The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลจิตเวช (สุขภาพจิต อาการวิทยา การจำแนกโรค การตรวจสภาพจิต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลจิตเวช (สุขภาพจิต อาการวิทยา การจำแนกโรค การตรวจสภาพจิต

แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลจิตเวช (สุขภาพจิต อาการวิทยา การจำแนกโรค การตรวจสภาพจิต

5. ความคดิ (Though process)

5.1 กระแสความคดิ (Stream of thought)ไดแ้ ก่

• 5.1.1 การใชค้ วามคิด (Productivity) ใชค้ วามคิดไดม้ ากหรือนอ้ ย มีการคิดสะดุด มีการ
คิดเร็ว (rapid) หรือชา้ (slow) ลงั เล (hesitant) คิดเร็วมากและเปลี่ยนเร่ืองมาก (fight of
ideas) ผปู้ ่ วยพดู เล่าเรื่องเอง หรือตอ้ งถามจึงจะตอบ

• 5.1.2 ความต่อเนื่องของความคิด (Continuity of thought) ผูป้ ่ วยตอบตรงคาถาม
หรื อไม่ คาตอบมีจุดมุ่งหมายได้เร่ืองราวและมีเหตุผลหรื อไม่ การขาดเหตุผล
(illogical) พูดนอกเร่ือง (tangential) พดู ไปเรื่อยๆ (rambling) พดู เล่ียง (evasive) ตอบ
คาถามต่างๆ ด้วยคาตอบเดิมซ้าๆ (perseveration) การหยุดพูดโดยกระทนั หัน
(blocking) การถูกชักจูงไปเรื่องอื่นไดง้ ่าย (distractibility) และมีความคิดไม่
ต่อเนื่องกนั คือเปล่ียนเร่ืองไม่มีความสมั พนั ธก์ นั (loose association)

5. ความคดิ (Though process)

5.1.3 ความผิดปกติของภาษาอื่นเน่ื องมาจากความคิด (Language
impairment) ไดแ้ ก่ คาพดู ที่ปะติดปะต่อ (incoherent) นาคาต่างๆ มาผสมกนั
โดยไร้ความหมาย (word salads) พูดโดยใชค้ าท่ีมีเสียงคลอ้ งจองกนั (clang
association) สร้างภาษาพูดข้ึนใหม่สาหรับตนเองซ่ึงผูอ้ ื่นไม่เขา้ ใจ
(neologism) และพดู ตามคาพดู ผอู้ ่ืนแบบนกแกว้ นกขนุ ทอง (echolalia)

5. ความคดิ (Though process)

5.2 เนื้อหาของความคดิ (Content of thought)หมายถึง ส่ิงที่ผปู้ ่ วยคิดซ่ึง
แสดงออกทางคาพดู ซ่ึงผปู้ ่ วยอาจพดู เองหรือ พยาบาลตอ้ งถามเพ่ือใหไ้ ด้
คาตอบ เช่น พยาบาลตอ้ งถามเร่ืองความคิดฆ่าตวั ตาย
• 5.2.1 ความคิดหมกมุ่น(Preoccupation) คือครุ่นคิดในเรื่องใดเรื่องหน่ึง

เช่น เรื่องความเจบ็ ป่ วย ครอบครัวหรือการงาน เป็นตน้ ผปู้ ่ วยคิดวนเวยี น
ในเรื่องน้นั ๆ จนไม่สนใจเรื่องอื่น อาจมีอาการเหม่อใจลอย ลกั ษณะการ
หมกมุ่นในความคิดท่ีผดิ ปกติอื่นๆ

5. ความคดิ (Though process)

• การย้าคิดย้าทา (obsession compulsion) การย้าคิด คือการคิดซ้าๆ ในเร่ือง
หน่ึงอย่างมากเป็ นความคิดท่ีรบกวนผูป้ ่ วยและผูป้ ่ วยไม่อาจหยุดคิดได้
ทาให้ผูป้ ่ วยกงั วลมากและพยายามขจดั ความคิดน้ัน การย้าทา คือ การ
กระทาซ้าๆ ซ่ึงคลอ้ ยตามการย้าคิด ผปู้ ่ วยรู้สึกบงั คบั ให้กระทาในส่ิงน้นั
ๆ แมจ้ ะทราบว่าเป็ นส่ิงที่ไม่มีเหตุผลและไม่น่าทา แต่ก็ตอ้ งทาและรู้สึก
สบายใจข้ึนภายหลงั ทา เช่น อาการปิ ดสวิตซ์ไฟบ่อยๆนบั จานวนเส้ือผา้
ในตู้ วนั ละหลายๆ คร้ัง ลา้ งมือบ่อยวนั ละ 20-30 คร้ัง เป็นตน้

5. ความคดิ (Though process)

คาถามประเมินอาการย้าคดิ ยา้ ทาา : ตวั อยา่ ง
• “คณุ ตอ้ งหม่นั ตรวจสอบสงิ่ ตา่ งๆ ทงั้ ๆ ท่ีคณุ รูว้ า่ ทาไปแลว้ หรอื ไม่”
• “คณุ คอยนบั /เช็คสง่ิ ตา่ งๆ หรอื ทาอะไรซา้ ๆ หลายครงั้ หรอื เปลา่ ”
• (ถา้ คณุ พยายามหยดุ จะเป็นอย่างไร)
• “คณุ รูส้ กึ ลาบากไหมในการตดั สนิ ใจเรอ่ื งเลก็ ๆนอ้ ยๆ”(ถา้ คณุ พยายาม

จะหยดุ จะเป็นอยา่ งไร)
• “คณุ ใชเ้ วลาไหมในเรอ่ื งของการทาความสะอาดตวั เอง”

5. ความคดิ (Though process)

• ความกลวั ท่ผี ิดปกติ (phobia) มีความกลวั ท่มี ากผิดปกตแิ ละมีความกงั วลมาก ควรจะถามถา้ ผปู้ ่วย
ไมเ่ ลา่ เอง ตวั อยา่ ง เชน่ กลวั ของแหลม กลวั ท่สี งู กลวั ท่แี คบ กลวั เชือ้ โรค เป็นตน้

คาถามประเมนิ อาการกลัว:ตวั อย่าง
• “คณุ มกั จะวิตกกงั วลในสถานการณบ์ างอย่างบา้ งหรอื ไม”่ (สถานการณอ์ ะไรบา้ ง บ่อยครงั้ ไหมในเดือนท่ี

ผ่านมา)
• ความคิดตอ้ งการฆา่ ตวั ตาย (suicidal thought)
• ความคิดตอ้ งการฆา่ ผอู้ ่นื (homicidal thought) หรอื ทารา้ ยผอู้ ่นื ควรถามโดยเฉพาะผปู้ ่วยท่ี

กา้ วรา้ ว และแสดงความอาฆาตพยาบาท
• ความคิดหมกมนุ่ เรอ่ื งความเจบ็ ป่วย (hypochondriacal thought) ผปู้ ่วยจะเลา่ อาการ

เจบ็ ป่วยซา้ ๆ และกงั วลมาก
• ความคิดตอ้ งการกระทาผิดกฎหมาย (antisocial) ผปู้ ่วยคิดท่จี ะกระทาในส่งิ ท่เี ป็นภยั สงั คม เชน่ คดิ

จะขโมยหรอื ปลน้ ทรพั ย์ คิดจะทาลายของสาธารณะ

5. ความคดิ (Though process)

คาถามประเมินอาการหลงผิด : ตวั อยา่ ง
• อาการหลงผิดวา่ ถูกบงั คับควบคุม (Delusions of control)
• “คณุ รูส้ กึ วา่ มีพลงั หรอื อานาจบางอยา่ งมาควบคมุ หรอื เปลา่ ” (มนั เป็นอยา่ งไรหรอื )
• อาการหลงผิดว่าถกู พาดพงิ ถงึ (Delusions of reference)
• ความรูส้ กึ วา่ ผปู้ ่วยเป็นคนนา่ วจิ ารณ์ นา่ ตาหนิ
• “ดเู หมอื นวา่ อะไรๆ จะถกู จดั แจงไวอ้ ยา่ งพิเศษบา้ งหรอื เปลา่ ”
• “คณุ เหน็ อะไรท่ีพาดพิงถงึ ตวั คณุ ในโทรทศั นห์ รอื ในหนงั สอื พมิ พบ์ า้ งหรอื เปลา่ ”
• อาการหลงผดิ ว่าถกู กล่ันแกล้งปองร้าย (Delusions of persecution)
• “มีใครกาลงั พยายามทาอนั ตรายคณุ บา้ งหรอื ไม่” (เชน่ จะวางยาพิษ จะทารา้ ย จะ

ฆา่ )
• “เขาทาอยา่ งไร”

5. ความคดิ (Though process)

• อาการหลงผิดเกย่ี วกบั อิทธิพลในแบบต่างๆ
“ผปู้ ่ วยกล่าววา่ ตกอยใู่ นภาวะที่ทาใหค้ รอบครัววอดวาย หายนะถูก

ลงโทษที่เขาไม่ไดท้ าอะไรใหด้ ีข้ึน/ทาบาปอยา่ งใหญ่หลวง/ไดน้ าความวอด
วายหายนะมาสู่โลกน้ี/ถูกลงโทษถึงขนาดตอ้ งตายหรือตกนรกจากเหตุน้ี”
5.2.3 ความเช่ือวา่ ความคิด คาพดู หรือการกระทาของผอู้ ่ืนเป็นเรื่องท่ี
เก่ียวกบั ตน (Idea of reference) และความเช่ือวา่ มีผอู้ ่ืนคอยควบคุมความคิด
และการกระทาของตน (Idea of influence) ควรถามถึงการไดย้ นิ ความคิด
ของตนเป็นเสียงภายนอก (audible thought)

5. ความคดิ (Though process)

คาถามประเมินความคิด : ตวั อยา่ ง
• “มีอะไรมารบกวนความคิดของคณุ ไหม”“คณุ ควบคมุ ความคดิ ของตวั เองได้

หรอื ไม่”
• อาการความคดิ ถกู สอดใส่ (Thought insertion)
• “คณุ รูไ้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ ไม่ใชค่ วามคดิ ของคณุ เอง”
• “มีใครใสค่ วามคดิ อะไรเขา้ มาในหวั ของคณุ ซง่ึ คณุ รูว้ า่ มนั ไม่ใช่ความคิดของ

คณุ เองหรอื ไม่”
• “คณุ เคยไดย้ นิ ความคดิ ของคณุ เองเป็นเสยี งพดู ออกมาดงั ๆ ในหวั ของคณุ

หรอื ไม่”

5. ความคดิ (Though process)

อาการความคดิ ถกู กระจายเสียง (Thought broadcast)
• “ความคดิ ของคณุ ถกู กระจายเสียงออกไป จนคนอ่นื รูว้ า่ คณุ กาลงั คิด

อะไรอยบู่ า้ งหรอื เปลา่ ”
• “คณุ เคยไดย้ นิ ความคดิ ของตวั เองดงั เป็นเสยี งพดู ซา้ ๆ หรอื สะทอ้ นกอ้ ง

บา้ งหรอื ไม”่
• “คณุ เคยรูส้ กึ เช่นนีบ้ า้ งไหม รูส้ กึ คลา้ ยๆ กบั วา่ ความคิดของคณุ ถกู เอา

ไปจากหวั เหมือนคนหรอื พลงั ภายนอกอะไรสกั อยา่ งดนั มนั ออกไป”

5. ความคดิ (Though process)

• 5.2.4 ความเพอ้ ฝันและความฝัน (fantasy and dream) ความเพอ้ ฝัน (fantasy)
คือการนึกคิดในขณะท่ีตื่นอยู่เป็ นการนึกเหตุการณ์ท่ีมิได้เป็ นจริงที่ผูน้ ้ัน
ปรารถนาให้เป็ นความจริงแลว้ จะทาให้เกิดพอใจ บางคนมีความคิดฝันมาก
และเป็นอยนู่ านจนทาใหบ้ กพร่องในการดาเนินชีวติ ประจาวนั

• ส่วนมากจะนึกฝันถึงสิ่งที่เป็นจริงไม่ไดเ้ รียกวา่ ฝันกลางวนั (day-dream)
• ความฝัน (dream) หมายถึงการเห็นเป็นเรื่องราวเม่ือหลบั ส่วนมากผฝู้ ันจะเขา้

ไปอยใู่ นเหตุการณ์ในฝันดว้ ย เรื่องในความเพอ้ ฝันและความฝันของผปู้ ่ วยอาจ
สะทอ้ นถึงความขดั แยง้ และปัญหาท่ีอยู่ในจิตไร้สานึกของผูป้ ่ วยได้ บางราย
อาจมีฝันหรือละเมอซ่ึงอาจเกิดจากจิตใจท่ีสบั สนและเครียดมาก

5. ความคดิ (Though process)

• 5.3 ความคดิ แบบนามธรรม(Abstract thinking)คือ ความคิดท่ีมีวฒุ ิ
ภาวะสูงของผใู้ หญ่ซ่ึงสามารถ สร้างความคิดรวบยอด (formulate
concept) และนาไปใชเ้ ขา้ ใจส่ิงต่างๆ (generalization) ไดส้ ่วนความคิด
แบบรูปธรรม (concrete thinking) คือความคิดแบบเดก็ เลก็ พบไดใ้ นคน
ปัญญาอ่อน คนแยกตวั ผปู้ ่ วยโรคสมอง และผปู้ ่ วยโรคจิต ส่วนความคิด
ที่ไม่เหมาะสม (inappropriate) และแปลกประหลาด (bizarre) พบใน
ผปู้ ่ วยโรคจิต

5. ความคดิ (Though process)

วธิ ีการตรวจความคิดแบบนามธรรม คือการตรวจสิ่งต่อไปน้ีคือ
• 5.3.1 ความสามารถในการบอกความเหมือนกนั (similarity) และความ

แตกต่างกนั (difference) ของสิ่งต่างๆ พยาบาลตรวจความคิดของผปู้ ่ วย
วา่ เป็นแบบนามธรรม (abstract) หรือแบบรูปธรรม (concrete ) โดยถาม
ผูป้ ่ วยว่าสิ่งสองสิ่งท่ีพยาบาลจะบอกผูป้ ่ วยทีละคู่น้ันมีความเหมือนกนั
อยา่ งไร ควรบนั ทึกคาตอบของผปู้ ่ วยไวแ้ ละควรถาม อยา่ งนอ้ ย 3 คาถาม
เพ่ือให้ผปู้ ่ วยมีโอกาสหลายคร้ัง และควรใชค้ าถามชุดเดียวกนั กบั ผปู้ ่ วย
ทุกคนเพ่ือจะได้ เปรียบเทียบคาตอบของผปู้ ่ วยแต่ละคนซ่ึงมีบุคลิกภาพ
และเป็ นโรคจิตเวชที่แตกต่างกนั

5. ความคดิ (Though process)

การตรวจความสามารถในการบอกความเหมือนกนั (similarily) ของส่ิงต่างๆ ได้แก่
• คาถาม คาตอบแบบนามธรรม คาตอบแบบรูปธรรม
• (abstract) (concrete)
• 1. ส้มกบั กลว้ ย เป็นผลไม้ กินได้ มีเปลือก สีเหลือง
• 2. โตะ๊ กบั เกา้ อ้ี เป็นเครื่องเขียน ทาดว้ ยไม้ มี 4 ขา
• 3. แมวกบั หนู เป็นสัตว์ มีขน มี 4 ขา มีหนวด

5. ความคดิ (Though process)

คาถาม คาตอบแบบนามธรรม คาตอบแบบรูปธรรม

• (abstract) (concrete)

• 1. เดก็ กบั คนแคระ เดก็ ยงั เตบิ โตไมเ่ ตม็ ท่ี เดก็ หวั เลก็ ตวั เล็ก

คนแคระเป็นผใู้ หญ่ท่ีตวั เตยี้ คนแคระหวั โต อว้ นกวา่

• 2. ตน้ โพธิ์กบั ตนั มะเขือ ตน้ โพธิ์เป็นไมย้ ืนตน้ ตน้ โพธิ์มีใบ ตน้ ใหญ่

ตน้ มะเขือเป็นตน้ ไมล้ ม้ ลกุ ตน้ มะเขอื มลี กู กินได้

• 3. กลางวนั กบั กลางคืน กลางวนั มีแสงสวา่ ง กลางวนั คนไมน่ อน ทางาน

กลางคืนมดื กลางคนื คนนอน ขีเ้ กียจ

5. ความคดิ (Though process)

• 5.3.2 การบอกความหมายของคาพงั เพยและภาษิต (proverb interpretation) คา
พงั เพย หมายถึง คากลาง ที่กล่าวไวใ้ ห้ตีความเขา้ ใจกบั เรื่อง ภาษิต คือ คา
กล่าวท่ีเป็นกลางๆ มุ่งจะใหเ้ ป็นคติสอนใจ ในการตรวจขอใหบ้ อกความหมาย
ของคาพงั เพยและภาษิตที่บอกใหผ้ ใู้ หญ่ท่ีมีระดบั เชาวป์ ัญญาอยใู่ นเกณฑเ์ ฉล่ีย
และมีความคิดแบบนามธรรม (abstract) จะสามารถเขา้ ใจความคิดรวบยอด
(concept) ได้ ส่วนผูท้ ่ีมีความคิดแบบรูปธรรม (concrete) จะเขา้ ใจต้ืนๆ
เฉพาะคาหรือประโยคของคาพงั เพยและภาษิต และอธิบายความหมายของคา
ท่ีอยู่ใน ขอ้ ความเท่าน้ันไม่สามารถสรุปความคิดรวบยอดที่ซ่อนอยู่ในคา
พงั เพยหรือภาษิตได้ ผูท้ ่ีมีความคิดแบบรูปธรรม ไดแ้ ก่ คนปัญญาอ่อน ผูป้ ่ วย
โรคสมอง โรคจิตเภท โรค mania

5. ความคดิ (Though process)

• ควรถามความหมายของคาพงั เพยและภาษิตอยา่ งนอ้ ย 3 ขอ้ ซง่ึ อาจมี
ความยากง่ายตา่ งกนั ไปสาหรบั ผปู้ ่วยแตล่ ะคน

• และใหโ้ อกาสผปู้ ่วยหลายครงั้ เพ่ือแกต้ วั หากตอบบางขอ้ ไม่ไดค้ วรเลือก
คาพงั เพยและภาษิตไว้ 1 ชดุ ท่ีใชป้ ระจา เพ่ือจะไดเ้ ปรยี บเทียบคาตอบ
จากผทู้ ่ีมีบคุ ลิกภาพและพฤตกิ รรมตา่ งๆ กนั และป่วยดว้ ยโรคจิตเวช
ตา่ งๆ กนั จะทาใหม้ ีความชานาญในการใชก้ ารทดสอบนีแ้ ละการ
วิเคราะหค์ าตอบท่ีได้

คาพงั เพยและสุภาษิตท่ีใชใ้ นการตรวจความคิดของผูป้ ่ วย
ไดแ้ ก่ ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

1. นา้ ขึน้ ใหร้ ีบตกั (ภาษิต-โบราณภาษิต)
• คาตอบแบบรูปธรรม : นา้ ขนึ้ ก็ตอ้ งรบี ตกั เพราะตกั ไดง้ ่ายกวา่ ตอนนา้ ลง
• คาตอบแบบนามธรรม : เม่ือมีโอกาสดีก็ควรรบี ทา
• คาตอบแบบนามธรรมสงู : ควรรบี ฉวยโอกาส เพราะโอกาสเป็นส่งิ ท่ี

ผา่ นไปแลว้ ไมก่ ลบั มาอีก

คาพงั เพยและสุภาษิตท่ีใชใ้ นการตรวจความคิดของผูป้ ่ วย
ไดแ้ ก่ ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

2. หนีเสอื ปะจระเข้ (คาพงั เพย)
• คาตอบแบบรูปธรรม : คนกาลงั ว่ิงหนีเสอื แลว้ ยงั ไปพบจระเขท้ ่ีดรุ า้ ยอีก
• คาตอบแบบนามธรรม : หนีทกุ ขห์ รอื อนั ตรายอยา่ งหนึ่ง กลบั ไปพบทกุ ขห์ รอื

อนั ตราย อีกอยา่ งหนง่ึ
3. ขีช่ ้างจับต๊ักแตน (คาพงั เพย)
• คาพงั เพยแบบรูปธรรม : คงทาไมไ่ ด้ เพราะชา้ งเดนิ ชา้ แตต่ ๊กั แตนบนิ เรว็
• คาตอบแบบนามธรรม : ลงทนุ มากแตไ่ ดผ้ ลเลก็ นอ้ ย
• คาตอบแบบนามธรรมสงู : ลงทนุ ไม่คมุ้ ผลท่ีจะได้ การรูจ้ กั ประมาณตนเป็น

สิ่งจาเป็น

คาพงั เพยและสุภาษิตท่ีใชใ้ นการตรวจความคิดของผูป้ ่ วย
ไดแ้ ก่ ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

5.3.4 การบอกเลา่ เรอ่ื งราวของผปู้ ่วยก็สามารถแสดงถึงความบกพรอ่ งของ
ความคดิ แบบนามธรรมได้ เช่น การแสดงความคดิ เหน็ ขณะเลา่ ประวตั ิ การตอบ
คาถามในการตรวจสภาพจิตดา้ นอ่ืนๆ
5.4 สมาธิ(Concentration)คือ ความสามารถของผปู้ ่วยในการมีความ
สนใจและตงั้ ใจกระทาสง่ิ ใดสิง่ หน่งึ อยไู่ ดใ้ นระยะเวลาหน่ึง เช่น สามารถคดิ
คานวณเลขได้ การทดสอบสมาธิท่ีใชก้ นั คอื ใหผ้ ปู้ ่วยลบ 100 ดว้ ย 7 ได้ ผลลพั ธ์
เท่าไรก็ใหล้ บดว้ ย 7ไปตามลาดบั ถา้ ผปู้ ่วยทาไมไ่ ดก้ ็อาจใหค้ ิดเลขงา่ ยๆ เชน่ 20
ลบดว้ ย 5 หรอื 10 ลบดว้ ย 3
• สมาชิกอาจทาไดโ้ ดยใหผ้ ปู้ ่วยเลา่ เรอ่ื งสนั้ ๆ หน่งึ เรอ่ื งแลว้ สงั กตความตงั้ ใจ

และความสนใจของผปู้ ่วยขณะเลา่ เรอ่ื ง

คาพงั เพยและสุภาษิตท่ีใชใ้ นการตรวจความคิดของผูป้ ่ วย
ไดแ้ ก่ ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

คาถามประเมินสมาธิ : ตวั อยา่ ง

• “สมาธิของคณุ เป็นอยา่ งไรบา้ งในระยะนี”้ “คณุ มกั จะหมกมนุ่ ครุน่ คดิ
เรอ่ื งอะไรหรอื เปลา่ ”

• “คณุ สามารถอ่านบทความในหนงั สอื พิมพห์ รอื ดรู ายการในโทรทศั นน์ ีไ้ ด้
จบเรอ่ื งไหม”

• “คณุ คดิ อะไรไดค้ ลอ่ งไหม”“ความคดิ ของคณุ เช่ืองชา้ หรอื ไม่”

• “การตดั สินใจเก่ียวกบั เรอ่ื งราวประจาวนั เป็นอยา่ งไร”

6. การรับรู้สภาวะตนเองและส่ิงแวดล้อม (Sensorium)

ไดแ้ ก่ การทาหน้าที่ของจิตใจในส่วนของการรับรู้ (cognition) การ
ตรวจสอบความรู้สึกตวั และการรับรู้น้ีตอ้ งใชก้ ารตรวจความสามารถหลาย
อยา่ ง ไดแ้ ก่ การตรวจความรู้สึกตวั (consciousness) การรู้เวลาสถานที่และ
บุคคล (orientation) ความจา (memory) และเชาวป์ ัญญา (intellectual
function)

คาพงั เพยและสุภาษิตท่ีใชใ้ นการตรวจความคิดของผูป้ ่ วย
ไดแ้ ก่ ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

• 6.1 ความรู้ตัว(Consciousness)คือความสามารถของผูป้ ่ วยที่จะสนใจ
รับรู้และสนองตอบต่อผตู้ รวจและสถานการณ์แวดลอ้ ม ควรตรวจระดบั
ความต่ืนตวั (alertness and wakefulness) ตรวจว่าผปู้ ่ วยมีความรู้ตวั อยา่ ง
เตม็ ท่ีตามปกติ หรือมีความรู้ตวั นอ้ ยกวา่ ปกติ คือไม่ค่อยรับรู้ส่ิงแวดลอ้ ม
(clouding of consciousness) ซ่ึงมีลกั ษณะของการสับสน (confusion)
หรือรุนแรงถึงข้นั ไม่รู้สึกตวั (coma) ในบางรายอาจมีการเปล่ียนแปลง
ความรู้ตวั แบบข้ึนๆ ลงๆ (fluctuate)

คาพงั เพยและสุภาษิตที่ใชใ้ นการตรวจความคิดของผูป้ ่ วย
ไดแ้ ก่ ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

• 6.2 การรู้เวลา สถานทแี่ ละบุคคล (Orientation)ไดแ้ ก่การที่
ผปู้ ่ วยสามารถบอกวนั เดือน ปี ฤดูกาล และเวลา บอกสถานที่ที่
เขาอยขู่ ณะที่สมั ภาษณ์ บอกไดว้ า่ เขาคือใคร คือการรู้เรื่องเวลา
สถานที่ และบุคคล (orientation to time, place and person)

6. การรับรู้สภาวะตนเองและสิ่งแวดล้อม (Sensorium)

6.3 ความจา (Memory)ไดแ้ ก่
• 6.3.1 ความสามารถในการรบั ขอ้ มลู (Registration) ซง่ึ เป็นหนา้ ท่ี

ของสมองสว่ นกลางท่ีจะรบั รูข้ อ้ มลู และบนั ทกึ ขอ้ มลู นนั้ ๆ ไว้
• 6.3.2 ความสามารถในการจา(Retention) คอื การเก็บขอ้ มลู ท่ีรบั รู้

ไวใ้ นสมองและสามารถนามาใชไ้ ดใ้ นภายหลงั (recall) เม่ือตอ้ งการ

6. การรับรู้สภาวะตนเองและส่ิงแวดล้อม (Sensorium)

ความสามารถในการจา แบ่งเป็น
• (1) ความจาเฉพาะหนา้ (Immediate retention and recall) ใหผ้ ปู้ ่ วยพูดตามตวั เลข

(Digit forward จานวน 4-7 ตวั ถามใหฟ้ ังชา้ ๆ และพูดทวนตวั เลขถอยหลงั (digit
backward) โดยปกติจะพดู ตามไดอ้ ยา่ งนอ้ ย 5-6 หลกั และทวนถอยหลงั ได้ 4-5
หลกั
• (2) ความจาระยะส้นั หรือความจาในปัจจุบนั (Recent or short-term memory) การ
ตรวจใหผ้ ปู้ ่ วยเลา่ เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนภายในระยะ 1-2 วนั ถามถึงการเดินทาง
มาโรงพยาบาล บา้ นท่ีอยปู่ ัจจุบนั ควรถามคาถามท่ีผถู้ ามทราบคาตอบที่ถูกตอ้ ง

6. การรับรู้สภาวะตนเองและส่ิงแวดล้อม (Sensorium)

• อีกวิธีหน่ึง คือการบอกใหผ้ ปู้ ่ วยจาของ 3 ส่ิงที่ไม่มีความสมั พนั ธ์ เช่น
โตะ๊ รถยนต์ ดอกไม้ แลว้ ถาม ผปู้ ่ วยถึงของเหล่าน้นั ในภายหลงั หรืออาจ
ใหผ้ ปู้ ่ วยฟังเร่ืองส้นั ๆ แลว้ ขอใหผ้ ปู้ ่ วยเล่าในตอนทา้ ยของการตรวจ

6. การรับรู้สภาวะตนเองและสิ่งแวดล้อม (Sensorium)

คาถามประเมินความจาในปัจจุบนั : ตวั อยา่ ง
• “เม่ือวานมีเหตกุ ารณอ์ ะไรเกิดขนึ้ บา้ ง”“เม่ือเชา้ ไปทาอะไรบา้ ง”
• (3) ความจาระยะไกลหรอื ความจาในอดีต (Remote or long-

term memory) ไดแ้ ก่ ความจาเหตกุ ารณใ์ นอดตี หลายปีท่ีผ่าน
มา ตรวจโดยถามประวตั ิ สถานท่ีเกิดและวนั เดอื นปีเกิดของผปู้ ่วย
นามสกลุ เดิมของมารดา ช่ือและอายขุ องบตุ รหรอื ของพ่ีนอ้ ง ช่ือโรงเรยี น
ในวยั เดก็ และงานท่ีผปู้ ่วยทาครงั้ แรกสามารถประเมนิ ความจาในอดีต
ของ ผปู้ ่วยไดต้ งั้ แตข่ ณะสมั ภาษณป์ ระวตั อิ ดตี ประวตั คิ รอบครวั และ
ประวตั ิสว่ นตวั ของผปู้ ่วย

6. การรับรู้สภาวะตนเองและส่ิงแวดล้อม (Sensorium)

6.4 เชาวป์ ัญญา(Intellectual function)ไดแ้ ก่การประเมนิ ระดบั
สติปัญญาของผปู้ ่วยวา่ เหมาะสมกบั ระดบั การศกึ ษา และส่งิ แวดลอ้ มดา้ น
วฒั นธรรมของเขาหรอื ไมอ่ าจประเมินไดจ้ าก
• 6.4.1 ความรูท้ ่วั ไป ไดแ้ ก่ การถามความรูท้ ่วั ไปในเรอ่ื งท่ีผูม้ ีระดบั เชาว์

ปัญญาระดบั เฉล่ยี และอยใู่ นสงั คมวฒั นธรรมระดบั กลางควรตอบได้
ตวั อยา่ งคาถามท่ีอาจเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ผปู้ ่วย ไดแ้ ก่ช่ือเมืองหลวงและ
จงั หวดั สาคญั ในภาคตา่ งๆ ของประเทศไทย
• พระนามพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลปัจจบุ นั และสมเดจ็
พระบรมราชินีนาถ
• ช่ือนายกรฐั มนตรคี นปัจจบุ นั และคนก่อนคนปัจจบุ นั

6. การรับรู้สภาวะตนเองและสิ่งแวดล้อม (Sensorium)

• 6.4.2 ขอ้ มลู จากการซกั ประวตั ิและการตรวจสภาพจิต ไดแ้ ก่ การตอบ
ตรงคาถามและไดใ้ จความชดั เจน ถอ้ ยคาท่ีใช้ ผลการเรยี นในระดบั
การศกึ ษาตา่ งๆ อาชีพและความสาเรจ็ ในงานและการแสดงความ
คิดเห็นเชิงนามธรรม

• 6.4.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหาชีวิต ไดแ้ ก่ การประเมิน
ความสามารถของผปู้ ่วยเก่ียวกบั การปรบั ตวั ตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มและ
สถานการณใ์ หมๆ่

6. การรับรู้สภาวะตนเองและส่ิงแวดล้อม (Sensorium)

• ผตู้ รวจควรสรุปการประเมินระดบั เชาวป์ ัญญาของผปู้ ่วยวา่ ผปู้ ่วยใช้
สติปัญญาในการดาเนินชีวิตไดเ้ หมาะสมหรอื ไม่ หรอื ผปู้ ่วยมสี ตปิ ัญญา
อยใู่ นเกณฑส์ งู แตไ่ มส่ ามารถนามาใชไ้ ดเ้ พราะมีปัญหาทางอารมณ์

7. การควบคุมอารมณ์ และการแสดงออก (Impulse control)

• ไดแ้ ก่ ความสามารถในการควบคมุ การแสดงอารมณต์ า่ งๆ ไดแ้ ก่
อารมณไ์ มพ่ อใจ โกรธ กา้ วรา้ ว กลวั ฟงุ้ ซา่ น อารมณร์ กั และอารมณ์
ทางเพศ อาจเป็นการแสดงออกทางคาพดู หรอื การกระทาท่ีไมเ่ หมาะสม
และไมเ่ ป็นท่ียอมรบั ของสงั คม ผปู้ ่วยท่ีไมส่ ามารถควบคมุ อารมณแ์ ละ
การแสดงออกได้ ก็คือผทู้ ่ีมีความอดทนนอ้ ยตอ่ ความคบั ขอ้ งใจท่ีตน
ไดร้ บั (low frustration threshold) เขาอาจกลา่ วคาหยาบ
หรอื มีพฤตกิ รรมกา้ วรา้ วและรุนแรงซง่ึ มผี ลเสียทงั้ ตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืนได

8. การตดั สินใจ (Judgement)

• ตรวจการตดั สินใจของผปู้ ่วยวา่ เหมาะสมหรอื ไม่ ประกอบดว้ ยเหตผุ ล
อยา่ งไร และผปู้ ่วยประพฤติตามการตดั สนิ ใจนนั้ ไดเ้ พยี งใด

• การตดั สนิ ใจและการกระทาของผปู้ ่วยเป็นท่ียอมรบั ของสงั คมและ
เหมาะสมกบั วฒั นธรรมประเพณีหรอื ไม่ การตดั สนิ ใจของผปู้ ่วยกระทา
โดยใชเ้ หตผุ ลหรอื ใชอ้ ารมณ์

• การตรวจการตดั สินใจของผปู้ ่วยกระทาได้ 2 วธิ ี คือ

8. การตดั สินใจ (Judgement)

8.1 การตดั สินใจในการดาเนินชวี ติ (Social judgement)
ไดแ้ ก่ การซกั ถามถึงการตดั สินใจและการกระทาท่ีผดิ ปกติ ซ่งึ อาจก่อใหเ้ กิด
ผลรา้ ยตอ่ ตนเองหรอื ผอู้ ่ืน และไมเ่ ป็นท่ียอมรบั ของสงั คม ควรถามถึงความ
เขา้ ใจของ ผปู้ ่วยตอ่ ผลท่ีเกิดตามมาดว้ ย การตรวจนีค้ วรทาขณะซกั ประวตั ิ
ผปู้ ่วย และผลการตรวจการตดั สินใจในการดาเนินชีวิตดา้ นตา่ งๆ ของ
ผปู้ ่วยเป็นท่ีเช่ือถือไดม้ ากกวา่ การตรวจโดยใชส้ ถานการณส์ มมติ

8. การตดั สินใจ (Judgement)

8.2 การตัดสินใจในสถานการณส์ มมติ(Test judgment)ใหผ้ ปู้ ่วยตดั สินใจวา่ เขาจะทา
อย่างไรในสถานการณส์ มมติท่ีกาหนดให้ ควรใช้ 2-3 สถานการณท์ ่ีแตกต่างกนั ตวั อย่างเช่น
• 8.2.2 “คณุ จะทาอยา่ งไรถา้ คณุ เดินไปพบจดหมายท่ีจ่าหนา้ ซองครบและมีแสตมป์ ตดิ เรยี บรอ้ ย

ตกอย่ทู ่ีถนน”
• คาตอบทาเ่ี หมาะสม : “หยิบใสต่ ไู้ ปรษณีย”์ หรอื “นาไปสง่ กานนั หรอื ผใู้ หญ่บา้ น” (ถา้ ผปู้ ่วยอยู่

ชนบท)
• คาตอบทาอี่ าจแสดงถงึ ข้อบกพร่อง :
• “เดินผ่านไปเพราะไม่เก่ียวกบั ฉนั ” (ไมส่ นใจผอู้ ่ืน หรอื ไม่ชอบสงั คม)
• “เปิดออกดเู ผ่ือมีเงินอยขู่ า้ งในจะไดเ้ ก็บไปเลย”(สนใจแต่ตนเองและผลประโยชนข์ องตน)
• “นาไปสง่ ใหถ้ ึงบา้ นผรู้ บั ” (ขาดความรอบคอบ หรอื อาจชอบชว่ ยผอู้ ่ืนมากเกินไปจนไมส่ ม

เหตผุ ล)
• 8.2.3 “คณุ จะทาอย่างไร ถา้ คณุ น่งั ดภู าพยนตอ์ ย่ใู นโรงภาพยนต์ และเห็นไฟไหมเ้ ป็นคนแรก”

8. การตัดสินใจ (Judgement)

8.2 การตดั สินใจในสถานการณ์สมมติ(Test judgment)ใหผ้ ปู้ ่ วยตดั สินใจวา่ เขาจะทาอยา่ งไรใน
สถานการณ์สมมติท่ีกาหนดให้ ควรใช้ 2-3 สถานการณ์ท่ีแตกต่างกนั ตวั อยา่ งเช่น

• 8.2.2 “คุณจะทาอยา่ งไรถา้ คุณเดินไปพบจดหมายท่ีจ่าหนา้ ซองครบและมีแสตมป์ ติด เรียบร้อยตก
อยทู่ ี่ถนน”

• คาตอบทเี่ หมาะสม : “หยบิ ใส่ตูไ้ ปรษณีย”์ หรือ “นาไปส่งกานนั หรือผใู้ หญ่บา้ น” (ถา้ ผปู้ ่ วยอยู่
ชนบท)

• คาตอบทอ่ี าจแสดงถึงข้อบกพร่อง :
• “เดินผา่ นไปเพราะไม่เก่ียวกบั ฉนั ” (ไม่สนใจผอู้ ื่น หรือไม่ชอบสงั คม)
• “เปิ ดออกดูเผอ่ื มีเงินอยขู่ า้ งในจะไดเ้ กบ็ ไปเลย”(สนใจแต่ตนเองและผลประโยชน์ของตน)
• “นาไปส่งใหถ้ ึงบา้ นผรู้ ับ” (ขาดความรอบคอบ หรืออาจชอบช่วยผอู้ ื่นมากเกินไปจนไม่สม

เหตุผล)

8. การตัดสินใจ (Judgement)

• 8.2.3 “คุณจะทาอยา่ งไร ถา้ คุณนง่ั ดูภาพยนตอ์ ยใู่ นโรงภาพยนต์ และเห็น
ไฟไหมเ้ ป็นคนแรก”

• คาตอบทาอี่ าจแสดงถงึ ขอ้ บกพร้อง :
• “ทบุ กระจกเลย เรว็ ดี” (ใจนอ้ ย ควบคมุ อารมณไ์ ดน้ อ้ ย อาจกา้ วรา้ ว)
• “แย่เลย ไมร่ ูจ้ ะทาอยา่ งไรดี รอ้ งไหด้ ีกวา่ ” (เป็นเดก็ กวา่ อายุ พง่ึ ตนเอง

ไมไ่ ด้ ไม่สามารถแกป้ ัญหาไดด้ ว้ ยตนเอง)

8. การตดั สินใจ (Judgement)

• 8.2.3 “คุณจะทาอยา่ งไร ถา้ คุณนง่ั ดูภาพยนตอ์ ยใู่ นโรงภาพยนต์ และเห็น
ไฟไหมเ้ ป็นคนแรก”

• คาตอบทาอี่ าจแสดงถงึ ข้อบกพร่อง :
• “รอ้ งตะโกนแลว้ วงิ่ ออกไป”(ไมร่ อบคอบ ตกใจง่าย)
• “ลกุ เดนิ ออกไปเฉยๆ ไมบ่ อกใคร เด๋ยี วฉนั จะมอี นั ตราย” (ไมส่ นใจผอู้ ่ืน

เอาตวั รอด)
• “บอกคนขา้ งๆ แลว้ ใหบ้ อกตอ่ ๆ กนั ไป” (คิดช่วยผอู้ ่ืน แตย่ งั ไมร่ อบคอบ)

8. การตัดสินใจ (Judgement)

8.2.4 “คณุ จะทาอยา่ งไร ถา้ คณุ กาลงั จะกลบั มาขนึ้ รถยนตข์ องคณุ เองท่ี
จอดไว้ แลว้ พบวา่ คณุ ลืมกญุ แจรถไวใ้ นรถและประตลู อ็ คหมด”
• คาตอบทาอ่ี าจแสดงถงึ ขอ้ บกพร้อง :
• “ทบุ กระจกหนา้ ตา่ งรถเลย เรว็ ดี” (ใจนอ้ ย ควบคมุ อารมณไ์ ดน้ อ้ ย อาจ

กา้ วรา้ ว)
• “แยเ่ ลย ไมร่ ูจ้ ะทาอยา่ งไรดี รอ้ งไหด้ กี วา่ ” (เป็นเดก็ กวา่ อายุ พง่ึ ตนเอง

ไม่ได้ ไม่สามารถแกป้ ัญหาไดด้ ว้ ยตนเอง)

8. การตดั สินใจ (Judgement)

• 8.3 การตดั สินใจเกยี่ วกบั แผนการชีวติ ในอนาคตควรถามผปู้ ่วยถึงแผน
ชีวติ ในอนาคตของเขาวา่ จะทาอะไรตอ่ ไป และจะดาเนินการอยา่ งไร ประเมิน
ความเป็นไปได้ เหตแุ ละผลในการตดั สินใจและการกระทาความเหมาะสม
กบั สถานภาพของตนเองและครอบครวั มีมากนอ้ ยเพียงไร

9. การหย่งั รู้ตนเองและแรงจูงใจ (Insight and motivation)
• การหย่งั รูต้ นเอง (Insight) คือการท่ีผปู้ ่วยสามารถเขา้ ใจและยอมรบั ตน

วา่ มีปัญหาหรอื ป่วยดว้ ยโรคทางจติ ใจ มีความพยายามในการคน้ หาสาเหตุ
และวธิ ีการบาบดั รกั ษา ตลอดจนยินยอมและรว่ มมือในการรกั ษาเพ่ือ
แกป้ ัญหาของตนเองอยา่ งมีเหตผุ ล

10. การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม (Moral reasoning)

คือเหตผุ ลท่ีผปู้ ่ วยใชใ้ นการตดั สินใจการกระทาท่ีเก่ียวกับจริยธรรม ไดแ้ ก่
การไม่ทาความช่วั และการทาความดี อาจไดข้ อ้ มลู จากการซกั ประวตั ิหรือ
ขณะตรวจสภาพจิต แต่ผูต้ รวจควรตงั้ คาถามใหผ้ ูป้ ่ วยตอบโดยตรงดว้ ย
ไดแ้ ก่ ผู้ป่ วยใช้หลักเกณฑ์ดา้ นจริยธรรมอะไรในการปฏิบัติตนในเร่ือง
ครอบครัว การงาน หรือการคบเพ่ือน และการให้ผู้ป่ วยตัดสินใจใน
สถานการณส์ มมติท่ีผสู้ มั ภาษณ์ ถามและใหผ้ ปู้ ่ วยบอกเหตผุ ลท่ีทาใหเ้ ขา
ตดั สนิ ใจเลอื กกระทาเชน่ นนั้ เช่น

10. การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม (Moral reasoning)

• “คณุ มีแนวทางในการอบรมบตุ รดา้ นจรยิ ธรรมอยา่ งไร”
• “สมมติวา่ คณุ ไปซอื้ ของแลว้ ไดร้ บั เงนิ ทอนเกิน คณุ จะทาอย่างไร และ

เพราะเหตใุ ด”
• การประเมินนีท้ าใหท้ ราบลกั ษณะจิตใจดา้ นมโนธรรมของผปู้ ่ วย ซง่ึ เป็น

สว่ นประกอบท่ีสาคญั ของจติ ใจท่ีแสดงถงึ ความรูจ้ กั ผิดชอบช่วั ดี วา่ มี
มากนอ้ ยเพียงใด มโนธรรมนีห้ ากบกพรอ่ งไปก็สมควรพจิ ารณาในการ
ปรบั ปรุงแกไ้ ขดว้ ยในขณะทาการบาบดั รกั ษา

คาถามประเมนิ ภาพรวมของอาการวทิ ายา : ตวั อยา่ ง
• “คณุ คิดวา่ อะไรเป็นความยงุ่ ยากในระหวา่ งเดือนท่ีผา่ นมา”
• “คณุ คดิ วา่ อะไรทาใหค้ ณุ ลาบากในระหวา่ งเดือนท่ีผ่านมา”

กรณีทาผ่ี ู้ป่ วยใหค้ าตอบไม่เพยี งพอ
• ถา้ คาตอบสนั้ เกินไป : “เลา่ ใหด้ ิฉนั ฟังมากกวา่ นีไ้ ดไ้ หม”
• ถา้ ผปู้ ่วยไม่กลา่ วอะไรเพมิ่ เตมิ อีก : มีอะไรท่ีทาใหค้ ณุ ลาบากใจอีกไหม”
• ถา้ ผปู้ ่วยใชถ้ อ้ ยคาท่ียากจะเขา้ ใจ : คณุ พอจะอธิบายไดห้ รอื ไมว่ า่ คณุ

หมายความวา่ อยา่ งไร
• ท่ีวา่ .......”
• ถา้ ผปู้ ่วยพดู คลมุ เครอื ไมร่ ูว้ า่ อะไรแน่ : “คณุ พอจะยกตวั อย่างเก่ียวกบั .....ได้

ไหม”

สรุปความเป็ นมาของปัญหาทางจติ ใจ
(Psychodynamic formulation)

• 1. โครงสร้างบุคลิกภาพ (Personality structure)

• 2. ความขดั แยง้ ในจิตใจท่ีสาคญั (Principal psychological
conflicts)

• 3. ความสามารถในการปรับตวั (Adaptive ability)

• จบั ค่ฝู ึ กการตรวจสภาพจติ
• อาสาสมคั รนักศกึ ษาออกมาแสดงการตรวจสภาพจติ

Thank you for your attention
Question?


Click to View FlipBook Version