แนวคดิ และทฤษฎที ี่เกย่ี วข้องกบั การพยาบาล
สุขภาพจติ และจติ เวช
ผู้สอน
อ. ธิดารัตน์ คณึงเพยี ร
แนวคดิ และทฤษฎที เี่ กย่ี วข้องกบั การพยาบาลสุขภาพจติ
และจติ เวช
2.1 แนวคดิ เกย่ี วกับสุขภาพจติ และจติ เวช
• 2.1.1 องคป์ ระกอบของผู้มีสุขภาพจติ ดี ผู้มคี วามผดิ ปกตทิ าางจติ
และปัจจยั ทามี่ ผี ลกระทาบตอ่ ภาวะสุขภาพจติ
• 2.1.2 อาการวิทายา ลักษณะสาคัญและเกณฑก์ ารจาแนกโรคทาาง
จติ เวชทาพ่ี บบอ่ ย
• 2.1.3 การประเมนิ ทาางสุขภาพจติ และจติ เวชหลักการสัมภาษณ์
ประวัตทิ าางจติ เวช วธิ ีการตรวจและประเมนิ สภาพจติ
เบอื้ งตน้
องค์ประกอบของผู้มีสุขภาพจติ ดี
ภาวะปกติสุข (Well being)
• ปัจจุบนั องคก์ ารอนามยั โลก (WHO, 2007 อา้ งใน Varcarolis and Halter,
2010) ไดใ้ หค้ วามหมายสุขภาพจิต (Mental health)ในฐานะภาวะปกติ
สุข (Well being) ซ่ึงมีความหมายวา่ บุคคลจะสามารถรู้แทถ้ ึงศกั ยภาพ
ของตวั เขาเอง จะสามารถจดั การกบั ความเครียดที่เกิดตามปกติใน
ชีวิตประจาวนั ของเขาได้ จะทางานอยา่ งมีประสิทธิผล และอุทิศหรือทา
ประโยชน์ใหแ้ ก่สงั คม
• ถึงแมว้ า่ คนบางคนที่ไม่ไดม้ ีภาวะปกติสุขอยา่ งสมบูรณ์แบบ กไ็ ม่
จาเป็นตอ้ งมีความผดิ ปกติทางจิตหรือเจบ็ ป่ วยทางจิตเสมอไป
คิดวา่ ใครน่าจะสุขภาพจิตดีท่ีสุด
องค์ประกอบของผู้มสี ุขภาพจิตดี
1. ความสามารถทาจ่ี ะรักและมคี วามสุขในชีวิต 7. มสี ัมพนั ธภาพกบั ผู้อน่ื
2. ความสามารถทาจี่ ะจัดการกบั ความขัดแยง้ ทาาง 8. บรรลุถงึ ซงึ่ จติ วญิ ญาณของตนเอง
อารมณไ์ ด้
3. ความสามารถทาจ่ี ะใช้ชีวติ อยู่ดว้ ยการ อย่างชัดเจน
ปราศจากความกลัว ความรู้สกึ ผิด หรือความวิตก
กังวล 9. ผ่านกจิ กรรมพฒั นาการในแต่ละช่วง
4. ความสามารถทาจี่ ะรับผดิ ชอบตอ่ การกระทาา วัยไปไดอ้ ย่างราบรื่น
ของตนเอง 10. ความสามารถทาจ่ี ะทาางานและสร้าง
5. ความสามารถทาจ่ี ะควบคุมพฤตกิ รรมของ
ตนเอง ผลผลิต
6. คดิ ไดอ้ ยา่ งกระจา่ งชดั 11. เหน็ คุณคา่ ในตนเองและมอง
ตนเองในดา้ นดี
12. ความสามารถทาจ่ี ะเล่นและหวั เราะ
13. ประเมนิ ความจริงได้ถกู ต้อง
ผู้มคี วามผดิ ปกตทิ างจติ
• วกิ พิ เี ดยี (Wikipedia, the free encyclopedia,2010) ไดก้ ล่าวถึง ความผดิ ปกติทางจิต
หรือความเจ็บป่ วยทางจิต ว่าเกิดจากหลากหลายปัญหาและแสดงความผิดปกติ
ออกมาท้งั ทางดา้ นพฤติกรรม อารมณ์ ความรู้คิด และความสัมพนั ธ์กบั ผอู้ ื่น รวมท้งั
ความผดิ ปกติท่ีเกิดจากสารเสพติด
• สมาคมจิตเวชอเมริกนั (APA, 2000 อา้ งในVidebeck, 2006) กาหนดความผดิ ปกติ
ทางจิตไวว้ า่ คือ “พฤติกรรมท่ีสาคญั ทางคลินิกหรือกลุ่มอาการทางจิตใจของบุคคล
และอาการต่างๆเหล่าน้ีเกี่ยวขอ้ งสัมพนั ธ์ทาให้บุคคลน้ันเกิดความทุกข์ หรือขาด
ความสามารถหรือบกพร่องในการปฏิบัติกิจวตั รที่สาคญั เรื่องใดเร่ืองหน่ึงหรือ
หลายเร่ือง หรือเป็นการเพม่ิ ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ความทุกขห์ รือความเจบ็ ปวด
ความบกพร่อง หรือขาดอิสระในการปฏิบตั ิกิจวตั รต่างๆ”
ปัจจยั ทมี่ ผี ลกระทบต่อภาวะสุขภาพจิต
1. ปัจจยั ทางด้านร่างกายหรือด้านชีวภาพ (Biological
factors)
1.1 พนั ธุกรรม (Genetic factors)
1.2 กายวภิ าคและสรีรวิทยาของระบบประสาท
(Neuroanatomic and Neurophysiological factors)
1.3 ฮอร์โมน (Hormonal influences)
1.4 สภาพร่างกาย
2. ปัจจยั ทางด้านจติ ใจ (Psychological factors)
ปัจจัยทม่ี ผี ลกระทบต่อภาวะสุขภาพจติ
3. ปัจจยั ทางด้านสังคมวฒั นธรรม หรือส่ิงแวดล้อม(Social /cultural or
Environmental factors)
3.1 ลกั ษณะส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพ
3.2 ปัจจยั ทางเศรษฐกิจ
3.3 ปัจจยั ทางดา้ นการเมือง
3.4 ปัจจยั ทางวฒั นธรรมและเช้ือชาติ
4. ปัจจยั ทางจติ วญิ ญาณ (Spiritual factors)
ออาากกาารรททาางงจจิติตเวเวชช
Symptomatology.pdf
1.Conciousness ภาวะความรู้สึกตวั (State of awareness)
1.1 ความผดิ ปกติของสติสัมปชัญญะ (Disturbances of Consciousness)
ก. Coma
ข. Stupor
ค. Drowsiness
ง. Confusion
จ. Delirium ฉ. Fluctuation of Consciousness
ออาากกาารรททาางงจจิตติ เวเวชช
1.2 ความผดิ ปกตใิ นความต้งั ใจ (Disturbances of attention)
ก. Distractibility :
ข. Selective inattention :
1.3 ความผดิ ปกตเิ กยี่ วกบั การคล้อยตาม (Disturbances insuggestibillity)
ก. Folie a deux (folic a trois)
ข. Hypnosis
ออาากกาารรททาางงจจติ ิตเวเวชช
2. Affect
2.1ความผิดปกตขิ องอารมณ์(Disturbances in affect)
2.1.1 Inappropriate affect
ก. Euphoria
ข. Elation
ค.Exaltation
2.1.3 Unpleasurable Affects
ก.Depression
ข.Grief or mourning
อาการทางจิตเวช
2.1.4 Other Affects ช. Ambivalence
ก. Anxiety : ญ. Derealization
ข. Fear ฎ. Aggression
ค. Agitation : ฏ.Impulsive
ง. Panic https://youtu.be/6NGHz_Gc9wY ฐ. Mood swing
จ. Phobia ฑ. Emotional lability :
ฉ. Apathy or Flat affect : ฒ. La belle indifference
ซ. Irritability ณ. Ecstasy
ฌ. Depersonalization
อาการทางจิตเวช
3. Motor Behavior ช. Negativism
ซ. Mannerisms
3.1 ความผดิ ปกตขิ องพฤติกรรมการ ฎ. Overactivity
เคลื่อนไหว (Disturbance of motor 1. Hyperactivity(Hyperkinesis)
behavior) 2. Tic https://youtu.be/rHVYSstttL0
3. Sleep walking (Somnambulism)
ก. Echopraxia (Automatic obedience) 4. Compulsion
5. Hypoactivity (psychomotor
ข. Waxy Flexibility (Cerea Flexibilitas) retardation)
ค. Catalepsy(Posturing)https://youtu.be/gYwG
mWWxY48
ง. Automatism
จ. Cataplexy
ฉ. Stereotypy
อาการทางจิตเวช
4. Thinking
4.1ความผดิ ปกตใิ นเนื้อหาของความคดิ (Disturbances in content of thought)
4.1.1 Delusion ( ความหลงผดิ )
ก. Delusion of grandeur (Grandios delusion)
ข. Delusion of Persecution (Persecutory delusion)
ค. Delusion (idea) of reference
ง. Delusion of Central (Ides of passivity)
อาการทางจติ เวช
4. Thinking
4.1ความผดิ ปกตใิ นเนื้อหาของความคดิ (Disturbances in content of thought)
4.1.1 Delusion ( ความหลงผดิ )
จ. Delusion of infidelity (delusional jealousy)
ฉ. Paranoid delusion
ช. Hypochondriacal delusion (Somatic delusion)
ซ. Delusion of sin and guilt
ณ. Delusion of Poverty
อาการทางจิตเวช
4. Thinking
4.1ความผดิ ปกตใิ นเนื้อหาของความคดิ (Disturbances in content of
thought)
4.1.1 Delusion ( ความหลงผดิ )
ฎ. Nihilistic delusion
ฏ. Thought broadcasting
ฐ. Thought withdrawal
ฑ. Thought insertion
ฒ. Delusional perception
อาการทางจติ เวช
4. Thinking
4.2ความผดิ ปกติในควบคุมความคดิ
• obcession
4.3 ความผดิ ปกติในกระแสของความคิด (Stream of thought)
ก. Flight of idea
ข. Thought blocking
ค. Loosening of association
อาการทางจติ เวช
5.Speech ฉ. Perserveration
ช. Circumstantiality
5.1 ความผดิ ปกตใิ นการพดู ซ. Tangentiality
(Disturbances of speech) ฎ. Pressure of Speech
ฏ. Echolalia
ก. Incoherence ฐ. Motor aphasia
ข. Irrelevance ฑ. Sensory aphasia
ค. Blocking
ง. Neologism
จ. Word Salad (Salad of words)
อาการทางจิตเวช
6. Perception 6. Perception
6.1 ความผิดปกติของการรับรู้ 6.1 ความผดิ ปกติของการรับรู้
(Disorder of perception)
(Disorder of perception) ข. Illusion
1.Visual illusion
ก. Hallucination (ประสาทหลอน) 2.Auditory illusion
1. Auditory hallucination
2. Visual hallucination
3. Tactile hallucination
4. Olfactory hallucination
5. Gustatory hallucination
อาการทางจติ เวช
7. Memory
7.1 ความผดิ ปกติในความจา (Disturbance of memory)
7.1.1 Amnesia (การลืม) คือ การสูญเสยความจา
ก. Organic amnesia
1. Anterograde amnesia
2. Retrograde amnesia
ข. Psychogenic amnesia
7.1.2 Confabulation (Paramnesia, Illusion of memory,
Falsification of memory)
7.1.3 Déjà vu
7.1.4 Hyperamnesia
อาการทางจิตเวช
8. Intelligence
8.1 ผิดปกติในเชาวป์ ัญญา (Disorder of intelligence)
ก. Mental retardation
ข. Dementia
เกณฑ์การจาแนกโรคทางจติ เวชทพ่ี บบ่อย
ระบบการจาแนกโรคท่ีนิยมมี 2 ระบบ
1. Diagnostic and Statistical Manual of Mental disorders,
5th (DSM-V)
2. International Classification of Disease and Related
Health Problems , 10th revision (ICD-10)
เกณฑ์การจาแนกโรคทางจิตเวชทพี่ บบ่อย
ลกั ษณะสาคญั ของ DSM V
1.วนิ ิจฉยั ตามลกั ษณะอาการ (descriptive approach)
2.วนิ ิจฉยั ตามเกณฑ์ (Diagnosis criteria)
3 . Multiaxial evaluation
ดา้ นที่ 1 โรคและภาวะอ่ืนๆที่ผตู้ รวจสนใจอยู่ (Psychiatric Clinical Disorder )
ดา้ นที่ 2 Personality disorder และ mental retardation
ดา้ นท่ี 3 ภาวะความเจบ็ ป่ วยทางกายของผปู้ ่ วยในขณะน้ีไม่วา่ จะเก่ียวขอ้ งกบั
ดา้ นท่ี 1 หรือไม่กต็ าม (Medical or Physical Conditions )
เกณฑ์การจาแนกโรคทางจติ เวชทพ่ี บบ่อย
3 . Multiaxial evaluation
ดา้ นที่ 4 ปัญหาจากจิตสงั คมหรือสิ่งรอบตวั ในช่วงปี ท่ีผา่ นมาที่มีส่วนทาใหโ้ รค
กาเริบ (Contributing Environmental or Psychosocial Factors)
ดา้ นท่ี 5 เป็นการประเมินประสิทธิภาพของผปู้ ่ วยโดยรวม โดยใช้ global
assessment scale อาจเป็นการประเมินขณะก่อนป่ วย ขณะป่ วยคร้ังน้ี หรือขณะจาหน่าย
จากโรงพยาบาล Axis V: Global Assessment of Functioning (GAF)
หลกั การวนิ ิจฉยั โรคทางจิตเวช
แนวทางการวนิ ิจฉยั โรค
• อาการสาคญั
• อาการและอาการแสดง
• การดาเนินโรค
• การวนิ ิจฉัยแยกโรค (แยกจากโรคทางกาย)
• การวินิจฉัยแยกโรค (แยกจากโรคอื่นๆ ทีม่ ลี กั ษณะคล้ายคลงึ กนั )
Diagnostic and Statistical Manual of Mental disorders,
5th (DSM-V)
● Neurodevelopmental disorders ● Elimination disorders
● Schizophrenia spectrum and other psychotic ● Sleep–wake disorders
disorders ● Sexual dysfunctions
● Gender dysphoria
● Bipolar and related disorders ● Disruptive, impulse-control, and
● Depressive disorders conduct disorders
● Anxiety disorders
● Obsessive-compulsive and related disorders ● Substance-related and addictive
● Trauma- and stressor-related disorders disorders
● Dissociative disorders
● Somatic symptom and related disorders ● Neurocognitive disorders
● Feeding and eating disorders ● Personality disorders
● Paraphilic disorders
● Other mental disorders
กลุ่มอาการพเิ ศษทจี่ าเป็ นต้องพจิ ารณาตาม DSM-5
• Medication-induced movement disorders and other adverse effects of
medication
• Other conditions that may be a focus of clinical attention
Hierarchy principle
ค
Multiaxial diagnosis
• Axis I : Psychiatric Clinical Disorder
• Axis II : Personality Disorders or Mental
Retardation
• Axis III : Medical or Physical Conditions
• Axis IV : Contributing Environmental or
Psychosocial Factors
• Axis V: Global Assessment of Functioning
(GAF)
Hierarchy principle
Axis I และ Axis II คือการวินิจฉยั โรคทางจิตเวช
Axis II personality disorder หรอื mental retardation ไมไ่ ด้
เป็นการวินิจฉยั หลกั แตเ่ ป็นภาวะท่ีอาจกอ่ ใหเ้ กิดโรคทางจิตเวช
Axis III แสดงโรคทางกายท่ีอาจจะเก่ียวหรอื ไมเ่ ก่ียวกบั โรคทางจิตเวช
Axis IV สรุปเก่ียวกบั ปัจจยั ทางสงั คมท่ีอาจทาใหเ้ กิดอาการทางจิตเวช
Axis V (GAF) เป็นตวั เลข 0 - 100 ท่ีแสดงความสามารถของผปู้ ่ วยใน
ปัจจบุ นั ตวั เลขย่ิงมากย่ิงแสดงวา่ ผปู้ ่ วยมีความสามารถในการปรบั ตวั และทางาน
ไดด้ ี คะแนนแบง่ ออกเป็น 10 ช่วง ช่วงละ 10 คะแนน โดยคะแนน 0 หมายถงึ ไม่มี
ขอ้ มลู เพียงพอ
Hierarchy principle
• ใน DSM-5 ไดต้ ดั สว่ น multiaxial diagnosis ออกเน่ืองจาก
เห็นวา่ ทาใหก้ ารวินิจฉยั ยงุ่ ยาก DSM-5 รวม Axis I, II, III เขา้
ดว้ ยกนั ตดั Axis IV ออกไป และใช้ WHO Disability
Assessment Schedule (WHODAS) ทดแทน GAF
ใน Axis
VC:\Users\Windows10\Desktop\WHODAS
2.0.pdf
International Classification of Disease and Related Health Problems , 10th revision
(ICD-10)
การตรวจสภาพจติ
(Mental status examination)
การตรวจสภาพจติ คอื การตรวจสภาพการทางานของจิตใจของผปู้ ่วย
ทาการตรวจแลว้ บนั ทกึ อาการแสดงตา่ งๆ ซง่ึ สะทอ้ นการทางานของจิตใจ
หลายดา้ น
1. ลกั ษณะทวั่ ไป (General appearance)
1.1 ลกั ษณะภายนอก (appearance) ไดแ้ ก่ รูปร่างหนา้ ตา ขนาดตวั การแต่งกาย
ความสะอาด และความเหมาะสม ของเคร่ืองแต่งกาย สุขภาพ สีหนา้ แสดงความ
ไม่สบายใจ เช่น กงั วล กลวั ตกใจ เศร้า หรือเฉยๆ สีหนา้ ท่าทาง เหมาะกบั วยั และ
เพศหรือไม่ ควรสงั เกตท่าทางเครียดและไม่สบายใจหรืออึดอดั
1.2 ท่าที (attitude) ท่าทีต่อผูต้ รวจ ได้แก่ ท่าทีให้ความร่วมมือ เป็ นมิตร
ไวว้ างใจ รู้จุดมุ่งหมายและมีท่าทีเป็นผใู้ หญ่สมวยั บางคนอาจกา้ วร้าว ไม่เปิ ดเผย
และระวงั ตวั มาก ตอบคาถามตรงๆ หรือคอยเลี่ยงการตอบคาถามบางคนอาจมี
ท่าทียว่ั ยวน (seductive) ออกท่าออกทางมาก (dramatizing) วางตวั เหนือพยาบาล
หรือถ่อมตวั จนเกินไป
1. ลกั ษณะทว่ั ไป (General appearance)
1.3 พฤติกรรม(behavior) ไดแ้ ก่ การเคลื่อนไหว (motor activity) ท่ีอาจมี
มากหรือนอ้ ยกวา่ ปกติ ท่าเดิน การเคล่ือนไหวซ้าๆ (mannerism) มีอาการ
กระตุก (tics) ของหนา้ หรือหนงั ตา บางรายอาจเดินไปมา นงั่ ขยบั ตวั บ่อย
หรือเคล่ือนไหวมือและเทา้ ตลอดเวลา อยไู่ ม่สุข (agitate) ทาท่าแปลกๆ ทา
กิริยาซ้าๆ กระทาตามอยา่ งการกระทาของผอู้ ื่น (echopraxia)หรือการใชม้ ือ
และเทา้ ไม่ประสานงานกนั (uncoordinated) ควรบนั ทึกดว้ ยวา่ พฤติกรรม
ต่างๆ เกิดขณะกาลงั สมั ภาษณ์เรื่องเกี่ยวกบั อะไรเพราะอารมณ์อาจมีส่วนทา
ใหม้ ีอาการน้นั ๆ ได้
2. การพดู และกระแสคาพูด (Speech and stream of talk)
2.1 อตั ราการพดู (rate) อยใู่ นเกณฑป์ กติ เร็ว หรือชา้
2.2 จงั หวะ(rhythm) การพดู ราบรื่นดีหรือมีการติดขดั เช่น มีการลงั เล
(hesitation) ติดอ่างตอนต้งั ตน้ ประโยค (stammering) ติดอ่างพดู คาซ้าๆ
กลางประโยค (stuttering) หรือมีการหยดุ ย้งั การพดู (blocking) การพูดขาด
เป็นช่วงๆ (fragmented) การพดู แบบมีความกดดนั (pressured)
2.3 ความดงั (volume) พดู ค่อยหรือดงั เสียงดงั อาจเพราะโกรธ
2. การพูดและกระแสคาพูด (Speech and stream of talk)
2.5 กระแสคาพดู (stream of talk) ความผดิ ปกติ ไดแ้ ก่
การพดู ที่ไม่สมเหตุสมผล (illogical) ไม่ปะติดปะตอ่ กนั (incoherence)
ไม่รัดกมุ (unconscious) ไม่ไดใ้ จความตรงกบั ความเป็นจริง (irrelevance)
ความผดิ ปกติของกระแสคาพดู อาจเป็นแบบพดู วกวน (circumstantial) ซ่ึงมีรายละเอียด
มากแตย่ งั ตอบตรงคาถามในที่สุด
พดู ออกนอกเร่ือง (tangential) ตอบไม่ตรงคาถาม ตอบคาถามเดิมซ้าๆ แมจ้ ะเปล่ียน
คาถาม (Perseveration) ซ่ึงพบในผปู้ ่ วยท่ีมีอาการซึมเศร้ามาก หรือโรคจิตท่ีแยกตวั มาก
กไ็ ด้ พดู ลิ้นพนั กนั (slurred)
พดู คาเสียงคลอ้ งจองกนั แตไ่ ม่มีความหมาย (clang association) เช่น “ไปไหนไหนไส”
พดู ตามคาพูดของผอู้ ื่น (echolalia) พดู คนเดียวซ่ึงอาจเป็นการบ่นหรือพดู โตต้ อบกบั
เสียงจากหูแวว่ กไ็ ด้
2. การพดู และกระแสคาพูด (Speech and stream of talk)
2.6 การไม่เขา้ ใจความหมายของคาพดู (sensory aphasia) และการไม่สามารถ
พูดตามท่ีตนตอ้ งการ แมจ้ ะเขา้ ใจคาพดู ของผอู้ ื่น (motor aphasia) ส่วนมาก
เป็ นอาการของโรคสมองและระบบประสาท
2.7 การอ่านและการเขียน ควรให้ผูป้ ่ วยอ่านบทความส้ันๆ และเขียน
ขอ้ ความหน่ึงประโยค เพื่อจะไดต้ รวจความผิดปกติของการอ่าน และยงั
ทราบความถนดั ของมือซา้ ย
3. อารมณ์ (Emotion)ได้แก่
• 3.1 พืน้ ฐานอารมณ์ (mood) ถามผปู้ ่ วยถึงอารมณ์ที่เขามี ซ่ึงแสดงถึงความรู้สึกของเขาต่อสิ่ง
ต่างๆ ควรถามถึงระยะเวลา ความรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์น้นั ๆ อารมณ์ท่ีตรวจ
จะพบไดบ้ ่อยคือ อารมณ์ปกติ (normal) เศร้า (Depressed) สิ้นหวงั (despair) หงุดหงิด (irritable)
กงั วล (anxious) กลวั (fearful) คร้ืนเครง (euphoric) ความรู้สึกผิด (guilty) ความรู้สึกวา่ งเปล่า
(empty) เบื่อหน่าย (boredom) เป็นตน้
• 3.2 การแสดงอารมณ์ (affective expression) สังเกตการแสดงออกของความรู้สึกและ
อารมณ์ของผปู้ ่ วยวา่ มีการเปล่ียนแปลงไปตามเรื่องราวท่ีพดู คุยกนั หรือสถานการณ์ท่ีผปู้ ่ วยเผชิญ
ไดม้ ากนอ้ ยเพียงไร การแสดงออกของอารมณ์มีไดห้ ลายลกั ษณะคือ เปลี่ยนแปลงไดช้ ่วงกวา้ ง
(broad range) จากดั (restricted) เศร้า (depressed)เฉย (blunted or flat) แสดงอารมณ์ต้ืน (shallow)
เปล่ียนแปลงง่าย (labile) ช่วงแคบ (constricted) กลวั (fearful) กงั วล (anxious) และความรู้สึกผดิ
(guilty)
3. อารมณ์ (Emotion)ได้แก่
• ควรตรวจความลึกซ้ึงของการแสดงออก ความยากลาบากในการแสดงอารมณ์
อารมณ์ต่อเน่ือง และการที่อารมณ์น้นั หมดไปอยา่ งไร ควรสงั เกตอารมณ์จาก
สีหนา้ น้าเสียง และการแสดงออกทางการเคล่ือนไหวของร่างกายของผปู้ ่ วย
• 3.3 ความเหมาะสม(Appropriateness) ความเหมาะสมในการแสดงอารมณ์
วา่ เหมาะสมกบั เรื่องราวท่ีกาลงั พดู คุยกนั อยหู่ รือไม่ โดยเฉพาะอารมณ์ที่
สอดคลอ้ งกบั ความนึกคิดของผปู้ ่ วยในขณะน้นั เช่น ขณะเล่าเร่ือง ความตาย
ของมารดาผปู้ ่ วยมีอารมณ์ร่วมคือเศร้า กถ็ ือวา่ มีความเหมาะสม แต่ถา้ ผปู้ ่ วยมี
อารมณ์คร้ืนเครงกถ็ ือวา่ มีอารมณ์ไม่เหมาะสม (inappropriate)ถือเป็นความ
ผดิ ปกติท่ีควรบนั ทึกรายละเอียดขอ้ มลู ไวเ้ พือ่ ประกอบการตดั สินใจในการ
วินิจฉยั
3. อารมณ์ (Emotion)ได้แก่
คาถามประเมินสภาพดา้ นอารมณ์ : ตวั อยา่ ง
• “ผปู้ ่วยควบคมุ อารมณข์ องตนเองไดห้ รอื ไม่”“มีการแสดงออกของ
อารมณท์ ่ีเหมาะสมหรอื ไม่”
• “อารมณส์ อดคลอ้ งกบั ความคดิ หรอื ไม่ อยา่ งไร”“อารมณโ์ ดยท่วั ไปเป็น
ลกั ษณะใด”
• “เวลามอี ารมณโ์ กรธผปู้ ่วยทาอยา่ งไร”“เหตกุ ารณใ์ ดในช่วงชีวิตท่ีทาให้
ผปู้ ่วยมคี วามสขุ ท่ีสดุ ”
3. อารมณ์ (Emotion)ได้แก่
คาถามประเมินความกงั วล ความตงึ เครียด : ตวั อยา่ ง
• “คณุ กงั วลมากไหมในระหวา่ งเดอื นท่ีผา่ นมา”“คณุ กงั วลเรอ่ื งอะไร”
• “คณุ กงั วลมากนอ้ ยแคไ่ หน”“คณุ เป็นคนขีก้ งั วลหรอื เปลา่ ”
• “ความคดิ ท่ีทาใหค้ ณุ ไมส่ บายใจวนเวียนอยใู่ นจิตใจคณุ ตลอดเวลาหรอื
เปลา่ ”
3. อารมณ์ (Emotion)ได้แก่
คาถามประเมินอารมณเ์ ศร้า (Depressed mood) : ตวั อยา่ ง
• “คณุ รอ้ งไหบ้ อ่ ยกวา่ ธรรมดาไหม”“คณุ รูส้ กึ เพลดิ เพลนิ ในการทาสง่ิ หนง่ึ
สง่ิ ใดอยา่ งแทจ้ รงิ ครงั้ สดุ ทา้ ยเม่ือใด”
• “คณุ ยงั รา่ เรงิ ดีอยหู่ รอื เศรา้ มากหรอื ใจหดห่”ู “คณุ คิดวา่ ยงั พอจะสชู้ ีวติ
ตอ่ ไปไหวไหม”“เหตกุ ารณใ์ ดในช่วงชีวติ ทาใหผ้ ปู้ ่วยมคี วามเศรา้ มาก
ท่ีสดุ ”
3. อารมณ์ (Emotion)ได้แก่
คาถามประเมนิ การสิน้ หวัง (Hopelessness) : ตวั อยา่ ง
• “คณุ เคยรูส้ กึ วา่ ชีวติ ไม่มีคา่ ท่ีจะอยตู่ อ่ ไปบา้ งไหม”“คณุ เคยคิดอยากจะ
ตายไปเสียใหพ้ น้ ๆ ไหม”
• “ตอนนนั้ คณุ คดิ วา่ จะทาอยา่ งไร” “คณุ ลองทาจรงิ ๆ หรอื เปลา่ ”
4. การรับรู้ (Perception)
คือ ความสามารถของผปู้ ่วยในการรบั รูเ้ ก่ียวกบั ตนเองและโลกภายนอก
ตลอดจนความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตนกบั สิ่งแวดลอ้ ม การรบั รูผ้ า่ นประสาท
สมั ผสั อาจมีความผิดปกติจนขาดเหตผุ ลของความเป็นจรงิ เชน่
การได้ ยนิ เสียงในขณะท่ีไมม่ ีผอู้ ่ืนไดย้ นิ เสียงนนั้ หรอื เหน็ ภาพในขณะท่ี
ผอู้ ่ืนไมเ่ ห็น
4. การรับรู้ (Perception)
4.1 ประสาทาหลอน(Hallucination)คือการรบั รูท้ างประสาทสมั ผสั ทงั้ 5 ท่ีผิดไป
จากความเป็นจรงิ โดยปราศจากส่งิ เรา้ จากภายนอก (external stimulus)
คาถามประเมินอาการประสาทาหลอน : ตวั อยา่ ง
• “คณุ เคยไดย้ ินเสียงพดู หรอื เสยี งอะไรในขณะท่ีไมม่ ีใครเลยบา้ งไหม”
• “นอกจากเสียงแลว้ คณุ เคยเหน็ ภาพหรอื มปี ระสบการณท์ ่ีผดิ ปกตอิ ยา่ งอ่ืนๆ อีกบา้ ง
ไหม”
อาการประสาทาหลอนทาางหหู รือหแู วว่ :ตวั อยา่ ง
• “คณุ เคยไดย้ นิ เสยี งอะไร”“มนั ฟังคลา้ ยเสยี งพดู พมึ พา หรอื เสียงกระซบิ กระซาบหรอื
เปลา่ ”
• “คณุ ไดย้ นิ เสยี งท่ีแสดงความคิดเห็นในเร่อื งท่ีคณุ กาลงั คิด กาลงั อา่ นหรอื กาลงั ทาอยู่
หรอื เปลา่ ”
4. การรับรู้ (Perception)
อาการประสาทาหลอนทาางตาหรอื ภาพหลอน : ตวั อยา่ ง
• “คณุ เหน็ อะไรท่ีคนอ่ืนไมเ่ หน็ บา้ งไหม”“คณุ เห็นกบั ตาหรอื วา่ อยใู่ นใจคณุ ”
อาการประสาทาหลอนทาางจมูก : ตวั อยา่ ง
• “คณุ คดิ วา่ ตวั คณุ เองมีกลน่ิ ซง่ึ คนอ่ืนก็ไดก้ ลน่ิ นนั้ ดว้ ยหรอื เปลา่ ”
อาการประสาทาหลอนชนิดอนื่ ๆ : ตวั อยา่ ง
• “มอี ะไรผดิ ธรรมดาไปบา้ งไหมในการรบั ความรูส้ กึ อ่นื ๆ เชน่ การสมั ผสั การรูร้ ส หรอื
การไดก้ ล่นิ ”
4.2 การแปลการรับสัมผัสผดิ (illusion)คือ การรบั รูท้ างประสาทสมั ผสั ท่ีผดิ ปกติ
ชนิดแปลส่งิ เรา้ ผดิ ไปจากความจรงิ (misinterpretation of read external
sensory stimuli) ในผปู้ ่วยโรคสมองอาจมีอาการเหน็ สายใหน้ า้ เกลือเป็นงู หรอื
เหน็ มา่ นท่ีลมพดั ปลวิ เป็นคนท่ีกาลงั เคล่อื นไหว เป็นตน้
4. การรับรู้ (Perception)
4.3 ความรู้สึกว่าตนมิใช่ตนเอง(Depersonalization)คือผปู้ ่ วยรู้สึกวา่ ตนมิใช่
ตนเอง รู้สึกตนเองแปลกไปหรือมีบางอยา่ งเปล่ียนแปลงไปแต่อธิบายไม่ได้
ในบางรายรู้สึกวา่ เพียงบางส่วนของร่างกายแปลกไป เช่น มือขวาไม่ใช่มือ
ขวาของเขา หรือหนา้ ของเขาแปลกไป เป็นตน้
4.4 ความรู้สึกว่าส่ิงแวดล้อมเปลย่ี นแปลงหรือแปลกไป
(Dercalization)ผปู้ ่ วยรู้สึกวา่ ส่ิงแวดลอ้ มต่างไปจากเดิม มีบางอยา่ ง
เปลี่ยนแปลงไป แต่อธิบายไม่ไดว้ า่ เปล่ียนไปอยา่ งไร