ
ต่างๆที่ช่วยให้กิจกรรมการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล และที่สำคัญนักเรียนเกิดการ
เรยี นรู้ตามวัตถุประสงคข์ องบทเรยี น
4
วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึง การที่ครูหรือนักเรียนคนใดคนหนึ่ง แสดงบางสิ่งบางอย่างให้
นกั เรียนดู หรอื ใหเ้ พื่อนๆดู อาจเป็นการแสดงการใชเ้ คร่ืองมอื แสดงให้เห็นกระบวนการวิธกี าร กลวิธีหรือ
การทดลองทมี่ อี ันตราย ซึ่งไมเ่ หมาะท่ีจะใหน้ ักเรยี นทำการทดลอง การสอนวิธีนี้ชว่ ยใหน้ ักเรียนเกิดความรู้
ความเข้าใจและสามารถทำในสิ่งนั้นได้ถูกต้อง และ ยังเป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต
และถือวา่ เปน็ การได้ประสบการณ์ตรงวธิ หี น่งึ วิธีสอนแบบสาธิต จึงเปน็ การสอนที่ยึดผสู้ อนเป็นศูนย์กลาง
เพราะผู้สอนเปน็ ผวู้ างแผน ดำเนนิ การ และลงมอื ปฏิบตั ิ ผูเ้ รียนอาจมสี ว่ นร่วมบ้างเล็กน้อย วิธีสอนแบบนี้
จึงเหมาะสำหรับ จุดประสงค์การสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา
ศลิ ปศึกษา อุตสาหกรรมศลิ ป์ วชิ าในกลุ่มการงานและพ้ืนฐานอาชีพ เปน็ ตน้ (ทิศนา แขมมณี ,2557)
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ คือ คะแนนของนักเรียนที่ได้จากการ
ประเมินด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 15 ข้อ ที่ผู้วิจัย
พัฒนาขึ้น
ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ คือ พฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกถึงความรู้สึกต่อการ
จัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต ในเรื่องการหมุนเวียนของอากาศ โดยจะ
ประเมินจากแบบวดั ความพงึ พอใจชนิดมาตรประมาณคา่ 5 ระดับ ท่ผี ูว้ ิจัยได้สรา้ งข้นึ
5
บทท่ี 2
แนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
วิจัยเรื่อง การศึกษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น เรื่องการหมุนเวียนของอากาศ โดยใช้สือ่ การสอน
รว่ มกับวธิ สี อนแบบสาธติ ใชแ้ นวคิดทฤษฎเี อกสารและวิจัยท่เี กีย่ วข้องดังต่อไปน้ี
2.1 หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับบปรับปรุง พ.ศ. 2560)
2.1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับบปรับปรุง พ.ศ.2560)
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์วิทยาศาสตรม์ ีบทบาทสำคัญย่ิงในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะ
วิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตประจำวัน และการงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยี
เครื่องมือ เครื่องใช้และผลผลิตต่างๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงานเหล่าน้ี
ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่นๆ วิทยาศาสตร์ช่วย
ใหม้ นษุ ยไ์ ดพ้ ฒั นาวธิ ีคิด ทง้ั ความคิดเป็นเหตุเปน็ ผล คดิ สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วจิ ารณ์ มที ักษะสำคัญใน
การค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลท่ี
หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคม
แห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้
วิทยาศาสตร์เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นสามารถนำ
ความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์และมีคุณธรรมในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุง่ เน้นใหผ้ ู้เรยี นได้
ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุดเพื่อให้ได้ทั้งกระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสำรวจ
ตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลทีไ่ ด้มาจัดระบบเป็นหลักการ แนวคิด และองค์ความรู้ การจัดการเรียน
การสอนวทิ ยาศาสตรจ์ งึ มีเปา้ หมายทีส่ ำคัญ ดงั นี้
1. เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎแี ละกฎทีเ่ ป็นพื้นฐานในวชิ าวทิ ยาศาสตร์
2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจำกัดในการศึกษาวิชา
วิทยาศาสตร์
3. เพื่อใหม้ ีทักษะที่สำคัญในการศึกษาคน้ ควา้ และคดิ ค้นทางเทคโนโลยี
4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมวลมนุษย์และ
สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ทีม่ ีอิทธิพลและผลกระทบซ่งึ กันและกัน
5. เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
และการดำรงชวี ติ
6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ
ทกั ษะในการสอ่ื สาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ
6
7. เพอ่ื ให้เป็นผทู้ ่มี จี ติ วิทยาศาสตร์ มคี ุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
อย่างสร้างสรรค์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการ
เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการใน
การสืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำ
กจิ กรรมด้วยการลงมือปฏิบตั ิจรงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดับชน้ั โดยกำหนดสาระสำคญั ดังน้ี
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ เรยี นรูเ้ ก่ียวกับชวี ติ ในสิง่ แวดลอ้ ม องคป์ ระกอบของสง่ิ มีชวี ิต
การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และ
วิวัฒนาการของสิง่ มชี ีวติ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ
สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การ
เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา
สงิ่ แวดลอ้ มรวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและ
ออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่างๆของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์
กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้
ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมสาร
พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ
วิวัฒนาการของสง่ิ มชี วี ิต รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ เรียนร้เู กย่ี วกบั ธรรมชาตขิ องสาร การเปล่ยี นแปลงของสารการเคลื่อนที่
พลังงาน และคลืน่
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหวา่ งสมบัติของ
สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ
สสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะ
การเคล่ือนที่แบบตา่ ง ๆ ของวัตถรุ วมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
7
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่นปรากฏการณ์ท่ี
เก่ียวขอ้ งกับเสยี ง แสง และคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรเู้ ก่ยี วกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสมั พนั ธ์ภายในระบบ
สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า
อากาศ และผลตอ่ สง่ิ มีชีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ
กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการ
ประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี ิบัตภิ ยั กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้ง
ผลต่อสงิ่ มีชีวติ และส่ิงแวดล้อม
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เก่ียวกับ เทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆเพ่ือ
แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมวิทยาการคำนวณ เรียนรู้
เกี่ยวกับ การคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แกป้ ัญหาเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ดา้ น
วิทยาการคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร ในการแก้ปัญหาที่พบในชวี ิตจริงได้อย่าง
มีประสทิ ธภิ าพ
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พ่ือการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลง
อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆเพื่อแก้ปัญหาหรือ
พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยี อย่าง
เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น
ข้นั ตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหา
ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม
8
จบชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6
1. เข้าใจการลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ภูมิคุ้มกันใน
ร่างกายของมนุษย์และความผดิ ปกติของระบบภมู คิ ุ้มกัน การใชป้ ระโยชนจ์ ากสารต่าง ๆทพ่ี ืชสรา้ งขนึ้ การ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรม ววิ ฒั นาการทท่ี ำให้เกิดความหลากหลาย
ของส่ิงมีชีวิต ความสำคัญและผลของเทคโนโลยที างดีเอน็ เอตอ่ มนุษยส์ ิง่ มีชวี ติ และสง่ิ แวดล้อม
2. เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตรต์ ่าง ๆ ของโลก การเปล่ียนแปลงแทนท่ีใน
ระบบนิเวศ ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปญั หาสิง่ แวดล้อม
3. เข้าใจชนิดของอนุภาคสำคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัติบางประการของ
ธาตุ การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและสมบัติต่างๆ ของสา รที่มี
ความสัมพันธ์กับแรงยึดเหนี่ยว พันธะเคมีโครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์การเกิดปฏิกิริยาเคมีปจั จัยท่ี
มีผลต่ออัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมแี ละการเขียนสมการเคมี
4. เข้าใจปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่งผลของ
ความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่าง
สนามแมเ่ หล็กและกระแสไฟฟ้า และแรงภายในนิวเคลียส
5. เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปลี่ยนพลังงานทดแทน
เป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบนและการรวมคลื่น การได้
ยิน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง สีกับการมองเห็นสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและประโยชน์ของคลื่น
แม่เหลก็ ไฟฟ้า
6. เข้าใจการแบง่ ชั้นและสมบัติของโครงสรา้ งโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคลือ่ นท่ีของแผ่นธรณี
ที่สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุกระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ
ผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวงั และการปฏิบตั ิตนให้ปลอดภยั
7. เข้าใจผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส ที่มีต่อการ
หมนุ เวยี นของอากาศ การหมนุ เวียนของอากาศตามเขตละติจดู และผลทม่ี ตี อ่ ภูมิอากาศความสัมพันธ์ของ
การหมุนเวียนของอากาศ และการหมุนเวียนของกระแสน้ำผิวหน้าในมหาสมุทรและผลต่อลักษณะลมฟา้
อากาศ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกและแนวปฏิบัติ
เพ่ือลดกิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศโลกรวมทงั้ การแปลความหมายสัญลักษณ์
ลมฟา้ อากาศทส่ี ำคญั จากแผนทอ่ี ากาศ และข้อมลู สารสนเทศ
9
8. เข้าใจการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพหลักฐานที่
สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซีโครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก
กระบวนการเกิดและการสร้างพลังงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์และความสัมพันธ์
ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของ
ดาวฤกษ์วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์กระบวนการเกิดระบบสุริยะ
การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตการเกิดลมสุริยะ พายุ
สรุ ิยะและผลทมี่ ีตอ่ โลก รวมทง้ั การสำรวจอวกาศและการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
9. ระบปุ ัญหา ตัง้ คำถามทจ่ี ะสำรวจตรวจสอบ โดยมกี ารกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตวั แปรต่าง
ๆ สบื คน้ ข้อมูลจากหลายแหลง่ ตง้ั สมมติฐานทเ่ี ปน็ ไปไดห้ ลายแนวทาง ตัดสินใจเลอื กตรวจสอบสมมติฐาน
ท่ีเป็นไปได้
10. ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ ท่ี
แสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงที่สามารถสำรวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลุม
และเชื่อถือได้สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรอื คาดการณ์สิ่งท่ีจะพบ เพื่อนำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ
ออกแบบวิธีการสำรวจตรวจสอบตามสมมติฐานที่กำหนดไว้ได้อย่างเหมาะสมมีหลักฐานเชิง ประจักษ์
เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมทั้งวิธกี ารในการสำรวจตรวจสอบอย่างถูกต้องทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และ
บนั ทึกผลการสำรวจตรวจสอบอย่างเปน็ ระบบ
11. วิเคราะห์แปลความหมายข้อมูลและประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับ
สมมตฐิ านทตี่ ง้ั ไว้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรงุ วธิ ีการสำรวจตรวจสอบ จัดกระทำข้อมูลและนำเสนอข้อมูล
ด้วยเทคนิควิธีที่เหมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบโดยการพูดเขียน จัดแสดง
หรือใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือให้ผอู้ ื่นเข้าใจโดยมีหลักฐานอ้างองิ หรือมที ฤษฎรี องรับ
12. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมัน่ รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสตั ย์ ในการสบื เสาะหาความรู้โดยใช้
เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจมี
การเปลย่ี นแปลงได้
13. แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้พบคำตอบ หรือแก้ปัญหาได้ทำงาน
ร่วมกบั ผู้อ่นื อย่างสร้างสรรค์แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมลู อ้างองิ และเหตุผลประกอบเก่ียวกับผลของการ
พัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและยอมรับฟัง
ความคิดเหน็ ของผู้อื่น
10
14. เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ
และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าผลของเทคโนโลยีต่อ
ชีวติ สงั คม และส่งิ แวดล้อม
15. ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ใน
ชีวิตประจำวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิตและการ
ประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ
และการพัฒนาเทคโนโลยที ี่ทนั สมยั ศึกษาหาความรูเ้ พมิ่ เตมิ ทำโครงงานหรอื สรา้ งช้นิ งานตามความสนใจ
16. แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัตกิ ับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ
ส่งิ แวดลอ้ มของทอ้ งถิ่น
17. วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยีได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนการเปลี่ยนแปลง
ของเทคโนโลยีความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์
วเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ และตัดสนิ ใจเพ่อื เลือกใชเ้ ทคโนโลยีโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจ
และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะ ทรัพยากรเพื่อออกแบบสร้างหรือพัฒนาผลงาน สำหรับ
แก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อสังคม โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการ
ออกแบบและนำเสนอผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ปลอดภัย
รวมทัง้ คำนึงถงึ ทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา
18. ใช้ความรทู้ างด้านวทิ ยาการคอมพิวเตอร์ส่ือดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพ่ือ
รวบรวมข้อมูลในชีวิตจริงจากแหล่งต่าง ๆ และความรู้จากศาสตร์อื่น มาประยุกต์ใช้สร้างความรู้ใหม่
เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต อาชีพ สังคม วัฒนธรรมและใช้ อย่าง
ปลอดภยั มจี รยิ ธรรมตระหนักในคุณค่าของความรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ความรู้และกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและ
ศกึ ษาหาความรูเ้ พิม่ เติม ทำโครงงานหรอื ชิ้นงานตามท่ีกำหนดให้หรอื ตามความสนใจ
11
2.2 แนวคดิ เกยี่ วกบั การจดั การเรียนรู้โดยใชส้ ือ่
สอื่ การสอน
1. ความหมายของส่อื การสอน
สอื่ การสอนท่ีมีครูผู้สอนนิยมใช้เปน็ จำนวนมากในปจั จุบัน เพื่อเปล่ยี นแปลง การอ่านหนังสือจาก
ในหนังสือเปน็ การอ่านผา่ นสอ่ื อ่นื ๆ แทน ดงั ท่มี ีนักวชิ าการได้กลา่ วถงึ ความหมายของส่ือการสอนไวด้ ังนี้
บงกช บญุ เจรญิ ได้กล่าววา่ ส่อื การสอนเป็นเครื่องมือที่ทำให้การสอนของครูสามารถสื่อความไป
ถงึ ผ้เู รียน ทำใหเ้ กดิ การเรยี นรู้อยา่ งถูกตอ้ งตามวตั ถุประสงค์ สอื่ การสอนอาจจะเป็นสื่อที่เปน็ รูปธรรม เช่น
หนังสือ, ภาพถา่ ย และสือ่ ทเี่ ป็นนามธรรม เช่น ค าพูด และวธิ ีสอน (บงกช บุญเจรญิ , 2553)
เบญจมาศ เหมือนสุทธวิ งศ์ ได้กล่าวว่า สื่อการสอนคอื สิ่งที่จะชว่ ยให้นกั เรียนไดเ้ รียนรู้ในเนือ้ หา
ที่เรียน ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีจากการเรียนด้วย สื่อการสอน ซึ่งองค์ประกอบที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
แบ่งเป็น ผู้เรียนที่ใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้ สิ่งเร้า คือสื่อการสอนที่นำมาใช้ในการเรียนรู้ และการ
ตอบสนองคือผลตอบรับของนักเรียนที่ทำให้เกดิ การเรียนร(ู้ เบญจมาศ เหมอื นสทุ ธวิ งศ์, 2554)
พรนภา พุทธสังฆ์ ได้กล่าวว่า สื่อการสอน หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุ อุปกรณ์ วิธีการและ
รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นแหล่งเรียนรู้ ซึ่งช่วยถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ไปถึงผู้เรียนก่อให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ต้องการ ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง บรรลุตาม
วัตถปุ ระสงค์ของหลักสูตร (พรนภา พทุ ธสังฆ์, 2555)
ประเสริฐ ลิ้นฤๅษี ได้กล่าวว่า สื่อการสอนเป็นสิ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการสอน เพราะเป็น
สื่อกลางที่ช่วยให้เกิดการสื่อสารระหว่างผูส้ อนและผู้เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ (ประเสริฐ ลิ้นฤๅษี,
2556)
คณวัฒน์ พรสุริยโรจน์ กล่าวว่า สื่อการสอนเป็นเครื่องมือที่ช่วยครูในการจัดการเรียนรู้ให้กับ
นักเรียน เพือ่ ใหเ้ กิดการเรียนรู้อยา่ งสร้างสรรคแ์ ละตรงตามวัตถปุ ระสงค์ โดยสื่อการสอน
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สื่อการสอน หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยเป็นสื่อกลางให้เกิดการเรียนรู้ระหว่าง
ผู้สอนและผู้เรียน โดยสื่อการสอนอาจอยู่ในรูปแบบวัสดุ อุปกรณ์ วิธีการ รวมไปถึงแหล่งเรียนรู้ ซึ่งช่วย
ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ไปยังผู้เรียน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมตามที่ต้องการ
ผูเ้ รยี นสามารถสรา้ งองค์ความรู้ได้ดว้ ยตนเอง และบรรลุตามวัตถุประสงคข์ องการจัดการเรียนการสอน
12
2. ประเภทของส่อื การสอน
สื่อการสอนที่เป็นตัวกลางในการส่งผ่านข้อมูลสารสนเทศจากผู้สอนไปยังผู้เรียน หรือเป็นสิ่งท่ี
ผู้เรียนใช้ศึกษาความรู้ด้วยตนเอง นักวิชาการได้จำแนกสื่อการสอนตามประเภท ลักษณะ และวิธีการใช้
ดังนี้โดนัลด์ พี. อีลี (Donald P. Ely) ได้จำแนกสื่อการเรียนการสอนตามทรัพยากรการเรียนรู้ 5 รูปแบบ
โดยแบ่งได้เป็นสื่อที่ออกแบบขึ้นเพื่อ จุดมุ่งหมายทางการศึกษา (by design) และสื่อที่มีอยู่ทั่วไปแล้ว
นำมาประยุกตใ์ ช้ในการเรยี น การสอน (Donald P. Ely, 1972) ไดแ้ ก่
1. คน (People) “คน” ในทางการศึกษาโดยตรงนั้น หมายถึง บุคคลที่อยู่ในระบบของโรงเรียน
ได้แก่ ครู ผู้บรหิ าร ผแู้ นะนำการศึกษา ผู้ช่วยสอนหรือผทู้ ่ีอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆเพอื่ ให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้ ส่วน “คน” ตามความหมายของการประยุกต์ใช้ได้แก่ คนที่ทำงานหรือมีความชำนาญงานใน
แตล่ ะสาขาซ่ึงมอี ยใู่ นวงสังคมทว่ั ไป คนเหลา่ น้ีเปน็ “ผู้เชีย่ วชาญ” ซง่ึ ถึงแมม้ ใิ ช่นกั ศึกษาแต่สามารถจะช่วย
ความสะดวกหรอื เชิญมาเปน็ วิทยาการ เพื่อเสริมการเรียนรู้ได้ในการให้ความรู้แต่ละด้าน อาทิเช่น ศิลปนิ
นักการเมือง นักธุรกิจ ช่างซอ่ มเคร่อื ง
2. วัสดุ (Materials) ในการศึกษาโดยตรงเป็นประเภทที่บรรจุเนื้อหาบทเรียน โดยรูปแบบของ
วัสดุมใิ ชส่ ิง่ สำคญั ที่ต้องคำนึงถึง เชน่ หนังสือ สไลด์ แผนท่ี แผน่ ซดี ี หรือส่ือตา่ ง ๆ ที่เป็นทรัพยากรในการ
เรียนการสอนนัน้ จะมลี ักษณะเช่นเดียวกับวัสดุท่ีใช้ในการศึกษา ดังกล่าวเพียงแต่ว่าเนื้อหาที่บรรจใุ นวัสดุ
ส่วนมากจะอยู่ในรูปของการให้ความบันเทงิ เช่น คอมพิวเตอร์ หรือภาพยนตร์สารคดีชีวิตสัตว์ สิ่งเหล่านี้
ถูกมองไปในรูปแบบของความบันเทิง แต่สามารถใหค้ วามรูใ้ นเวลาเดียวกัน
3. อาคารสถานที่ (Settings) หมายถึง ตัวตึก ที่ว่าง สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลเกี่ยวกับทรัพยากร
รูปแบบอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้วและมีผลกับผู้เรียนด้วย สถานที่สำคัญในการศึกษา ได้แก่ ตึกเรียนและ
สถานที่ที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนการสอนโดยรวม เช่น ห้องสมุด หอประชุม ส่วนสถานที่ต่าง ๆ ใน
ชุมชนก็สามารถประยุกต์ให้เป็นทรัพยากรสื่อสารเรียนการสอน ได้เช่น โรงงาน ตลาดสถานที่ทาง
ประวตั ศิ าสตร์ เช่น พิพิธภัณฑ์ เปน็ ตน้
4. เครื่องมือและอุปกรณ์ (Tools and Equipment) เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้เพื่อช่วยใน
การผลิตหรือใช้ร่วมกับทรัพยากรอื่น ๆ ส่วนมากมักเป็นโสตทัศนูปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่นำมาใช้
ประกอบหรืออำนวยความสะอาดในการเรียนการสอน เช่น เคร่อื ง ฉายข้ามศีรษะคอมพิวเตอร์ เครื่องถ่าย
เอกสาร หรือแม้แตต่ ะปู ไขควง เหลา่ นเี้ ป็นต้น
5. กิจกรรม (Activities) โดยท่ัวไปแล้วกิจกรรมที่ใช้ในการเรียนการสอนมักจัดขึ้นเพื่อร่วมกระท
ทำทรพั ยากรอืน่ ๆ หรอื เปน็ เทคนคิ วิธกี ารพิเศษเพ่อื การเรียนการสอน เชน่ เกม การสมั มนา
13
การจัดทัศนศึกษา กิจกรรมเหลา่ นี้มักมวี ตั ถุประสงค์เฉพาะทีต่ ้ังขึ้น โดยมกี ารใชว้ ัสดุการเรียนเฉพาะแต่ละ
วชิ าหรือวิธกี ารพิเศษในการเรยี นการสอน
2.3 แนวคดิ ทฤษฎีท่ีเกี่ยวขอ้ งกับวิธีสอนแบบสาธิต
วธิ ีสอนแบบสาธิต (Demonstration)
ทิศนา แขมมณี (2547) กล่าวว่าวิธีการสอนแบบสาธติ เป็นกระบวนการ ที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยการแสดงหรือทำสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ให้
ผู้เรียนสังเกตดู แล้วให้ผู้เรียนซักถาม และสรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการสังเกตการสาธิตซึ่งมีขั้นตอนสำคัญ
ดงั ต่อไปน้ี
1. ผู้สอนจัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และสถานที่ที่ใช้ในการสาธิต และควรมีการซ้อมการสาธิตก่อน
ลว่ งหน้า
2. ผสู้ อนแสดงการสาธติ โดยผ้สู อนอาจใช้การบรรยายประกอบการสาธิต ผเู้ รียนสังเกตการสาธิต
3. ผ้สู อนและผู้เรียนอภปิ รายและสรุปการเรยี นร้ทู ีไ่ ดจ้ ากการสาธิต
4. ผ้สู อนประเมนิ ผลการเรยี นรู้ของผู้เรียน
ประโยชนข์ องการสอนที่เน้นรปู แบบการเรยี นรู้และงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง
อัจฉรา ธรรมาภรณ์(2531) กล่าววา่ การใชการเรียนการสอนที่สอดคล้องรูปแบบการเรียนรู้ของ
นักเรียน จะช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และเปลี่ยนแปลงทัศนคติไปในทางที่ดีต่อ
โรงเรยี นและเนื้อหาวิชา รวมทงั้ แก้ปัญหาวิจยั บางอย่างในชั้นเรียนได้
Dunn (1981, pp. 386-387 ) กล่าวว่า การเรียนการสอนตามรูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียน
เป็นนวัตกรรมทางด้านการเรียนการสอนแบบหนึ่งในการพิจารณาถึงกระบวนการเรียนการสอนการ
วินิจฉัยรปู แบบการเรียนรู้ของผู้เรียนจะนำไปสู่การคาดคะเนการสอนทเ่ี หมาะสมกับแตล่ ะบุคคลโดยอยู่บน
พน้ื ฐานของเหตุผล ช่วยให้ครูสามารถจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนได้สอดคล้องและเหมาะสมกับรูปแบบ
การเรียนรู้ของนักเรียน และทำใหเ้ กิดผลดีตามมาคือ นักเรียนมคี วามสามคั คแี ละเอาใจใสต่ ่อกันอีกดว้ ย
Felder (1995, pp.21) กล่าวว่า เมื่อครูเข้าใจวา่ นักเรียนถนัดหรือชอบวิธีการเรียนแบบใดการ
สอนของครูจะสามารถตอบสนองความต้องการของนักเรียน นกัเรียนก็จะสามารถเรียนรู้ได้มากและมี
ความสุขในการเรียนมากขน้ึ จึงเกิดการพัฒนาสมั พันธภาพท่ดี ีระหวา่ งนกั เรยี นและครู
14
จากประโยชนข์ องการเรียนการสอนตามรปู แบบการเรียนรูข้ องนักเรยี นทกี่ ล่าวมาข้างต้นสามารถ
สรปุ ไดว้ ่า การเรียนการสอนตามรูปแบบการเรยี นรู้มีประโยชน์กับบุคคล 2 ฝ่าย คอื ครูผู้สอนและนักเรียน
ดงั นี้
1. ประโยชนต์ อ่ ครู
1.1 ทำใหค้ รูตระหนกั ถึงเร่อื งความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของนักเรียน
1.2 ชว่ ยใหค้ รจู ดั กิจกรรมการเรยี นการสอนไดเ้ หมาะสมกับนกั เรียนแตล่ ะกลุ่ม
1.3 ชว่ ยสร้างบรรยากาศและสมั พันธภาพทด่ี ีในชนั้ เรียนระหว่างครูและนกั เรยี น
2. ประโยชนต์ อ่ นกเั รยี น
2.1 ทำให้ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นสงู ข้ึน
2.2 ทำใหน้ ักเรยี นมีทศั นคตทิ ี่ดตี ่อเนือ้ หาวิชาและครูผู้สอน
2.3 ช่วยสร้างแรงจงู ใจในการเรียนแกน่ กั เรียน
2.4 นกั เรียนมคี วามสุขและสนุกต่อการเรยี น
2.5 ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีในชั้นเรียนระหวา่ งนักเรียนกับครูและระหว่างนักเรียนกับเพื่อนใน
ช้นั
2.4 แนวคดิ ทฤษฎีทเี่ กยี่ วข้องกบั การวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
ไพศาล หวังพานิช (2549) ได้แบ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นตามจดุ มุ่งหมายและลักษณะวิชา
ที่สอน ซึ่งสามารถวดั ได้ 2 แบบ คือ เป็นได้ทั้งแบบรูปธรรม เช่น หนังสือ ภาพถ่าย และสื่อการสอนท่เี ปน็
แบบนามธรรม เชน่ คำพดู วิธสี อน (คณวฒั น์ พรสุริยโรจน์, 2559)
1.การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะของผู้เรียน
โดยเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถดังกล่าวในรูปของการกระทำจริงให้ออกเป็นผลงาน เช่น วิชา
ศลิ ปศกึ ษา พลศึกษา การช่าง เปน็ ตน้ การวัดแบบนจ้ี ึงต้องใช้ขอ้ สอบภาคปฏิบตั ิ (Performance Test)
2.การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา อันเป็นประสบการณ์การ
เรียนของผ้เู รียน รวมถงึ พฤติกรรมความสามารถในด้านตา่ ง ๆ สามารถวดั ไดโ้ ดยใช้ "ข้อสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ"
(Achievement Test)
15
การวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น จะต้องสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ดา้ น คอื
1.ด้านความรู้ ความคิด (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ
ทางดา้ นสตปิ ัญญา และสมอง ประกอบดว้ ยพฤติกรรม 6 ด้าน ดงั น้ี
1.1 ด้านความรูค้ วามจำ หมายถงึ ความสามารถระลกึ ถึงเรือ่ งราวประสบการณท์ ่ผี า่ นมา
1.2 ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการจับใจความ การแปลความ การตีความ
การขยายความของเร่ืองได้
1.3 การนำไปใช้ หมายถึง ความสมารถในการนำความรู้หรือหลักวิชาที่เรียนมาแล้วในการสร้าง
สถานการณจ์ ริง ๆ หรอื สถานการณท์ ค่ี ลา้ ยคลึงกนั
1.4 การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆหรือวัตถุสิ่งของเพ่ือ
ต้องการคน้ หาสาเหตเุ บอ้ื งตน้ หาความสมั พันธ์ระหวา่ งใจความ ระหว่างสว่ นรวม ระหว่างตอนตลอดจนหา
หลักการท่ีแฝงอยใู่ นเรอื่ ง
1.5 การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้มาจัดระบบใหม่ เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่
เหมือนเดมิ มีความหมายและประสทิ ธิภาพสูงกว่าเดมิ
1.6 การประเมินค่า หมายถึง การวินิจฉัยคุณค่าของบุคคล เรื่องราว วัสดุสิ่งของ อย่างมี
หลักเกณฑ์
2.ด้านความรู้สึก (Affective Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและ
พฒั นาการในด้านความสนใจ คุณคา่ ความซาบซึง้ และเจตคตติ ่าง ๆ ของนกั เรยี น
3.ด้านการปฏิบัติการ (Psycho-moto Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะ
ในการปฏิบัติและการดำเนินการ เช่น การทดลอง เปน็ ตน้
สรุปได้ว่าการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถวัดได้ทั้งด้านทักษะปฏิบัติโดยใช้แบบทดสอบ
ภาคปฏิบัติ และการวัดทางด้านเนื้อหาโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซึง่ การวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน จะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ความคิด ด้าน
ความรสู้ ึกและดา้ นการปฏบิ ตั กิ าร
2.3.4 เครอื่ งมือท่ใี ช้ในการวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิถ์ ือวา่ เป็นเคร่ืองมือสำคัญสำหรับครูทีจ่ ะใช้ตรวจสอบพฤตกิ รรมหรือผล
การเรียนรู้ของผเู้ รียนอนั เน่ืองมาจากการเรียนการสอนของครวู ่าผ้เู รยี นมีความรู้ ความสามารถหรอื ประสบ
ผลสำเร็จในการเรยี นมากน้อยเพียงใด ซึ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นนีจ้ ะเป็นแนวทางในการปรับปรงุ
16
และพัฒนการเรียนการสอนต่อไป ซึ่งบุญชม ศรีสะอาด (2535) ได้เสนอลักษณะของเครื่องมือที่ใช้วัดผล
สัมฤทธิ์ทางการเรยี นไว้ 2 ประเภท คอื
1.แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Test หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตาม
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สำหรับตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ท่ี
กำหนดหรือไม่ กรวดั ตามจุดประสงคน์ นั้ เป็นหวั ใจสำคัญของขอ้ สอบในแบบทดสอบประเภทน้ี
2.แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Reference Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อให้วัด
ครอบคลุมหลักสูตร จึงสรา้ งตามตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอบตามความเก่ง
อ่อนไดด้ ี เป็นหวั ใจของข้อสอบประเภทน้ี การรายงานผลการสอบอาศยั คะแนนมาตรฐานซึ่งเป็นคะแนนที่
ใช้ความสมารถในการใหค้ วามหมาย และแสดงถงึ ศักยภาพของบคุ คลนั้น เมอื่ เปรยี บเทียบกับบุคคลอ่ืน ๆ
ท่ีใชเ้ ปน็ กลุ่มเปรียบเทียบ
นอกจากน้ี ลว้ นและองั คณา สายยศ (2536) ได้แบง่ ไวเ้ ป็น 2 พวก คือ
1.แบบทดสอบของครู (Teacher Made Test) หมายถึง ชุดของคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้นซึ่งเป็นข้อ
คำถามทเ่ี กย่ี วกบั ความรู้ที่นักเรยี นไดเ้ รยี นในห้องเรียนวา่ หอ้ งเรยี นมคี วามรมู้ ากแค่ไหน บกพรอ่ งที่จุดไหน
จะไดส้ อนซ่อมเสริม หรอื เปน็ การวัดความพรอ้ มทจี่ ะเรียนบทเรียนใหม่ ซึ่งขน้ึ อย่กู บั ความตอ้ งการของครู
2.แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) แบบทดสอบประเภทนี้สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละ
สาขา หรือจากครูที่สอนวิชานั้น ๆ แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้งจนกระทั่งมีคุณภาพดีพอ จึง
สร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบ เพื่อเป็นหลักเปรียบเทียบผลประเมินค่าของการสอนเรื่องใดก็ได้
แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำเนินการสอน บอกวิธีสอน และยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนน
ดว้ ย
สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ซึ่งแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื แบบทดสอบอิงเกณฑ์ และแบบทดสอบอิงกลุ่ม และยังมีแบบทดสอบของ
ครูและแบบทดสอบมาตรฐานท่ีสามารถวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนได้เชน่ กัน
2.5 แนวคิดทฤษฎที เ่ี กยี่ วขอ้ งกับความพงึ พอใจ
แนวคดิ และทฤษฎีความพงึ พอใจ
จากการศึกษาค้นคว้างานเอกสารและแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ และมีผู้วิจัย
หลายทา่ น ได้ให้ความหมายแนวคิดและทฤษฎี ไว้ดังน้ี
17
โวลแมน (Wolman) (อ้างในสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, 2555) ได้ให้
ความหมายของความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก (Feeling) มีความสุขเมื่อได้รับผลสำเร็จตามความมุ่ง
หมายที่ต้องการหรอื ตามแรงจูงใจ
ทฤษฎีความต้องการของ Maslow (มาสโลว์) (อ้างในสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏ
เชยี งใหม่, 2555) เป็นนกั วิจัยวิทยาชาวองั กฤษ ไดส้ รา้ ง ทฤษฎีความต้องการตามลำดับข้นั สมมติฐานอยู่ 2
ประการ คือ
1.มนุษย์มีความต้องการอยู่ตลอดเวลาตราบใดที่ยังมีชวี ติ อยู่ความต้องการทีไ่ ด้รับการ ตอบสนอง
แล้ว ก็จะไม่เป็นแรงจูงใจสำหรับพฤติกรรมนั้นอีกต่อไป ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง เท่าน้ัน
จึงจะมีอทิ ธพิ ลจูงใจตอ่ ไป
2.ความต้องการของคนมีลักษณะเป็นลำดับขั้นจากต่างไปหาสูงตามลำดับความสำคัญในเม่ือ
ความต้องการขั้นต่ำได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการขั้นสูงก็จะตามมา มาสโลว์ได้แบ่งลำดับความ
ต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ลำดับ ดังน้ี
2.1 ความตอ้ งการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs)
2.2 ความตอ้ งการความปลอดภัยหรือความมัน่ คง (Security or Safety Needs)
2.3 ความตอ้ งการทางด้านสงั คม (Social or Belongingness Needs)
2.4 ความตอ้ งการทจี่ ะมฐี านะเด่นในสังคม (Esteem or Status Needs)
2.5 ความตอ้ งการทจ่ี ะได้รบั ความสำเรจ็ ในชีวติ (Self-actualization or SelfRealization)
สง่า ภู่ณรงค์ (2540) ได้กล่าวว่าความพึงพอใจหมายถึงความรู้สกึ ที่เกิดขึน้ เมื่อได้รับความสำเร็จ
ตามความมงุ่ หมาย หรือเปน็ ความรสู้ ึกขัน้ สดุ ท้ายที่ได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์
ปรญิ ญา จเรรชั ตแ์ ละคณะ (2546) กล่าวไว้วา่ ความพึงพอใจ หมายถงึ ท่าทีความรู้สกึ หรือทัศนคติ
ในทางที่ดีของบุคคลที่มีต่อสิ่งที่ปฏิบัติร่วมปฏิบัติ หรือได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติโดยผลตอบแทนที่ได้รับ
รวมทง้ั สภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ ท่เี กยี่ วข้องเปน็ ปจั จัยทำใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจหรอื ไม่พึงพอใจจากความหมาย
ของความพึงพอใจดังกล่าวพอสรุปความได้ว่าความพึงพอใจเป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง ที่เป็นนามธรรมเป็น
ความรู้สึกส่วนตัวทั้งทางด้านบวกและลบขึน้ อยู่กับการได้รับการตอบสนองเป็นสิ่งที่กำหนดพฤติกรรม ใน
การแสดงออกของบคุ คลทีม่ ีผลต่อการเลอื กท่ีจะปฏบิ ตั สิ งิ่ ใดส่ิงหนึ่ง
18
สุภาลักษณ์ ชัยอนันต์ (2540) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจเป็น
ความรสู้ ึกส่วนตัวที่รูส้ ึกเป็นสขุ หรือยินดที ี่ได้รับความตอบสนองความต้องการในสงิ่ ที่ขาดหายไป หรือสิ่งท่ี
ทำใหเ้ กิดความไม่สมดุล ความพึงพอใจเป็นส่ิงท่ีกำหนดพฤติกรรมท่ีจะแสดงออกของบุคคล ซง่ึ มีผลต่อการ
เลือกที่จะปฏบิ ตั ิในกิจกรรมใด ๆ นั้น
ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (2541) กล่าวถึง ความหมายของความพึงพอใจในการบริการสามารถจำแนก
เป็น 2 ความหมาย ในความหมายที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของผู้บริโภคหรือผู้รับบริการ (Customer
satisfaction) และความพึงพอใจในงาน (Job satisfaction) ของผู้ใหบ้ รกิ าร ดงั น้ี
1.ความหมายของความพึงพอใจของผู้บริการ ตามแนวคดิ ของนักการตลาดจะพบนิยามของความ
พึงพอใจของผ้รู บั บริการเปน็ 2 นยั คอื
1.1 ความหมายทยี่ ดึ สถานการณก์ ารซ้อื เปน็ หลัก ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจเป็นผลที่เกิดข้ึน
เน่อื งจากการประเมินสงิ่ ที่ไดร้ ับภายหลงั สถานการณก์ ารซื้อสถานการณ์หน่งึ มักพบในงานวจิ ยั การตลาดที่
เนน้ แนวคดิ ทางพฤติกรรมศาสตร์
1.2 ความหมายที่ยืดประสบการณ์เกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าเป็นหลัก ให้ความหมายว่า ความ
พงึ พอใจเปน็ ผลท่ีเกิดขน้ึ เนอ่ื งจากการประเมินภาพรวมทั้งหมดของประสบการณห์ ลาย ๆ อยา่ งทเ่ี กย่ี วข้อง
กับผลิตภัณฑ์หรอื บริการในระยะเวลาหนึ่ง หรืออีกนัยหนึง่ คือ ความพึงพอใจ หมายถึง การประเมินความ
สมารถของการนำเสนอผลิตภัณฑห์ รอื บรกิ ารท่ีตรงกับความต้องการของลูกค้าอยา่ งต่อเน่ือง
2.ความหมายของความพึงพอใจในงานของผูบ้ ริการ ตามแนวคิดของนักจิตวิทยาองค์กรความพงึ
พอใจในการทำงานจะมีผลต่อความสำเร็จของงานเป็นเป้าหมายสูงสุดของความสำเร็จในการดำเนินงาน
บริการข้ึนอย่กู บั กลยุทธ์ การสร้างความพงึ พอใจให้กับลกู คา้ เพื่อใหล้ ูกค้าเกิดความรสู้ ึกทด่ี ีและประทับใจ
ในการบริการทไี่ ดร้ ับจนติดใจและกลับมาใชบ้ รกิ ารเป็นประจำ การศึกษาความพงึ พอใจของลูกค้าตลอดจน
ผู้ปฏิบัติงานถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้จะนำมาซึ่งความได้เปรียบในเชิงการ
แข่งขันทางการตลาด เพื่อความก้าวหน้าและการเติบโตของธุรกิจบริการอย่างไม่หยุดยั้ง และส่งผลให้
สัดมส่วนรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงกล่าวได้ว่า ความพึงพอใจมีความสำคัญต่ อผู้ให้บริการและ
ผรู้ ับบรกิ าร
มณี โพธิเสน (2543) ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกยินดีหรือเจตคติที่ดีของ
บุคคลเมือ่ ไดร้ ับการตอบสนองความต้องการของตน ทำให้เกดิ ความรสู้ กึ ที่ดใี นสง่ิ นนั้ ๆ
19
อุทัยพรรณ สุดใจ (2544) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สกึ หรือทัศนคติของบคุ คลที่มีต่อ สิ่งใด
สิ่งหนึ่งโดยอาจจะเป็นไปในเชิงประเมินค่ว่า ความรู้สึกหรือทัศนคติต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นเป็นไปในทางบวก
หรอื ทางลบ
พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตสถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 775) ได้ใหค้ วามหมายของความ พงึ พอใจ
หมายถึง ความพึงพอใจ ความชอบใจ ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Satisfaction จากที่กล่าวมาทัง้ หมดข้าง
ตัน จงึ สรุปไดว้ า่ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรู้สึกที่เป็นการยอมรับ ความรูส้ ึกชอบ ความรู้สึกที่ยินดีกับ
การปฏบิ ตั งิ าน ท้งั การให้บริการและการรับบรกิ ารในทกุ สถานการณ์ ทุกสถานท่ี
สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ คือ ทัศนคติอย่างหนึ่งที่ใช้บ่งบอกถึงความชอบ อาจมีมากหรือน้อย
ขึ้นอยู่กบั ตัวบคุ คลนนั้ ๆ ท่ีได้พบเจอ เม่ือมกี ารวัดความพึงพอใจของผเู้ รียนก็จะนำไปสกู่ ระบวนการพัฒนา
โดยครผู สู้ อนเพ่อื ให้การเรยี นการสอนมีประสิทธิภาพท่ีดยี ่งิ ขึ้น
ลักษณะความพงึ พอใจ
ลักษณะความพึงพอใจผู้วิจัยได้ศึกษาจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและได้นำมาเสนอลักษณะ
ของความพงึ พอใจของนักวิชาการตา่ ง ๆ ดังนี้
สุรศักด์ิ นาถวิล (2544 : 10) ได้กลา่ ววา่ ลกั ษณะความพึงพอใจไว้ ดังนี้
1.ความพึงพอใจเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกทางบวก ของบุคคลหรือสิ่งหนึ่งส่ิง
ใด บุคคลจะรบั รู้ความพึงพอใจ จำเปน็ ตอ้ งมกี ารปฏสิ ัมพันธ์กบั สภาพแวดล้อมรอบตัวการตอบสนองความ
ต้องการของมนษุ ย์ สว่ นบคุ คลด้วยการโต้ตอบกับบุคคลอืน่ และสิง่ ต่าง ๆ ในชวี ิตประจำวันทำใหแ้ ตล่ ะคนมี
ประสบการณ์รับรู้ เรียนรู้ สิ่งที่ได้รับการตอบสนองแตกต่างกันไป และหากสิ่งที่ได้รับเป็นไปตามความ
ต้องการกจ็ ะกอ่ ให้เกดิ ความพงึ พอใจ
2.ความพึงพอใจเกิดจากกรประเมินความแตกต่าง ระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่ได้รับจริงใน
สถานการณ์ บริการก่อนที่ลูกค้าจะมาใช้บริการใดก็ตาม มักจะมีมาตรฐานของการบริการนั้นไว้ในใจอยู่
ก่อนเสมอแล้ว ซึ่งมีแหล่งอ้างอิงมาจากคุณดำหรือเจตคติที่ยืดถือต่อบริการประสบการณ์ดั้งเดิมที่เคยใช้
บริการ การบอกเล่าของผู้อื่นกรรบั ทราบข้อมูล การรบั ประกนั บริการจากโฆษณา การให้คำมั่นสัญญาของ
ผู้ให้บริการเหลา่ นีเ้ ปน็ ปัจจัยพื้นฐาน ที่ผู้ใช้บรกิ ารเหล่าน้ีเป็นปจั จัยพื้นฐานท่ีผูร้ บั บรกิ าร ใช้เรียบเทียบกบั
บริการที่ได้รับในวงจร ของการให้บริการตลอดช่วงเวลาของความจริง สิ่งที่ผู้บริการได้รับความรู้เกี่ยวกับ
การบริการที่ได้รับการบริการ คือ ความคาดหวังในสิ่งที่คิดว่าได้รับ (Expectations) นี้มีอิทธิพลต่อ
ช่วงเวลาของการเผชญิ ความจรงิ หรือการพบปะระหว่างผู้ ให้บริการและผู้รบั บริการเป็นอย่างมาก เพราะ
ผู้รับบริกรจะประเมินเปรียบเทียบสิ่งที่ได้รับจริงในกระบวนการบริการที่เกิดขึ้น (Performance) กับ
20
ความหวงั เอาไว้หากสิ่งท่ไี ด้รบั เปน็ ไปตามความคาดหวงั ถือว่าเป็นการยนื ยนั ทถ่ี ูกต้อง (Confirmation) กับ
ความคาดหวังที่มีผู้รับริการย่อมเกิดความพึงพอใจต่อการบริการดังกล่าว แต่ถ้าไม่เป็นไปตามคาดหวัง
อาจจะสูงหรือต่ำกว่านับว่าเป็นการยืนยันที่คลาดเคลื่อน (Disconfirmation) ความคาดหวังดังกล่าวทั้งน้ี
ช่วงความแตกต่าง (Discrimination) ที่เกิดขึ้นจะช้ีให้เห็นระดับความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจมากนอ้ ยได้
ถา้ ยนื ยันเบ่ยี งเบนไปในทางบวกแสดงถงึ ความพงึ พอใจ ถ้าไปในทางลบแสดงถึงความไมพ่ อใจ
จากความหมายทกี่ ล่าวมาทง้ั หมดข้างตัน สรปุ ไดว้ า่ ลกั ษณะของความพึงพอใจเปน็ การแสดงออก
ทางอามณ์และความรู้สึกทางบวกของบุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด บุคคลจะรับรู้ความพึงพอใจที่รู้สึกได้ในข้ัน
สดุ ท้ายที่ไดร้ ับผลสำเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์
การวัดความพึงพอใจ
การวดั ความพึงพอใจ ปรญิ ญา จเรรชั ต์และคณะ (2546, หน้า 5) กล่าวว่ามาตรวดั ความพึงพอใจ
สามารถกระทำได้หลายวธิ ไี ด้แก่
1.การใช้แบบสอบถามโดยผู้สอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการทราบความคิดเห็นซึ่ง
สามารถทำได้ในลักษณะที่กำหนดคำตอบให้เลือก หรือตอบคำถามอิสระคำถามดังกล่าวอาจถามความพึง
พอใจในดา้ นต่าง ๆ เช่นการบริการการบรหิ ารและเงอื่ นไขต่าง ๆ เปน็ ต้น
2.การสัมภาษณ์เป็นวิธีวดั ความพึงพอใจทางตรงทางหน่ึงซึ่งต้องอาศัยเทคนิค และวิธีการท่ีดที ่จี ะ
ทำให้ไดข้ อ้ มลู ท่ีเป็นจริงได้
3.การสังเกตเป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ไม่ว่าจะ
แสดงออกจากการพูดกิริยาท่าทาง วิธีนี้จะต้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจัง และการสังเกตอย่างมี
ระเบยี บแบบแผน
สรุปได้ว่า การวัดความพึงพอใจ สามารถหาได้หลายวิธีเช่นการใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์
และการสังเกต ผู้วิจัยจึงไดใ้ ช้การวัดความพึงพอใจโดยใช้แบบสอบถามเพราะเป็นการตอบคำถามท่ีอิสระ
และสามารถแสดงทัศนคติของบุคคลไดอ้ ย่างชดั เจน
21
2.6 การหมุนเวยี นของอากาศ
การหมุนเวียนของอากาศ
โลกมสี ัณฐานเป็นทรงกลม โคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 1 ปี หากโลกไมห่ มนุ รอบ
ตัวเอง บริเวณเส้นศูนย์สูตรของโลกจะเปน็ แถบความกดอากาศตำ่ (L) มีอุณหภมู ิสูง เนื่องจากแสงอาทิตย์
ตกกระทบเปน็ มุมฉาก สว่ นบรเิ วณขว้ั โลกทง้ั สองจะเป็นแถบความกดอากาศสูง (H) มีอุณหภมู ติ ำ่
เน่อื งจากแสงอาทติ ยต์ กกระทบเป็นมมุ ลาดขนานกบั พ้ืน อากาศร้อนบริเวณศูนยส์ ูตรยกตัวขนึ้ ทำใหอ้ ากาศ
เยน็ บริเวณข้ัวโลกเคล่อื นตัวเข้าแทนที่ การหมนุ เวยี นของบรรยากาศบนซีกโลกท้ังสองเรยี กวา่ “แฮดเลย์
เซลล์” (Hadley cell) ดังรปู
ภาพ 2.1 การหมนุ เวยี นของอากาศแบบเซลลเ์ ดยี ว
ทว่าความเปน็ จรงิ โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชว่ั โมง เซลลก์ ารหมนุ เวียนของ
บรรยากาศ จงึ แบ่งออกเป็น 3 เซลล์ ได้แก่ แฮดเลยเ์ ซลล์ (Hadley cell), เฟอร์เรลเซลล์ (Ferrel cell)
และ โพลาร์เซลล์ (Polar cell) ในแต่ละซีกโลก ดงั ภาพท่ี 2
ภาพ 2.2 การหมุนเวยี นของอากาศในแตล่ ะเขตละตจิ ดู
22
แถบความกดอากาศตำ่ บริเวณเสน้ ศนู ยส์ ตู ร (Equator low) เปน็ เขตทไ่ี ดร้ บั ความร้อนจากดวง
อาทิตย์มากที่สดุ กระแสลมค่อนขา้ งสงบ เนื่องจากอากาศร้อนช้นื ยกตัวขึ้น ควบแนน่ เป็นเมฆคิวมลู สั ขนาด
ใหญ่ และมีการคายความร้อนแฝงจำนวนมาก ทำให้เปน็ เกดิ พายุฝนฟ้าคะนอง อากาศช้นั บนซึ่งสูญเสยี ไอ
น้ำไปแล้วจะเคล่ือนตัวไปทางขั้วโลก
แถบความกดอากาศสูงกึง่ ศนู ยส์ ตู ร (Subtropical high) ที่บรเิ วณละติจูดท่ี 30° เปน็ เขตแหง้ แล้ง
เนอ่ื งจากเปน็ บริเวณท่ีอากาศแหง้ จากแฮดลีย์เซลล์และเฟอรเ์ รลเซลล์ ปะทะกนั แล้วจมตัวลง ทำใหพ้ น้ื ดิน
แหง้ แล้งเป็นเขตทะเลทราย และพื้นนำ้ มีกระแสลมอ่อนมาก เราเรยี กเส้นละตจิ ูดท่ี 30° วา่ “เสน้ รงุ้ ม้า”
(horse latitudes) เนือ่ งจากเป็นบรเิ วณท่กี ระแสลมสงบ (จนเรอื ใบยุคโบราณไม่สามารถเคล่อื นท่ีได้
ลกู เรือต้องโยนข้าวของสินค้า รวมทั้งมา้ ทบี่ รรทุกมาทงิ้ ทะเลเพือ่ ท่ีจะให้เรือแลน่ ได้) อากาศเหนอื ผิวพ้ืน
บริเวณเสน้ รุง้ มา้ เคล่ือนตวั ไปยงั แถบความกดอากาศต่ำบรเิ วณเส้นศนู ย์สูตร ทำใหเ้ กิด “ลมคา้ ” (Trade
winds) แรงโคริออรสิ ซ่ึงเกดิ จากการหมุนรอบตัวของโลกเข้ามาเสรมิ ทำใหล้ มค้าทางซีกโลกเหนอื เคล่ือนที่
มาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และลมค้าทางซกี โลกใต้เคลื่อนที่มาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ ลมค้าทั้ง
สองปะทะชนกนั และยกตวั ขึน้ บรเิ วณเส้นศนู ย์สตู ร แถบความกดอากาศตำ่ น้ีจงึ มีอีกชือ่ หนึ่งวา่ “แนวปะทะ
อากาศยกตัวเขตร้อน” หรอื “ITCZ” ย่อมาจาก Intertropical Convergence Zone
แถบความกดอากาศตำ่ ก่ึงขว้ั โลก (Subpolar low) ท่ีบรเิ วณละตจิ ูดท่ี 60° เปน็ เขตอากาศยกตัว
เนื่องจากอากาศแถบความกดอากาศสูงกง่ึ ศูนย์สูตร (H) เคลื่อนตัวไปทางขวั้ โลก ถูกแรงโคริออรสิ เบีย่ งเบน
ให้เกิดลมพดั มาจากทิศตะวนั ตก เรยี กวา่ “ลมเวสเทอลสี ”์ (Westerlies) ปะทะกับ “ลมโพลาร์อสี เทอ
ลีส”์ (Polar easteries) ซึง่ พดั มาจากทิศตะวันออก โดยถูกแรงโคริออริสเบีย่ งเบนมาจากขวั้ โลก มวล
อากาศจากลมท้ังสองมีอุณหภูมแิ ตกต่างกันมาก ทำให้เกดิ ”แนวปะทะอากาศขวั้ โลก” (Polar front) มี
พายฝุ นฟ้าคะนอง อากาศชน้ั บนซง่ึ สญู เสยี ไอน้ำไปแล้วจะเคล่อื นตัวไปยงั จมตัวลงท่เี ส้นรุ้งมา้ และบรเิ วณ
ข้ัวโลก ทำให้เกิดภูมิอากาศแหง้ แล้ง
23
2.5 งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง
งานวจิ ยั ในประเทศ
วิภาวี จำปาแก้ว (2560). การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
กอ่ นและหลงั เรียน โดยการจดั การเรียนแบบผสมผสานด้วยวิธกี ารสอนแบบสาธติ เพอ่ื การฝกึ ทักษะปฏิบัติ
เรื่องการสร้างภาพเคลื่อนไหววิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก 2) เพื่อศึกษาผลของการปฏิบัติงานการสร้าง
ภาพเคลื่อนไหว โดยการจัดการเรียนแบบผสมผสาน ด้วยวิธีการสอนแบบสาธิต เพื่อการฝึกทักษะปฏิบัติ
เรื่องการสร้างภาพเคลื่อนไหว วิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ต่อการ
เรียน โดยการจัดการเรียนแบบผสมผสาน ด้วยวิธีการสอนแบบสาธิต เพื่อการฝึกทักษะปฏิบัติ เรื่องการ
สร้างภาพเคลื่อนไหว วิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรยี นโดย
การจัดการเรียนแบบผสมผสานด้วยวิธีการสอนแบบสาธิต เพื่อการฝึกทักษะปฏิบัติ เรื่องการสร้าง
ภาพเคลื่อนไหว วิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก มีคะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถติ ิทรี่ ะดับ .01
กมลทิพย์ บริบูรณ์ (2558). การศึกษาในครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ศึกษาความกาวหน้าทางการเรียน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้
ด้วยเทคนิคการสอนแบบสาธิต เรื่ออง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ผลการวิจัยพบวานักเรียนมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนที่ค่าเฉล่ียแตกต่างกันในการสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ความกาวหน้าทางการเรียนทั้งชั้นเรียนอยู่ในระดับสูง (ค่าจีเท่ากับ 0.70) นักเรียนมีความพึงพอใจระดับ
มากทสี่ ุดต่อเทคนคิ การสอนแบบสาธิต (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54)
วลยั นุช สกุลนยุ้ (2555). งานวิจัยฉบบั มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาปจั จยั ทม่ี ีผลต่อการใชสื่อการสอน
ตามความคิดเห็นของครู ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดนนทบุรีและเพื่อเปรียบเทียบการใช้สื่อการ
สอนของครูศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน โดยจำแนกตามเพศ อายุ และระดับการศึกษาสูงสุด ผลการวิจัย
พบว่า สื่อการสอนที่นำไปใช้ในการสอนของครู คือ คู่มือ เอกสาร หรือ Sheetประกอบการสอน ปัจจัย
ด้านตัวครูเกี่ยวกบั เจตคติต่อการใชสื่อการสอนพบวา่ สื่อการสอนเป็นสิ่งที่จำเป็นในการจดั การเรยี นการ
สอน ปัจจัยด้านความรู้และทักษะเกี่ยวกับการใช้สื่อการสอนพบว่า ครูมีความสามารถในการเลอื กสื่อการ
สอนให้เหมาะสมกบั ระดับวัยและความสามารถของผู้เรียนแตล่ ะบุคคล
ยศพัทธ์ ยาย่อ (2559). งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้
เกิดประสิทธิภาพ ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้นโดยการใช้สื่อประกอบการสอน
รายวิชา วงจรไฟฟ้า ผลการวิจัยพบว่าสื่อการเรียนการสอนและการสอนแบบ Happy Leaning มีส่วน
สำคัญในการจัดการเรียนการสอน ที่จะทำให้นักศึกษาประสบความสำเร็จในการเรียนในวิชาสอน
24
วงจรไฟฟ้า ซ่ึงเป็นวิชาท่มี เี น้ือหาวชิ าเป็นการคำนวณและสมการทย่ี ุ่งยาก ทำให้มีความนา่ เบ่ือในการเรียน
การสอน ดังนั้นในการเรียนการสอนครั้งต่อไปจึงตระหนักถึงเรื่องสื่อการเรียนการสอนให้มาก จึงจะทำให้
นกั ศกึ ษาประสบความสำเรจ็ ในการเรียนในวชิ าวงจรไฟฟ้าได้
ประพนั ธ์ เกยี รตเิ ผา (2559). การวิจยั คร้งั นม้ี ีวัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ 1) พัฒนาสื่อการสอนอเิ ล็กทรอ-
นิคผ่านเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ต ให้มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์คะแนนสอบ
ก่อนเรียนกบั คะแนนสอบหลงั เรยี น ของการเรียนด้วยส่อื การสอนอิเล็กทรอนิคผ่านเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต
3) สำรวจความพงึ พอใจของการใช้สือ่ การสอนอิเล็กทรอนิคผา่ นเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต ผลการวิจัย พบวา่
ส่อื การสอนอเิ ล็กทรอนิคผา่ นเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต มปี ระสิทธิภาพ 83.11/82.35 เปน็ ไปตามเกณฑ์ที่
กำหนด 80/80 ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธค์ิ ะแนนสอบก่อนเรียนกบั คะแนนสอบหลังเรยี นไม่แตกตา่ ง
กนั ที่นัยสำคัญที่ .05 และความพึงพอใจของการใชส้ อ่ื การสอนอิเล็กทรอนิค อยู่ในระดบั ที่สงู มาก
25
บทที่ 3
วธิ ีการดำเนนิ การวจิ ยั
การวจิ ยั ครัง้ น้เี ปน็ การวิจัย เพ่ือศกึ ษาการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชส้ ื่อการสอนรว่ มกับวธิ ีสอน
แบบสาธิต เพอ่ื เปรียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นของนักเรียนในระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษา
ปที ี่ 5 เรอ่ื ง การหมุนเวยี นของอากาศ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน หลงั การจดั การเรยี นรู้โดยใช้ส่ือ
การสอนรว่ มกับวิธสี อนแบบสาธติ โดยรายละเอียดเกย่ี วกับขนั้ ตอนการดำเนินงานวจิ ยั ดังต่อไปนี้
3.1 รปู แบบการวจิ ยั
3.2 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
3.3 เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั
3.4 วิธสี ร้างเคร่อื งมือ
3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.6 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
3.1. รูปแบบการวจิ ยั
แบบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนมีแบบแผนการวจิ ยั แบบกลุ่มตวั อย่างเดียวที่มีการวัดก่อนเรยี น
และหลงั เรียน (The One-Group Pretest-Posttest Design) เพ่ือเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
กอ่ นเรียนและหลังเรียน ของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ทไี่ ด้รบั การจัดการเรียนร้โู ดยใชส้ ือ่ การสอน
รว่ มกับวธิ ีสอนแบบสาธติ เร่ืองการหมุนเวียนของอากาศ
O1 → X → O2
เมอ่ื O1 ทดสอบก่อนเรยี น (pretest)
X การจดั การเรียนรโู้ ดยใชส้ ่อื การสอนรว่ มกบั วธิ ีสอนแบบสาธิต
O2 ทดสอบหลงั เรียน (posttest)
3.2 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
3.2.1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 แผนการเรียนศิลปะและการ
แสดง ภาคการเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จากโรงเรียนมหรรณพาราม เขตตลิ่งชัน จังหวั ด
กรงุ เทพมหานคร จำนวน 180 คน
26
3.2.2 กลมุ่ ตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 โรงเรียนมหรรณพาราม
เขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 20 คน ซงึ่ ได้มาจากการ
เลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling)
3.3 เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัย
เคร่อื งมือท่ีใช้ในงานวิจัยคร้ังนี้ ประกอบไปดว้ ย
1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต เรื่องการหมุนเวียนของ
อากาศ
2. แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธี
สอนแบบสาธิต
3.4 วิธีสรา้ งเคร่ืองมอื
3.4.1 แผนการจัดการเรยี นรู้
1. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และรายละเอียดต่าง ๆ
เกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิตเพื่อเป็นแนวทางในการ
พัฒนาการจัดการเรยี นรู้โดยใชส้ ือ่ การสอนร่วมกับวธิ สี อนแบบสาธิต เรือ่ งการหมุนเวียนของอากาศ
2. ศึกษารายละเอียดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ
การเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ 2560) ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 และศึกษาเน้ือหาวิชาโลก ดารา
ศาสตร์ และอวกาศ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ ของสถาบันส่งเสริมการสอน
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และสำนักพมิ พ์อ่นื ๆ
3.4.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
1. ศึกษาวิธกี ารสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน จากหนังสอื และเอกสารต่าง ๆ
2. ศึกษารายละเอียดของเน้อื หาจากหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ 2560) ระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 เรือ่ ง การหมุนเวียน
ของอากาศ และหนังสอื จากสำนักพิมพ์อืน่ ๆ
3. วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวงั ของวชิ าโลกดาราศาสตร์ และอวกาศ เรอื่ ง การหมนุ เวียน
ของอากาศ เพื่อให้สอดคล้องกบั กระบวนการทต่ี ้องการวัด
27
4. ดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรียน รายวิชาโลก ดาราศาสตร์ และ
อวกาศพื้นฐาน เรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ ซึ่งเป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice)
ชนดิ 4 ตวั เลือก จำนวน 15 ข้อ
5. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรียนที่สร้างขึ้น เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอ
คำแนะนำและปรับปรุงแก้ไข และเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญทางการสอนวิชาฟิสิกส์จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบ
ความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (IOC) เพื่อพิจารณาความชัดเจนของคำถาม
ความเหมาะสมของตวั เลือก ความสอดคล้องกบั จุดประสงค์หรือเน้ือหา และความเหมาะสมกับพฤติกรรม
การเรียนร้ทู ่ตี อ้ งการวดั โดยมีเกณฑก์ ารใหคะแนนดังนี้
ให้คะแนน +1 เมอื่ แน่ใจว่าขอ้ สอบนน้ั วดั ไดต้ รงตามจดุ ประสงค์/เน้อื หานนั้
ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนัน้ วดั ได้ตรงตามจุดประสงค์/เน้ือหานั้น
ให้คะแนน -1 เม่อื แน่ใจว่าขอ้ สอบนั้นวดั ได้ไมต่ รงตามจุดประสงค์/เน้ือหานั้น
6. วิเคราะห์ข้อมูลหาดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เมื่อนำ
แบบทดสอบเสนอตอ่ ผู้เชีย่ วชาญทางการสอนวิชาฟิสิกส์ ซ่ึงเปน็ ครูโรงเรยี นมหรรณพาราม จำนวน 3 ท่าน
เป็นผู้ตรวจประเมินความสอดคล้องดังกล่าว พบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่า IOC อยู่
ระหว่าง 0.67 – 1.00 นั้น แสดงว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับนี้มีความเหมาะสมในการ
วัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นท้งั ก่อนเรียนและหลงั เรียนในการวจิ ัยคร้ังนี้
7. ผู้วิจัยทำการคัดเลอื กแบบทดสอบจำนวน 15 ข้อ เพ่ือนำไปใชใ้ นการวจิ ัยคร้งั น้ี โดยเลือกจาก
ข้อที่มคี ่า IOC ตง้ั แต่ 0.67 ข้ึนไป ทำการปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผเู้ ชี่ยวชาญ
3.4.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของผเู้ รียน
การสำรวจความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบ
สาธิต เรื่องการหมุนเวียนของอากาศ ผู้วิจัยได้ใช้แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้แบบจำลองโต้ตอบ
เสมือนจรงิ ประกอบไปด้วยคำถามจำนวน 10 ขอ้ โดยมรี ะดับการประเมินค่าความพงึ พอใจ 5 ระดับ ดงั นี้
ระดบั 5 พงึ พอใจมากท่ีสุด ( มีค่าคะแนนระหว่าง 4.20 – 5.00 )
ระดบั 4 พงึ พอใจมาก ( มคี ่าคะแนนระหวา่ ง 3.40 – 4.19 )
ระดบั 3 พงึ พอใจปานกลาง ( มีค่าคะแนนระหว่าง 2.40 – 3.39 )
ระดับ 2 พึงพอใจน้อย ( มคี ่าคะแนนระหว่าง 1.80 – 2.39 )
ระดบั 1 พงึ พอใจน้อยท่สี ุด ( มีคา่ คะแนนระหว่าง 1.00 – 1.79 )
28
3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ผ้วู ิจยั ได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู โดยมขี ้นั ตอน ดังต่อไปน้ี
1. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน จำนวน 15 ข้อ ทำการทดสอบ
กบั นักเรียนกลุม่ เป้าหมาย จากนน้ั เกบ็ คะแนนไวใ้ ชเ้ ปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นหลังเรียน
2. จดั การเรียนการสอน เรื่องการหมุนเวยี นของอากาศ โดยใช้สอื่ การสอนร่วมกบั วิธสี อน
แบบสาธติ
3. เม่ือนักเรยี นกลมุ่ ตวั อย่างเรียนเสรจ็ เรียบร้อย ใหน้ ักเรียนกลมุ่ ตัวอยา่ งทำแบบทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรยี นเรอื่ งการหมุนเวียนของอากาศ และแบบประเมนิ ความพึงพอใจตอ่
การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชส้ อื่ การสอนร่วมกบั วธิ ีสอนแบบสาธิต
4. นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนและหลัง
เรยี นมาทำการวิเคราะห์ขอ้ มูลทางสถิติ เพ่ือวเิ คราะห์ผลความก้าวหน้าทางการเรียน และวเิ คราะห์ผลแบบ
ประเมินความพึงพอใจทางการเรยี น โดยวธิ กี ารทางสถติ เิ พอื่ ประเมนิ ผลของความพึงพอใจ
3.6 การวเิ คราะหข์ ้อมลู
ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ผวู้ ิจยั ได้ดำเนินการวิเคราะห์ขอ้ มลู ดงั น้ี
1. การหาค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ งจดุ ประสงค์หารเรยี นรูห้ รอื เนื้อหา หรือคา่ IOC ของแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เรื่อง การหักเหของแสง โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน โดยพิจารณาจากการ
ใช้สูตร (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543)
∑R
IOC = N
เมื่อ IOC แทนคา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งแบบทดสอบกบั จุดประสงค์
∑ R แทนคา่ ผลรวมคะแนนของผเู้ ชยี่ วชาญท้ังหมด
N แทนคา่ จำนวนผู้เช่ยี วชาญ
29
2. คา่ ร้อยละ (percenter)
โดยที่ P f
P = n × 100
คอื ค่ารอ้ ยละ
f คือ ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด
n คือ ขนาดของกลุม่ ตัวอย่าง
3. คา่ เฉลี่ย (mean)
สตู รคา่ เฉลยี่
̅X = ∑X
n
โดยท่ี X̅ คอื คา่ เฉล่ียของคะแนนสอบของนกั เรยี น
∑ X คอื ผลรวมของคะแนนของนกั เรียนแต่ละคน
n คอื จำนวนนกั เรียน
4. สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
S. D. = √n ∑ X2 − (∑ )2
n(n − 1)
โดยท่ี . . คอื ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนนกั เรียน
คอื คะแนนของนกั เรยี น
∑ คอื ผลรวมของคะแนนของนกั เรียนแต่ละคน
∑ 2 คอื ผลรวมคะแนนทั้งหมดของคะแนนแต่ละตวั ยกกำลังสอง
คือ จำนวนนักเรยี น
30
5. สถติ ทิ ใี่ ช้ในการวเิ คราะหผ์ ลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เพอ่ื เปรียบเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นก่อน
และหลังการใช้ชุดสาธิตการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ
และความก้าวหนา้ ทางการเรยี น (Normalized gain, <g>)(Hake, 1998)
〈g〉 = (%post) − (%pre)
100 − (%pre)
เม่อื 〈g〉 คือ คา่ Normalized gain
(%pre) คอื ค่าร้อยละของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น
(%post) คือ ค่ารอ้ ยละของคะแนนสอบหลงั เรียน
โดยท่ี 〈g〉 ≥ 0.70 หมายความว่ามคี วามก้าวหน้าทางเรียนในระดับสูง (High level)
หมายความว่ามีความก้าวหน้าทางเรียนในระดับปานกลาง (Medium
0.7 > 〈g〉 ≥ 0.3
หมายความวา่ มคี วามกา้ วหนา้ ทางเรยี นในระดับต่ำ (Low level)
level)
〈g〉 < 0.3
31
บทที่ 4
ผลการวิจัย
ผลจากการศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เร่ือง การหมุนเวียนของอากาศ โดยใชก้ ารจดั การ
เรยี นรู้โดยใชส้ อื่ การสอนรว่ มกบั วธิ สี อนแบบสาธติ สำหรับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนมหรรณ
พาราม จงั หวดั กรุงเทพมหานคร โดยผูว้ ิจัยขอเสนอผลการวิจัย ตามลำดบั ขนั ตอนดงั น้ี
4.1 ผลการศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
4.2 ผลการสำรวจความพงึ พอใจต่อการจดั การเรยี นรู้โดยใช้สอ่ื การสอนรว่ มกับวิธีสอนแบบสาธติ
4.1 ผลการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน เรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ
หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มี
คา่ เฉลย่ี ( ̅) สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ( . . ) และความกา้ วหน้าทางการเรียน (<g>) ดงั น้ี
ตารางท่ี 4.1 แสดงผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนกอ่ นและหลังจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้สือ่
การสอนร่วมกับวิธสี อนแบบสาธิต เร่ืองการหมนุ เวียนของอากาศ ของนักเรียนชัน้
มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนมหรรณพาราม จงั หวดั
กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 คน เปน็ รายบคุ คลดงั น้ี
คนท่ี Pre- % Pre Post- % Post < > แปลความหมาย
test test
19 60 10 66.67 0.1 Low level
2 4 26.67 7 46.67 0.2 Low level
39 60 14 93.33 0.8 High level
4 1 6.67 13 75.11 0.7 High level
5 6 40 9 60 0.3 Medium level
6 7 46.67 14 93.33 0.8 High level
73 20 15 100 1 High level
8 4 26.67 8 53.33 0.3 Medium level
96 40 12 80 0.6 Medium level
10 7 46.67 12 80 0.6 Medium level
11 3 20 15 100 1 High level
12 6 40 15 100 1 High level
32
คนที่ Pre- % Pre Post- % Post < > แปลความหมาย
test test
13 8 53.33 13 75.11 0.4 Medium level
14 6 40 10 66.67 0.4 Medium level
15 9 60 12 80 0.5 Medium level
16 6 40 10 66.67 0.4 Medium level
17 8 53.33 12 80 0.5 Medium level
18 7 46.67 10 66.67 0.3 Medium level
19 9 60 15 100 1 High level
20 9 60 15 100 1 High level
จากตารางที่ 4.1 ผลจากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังจัดการเรียนรู้โดยใช้
สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต เรื่องการหมุนเวียนของอากาศ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนมหรรณพาราม จังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 คน เป็น
รายบุคคล พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอน
แบบสาธิต เรื่องการหมุนเวียนของอากาศ เมื่อวิเคราะห์ความก้าวหน้าทางการเรียน (<g>) นักเรียนมี
ความก้าวหน้าทางการเรียนอยู่ในระดับต่ำจำนวน 2 คน, ระดับปานกลางจำนวน 10 คน และอยู่ใน
ระดับสงู จำนวน 8 คน
ตารางที่ 4.2 สรุปความก้าวหน้าทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/5 จากคะแนนสอบก่อน
เรียนและหลงั เรียนโดยใช้ส่อื การสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธติ เร่อื งการหมนุ เวยี นของอากาศ
เรอ่ื ง คะแนนก่อนเรียนเฉลี่ย คะแนนหลังเรยี นเฉล่ยี < > เฉลี่ย
แรงเสยี ดทาน 0.63
̅X S. D X̅ S. D
6.35 2.34 12.05 2.52
จากตารางที่ 4.2 พบว่า ผลข้อมูลคะแนนสอบ เรื่องการหมุนเวียนของอากาศ หลังเรียนมีค่าสูง
กวา่ กอ่ นเรียน ซ่งึ มคี ะแนนเฉลย่ี กอ่ นเรียนและความเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.35 และ 2.34 ตามลำดับ
ส่วนคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนและความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 12.05 และ 2.52 ตามลำดับ และเมื่อ
วิเคราะห์ความกา้ วหนา้ ทางการเรียนเฉล่ีย พบว่ามคี วามกา้ วหน้าทางการเรียนเทา่ กับ 0.63 ซึง่ อยใู่ นระดับ
ปานกลาง (Medium level)
4.2 ความพึงพอใจทางการเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต
เรื่องการหมุนเวยี นของอากาศ
33
ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนก่อนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูแ้ ละหลงั การจดั กิจกรรม
การเรยี นรู้โดยใช้ส่ือการสอนรว่ มกับวธิ ีสอนแบบสาธิต เร่อื งการหมุนเวียนของอากาศแล้วนำคะแนนเฉล่ีย
หลงั การจดั กิจกรรมการเรยี นรมู้ าเปรยี บเทียบโดยใช้ Normalized gain ดงั ตารางต่อไปน้ี
ตารางที่ 4.3 บันทึกผลค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนหลัง
ได้รบั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชส้ ื่อการสอนร่วมกับวธิ สี อนแบบสาธิต เรือ่ งการหมุนเวยี นของอากาศ
หัวข้อประเมิน ̅X S. D แปลผล
ดา้ นเนือ้ หา 4.05 0.67 มาก
1. เนื้อหาท่เี รยี นน่าสนใจสามารถมองเห็นใกลต้ วั นักเรียนพบเจอ 3.95 0.59 มาก
ในชีวติ ประวัน 4.00 0.55 มาก
2. หลังจากเรียนรแู้ ลว้ นักเรียนมีความเขา้ ใจเร่ืองการหมนุ เวียน 4.05 1.20 มาก
ของอากาศ 4.20 0.68 มาก
3. เนื้อหาเข้าใจง่ายและมองเหน็ ไดช้ ัดเจนเมอ่ื ทำกจิ กรรม
4. เน้ือหามปี ระโยชน์ สามารถนำไปใช้ต่อในอนาคตได้ 4.05 0.74 มาก
5. กจิ กรรมการเรยี นการสอนทำให้นักเรียนมโี อกาสแสดงความ
คดิ เห็น 4.30 0.56 มากทีส่ ดุ
คา่ เฉลีย่ 4.25 0.70 มากท่สี ุด
ด้านสอ่ื /นวัตกรรม 4.00 1.18 มาก
6. ส่ือแบบจำลองการหมนุ เวียนของอากาศมีความน่าสนใจ และ
สง่ เสรมิ กระบวนการเรยี นรู้
7. การเรยี นรู้ด้วยส่ือแบบจำลองการหมนุ เวยี นของอากาศ ทำให้
รูส้ กึ สนุกกบั การเรียนมากข้นึ
8. สื่อแบบจำลองการหมนุ เวียนของอากาศช่วยใหเ้ ขา้ ใจใน
เน้ือหามากกว่าการเรียนปกติ
คา่ เฉล่ยี 4.18 0.81 มาก
รวม 4.12 0.78 มาก
จากตารางท่ี 4.3 พบว่านักเรียนมีความพงึ พอใจจากการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชส้ ือ่ การสอน
ร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต เรื่องการหมุนเวียนของอากาศ มีความพึงพอใจด้านเนื้อหาคิดเป็นค่าเฉลี่ยรวม
เท่ากับ 4.05 (ระดับความพึงพอใจมาก) ความพงึ พอใจดา้ นสื่อ/นวัตกรรมคิดเป็นค่าเฉลี่ยรวมเทา่ กบั 4.18
(ระดับความพึงพอใจมาก) และสรุปคดิ เปน็ ค่าเฉลยี่ รวมทัง้ หมด 4.12 (ระดับความพงึ พอใจระดบั มาก)
34
บทที่ 5
สรุปผลการวจิ ัย อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการหมุนเวียนของอากาศ โดยใช้สื่อการ
สอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สามารถสรุปผลการวิจัย อภิปรายและ
ข้อเสนอแนะ ดงั น้ี
ในการวิจัยคร้งั น้ผี วู้ ิจัยไดก้ ำหนดวัตถปุ ระสงค์ไวด้ งั น้ี
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ ก่อนและหลังการ
จดั การเรยี นรโู้ ดยใช้ส่ือการสอนรว่ มกบั วิธสี อนแบบสาธติ ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
2. เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ส่ือ
การสอนร่วมกับวธิ สี อนแบบสาธิต
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5/5 แผนการเรียน ภาษาและธุรกิจ
ภาคการเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จากโรงเรียนมหรรณพาราม เขตตลิ่งชัน จังหวัดกรุงเทพมหานคร
10170 จำนวน 20 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ
รวบรวมข้อมูลได้แก่ แผนการจัดการเรียนการสอน เรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ โดยใช้สื่อการสอน
ร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อ
การสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน และความก้าวหนา้ ทางการเรยี น (normalize gain)
5.1 สรปุ ผลการวิจัย
5.1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพบว่า นักเรียนที่เรียนเรื่อง การหมุนเวียนของอากาศ โดยใช้ส่ือ
การสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีค่า
ความกา้ วหนา้ ทางการเรยี น 0.63 ซึ่งมีความก้าวหน้าทางการเรยี นอยู่ในระดบั ปานกลาง (Medium level)
5.1.2 ผลการวิเคราะห์แบบประเมินความพึงพอใจ พบวา่ นักเรยี นท่ีเรียนเร่อื ง การหมุนเวียนของ
อากาศ โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ความพึง
พอใจด้านเนื้อหาและความพึงพอใจด้านสื่อ/นวัตกรรม พบว่า ผู้เรียนมีความพึงพอใจในด้านเนื้อหาอยู่ใน
ระดับ มาก (X̅ = 4.05) สำหรับความพึงพอใจด้านสื่อ/นวัตกรรม พบว่าผู้เรียนมีความพึงพอใจในระดบั
มาก (X̅ = 4.18)
35
5.2 อภิปรายผลการวิจัย
5.2.1 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อการสอน
รว่ มกับวิธีสอนแบบสาธติ มผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ทง้ั น้ีน่าจะเน่ืองมาจาก การ
จัดการเรียนรู้โดยใช้ส่อื ร่วมกับวธิ ีสอนแบบสาธิต ช่วยส่งเสริมใหน้ ักเรยี นมคี วามรู้ความเข้าใจในเนื้อหาได้ดี
ขึ้น ผลการศึกษาดังกล่าวสอดคล้องกับผลงานวิจัยของ กมลทิพย์ บริบูรณ์ (2558) ที่ได้ศึกษา
ความก้าวหน้าทางการเรียน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้ด้วย
เทคนิคการสอนแบบสาธิต เร่ือง อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี ผลการวจิ ยั พบวานักเรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรียนที่ค่าเฉลี่ยแตกต่างกันในการสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ความก้าวหน้าทางการเรียนทั้งชั้นเรียนอยู่ในระดับสูง (ค่าจีเท่ากับ 0.70) นักเรียนมีความพึงพอใจระดับ
มากที่สุดตอ่ เทคนคิ การสอนแบบสาธิต (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54) แสดงว่าการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยวิธีสอนแบบ
สาธิต ส่งผลให้นกั เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นท่ดี ี
ขึน้
5.2.2 อภิปรายผลความพงึ พอใจของนักเรียนต่อการจัดกจิ กรรมการเรียนรตู้ ่อการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้โดยใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิตของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การ
หมุนเวียนของอากาศ ใหน้ กั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5/5 จำนวน 20 คน ประเมินหลงั การจดั กิจกรรมโดย
ใช้สื่อการสอนร่วมกับวิธีสอนแบบสาธิต โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ความพึงพอใจด้าน
เนื้อหา ความพึงพอใจด้านสื่อ/นวัตกรรม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทั้ง 2 ด้าน ทั้งนี้
เนื่องจากนักเรียนได้เรียนรู้ผ่านสื่อการสอนทำให้นักเรียนมองภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้ผลเป็นไปตามทฤษฎี
ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจและมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมการเรียนการสอนมีลำดับขั้นตอน
ทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ มีสื่อการสอนที่เห็นภาพได้อย่างชัดเจน และมีความเหมาะสมกับเนื้อหา
สาระทเ่ี รยี น ซ่งึ นักเรยี นมีความพึงพอใจอย่ใู นระดับมาก
5.3 ข้อเสนอแนะ
1) ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปัญหาท่มี กั จะเกิดข้ึนคอื ข้อจำกัดของเวลา ผสู้ อนควร
กำหนดเวลาการทำกจิ กรรมแต่ละขนั้ ตอนใหช้ ดั เจนและเหมาะสมกับระดับความสามารถของผูเ้ รียน และ
ความพร้อมของนักเรียน
2) ผู้สอนควรมสี ื่อหรือกจิ กรรมทหี่ ลากหลาย เพ่ือกระต้นุ ให้ผเู้ รยี นเกิดความสนใจและตอบสนอง
ความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ รวมทัง้ ผ้สู อนควรเปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นได้ตอบคำถาม แสดงความคดิ เหน็
หรือมปี ฏิสัมพันธ์ในระหว่างการเรยี น เพ่อื ทำให้ผู้เรียนมีความผอ่ นคลายระหว่างเรยี นมากย่ิงข้นึ
36
บรรณานุกรม
ปรดี า ตะเหลบ. การพัฒนาการสอนบรรยายแบบสาธิตเชงิ ปฏิสมั พันธข์ องกระบวนการเทอร์โมไดนามิกส์
[วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาวิทยาศาสตร์มหาบณั ฑติ (การสอนฟิสิกส์)]. เชยี งใหม:่ บัณฑติ วทิ ยาลยั
มหาวิทยาลยั เชียงใหม่; 2553.
อำพล ใจรักษ์. การสอนบรรยายประกอบการสาธติ เชงิ ปฏสิ ัมพนั ธ์ในเรอ่ื งแรงและการเคล่ือนทส่ี ำหรบั การ
สอนในระดบั มัธยมปลาย [วิทยานิพนธป์ รญิ ญาวทิ ยาศาสตร์มหาบณั ฑิต]. กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยมหดิ ล;2550.
ฉลองชยั สุรวฒั นบูรณ.์ (2528). การเลือกใช้ส่ือการสอน. กรงุ เทพฯ: คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
ปราณี กองจนิ ดา. (2549). การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นคณิตศาสตร์และทักษะการ คดิ เลขใน
ใจของนักเรียนที่ได้รบั การสอนตามรูปแบบซิปปาโดยใช้แบบฝึกหดั ทเ่ี นน้ ทักษะการคิดเลขในใจ
กบั นกั เรียนท่ีไดร้ บั การสอนโดยใชค้ ู่มอื ครู. วิทยานพิ นธ์ ค.ม. (หลกั สูตรและการสอน).
พระนครศรอี ยธุ ยา: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา.
สมพร เชื้อพนั ธ์. (2547). การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปที ี่ 3 โดยใช้วิธกี ารจัดการเรียนการสอนแบบสรา้ งองค์ความรดู้ ้วยตนเองกบั การจัดการเรียน
การสอตามปกติ. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลกั สูตรและการสอน). พระนครศรีอยธุ ยา: บัณฑติ
วทิ ยาลัย สถาบนั ราชภัฏพระนครศรีอยธุ ยา.
ไพบูลย์ ศรีสมศกั ด์ิ. (2524). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธใ์ิ นการเรยี นวชิ าแบดมนิ ตันระหวา่ งวิธีสอนโดย
แบบใช้เทปบันทึกภาพแบบใช้สไลดเ์ ทปเสียง และแบบบรรยายประกอบการสาธติ .วทิ ยานพิ นธ์
ค.ม. (พลศึกษา). กรงุ เทพฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .ถา่ ยเอกสาร.
รัธนาฏ กมลกลาง. (2559). ศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาฟิสกิ ส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ท่ี
เรยี นโดยใชเ้ ว็บเปน็ ฐานรว่ มกบั การเรียนรแู้ บบร่วมแรงร่วมใจ และศึกษาความพึงพอใจของ
นกั เรยี นทีม่ ตี ่อการเรียน. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
สมพร เชอ้ื พันธ์. (2547). การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษา
ปที ี่ 3 โดยใช้วิธีการจัดการเรยี นการสอนแบบสรา้ งองค์ความร้ดู ว้ ยตนเองกับการจดั การเรียน
การสอตามปกติ. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลกั สตู รและการสอน). พระนครศรีอยธุ ยา: บัณฑติ
วิทยาลัย สถาบันราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา.
37
ปัณฑติ า อินทรกั ษา. (2019). การจดั การเรยี นร้ดู ว้ ยส่ือสงั คมออนไลน์. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั
นเรศวร, 21(4), 357-365.
กาญจนา เกียรติประวัต.ิ (2534). วิธีสอนทั่วไปและทักษะการสอน.วัฒนาพานิช : กรุงเทพมหานคร.คณะ
ศึกษาศาสตรมหาวิทยาลัยนเรศวร. (2550). รายงานประจำปี 2550. พิษณุโลก :โรงพิมพ์ดวงดี
การพิมพ์ จงั หวดั พจิ ิตร.
สุเทพ โตสุวรรณ. (2546). การใชส้ ื่อการสอนของครโู รงเรียนคงคาราม สงั กัดสำนักงานเขตพนื้ ที่การศึกษา
เพชรบรุ ี เขต 1.วทิ ยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบรหิ ารการศกึ ษาบัณฑิตวิทยาลยั
มหาวทิ ยาลยั ราชภัสวนดุสติ .
สนุน่ มีเพชร. (2551). การใชส้ ื่อการสอนของอาจารย์โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยรามคำแหงวิทยานิพนธ์
สาขาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง
สวุ ารี เทพการุณ.(2543). ปจั จยั ทีม่ ผี ลต่อการ ใชส้ ื่อการสอนของอาจารยม์ หาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการศึกยา มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
อรวรรณ สมั ฤทธ.ิ์ (2550). ปัจจยั ทีม่ ีผลต่อการใชส้ ือ่ การสอนตามความคดิ เหน็ ของครโู รงเรยี นอาชีวศกึ ษา
เขตพัฒนาพน้ื ทช่ี ายฝ่ังทะเลตะวันออก. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑิต, สาขาเทคโน
โลยกี ารศึกษา, บณั ฑติ วิทยาลัย, มหาวิทยาลยั บรู พา.
บรรณานุกรมภาษาตา่ งประเทศ
Sokoloff DR. Active learning of introductory optics: Interactive Lecture Demonstrations
and Optics Magic Tricks. Journal of Physics 2008; 35(6): 340.
Wood C, Breyfogle B. Interactive Demonstrations for Mole Ratios and Limiting Reagents.
Journal of Chemical Education 2006; 83(5): 741.
38
ภาคผนวก
39
ภาคผนวก ก
รายนามผู้เช่ยี วชาญในการสรา้ งเครอื่ งมอื
40
รายนามผเู้ ชย่ี วชาญในการเป็นทป่ี รึกษา
ผศ.ดร.ชาติ ทีฆะ อาจารย์ประจำหลักสูตรศึกษาศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าฟิสิกสค์ ณะวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต
รายนามช่อื ผเู้ ช่ียวชาญในการประเมนิ ความสอดคลอ้ งของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
1. คณุ ครูศักดช์ิ ยั ราชนิยม ตำแหนง่ ครู คศ.1 (ฟสิ ิกส)์
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
โรงเรยี นมหรรณพาราม
2. คณุ ครูอภชิ าติ แสนโคตร ตำแหนง่ ครูชำนาญการพิเศษ คศ.3 (ฟิสิกส์)
กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์
โรงเรียนมหรรณพาราม
3. คณุ ครณู ัฐติญา พุทธิโชติ ตำแหน่งครู คศ.1 (ฟสิ ิกส)์
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
โรงเรียนมหรรณพาราม