การพยาบาลผู้ท่มี ีความผิดปกติ
ด้านความคดิ และการรับรู้
โดย
อ. ธิดารตั น์ คณึงเพียร
การพยาบาลผู้ท่มี ีความผดิ ปกตดิ ้าน ความคดิ และการรับรู้
5.5.1 ผปู้ ่ วยโรคจิตเภท (Schizophrenia) :
Delusion, Paranoid, Hallucination, Illusion
Withdrawal https://youtu.be/KjSf4c7GcK0
5.5.2 ผปู้ ่ วยโรคสมองเสื่อม (Dementia) และ
ภาวะสบั สนเฉียบพลนั (Delirium)
ความหมายของโรคจิตเภท
โรคท่ีมีความผิดปกติของความคิด อารมณ์ การรับรู้ และ
พฤติกรรม เป็ นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน โดยไม่มีสาเหตุ
จากโรคทางกาย ยา หรือ สารเสพติด และส่งผลกระทบต่อการทา
หน้าท่ีด้านสังคม การงาน หรือสุขอนามัยของผู้ป่ วย (กนกวรรณ
ลมิ้ ศรีเจริญ, 2558; สมภพ เรืองตระกลู , 2557)
อาการและอาการแสดง
อาการด้านบวก (positive symptom)
- อาการหลงผดิ (delusion)
- อาการประสาทหลอน (hallucination)
- ความผดิ ปกติของความคิด (disorganized thinking)
- ความผดิ ของพฤติกรรม (grossly disorganized or abnormal disorganized behavior)
อาการด้านลบ (negative symptoms)
พดู นอ้ ยหรือไม่พดู ( alogia) อารมณ์เฉยเมย ( affective flattening) ขาดความสนใจใน
กิจกรรมทุกชนิด (avolition) ขาดความสุข (anhedonia) ไม่เขา้ ร่วมกิจกรรมทางสงั คม (
asociality)
อาการและอาการแสดง
ความผดิ ปกตทิ างความคดิ เป็นการขาดการเช่ือมโยงกบั สิ่งท่ีเป็นจริง และเหตุผล เช่น
- Delusion of persecution หลงผดิ คิดวา่ ผอู้ ื่นปองร้าย
- Delusion of reference หลงผดิ คิดวา่ ผอู้ ่ืนพดู เร่ืองเกี่ยวกบั ตนเอง วา่ ร้าย นินทา
- Delusion of being controlled หลงผดิ คิดวา่ การกระทาของตนถูกควบคุมโดยอานาจ
ภายนอก
- Delusion of somatic คิดวา่ ตนเจบ็ ป่ วยทางร่างกาย
- Delusion of grandeur คิดวา่ ตนเป็นใหญ่
- Delusion of nihilistic คิดวา่ ส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายขาดหายไป
อาการและอาการแสดง
ความผดิ ปกตขิ องการรับรู้ พบบ่อยคือ อาการประสาทหลอน เช่น
- Auditory hallucination อาการประสาทหลอนทางการไดย้ นิ
- Visual hallucination อาการประสาทหลอนทางการเห็น
- Tactile hallucination อาการประสาทหลอนทางการสมั ผสั
- Olfactory Hallucination อาการประสาทหลอนทางการไดก้ ล่ิน
อาการและอาการแสดง
อาการด้านความคดิ (cognitive symptoms)
ผปู้ ่ วยจะมีปัญหาเกี่ยวกบั cognitive dysfunction ไดแ้ ก่ สมาธิแยล่ ง การตีความส่ิงต่างๆ และการตอบสนอง
บกพร่องไป มีความบกพร่องดา้ น working memory และการไม่สามารถคิดอยา่ งเป็นเหตุเป็นผล เป็นตน้
อาการด้านอารมณ์ (Affective symptoms)
เป็นอาการร่วมที่พบไดบ้ ่อยแต่ไม่มีน้าหนกั ในการวินิจฉยั โรค อาจมีอารมณ์ซึมเศร้า รู้สึกผดิ
วิตกกงั วล หรือ หงุดหงิด กา้ วร้าว หุนหนั พลนั แล่น หรือ อารมณ์คร้ืนเครง แต่ไม่ชดั
อาการอื่นๆ ท่อี าจพบได้
เช่น ไม่ตระหนกั วา่ ตนเองผดิ ปกติ (lack of insight) มีความผิดปกติทางความคิด
เก่ียวกบั สงั คม (social cognition deficit)
การวนิ ิจฉัยโรค
A. มีอาการต่อไปน้ีอยา่ งนอ้ ย 2 อาการ ในช่วงเวลา 1 เดือน (หรือนอ้ ยกวา่ หากไดร้ ับการรักษา)
และตอ้ งมีอยา่ งนอ้ ย 1 อาการในขอ้ 1, 2, หรือ 3
1. อาการหลงผดิ delusion
2. อาการประสาทหลอน Hallucination
3. ความผดิ ปกติของคาพดู ( disorganized speed)
4. ความผดิ ปกติของพฤติกรรม (grossly disorganized or catatonic behavior)
5. อาการดา้ นลบ (negative symptoms)
B. ระดบั ความสามารถในดา้ นต่าง ๆ เช่น การทางาน การมีสมั พนั ธภาพกบั ผอู้ ื่น หรือ การดูแล
ตนเองลดลงอยา่ งชดั เจนอยา่ งนอ้ ย 1 ดา้ น
การวนิ ิจฉัยโรค
C. มีอาการของความผดิ ปกติอยา่ งต่อเน่ืองอยา่ งนอ้ ย 6 เดือน ซ่ึงตอ้ งมีช่วงที่มีอาการในขอ้ A อยา่ ง
นอ้ ย 1 เดือน ( หรืออาจนอ้ ยกวา่ น้ีหากรักษาไดผ้ ล) โดยช่วงที่เหลือซ่ึงเป็นอาการนาหรืออาการ
หลงเหลือ อาจมีเพยี งอาการดา้ นลบ หรือมีอยา่ งนอ้ ย 2 อาการในขอ้ Aท่ีเหลืออยเู่ พียงเลก็ นอ้ ย
( เช่น มีความเช่ือแปลกๆ หรือ มีประสบการณ์การรับรู้ที่ไม่ปกติ)
D. ไม่มีอาการเขา้ ไดก้ บั schizoaffective disorder, depressive disorder หรือ bipolar disorders ที่มี
อาการทางจิตร่วมดว้ ย
E. อาการไม่ไดเ้ ป็นจากยา สารเสพติด หรือโรคกาย
F. หากมีประวตั ิของโรค autism spectrum disorder หรือ communication disorder
การดาเนินของโรค
1. ระยะก่อนป่ วย (premorbid phase) ผปู้ ่ วยจะมีความบกพร่องเลก็ นอ้ ยของการทาหนา้ ท่ีทาง
ความคิด (cognitive function)
2. ระยะอาการนา ( prodomal phase) ผปู้ ่ วยส่วนใหญ่จะเร่ิมมีอาการเปลี่ยนแปลงแบบคอ่ ยเป็น
ค่อยเป็นไป โดยช่วงแรกอาจมีอาการวติ กกงั วล หรือซึมเศร้าท่ีไมเ่ ฉพาะเจาะจงหรือกบั เร่ือง
ใดเรื่องหน่ึง ตามมาดว้ ยอาการดา้ นลบ โดยจะค่อยๆ แยกตวั ไม่เขา้ สงั คมเหมือนเคยมีปัญหา
ในดา้ นหนา้ ท่ีความรับผดิ ชอบ สนใจดูแลตนเองลดลง ขณะเดียวกนั จะเริ่มมีอาการดา้ นบวก
แต่กไ็ ม่ถึงกบั ผดิ ปกติชดั เจน มีอาการดา้ นอารมณ์ และอาการดา้ นความคิด ผปู้ ่ วยอาจเร่ิมจาก
บ่นเก่ียวกบั อาการทางกาย หรือคิดวา่ ตนเองป่ วยเป็นโรคทางกาย ครอบครัว เพื่อน อาจ
สงั เกตเห็นการเปล่ียนแปลงของผปู้ ่ วยวา่ ไม่สามารถทากิจกรรมดา้ นการงาน สงั คม และส่วน
บุคคลไดด้ ีเหมือนเดิม ระยะน้ีอาจส้นั เพียง 2-3 wks หรือหลายเดือน (≈ 2-5ปี )
การดาเนินของโรค
3. ระยะโรคกาเริบ (active phase) ระยะท่ีมีอาการเด่นชดั ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นอาการดา้ น
บวก โดยผปู้ ่ วยท่ีมีอาการนาจะถูกกกระตุน้ โดยเหตุการณ์ท่ีพบไดต้ ามช่วงวยั อาจเกิด
อาการแบบรวดเร็วหรือชา้ กไ็ ด้ แต่ส่วนใหญ่จะค่อยเป็นค่อยไป หลงั รักษาอยนู่ าน
ประมาณ 6 เดือนแลว้ จึงทุเลา บางคนอาจมีอาการหลงเหลือที่ไม่ใช่อาการโรคจิต เช่น ตึง
เครียด วติ กกงั วล และมีปัญหาการนอน
4. ระยะเรื้อรัง/ อาการหลงเหลือ (chronic/residual phase) ระยะน้ีอาการทางจิตในระยะ
เฉียบพลนั หายไปหรือไม่แสดงเป็นอาการเด่น อาจมีอาการดา้ นบวกบา้ งแต่ไม่มีผลต่อ
ผปู้ ่ วยมากเหมือนช่วงแรก อาจมีอาการดา้ นลบ และบกพร่องความสามารถในการทา
หนา้ ที่ต่างๆ ของผปู้ ่ วย
การดาเนินโรคเร้ือรัง อาการโรคจิตจะค่อยๆลดลงตามอายุที่เพิ่มมากข้ึน
ผลลพั ทร์ ะยะยาวแตกต่างกนั มากต้งั แต่โรคทุเลา ถึงเร้ือรัง
ระบาดวิทยา
ความชุก
พบมากกวา่ 21 ลา้ นคนของประชากรทวั่ โลก
ความชุกชวั่ ชีวิต (lifetime prevalence)
-ใน USA ร้อยละ 1
-สมาคมจิตแพทยอ์ เมริกา รายงานวา่ พบร้อยละ 0.3-0.7
-ระบาดวทิ ยา พบร้อยละ 0.6-1.9
-ประเทศไทย ศึกษาในช่วงอายุ 15-59 ปี พบร้อยละ 0.9
ระบาดวิทยา
อายุและเพศ
ความชุกพบเท่ากนั ในเพศชายและหญิง (สมภพ เรืองตระกลู , 2557; Sadock, Sadock & Ruiz,2015)
ชายเร่ิมป่ วยก่อนหญิง ป่ วยก่อนอายุ 25 ปี แตพ่ บเพียง 1ใน 3 ของผปู้ ่ วยหญิงเท่าน้นั
อายเุ ร่ิมป่ วยในเพศชาย 10-25 ปี เพศหญิง 25-35 ปี และพบไดอ้ ีกในวยั กลางคน
3 ใน 10 ของผปู้ ่ วยหญิงมีอายเุ ริ่มป่ วยหลงั 40 ปี
ประมาณร้อยละ 90 ของผปู้ ่ วยที่รับการรักษามีอายรุ ะหวา่ ง 15-55 ปี
อายทุ ี่เร่ิมป่ วยก่อน 10 ปี และหลงั 60 ปี พบไดน้ อ้ ยมาก
ในประชากรไทยอายุ 15-59 ปี พบอตั ราส่วนเพศชายและหญิง คือ 1.1:1
อายุ 15-24 ปี พบมากในเพศชาย
อายุ 40-54 ปี พบมากในเพศหญิง
ระยะเวลาการป่ วย เพศหญิงสูงกวา่ เพศชาย ทุกช่วงอายุ ระยะเวลาการเจบ็ ป่ วยเฉล่ีย คือ 30 ปี ในเพศชาย
34 ปี ในเพศหญิง (phanthunane, Vos, Whiteford, Bertram, Udomratn, 2010)
ระบาดวิทยา
โรคจติ เภททเ่ี กดิ ในเดก็ (early-onset schizophrenia)
พบไดน้ อ้ ย
เริ่มเกิดอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป มีแนวโนม้ ที่จะเร้ือรัง และการพยากรณ์โรค
ไม่ดี (Sadock, Sadock & Ruiz,2015; พเิ ชฐ อุดมรัตน์ และสรยทุ ธ วาสิกนา
นนท,์ บรรณาธิการ, 2552)
มีรายงานวจิ ยั พบวา่ โรคจิตเภทในเดก็ สามารถทานายไดจ้ ากความผดิ ปกติทาง
พฒั นาการในวยั เดก็ รวมท้งั ความล่าชา้ ในพฒั นาการของการพูดและการเคล่ือนไหว
ปัญหาการตดั สินใจทางสงั คม และความสามารถทางความคิดและทางวชิ าการท่ีแยล่ ง
ซ่ึงพบไดใ้ นจิตเภทวยั ผใู้ หญ่ (Bostrom & Boyd, 2015)
ระบาดวทิ ยา
โรคจิตเภททเี่ กดิ ในวยั กลางคนและสูงอายุ (Late-onset
schizophrenia)
เป็นโรคจิตเภทที่เกิดคร้ังแรกในคนอายุ 45 ปี ข้ึนไป และมกั มีอาการหวาดระแวงเป็น
อาการเด่น
การพยากรณ์โรคดี และ ใหค้ วามร่วมมือในการรักษา(Sadock, Sadock & Ruiz,2015;
พิเชฐ อุดมรัตน์ และสรยทุ ธ วาสิกนานนท,์ บรรณาธิการ, 2552)
มีการศึกษารายงานวา่ โรคจิตเภทมีความสมั พนั ธ์กบั ความบกพร่องทางความคิด
ตลอดช่วงอายุ และ
ผปู้ ่ วยจิตเภทสูงอายมุ ีความบกพร่องทางความคิดมากกวา่ ผสู้ ูงอายทุ ี่ไม่มีความผดิ ปกติ
ทางจิต (Loewenstein, Czaja,Bowie & Harvey, 2012)
ระบาดวทิ ยา
เศรษฐานะ
โรคจิตเภทเกิดข้ึนไดก้ บั บุคคลในทุกชนช้นั ทางสงั คม (Sadock,
Sadock & Ruiz,2015) ส่วนใหญ่ยากจน การศึกษานอ้ ย
ท้งั ผปู้ ่ วยและครอบครัวทุกขใ์ จจากการไดร้ ับการดูแลไม่ดี และ
การไม่ยอมรับจากสงั คม
(Thunyadee, Sitthimongkol, Sangon, Hegadoren &Chai-Aroon, 2015)
สาเหตุ
ยงั ไม่ทราบสาเหตุแน่ชดั เชื่อวา่ เป็นผลจากหลายปัจจยั ร่วมกนั
1.ปัจจยั ทางชีวภาพ
ญาติของผปู้ ่ วยมีโอกาสเป็นโรคจิตเภทสูงกวา่ ประชากรทว่ั ไป ยง่ิ มีความใกลช้ ิดทาง
สายเลือดมากยงิ่ มีโอกาสสูง
คูแ่ ฝดไข่ใบเดียวกนั (48%) คู่แฝดต่างไข่ (17 %) บุตรที่บิดามารดาป่ วย (13%)
พ่นี อ้ งของผปู้ ่ วย (9%) (Ritsner & Gottesman, 2011)
ยนี ผดิ ปกติหลายแห่งรวมกนั ทาใหเ้ กิดความผดิ ปกติระดบั เซลลซ์ ่ึงส่งผลต่อการสร้าง
Synapse, neuronal connectivity และกระบวนการจดั การขอ้ มูลของวงจรต่างๆ ในระบบ
ประสาท(มาโนช หล่อตระกลู , 2558)
สาเหตุ
1.ปัจจัยทางชีวภาพ
ระบบสารเคมีในสมอง
Dopamine hyperactivity ในบริเวณ mesolimbic และ mesocortical tract
ท้งั น้ีอาจเป็นความผดิ ปกติของ post synaptic receptor
Serotonin-2(5-HT2A) receptor ในข้นั สมองส่วนหนา้ (frontal cortext)
ลดลง
สาเหตุ
1.ปัจจยั ทางชีวภาพ
กายวิภาคของสมอง
เน้ือสมองนอ้ ยกวา่ ปกติ โดยเฉพาะในส่วน cortical gray
matter และมี ventricle โตกวา่ ปกติ
ประสาทสรีรวทิ ยา
cerebral blood flow และ Glucose metabolism ลดลงในสมอง
ส่วนหนา้
(มาโนช หลอ่ ตระกูล, 2558)
สาเหตุ
2. ปัจจัยด้านจติ ใจ
แนวคิด stress-diathesis model
ผปู้ ่ วยมีแนวโนม้ หรือจุดออ่ นอะไรบางอยา่ งอยแู่ ลว้ เม่ือพบกบั สภาวะ
กดดนั จะทาใหเ้ กิดอาการของโรคจิตเภทข้ึนมา (มาโนช หล่อตระกลู , 2558)
3. ปัจจัยด้านสังคมส่ิงแวดล้อม
high expressed-emotion เช่น criticism, hostility, emotional
involvement ,downward drift hypothesis, social causation
(มาโนช หล่อตระกลู , 2558)
การอธบิ ายสาเหตุของการเกดิ โรคจติ เภทของนักทฤษฎี
1.ทฤษฎจี ติ วเิ คราะห์ (psychoanalytic theories)
Fixation ของพฒั นาการวยั ตน้ ของชีวติ ทาใหเ้ กิดความบกพร่อง
ของ ego development ของบุคคล
2.ทฤษฎสี ัมพนั ธภาพระหว่างบุคคล (interpersonal theories)
เป็นความแปรปรวนของความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคล ความวติ ก
กงั วลอยา่ งมากของผปู้ ่ วย ทาใหเ้ กิดความรู้สึกของการไม่มี
ความสมั พนั ธ์กบั ผอู้ ่ืน และถูกเปลี่ยนไปเป็นความเบี่ยงเบน (Sadock,
Sadock & Ruiz,2015)
การอธิบายสาเหตุของการเกดิ โรคจติ เภทของนักทฤษฎี
3. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ (Learning theories)
เดก็ ที่ต่อมามีการพฒั นาเป็นโรคจิตเภท เรียนรู้ปฏิกิริยาการตอบสนองท่ีไม่มีเหตุผล
และวถิ ีการคิดโดยการเลียนแบบบิดา มารดาผซู้ ่ึงมีปัญหาทางอารมณ์ จึงมีการพฒั นา
สมั พนั ธภาพระหวา่ งบุคคลที่ไม่ดีเนื่องจากมีตวั แบบที่ไม่ดีสาหรับเรียนรู้ในช่วงวยั เดก็
(Sadock, Sadock & Ruiz,2015)
4. ทฤษฎจี ติ สังคม (psychosocial theories)
ความเครียดทางสงั คมมีส่วนทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงการทาหนา้ ท่ีของสมองที่มี
ผลใหเ้ กิดโรคจิตเภทและเป็นส่ิงทา้ ทายในแต่ละวนั ในการอยรู่ ่วมกนั กบั ผทู้ ี่เจบ็ ป่ วย
ทางจิต (Bostrom & Boyd, 2015)
การพยากรณ์โรค
ผปู้ ่ วยจิตเภทหลงั ไดร้ ับการรักษาเป็นผปู้ ่ วยในของรพ. มากกวา่
5-10 ปี มีเพียงร้อยละ 10-20 ของผปู้ ่ วยที่มีผลลพั ธ์การรักษาท่ีดี
มากกวา่ ร้อยละ 50 ของผปู้ ่ วยมีการกลบั รักษาซ้า มีอาการกาเริบของ
ความผดิ ปกติทางอารมณ์ และพยายามฆ่าตวั ตาย ซ่ึงมีหลายปัจจยั ท่ี
สมั พนั ธ์กบั การพยากรณ์โรค (Sadock, Sadock & Ruiz,2015)
การพยากรณ์โรค
การพยากรณ์โรคดีในผู้ป่ วยจิตเภท ไดแ้ ก่ เร่ิมป่ วยในวยั ผใู้ หญ่ มีปัจจยั กระตุน้ ชดั เจน
อาการเกิดเฉียบพลนั มีอาการดา้ นอารมณ์ร่วมดว้ ย (โดยเฉพาะซึมเศร้า) อาการดา้ นบวก
การเขา้ สงั คมหนา้ ท่ีการงานเดิมดีกวา่ ก่อนเกิดอาการ มีประวตั ิโรคอารมณ์แปรปรวนใน
ครอบครัว ระดบั สติปัญญาไม่ดี ไม่มีประวตั ิโรคจิตเภทในครอบครัว รับการรักษาเร็วหลงั ป่ วย
สมรส และไดร้ ับการช่วยเหลืออยา่ งดี
การพยากรณ์โรคไม่ดีในผู้ป่ วยจิตเภท ไดแ้ ก่ เร่ิมป่ วยในวยั รุ่น ไม่พบปัจจยั กระตุน้ อาการเป็น
แบบค่อยเป็นค่อยไป อารมณ์เรียบเฉย มีพฤติกรรมแยกตวั มีอาการดา้ นลบ การเขา้ สังคมหนา้ ท่ีการงาน
เดิมไม่ดีก่อนเกิดอาการ ระดบั สติปัญญาต่า มีประวตั ิโรคจิตเภทใน ครอบครัว ป่ วยมานานก่อนรักษา
โสด หยา่ หรือ เป็นหม่าย ไม่มีคนช่วยเหลือดูแล มีอาการแสดง ทางระบบประสาท มีประวตั ิไดร้ ับการ
กระทบกระเทือนก่อนหรือระหวา่ งคลอด และมีอาการของโรคกาเริบบ่อยคร้ัง
((มาโนช หล่อตระกลู , 2558;Sadock, Sadock & Ruiz,2015)
การพยากรณ์โรค
อตั ราการหาย อยใู่ นช่วงร้อยละ 10-20
สามารถกลบั ไปใชช้ ีวติ ไดต้ ามปกติในบางคร้ัง ร้อยละ 20-30
ยงั คงมีอาการในระดบั ปานกลาง ร้อยละ 20-30
ยงั คงมีความบกพร่องมากจากความผดิ ปกติ ร้อยละ 40-60
https://youtu.be/dO-IqMNOBfU
(Sadock, Sadock & Ruiz, 2015)
การบาบดั รักษา Group therapy
Activity groups
Hospitalization Social skill training
Pharmacotherapy Cognitive behavioral therapy
ECT Milieu therapy
Psychosocial Family psychoeducation or
Family counseling
therapy
Psychotherapy
กระบวนการพยาบาล
การประเมนิ ภาวะสุขภาพ
อาการดา้ นบวก
อาการดา้ นลบ
อาการดา้ นอารมณ์
อาการดา้ นความคิด
กระบวนการพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
แนวปฏิบตั ิในการประเมินผูป้ ่ วยจิตเภท
1. การไดร้ บั ยาและสภาวะที่อาจจะใหผ้ ลเหมือนกบั โรคจิต
2. ภาวะติดยาหรือสารเสพติด
3. ความเส่ียงต่อตนเองและผูอ้ ื่น
4. ภาวะประสาทหลอน
กระบวนการพยาบาล
การประเมินภาวะสขุ ภาพ
แนวปฏิบตั ิในการประเมินผูป้ ่ วยจิตเภท
5. ความคิดหลงผิด
6. ความเสี่ยงต่อการฆ่าตวั ตาย
7. ความสามารถในการดแู ลตนเองและความปลอดภยั ของผูอ้ ่ืน
8. การรบั ประทานยาตามแผนการรกั ษา
9. การตรวจสภาพจิต บนั ทึกอาการที่ปรากฏผลว่ามีผลต่อการทาหนา้ ท่ีต่างๆ ของ
ผูป้ ่ วยอย่างไร และผูป้ ่ วยจดั การอย่างไร
กระบวนการพยาบาล
การประเมินภาวะสุขภาพ
แนวปฏิบตั ิในการประเมินผูป้ ่ วยจิตเภท
10. การรจู้ กั ตนเองของผูป้ ่ วย ความรเู้ ก่ียวกบั การเจ็บป่ วย
สมั พนั ธภาพและระบบการสนบั สนุนช่วยเหลือ แหล่งช่วยเหลือในการ
เผชิญ และความเขม้ แข็ง
11. ความรขู้ องครอบครวั และการตอบสนองต่อความเจ็บป่ วยของ
ผูป้ ่ วย และแหล่งช่วยเหลือบรรเทา
อื่นๆ ความเจ็บป่ วยในอดีต ปัจจุบนั การตรวจร่างกาย
การวนิ ิจฉัยทางการพยาบาล
อาการดา้ นบวก ขอ้ วินิจฉยั
ไดย้ ินเสียงท่ีผูอ้ ่ืนไม่ไดย้ ิน การรบั รทู้ างประสาทสมั ผสั แปรปรวน
มองเห็นภาพท่ีผูอ้ ่ืนไม่เห็น
ไดย้ ินเสียงบอกใหท้ ารา้ ยตนเองหรือ เสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมรนุ แรงทารา้ ย
ผูอ้ ่ืน ตนเองหรือผูอ้ ่ืน
ความคิดหลงผิด กระบวนการคิดแปรปรวน
แสดงการขาดความคิดเชื่อมโยงของ
ความคิด การติดต่อสื่อสารบกพร่อง
สนทนาออ้ มคอ้ มในรายละเอียดที่ไม่
จาเป็ นและน่าเบ่ือ
การวนิ ิจฉัยทางการพยาบาล
อาการดา้ นลบ ขอ้ วินิจฉยั
ไม่ส่ือสาร ถอยหนี แยกตวั จากสงั คม
แสดงความรสู้ ึกปฏิเสธ หรืออยู่ตาม ปฏิสมั พนั ธท์ างสงั คมบกพร่อง
ลาพงั
พดู ถึงตนเองในทางที่ไม่ดี เสี่ยงต่อการเกิดความรสู้ ึกโดดเด่ียว
รสู้ ึกดอ้ ยคณุ ค่าในตนเองเร้ือรงั
รสู้ ึกผิดเน่ืองจากความคิดที่ไม่ดี เส่ียงต่อการทารา้ ยตนเอง
การวนิ ิจฉัยทางการพยาบาล
อาการดา้ นลบ ขอ้ วินิจฉยั
แสดงออกถึงการขาดพลงั ไม่มีแรง การเผชิญหนา้ ไม่เหมาะสม
แสดงออกถึงการขาดแรงจูงใจ ไม่ การดแู ลตนเองบกพร่อง
สามารถจะเร่ิมงานต่างๆ (การติดต่อ
กบั สงั คม การดแู ลเครื่องแต่งกายและ
ผมใหเ้ รียบรอ้ ย และเรื่องอ่ืนๆ ในการ
ดารงชีวิตประจาวนั )
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
อาการอื่น ขอ้ วินิจฉยั
ครอบครวั และคนที่มีความสาคญั กบั การเผชิญปัญหาของครอบครวั ไม่
ผูป้ ่ วยรสู้ ึกสบั สนและทกุ ขใ์ จ เหมาะสม
ขาดความรเู้ กี่ยวกบั ความผิดปกติและ ผูด้ แู ลมีความตึงเครียด
การรกั ษา รสู้ ึกหมดพลงั ในการดแู ล ขาดความรู้
ผูป้ ่ วย
หยุดการรบั ประทานยา หยุดการรกั ษา ไม่ร่วมมือในการรกั ษา
ไม่ไดร้ บั การประคบั ประคองช่วยเหลือ
ในการรกั ษาโดยผูท้ ่ีมีความสาคญั กบั
ผูป้ ่ วย
เป้าหมายการพยาบาล
ระยะเฉียบพลนั
ผูป้ ่วยปลอดภยั และอาการคงท่ี
ระยะอาการสงบ
มุง่ ผลลพั ธท์ ่ีการชว่ ยใหผ้ ูป้ ่วยเขา้ ใจโรคและการรกั ษา ใหค้ วามร่วมมือในการรบั ประทานยา
สม่าเสมอ และการควบคุมหรือเผชิญอาการได้
ดงั น้ัน ผลลพั ธจ์ ึงมุง่ เป้าหมายท่ีอาการดา้ นลบ และความสามารถท่ีจะประสบความสาเร็จใน
สงั คม อาชีพ หรือ กิจกรรมการดูแลตนเอง
ระยะคงที่
มุง่ ผลลพั ธท์ ่ีการคงไวซ้ ่ึงแรงจูงใจ การร่วมมือในการรักษา ป้องกนั การกลบั เป็นซา้ พ่ึงพา
ตนเองได้ หรือพึงพอใจในคุณภาพชีวิต
การวางแผนและการปฎบิ ัตกิ ารพยาบาล
เส่ียงต่อการทารา้ ยตนเอง หรือผูอ้ ื่น เน่ืองจากการรบั รผู้ ิดปกติ หรือ
มีภาวะหลงผิดคิดหวาดระแวงกลวั คนอ่ืนมาทารา้ ย
พร้อมท้งั ให้ข้อมูลสนับสนุนท้งั เชิงปรนัย และเชิงอตั นัยทไี่ ด้จากการประเมนิ
สภาพจติ ของผู้ป่ วยแต่ละรายทส่ี อดคล้องกบั ข้อวนิ ิจฉัย เช่น เนื้อหาของ
ภาวะหลงผดิ ทช่ี ี้แนะให้ทาร้ายตนเอง หรือผู้อื่น หรือลกั ษณะของภาวะหูแว่ว
ทไ่ี ด้ยนิ คนมาด่าว่าตนเองอยู่ตลอดเวลา หรือผู้ป่ วยมีท่าท่างหวาดระแวง เป็ น
ต้น โดยการพยาบาลทสี่ าคญั ได้แก่
1.เส่ียงต่อการทาร้ายตนเอง หรือผู้อ่ืน เน่ืองจากการรับรู้ผิดปกติ หรือมีภาวะ
หลงผดิ คดิ หวาดระแวงกลัวคนอ่นื มาทาร้าย
1.1 ประเมนิ ความคดิ อยากทาร้ายตนเองหรือผ้อู ื่นอย่างใกล้ชิด
1.2 จดั ให้ผู้ป่ วยพกั อยู่ในห้องแยกเพ่ือประโยชน์ในการประเมินอาการและการดูแลจาก
เจ้าหน้าทอ่ี ย่างใกล้ชิด และเป็ นการลดการกระตุ้นผู้ป่ วยจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
1.3 จดั ส่ิงแวดล้อมให้ปลอดภัย เกบ็ อปุ กรณ์ต่างๆทสี่ ามารถเป็ นอาวุธทาร้ายตนเองหรือผู้อื่นได้
เช่น มีด ปากกาดนิ สอ หรือของมคี มต่างๆ ไม่ให้ผู้ป่ วยได้เข้าถงึ
1.4 พจิ ารณาให้เข้าร่วมกลุ่มบาบัดทางจิตสังคมทเี่ หมาะสม ไม่ให้เป็ นการกระตุ้นอาการให้
รุนแรงมากขึน้ และให้การดูแลอย่างใกล้ชิดในขณะทผ่ี ู้ป่ วยเข้าร่วมกลุ่ม แต่หากผู้ป่ วยมีอาการ
ก้าวร้าว ให้งดการมีปฏสิ ัมพนั ธ์กบั บุคคลอื่นโดยการจัดให้อยู่ในห้องแยกจนกว่าอาการก้าวร้าว
จะสงบ
1.เส่ียงต่อการทาร้ายตนเอง หรือผู้อ่นื เน่ืองจากการรับรู้
ผดิ ปกติ หรือมีภาวะหลงผิดคิดหวาดระแวงกลัวคนอ่นื มาทาร้าย
1.5 จดั ให้เข้าร่วมกล่มุ ออกกาลงั กายเพ่ือลดพลงั งานในการแสดงออกของ
การก้าวร้าว หรือความตึงเครียดต่างๆ
1.6 ให้การยอมรับต่ออาการประสาทหลอน หรืออาการหลงผดิ ของผู้ป่ วย
ว่าเป็ นประสบการณ์จริงที่เกดิ ขน่ึ ต่อผู้ป่ วย ไม่โต้แย้งหรือชี้นาให้เกดิ การพิ
สุจน์ แต่พยายามเช่ือมโยงส่ิงทเี่ กดิ ขนึ้ ต่อสภาพความเป็ นจริงเพื่อให้ผปู ่ วย
เกดิ การเรียนรู้/ตระหนักว่าสิ่งเหล่าน้ันเป็ นภาวะประสาทหลอน หรือ
ความคดิ หลงผดิ ของตนในทีส่ ุด
1.7 ในกรณที ีม่ อี าการก้าวร้าว ควรรายงานแพทย์เพ่ือส่ังยาในกลุ่มยากล่อม
ประสาท (minor tranquilizer) และดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
2. พร่องในการดแู ลตนเองในด้านกจิ วตั รประจาวนั เน่ืองจาก
กระบวนการคดิ ผดิ ปกติ
จากการมีความคิดหลงผดิ หรือหมกมุ่นอยกู่ บั ความคิดหลงผิด หรือ
การรับรู้ท่ีผดิ ปกติ เช่น หมกหมุ่นกบั ภาวะหูแวว่ หรือประสาท
หลอนอื่นๆ พร้อมท้งั ใหข้ อ้ มูลท้งั เชิงปรนยั และอตั นยั ในการ
สนบั สนุน เช่น การมีสุขอนามยั ท่ีไม่ดีของผปู้ ่ วย การไม่ยอม
รับประทานอาหารที่มีสาเหตุมาจากการหลงผดิ คิดวา่ มีคนใส่ยาพิษ
ในอาหาร เป็นตน้
2. พร่องในการดแู ลตนเองในด้านกจิ วัตรประจาวัน
เน่ืองจากกระบวนการคดิ ผดิ ปกติ
2.1 ใหก้ ารดูแลดา้ นกิจวตั รประจาวนั แกผ่ ูป้ ่วยอยา่ งครบถว้ น และเพียงพอตอ่
ความตอ้ งการของร่างกายเชน่ การอาบน้า แปรงฟนั รับประทานอาหาร และ
พกั ผอ่ น
2.2 กระตุน้ ผูป้ ่วยใหท้ ากิจวตั รประจาใหค้ รบถว้ นดว้ ยตนเอง โดยการให้
คาแนะนาชว่ ยเหลืออยา่ งใกลช้ ิดในกรณีท่ีผูป้ ่วยสามารถทาไดด้ ว้ ยตนเอง
2.3 หากผูป้ ่วยไมป่ ฏิบตั ิกิจวตั รประจาวนั จากภาวะหลงผิด ประสาทหลอน ให้
การพยาบาลโดยใชห้ ลกั การเดียวกบั ขอ้ 1.6 ขา้ งตน้ คือใหก้ ารยอมรบั และให้
ขอ้ มูลท่ีเป็นจริงแกผ่ ูป้ ่วยใหส้ อดคลอ้ งกบั ขอ้ มูลของผูป้ ่วยในแตล่ ะราย พรอ้ มให้
การดแู ลกิจวตั รท่ีพร่องไปของผูป้ ่วย
3. พร่องในการสร้างสัมพนั ธภาพกับผู้อ่ืน เน่ืองมาจากหมกมุ่น
กับภาวะประสาทหลอนหรือหลงผดิ
ขอ้ มูลสนบั สนุนไดแ้ ก่ การท่ีผปู้ ่ วยแยกตวั ไม่สูงสิงกบั ใคร บางคนอาจมีพดู และ
หวั เราะคนเดียว เป็นตน้
การให้การพยาบาลทีส่ าคญั ได้แก่
3.1 สร้างสมั พนั ธภาพกบั ผปู้ ่ วยอยา่ งสม่าเสมอ เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ่ วยเกิดความไวว้ างใจ
3.2 กระตุน้ ใหผ้ ปู้ ่ วยเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่มเพอื่ ฝึ กทกั ษะทางสงั คม และเพ่อื ลดการ
หมกหมุ่นอยกู่ บั ตวั เองใหน้ อ้ ยลง
3.3 สนทนาเพอ่ื การบาบดั กบั ผปู้ ่ วย เพ่อื ช่วยเหลือดา้ นการส่ือสาร และปัญหา
ความวติ กกงั วลท่ีผปู้ ่ วยเผชิญอยู่
1. มีความบกพร่องในการส่ือสารให้ผู้อ่ืนเข้าใจความต้องการ
ของตนเน่ืองจากมีพฤตกิ รรมแยกตวั จากผู้อ่ืน
พยาบาลควรประเมินลกั ษณะการส่ือสารของงผูป้ ่วยวา่ มีความพกพร่องอยา่ งไร
เชน่ พูด หลายเร่ืองผสมกนั จนคนฟงั ไมเ่ ขา้ ใจ หรือไมพ่ ูดเพราะอาการทางจิต
ตา่ งๆ
2. พยาบาลสรา้ งสมั พนั ธภาพแบบ one to one เพ่ือใหผ้ ูป้ ่วยรูส้ ึก
ปลอดภยั และไวว้ างใจ จดั เวลาเขา้ ไปพบและพูดคุยกบั ผูป้ ่วยอยา่ งสม่าเสมอ
ถึงแมจ้ ะไมเ่ ขา้ ใจส่ิงท่ีผูป้ ่วยพูด หรือผูป้ ่วยไมโ่ ตต้ อบ เพราะ จะชว่ ยใหผ้ ูป้ ่วยรูส้ ึก
วา่ ตนเองไดร้ บั การยอมรับและยงั เป็นท่ีตอ้ งการของผูอ้ ่ืนพยาบาลควรส่ือสารกบั
ผูป้ ่วย อยา่ งชดั เจน เชน่ ส่ือสารกบั ผูป้ ่วยดว้ ยประโยคสนั้ ๆเขา้ ใจงา่ ย เรียกช่ือ
ผูป้ ่วยใหถ้ ูกตอ้
1. มีความบกพร่องในการส่ือสารให้ผู้อ่นื เข้าใจความต้องการ
ของตนเน่ืองจากมีพฤตกิ รรม แยกตวั จากผู้อ่นื
3. พยาบาลตอ้ งนาเทคนิคการส่ือสารเพ่ือการบาบดั มาใช้ เชน่ ในกรณีท่ีพูดหลายเร่ือง
พยาบาลควรใหผ้ ูป้ ่วยหยุดพูดเป็นครง้ั คราว และกระตุน้ ใหผ้ ูป้ ่วยไดอ้ ธิบายส่ิงท่ีเขาไดพ้ ูดไป
กรณีผูป้ ่วยไมพ่ ูด หรือไมโ่ ตต้ อบ พยาบาลควรใชก้ ารตีความหรือการคาดเดาจากภาษา
ทา่ ทาง (non-verbal) ของผปู่้วย และ กระตุน้ ผูป้ ่วย โดยการวิเคราะหค์ วามรูส้ ึกของ
ผูป้ ่วย (verbalizing the implied) เชน่ คุณกงั วลใจเม่ือใกลจ้ ะถึงเวลาท่ีแม่
จะกลบั บา้ น
4. เม่ือสมั พนั ธภาพดา เนินมาสกั ระยะ พยาบาลควรชกั ชวนผูป้ ่วยเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุม่ ซ่ึง
กิจกรรมระยะแรกควรเป็นกิจกรรมท่ีงา่ ยๆ ไมต่ อ้ งใชค้ วามสามารถเฉพาะตวั และมีสมาชิก
กลุม่ ไมม่ ากเกินไป กระตุน้ ใหผ้ ูป้ ่วยส่ือสารมากข้ึน เชน่ จดั กิจกรรมสรา้ งความคุน้ เคย มีการ
ส่ือสารและปฏิสมั พนั ธก์ นั มีกิจกรรม การแนะน าตนเองใหผ้ ูอ้ ่ืนรูจ้ กั พยาบาลควรร่วม
กิจกรรมกลุม่ พรอ้ มกบั ผูป้ ่วย เพ่ือชว่ ยใหผ้ ูป้ ่วยรูส้ ึกอบอนุ่ สบายใจ เม่ือเห็นคนท่ีคุน้ เคย
1. มีความบกพร่องในการส่ือสารให้ผู้อ่นื เข้าใจความต้องการ
ของตนเน่ืองจากมีพฤตกิ รรม แยกตวั จากผู้อ่ืน
5. เปิดโอกาสใหผ้ ูป้ ่วยไดเ้ ป็นตวั ของตวั เอง โดยกระตุน้ ให้
ผูป้ ่วยทากิจกรรมกบั สมาชิกอ่ืนท่ีผูป้ ่วยพอใจ และพยาบาลควร
ใหก้ าลงั ใจ หรือแรงเสริม เม่ือเห็นผูป้ ่วยร่วมในกิจกรรม
6. พยาบาลตอ้ งตระหนักวา่ พฤติกรรมแยกตงั น้ีเป็นปัญหาดา้ น
ความสามารถทางดา้ นสงั คมท่ีเก่ียวขอ้ งกบั บุคลิกภาพของผูป้ ่วย
ดงั นัน้ พยาบาลตอ้ งอดทนใหเ้ วลาผูป้ ่วยในการปรบั ปรุง
4. เส่ียงต่อการไม่ร่วมมือในการรักษาด้วยยาเน่ืองจากการไม่ยอมรับ
การเจบ็ ป่ วยจากภาวะการหยงั่ รู้บกพร่อง (poor insight)
ขอ้ มูลสนบั สนุนที่สาคญั ไดแ้ ก่ ผปู้ ่ วยซ่อนยาไม่รับประทานยาตามแผนการรักษา
การพยาบาลที่สาคญั ได้แก่
4.1 จดั ยาใหผ้ ปู้ ่ วยไดร้ ับประทานใหค้ รบทุกม้ือพร้อมท้งั ตรวจเช็คไม่ใหม้ ีการ
ซ่อนยา หรือใหร้ ับประทานยาต่อหนา้ พยาบาล
4.2 จดั ใหเ้ ขา้ กลุ่มสุขภาพจิตศึกษาเมื่ออาการทางจิตผปู้ ่ วยทุเลา เพ่อื ใหผ้ ปู้ ่ วยได้
เขา้ ใจเรื่องโรคท่ีตนเองเป็นและเห็นถึงความจาเป็นของการรับประทานยา และ
ประโยชน์ของการรับประทานยาต่อไป รายละเอียดของโปรแกรมสุขภาพจิต
ศึกษาจะไดก้ ล่าวถึงในหวั ขอ้ การบาบดั ทางจิตสงั คมสาหรับผทู้ ี่เป็นโรคจิตเภท
ในโรงพยาบาลต่อไป
ครอบครัวไม่สามารถเผชญิ กบั การเจบ็ ป่ วยของผู้ป่ วยได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
1. พยาบาลควรสรา้ งสมั พนั ธภาพกบั ครอบครวั ของผูป้ ่วย พรอ้ มกบั ประเมินสภาพ
ทว่ั ไปของ ครอบครัว เชน่ บทบาทของสมาชิกแตล่ ะคน วิธีการส่ือสารตอ่ กนั ระดบั
ของสมั พนั ธภาพ ความใสใ่ จตอ่ การ เจ็บป่วยของผูป้ ่วย และระดบั ความสามารถของ
ครอบครวั ในการดูแลผูป้ ่วย
2. เตรียมญาติในการดูแลและอยูร่ ่วมกบั ผูป้ ่วย โดยการใหค้ าปรึกษาปัญหาตา่ งๆท่ี
ญาติเผชิญอยู่ การใหค้ วามรูเ้ ก่ียวกบั ลกั ษณะทว่ั ไปของการป่วยทางจิตเวช และการให้
คาแนะนาในการดูแลผูป้ ่วยท่ีบา้ น
3. จดั ใหม้ ีหน่วยงานใหค้ าแนะนา และชว่ ยแกป้ ญั หาเม่ือครอบครัวเผชิญภาวะวิกฤต
ตา่ งๆ เน่ืองมาจากการป่วยทางจิตเวช
ระยะอาการทุเลาหรือ คงสภาพ
(stabilization phase)
1. เส่ียงต่อการไดร้ บั การบาดเจ็บจากผลขา้ งเคียงของยา
ที่ทาใหง้ ่วงซึม มีความไวต่อแสงแดด ระดบั การชกั จะลดลง (reduction of
seizure threshold) ภาวะเมด็ เลือดขาวต่า (agranulocytosis) ผลขา้ งเคียง
ทางระบบประสาท เช่นตวั เกร็ง ตาคา้ ง การเคลื่อนไหวชา้ (EPS),
ความผดิ ปกติในการเคลื่อนไหว
เช่น มือสั่น ปากกระตุก (tic),กลา้ มเน้ือในการควบคุมการหายใจทางาน
ผดิ ปกติ (dyskinesia), ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น ตวั เกร็งแขง็
มีไขข้ ้ึนสูง เพอ้ คลงั่ เป็ นตน้ (Neuroleptic malignant syndrome; NMS)
ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ชนิดและกลุ่มยาท่ีผปู้ ่ วยไดร้ ับ
1. เส่ียงต่อการได้รับการบาดเจบ็ จากผลข้างเคียงของยา
5.1 ในกรณีที่มีอาการง่วงซึม หา้ มเขา้ ร่วมกิจกรรมท่ีตอ้ งใชห้ รือเก่ียวขอ้ ง
กบั เครื่องจกั รต่างๆ เน่ืองจากอาจไดร้ ับอนั ตรายจากอาการง่วงซึมจากฤทธิ
ขา้ งเคียงของยาได้
5.2 ป้องกนั การสมั ผสั กบั แสงแดดโดยตรงเมื่อมีกิจกรรมกลางแจง้ โดย
ดูแลใหผ้ ปู้ ่ วยใชค้ รีมกนั แดด และใส่เส้ือแขนยาวเพื่อป้องกนั อนั ตรายจาก
แสงแดด
5.3 หากผปู้ ่ วยไดร้ ับยาโคลซาปี น ควรมีการเจาะเลือดเพ่ือตรวจนบั จานวน
เมด็ เลือดขาว อาทิตยล์ ะคร้ัง หากจานวนเมด็ เลือดขาวลดลงอยา่ งมาก และ
นอ้ ยกวา่ ระดบั ปกติควรหยดุ ใหย้ าผปู้ ่ วยทนั ที และรายงานใหแ้ พทยท์ ราบ
เพ่ือปรับเปลี่ยนยา และวางแผนการดูแลร่วมกนั ต่อไป
1. เส่ียงต่อการได้รับการบาดเจบ็ จากผลข้างเคียงของยา
6. ไดร้ ับความไม่สุขสบายจากผลขา้ งเคียงจากการไดร้ ับยาตา้ นโรคจิต
เช่น ทอ้ งผกู ปากคอแหง้ คลื่นไส้ อาเจียน การพยาบาลท่ีสาคญั มีดงั ต่อไปน้ี
6.1 แนะนำให้ผ้ปู ่วยจิบนำ้ บอ่ ยๆ ในกรณีท่ีปำกแห้งคอแห้ง และรักษำควำม
สะอำดของชอ่ งปำก
6.2 แนะนำและจดั ให้ผ้ปู ่ วยได้รับประทำน ผกั และผลไม้และดื่มนำ้ มำก ๆ
ในกรณีท่ีท้องผกู
6.3 หำกผ้ปู ่ วยมีอำกำรคล่นื ไส้อำเจียนจำกกำรรับประทำนยำ จดั ให้ผ้ปู ่ วย
รับประทำนยำพร้อมอำหำร หรือ อำจรับประทำนหลงั อำหำรทนั ที