The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การวิจัยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา 022

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by st65.apiluck.ma, 2023-01-17 23:05:37

การวิจัยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา 022

การวิจัยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา 022

การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองนพคุณ สารนิพนธ์ ของ อภิลักษณ์ มาตรหลุบเลา สารนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกประสบการณ์ วิชาชีพครูหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปีการศึกษา 2565 ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา


ใบรับรองสารนิพนธ์ สถานที่ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ โรงเรียนวัดทองนพคุณ ผู้ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ อภิลักษณ์ มาตรหลุบเลา ได้รับการพิจารณาเห็นชอบโดย อาจารย์นิเทศ...................................................วันที่........เดือน.......................พ.ศ.......... (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศศิกัญชณา เย็นเอง) ประธานสาขาวิชา...........................................วันที่........เดือน.......................พ.ศ.......... (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ จริยา วิชัยดิษฐ) คณบดี.............................................................วันที่.......เดือน.........................พ.ศ......... (อาจารย์ ดร.เพ็ญพร ทองคำสุก) สารนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา


หัวข้อสารนิพนธ์ การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ต เพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองนพคุณ ชื่อผู้วิจัย นายอภิลักษณ์ มาตรหลุบเลา สาขาวิชา เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์คเรศ ประกอบผล บทคัดย่อ ความมุ่งหวังของการวิจัยครั้งนี้เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ให้มีประสิทธิตามเกณฑ์ ที่กำหนด 80/80 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการค้นคว้าเป็นนักเรียนที่อยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองนพคุณ ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน ซึ่ง ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอน (Multistage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการ ทดลอง คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และร้อยละ ผลการวิจัยปรากฏว่า ได้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีผลประมินจากผู้เชี่ยวชาญด้าน เทคโนโลยีการศึกษาและด้านเนื้อหามีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก และมีประสิทธิภาพ 81.86/83.31 เป็นไปตามเกณฑ์ทที่กำหนด 80/80


ประกาศคุณูปการ สารนิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จสมมบูรณ์ได้ด้วยดี จากความกรุณาของ อาจารย์ รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์คเรศ ประกอบผล อาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์และผู้ช่วยศาสตราจารย์ดิเรก อัคฮาด ที่ได้ กรุณาแนะนำเสนอแนะ และตรวจแก้ไขข้อบกพร่องด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ตั้งแต่ต้นจน สำเร็จเรียบร้อย จนกระทั่งสารนิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยดีผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณไว้เป็นอย่าง สูง ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนวัดทองนพคุณ ที่อำนวยความสะดวกและให้ความ อนุเคราะห์สถานที่ในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ขอขอบคุณนักเรียนทุก คนที่่ให้ความร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และเป็นกลุ่มตัวอย่าง สำหรับการทดลองใช้เครื่องมือในครั้งนี้ ตลอดจนคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ที่ได้ถ่ายทอดให้ ผู้วิจัยได้มีแรงบันดาลใจในการพัฒนางานวิจัย ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้กัน ด้วยไมตรีและมิตรภาพ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ซึ่งคอยให้ความ อนุเคราะห์ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จนสำเร็จเป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งและ ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ ความสำเร็จในการวิจัยครั้งนี้ได้แรงผลักดันและกำลังใจจากบิดา มารดา และพี่น้อง ที่ได้ สนับสนุนเงินทุนในการศึกษา และเป็นกำลังใจในยามท้อเสมอมา รวมทั้งเพื่อนวิชาเอกเทคโนโลยี ดิจิทัลเพื่อการศึกษา ที่ช่วยผลักดันให้ผู้วิจัยเดินหน้าฝ่าฟันอุปสรรคจนสำเร็จการศึกษาในครั้งนี้ซึ่ง ผู้วิจัยขอขอบคุณทุกท่านอย่างยิ่งมา ณ โอกาสนี้ อภิลักษณ์ มาตรหลุบเลา


สารบัญ บทที่ หน้า 1 บทนำ................................................................................................................................... 1 ความเป็นมาและความสำคัญ.................................................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย.......................................................................................... 3 สมมติฐานในการวิจัย.................................................................................................. 3 ขอบเขตของการวิจัย................................................................................................... 3 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................ 4 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................. 4 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย..................................................................................... 4 นิยามศัพท์เฉพาะ........................................................................................................ 4 กรอบแนวคิด.............................................................................................................. 6 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หลักสูตรเเกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี............................................ 7 เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน......................................... 9 ความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน............................................... 9 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.................................................... 9 แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน........................... 11 ลักษณะของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน..................................................... 14 ประโยชน์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.................................................. 15 หลักการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.................................................. 16 การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.................................. 19 เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ การเขียนผังงานโฟลวชาร์ต............................................ 21 ความสำคัญของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต.................................................... 21 ประเภทของผังงานโฟลวชาร์ต........................................................................ 22 สัญลักษณ์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต...................................................... 24 โครงสร้างของผังงานโฟลวชาร์ต...................................................................... 25 ประโยชน์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต....................................................... 27 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง....................................................................... 27 3 วิธีดำเนินการวิจัย................................................................................................................. 30 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง............................................................................. 30 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................................................................. 30


สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า ขั้นตอนการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน.............................................. 31 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน............................... 32 ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน............ 33 การทดลองหาประสิทธิภาพ............................................................................ 34 การวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................... 34 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................... 38 ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน................................... 38 ผลการทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน........... 40 ผลการทดลองครั้งที่ 1..................................................................................... 40 ผลการทดลองครั้งที่ 2..................................................................................... 40 ผลการทดลองครั้งที่ 3..................................................................................... 41 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ..................................................................................... 43 สรุปผลการวิจัย........................................................................................................... 43 อภิปรายผล................................................................................................................. 44 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................... 47 ข้อเสนอแนะทั่วไป........................................................................................... 47 ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป............................................................. 47 บรรณานุกรม............................................................................................................................... 48 ภาคผนวก................................................................................................................................... 50 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญด้านวัดผล ด้านเนื้อหา และด้านการผลิตบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน.................................................................................... 51 ภาคผนวก ข หนังสือเชิญผู้เชี่ยวชาญ................................................................................... 54 ภาคผนวก ค แบบประเมินคุณภาพบทเรียนด้านเนื้อหาและด้านการผลิตสื่อ...................... 55 ภาคผนวก ง แบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน พร้อมเฉลย...................... 58 ภาคผนวก จ แบบสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านวัดผลและค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของ แบบทดสอบ................................................................................................... 70 ภาคผนวก ฉ ตัวอย่างบทเรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน............................................. 78 ประวัติย่อผู้ทำสารนิพนธ์............................................................................................................. 79


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ตารางแสดงตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกรมกลางชั้นประถมศึกษาปีที่ 4............... 8 2 สัญลักษณ์โฟลวชาร์ต................................................................................................ 24 3 ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้านเนื้อหา........................... 38 4 ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้านการผลิตสื่อ................... 39 5 ผลการทดลองบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จากการทดลองครั้งที่ 2..................... 40 6 ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จากการทดลองครั้งที่ 3................ 41


สารบัญรูปภาพ รูปภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย............................................................................................... 6 2 ตัวอย่างการเขียนผังงานระบบ.................................................................................. 22 3 ตัวอย่างการเขียนผังงานโปรแกรม............................................................................ 23 4 ผังงานแบบเรียงลำดับ.............................................................................................. 25 5 ผังงานแบบมีการกำหนดเงื่อนไข............................................................................... 26 6 ผังงานแบบวนซ้ำ...................................................................................................... 26


บทที่1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน มีสาระสำคัญตามแนวทางพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา 22 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับทที่ 2) กำหนดไว้ว่า การจัดการเรียนการ สอนจะต้องมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน และจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพของตนเอง (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ, 2545) ซึ่งสาระสำคัญดังกล่าวจะต้องมีความสอดคล้องกับการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน ที่เน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและให้ความสำคัญต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน อีกทั้งจะต้องมีการเอื้ออำนวยต่อ การเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อที่จะสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ดังมาตราที่ 23 ข้อที่ 6 มีใจความว่า จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ (พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ, 2545) จากแนวทางพระราชบัญญัติดังกล่าว จะเห็นว่าปัจจัยที่สำคัญต่อการส่งเสริมการ เรียนรู้ของผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั่นคือ สื่อการเรียนการสอน ที่จะนำมาพัฒนาศักยภาพหรือทักษะ การเรียนรู้ของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้นยิ่งขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีนั่นก็คือ ผู้สอนจะต้องมีความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนการสอนในชั้นเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนในการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ที่ผู้สอนได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในจัดการเรียนการสอน นับว่า ตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียนที่จะทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้ ซึ่งหากผู้สอนเลือกใช้สื่อ การเรียนรู้ที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้สอนเรียนก็จะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหาได้ยาก เป็น ปัจจัยทที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ตามมา หรือเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนและขาดประสิทธิภาพในการถ่ายทอดความรู้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำ ให้ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนรู้ลดลง (กัญญารัตน์ บุตดีหัต , 2562 : 2) และอาจทำให้ผู้เรียนเกิดความ อคติในแง่ลบตามมา อีกทั้งสื่อการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำประยุกต์ใช้ในส่วนใหญ่ มักจะมีลักษณะเดิม ๆ เช่น การใช้เอกสารประกอบการสอน หนังสือเรียน ใบงาน แบบฝึกหัด เป็นต้น ซึ่งเป็นสื่อการ เรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาที่ผู้สอนได้ทำการบรรยายเป็นหลัก และผู้เรียนมีหน้าที่ในการ


2 ท่องจำหรือจดบันทึกเนื้อหาในความรู้ที่ได้ ทำให้ผู้เรียนนำมาต่อยอดความรู้ได้น้อย และการ เลือกใช้สื่อการเรียนรู้อาจทำให้ผู้เรียนบางคนเกิดความเข้าใจในเนื้อหาค่อนข้างยาก เนื่องจากมีการ เรียนรู้ของผู้เรียนมีความแตกต่างกัน จึงทำให้สื่อบางประเภทที่ผู้สอนนำมาใช้กับผู้เรียนไม่ เหมาะสมกับผู้เรียนบางราย ดังนั้นผู้สอนจำเป็นจะต้องพัฒนาสื่อการเรียนรู้ โดยประยุกต์ใช้กับ เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อนำมาถ่ายทอดและพัฒนาความรู้สู่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมี ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น (สุดาพร ลักษณียนาวิน, 2553: 9) ในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในด้านการศึกษา มีกระบวนการ เรียนการสอนหรือสื่อการเรียนรู้มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อผู้เรียนสูงสุด เป็นเครื่องมือที่จะนำมาสร้างสื่อการเรียนรู้ได้อย่างประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล สถานศึกษาจำนวนมากมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สอนได้มีการผลิตและพัฒนา สื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการศึกษาให้มีคุณภาพในการจัดกระบวนการเรียนการสอน (ถวัลย์ มาศจรัส 2546 : 2-4) ซึ่งการนำสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับผู้เรียน ผู้สอนจำเป็น จะต้องพิจารณาถึงความแตกต่างและความสามารถของผู้เรียนเป็นหลัก เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ อย่างเต็มตามความสามารถของตนเอง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะสื่อการเรียนรู้ ประเภทบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ที่มีบทบาทสำคัญสำหรับการจัดการเรียนรู้ เป็นสื่อ การเรียนรู้รูปแบบมัลติมีเดีย เช่น รูปภาพ เสียง ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว ที่ผสมผสานเข้ากับสาระ การเรียนรู้รายวิชาและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สามารถนำมาจัดการเรียนรู้ในลักษณะของการศึกษา ของผู้เรียนรายบุคคล และการนำหลักการของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเสริมแรงของ บี.เอฟ.สกินเนอร์เข้ามาประยุกต์ใช้ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมใน การเรียนรู้ที่ดีและปฏิบัติต่อไป อาจเป็นลักษณะอนิเมชันกล่าวให้กำลังใจ ให้ความยินดี หรือ ปรบมือ เป็นต้น โดยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่เข้า มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความน่าสนใจในการเรียนรู้ด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่จะนำไปต่อยอดให้ผู้เรียนเกิดการ พัฒนาการเรียนรู้ที่ดีบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน นับได้ว่าเป็นสื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ มากกว่าสื่อประเภทอื่น ๆ เพราะมีการนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจเหมาะสำหรับผู้เรียน มี แบบทดสอบก่อนเรียนที่วัดความรู้พื้นฐานและแบบทดสอบหลังเรียนเพื่อนำเปรียบเทียบการ พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม มีการประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนหลัง ผลการเรียนที่สูงขึ้นจากการทดสอบก่อนเรียน อีกทั้งทำให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ในการโต้ตอบกับ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ตลอดเวลาเปรียบเสมือนการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนปกติ


3 ดังนั้น ผู้จัดทำวิจัยจึงเห็นความสำคัญของการพัฒนาสื่อการเรียนรู้ในปัจจุบันและเพื่อ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นข้างต้น ผู้จัดทำวิจัยจึงทำการวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนวัดทองนพคุณ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาการคำนวณ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นอย่างดี รวมทั้ง คำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนระหว่างรายบุคคลในการจัดการเรียนรู้และถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ให้ผู้เรียนได้เกิดความรู้อย่างแท้จริง มีการพัฒนาทักษะความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการเรียนรู้ที่ สูงขึ้นและมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ที่ดีขึ้นโดยใช้สื่อการเรียนรู้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงาน โฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สมมติฐานในการวิจัย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ขอบเขตของการวิจัย ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองนพ คุณ ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 60 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทอนพ คุณ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน แบ่งออกเป็น การทดลองครั้งที่ 1 จำนวน 3 คน (คัดเลือก เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 1 คน) การทดลองครั้งที่ 2 จำนวน 9 คน (คัดเลือก เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 3 คน) การทดลองครั้งที่ 3 จำนวน 30 คน (นักเรียนคละกัน)


4 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรอิสระ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวแปรตาม บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาเรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ต กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี โดยมีหัวข้อย่อยดังนี้ 1. ความหมายของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 2. ประเภทของผังงานโฟลวชาร์ต 3. สัญลักษณ์ของโฟลวชาร์ต 4. โครงสร้างของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 5. ประโยชน์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ได้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน สามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ผลการวิจัยจะเป็นแนวทางในการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับจัดการ เรียนการสอนในเนื้อหาอื่น ๆ และระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป 3. ทำให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนและสามารถแก้ปัญหาหรือพัฒนาการ เรียนการสอนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น นิยามศัพท์เฉพาะ 1.บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง สื่อการสอนที่สร้างขึ้นโดยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นสื่อประสม ประกอบด้วย ภาพ ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว เพื่อใช้ ในการเรียนรู้นำเสนอเนื้อหา วิทยาการคำนวณ เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่จะนำมาถ่ายทอดองค์ความรู้ต่อผู้เรียนและวัดผล


5 สัมฤทธิ์ทางการเรียน อีกทั้งเป็นสื่อการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบและได้ ข้อมูลย้อนกลับในทันที 2. การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้าง สื่อการเรียนรู้ประเภทบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการ เรียนการสอนรายวิชาวิทยาการคำนวณ 3. การเขียนผังงานโฟลวชาร์ต หมายถึง การเขียนขั้นตอนกระบวนการทำงานอย่างเป็น ระบบโดยการเขียนจะมีสัญลักษณ์ของโฟลวชาร์ตที่ระบุการทำงานตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ ทำงาน 4. สัญลักษณ์ของโฟลวชาร์ต หมายถึง รูปแบบของสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเขียนผัง งานโฟลวชาร์ต เพื่อแสดงการกระบวนการทำงานในแต่ละขั้นตอน โดยในแต่ละสัญลักษณ์ก็จะมี ความหมายที่นำมาใช้ในการเขียนที่แตกต่างกันไป 5. การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน หมายถึง ทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์และนำมาแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้น 6. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง ความสามารถของบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยกำหนดเกณฑ์มาตรฐานที่ 80/80 7. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ผู้วิจัยได้ทำการสร้างขึ้น มีลักษณะเป็นตัวเลือก 4 คำตอบ นำไปใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มตัวอย่าง ก่อน เรียนและหลังเรียน เพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน จากการเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 8. ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ ความสารมารถ และประสบการณ์ ที่ เกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาวิทยาการคำนวณ มีการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป และมีประสบการณ์ ทำงานอย่างน้อย 3 ปี 9. นิยามของผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ หมายถึง บุคคลที่สำเร็จการศึกษาทางด้านเทคโนโลยี การศึกษาหรือมีประสบการณ์ทำงานทางด้านเทคโนโลยีการศึกษา มีการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้น ไปและมีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 3 ปี


6 กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน - ทักษะการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน - ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหา ในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองนพคุณ ผู้วิจัยได้ ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.หลักสูตรเเกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.1 ความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.3 แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.4 ลักษณะของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.5 ประโยชน์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.6 การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.7 การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ การเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 3.1 ความสำคัญของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 3.2 ประเภทของผังงานโฟลวชาร์ต 3.3 สัญลักษณ์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 3.4 โครงสร้างของผังงานโฟลวชาร์ต 3.5 ประโยชน์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 1. .หลักสูตรเเกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วย ตนเองมากที่สุดเพื่อให้ได้ทั้งกระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การ ทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบเป็นหลักการ แนวคิด และองค์ความรู้โดยได้กำหนดมาตรฐาน การเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดังนี้


8 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐานการเรียนรู้ที่ 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่าง เป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และ การแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม ตารางที่ 1 ตารางแสดงตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกรมกลางชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 1.ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการทำงาน การคาดการณ์ ผลลัพธ์จากปัญหาอย่างง่าย • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำ กฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ครอบคลุมทุกกรณี มาใช้พิจารณาในการแก้ปัญหา การ อธิบายการทำงาน หรือการคาดการณ์ ผลลัพธ์ • สถานะเริ่มต้นของการทำงานที่แตกต่าง กันจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน • ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม OX โปรแกรม ที่มีการคำนวณ โปรแกรมที่มีตัวละคร หลายตัวและมีการสั่งงานที่แตกต่างหรือมี การสื่อสารระหว่างกัน การเดินทางไป โรงเรียน โดยวิธีการต่าง ๆ 2.ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือสื่อ และตรวจหา ข้อผิดพลาดและแก้ไข • การออกแบบโปรแกรมอย่างง่ายเช่น การออกแบบโดยใช้storyboard หรือการ ออกแบบอัลกอริทึม • การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลำดับ ของคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เพื่อให้ ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการ หากมี ข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำงานทีละ คำสั่ง เมื่อพบจุดที่ทำให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง ให้ทำการแก้ไขจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ ถูกต้อง


9 • ตัวอย่างโปรแกรมที่มีเรื่องราว เช่น นิทานที่มีการโต้ตอบกับผู้ใช้การ์ตูนสั้น เล่ากิจวัตรประจำวันภาพเคลื่อนไหว • การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจาก โปรแกรมของผู้อื่นจะช่วยพัฒนาทักษะ การหาสาเหตุของปัญหาได้ดียิ่งขึ้น • ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo จากหลักหลักสูตรเเกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเห็นได้ว่าในการเรียนในหน่วยการ เรียนรู้เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ต จำเป็นจะต้องมีความรู้พื้นฐานของหลักการแก้ปัญหาจาก ตัวชี้วัดที่ 1 เพื่อที่จะนำมาต่อยอดในการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.1 ความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีชื่อภาษอังกฤษว่า Computer Assisted Instruction : CAI หมายถึง การนำคอมพิวเตอร์มาประยุกใช้ในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาเป็นลักษณะโปรแกรม คอมพิวเตอร์และสร้างเนื้อหาสาระการเรียนรู้ตามที่ผู้สอนได้กำหนด และนำไปถ่ายทอดสู่ผู้เรียน โดยผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้โดยผ่านบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้เรียนจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์ โต้ตอบ ได้รับข้อมูลย้อนกลับในระหว่างการเรียนรู้ได้ซึ่งบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นสื่อการ เรียนรู้ประเภทหนึ่งที่ใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการนำสื่อประสม ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิที่จะนำมาถ่ายทอดองค์ความรู้ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับการสอนจริงใน ห้องเรียนมาหที่สุด (ถนอม เลาหจรัสแสง 2542 : 7) อีกทั้งยังเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ทำให้กระตุ้น ความสนใจของผู้เรียนที่จะทำให้เกิดความต้องการในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี 2.2 ประเภทของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2.2.1 แบบการสอน ใช้เพื่อในการสอนความรู้ใหม่แทนผู้สอน เป็นรูปแบบการศึกษาการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็น สื่อการสอนที่จะต้องออกแบบโดยเน้นให้ผู้เรียนเกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน มีการโต้ตอบและ


10 ให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน นำเสนอเนื้อใหม่ ๆ การควบคุม แนวทาง กิจกรรมการเรียนและการ ประเมินผลการเรียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และลักษณะของผู้เรียน และมีการออกแบบ ภาพกราฟิกจะต้องกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน 2.2.2 แบบสอนซ่อมเสริมหรือทบทวน เป็นบทเรียนที่ใช้เพื่อทบทวนบทเรียนหลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนในห้องเรียน สามารถ นำมาใช้ได้การการศึกษาทางไกลและทางใกล้การเรียนไม่ใช่ความรู้ใหม่ ๆ แต่อาจจะเป็นความรู้ เดิมที่ได้รับรู้มาแล้วในรูปแบบการเรียนรู้ในลักษณะอื่น ๆ แล้วใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมา ช่วยในการซ่อมเสริมเพื่อเพิ่มความเข้าใจต่อการเรียนรู้ทำให้ได้รับความรู้ที่ชัดเจนและแม่นยำ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทนี้ไม่สามารถนำมาสอนแทนครูได้ทั้งหมด เพียงแต่นำมา สอนเสริมหรือทบทวนในรายวิชาที่มีการจัดการเรียนการสอนมาแล้วในชั้นเรียนปกติ 2.2.3 แบบฝึกหัดและฝึกปฏิบัติ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทนี้จะนำมาใช้เพื่อเสริมทักษะแก่ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียน เกิดความเข้าใจในเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น เป็นการเสริมประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียน สามารถใช้ใน ห้องเรียน เสริมในขณะที่สอนหรือนอกห้องเรียน เวลาใดก็ได้ โดยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการทำ แบบฝึกหัดหลังจากที่ได้เรียนซ้ำ ๆ เพื่อที่จะทำให้เกิดทักษะที่คงทน 2.2.4 แบบสร้างสถานการณ์จำลอง ใช้เป็นสถานการณ์จำลองที่ทำใหผู้เรียนได้เข้าถึงประสบการณ์ในการจำลองที่สร้างขึ้นและ มีความคล้ายกับสถานการณ์จริง ซึ่งในสถานการณ์จริงไม่สามารถหามาได้ไม่สามารถนำมาใช้ใน ห้องเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้หรือเป็นสิ่งที่มีความเป็นอันตราย เลยจำเป็นต้องสร้างของจำลอง ขึ้นมาเพื่อนำมาใช้ในการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนได้เห็นภาพคล้ายกับของจริง 2.2.5 แบบสร้างเป็นเกม การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนให้มีลักษณะเป็นเกม เพื่อสามารถเสริมการเรียนรู้ ได้ดีกว่าการเรียนปกติการใช้เกมส์เพื่อการเรียน สามารถใช้สำหรับการเรียนรู้ความรู้ใหม่ หรือ เสริมการเรียนในห้องเรียนได้รวมทั้งผู้สอนยังสามารถนำมาเป็นกิจกรรมที่เพิ่มความกระตุ้นความ สนใจของผู้เรียน ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ส่งผลต่อพฤติกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนอยาก ที่จะเรียนรู้โดยใช้เกม จึงเหมาะสำหรับผู้เรียนในวัยเด็ก 2.2.6 แบบการแก้ปัญหา เป็นบทเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด การตัดสินใจ ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น สามารถใช้กับวิชาการต่าง ๆ ที่ต้องการให้สามารถคิดแก้ปัญหา หรือมีสถาการณ์จำลองต่าง ๆ ที่ เป็นปัญหาเผื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดในการแก้ปัญหา


11 2.2.7 แบบทดสอบ ใช้สำหรับวัดความสามารถของผู้เรียน ทั้งความรู้พื้นฐานหรือความรู้เดิมที่มีมาก่อนและ ความรู้หลังเรียน เพื่อนำมาประเมินความรู้ที่ผู้เรียนได้รับ ทั้งนี้ยังสามารถใช้นอกห้องเรียนเพื่อ ตรวจวัดความสามารถของตนเองได้ 2.2.8 แบบสร้างสถานการณ์เพื่อค้นพบ เป็นจัดทำเพื่อให้ผู้เรียน เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง โดยการลองผิดลองถูกหรือ เป็นการจัดระบบนำล่องเพื่อชักนำสู่การเรียนรู้ สามารถใช้เรียนรู้ความรู้ใหม่หรือเป็นการทบทวน ความรู้เดิม 2.3 แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมต่อ ผู้เรียน และผู้เรียนให้ความสนใจกับสื่อการเรียนรู้ประเภทนี้เป็นอย่างดีแต่ผู้พัฒนาจำเป็นจะต้องมี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาเกี่ยวกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดย (พรเทพ เมืองแมน 2544: 23) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาที่มีอิทธิพลต่อแนวคิด การออกแบบโปรแกรมหรือบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ดังนี้ 2.3.1 ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ( Behaviorism) เป็นแนวคิดของสกินเนอร์ (Skinner) เชื่อว่าจิตวิทยาเป็นเสมือนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ของพฤติกรรมมนุษย์ (Scientific Study of Human Behavior) และการเรียนรู้ของมนุษย์เป็น ที่สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมภายนอก มีแนวความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า และการตอบสนอง (Stimuli and Response) เชื่อว่าการตอบสนองกับสิ่งเร้าของมนุษย์จะเกิด ควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม การเรียนรู้ของมนุษย์เป็นพฤติกรรมแบบอาการกระทำ (Operant Conditioning) ซึ่งมีการเสริมแรง (Reinforcement) เป็นตัวการ ทฤษฎีนี้ส่งผลต่อ การเรียนการสอนที่สำคัญ ในลักษณะที่การเรียนเป็นชุดของพฤติกรรมซึ่งจะต้องเกิดขึ้นตามลำดับ ที่แน่ชัด ผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ต้องมีการเรียนตามขั้นตอนเป็นวัตถุประสงค์ ๆ ไปผลที่ได้ จากการเรียนขั้นแรกนี้จะเป็นพื้นฐานในการเรียนของขั้นต่อ ๆ ไปในที่สุด คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ออกแบบตามแนวความคิดของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม มีโครงสร้าง ของบทเรียนในลักษณะเชิงเส้นตรง (Linear) โดยจะได้รับการเสนอเนื้อหาในลำดับที่เหมือนกัน และตายตัว ซึ่ง ได้พิจารณาแล้วว่าเป็นลำดับการสอนที่ดี และผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มีการตั้งคำถามผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ หากตอบถูกก็จะได้รับการตอบสนองในรูป


12 ผลป้อนกลับทางบวกหรือรางวัล (Reward) หากผู้เรียนตอบผิดจะได้รับการตอบสนองในรูปของผล ป้อนกลับในทางลบและคำอธิบายหรือการลงโทษ (Punishment) ซึ่งผลป้อนกลับนี้ถือเป็นการ เสริมแรงเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ต้องการ 2.3.2 ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitivism) เกิดจากแนวคิดของชอมสกี้ (Chomsky) เชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์เป็นเรื่องของภายใน จิตใจ มนุษย์มีความนึกคิด มีอารมณ์จิตใจและความรู้สึกภายในแตกต่างกันออกไป การออกแบบ การเรียนการสอนก็ควรที่จะคำนึงถึงความแตกต่างภายในของมนุษย์ด้วย แนวความคิดเกี่ยวกับ เรื่องความทรงจำ ได้แก่ ความแตกต่างระหว่างความทรงจำระยะสั้น ระยะยาว และความคงทน ของการจำ (Short term memory, Long term memory, and Retention) แนวคิดเกี่ยวกับ การแบ่งประเภทความรู้ออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 2.1 ความรู้ในลักษณะเป็นขั้นตอน (Procedural Knowledge) ซึ่งได้แก่ ความรู้ที่อธิบายว่าทำอย่างไร และเป็นองค์ความรู้ที่ต้องการลำดับการเรียนรู้ที่ชัดเจน 2.2 ความรู้ในลักษณะเป็นการอธิบาย (Declarative Knowledge) ซึ่งได้แก่ ความรู้ที่อธิบายว่าคืออะไร 2.3 ความรู้ในลักษณะเป็นเงื่อนไข (Condition Knowledge) ซึ่งได้แก่ ความรู้ที่ อธิบายเกี่ยวกับว่าเมื่อไรและทำไม ซึ่งความรู้ 2 ประเภทหลังนี้ ไม่ต้องการลำดับการเรียนรู้ที่ตายตัว ทฤษฎีปัญญานิยมทำ ให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบในลักษณะสาขา (Branching) ของคราวเดอร์ (Crowder) ซึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับบทเรียนที่ออกตามแนวความคิดของพฤติกรรมนิยมแล้ว จะทำให้ผู้เรียนมี อิสระมากขึ้นในการควบคุมการเรียนของตัวเอง การเลือกลำดับของการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนที่ เหมาะสมกับตน มีโครงสร้างของบทเรียนในลักษณะสาขา โดยผู้เรียนทุกคนจะได้รับการเสนอ เนื้อหาในลำดับที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน เป็นสำคัญ 2.3.3 ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) เชื่อว่าโครงสร้างภายในความรู้ที่มนุษย์มีอยู่ มีลักษณะเป็นโหนดหรือกลุ่มที่มีการเชื่อมโยง กันอยู่ การที่มนุษย์เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ นั้น มนุษย์จะนำความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้รับนั้นไปเชื่อมโยงกับ กลุ่มความรู้ที่มีอยู่เดิม (Pre-existing Knowledge) หน้าที่โครงสร้างของความรู้นี้คือ การนำไปสู่ การรับรู้ข้อมูล (Perception) การรับรู้ข้อมูลนั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากขาดโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) เพราะการรับรู้ข้อมูลนั้นเป็นการสร้างความหมายโดยการถ่ายโอนความรู้ใหม่ เข้ากับความรู้เดิม ในกรอบความรู้เดิมที่มีอยู่และจากการกระตุ้นโดยเหตุการณ์หนึ่ง ๆ เกิดการ


13 เชื่อมโยงความรู้นั้น ๆ เข้าด้วยกัน การรับรู้ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้เนื่องจากไม่มีการเรียนรู้ใดเกิดขึ้น ได้โดยปราศจากการรับรู้โครงสร้างความรู้ยังช่วยในการระลึก (recall) ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยเรียนรู้ มา (Anderson, 1984) 2.3.4 ทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญา (Cognitive Flexibility) เชื่อว่าความรู้แต่ละองค์ความรู้มีโครงสร้างที่แน่ชัดและสลับซับซ้อนมากน้อยแตกต่างกันไป องค์ความรู้บางประเภทสาขาวิชา เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์กายภาพ ถือว่าเป็นองค์ความรู้ ประเภทที่มีโครงสร้างตายตัวไม่สลับซับซ้อน (Well-Structured Knowledge Domains) เพราะ ตรรกะและความเป็นเหตุเป็นผลที่แน่นอนของธรรมชาติขององค์ความรู้ องค์ความรู้บางประเภท สาขาวิชา เช่น จิตวิทยาถือว่าเป็นองค์ความรู้ที่ไม่มีโครงสร้างตายตัวสลับซับซ้อน (ill-structured Knowledge Domains) เพราะไม่เป็นเหตุเป็นผลของธรรมชาติขององค์ความรู้(West and Others, 1991) การแบ่งลักษณะโครงสร้างขององค์ความรู้ตามประเภทสาขาวิชา ไม่สามารถหมาย รวมไปทั้งองค์ความรู้ในวิชาหนึ่ง ๆ ทั้งหมด บางส่วนขององค์ความรู้บางประเภทสาขาวิชาที่มี โครงสร้างตายตัว ก็สามารถที่จะเป็นองค์ความรู้ประเภทที่ไม่มีโครงสร้างตายตัวได้เช่นกัน แนวคิด ในเรื่องยืดหยุ่นทางปัญญานี้ ส่งผลให้เกิดความคิดในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพื่อตอบสนองต่อโครงสร้างองค์ความรู้ที่แตกต่างกัน ซึ่งได้แก่แนวความคิดในเรื่องการออกแบบ บทเรียนแบบสื่อหลายมิติ ทฤษฎีโครงสร้างความรู้และความยืดหยุ่นทางปัญญา ส่งผลต่อการออกแบบ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนในปัจจุบันในลักษณะใกล้เคียงกันกล่าวคือ ทฤษฎีทั้งสองต่างสนับสนุน แนวคิดเกี่ยวกับการจัดระเบียบโครงสร้างการนำเสนอเนื้อหาคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในลักษณะสื่อ หลายมิติ การจัดระเบียบโครงสร้างการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนในลักษณะสื่อหลายมิติ จะ ตอบสนองต่อวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์ ในความพยายามที่จะเชื่อมโยงความรู้ใหม่เข้ากับความรู้ที่มีอยู่เดิมได้เป็นอย่างดี ตรงกับ แนวคิดของทฤษฎีโครงสร้างความรู้ การนำเสนอเนื้อหาบทเรียนในลักษณะสื่อหลายมิติยังสามารถ ที่จะตอบสนองความแตกต่างของโครงสร้างขององค์ความรู้ที่ไม่ชัดเจน หรือมีความสลับซับซ้อนซึ่ง เป็นแนวคิดทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญาได้อีกด้วย การจัดระเบียบโครงสร้างการนำเสนอเนื้อหา บทเรียนลักษณะสื่อหลายมิติ จะให้ผู้เรียนทุกคนมีอิสระในการควบคุมการเรียนของตน (Learner control)ตามความสามารถ ความสนใจ ความถนัด และพื้นฐานความรู้ของตน คอมพิวเตอร์ช่วย สอนที่ออกแบบตามแนวคิดทฤษฎีทั้งสองนี้ ก็มีโครงสร้างของบทเรียนแบบสื่อหลายมิติในลักษณะ โยงใย โดยผู้เรียนทุกคนได้รับการเสนอเนื้อหาในลำดับที่ไม่เหมือนกันและไม่ตายตัว โดยเนื้อหาที่ จะได้รับการนำเสนอจะขึ้นอยู่กับ ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน ความ


14 แตกต่างที่สำคัญระหว่างการออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎีปัญญานิยมก็คือ คอมพิวเตอร์ช่วย สอนที่ออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎีทั้งสองนี้จะให้อิสระแก่ผู้เรียน ในการควบคุมการเรียนของ ตนมากว่า เนื่องจากการออกแบบที่สนับสนุนโครงสร้างความสัมพันธ์ของเนื้อหาที่ลึกซึ้ง และ สลับซับซ้อน (Criss-Crossing Relationship) 2.4 ลักษณะของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบรายบุคคลที่เน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง โดยนำเอาหลักการของบทเรียนโปรแกรมและเครื่องช่วยสอนเข้ามาผสมผสานกัน รวมถึงการออกแบบบทเรียนที่มีทั้งภาพกราฟิก เสียงและข้อความ เพื่อกระตุ้นความสนใจของ ผู้เรียน และบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีจุดมุ่งหมายที่จะตอบสนองในเรื่องความแตกต่าง ระหว่างบุคคลของผู้เรียนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษารายบุคคล โดยลักษณะของบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีดังนี้ 2.4.1 สารสนเทศ (Information) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่ผ่านการเรียบเรียงมาแล้ว ซึ่งจะนำมา ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา และได้รับทักษะตามที่ ผู้พัฒนาได้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ 2.4.2 ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individualization) ผู้เรียนแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกันทางการเรียนรู้ซึ่งเกิดจากบุคลิกภาพ สติปัญญา และความสนใจพื้นฐานความรู้ของผู้เรียนที่แตกต่างกันไป ซึ่งบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นสื่อ การเรียนการสอนรายบุคคลประเภทหนึ่ง ที่จะต้องได้รับการออกแบบให้มีลักษณะที่ตอบสนองต่อ ความแตกต่างส่วนบุคคลให้มากที่สุด และจะต้องมีความยืดหยุ่นมากพอที่ผู้เรียนจะมีอิสระในการ ควบคุมการเรียนของตน 2.4.3 การโต้ตอบ (Interaction) ในการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะต้องเน้นให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับ เนื้อหาในระหว่างการเรียนรู้โดยสามารถโต้ตอบกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ทันที เหมือนกับการโต้ตอบกับผู้สอนในชั้นเรียน ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และต้อง เอื้ออำนวยให้เกิดการโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอย่างต่อเนื่องหรือ ตลอดทั้งบทเรียน 2.4.4 การให้ผลป้อนย้อนกลับ (Immediate Feedback)


15 เป็นลักษณะที่ให้ผู้เรียนได้ทราบผลคะแนนหรือผลการทดสอบของตนเองโดยทันทีหรือ การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบการเรียนรู้ของตนเองหรือ ประเมินความรู้ของตนเองได้เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตนเองได้เป็นอย่างดี 2.5 ประโยชน์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (บุญชุม ศรีสะอาด 2537: 123) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้ว่า 1. ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างอิสระ ก้าวหน้าไปตามอัตราการเรียนรู้ของตน ผู้เรียนที่มีอัตราการ เรียนรู้เร็วก็ไม่ต้องรอคนอื่นด้วยความเบื่อหน่าย รำคาญ ส่วนผู้เรียนที่มีอัตราการเรียนรู้ช้าก็ไม่ ประสบกับปัญหาตามบทเรียนไม่ทัน ไม่วิตกต่อความรู้สึกของคนอื่น ๆ จึงมีความสบายใจในการ เรียน 2. ผู้เรียนสามารถเลือกเวลาเรียนได้ตามที่ตนต้องการ ไม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดเวลา ตายตัว สามารถเรียนเวลาหรือระยะเวลาใดก็ได้ เพียงแต่จะต้องมีความพร้อมของอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์และชุดของบทเรียนคอมพิวเตอร์ 3. ในบทเรียนที่สร้างขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพที่มีความเหมาะสมกับความต้องการ และ สอดคล้องกับระดับความสามารถของตน คอมพิวเตอร์จะจดจำคำตอบของผู้เรียนให้คะแนน คำตอบ แล้วจัดให้ได้เรียนบทเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียนคนนั้น 4. ผู้เรียนได้รับข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ทันทีเป็นการย้ำความเข้าใจ เพื่อให้ทราบผล การทดสอบของตนเองและนำมาปรับปรุงแก้ไข 5. มีเทคนิคที่ดึงดูดความสนใจได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงด้วยเส้นกราฟ ดนตรี การใช้สี การใช้ภาพเคลื่อนไหว การใช้เสียง และการพูดตอบโต้กับผู้เรียน เป็นต้น 6. สามารถกระทำกิจกรรมที่ซับซ้อน จำลองสถานการณ์ ทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทดลองกับ ข้อมูลหลายชนิดหลายแบบแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้คำนวณได้อย่างแม่นยำ (กิดานันท์มลิทอง 2536 : 198) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ดังนี้ 1. ช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน เนื่องจากการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์นั้นเป็น ประสบการณ์ที่แปลกและใหม่และให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ สร้างความท้ายทายในการเรียนรู้ 2. การใช้สี ภาพลายเส้นที่แลดูคล้ายเคลื่อนไหว ตลอดจนเสียงดนตรี จะเป็นการเพิ่มความ เหมือนจริงและเร้าใจผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้ ทำแบบฝึกหัด หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ 3. ใช้หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จัดเก็บบันทึกข้อมูลจะ ช่วยใน การบันทึกคะแนนและพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้เรียนไว้เพื่อใช้ในการวางแผนบทเรียนในขั้นต่อไปได้ 4. การช่วยให้ผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าสามารถเรียนไปได้ตามความสามารถของตนโดยสะดวก อย่างไม่เร่งรีบ เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถทบทวนเนื้อหาเป็นระยะ ๆ


16 5. ขยายขีดความสามารถของผู้สอน ในการควบคุมผู้เรียนได้อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก สามารถบรรจุข้อมูลได้ง่ายและสะดวกในการนำออกมาใช้ 2.6 หลักการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ดีและมีประสิทธิภาพจะต้องมีหลักการในการสร้าง ทั้งทางด้านผู้เรียนและเนื้อหาที่จะนำเสนอ เพื่อที่จะนำไปประยุกต์ใช้เป็นสื่อการจัดการเรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้รับเนื้อหาสาระได้อย่างครบถ้วน (ศักดา ไชกิจภิญโญ 2536) กล่าวว่า การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะต้องคำนึงถึงผู้เรียนที่จะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็น ศูนย์กลางในการเรียนรู้ และเกิดความรู้ความเข้าใจในการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สามารถนำความรู้ที่ได้ไปวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินผลได้และการนำเสนอทางด้านเนื้อหา จะต้องมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ประกอบด้วย พุทธิพิสัย จิตพิสัย ทักษะพิสัย ให้ครอบคลุมเนื้อหา รวมถึงการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนให้เหมาะสมแก่ผู้เรียน (ทักษิณา วิไลลักษณ์2551 : 23-27) ได้อธิบายลักษณะการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ตามแนวคิด ของกาเย่ (Gagnen) ไว้ว่า เสมือนผู้เรียนอยู่ในห้องเรียนเกิดข้อสงสัยก็สามารถทำผู้สอนได้ การ ออกแบบโดยยึดหลักการนำเสนอเนื้อหาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ที่มี หลักการสอนดังนี้ 2.6.1 เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention) สร้างความสนใจเพื่อให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ทำให้ผู้เรียนมีความรู้สึกอยากที่จะ เรียน โดยการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ควรให้สายตาของผู้เรียนอยู่ที่จอภาพโดยไม่ พะวงอยู่ที่แป้นพิมพ์ หรือส่วนอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนให้ความสำคัญกับการมองเห็น และการให้ ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ควรจะมีลักษณะการตอบสนองที่ง่าย สะดวก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เช่น การ คลิกเมาส์การกดแป้นพิมพ์ตัวใดตัวหนึ่ง การพูดออกเสียงของผู้เรียน โดยมีลักษณะที่จะเร่งเร้า ความสนใจของผู้เรียน มีดังนี้ 1. การใช้ภาพกราฟิกการ์ตูนที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียน มีลักษณสีสดใส ชัดเจน เหมาะสมกับผู้เรียน มีเสียงดนตรีประกอบตลอดระยะเวลาการเรียนรู้เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิด ความรู้สึกเพลิดเพลิน 2. ออกแบบการจัดลำดับของหน้าจอแสดงผลให้ดูเรียบง่าย ใช้งานได้อย่างสะดวก ไม่ ยุ่งยาก ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแสดงผลควรอยู่ในระยะหนึ่ง จนกระทั่งผู้เรียนกดแป้นพิมพ์ใด ๆ ได้จึงเปลี่ยนไปสู่กรอบอื่น ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย ให้กับผู้เรียน


17 3. เลือกใช้ภาพกราฟิกที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาระดับความรู้ และเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ใช้ภาพเคลื่อนไหวหรือใช้เทคนิคการนำเสนอภาพผลพิเศษเข้ามาช่วย เพื่อแสดงการเคลื่อนไหวของ ภาพแต่ควรในใช้เวลาสั้น ๆ และง่าย 2.6.2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Object) กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะได้ทราบถึงความคาดหวังของบทเรียนจากผู้เรียน นอกจาก ผู้เรียนจะทราบถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของตนเองหลังจบบทเรียนแล้ว ยังเป็นการแจ้งให้ทราบ ล่วงหน้าถึงประเด็นสำคัญของเนื้อหารวมทั้งเค้าโครงของเนื้อหาอีกด้วย และยังเป็นการเชื่อมโยง เข้าเนื้อหาก่อนที่จะเข้าสู่บทเรียน จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถผสมผสานแนวความคิดในรายละเอียด หรือส่วนย่อยของเนื้อหาให้สอดคล้องและสัมพันธ์กับเนื้อหาส่วนใหญ่ได้ ซึ่งมีผลทำให้การเรียนรู้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผลการวิจัยยังพบด้วยว่าผู้เรียนที่ทราบวัตถุประสงค์ของการเรียนก่อนเรียน บทเรียน จะสามารถจำและเข้าใจในเนื้อหาได้ดีขึ้นอีกด้วย วัตถุประสงค์บทเรียนจำแนกเป็น 2 ชนิด ได้แก่วัตถุประสงค์ทั่วไปและวัตถุประสงค์เฉพาะ หรือวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม การบอก วัตถุประสงค์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมักกำหนดเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื่องจากเป็นวัตถุประสงค์ที่ชี้เฉพาะสามารถวัดได้และสังเกตได้ง่าย ไม่ควรกำหนดวัตถุประสงค์ หลายข้อเกินไปในเนื้อหาแต่ละส่วน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสน 2.6.3 ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge) ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะมีให้ทบทวนบทเรียนอยู่เสมอก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่เนื้อหา ใหม่ เพื่อที่จะสามารถประเมินความรู้พื้นฐานของผู้เรียนที่มีมาก่อนในเนื้อหาเก่า การทบทวน ความรู้เดิมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีการประเมินความรู้ที่จำเป็นสำหรับบทเรียนใหม่ เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดปัญหาในการเรียนรู้เนื่องจากก่อนที่ผู้เรียนจะรับความรู้ใหม่ผู้เรียนจำเป็น จะต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหาเก่าก่อน เพื่อนำความรู้เก่ามาเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ โดยวิธีการ ทบทวนความรู้เดิมที่บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้ให้ผู้เรียนปฏิบัติ คือ แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) การทบทวนความรู้เดิมจะทำให้เกิดการกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดย้อนหลังถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ก่อนหน้านี้ทั้งนี้อาจเป็นการกระตุ้นด้วยคำพูด ภาพ หรือผสมผสานกัน และในระหว่างการเรียนรู้ ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถออกจากเนื้อหาหรือออกจาก การทดสอบ เพื่อไปศึกษาทบทวนได้ตลอดเวลา 2.6.4. นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information) การนำเสนอเนื้อหาใหม่ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะต้องเป็นการนำเสนอที่ เกี่ยวข้องของเนื้อหา มีภาพประกอบหรือคำอธิบายสั้น ๆ แต่ได้ใจความ หรืออาจมีการนำเสนอ


18 เนื้อหาเก่าพร้อมกับเนื้อหาใหม่เพื่อนำมาเปรียบเทียบและนำเนื้อหาเก่ามาเชื่อมโยงกับเนื้อหาใหม่ การใช้ภาพประกอบจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้นและมีความจำได้ดีกว่าการใช้คำอธิบาย เพียงอย่างเดียว โดยหลักการที่ว่าภาพช่วยอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมให้ง่ายต่อการเรียนรู้อย่างไร ก็ตามการใช้ภาพประกอบเนื้อหาอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร หากภาพเหล่านั้นมีรายละเอียดมากเกินไป ใช้เวลามากไปในการปรากฏบนจอภาพ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ซับซ้อน เข้าใจยาก และไม่ เหมาะสมในเรื่องเทคนิคการออกแบบ เช่น ขาดความสมดุล องค์ประกอบภาพไม่ดี เป็นต้น ควร เสนอเฉพาะกราฟิกที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ควรใช้สีพื้นสลับไปสลับมาในแต่ละกรอบเนื้อหา และไม่ควร เปลี่ยนสีไปมาโดยเฉพาะสีหลักของตัวอักษร 2.6.5 ชี้แนวทางการเรียนรู้ (Guide earning) ผู้เรียนจะจำเนื้อหาได้ดีหากมีการจัดระบบการนำเสนอเนื้อหาที่ดีและสัมพันธ์กับ ประสบการณ์เดิมหรือความรู้เดิมของผู้เรียน บางทฤษฎีกล่าวว่าการเรียนรู้ที่กระจ่างชัด (Meaning full Learning) นั้นทางเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือการเรียนที่ผู้เรียนวิเคราะห์และตีความในเนื้อหา ใหม่ลงบนพื้นฐานของความรู้และประสบการณ์เดิมรวมกันเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ ดังนั้นหน้าที่ ของผู้ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในขั้นนี้ก็คือ พยายามค้นหาเทคนิคในการที่จะ กระตุ้นให้ผู้เรียนนำความรู้เดิมมาใช้ในการศึกษาความรู้ใหม่ 2.6.6. กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน ( Elicit Response) การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับและขั้นตอน ของการประมวลผลข้อมูล หากผู้เรียนได้มีโอกาสร่วมคิด ร่วมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหา และร่วมตอบคำถามจะส่งผลให้มีความจำดีกว่า ผู้เรียนที่ใช้วิธีอ่านหรือคัดลอกข้อความจากผู้อื่น เพียงอย่างเดียว บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนช่วยให้ผู้เรียนสามารถมีกิจกรรมร่วมในบทเรียนได้ หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามแสดงความคิดเห็นเลือกกิจกรรมและปฏิสัมพันธ์กับ บทเรียน กิจกรรมเหล่านี้เองที่ไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อมีส่วนร่วมก็มีส่วนคิดนำ หรือคิด ตามบทเรียน ย่อมมีส่วนผูกประสานให้ความจำดีขึ้น สิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อให้การจำของผู้เรียนดี ขึ้น คือ ผู้ออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมทำกิจกรรมใน บทเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสตอบสนองต่อบทเรียนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ตลอดบทเรียน 2.6.7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะกระตุ้นความสนใจจากผู้เรียนได้มากขึ้น ถ้าบทเรียนนั้นมี ความท้าทาย โดยการบอกเป้าหมายที่ชัดเจน และแจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าขณะนั้นผู้เรียนอยู่ที่ส่วนใด ห่างจากเป้าหมายเท่าใด การให้ข้อมูลย้อนกลับดังกล่าว ถ้านำเสนอด้วยภาพจะช่วยเร่งเร้าความ


19 สนใจได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้าภาพนั้นเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน อย่างไรก็ตามการให้ข้อมูลย้อนกลับ ด้วยภาพหรือกราฟิก อาจมีผลเสียอยู่บ้างตรงที่ผู้เรียนอาจต้องการดูผลว่าหากทำผิดแล้วจะเกิด อะไรขึ้น สิ่งที่ต้องพิจารณาในการให้ข้อมูลย้อนกลับมีดังนี้ ให้ข้อมูลย้อนกลับทันที หลังจากผู้เรียน โต้ตอบกับบทเรียนควรบอกให้ผู้เรียนทราบว่าตอบถูกหรือตอบผิด โดยแสดงคำถาม คำตอบและ การตรวจปรับบนกรอบเดียวกัน ถ้าให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการใช้ภาพควรเป็นภาพที่ง่ายและ เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ถ้าไม่สามารถหาภาพที่เกี่ยวข้องได้อาจใช้ภาพกราฟิก ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ก็ได้ หลีกเลี่ยงการใช้ผลทางภาพ (Visual Effects) หรือการให้ข้อมูลย้อนกลับที่ตื่นตาเกินไป 2.6.8. ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance) การทดสอบความรู้ใหม่หลังจากศึกษาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรียกว่า การทดสอบ หลังบทเรียน (Post- test) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดสอบความรู้ของตนเองจากสิ่งที่ได้ เรียนรู้ในเนื้อหา และยังเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ เพื่อที่จะ ไปศึกษาในบทเรียนต่อไปหรือต้องกลับไปศึกษาเนื้อหาใหม่เพื่อทบทวนความรู้การทดสอบหลัง เรียนมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นการประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้เรียน และการทดสอบ ความรู้ใหม่ยังมีผลต่อความคงทนในการจดจำเนื้อหาของผู้เรียน โดยการพิจารณาในการออกแบบ ทดสอบหลังบทเรียนจะต้องชี้แจงวิธีการตอบคำถามให้ผู้เรียนทราบก่อนอย่างชัดเจน รวมทั้ง คะแนนรวม คะแนนรายข้อและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น เกณฑ์ในการตัดสินผล แบบทดสอบวัดพฤติกรรมตรงกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนและควรเรียงลำดับจาก ง่ายไปยาก 2.6.9. สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer) การสรุปและนำไปใช้จัดว่าเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนสุดท้ายที่บทเรียนจะต้องสรุปมโนคติ ของเนื้อหาเฉพาะประเด็นสำคัญ ๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาส ทบทวนความรู้ของตนเองหลังจากศึกษาเนื้อหาผ่านมาแล้ว ในขณะเดียวกันบทเรียนต้องใช้ใน เนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือให้ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติมเพื่อแนะแนวทางให้ผู้เรียนได้ศึกษาต่อในบทเรียน ถัดไป หรือนำไปประยุกต์ใช้กับงานอื่นต่อไป 2.7 การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นความสามารถของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ถึงระดับเกณฑ์ที่คาดหวังไว้หลังจากที่บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนได้ผ่านกระบวนการพัฒนาเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการหา ประสิทธิภาพของบทเรียนที่สร้างขึ้น (กฤษมนต วฒนาณรงค 2546 : 1) เพื่อพิจารณาบทเรียน และสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ว่า ในการดำเนินการสรางบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้มี


20 ประสิทธิภาพต้องมีจุดประสงค์เนื้อหาวิชา กระบวนการเรียนรู้เกณฑ์มาตรฐาน และการประเมิน เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะให้เกิดประสิทธิภาพได้จนเกิดเป็นที่ยอมรับและนำไปปรับใช้กับการ เรียนการสอนได้ โดยวิธีการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีกระบวนการที่ สำคัญอยู่ 2 ขั้นตอน ดังนี้ 1. วิธีการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล เป็นการหาประสิทธิภาพโดยอาศัยหลักความรู้และเหตุผล โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้พิจารณาตัดสินคุณค่า ซึ่งเป็นการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและความ เหมาะสมในด้านความถูกต้องของการนำไปใช้ 2. การประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ โดยการนำสื่อไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมายนั่นก็คือผู้เรียน ใน การหาประสิทธิภาพวิธีนี้ส่วนมากจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์การทำแบบฝึกหัดหรือกระบวนการ เรียน แบบทดสอบย่อย โดยจะแสดงเป็นค่าตัวเลข 2 ตัว เช่น E1/E2 = 80/80 , E1/E2 = 85/85 , E1/E2 = 90/90 เป็นต้น โดยมีสูตรดังนี้ E1 = ∑ 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑x แทน คะแนนของแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบย่อยทุกชุดรวมกัน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทุกชุดรวมกัน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด E2 = ∑ 100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑x แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด


21 ขั้นตอนการทดลองหาประสิทธิภาพ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ , 2556:14) ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการทดลองหาประสิทธิภาพของสื่อ การสอน มีดังนี้ 1. การทดลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One to one testing) นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างขึ้นไปทดลองกับนักเรียน 3 คน โดยเลือกระดับผล การเรียนสูง ปานกลาง และต่ำ ระดับละ 1 คน เพื่อเป็นการศึกษาถึงข้อบกพร่องที่ควรแก้ไขใน ด้านภาษา กราฟิก ความเหมาะสมของระยะเวลาที่กำหนดในบทเรียนและข้อเสนอแนะอื่น ๆ เพื่อ นำไปปรับปรุงแก้ไข 2. การทดลองกับกลุ่มเล็ก (Small Group Testing) เป็นการศึกษาถึงความเหมาะสมของบทเรียนในด้านต่าง ๆ เช่น การใช้ภาษาในบทเรียน ผู้เรียนในกลุ่มเล็กมความเข้าใจตรงกันหรือไม่ ภาษาที่ใช้คลุมเครือหรือไม่ ระยะเวลาที่กำหนดไว้มี ความเหมาะสมหรือไม่ผลเป็นอย่างไร เมื่อนำผลการทำแบบทดสอบระหว่างเรียนด้วยบทเรียนไป วิเคราะห์หาประสิทธิภาพแล้วได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่นำข้อมูลที่ได้ในขั้นตอนนี้ไปปรับปรุง แก้ไขบทเรียนต่อไป 3. การทดลองกับกลุ่มใหญ่ (Field Testing) เป็นการนำผลการทำแบบทดสอบระหว่างเรียน และผลการทดสอบหลังเรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนไปวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของบทเรียน 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับ การเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 3.1 ความสำคัญของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต การเขียนผังงานโฟลวชาร์ต เป็นการเขียนผังงานแสดงขั้นตอนกระบวนการทำงานที่มีความ กระชับ เข้าใจง่าย โดยมีลักษณะการเขียนที่ใช้สัญลักษณ์ในการสื่อความหมายของขั้นตอน กระบวนการทำงาน และจะมีการใช้ข้อความสั้น ๆ ที่จะอธิบายข้อมูล ผลลัพธ์ คำสั่ง หรือจุด ตัดสินใจของขั้นตอน และเชื่อมโยงขั้นตอนเหล่านี้ด้วยเส้นลูกศรชี้ทิศทางการทำงานตั้งแต่เริ่มจน จบกระบวนการทำงาน การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเป็นการออกแบบขั้นตอนกระบวนการทำงานที่ จะต้องอาศัยทักษะความคิดและทักษะการแก้ปัญหาของผู้เขียน ถ้าหากผู้เขียนมีทักษะ ความสามารถในการเขียนผังงานโฟลวชาร์ตออกมาได้ดีก็จะทำให้เกิดกระบวนการทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้และเป็นที่ยอมรับ โดยการเขียนผังงานมีความนิยมเป็น อย่างมากสำหรับการนำมาใช้เขียนโปรแกรม เนื่องจากจะต้องออกแบบขั้นตอนการทำงานของ


22 โปรแกรมที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีกระบวนการที่หลากหลาย ดังนั้นการเขียนผังงานโฟลวชาร์ตจึง เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการออกแบบการทำงาน เพราะทำให้ผู้เขียนได้เห็นภาพของการทำงาน ของโปรแกรมได้อย่างชัดเจน และทำให้การททำงานเกิดข้อผิดพลาดได้น้อยหรือไม่เกิดข้อผิดพลาด เลย แต่ทั้งนี้การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตก็จำเป็นจะต้องมีความคาดคะเนถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นใน การเขียนกระบวนการทำงานเพื่อที่จะหาแนวทางในการแก้ไขต่อไป 3.2 ประเภทของผังงานโฟลวชาร์ต สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. ผังงานระบบ (System Flowchart) ในผังงานระบบจะแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการทำงานในระบบหนึ่ง ๆ แบบเป็นภาพกว้างของ ระบบ โดยไม่ได้เจาะลึกให้เห็นว่าแต่ละระบบย่อยนั้นมีการทำงานอย่างไร ส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็น เพียงจุดเริ่มต้นการทำงาน ลักษณะการทำงานระบบใหญ่ ๆ ว่ามีการประมวลผลอย่างไร แล้วจะทำ ให้เกิดผลลัพธ์อย่างไร และข้อมูลนั้นถูกจัดเก็บไว้ที่ไหน เริ่มต้นโปรแกรม นำเข้าข้อมูลจากผู้ใช้ ประมวลผลข้อมูล แสดงรายงาน พิมพ์รายงานข้อมูล สิ้นสุดโปรแกรม ภาพที่ 2 ตัวอย่างการเขียนผังงานระบบ


23 2. ผังงานโปรแกรม (Program Flowchart) ผังงานโปรแกรมจะแสดงให้เห็นถึงลำดับขั้นตอนในการทำงานของโปรแกรมตั้งแต่การรับ ข้อมูล การประมวลผล รวมถึงผลลัพธ์ของการทำงานในแต่ละขั้นตอนจึงทำให้นักพัฒนาโปรแกรม คอมพิวเตอร์สามารถนำเอาขั้นตอนดังกล่าวไปเขียนโปรแกรมได้สะดวกมากขึ้น จากประเภทของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ตข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันขึ้นอยู่ กับว่าผู้เขียนจะเลือกวิธีการเขียนแบบใดที่เหมาะสมสำหรับการออกแบบการทำงาน ถ้าหากมี กระบวนการทำงานที่ไม่ซับซ้อนหรือมีการประมวลผลที่ไม่มากนัก มีเพียงแค่ข้อมูลเข้า การ ประมวลผล แสดงผลลัพธ์จะใช้ประเภทผังงานแบบระบบจะเหมาะสมที่สุด แต่ถ้าหากมี กระบวนการที่มีเงื่อนไขหรือการตัดสินใจเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นหนึ่งทางเลือก สองทางเลือก หรือหลายตัวเลือก มีการวิเคราะห์ผลของการคำนวณที่จะต้องแสดงผลลัพธ์ออกมา จะเหมาะสม กับประเภทผังงานโปรแกรมมากที่สุด เริ่มต้นโปรแกรม รับค่าตัวแปร a และ b c = a + b แสดงค่าตัวแปร สิ้นสุดโปรแกรม ภาพที่ 3 ตัวอย่างการเขียนผังงานโปรแกรม


24 3.3 สัญลักษณ์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต การออกแบบกระบวนการทำงานที่จะทำให้ผู้เขียนเข้าใจง่ายมากที่สุดจำเป็นจะต้องนำรูปเเบบ ของสัญลักษณ์ต่าง ๆ เข้ามาอธิบายในการเขียนผังงาน ซึ่งสัญลักษณ์แต่ละอย่างก็จะมีความหมาย ที่แตกต่างกันไป และผู้เขียนผังงานโฟลวชาร์ตจะต้องมีทักษะการจำสัญลักษณ์โฟลวชาร์ตได้เป็น อย่างดีเพื่อที่จะทำความเข้าใจกับกระบวนการทำงานที่สร้างขึ้น สัญลักษณ์ที่นำมาใช้ในการเขียน ผังงานโฟลวชาร์ต มีดังนี้ สัญลักษณ์ ความหมาย Termunator ใช้แสดงจุดเริ่มต้นและสิ้นสุกกระบวนการทำงาน Process ใช้ในการประมวลผลข้อมูล กำหนดค่า การคำนวณทา คณิตศาสตร์ Input/Output การรับข้อมูล แสดงผลข้อมูลโดยไม่ผ่านอุปกรณ์ Manual Input รับข้อมูลจากแป้นพิมพ์ Decision Symbol ใช้ในการเปรียบเทียบเงื่อนไขหรือการตัดสินใจ Display แสดงข้อมูลทางจอภาพ Document Symbol แสดงข้อมูลบนเครื่องพิมพ์ Connector หรือ On-page Connector จุดเชื่อมต่อผังงานในหน้าเดียวกัน Direction of Flow ทิศทางการทำงาน ตารางที่ 2 สัญลักษณ์โฟลวชาร์ต


25 3.4 โครงสร้างของผังงานโฟลวชาร์ต โครงสร้างในการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต ประกอบด้วย 3 รูปแบบ ได้แก่ 3.4.1 ผังงานแบบเรียงลำดับ (Sequential structure) เป็นโครงสร้างการเขียนโฟลวชาร์ตที่แสดงกระบวนการทำงานแบบเป็นขั้นตอน โดยจะ เรียงลำดับของการทำงานก่อนและหลัง แต่ละขั้นตอนจะสามารถทำงานหรือประมวลผลได้เพียง ครั้งเดียว จากนั้นจะเริ่มทำงานในขั้นตอนถัดไป มีโครงสร้างการเขียนผังงาน ดังนี้ 3.4.2 ผังงานแบบมีการกำหนดเงื่อนไข (Condition) เป็นการเขียนกระบวนการทำงานที่การวางเงื่อนไข การตัดสินใจหรือการเลือกเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยส่วนมากจะกำหนดค่าของทางเลือกไว้ 2 กระบวนการคือเงื่อนไขใช่ (Yes) และไม่ใช่ (No) กล่าวคือ ถ้าผู้เรียนมีการออกแบบกระบวนการทำงานโดยมีการวางเงื่อนไข หากผลลัพธ์ออกมา ตามที่ต้องการหรือก็คือใช่ ให้มีกระยวนการประมวลผลต่อไปจนกระทั่งจบการทำงาน แต่ก็หาก ไม่ใช่ก็จะกำหนดกระบวนการทำงานขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาหรือเป็นตัวเลือก และมีการประมวลผล จนกระทั้งสิ้นสุดการทำงาน Start Process 1 Process 2 Stop ภาพที่ 4 ผังงานแบบเรียงลำดับ


26 3.4.3 ผังงานแบบวนซ้ำ (Looping) เป็นการทำงานแบบทำซ้ำถ้าหากการะบวนการทำงานมีผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หรือภายในเงื่อนไขไม่ใช่ (No) ให้กลับไปทำซ้ำใหม่อีกรอบในกระบวนการก่อนหน้านั้น จนกว่าจะ ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ การทำกระบวนการหนึ่งหลายครั้งโดยมีเงื่อนไขในการควบคุม Start Decision Process 1 Process 2 Stop ภาพที่ 5 ผังงานแบบมีการกำหนดเงื่อนไข Yes No Start Decision Process 1 Stop Yes No Process 2 ภาพที่ 6 ผังงานแบบวนซ้ำ


27 3.5 ประโยชน์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต ผังงานโฟลวชาร์ตเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การศึกษาลำดับขั้นตอนของโปรแกรมง่ายขึ้น จึงนิยม เขียนผังงานประกอบการเขียนโปรแกรม ด้วยเหตุผลดังนี้ 1. คนส่วนใหญ่สามารถเรียนรู้และเข้าใจผังงานได้ง่าย เพราะผังงานไม่ขึ้นอยู่กับ ภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารได้ทุกภาษา 2. ผังงานเป็นการสื่อความหมายด้วยภาพ ช่วยจัดลำดับขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม ให้ง่ายและสะดวกต่อการทาความเข้าใจ สามารถนำไปเขียนโปรแกรมได้โดยไม่สับสน ซึ่งถ้าหากใช้ ข้อความหรือคำพูดอาจจะสื่อความหมายผิดไปได้ 3. ในงานโปรแกรมที่ไม่สลับซับซ้อน ช่วยในการตรวจสอบความถูกต้องของลาดับขั้นตอน และแก้ไขโปรแกรมได้ง่าย เมื่อเกิดข้อผิดพลาด 4. ช่วยให้ผู้อื่นสามารถศึกษาการทำงานของโปรแกรมได้อย่างง่าย สะดวก และรวดเร็วมาก ขึ้น 5. การบำรุงรักษาโปรแกรมหรือการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโปรแกรมในภายหลัง ให้มี ประสิทธิภาพ ถ้าพิจารณาจากผังงานจะช่วยให้สามารถทบทวนงานในโปรแกรมก่อนปรับปรุง แก้ไขได้สะดวกและง่ายขึ้น 4. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ เรื่อง การเขียนผัง งานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัด ทองนพคุณ ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปในความสำคัญได้ดังนี้ ยอดชาย ขุนสังวาลย์(2553 : 139-142) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน เรื่อง ภาษาซีเบื้องต้น สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสงวนหญิง ผู้วิจัยได้แบ่งผล การวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อ ภาษาซีเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี พบว่า เมื่อทดลองใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับนักเรียนแบบกลุ่มตัวอย่าง ได้คะแนนเฉลี่ย กระบวนการ (E1) เท่ากับ 76.44 และคะแนนเฉลี่ยผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 77.00 โดยมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 76.44/77.00 ซึ่งค่าประสิทธิภาพที่ได้นี้สูงกว่าเกณฑ์ และเป็นไปตามสมมติฐานที่กำหนดไว้


28 แสดงว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้สามารถนำไปใช้ประกอบการจัดการเรียนในรายวิชาการ ใช้โปรแกรมประยุกต์เรื่องภาษาซีเบื้องต้น ได้ ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลัง เรียนวิชา การใช้โปรแกรมประยุกต์เรื่อง ภาษาซีเบื่องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรีพบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่เรียนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาซีเบื้องต้น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเท่ากับ 16.78 เปรียบเทียบกับค่า t ที่ df (30-1) = 29 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงให้เห็นว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สามารถทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจได้ดีขึ้นเพราะผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตอนที่ 3 ผลการมีของข้อมูล เพื่อศึกษาความคงทนในการจำของนักเรียน จากการเรียน ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง ภาษาซีเบื่องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรีพบว่านักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมากกว่าหลังเรียน 2 สัปดาห์ เท่ากับ 0.70 78 เปรียบเทียบกับค่า t ที่ df (30-1) = 29 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 กล่าวคือคะแนนหลัง เรียนครั้งที่สองมีความแตกต่างจากหลังเรียนครั้งที่หนึ่งอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ตอนที่ 4 ผลการแยกออกข้อมูลเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี มีบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องภาษาซีเบื้องต้น พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน อยู่ในระดับมาก แสดงว่า การเรียนการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้มีความเหมาะสม สามารถนำมาใช้ ประกอบการเรียนการสอนและช่วยกระตุ้นนักเรียนให้เกิดความสนใจในการเรียนมากขึ้นได้ ศิริพร มีพรบูชา (2561 : 31) ได้ศึกษาทักษะการจดจำ สัญลักษณ์ Flow Chart ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดย ใช้เกมคอมพิวเตอร์ เรื่อง สัญลักษณ์ Flowchart พบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 79/83.5 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 75/75 และสรุปผลได้ว่า นักเรียนที่ทำคะแนน 10 คน เมื่อได้รับการแก้ปัญหาโดยการนำเกม คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยใน การฝึกการการจำสัญลักษณ์ จากการเปรียบเทียบผลการบันทึกคะแนน จากเกณฑ์ที่วัดและหาค่าเฉลี่ย ของความก้าวหน้าในการพัฒนาการการจำสัญลักษณ์ Flowchart ของนักเรียนแต่ละครั้งจะเห็นว่ามีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จึงเห็นได้ว่าทักษะการจำาสัญลักษณ์ของ นักเรียนทั้ง 10 คน มีผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้น มี การพัฒนาทักษะเพิ่มขึ้น และนักเรียนจะรู้สึกสนุกกับการ ฝึกในแต่ละครั้ง


29 (วรุฒ ปานเหลือง และอุบลรัตน์ศิริสุขโภคา, 2560 : 72) ได้ศึกษาการฝึกทักษะเรื่องการ เขียนผังงาน สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สรุปได้ว่า การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงาน เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการ เขียนเบื้องต้น สําหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ร่วมกับแนวคิดรูปแบบการสอนแบบปัญหาเป็นฐาน มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 76.44/79.11 หมายความว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีประสิทธิภาพจึงทําให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ที่ตั้งไว้ และการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสอน ผลการศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 8.3 นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการเขียนผังงาน พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมาก แสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจมากหลังเรียนด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องการเขียนผังงาน (ทัศนัย สัปทน และวิวัฒน์ ทวีทรัพย์, 2564 : 129-130) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนโปรแกรมเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 สรุปผลการวิจัยได้ว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ ของบทเรียน 76.20/88.40 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การ เขียนโปรแกรมเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญที่ระดับ .05 ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนเรื่อง การเขียนโปรแกรมเบื้องต้น ที่สร้างขึ้นมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 ซึ่งอยู่ในระดับพึง พอใจมากที่สุด จากผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า การนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเข้ามา ประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการสอนแบบปกติเนื่องจากเป็น ลักษณะของสื่อประสมที่มีภาพกราฟิกในการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนและเหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะเรียนรู้มากยิ่งขึ้น มีการออกแบบกิจกรรม เนื้อหาสาระ รูปแบบการนำเสนอที่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกสนานในการเรียน อีกทั้งยังทำให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ การตอบสนอง ได้รับข้อมูลย้อนกลับทันทีในระหว่างการเรียนรู้ที่เหมือนกับการเรียนในชั้นเรียน ปกติดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาและพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอนให้มีประสิทธิภาพ บรรลุตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้และมีความเหมาะสมต่อวัยของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหา ในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองนพคุณ ผู้วิจัยดำเนินการ ขั้นตอน ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การทดลองหาประสิทธิภาพ 4. การวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองนพ คุณ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 3 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 60 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทอนพ คุณ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน แบ่งออกเป็น การทดลองครั้งที่ 1 จำนวน 3 คน (คัดเลือก เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 1 คน) การทดลองครั้งที่ 2 จำนวน 9 คน (คัดเลือก เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 3 คน) การทดลองครั้งที่ 3 จำนวน 30 คน (นักเรียนคละกัน) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองนพคุณ 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหา ในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3. แบบประเมินคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลว ชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4


31 ขั้นตอนการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาระที่ 4 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มาตรฐานการ เรียนรู้ ว 4.2 2. กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม 3. ดำเนินการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ดังนี้ 3.1 จัดเรียงเนื้อหาย่อยของเรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อแก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน 3.2 ออกแบบรูปภาพกราฟิก ภาพการ์ตูน ที่มความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและมีความ เหมาะสมกับผู้เรียน 3.3 จัดวางองค์ประกอบโครงร่างหรือ Storyboard โดยการออกแบบหน้าจอของ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในแต่ละ Scene 3.4 เตรียมเสียงคำบรรยายหรือเสียงดนรีประกอบที่น่าสนใจและให้ความเพลิดเพลินแก่ ผู้เรียน 3.5 สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหา ในชีวิตประจำวันโดยใช้โปรแกรม Power Point สร้างตาม Storyboard ที่ได้วางโครงร่างไว้และ นำเนื้อหา รูปภาพ เสียง เข้ามาผสมผสานกันในการสร้างบทเรียน 4. นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้พัฒนาขึ้นมาไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาการ ทำวิจัยเพื่อทำการตรวจสอบ 5. นําบทเรียนไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา จํานวน 3 ท่านและด้านการผลิตสื่อ จํานวน 3 ท่าน ประเมินผลบทเรียน ว่ามีความถูกต้องเหมาะสมกับการนําไปใช้เป็นเครื่องมือในการทดลอง ผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญที่ยอมรับได้คือจะต้องมีค่าตั้งแต่ 3.51 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าบทเรียนมี คุณภาพในระดับดีถึงดีมาก 6. ผู้วิจัยนำบทเรียนที่ได้รับการประเมินและปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองหาประสิทธิภาพ ต่อไป


32 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1. วิเคราะห์วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 2. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก โดยแบ่งเป็น 5 เรื่อง ดังนี้ เรื่องที่ 1 ความสำคัญของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต จำนวน 4 ข้อ เรื่องที่ 2 ประเภทของผังงานโฟลวชาร์ต จำนวน 4 ข้อ เรื่องที่ 3 สัญลักษณ์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต จำนวน 4 ข้อ เรื่องที่ 4 โครงสร้างของผังงานโฟลวชาร์ต จำนวน 4 ข้อ เรื่องที่ 5 ประโยชน์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต จำนวน 4 ข้อ รวมทั้งหมด 20 ข้อ 3. นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผล จํานวน 3 คน ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเนื้อหา ภาษาที่ใช้และการประเมินที่ถูกต้อง และนํามาหาค่าดัชนี ความสอดคล้องของเครื่องมือ (IOC) โดยกําหนดเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ เห็นว่าสอดคล้อง ให้คะแนน +1 ไม่แน่ใจ ให้คะแนน 0 เห็นว่าไม่สอดคล้อง ให้คะแนน -1 4.นําข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาคํานวณหาค่า IOC แล้วเลือกข้อ คําถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไปมาสร้างเป็นแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5.นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดลองใช้กับกลุ่มที่เคยเรียนเนื้อหานี้ มาแล้ว ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จํานวน 30 คน เพื่อหาค่าความยากง่าย (p) และค่า อานาจจําแนก (r) ของข้อสอบเป็นรายข้อ 6. เลือกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.20 - 0.80 และค่าอำนาจจําแนก (r)ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป คัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพให้ได้จํานวน 10 ข้อ โดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.51-0.81 และมีค่า อำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.21 - 0.79 7. หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร KR-20 ของ คูเดอร์ริชาร์ดสัน ซึ่งได้ความเชื่อมั่น 0.71 ขึ้นไป


33 ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 1. ศึกษาหลักการสร้างแบบประเมินคุณภาพบทเรียน จากเอกสารการวัดและประเมินผล ต่าง ๆ 2. สร้างแบบประเมินคุณภาพบทเรียน สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาจํานวน 10 ข้อ สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตสื่อจํานวน 10 ข้อ ลักษณะของแบบประเมิน เป็นมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale)5 ระดับ โดยกําหนดค่าระดับคุณภาพแต่ละช่วงคะแนนและ ความหมาย ดังนี้ 1 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับปรับปรุงแก้ไข 2 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ 3 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับปานกลาง 4 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับดี 5 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก สำหรับการให้ความหมายของค้าที่วัดได้ผู้วิจัยได้กําหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการให้ความหมาย ของค่าเฉลี่ยที่ได้จากการประเมิน ไว้ดังนี้ 1.00 - 1.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับปรับปรุงแก้ไข 1.51 - 2.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ 2.51 - 3.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับปานกลาง 3.51 - 4.50 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับดี 4.51 - 5.00 หมายถึง มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก 3. นําแบบประเมิณคุณภาพบทเรียนให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผล 3 คนตรวจสอบความ เที่ยงตรงของเนื้อหา ภาษาที่ใช้และการประเมินที่ถูกต้อง และนํามาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ของเครื่องมือ (IOC) โดยกําหนดเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ เห็นว่าสอดคล้อง ให้คะแนน +1 ไม่แน่ใจ ให้คะแนน 0 เห็นว่าไม่สอดคล้อง ให้คะแนน -1 4. นําข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาคํานวณหาค่า IOC แล้วเลือกข้อ คําถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไปมาสร้างเป็นแบบประเมินคุณภาพบทเรียนที่ สมบูรณ์


34 การทดลองหาประสิทธิภาพ การทดลองครั้งที่ 1 ดําเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง จํานวน 3 คน โดยให้ผู้เรียนแต่ละ คนเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในขั้นนี้จะตรวจสอบความยากง่าย ความชัดเจนของ การนำเสนอเนื้อหา ความชัดเจนของภาษา คุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ความ ชัดเจนของตัวอักษรรูปภาพตลอดจนความสอดคล้องกับการเรียน สังเกตขณะทดลองว่ามีส่วน ใดบ้างบกพร่องทำการประเมินผลจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพร้อมทั้งปรับปรุง แก้ไข การทดลองครั้งที่ 2 ดําเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจํานวน 15 คนโดยกลุ่มตัวอย่าง เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ ในขณะที่ศึกษาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ศึกษาด้วยตนเอง เรื่องที่ 1 นักเรียนจะต้องทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและหลังจากเรียนจบเรื่องที่ 1 แล้วจึงทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทำเช่นนี้จนกระทั่งครบทั้ง 5 เรื่องทำการประเมินจาก แบบฝึกหัดระหว่างเรียนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเสร็จแล้วนํามาวิเคราะห์หา แนวโน้มของประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อปรับปรุง แก้ไขในการทดลองภาคสนาม การทดลองครั้งที่ 3 ดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจํานวน 30 คนโดยใช้วิธีสุ่มแบบ หลายขั้นตอน ขั้นนี้เป็นการทดลองหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้เรียนจะ ได้ศึกษาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ได้ปรับปรุงครั้งที่ 2 โดยผู้เรียนจะต้องทำแบบฝึกหัด ระหว่างเรียนในแต่ละช่วงของเนื้อหา ในแต่ละเรื่องและเมื่อจบเนื้อหาแต่ละเรื่องแล้วผู้เรียนจะต้อง ทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากนั้นนําผลรวมของคะแนนจากการทำแบบฝึกหัด ระหว่างเรียน และผลรวมของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาคํานวณหา ประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 หากยังไม่ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 จะต้องทำการแก้ไข และทดลองจนกว่าจะมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้สถิติการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. ค่าเฉลี่ย (̅) สูตร ̅ = ∑ เมื่อ ̅แทน ค่าเฉลี่ย


35 ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมด 2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สูตร S.D. = √ ∑ 2− (∑ )² (−1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน คะแนนแต่ละ n แทน จำนวผู้เรียนทั้งหมด 3. ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) สูตร IOC = ∑ เมื่อ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคคล้องที่มีค่าอยู่ระหว่าง -1 ถึง +1 ∑ แทน ผลรวมการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 4. ค่าความยากง่าย (p) สูตร p = เมื่อ p แทน ระดับความยากง่าย R แทน จำนวนผู้เรียนที่ตอบถูก N แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมด


36 5. ค่าอำนาจจำแนก (r) สูตร B = 1 - 2 เมื่อ B แทน ค่าอำนาจจำแนก 1 แทน จำนวนผู้เรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนสูง 2 แทน จำนวนผู้เรียนที่ตอบถูกในกลุ่มคะแนนต่ำ U แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนสูง L แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมดในกลุ่มคะแนนต่ำ 6. ค่าความเชื่อมั่น (KR-20 และ KR-21) สูตร KR-20 = −1 [1 − ∑ 2 ] KR-21 = −1 [1 − ̅(−̅) 2 ] ค่าความแปรปรวน สูตร 2 = ∑ 2−(∑ ) 2 2 เมื่อ rtt แทน ความเที่ยงของแบบทดสอบ K แทน จำนวนของข้อสอบ p แทน สัดส่วนของผู้เรียนที่ตอบถูก q แทน สัดส่วนของผู้เรียนที่ตอบผิด ̅แทน ค่าเฉลี่ย 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแบบทดสอบ N แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมด


37 7. ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 สูตร E1 = ∑ 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑x แทน คะแนนของแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบย่อยทุกชุดรวมกัน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทุกชุดรวมกัน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด สูตร E2 = ∑ 100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑x แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ผลิตและพัฒนาของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียน ผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน วัดทองนพคุณ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 ตอน ดังนี้ 1. ความหมายของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 2. ประเภทของผังงานโฟลวชาร์ต 3. สัญลักษณ์ของโฟลวชาร์ต 4. โครงสร้างของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต 5. ประโยชน์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้วิจัยได้นำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหา ในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา 3 ท่าน และ ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตสื่อ 3 ท่าน ประเมินคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผลการ ประเมินแสดงไว้ในตางรางที่ 1-3 ตารางที่ 3 ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลว ชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยผู้ เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา รายการประเมิน ̅ S.D. ระดับคุณภาพ 1. อธิบายเนื้อหาในแต่ละหน่วยได้อย่างชัดเจน 2. มีความเหมาะสมของการจัดลำดับเนื้อหา 3. ความยากง่ายของเนื้อหามีความเหมาะสม 4. มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 5. เนื้อหาสามารถนำไปใช้กับบทเรียนได้ 4.66 5.00 4.33 4.66 4.33 0.58 0.00 0.58 0.58 0.58 ดีมาก ดีมาก ดี ดีมาก ดี รวม 4.60 0.46 ดีมาก


39 จากตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลว ชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ที่ผลิตขึ้นมีคุณภาพด้านเนื้อหาในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก โดยมีค่า ̅= 4.60 และมีค่า S.D. = 0.46 เมื่อพิจารณาเป็นรายการประเมินพบว่า บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ได้พัฒนาขึ้น มีความเหมาะสมของการจัดลำดับเนื้อหามีคุณภาพอยู่ใน ระดับดีมาก มีค่า ̅= 5.00 และ S.D. = 0.00 รองลงมาคืออธิบายเนื้อหาในแต่ละหน่วยได้อย่าง ชัดเจนและมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่า ̅= 0.46 และ S.D. = 0.58 ทั้งสองรายการ และในลำดับสุดท้ายคือ ความยากง่ายของเนื้อหามีความเหมาะสมและ เนื้อหาสามารถนำไปใช้กับบทเรียนได้มีคุณภาพอยู่ในระดับดี มีค่า ̅= 4.33 และ S.D. = 0.58 ทั้งสองรายการ ตารางที่ 4 ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลว ชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยผู้ เชี่ยวชาญด้านการผลิตสื่อ รายการประเมิน ̅ S.D. ระดับคุณภาพ 1.จัดองค์ประกอบได้อย่างเหมาะสม 2. มีรูปภาพประกอบสวยงาม เหมาะสมกับเนื้อหา 3. มีเทคนิคการออกแบบที่น่าสนใจ 4. มีกิจกรรมที่หลากหลาย น่าสนใจ 5. ตัวอักษร เสียงพูดบรรยายมีความชัดเจน 4.33 4.66 4.00 5.00 4.66 0.58 0.58 1.00 0.00 0.58 ดี ดีมาก ดี ดีมาก ดีมาก รวม 4.53 0.55 ดีมาก จากตารางที่ 4 แสดงให้เห็นว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลว ชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ที่ผลิตขึ้นมีคุณภาพด้านการผลิตสื่อภาพรวมอยู่ในระดับดี มากโดยมีค่า ̅= 4.53 และมีค่า S.D. = 0.55 เมื่อพิจารณาเป็นรายการประเมินพบว่า บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ได้พัฒนาขึ้น มีกิจกรรมที่หลากหลาย น่าสนใจมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่า ̅= 5.00 และ S.D. = 0.00 รองลงมาคือมีรูปภาพประกอบสวยงาม เหมาะสมกับเนื้อหาและ ตัวอักษร เสียงพูดบรรยายมีความชัดเจน มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่า ̅= 0.46 และ S.D. = 0.58 ทั้งสองรายการ ต่อมาคือ จัดองค์ประกอบได้อย่างเหมาะสม มีคุณภาพอยู่ในระดับดี มีค่า ̅ = 4.33 และ S.D. = 0.58 และในลำดับสุดท้ายคือ มีเทคนิคการออกแบบที่น่าสนใจ มีคุณภาพอยู่ ในระดับดี มีค่า ̅= 4.00 และ S.D. = 1.00


40 ผลการทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ดำเนินการทดลอง 3 ครั้ง โดยการ นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ การทดลองครั้งที่ 1 ทดลองกับนักเรียน 3 คน ประกอบด้วย นักเรียน เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 1 คน เป็นการทดลองเบื้องต้นเพื่อหาข้อบกพร่องของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง การเขียนผังงานโฟลวชาร์ตเพื่อเเก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน จากนั้นสอบถามว่านักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า เกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิคในการเชื่อมโยงหน้าเนื้อหาสลับกัน จึงนำ ข้อมูลมาปรับปรุงบทเรียนให้ดีขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการทดลองครั้งที่ 2 การทดลองครั้งที่ 2 ทดลองกับนักเรียน 9 คน ประกอบด้วย นักเรียน เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 3 คน เป็นการทดลองเพื่อหาแนวโน้มของประสิทธิภาพบทเรียน โดยให้นักเรียนศึกษา บทเรียนเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และทำแบบทดสอบระหว่างเรียน แบบทดสอบหลังเรียน นํา คะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติ E1/E2 เพื่อหาแนวโน้มของประสิทธิภาพของบทเรียนผล การวิเคราะห์ข้อมูลได้ดังนี้ ตารางที่ 5 ผลการทดลองบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จากการทดลองครั้งที่ 2 เรื่อง แบบฝึกหัดระหว่างเรียน แบบทดสอบหลังเรียน ประสิทธิภาพ E1/E2 คะแนน เต็ม ค่าเฉลี่ย E1 คะแนน เต็ม ค่าเฉลี่ย E2 เรื่องที่ 1 10 7.78 77.80 20 16.33 81.65 77.80/81.65 เรื่องที่ 2 10 7.67 76.70 20 16.44 82.20 76.70/82.20 เรื่องที่ 3 10 7.89 78.90 20 15.89 79.45 78.90/79.45 เรื่องที่ 4 10 8.33 83.30 20 15.79 78.95 83.30/78.95 เรื่องที่ 5 10 8.11 81.10 20 15.44 80.00 81.10/80.00 รวม 50 39.78 79.56 100 79.89 77.20 79.56/77.20


41 จากตารางที่ 5 ผลการทดลองหาแนวโน้มของประสิทธิภาพของบทรเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอนที่ได้จากการทดลองครั้งที่ 2 จากการพิจจารณาพบว่า เนื้อหาทั้ง 5 เรื่อง มีแนวโน้มของ ประสิทธิภาพต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งมีแนวโน้มประสิทธิภาพโดยรวมมีค่าเท่ากับ 79.56/77.20 ยังไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งยังพบข้อบกพร่องบางประการคือ 1. การทำแบบทดสอบท้ายบทเรียนมีเสียงดนตรีประกอบที่ให้ความเร้าใจต่อผู้เรียนมาก เกินไปทำให้ผู้เรียนหันมาสนใจเสียงดนตรีมากกว่าการทำแบบทดสอบและยังเสียสมาธิในการทำ แบบทดสอบ ผู้วิจัยจึงปรับปรุงแก้ไขโดยการนำเสียงดนตรีออก 2. กิจกรรมที่นำมาเสริมทักษะให้แก่ผู้เรียน เป็นกิจกรรมที่เน้นที่ผู้เรียนจดจำจากเนื้อหาที่ เรียนในบทเรียน ผู้วิจัยจึงเสริมกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ของตนเองเข้า ไปใบทเรียนแต่ละเรื่อง การทดลองครั้งที่ 3 เป็นการทดลองภาคสนามกับนักเรียนจำนวน 30 คน เพื่อหา ประสิทธิภาพของบทเรียน โดยให้นักเรียนศึกษาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และทำ แบบทดสอบระหว่างเรียน แบบทดสอบหลังเรียน นำคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติ E1/E2 เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้ดังนี้ ตารางที่ 6 ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จากการทดลองครั้งที่ 3 เรื่อง แบบฝึกหัดระหว่างเรียน แบบทดสอบหลังเรียน ประสิทธิภาพ E1/E2 คะแนน เต็ม ค่าเฉลี่ย E1 คะแนน เต็ม ค่าเฉลี่ย E2 เรื่องที่ 1 10 8.03 80.30 20 17.30 86.50 80.30/86.50 เรื่องที่ 2 10 8.33 83.30 20 16.77 83.85 83.30/83.85 เรื่องที่ 3 10 8.10 81.00 20 16.37 81.85 81.00/81.85 เรื่องที่ 4 10 8.07 80.70 20 16.67 83.35 80.70/83.35 เรื่องที่ 5 10 8.40 84.00 20 16.20 81.00 84.00/81.00 รวม 50 40.93 81.86 100 83.31 83.31 81.86/83.31 จากตารางที่ 6 ผลการทดลองหาประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในการ ทดลองครั้งที่ 3 ที่วิเคราะห์จากผลของแบบฝึกหัดระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเรียนของ


42 กลุ่มทดลอง โดยมีประสิทธิภาพ 81.86/83.31 และพบว่า เรื่องที่ 1 ความหมายของการเขียนผัง งานโฟลวชาร์ต มีประสิทธิภาพ 80.30/86.50 เรื่องที่ 2 ประเภทของผังงานโฟลวชาร์ต มี ประสิทธิภาพ 83.30/83.85 เรื่องที่ 3 สัญลักษณ์ของโฟลวชาร์ต มีประสิทธิภาพ 81.00/81.85 เรื่องที่ 4 โครงสร้างของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต มีประสิทธิภาพ 80.70/83.35 และเรื่องที่ 5 ประโยชน์ของการเขียนผังงานโฟลวชาร์ต มีประสิทธิภาพ 84.00/81.00 ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นไป ตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80


Click to View FlipBook Version