The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 027อัสมะ เจ๊ะหามะ, 2024-03-11 13:36:02

วิจัย 5 บท สอบ

วิจัย 5 บท สอบ

รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ วิชาภาษาไทย โดยใช้หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง อำเภอธารโต จังหวัดยะลา The Development of reading and spelling skills in Thai language. Using the Bukubahasa book, Ban Buathong dress and spelling reading exercises. of 2nd grade students, Ban Bua Thong School, Than To District, Yala Province. โดย อัสมะ เจ๊ะหามะ รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566


ชื่อวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ วิชาภาษาไทย โดยใช้หนังสื่อ บูกู บาฮาซา ชุด ที่นี่ บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง ผู้วิจัย นางสาวอัสมะ เจ๊ะหามะ สาขา การประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566 คณะกรรมการที่ปรึกษา รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566 .......................................................กรรมการ ( อาจารย์วราห์ เทพฯรงค์ ) (ประธานหลักสูตร) ........................................................กรรมการ ( อจารย์ฮูดาย์ดูมีแด ) (อาจารย์นิเทศน์ประจำหลักสูตร) ........................................................กรรมการ ( อาจารย์เนาวรัตน์ มะลีลาเต๊ะ) ( อาจารย์ฝ่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู) ........................................................กรรมการ ( นางสาวรัชชฎา ภาคภูมิเกียรติยศ) ( ครูพี่เลี้ยง โรงเรียนบ้านับวทอง )


ก ชื่อวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ วิชาภาษาไทย โดยใช้หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 อำเภอธารโต จังหวัดยะลา โรงเรียนบ้านบัวทอง ผู้วิจัย นางสาวอัสมะ เจ๊ะหามะ สาขา การประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ วิชาภาษาไทย โดยใช้ หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง อำเภอธารโต จังหวัดยะลา มีวัตถุประสงค์1. เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาภาษาไทยก่อนและหลัง ภาษาไทย โดยใช้หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่ บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ2. เพื่อศึกษาความพีงพอใจของนักเรียน ภาษาไทย ที่มี ต่อ หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการ อ่าน และการสะกดคำ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้เป็นผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน บ้านบัวทอง จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 8 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบ เจาะจง โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการเลือก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการสอน โดยใช้ หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง จำนวน 10 แผน 10 ชั่วโมง 2) แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ จำนวน 10 ชุด 3) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งเป็นข้อสอบออกเสียงสะกดคำ จำนวน 2 ตอน ตอนที่ 1 อ่านและสะกดคำ 20 ข้อ ตอนที่ 2 อ่านเรื่องสั้น 4)แบบสอบถามความพีงพอใจของ นักเรียน ภาษาไทย ที่มีต่อ หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ เป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 5 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า 1.นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ทางการเรียนอ่านสะกดคำ ภาษาไทย ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อย เรียน และมีค่าพัฒนาสัมพัทธ์ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 75.25 อยู่ในระดับสูงมาก 2.นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้ช้หนีงสือมูลาบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำ อยู่ในระดับมากที่สุด


ข Title The Development of reading and spelling skills in Thai language. Using the Bukubahasa book, Ban Buathong dress and spelling reading exercises. of 2nd grade students, Ban Bua Thong School, Than To District, Yala Province. Author Miss Asma Chehama Degree Elementary Education Year 2566 Abstract Research in Thai language reading and spelling using the Bukubahasa book series here Ban Buathong and the spelling reading exercises of 2nd grade students at Ban Buathong School, Thanto District, Yala Province. To compare academic achievements in Thai before and after using the Book of Bukubahasa, Ban Bua Thong, and Spelling Reading Skills Training 2. To study Thai language students' satisfaction with the Bukubahasa book, Ban Buathong series and spelling reading exercises. The sample group used in this study were 8 students in the second grade of Ban Buathong School, Yala 1st semester of 2013. Using the classroom as a unit to select research tools, 1) teaching plan, 10 plans, 10 plans, 2) 10 sets of spell-reading skills, 3) 2 pre-school and post-school spelling tests: 1st Episode Read and Spell 20 Short Stories; 4) Student Satisfaction Questionnaire. The Thai language for the Book of Bukubahasa, Ban Bua Thong, and the skill training for reading spells are 5 levels of measurement. The research found that 1. Students have higher learning effect in reading Thai spelling than in sub-school, and the relative improvement rate increased by 75.25 percent on average. 2. Students were most satisfied with the use of Mulabahasa, Ban Bua Thong, and spelling reading exercises.


ค กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้โดยได้รับความอนุเคราะห์อย่างดียิ่ง จากอาจารย์ฮูดาย์ดูมีแด ที่ ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของรายงานวิจัย พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ รายงาน วิจัยมีความถูกต้องและช่วยตรวจงานวิจัยฉบับนี้จนเสร็จสมบูรณ์ ขอขอบคุณครูรัชชฎา ภาคภูมิเกียรติ คุณครูฮานูนะห์ อานัน และคุณครูมาซีเตาะ กอตา ที่ กรุณา เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลสำหรับการวิจัย ในครั้งนี้ ขอขอบคุณโรงเรียนโรงเรียนบ้านบัวทอง โรงเรียนหน่วยฝึกวิชาชีพครูของมหาวิทยาลัยรัชภัฏ ยะลา คุณครูผู้สอนในโรงเรียน ที่ผู้วิจัยได้รับความช่วยเหลือ ความร่วมมือ และประสานในการเก็บ รวบรวมข้อมูล และขอขอบใจนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทุกคน ที่ให้ความร่วมมืออย่างยิ่งในการเก็บ รวบรวมข้อมูลสำหรับการทำวิจัยในครั้งนี้ ท้ายสุดนี้ ขอขอบคุณครอบครัว และเพื่อน ๆ ที่เป็นแรงผลักดันให้ผู้วิจัยได้ทำงานวิจัยอย่าง ต่อเนื่อง และเป็นกำลังใจให้ผู้วิจัยมีความพยายามในการทำงานวิจัยจนประสบความสำเร็จ อัสมะ เจ๊ะหามะ


ง สารบัญ บทคัดย่อภาษาไทย................................................................................................................... บทคัดย่อภาษาอังกฤษ.............................................................................................................. กิตติกรรมประกาศ.................................................................................................................... สารบัญ..................................................................................................................................... บทที่ 1 บทนำ........................................................................................................................... ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา........................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย.................................................................................................. ขอบเขตของการวิจัย.................................................................................................... ..... นิยามศัพท์เฉพาะ.............................................................................................................. กรอบแนวคิดการวิจัย........................................................................................................ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ................................................................................................ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง..................................................................................... หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียน ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2......................................................................................................... แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับการอ่าน และการสะกดคำ.................................................... แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ............................................. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง............................................................................................................. บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน........................................................................................................... กลุ่มเป้าหมายการวิจัย........................................................................................................ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...................................................................................................... การเก็บรวบรวมข้อมูล......................................................................................................... การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล………………………………………………………………………………….. บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล...................................................................................................... ข้อมูลเบื้องต้น......................................................................................................... .............. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................. .............. หน้า ก ข ค จ 1 1 4 4 4 5 6 7 7 9 19 22 24 24 24 26 28 29 29 30


สารบัญ(ต่อ) บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ........................................................................... สรุปผลการวิจัย.......................................................................................................................... อภิปรายผลการวิจัย............................................................................................................... ข้อเสนอแนะ.......................................................................................................................... บรรณานุกรม..................................................................................................................................... ภาคผนวก........................................................................................................................................ ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................................................................. ภาคผนวก ฃ แบบสอบถามความพึงพอใจ............................................................................... ภาคผนวก ค รายนามผู้เชี่ยวชาญ................................................................................................ ภาคผนวก ง รายชื่อนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย........................................................................... ภาคผนวก ช ประมวลภาพในการจัดกิจกรรม....................................................................... ประวัติผู้วิจัย.................................................................................................................................. หน้า 41 42 42 43 44 46 47 90 93 95 97 107


บทที่1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรม อันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง ความ เข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดำเนินชีวิตร่วมกัน ใน สังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุขและเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก แหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ใน การพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้าน วัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพเป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติ ไทยตลอดไป (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 37) ด้วยความสำคัญดังกล่าว หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ กำหนดให้ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 37) ดังนั้น เด็กไทยทุกคนควรเรียนรู้และใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องทุกโอกาส ซึ่งการเรียนการ สอน ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การอ่านและ การฟัง เป็นทักษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์ ส่วนการพูดและการเขียนเป็นทักษะของ การ แสดงออกด้วยการแสดงความคิดเห็น ความรู้และประสบการณ์ การเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียนเพื่อ การ สื่อสาร ให้สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถนำความรู้ ความคิดมาเลือกใช้ เรียบ เรียงคำมาใช้ตามหลักภาษาได้ถูกต้องตรงตามความหมาย กาลเทศะและใช้ภาษาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 80) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็น กำลัง ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็น พลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข มี ความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีพ


2 โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้เต็มตาม ศักยภาพ กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 4) การอ่านมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านทำให้รู้ ข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลกทำให้ผู้อ่านมีความสุข มี ความหวัง และมีความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการ พัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความ อยากรู้อยากเห็น การที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนที่มี ความรู้ความสามารถ ซึ่งความรู้ต่าง ๆ ก็ได้มาจากการอ่านนั่นเอง (ฉวีวรรณ คูหาภินนท์, 2556 : 11) นอกจากนี้สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2557 : 2) ได้อธิบายความสำคัญของการอ่านว่า การอ่านเป็นเครื่องมือ สำคัญ ในการแสวงหาความรู้ การรู้และใช้วิธีอ่านที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้อ่านทุกคน การรู้จัก ฝึกฝนอ่าน อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้อ่านมีพื้นฐานในการอ่านที่ดี ทั้งจะช่วยให้เกิดความชำนาญและ ความรู้กว้างขวาง ด้วย ดังนั้นการที่นักเรียนจะเป็นผู้อ่านที่ดีจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ครูเป็นผู้จัดเตรียม ให้ อีกทั้ง ยังต้องผสมผสานกับความสนใจของผู้อ่าน เพื่อเป็นแรงจูงใจที่ช่วยให้นักเรียนได้อ่านอย่าง สม่ำเสมอ นอกจากนี้2 ฉวีวรรณ คูหาภินันท์(2555 : 2) ได้อธิบายความสำคัญของการอ่านว่า การอ่านมี ความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็นอันเป็น ธรรมชาติของมนุษย์ได้ทุกเรื่อง ซึ่งมีอยู่ในทรัพยากรสารนิเทศทุกประการโดยเฉพาะความอยากรู้ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติไทยที่จำเป็นในการสื่อสารของมนุษย์ การสื่อสารของมนุษย์ใช้ ทักษะที่สำคัญหลายทักษะ เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน การพัฒนาวิชาภาษาไทย เป็นการพัฒนาที่เน้น การ สอนเพื่อพัฒนาในด้านทักษะ และการฝึกประสมคำอ่าน สะกดคำเป็นพื้นฐานในการศึกษาหา ความรู้ เพื่อพัฒนาในด้านทักษะและการฝึกประสมคำอ่านสะกดคำเป็นพื้นฐานในการศึกษาหาความรู้นักเรียน ในบางส่วน ยังขาดทักษะในด้านการอ่าน จึงส่งผลมาให้ต้องมีการปรับปรุง แก้ไข และต้อง มีการพัฒนา ในทักษะนี้อย่างต่อเนื่องและจากการเรียนการสอนของนักเรียนชั้น ในการพัฒนาวิชา ภาษาไทยใน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำเป็นต้องพัฒนาที่เน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ในด้านทักษะ การอ่าน และการสะกดคำให้กับนักเรียนเป็นพื้นฐานในการศึกษาหาความรู้ ดังนั้นการ พัฒนาในด้าน ทักษะอ่านคำ และการสะกดคำเป็นพื้นฐานในการศึกษาหาความรู้ นักเรียนจำเป็นต้อง ได้รับการพัฒนา ทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ให้ถูกต้อง เพื่อนักเรียนจะได้นำไปใช้ในการเรียนรู้ใน รายวิชาต่างๆ และสามารถหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือ หรือสื่อออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็น ต้องมีการ


3 พัฒนาในทักษะการอ่าน และการสะกดคำให้กับนักเรียนอย่างถูกต้อง โรงเรียนบ้านับวทอง เปิดการสอนในระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2566 มีนักเรียนทั้งหมด 148 คน โดยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 20 คน มีห้องเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั้งหมด 1 ห้องเรียน และจากการได้ศึกษาทักษะอ่านคำ และการสะกด คำ ของนักเรียนโรงเรียนบ้านบัวทอง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยวิธีการทำแบบทดสอบการอ่าน พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 8 คน จาก จำนวน 20 คน มีปัญหาในการอ่านคำ และการสะกด คำได้ไม่ถูกต้อง รวมถึงการประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ ส่งผลให้นักเรียนอ่าน หนังสือได้ไม่ถูกต้อง เรียนได้ช้ากว่า เพื่อนในระดับเดียวกัน เกิดผลกระทบด้านการเรียนเป็นอย่างมาก ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่าง เร่งด่วน จากการศึกษา พบว่า การอ่านจะประสบผลดีได้นั้นต้องมีความสามารถในการจำแนกความ แตกต่างด้วยสายตา เป็นการสังเกตเห็นความเหมือนความต่างกันของรูปทรง รูปภาพ และคำ ที่เขียน เป็นสัญลักษณ์ความสามารถในการอ่านขึ้นอยู่กับความสามารถในการเห็นความแตกต่างระหว่างคำที่ อ่านหรือสัญลักษณ์ได้ การที่เด็กจำแนกเสียงที่คล้ายคลึงกันได้ จะช่วยให้เด็กอ่านได้อย่างถูกต้อง ความสามารถในการฟังเรื่องราวต่างๆ เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักคิดหาเหตุผล ซึ่งสอดคล้องกับ 2 ประเทิน มหาขันธ์ (2558 : 18) กล่าวว่า การฝึกทักษะในการโยงความหมายสัญลักษณ์ที่ เป็นตัวอักษรเข้าด้วยกัน เป็นการเชื่อมโยงความหมายของคำกับสัญลักษณ์หรือตัวอักษรเป็นทักษะ เบื้องต้นในการอ่าน จากปัญหาข้างต้น ผู้วิจัยได้ศึกษาและพบว่าการจัดการเรียนการสอนที่ใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านสะกดคำ เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนทั้งทางด้านการอ่าน การเขียน การฟัง และการพูด ซึ่งวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกมชทักษาะ คือ การสร้างความ สนใจในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ให้ผู้เรียนฝึกฝนด้วยตนเอง ซึ่งแบบฝึกทักษาะการอ่านสะกดคำช่วยเพิ่ม ทักษะในด้านต่าง ๆ ให้กับผู้เรียนได้และสามารถ พัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียนได้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องกับผลการวิจัยที่นุชนาภ พรหมนาเวช (2556 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เกมการแข่งขันสะกดคำ วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 1 ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ผลการใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เกมการแข่งขันสะกดคำ วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผล การวัดเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เกมการแข่งขันสะกดคำ วิชาภาษาไทย ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อยู่ใน ระดับมากที่สุด และสอดคล้องกับผลการวิจัยของธิดารัตน์ จูมพลา (2556 : 21) ที่กล่าวว่า การจัดการ เรียนรู้โดยใช้เกมมีความจำเป็นต่อการเรียนอย่างมาก เพราะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียน 3 ได้ผ่อนคลาย และได้รับความสนุกสนานในระหว่างการเรียนการสอน สามารถจำเนื้อหาในบทเรียน ทำให้เกิด ความ


4 สนุกสนานขณะที่เรียน ทราบความก้าวหน้าของตนเอง สามารถนำทักษะที่ได้สร้างขึ้นมาทบทวนเนื้อหา เดิม ด้วยตนเอง นำมาวัดผลการเรียนหลังจากที่เรียนแล้วตลอดจนทราบข้อบกพร่องของนักเรียน และ นำไป ปรับปรุงการเรียนการสอนได้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง เพื่อให้นักเรียนมีการ พัฒนาบรรลุตรงตามวัตถุประสงค์ และสอดคล้องกับหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่กำหนดทำให้นักเรียนอ่านคำ และการสะกดคำได้ ถูกต้อง รวมถึงการประสมคำที่ มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ ส่งผลให้นักเรียนอ่านหนังสือได้ ถูกต้อง เรียนได้ตามปกติกับเพื่อนในระดับเดียวกัน เกิดประสิทธิภาพและต่อยอดในการเรียนรู้ในวิชา อื่นๆต่อไป วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาภาษาไทยก่อนและหลัง ภาษาไทย โดย ใช้หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 2. เพื่อศึกษาความพีงพอใจของนักเรียน ภาษาไทย ที่มีต่อ หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัว ทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ สมมติฐานการวิจัย 1. การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน และ การสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทองได้ 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทองมีการพัฒนาทักษะการอ่าน และ การ สะกดคำสูงกว่าก่อนได้รับการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ขอบเขตของการวิจัย กลุ่มเป้าหมายการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลังศึกษา ใน ปีการศึกษา 256 โรงเรียนบ้านบัวทอง จำนวน 8 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จากข้อมูล นักเรียน ที่มีปัญหาในการอ่านคำ และการสะกดคำได้ไม่ถูกต้อง รวมถึงการประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ ส่งผลให้นักเรียนอ่านหนังสือได้ไม่ถูกต้อง เรียนได้ช้ากว่าเพื่อนในระดับ เดียวกัน เกิดผล กระทบด้านการเรียนเป็นอย่างมาก ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน


5 ขอบเขตด้านเนื้อหา - การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ - ทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ขอบเขตด้านตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา - ตัวแปรต้น คือ การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ - ตัวแปรตาม คือ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ระยะเวลาที่ดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ดำเนินโดยใช้หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์สัปดาห์ละ 4 วัน โดยจัดกิจกรรม ใน จันทร์ วันอังคาร วันพุธ และวันศุกร์ วันละ 20 นาที เวลา ในช่วงวิชาภาษาไทย รวมทั้งสิ้น 16 ครั้ง ในระยะเวลา 1 เดือน นิยามศัพท์เฉพาะ ทักษะการอ่าน หมายถึง กระบวนการที่ผู้อ่านรับรู้สารซึ่งเป็นความรู้ ความคิด ความรู้สึก และ ความคิดเห็นที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร การที่ผู้อ่านจะเข้าใจสารได้มากน้อย เพียงไร ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถในการใช้ความคิด การสะกดคำ หมายถึง การเขียนคำที่มีพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และการส่งสารด้วยการ เขียน จะต้องเขียนสะกดคำให้ถูกต้องชัดเจน เพื่อจะได้สื่อสารให้เข้าใจกัน แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ หมายถึง วิธีที่บ่งบอกถึงขั้นตอนในการใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านสะกดคำ ในการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียน ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นเพื่อนำมาสอน นักเรียนเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนพัฒนาด้านการอ่านสะกดคำที่ดีขึ้น แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำที่ สร้าง มี่ทั้งหมด 11 ชุด โดย ชุดที่ 1 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ ก กา ชุดที่ 2 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กก ชุดที่ 3 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กด ชุดที่ 4 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กบ ชุดที่ 5 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กน ชุดที่ 6 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กม


6 ชุดที่ 7 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ กง ชุดที่ 8 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ เกย ชุดที่ 9 เรื่องมาตราตัวสะกดแม่ เกอว ชุดที่ 10 เรื่องสระเสียงสั้น ชุดที่ 11 เรื่องสระเสียงยาว กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม - การใช้หนังสื่อ บูกู บาฮาซา ชุด ที่นี่ บ้านบัวทอง - การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชา ภาษาไทย - ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบ ฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง มีการพัฒนาทักษะการอ่าน และ การ สะกดคำสูงขึ้น 2. เป็นแนวทางสำหรับครูและผู้ที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะการอ่าน และการ สะกดคำของนักเรียน โดยผ่านการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 3. เป็นแนวทางในการนำกิจแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำไปใช้ เพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่นๆ ของนักเรียนต่อไป


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้กรอบความคิดในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยนำเสนอผลการศึกษา ตามลำดับดังนี้ 1.หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ 2.1 ความสำคัญของทักษะการอ่าน และการสะกดคำ 2.2 จุดมุ่งหมายของการอ่าน และการสะกดคำ 2.3 องค์ประกอบของการอ่าน 2.4 ทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ 3. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 3.1 ความหมายของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 3.2 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 3.3 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5. กรอบแนวคิดในการวิจัย 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ทำไมต้อง เรียนภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ เสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความ เข้าใจและ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพ


8 ให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป เรียนรู้อะไรในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง • การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่างๆ การ อ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนำไป ปรับใช้ใน ชีวิตประจำวัน • การเขียน การเขียนสะกดคำตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบ ต่างๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่างๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ • การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่างๆ ทั้งเป็นทางการและ ไม่เป็น ทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ • หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้อง เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่างๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศใน ภาษาไทย • วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้อง เล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความ ซาบซึ้ง และภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหา ในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน


9 สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราว ในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่าง มีประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ ภาษาและพลังของ ภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2.แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ความสำคัญของทักษะการอ่าน และการสะกดคำ จุดมุ่งหมายของการอ่าน และการสะกดคำประโยชน์ของ การอ่าน และการสะกดคำ ทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ 2.1ความสำคัญของทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ทักษะการอ่าน และการสะกดคำ เป็นกระบวนการที่ผู้อ่านรับรู้สารซึ่งเป็นความรู้ ความคิด ความรู้สึก และ ความคิดเห็นที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งมีนักการศึกษาให้นิยามไว้ หลายท่าน ดังนี้ รัตนา ศิริพานิช (2550: 139-140) ได้ให้ความหมายว่า การอ่านทำให้ผู้อ่านได้พัฒนา ความคิด เนื่องจากการอ่านเป็นพฤติกรรมการรับสารที่มีความคิดเป็นแกนกลาง ขณะที่อ่านผู้อ่าน จะต้องใช้ สมองขบคิด พิจารณา ค้นหาความหมาย และทำความเข้าใจข้อความที่อ่านไปตามระดับ 7 ความสามารถ


10 การอ่านนี้เป็นผลมาจากการฝึกสมองขณะที่อ่าน ทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิด ผู้ที่ อ่านหนังสือมากจึง มักเป็นปราชญ์หรือนักคิด การอ่านหนังสือจึงทำให้ผู้อ่านได้พัฒนาการใช้จินตนาการ เพราะการอ่านทำให้ ผู้อ่านได้ใช้ความคิดอย่างอิสระสามารถสร้างภาพในใจของตนเองโดย การตีความจากภาษาของผู้เขียน ดังนั้นแม้จะอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน แต่ผู้อ่านก็อาจมีภาพในใจที่ แตกต่างกันไปตามจินตนาการของแต่ละ คน จารุดี ผโลประการ (2555: 6) ได้ให้ความหมายว่า ของคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือหรือไม่มี นิสัย รักการอ่านจะเป็นสิ่งบั่นทอนความก้าวหน้าทางด้านวัตถุและจิตใจ สวัสดิ์ เรืองวิเศษ (2558: 5) ได้ให้ความหมายว่า การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เด็ก จะ ส่งเสริมให้เด็กเป็นคนดีพร้อมทั้งทางกาย วาจา ใจ และสติปัญญา อันประกอบด้วยมีความรู้ดี ความ ประพฤติดี มีพลานามัยสมบูรณ์ดี สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง และนำความรู้นั้นไปใช้ประโยชน์ ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ ตลอดจนมนุษยชาติทั้งมวล ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2559: 19) ได้ให้ความหมายว่า การอ่านควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เพราะ เมื่อเด็กรักการอ่านตั้งแต่เล็กๆ แล้ว เวลาที่เติบโตขึ้นนิสัยรักการอ่านจะติดตัวต่อไปเรื่อยๆ เป็นผลดี ต่อ การเรียนและการปรับปรุงตัวให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมของเด็กได้เป็นอย่างดี ปิยรัตน์ กลอนดอน (2559: 7) ได้กล่าวว่า การอ่านคือ การสร้างความหมายจากภาพ สัญลักษณ์โดยอาศัยความรู้ ประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน และสิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบ ความหมายที่อ่าน อัจฉรา นาคทรัพย์ (2559: 28) ได้กล่าวถึงความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็น กระบวนการทางสมองที่มีการแปลความหมายของตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่มองเห็นโดยผ่าน กระบวนการ คิด เกิดเข้าใจและถ่ายทอดออกมาเป็นถ้อยคำที่มีความหมาย สื่อได้ตรงกันระหว่างผู้อ่าน และผู้เขียน สิริมณี บรรจง (2559) ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการอ่านว่า การอ่านเป็น กระบวนการ ค้นหาความหมายจากตัวอักษร หรือค าที่ถูกจัดรวบรวมอยู่บนหน้ากระดาษเพื่อสื่อ ความหมายที่ต้องการ แสดงออก โดยประการแรกผู้อ่านจะรับรู้สัญลักษณ์หรือตัวอักษรทาง สายตาหลังจากนั้นก็จะค้นหา ความหมายหรือทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์นั้น ความหมายของ การอ่าน มีในหลายด้าน ดังนี้ 1. การอ่านเป็นการแปลสัญลักษณ์ออกมาเป็นคำพูดโดยการผสมเสียง เพื่อใช้ในการ ออกเสียงให้ตรงกับคำพูด การอ่านแบบนี้มุ่งให้สะกดตัวผสมคำอ่านเป็นคำๆ ไม่ สามารถใช้สื่อความโดยการ ฟังได้ทันที เป็นการอ่านเพื่ออ่านออก มุ่งให้อ่านหนังสือแตกฉาน เท่านั้น


11 2. การอ่านเป็นการใช้ความหมายในการผสมผสานของตัวอักษร ออก เสียงเป็นคำ หรือเป็นประโยคทำให้เข้าใจความหมายในการสื่อความโดยการอ่าน หรือฟังผู้อื่น อ่านแล้วรู้เรื่อง เราเรียกว่า อ่านได้ ซึ่งมุ่งให้อ่านแล้วรู้เรื่องที่อ่าน 3. การอ่านเป็นการสื่อความหมายที่จะถ่ายโยงความคิดความรู้จากผู้เขียน ถึงผู้อ่าน การอ่านลักษณะนี้เรียกว่า อ่านเป็น ผู้อ่านย่อมเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียน โดย อ่านแล้วสามารถ ประเมินผลของสิ่งที่อ่านได้ด้วย 4. การอ่านเป็นการพัฒนาความคิด โดยที่ผู้อ่านต้องใช้ความสามารถ หลายๆด้าน เช่น ใช้การสังเกตจากรูปคำ ใช้สติปัญญาและประสบการณ์เดิมในการแปลความ 5. หรือถอดความให้เกิดความเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านได้ดีโดยวิธีการอ่านแบบ นี้จะต้อง ดำเนินการเป็นขั้นตอนและต่อเนื่องแล้วสามารถเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านและนำผลของสิ่งที่ ได้จากการอ่านมาเป็นแนวคิด แนวปฏิบัติได้เราเรียกว่า อ่านเป็น จากความสำคัญของทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ตามที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า ความสำคัญของทักษะการอ่าน และการสะกดคำ หมายถึง การอ่านนี้เป็นผลมาจากการฝึกสมอง ขณะที่ อ่าน ทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิด ผู้ที่อ่านหนังสือมากจึงมักเป็นปราชญ์หรือนักคิด การ อ่านหนังสือจึง ทำให้ผู้อ่านได้พัฒนาการใช้จินตนาการ เพราะการอ่านทำให้ผู้อ่านได้ใช้ความคิดอย่าง อิสระสามารถสร้าง ภาพในใจของตนเองโดยการตีความจากภาษาของผู้เขียน 2.2 จุดมุ่งหมายของการอ่าน และการสะกดคำ จุดมุ่งหมายของการอ่าน และการสะกดคำ มีหลายจุดประสงค์ด้วยกัน มีนักวิชาการ ได้ ศึกษา จุดมุ่งหมายของการอ่าน และการสะกดคำ เอาไว้ต่างๆดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 9) ได้กล่าวจุดมุ่งหมายของการอ่าน และการสะกดคำ ไว้ดังน 1. อ่านเพื่อความรู้ ได้แก่ การอ่านจากหนังสือตำราทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การ วิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ ควรอ่านอย่างหลากหลาย เพราะความรู้ใน วิชา หนึ่ง อาจนำไปช่วยเสริมในอีกวิชาหนึ่งได้ 2. อ่านเพื่อความบันเทิงได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทสารคดีท่องเที่ยว นวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล การ์ตูน บทประพันธ์ บทเพลง แม้จะเป็นการอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ผู้อ่านจะ ได้ความรู้ ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องด้วย 3. อ่านเพื่อทราบข่าวสารความคิด ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทบทความ บท วิจารณ์ ข่าว รายงานการประชุม ถ้าจะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต้องเลือกอ่านให้หลากหลาย ไม่เจาะจง


12 อ่านเฉพาะสื่อ ที่นำเสนอตรงกับความคิดของตน เพราะจะทำให้ได้มุมมอง ที่กว้างขึ้น ช่วย ให้มีเหตุผลอื่น ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ได้หลายมุมมองมากขึ้น 4. อ่านเพื่อจุดประสงค์เฉพาะทางแต่ละครั้ง ได้แก่ การอ่านที่ไม่ได้เจาะจง แต่เป็น การ อ่านในเรื่องที่ตนสนใจ หรืออยากรู้ เช่น การอ่านประกาศต่าง ๆ การอ่านโฆษณา แผ่นพับ ประชาสัมพันธ์ สลากยา ข่าวสังคม ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา การอ่านประเภทนี้มักใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่เป็นการอ่านเพื่อให้ ได้ความรู้และนำไปใช้ หรือนำไปเป็นหัวข้อสนทนา เชื่อมโยงการอ่าน สู่ การวิเคราะห์ และคิดวิเคราะห์ บางครั้งก็อ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน สุขุม เฉลยทรัพย์ (2550: 26) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการอ่าน และการสะกดคำ ไว้ดังนี้ 1. การอ่านเพื่อความรู้ ได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทตารา สารคดี วารสาร หนังสือพิมพ์และข้อความต่าง ๆ เพื่อให้ทราบเรื่องราวอันเป็นข้อความรู้ หรือเหตุการณ์บ้านเมือง การอ่าน เพื่อ ความรอบรู้เป็นการอ่านที่จำเป็นที่สุดสาหรับครู เพราะความรู้ต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมอยู่ทุก ขณะ แม้จะได้ศึกษามามากจากสถาบันการศึกษาระดับสูง ก็ยังมีสิ่งที่ยังไม่รู้และต้องค้นคว้าเพิ่มเติมให้ทัน ต่อความก้าวหน้าของโลกข้อความรู้ต่าง ๆ อาจมิได้ปรากฏชัดเจนในตาราง แต่แทรกอยู่ในหนังสือ ประเภท ต่าง ๆแม้ในหนังสือประเภทบันเทิงคดีก็จะให้เกร็ดความรู้ควบคู่กับความบันเทิงเสมอ 2. การอ่านเพื่อความคิดแนวความคิดทางปรัชญา วัฒนธรรม จริยธรรม และความ คิดเห็น ทั่วไป มักแทรกอยู่ในหนังสือแทบทุกประเภท มิใช่หนังสือประเภทปรัชญา หรือจริยธรรมโดยตรง เท่านั้น การศึกษาแนวคิดของผู้อื่น เป็นแนวทางความคิดของตนเองและอาจนำมาเป็นแนวปฏิบัติใน การ ดำเนินชีวิตหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตผู้อ่านจะต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกนำความคิดที่ได้อ่านมาใช้ ให้เป็นประโยชน์ในบางเรื่องผู้อ่านอาจเสนอความคิดโดยยกตัวอย่างคนที่มีความคิดผิดพลาด 9 เพื่อเป็น อุทาหรณ์ให้ผู้อ่านได้ความยั้งคิด เช่น เรื่องพระลอแสดงความรักอันฝืนทานองคลองธรรมจึง ต้องประสบ เคราะห์กรรมในที่สุดผู้อ่านที่ขาดวิจารณญาณมีความคิดเป็นเรื่องจูงใจให้คนทำความผิด นับว่าขาด ประโยชน์ทางความคิดที่ควรได้ไปอย่างน่าเสียดายการอ่านประเภทนี้จึงต้องอาศัยการศึกษา และการชี้แนะ ที่ถูกต้องจากผู้มีประสบการณ์ในการอ่านมากกว่าครูจึงต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านเพื่อความคิดของ ตนเองและเพื่อชี้แนะหรือสนับสนุนนักเรียนให้พัฒนาการอ่านประเภทน 3. การอ่านเพื่อความบันเทิงเป็นการอ่านเพื่อฆ่าเวลา เช่น ระหว่างที่คอยบุคคลที่นัด หมาย คอยเวลารถไฟออก เป็นต้น หรืออ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดีในเวลาว่าง บางคนที่มีนิสัยรักการ อ่าน หากรู้สึกเครียดจากการอ่านหนังสือเพื่อความรู้ อาจอ่านหนังสือประเภทเบาสมองเพื่อการพักผ่อน หนังสือประเภทที่สนองจุดประสงค์ของการอ่านประเภทนี้มีจานวนมาก เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย การ์ตูน


13 วรรณคดีประเทืองอารมณ์เป็นต้นจุดประสงค์ในการอ่านทั้ง 3 ประการดังกล่าว อาจรวมอยู่ใน การอ่านครั้ง เดียวกันก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องแยกจากกันอย่างชัดเจน 4. คุณค่าของการอ่าน ในการส่งเสริมการอ่าน ครูควรชี้ให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการ อ่าน ซึ่ง จะเป็นแนวทางในการเลือกหนังสือด้วย คุณค่าดังกล่าวมามีดังนี้ 1) คุณค่าทางอารมณ์หนังสือที่ให้คุณค่าทางอารมณ์ ได้แก่ วรรณคดีที่มีความ งามทั้งถ้อยคำ น้ำเสียง ลีลาในการประพันธ์ ตลอดจนความงามในเนื้อหา อาจเรียกได้ว่ามี “รส” วรรณคดี ซึ่งตาราง สันสกฤต กล่าวว่า มีรส 9 รส คือ 1.1) รสแห่งความรักหรือความยินดี 1.2) รสแห่งความรื่นเริง 1.3) รสแห่งความสงสาร 1.4) รสแห่งความเกรี้ยวกราด 1.5) รสแห่งความกล้าหาญ 1.6) รสแห่งความน่ากลัวหรือทุกขเวทนา 1.7) รสแห่งความเกลียดชัง 1.8) รสแห่งความประหลาดใจ 1.9) รสแห่งความสงบสันติในวรรณคดีไทยก็แบ่งเป็น 4 รส คือ 1.9.1) เสาวจนี การชมความงาม 1.9.2) นารีปราโมทย์การแสดงความรัก 1.9.3) พิโรธวาทัง การแสดงความโกธรแค้น 1.9.4) สัลลาปังคพิไสย การคร่าครวญ หลายท่านคงเคยได้ศึกษามาแล้ว หนังสือที่มิใช่ตาราวิชาการโดยตรง มักแทรกอารมณ์ ไว้ด้วย ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้เพื่อให้น่าอ่านและสนองอารมณ์ของผู้อ่านในด้านต่าง ๆ 2) คุณค่าทางสติปัญญาหนังสือดีย่อมให้คุณค่าทางด้านสติปัญญา อันได้แก่ ความรู้และ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ มิใช่ความคิดในเชิงทำลายความรู้ในที่นี้นอกจากความรู้ทางวิชาการแล้ว ยัง รวมถึงความรู้ทางการเมือง สังคม ภาษา และสิ่งต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านเสมอ แม้จะหยิบ หนังสือมาอ่านเพียง 2-3 นาทีผู้อ่านก็จะได้รับคุณค่าทางสติปัญญาไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งหนังสืออาจจะ ปรากฏในรูปของเศษกระดาษถุงกระดาษ แต่ก็จะ “ให้ ” บางสิ่งบางอย่างแก่ผู้อ่านบางครั้งอาจช่วย


14 แก้ปัญหาที่คิดไม่ตกมาเป็นเวลานานทั้งนี้ย่อมสุดแต่วิจารณญาณและพื้นฐานของผู้อ่านด้วยบางคน อาจมอง ผ่านไปโดยไม่สนใจแต่บางคนอาจมองลึกลงไปเห็นคุณค่าของหนังสือนั้นเป็นอย่างยิ่งคุณค่า ทางสติปัญญาจึง มิใช่ขึ้นอยู่กับหนังสือเท่านั้น หากขึ้นอยู่กับผู้อ่านด้วย 3) คุณค่าทางสังคม การอ่านเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาแต่เป็น โบราณกาล หาก มนุษย์ ไม่มีนิสัยในการอ่าน วัฒนธรรมคงสูญสิ้นไป ไม่สืบทอดมาจนบัดนี้ วัฒนธรรมทาง ภาษา การเมือง การประกอบอาชีพ การศึกษา กฎหมาย ฯลฯ เหล่านี้อาศัยหนังสือและการอ่านเป็น เครื่องมือในการเผยแพร่และพัฒนาให้คุณค่าแก่สังคมนานัปการ หนังสืออาจทำให้การเมือง เปลี่ยนแปลงไป ได้หากมีคนอ่านเป็นจานวนมาก หนังสือและผู้อ่าน จึงอาศัยกันและกันเป็นเครื่องสืบ ทอดวัฒนธรรมของ มนุษย์ในสังคมที่เจริญแล้ว จะเห็นได้ว่า ในกลุ่มคนที่ไม่มีภาษาเขียน ไม่มีหนังสือไม่ มีการอ่านวัฒนธรรมของ สังคมนั้นมักล้าหลัง ปราศจากการพัฒนา การอ่านจึงให้คุณค่าทางสังคมใน ทุกด้าน ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2555: 19) ได้กล่าวว่า การสร้างเสริมการอ่านควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเมื่อเด็กรักการอ่านตั้งแต่เล็กๆ แล้ว เวลาที่เติบโตขึ้นนิสัยรักการอ่านจะติดตัวต่อไปเรื่อยๆ เป็น ผลดี ต่อการเรียนและการปรับปรุงตัวให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมของเด็กได้เป็นอย่างดี สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการอ่าน และการสะกดคำ มีดังนี้ อ่านเพื่อความรู้ อ่านเพื่อความ บันเทิง อ่านเพื่อทราบข่าวสารความคิด อ่านเพื่อจุดประสงค์เฉพาะทางแต่ละครั้ง 2.3 องค์ประกอบของการอ่าน การอ่านของเด็กขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่าง ดังที่ กู๊ดแมน (มยุรี กันทะลือ. 2556:12; อ้างอิงจาก Goodman. 1971: 25 – 27) กล่าวไว้ ดังนี้ 1. ความรู้ทางภาษา (linguistic Knowledge) โดยในระยะแรกผู้อ่านจะเรียนรู้ ความสัมพันธ์เกี่ยวกับตัวอักษรและความหมายของคำ ต่อมาเมื่อผู้อ่านมีประสบการณ์ในการอ่านมากขึ้นก็ จะ สามารถอ่านเพื่อความเข้าใจได้มากขึ้น 2. ประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อ่าน (Schema) ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับ เนื้อหาและ ความรู้เดิมที่ผู้อ่านมีอยู่ 3. ความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องหรืองานเขียนนั้น (Conceptual or Semantic Completeness) ผู้อ่านจะไม่เข้าใจสิ่งที่อ่าน หากเนื้อเรื่องนั้นมีเนื้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ยกเว้นใน กรณีที่มี ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่อ่านมาก่อน


15 4. ความสามารถในการวิเคราะห์โครงสร้างของงานเขียนนั้น (Text Schema) งานเขียนแต่ ละชิ้นมีลักษณะและโครงสร้างที่แตกต่างกัน และยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อตลอดจน วัฒนธรรมของ ผู้เขียนด้วย ดังนั้น หากงานเขียนเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากวัฒนธรรมและประสบการณ์ เดิมของ ผู้อ่าน การอ่านก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์ (2556: 38) ได้กล่าวว่าองค์ประกอบของการอ่านไว้ดังนี้ การจำแนกความแตกต่าง และความเหมือนด้วยตา หมายถึง การที่เด็กจำเป็นต้อง รู้จักการ สังเกตเห็นความเหมือน และความแตกต่างกันของรูปทรงของวัตถุ รูปภาพ คำที่เขียนเป็น สัญลักษณ์ความสามารถในการอ่านขึ้นอยู่กับความสามารถในการเห็น ความแตกต่างระหว่างคำที่อ่านกับ คำอื่นๆ เด็กจะสามารถเห็นภาพความแตกต่างของคำได้ดีกว่าเห็นความเหมือน ควบคู่กับการเห็นภาพของ คำ นั้นๆ ด้วย การจำแนกเสียงที่คล้ายคลึงกันจากการฟัง หมายถึง ความสามารถในการจำแนก เสียงช่วยให้การอ่านเป็นไปอย่างถูกต้อง และสามารถในการจำแนกเสียงนั้น สามารถพัฒนาได้โดยการ ฝึกฝน สิ่ง สำคัญคือมิใช่ฝึกฝน โดยการให้เด็กฟังแต่เสียงอย่างเดียว ควรให้เด็กได้ฟังเสียงควบคู่กันกับการ เห็น ภาพของคำนั้นๆ ด้วยความสามารถในการฟังเรื่องราวต่างๆ หมายถึง การฝึกให้เด็กรู้จักคิดหาเหตุผล โดยครูตั้งคำถามประเภททำไม รู้สึกอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป หรือเรื่องนี้ให้ความรู้ข้อคิดอะไรแก่ เรา บ้าง การเรียนรู้คำศัพท์ หมายถึง การเรียนรู้คำศัพท์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป จะช่วยให้เด็กมี ความพร้อม ในการอ่านมากขึ้น และถ้าต้องการให้การอ่านประสบความสำเร็จด้วยดี และนำความคิดจาก การอ่าน ไปใช้ให้เด็กเข้าใจความหมายของคำศัพท์ใหม่ๆ ให้มากการสร้างความสนใจในการอ่านหมายถึง การ สร้างความสนใจเป็นสิ่งที่จะต้องทำตั้งแต่อยู่บ้าน และต่อเนื่องมาถึงโรงเรียน เช่น การอ่าน การวาด ภาพ การเล่านิทาน เป็นต้น การสร้างความคิดรวบยอด หมายถึง เด็กเรียนรู้ในการความคิดรวบยอดจาก ประสบการณ์และลึกซึ้งกว้างขวางของประสบการณ์ มีการสร้างความสามารถในการคิดถึงคำนั้นๆใน ลักษณะของ นามธรรมเป็นพัฒนาการในการเข้าใจความสามารถในขั้นแรก เด็กสามารถจำแนกสิ่งของอย่าง หนึ่ง ออกจากสิ่งของอื่นได้ เมื่อเด็กมีความชำนาญมากขึ้น เด็กจะมีการรับรู้เฉียบคมกว้างขวางและมีความ ซับซ้อนยิ่งขึ้น เด็กสามารถเข้าใจลักษณะที่สำคัญและไม่สำคัญของสิ่งต่างๆในสิ่งแวดล้อมของตน เด็ก จะ


16 สามารถใช้ประสบการณ์ของตน ในการสร้างความคิดรวบยอดซึ่งเริ่มด้วยการเข้าใจสิ่งที่เป็น นามธรรม จนกระทั่งสามารถจัดกลุ่มของสิ่งต่างๆ ได้ และในที่สุดสามารถจำแนกประเภทได้ การเขียน หมายถึง การใช้สายตามองตัวอักษรจากซ้ายไปขวา บนลงล่างตามลำดับ ฉะนั้นการฝึกความสามารถทางการเขียนจึงเกี่ยวกับการอ่าน การฝึกการเขียนตัวอักษรทำให้เพิ่มทักษะการ อ่าน ได้เร็วขึ้น เนื่องจากเด็กได้เห็นความแตกต่างของตัวอักษร แต่ละตัวได้อย่างชัดเจน พนัส สุขหนองบึง (2557: 32) ได้เสนอองค์ประกอบในการอ่าน ดังนี้ 1. ความสามารถในการแยกสิ่งที่ได้ยินเป็นการเข้าใจและสามารถใช้ภาษาพูดได้ อย่างถูกต้อง แยกคำพูดที่แตกต่างกันได้สามารถแยกด้วยคำ และออกเสียงในการอ่านปากเปล่าได้ 2. ความสามารถทางความคิดและความจำความสามารถในการใช้ และเข้าใจเหตุผล รู้จัก เชื่อมโยงความคิดให้มีความหมาย เข้าใจความหมายของประโยคและรูปร่างของคำได้ 3. ความสามารถทางสายตาความสามารถในการแยกคำที่คล้ายคลึงกัน และ มองเห็นความ แตกต่างของคำนั้นๆ ความสนใจความสามารถที่นั่งนิ่ง จับสายตาไปตามสิ่งที่อ่าน เคลื่อนไหว สายตาได้ตามสมควร จึงมีสมาธิในการอ่าน การฟัง และการทำตามคำสั่งดได้ สนิท ฉิมเล็ก (2557: 150) ได้สรุปองค์ประกอบทางการอ่านของเด็กได้ดังนี้ 1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย 1.1 สายตา 1.2 ปาก 1.3 หู 2. องค์ประกอบทางด้านจิตใจ 2.1 ความต้องการ 2.2 ความสนใจ 2.3 ความศรัทธา 3. องค์ประกอบทางด้านสติปัญญา 3.1 ความสามารถในการรับรู้ 3.2 ความสามารถในการนำประสบการณ์เดิมไปใช้ 3.3 ความสามารถในการใช้ภาษาให้ถูกต้อง 3.4 ความสามารถในการเรียน 4. องค์ประกอบทางประสบการณ์พื้นฐาน


17 5. องค์ประกอบทางวุฒิภาวะ อารมณ์ แรงจูงใจและบุคลิกภาพ 6. องค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อม สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการอ่านประกอบด้วยการจำแนกความแตกต่างการสังเกตด้วยตา และจำแนกเสียงจากการฟัง การเรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ ที่คุ้นเคยจนเข้าใจความหมายของคำจากนั้นเด็ก จะ สร้างความคิดรวบยอดจากประสบการณ์ที่เรียนรู้ เพื่อเกิดความเข้าใจยิ่งขึ้นในลักษณะของ นามธรรม หรือ การแปลความหมายของคำออกจากสัญลักษณ์ได้ 2.4 ทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะการอ่าน และการสะกดคำมีนักการศึกษาให้นิยามไว้หลายท่าน ดังนี้ โคเครน และคณะ (Cocrana and others อ้างถึงใน บังอร พานทอง 2557 : 24-25) ได้กล่าวถึงพัฒนาการ ของเด็กไว้ดังนี้ 1) ขั้นที่จะสามารถอ่านได้ด้วยตนเองจนอิสระการเรียนรู้การอ่านในขั้นนี้จะเป็นการ เรียนรู้เบื้องต้นถึงความสัมพันธ์ของตนเองกับหนังสือ ว่าหนังสือนั้นคืออะไร และควรปฏิบัติต่อหนังสือนั้น อย่างไร ในขั้นนี้ เด็กจะไม่สามารถอ่านหรือทาความเข้าใจกับหนังสือด้วยตนเอง จะต้องมีผู้อื่นเข้ามา ช่วย สามารถแยกย่อยได้ 3 ระยะคือ 1.1) ระยะเริ่มเรียนรู้ เป็นขั้นตอนเริ่มต้นตั้งแต่เกิด ซึ่งเด็กจะยังไม่รู้หนังสือ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ ว่าคืออะไร แต่จะเรียนรู้ขึ้นทีละน้อยจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อม ว่าการถือ หนังสือควรถือ อย่างไร แม้จะเริ่มจากการกลับหัวกลับท้ายก็ตาม 1.2) ระยะที่เด็กมีความรู้สึกเหมือนตนเองเป็นผู้อ่าน ในขั้นนี้ เด็กโดยทั่วไป อายุประมาณ 2 ปีคือ ถือหนังสือได้ถูกทิศทาง ทราบว่าควรอ่านจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง เปิดหนังสือ จากหน้าแรก ไปหน้าสุดท้าย เด็กเริ่มให้ความสนใจรูปภาพ และสนใจความหมายของภาพต่างๆ 1.3) ระยะที่เด็กเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษร เด็กจะเริ่มมีความสามารถใน การทำความเข้าใจ เกี่ยวกับตัวอักษรและเสียงต่างๆ ตลอดจนการนาไปใช้ในการอ่าน เริ่มรู้จักคำและนำคำ บางคำไปใช้ได้เป็นพิเศษ เช่น ชื่อตัวเอง และคาที่พบบ่อยๆ เด็กจะเรียนรู้และทราบความหมาย ตลอดจน สามารถนา ไปใช้ได้อย่างถูกต้องก่อนคำอื่นๆ 2) ขั้นสามารถอ่านด้วยตนเองได้อย่างอิสระในขั้นนี้เด็กจะมีความรู้เกี่ยวกับตัวอักษร เสียง และระบบภาษามากขึ้น ทราบความหมายของคำและสามารถอ่านคาง่ายๆ ในหนังสือที่ไม่เคยอ่านมา


18 ก่อน เริ่มเกิดความมั่นใจในการที่จะนำความสามารถทั้งหมดในการอ่านมาใช้เพื่ออ่านในสิ่งที่ตน ต้องการจะ อ่าน ในขั้นนี้ สามารถแบ่งย่อยเป็น 3 ระยะ 2.1) ระยะที่มีความมั่นใจ ในการนำตัวบ่งชี้ในระบบภาษาต่างๆ มาใช้ร่วมกันใน กระบวนการ อ่าน เริ่มมีความอยากอ่านมากขึ้น อยากอ่านให้ผู้อื่นฟังทุกครั้งที่มีโอกาส มีความสามารถ เข้าใจคาๆ หนึ่ง ซึ่งใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ได้ ระยะนี้จะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ จากนั้นเด็กก็จะสามารถอ่านได้ อย่าง เป็นธรรมชาต 2.2) ระยะที่เด็กจะมีความสามารถในการอ่านอย่างอิสระมากขึ้น สามารถอ่านได้ ด้วยตนเอง และสนใจที่จะอ่านเพื่อความพอใจของตนเองมากกว่าที่จะอ่านให้ผู้อื่นฟังเหมือนในระยะที่ผ่าน มา 2.3) ระยะที่มีทักษะการอ่าน เด็กที่มีการพัฒนามาถึงระยะนี้ จะเป็นผู้ที่มี ความสามารถใน การอ่าน ระดับที่เลือกสิ่งที่ต้องการอ่านได้ด้วยตนเอง โดยมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ ส่วนตัวที่ต้องการค้นหาความรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่ตนสนใจขั้นตอนความสามารถในการอ่านของเด็กมักจะผ่าน เป็น ลาดับขั้น ดังที่กล่าวข้างต้น บางคนอาจจะพัฒนาไปตามลาดับอย่างราบรื่น แต่บางคนอาจจะใช้เวลา ยาวนานในบางขั้นตอน หรือใช้เวลาสั้นกว่าผู้อื่นในบางขั้นตอน แต่สามารถผ่านไปได้ด้วยดีตามลำดับ แต่บาง คนอาจจะเกิดปัญหาไม่สามารถผ่านขั้นตอนการพัฒนาการอ่านไปได้ จะต้องได้รับการช่วย ปรับปรุงชี้แนะ จึงสามารถประสบความสำเร็จ ข้อบกพร่องของผู้อ่านกลุ่มนี้มักเกิดจาก 1) ไม่สามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องตามตัวอักษรที่ปรากฏ จะต้องได้รับ ความสนใจรูปภาพ ประกอบมากกว่าและเล่าเรื่องตามจินตนาการภาพ 2) มีพฤติกรรมตรงข้ามกับกลุ่มแรก จะเป็นผู้เน้นด้านการออกเสียงของ พยัญชนะหรือคำ ต่างๆให้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด ทั้งที่บางครั้งก็ไม่ทราบความหมาย 3) ไม่เกิดความสนใจ ไม่เห็นความสำคัญของการอ่านว่าเป็นบันไดสู่ ความรู้ต่างๆ ของตนในอนาคต จะพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอ่านนั้นๆ บรูเนอร์ (Bruner. pp. 1956 อ้างถึงใน จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ (2558) กล่าวโดยเชื่อว่า พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการภายในอินทรีย์ (Organism) เน้นความสาคัญ ของ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็กซึ่งจะพัฒนาได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์และ สิ่งแวดล้อม รอบตัวเด็ก และชี้ให้เห็นว่าการศึกษาว่าเด็กเรียนรู้อย่างไร ควรศึกษาตัวเด็กในชั้นเรียนไม่ ควรใช้หนูและ นกพิราบ ทฤษฎีของบรูเนอร์เน้นหลักการ กระบวนการคิด ซึ่งประกอบด้วยลักษณะ 4 ข้อ คือแรงจูงใจ


19 (Motivation) โครงสร้าง (Structre) ลำดับขั้นความต่อเนื่อง (Sequence) และการ เสริมแรง (Reinforcement) สำหรับในหลักการที่เป็นโครงสร้างของความรู้ของมนุษย์ บรูเนอร์แบ่ง ขั้นพัฒนาการคิด ในการเรียนรู้ของมนุษย์ออกเป็น 3 ขั้นด้วยกัน ซึ่งคล้ายคลึงกับขั้นพัฒนาการทาง สติปัญญาของเพียเจต์ ได้แก่ 1. ขั้นการกระทำ (Enactive Stage) เด็กเรียนรู้จากการกระทำ และการสัมผัส 2. ขั้นคิดจินตนาการหรือสร้างมโนภาพ (Piconic Stage) เด็กเกิดความคิดจากการรับรู้ ตาม ความเป็นจริง และการคิดจากจินตนาการด้วย 3. ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด (Symbolic Stage) เด็กเริ่มเข้าใจเรียนรู้ความสัมพันธ์ ของสิ่งต่างๆ รอบตัวและพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็น จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า พัฒนาการทางการอ่าน ดำเนินไปตามขั้นตอนในแต่ละช่วง ครูและผู้ที่ เกี่ยวข้องต้องมีความรู้จะช่วยให้สามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการทางการอ่านได้อย่าง 15 เหมาะสม โดยเฉพาะการรู้จักสังเกตตัวอักษร เสียง มีความมั่นใจในการอ่านอิสระ เข้าใจความหมาย ของคำอย่างง่ายๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการอ่านต่อไป 3.แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 3.1ความหมายของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ แบบฝึกทักษะในภาษาไทยได้มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปหลายอย่าง เช่น ชุดการฝึก ชุด แบบฝึก แบบฝึกทักษะ และแบบฝึกหัด เป็นต้น ซึ่งได้มีผู้ให้ความหมายเกี่ยวกับแบบฝึกทักษะไว้ดังันี้ สุกิจ ศรีพรหม (2556 : 68) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง การนำสื่อ ประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์ของวิชามาใช้ในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ถวัลย์ มาศจรัส (2546 : 18) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง กิจกรรมพัฒ นาทักษะการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม มีความหลากหลาย และประมาณเพียงพอที่ สามารถตรวจสอบ และพัฒนาทักษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้สามารถนาผู้เรียนไปสู่การสรุป ความคิดรวบยอด และหลักการสำคัญของสาระการเรียนรู้รวมทั้งทำให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจ ในบทเรียนด้วยตนเองได้ จิรเดช เหมือนสมาน (2551 : 8) ได้สรุปความหมายของ แบบฝึกทักษะว่า ป็นงานหรือ กิจกรรมที่ครูผู้สอนมอบหมายให้นักเรียนทำเพื่อฝึกทักษะการคิด-กระบวนการเรียนรู้ และทบทวนความรู้ที่


20 ได้เรียนไป แล้วให้เกิดความชำนาญ ถูกต้อง คล่องแคล่ว จนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปแก้ปัญหาได้โดย อัตโนมัติ ดังนั้น สรุปได้ว่าแบบฝึกทักษะเป็นการที่ครูผู้สอนได้สร้างขึ้นมาเพื่อนำมาใช้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากยิ่งขึ้น 3.2 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ แบบฝึกทักษะมีประโยชน์เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางภาษา และ สามารถที่จะทบทวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังที่ บุญชม ศรีสะอาด (2552 : 180) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของ ชุดแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. ทำให้เข้าใจบทเรียนดียิ่งขึ้น 2. ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนอันเป็นแนวทางในการ ปรับปรุงการเรียนการสอนต่อไป ตลอดจนสามารถช่วยให้นักเรียนได้ดีที่สุดตามความสามารถของเขาด้วย 3. ฝึกให้นักเรียนมีความเชื่อมั่น และสามารถประเมินผลงานของเขาได้ 4. ช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน 5. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากเรียนบทเรียนแล้ว 6. ช่วยให้เด็กสามารถทบทวนได้ด้วยตนเอง 7. ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ชัดเจน 8. ช่วยให้นักเรียนฝึกฝนได้เต็มที่ นอกเหนือจากที่เรียนในบทเรียน ดังนั้นจะเห็นได้ ว่า การใช้แบบฝึกในการช่วยเสริมให้นักเรียนจะทำให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องที่เรียนได้มากขึ้น และ นักเรียนให้ความสนใจและปฏิบติกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีขึ้น 3.3 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงการสร้างแบบฝึกคือขั้นตอนและหลักในการสร้างซึ่ง ซีลและก ลาสโลว์(Seel&Glasgow,1990) ได้เสนอแนะไว้ว่า ในการจัดสถานการณ์ทางการเรียน การสอนนั้นสามารถ กำหนดขอบเขตเนื้อหาจากหลักสูตร โดยกำหนดจากหน่วยการเรียนย่อยๆ ไปสู่หน่วยการเรียนใหญ่ แต่ อย่างไรก็ตามในการออกแบบการสอนหรือการสร้างแบบฝึกควรคำนึงถึงองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. เนื้อหาที่คัดเลือกมาสร้างแบบฝึกต้องอิงจุดประสงค์รายวิชา 2. กลวิธีที่ใช้ในการสอนต้องอิงทฤษฎีและผลการวิจัยที่มีผู้ทำไว้แล้ว


21 3. การวัดต้องอิงพฤติกรรมการเรียนรู้ 4. รู้จักนำเทคโนโลยีมาใช้ประกอบเพื่อให้แบบฝึกมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า นอกจากนี้ บ็อค (Bock,1993) ได้เสนอหลักในการสร้างแบบฝึกดังนี้ 1. ก่อนที่จะสร้างแบบฝึกจะต้องกำหนดโครงร่างคร่าวๆ ก่อนว่าจะเขียน แบบฝึกเกี่ยวกับเรื่องอะไร มีจุดประสงค์อย่างไร 2. ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะใช้สร้างแบบฝึก 3. เขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและเนื้อหาให้สอดคล้องกัน 4. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมออกเป็นกิจกรรมย่อย โดยคำนึงถึงความ เหมาะสมของผู้เรียน และเรียงกิจกรรมหรืองานที่นักเรียนต้องปฏิบัติจากง่ายไปหายาก 5. กำหนดอุปกรณ์ที่จะใช้ในแต่ละตอนให้เหมาะสมกับแบบฝึก 6. กำหนดเวลาที่จะใช้ในแบบฝึกแต่ละตอนให้เหมาะสม 7. ควรประเมินผลก่อนและหลัง ฮาเรส (Haress อ้างถึงใน อังศุมาลิน เพิ่มผล, 2542) ได้กล่าวถึงหลักการสร้างแบบฝึกว่า แบบฝึก จะต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้เรียน และควรสร้างโดยอาศัยหลักจิตวิทยาใน การแก้ปัญหาและการ ตอบสนองไว้ดังนี้ 1. สร้างแบบฝึกหลายๆ ชนิด เพื่อเร้าให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ 2. แบบฝึกที่สร้างขึ้นนั้นจะต้องให้ผู้เรียนสามารถพิจารณาได้ว่าต้องการให้ผู้เรียน ทำอะไร 3. ให้ผู้เรียนได้นำสิ่งที่เรียนรู้จากการเรียนมาตอบในแบบฝึกให้ตรงตาม เป้าหมาย 4. ให้ผู้เรียนตอบสนองสิ่งเร้าด้วยการแสดงความสามารถและความเข้าใจใน การ ฝึก 5. กำหนดให้ชัดเจนว่าจะให้ผู้เรียนตอบแบบฝึกแต่ละชนิดแต่ละรูปแบบ ด้วย วิธีการตอบอย่างไร ถวัลย์ มาศจรัส (2546) ได้กล่าวถึงการสร้างและจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. ศึกษาเนื้อหาสาระสำหรับการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ 2. วิเคราะห์เนื้อหาสาระโดยละเอียด เพื่อกำหนดจุดประสงค์ในการจัดทำ 3. ออกแบบการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะตามจุดประสงค์


22 4. สร้างแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ และส่วนประกอบอื่นๆ เช่น แบบทดสอบ ก่อนฝึก บัตรคำสั่ง ขั้นตอนกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติ แบบทดสอบหลังเรียน 5. นำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ปรับปรุง พัฒนาให้สมบูรณ์ สมพร ตอยยีบี (2554) ได้กล่าวไว้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะต้องมีหลักการและ แนวทาง ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดแบบฝึกที่ชัดเจน แน่นอน และภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับวัย ควรมีความ ยากง่ายแตกต่าง และต้องมีหลายรูปแบบ เพื่อให้นักเรียนมีโอกาส ในการใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ และ แบบฝึกนั้นมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมากไม่ว่า จะเป็นด้านผู้เรียนทำให้เด็กเกิดความเข้าใจในบทเรียน มากยิ่งขึ้น และในด้านครูผู้สอนเกี่ยวกับ เนื้อหาวิชาที่สอนและกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะของนักเรียนให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สรุปคือวิธีการให้ทำแบบฝึกทักษะ ดังนี้คือแบบฝึกทักษะที่ดีผู้เรียนต้องเห็นความสำคัญ ของการฝึกทักษะ ผู้เรียนจะต้องทำแบบฝึก ด้วยความเข้าใจและความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองตามระดับ ความสามารถของตน แบบฝึกควรมีกำหนดระยะเวลาสั้นๆ ในการฝึกแต่บ่อยครั้ง ควรฝึกปฏิบัติหลังจากการ สอนเมื่อผู้เรียนเข้าใจ บทเรียนดีแล้ว การฝึกท าจากง่ายไปหายาก โดยผู้สอนควรแนะนำอย่างใกล้ชิดหาก พบ ข้อผิดพลาดแล้วผู้สอนต้องแก้ไขโดยทันทีและผู้เรียนควรเข้าใจว่าแบบฝึกทักษะจะเป็น การแสดงถึง ความก้าวหน้าของผู้เรียนเองและผู้สอนจะใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือ ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากที่ผู้วิจัยได้ทำเรื่องพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษาสะกดคำ หนูทำได้ ได้ทำการศึกษา ค้นคว้าเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ชัชฎาภรณ์ ขาลเพราะ(2558: 36) ได้ทำการศึกษาการอ่านออกเสียงของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบทดสอบนักเรียนสามารถอ่าน และทำแบบสะกดค่าได้ค่อนข้างสูง คิดค่าเฉลี่ย ไว้เป็นร้อยละ 81.33 พิมพ์นิภา จันทร์บุตร (2559: 42) ได้ทำการศึกษาใช้แบบฝึกอ่าน และแบบสะกดคำของ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/4 นักเรียนสามารถอ่าน และทำแบบสะกดคำได้ค่อนข้างสูง คิดค่าเฉลี่ยไว้เป็นร้อยละ 70.90


23 อำพร เงินโต (2559: 40) ได้ทำการศึกษาพบว่านักเรียนมีพัฒนาการอ่านดีขึ้น การแก้ปัญหา คือ ต้องฝึกอ่านซ้ำคำเดิมบ่อยๆ เด็กจะเกิดทักษะการอ่านการจดจำ และ ที่สำคัญหากเด็กๆได้รับ การส่งเสริมให้ เห็นคุณค่าของการอ่าน มีนิสัยรักหนังสือและรักการอ่าน โดยผ่านการพัฒนาอย่าง ถูกต้องเป็นระบบต่อเนื่อง เด็กๆก็เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ที่มีคุณภาพของสังคม ใฝ่รู้ คิดเป็น และ รู้จักใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆได้ ฉายพรรณ สนิทนาน (2560: 27) ได้ทำการศึกษาการการจัดการเรียนการสอน เพื่อฝึกให้ นักเรียนเขียนสะกดคำจากมาตราตัวสะกดต่างๆ ได้ถูกต้องแม่นยำ แบบทดสอบก่อนเรียน และหลัง เรียน พบว่า นักเรียนพัฒนาการเขียนสะกดคำของนักเรียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการอ่าน และการ สะกด คำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านับทอง โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษาสะกดคำ หนูทำได้ จะเห็นได้ว่า การอ่านทำให้ผู้อ่านได้พัฒนาความคิด เนื่องจากการอ่านเป็นพฤติกรรม การรับสารที่มีความคิด เป็นแกนกลาง ขณะที่อ่านผู้อ่านจะต้องใช้สมองขบคิด พิจารณา ค้นหา ความหมาย และทำความเข้าใจ ข้อความที่อ่านไปตามระดับความสามารถ การอ่านนี้เป็นผลมาจาก การฝึกสมองขณะที่อ่าน ทำให้เกิด พัฒนาการทางความคิด ผู้ที่อ่านหนังสือมากจึงมักเป็นปราชญ์หรือ นักคิด การอ่านหนังสือจึงทำให้ผู้อ่านได้ พัฒนาการใช้จินตนาการ เพราะการอ่านทำให้ผู้อ่านได้ใช้ความคิดอย่างอิสระสามารถสร้างภาพในใจของ ตนเองโดยการตีความจากภาษาของผู้เขียน ดังนั้นแม้จะอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน แต่ผู้อ่านก็อาจมีภาพในใจ ที่แตกต่างกันไปตามจินตนาการของแต่ละคน การเล่นจับคู่ประสมคำกับภาพเป็นส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้ อย่างเป็นธรรมชาติของนักเรียน ช่วยให้นักเรียนได้ทดลอง ค้นพบและปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่ รอบตัว เพิ่มความหลากหลายให้บทเรียน และช่วยสร้างแรงจูงใจ รวมทังกระตุ้นให้นักเรียน ได้ใช้ภาษาที่ เป็นเป้าหมาย ทำให้นักเรียนเห็น ประโยชน์ของการเรียนภาษาต่างประเทศ นอกจากนั้นยังฝึกให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้โดยการลงมือ ปฏิบัติ(Task Based) โดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์การมีกติกาที่ชัดเจนเป็นตัวนา การปฏิบัติของนักเรียน และมีกลยุทธ์ที่ทำให้เด็กต้องใช้ทักษะทางภาษา (และทักษะอื่นๆ) ได้ กุญแจสู่ ความสำเร็จของเกมการศึกษาสะกดคำ หนูทำได้คือ กติกา และ การกำหนดเป้าหมาย (Goal) ที่ชัดเจน 5.กรอบแนวคิดการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัว ทอง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่ารสะกดคำ ผู้วิจัยมีกรอบแนวคิดในการวิจัย ดังนี้ แบบฝึกทักษะการอ่ารสะกดคำ ทักษะการอ่าน และการสะกดคำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ เป็นการวิจัยในชั้นเรียนเชิง ทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่าน และการสะกด คำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทองก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกด คำ โดยวิธีการ ดำเนินการวิจัยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มเป้าหมายการวิจัย 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล กลุ่มเป้าหมายการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลังศึกษาในปี การศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านบัวทอง จำนวน 8 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากมีปัญหาใน การอ่านคำ และการสะกดคำได้ไม่ถูกต้อง รวมถึงการประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ ส่งผลให้นักเรียนอ่านหนังสือได้ไม่ถูกต้อง เรียนได้ช้ากว่าเพื่อนในระดับ เดียวกัน เกิดผลกระทบด้านการ เรียนเป็นอย่างมาก ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ 1.1 แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 1.2 แบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ ผู้วิจัยดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 2.2 การสร้างแบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2


25 2.2.1 ศึกษาเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะการอ่าน และ การสะกดคำ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำ ดังนี้ 1) คู่มือหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 22 2) เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ 2.2.2 นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาสร้างแบบแบบทดสอบการอ่าน และการ สะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 2.2.3 นำแบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาภาษาไทยจำนวน 3 ท่าน เพื่อหาดัชนีความ สอดคล้อง ได้แก่ 1) นางสาวมาซีเตาะ กอตา หัวหน้าฝ่ายวิชาการ 2) นางฮานูนะห์ อานัน รองหัวหน้าวิชาการ 3) นางสาวรัชชฎา ภาคภูมิเกยรติยศ ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย มีการพิจารณาการให้คะแนน ดังต่อไปนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าแบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าแบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ -1 หมายถึง แน่ใจว่าแบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ โดยค่าความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (IOC) ต้องมีค่ามากกว่า 0.5 ขึ้นไป จึงจะสามารถนำ แบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำนำไปใช้ได้ 2.2.4 นำแบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มา ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 2.2.5 นำแบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 ที่ ปรับปรุงแล้วจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์ ไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย


26 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลดังนี้ 1. แบบแผนการทดลอง งานวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างเดียว (The single group pretest – posttest time series design) มีผลการวัดหลายช่วงเวลา ไม่มี randomization (สุวิมล ติรกานันท์, 2551: 21) ดังนี้ ตารางที่1 แบบแผนการทดลอง เมื่อ 0 แทน การวัดผลโดยใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ เมื่อ 1 แทน การวัดผลก่อนการใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ เมื่อ × แทน การใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ เมื่อ 2 แทน การวัดผลหลังการใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 2. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย ดังนี้ 2.1 ผู้วิจัยทำการทดสอบการอ่าน และการสะกดคำก่อนการทดลอง (Pretest) โดย แบบท ฝึกทักษะการอ่านสะกดคำที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ในช่วงวิชา ภาษาไทย 2.2 ผู้วิจัยดำเนินการทดลองโดยใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำเพื่อพัฒนาทักษะการ อ่าน และการสะกดคำของชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เวลา ระยะเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน โดยจัด กิจกรรมในวันอังคาร วันพุธ และวันศุกร์ วันละ 20 นาที เวลา 08.45 น. – 09.15 น ในช่วงวิชาภาษาไทย รวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง 2.3 เมื่อดำเนินการทดลองครบ 4 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการทดสอบการอ่าน และการ สะกดคำ (Posttest) กับกลุ่มเป้าหมายโดยใช้แบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 2 ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ก่อนการทดลอง เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ในช่วงวิชา ภาษาไทย 2.4 นำข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 2 ก่อนการทดสอบและหลังการทดสอบมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ 1X 2


27 การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้มีการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับดังนี้ 1. การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ หาความเที่ยงตรงของแบบทดสอบการอ่าน และการ สะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง โดยคำนวณจากสูตร (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์, 2550: 89) โดยใช้สูตรดังนี้ ค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) = = เมื่อ แทน ดัชนีความสอดคล้อง แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2. สถิติพื้นฐาน 2.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) ของคะแนนใช้สูตร (บุญมี พันธุ์ไทย, 2554: 171) ̅ = เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จำนวนรายการแบบสังเกต 3. ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตร (พิสณุ ฟองศรี, 2551: 165) . √∑ − (−) , เมื่อ ̅̅.̅̅̅̅. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด (∑) 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง แทน จำนวนรายการแบบสังเกต


26 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบานบัวทอง โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ เพื่อเปรียบเทียบ ทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านับวทองก่อนและ หลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ได้ซึ่งได้ผลการ วิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลเบื้องต้น ตารางที่ 1 ตารางแสดงจำนวนและค่าร้อยละของข้อมูลเบื้องต้นของนักเรียนกลุ่มเป้าหมายหมาย ที่ เพศ จำนวน(คน) ร้อยละ 1 4 4 50.0 2 4 4 50.0 รวม 8 100.0


30 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตารางที่ 1 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการ สะกดคำ ก่อน และหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 1 พฤติกรรม ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ พฤติกรร ม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม 1. การอ่านคำ และการ สะกดคำ ได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ได้ 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 3. การอ่านหนังสือออก เสียงได้ถูกต้อง 1.20 0.45 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00. ระดับดี รวม 1.06 0.00 ระดับปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี จากตารางที่ 1 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ได้ของนักเรียนคนที่ 1 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำ อยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅=1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ สามารถ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการ สะกดคำของนักเรียนคนที่ 1 ได้


31 ตารางที่ 2 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการ สะกดคำ ก่อน และหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 2 พฤติกรรม ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ พฤติกรร ม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม 1. การอ่านคำ และการ สะกดคำ ได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ได้ 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 3. การอ่านหนังสือออก เสียงได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.60 0.55 ระดับดี รวม 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.80 0.93 ระดับดี จากตารางที่ 2 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 2 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.00, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅ =2.80, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้จัดแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 2 ได้ ตารางที่ 3 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการ สะกดคำ ก่อน และหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 3 พฤติกรรม ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ พฤติกรร ม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม


32 1. การอ่านคำ และการ สะกดคำ ได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ได้ 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 3. การอ่านหนังสือออก เสียงได้ถูกต้อง 1.20 0.45 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00. ระดับดี รวม 1.06 0.00 ระดับปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี จากตารางที่ 3 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 3 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅ =2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การจัดใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 3 ได้ ตารางที่ 4 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการ สะกดคำ ก่อน และหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 4 พฤติกรรม ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ พฤติกรร ม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม 1. การอ่านคำ และการ สะกดคำ ได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ได้ 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี


33 3. การอ่านหนังสือออก เสียงได้ถูกต้อง 1.20 0.45 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00. ระดับดี รวม 1.06 0.00 ระดับปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี จากตารางที่ 4 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 4 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅ =2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของ นักเรียนคนที่ 4 ได้ ตารางที่ 5 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการ สะกดคำ ก่อน และหลังการแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 5 พฤติกรรม ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ พฤติกรร ม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม 1. การอ่านคำ และการ สะกดคำ ได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ได้ 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 3. การอ่านหนังสือออก เสียงได้ถูกต้อง 1.20 0.45 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00. ระดับดี รวม 1.06 0.00 ระดับปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี จากตารางที่ 5 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 5 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅ =2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของ นักเรียนคนที่ 5 ได้


34 ตารางที่ 6 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ก่อน และ หลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 6 พฤติกรรม ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ พฤติกรร ม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม 1. การอ่านคำ และการ สะกดคำ ได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ได้ 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.80 0.45 ระดับดี 3. การอ่านหนังสือออก เสียงได้ถูกต้อง 1.20 0.45 ระดับปรับปรุง 3.60 0.55 ระดับดี รวม 1.06 0.00 ระดับปรับปรุง 2.80 0.83 ระดับดี จากตารางที่ 6 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียน คนที่ สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.80, S.D=0.83) แสดงว่า การใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนคนที่ 6 ได้ ตารางที่ 7 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ก่อน และ หลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 7 พฤติกรรม ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ พฤติกรร ม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม


35 1. การอ่านคำ และการ สะกดคำ ได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ได้ 1.60 0.55 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00 ระดับดี 3. การอ่านหนังสือออก เสียงได้ถูกต้อง 1.20 0.45 ระดับปรับปรุง 2.60 0.55 ระดับดี รวม 1.26 1.00 ระดับปรับปรุง 2.86 0.87 ระดับดี จากตารางที่ 7 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียน คนที่ สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ อยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅=1.26, S.D=1.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.86, S.D=0.87) แสดงว่า การใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนคนที่ 7 ได้ ตารางที่ 8 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ก่อน และ หลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 8 พฤติกรรม ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ พฤติกรร ม ̅ S.D. ระดับพฤติกรรม 1. การอ่านคำ และการ สะกดคำ ได้ถูกต้อง 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 2. การอ่านประสมคำที่มี พยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ วรรณยุกต์ได้ 1.00 0.00 ระดับปรับปรุง 2.40 0.55 ระดับดี 3. การอ่านหนังสือออก เสียงได้ถูกต้อง 1.20 0.45 ระดับปรับปรุง 3.00 0.00. ระดับดี


36 รวม 1.06 0.00 ระดับปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี จากตารางที่ 8 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียน คนที่ 8 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนคนที่ 8 ได้ ตารางที่ 9เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ก่อน และหลัง การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่1- 8 คนที่ ก่อนการใช้กิจกรรม หลังการใช้กิจกรรม ̅ S.D. ระดับ ̅ S.D. ระดับ คนที่ 1 1.06 0.00 ปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี คนที่ 2 1.00 0.00 ปรับปรุง 2.80 0.93 ระดับดี คนที่ 3 1.06 0.00 ปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี คนที่ 4 1.06 0.00 ปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี คนที่ 5 1.06 0.00 ปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี คนที่ 6 1.06 0.00 ปรับปรุง 2.80 0.83 ระดับดี คนที่ 7 1.26 1.00 ปรับปรุง 2.86 0.87 ระดับดี คนที่ 8 1.06 0.00 ปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี รวม 1.06 0.00 ระดับปรับปรุง 2.60 0.93 ระดับดี จากตารางที่ 9 พบว่า ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ได้ของนักเรียนคนที่ 1 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำ อยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅=1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ สามารถ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการ สะกดคำของนักเรียนคนที่ 1 ได้ ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 2 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.00, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅ =2.80,


37 S.D=0.93) แสดงว่า การใช้จัดแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 2 ได้ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของ นักเรียนคนที่ 3 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ในระดับ ปรับปรุง ( ̅=1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การจัดใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียน คนที่ 3 ได้ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคน ที่ 4 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนคนที่ 4 ได้ทักษะ การอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 5 สูงกว่าก่อนใช้ แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅=1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนคนที่ 5 ได้ทักษะการอ่าน และการ สะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนคนที่ สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึกโดยก่อนใช้ แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅=1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรม พัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.80, S.D=0.83) แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วย พัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนคนที่ 6 ได้ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการ ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนคนที่ สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านสะกดคำ อยู่ในระดับปรับปรุง ( ̅=1.26, S.D=1.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅=2.86, S.D=0.87) แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการ สะกดคำของนักเรียนคนที่ 7 ได้ ทักษะการอ่าน และการสะกดคำหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ ของนักเรียนคนที่ 8 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึก โดยก่อนใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน และการสะกดคำอยู่ ในระดับปรับปรุง ( ̅ =1.06, S.D=0.00) หลังการจัดกิจกรรมพัฒนาได้ดีขึ้นอยู่ใน ระดับดี( ̅ =2.60, S.D=0.93) แสดงว่า การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของ นักเรียนคนที่ 8 ได้ แสดงว่า การจัดกิจกรรมเกมการศึกษาสะกดคำสามารถ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกด คำของนักเรียนคนที่ 8 ได้


38 จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลสามารถแสดงแผนภูมิ ดังนี้ ภาพที่ 1 แผนภูมิแท่งแสดงการเปรียบเทียบคะแนนค่าเฉลี่ยการพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำ ของ นักเรียนคนที่ 1 - 8 ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ จากภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่า หลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดทำให้นักเรียนมีการพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำสูงขึ้นทุกคน 0 0.5 1 1.5 2 2.5 3 คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 คนที่ 4 คนที่ 5 คนที่ 6 คนที่ 7 คนที่ 8 แผนภูมแสดงผลก่อน และหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคา ก่อน หลัง


39 ตอนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้หนังสื่อ บูกู บาฮาซา ชุด ที่นี่ บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียน โดยใช้ หนังสื่อ บูกู บาฮาซา ชุด ที่นี่ บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 แสดงในตารางที่ 3.1 ตารางที่ 3.1 ค่าเฉลี่ย ( ̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การ เรียนโดยใช้หนังสื่อ บูกู บาฮาซา ชุด ที่นี่ บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ กลุ่มสาระ การ เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 รายการประเมิน ̅ S.D. แปลความหมาย 1. แบบฝึกทักษะมีข้อแนะนำในการปฏิบัติกิจกรรมที่ ชัดเจน อ่านแล้วเข้าใจง่าย 4.47 0.51 พอใจมาก 2. แบบฝึกทักษะมีขนาดตัวอักษรที่เหมาะสมกับวัยของ นักเรียน 4.63 0.49 พอใจมากที่สุด 3. กิจกรรมในแบบฝึกทักษะมีความเหมาะสมกับ นักเรียน 4.50 0.57 พอใจมากที่สุด 4. แบบฝึกทักษะมีภาพประกอบเหมาะสม สวยงาม 4.59 0.56 พอใจมากที่สุด 5. เวลาที่ใช้ในการทำแบบฝึกทักษะเพียงพอและ เหมาะสม 4.38 0.55 พอใจมากที่สุด 6. แบบฝึกทักษะมีความยาก ง่าย เหมาะสมกับนักเรียน 4.47 0.51 พอใจมาก 7. กิจกรรมการเรียนรู้มีความน่าสนใจและหลากหลาย 4.41 0.50 พอใจมาก 8. ขั้นตอนการทำกิจกรรมในแบบฝึกทักษะนักเรียน สามารถปฏิบัติได้ 4.78 0.42 พอใจมากที่สุด 9. แบบฝึกทักษะท้าทายความสามารถของนักเรียน 4.69 0.47 พอใจมากที่สุด 10.กิจกรรมในแบบฝึกทักษะทำให้นักเรียนรู้คำที่มีตัวสะกด เพิ่มขึ้น 4.66 0.48 พอใจมากที่สุด 11.กิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ความคิดโดยอาศัย ความรู้และความเข้าใจเดิมเป็นพื้นฐาน 4.63 0.49 พอใจมากที่สุด 12.กิจกรรมในแบบฝึกทักษะทำให้นักเรียนทราบความก้าวหน้าของ ตนเอง 4.50 0.51 พอใจมากที่สุด เฉลี่ยรวม 4.56 0.51 พอใจมากที่สุด


40 จากตารางที่ 3.1 พบว่า ค่าเฉลี่ยระดับความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนเรียน โดยใช้หนังสื่อ บูกู บา ฮาซา ชุด ที่นี่ บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ โดยภาพรวมเท่ากับ 4.56 ซึ่งอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า นักเรียน มีความพึงพอใจในข้อที่ 8 ขั้นตอนการทำกิจกรรมในแบบฝึกทักษะนักเรียนสามารถปฏิบัติได้มี ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.78 รองลงมาได้แก่ข้อ 9 แบบฝึกทักษะท้าทายความสามารถของนักเรียน มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.69 ส่วนข้อ 5 เวลาที่ใช้ในการทำแบบฝึกทักษะเพียงพอและเหมาะสม นักเรียนมีระดับ ความพึง พอใจในอันดับสุดท้าย เรียน โดยใช้หนังสื่อ บูกู บาฮาซา ชุด ที่นี่ บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำ กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2


บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ งานวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะ การอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้แบบทฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำเพื่อเปรียบเทียบทักษะ การอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านับวทองก่อนและหลัง การใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้ง นี้ คือนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านบัวทอง จำนวน 8 คน โดย ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากมีปัญหาในการอ่านคำ และการสะกดคำได้ไม่ถูกต้อง รวมถึงการ ประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ส่งผลให้นักเรียนอ่านหนังสือได้ไม่ถูกต้อง เรียนได้ช้า กว่าเพื่อนในระดับเดียวกัน เกิดผลกระทบด้านการเรียนเป็นอย่างมาก ต้องได้รับการแก้ไข ปัญหาอย่าง เร่งด่วน เครื่องมือในการวิจัย แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาสะกดคำ หนูทำได้ 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 วัน รวมจำนวน 12 แผน ในระยะเวลา 1 เดือน โดยจัดกิจกรรมวันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ และวันศุกร์ วัน ละ 20 นาที เวลา 09.00 น. – 09.20 น. ในชั่วโมงวิชาภาษาไทย และแบบทดสอบ การอ่าน และการสะกด คำ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่าเท่ากับ 1.0 ทุกข้อตรงกับ วัตถุประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูลโดย ใช้สถิติ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาภาษาไทยก่อนและหลัง ภาษาไทย โดยใช้ หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ภาษาไทย ที่มีต่อ หนังสือบูกูบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ กลุ่มเป้าหมายการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลังศึกษาในปี การศึกษา 2566 โรงเรียนบัวทอง จำนวน 8 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากมีปัญหาในการ อ่านคำ และการสะกดคำได้ไม่ถูกต้อง รวมถึงการประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและ


42 วรรณยุกต์ ส่งผลให้นักเรียนอ่านหนังสือได้ไม่ถูกต้อง เรียนได้ช้ากว่าเพื่อนในระดับ เดียวกัน เกิดผลกระทบ ด้านการเรียนเป็นอย่างมาก ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน สรุปผลการวิจัย จากผลการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำพบว่า 1.นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ทางการเรียนอ่านสะกดคำ ภาษาไทย ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อย เรียน และมีค่าพัฒนาสัมพัทธ์ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 75.25 อยู่ในระดับสูงมาก 2.นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้ช้หนีงสือมูลาบาฮาซา ชุดที่นี่บ้านบัวทอง และแบบฝึกทักษะ การอ่านสะกดคำ อยู่ในระดับมากที่สุด อภิปรายผล จากการวิเคราะห์การวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบัวทอง โดยใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำผู้วิจัยขอ อภิปรายผลตามวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1. ผลการวิเคราะห์ทักษะการอ่าน และการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดเสาธงนอก โดยใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำพบว่า แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ สามารถช่วยพัฒนาให้นักเรียนมีทักษะการอ่าน และการสะกดคำสูงขึ้นกว่าก่อน การทดลอง ซึ่งนักเรียนอ่าน และสะกดคำได้ถูกต้อง รวมถึงการประสมคำที่มีพยัญชนะ สระ ตัวสะกดและวรรณยุกต์ ส่งผลให้นักเรียน อ่านหนังสือได้ถูกต้อง เรียนได้ตามปกติกับ เพื่อนในระดับเดียวกัน เกิดประสิทธิภาพและต่อยอดในการ เรียนรู้ในวิชาอื่นๆต่อไป โดยสังเกตได้จาก แบบทดสอบการอ่าน เนื่องจากแบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ช่วยฝึกทักษะให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดในสิ่ง ที่เรียน อาจมีการแข่งขันหรือไม่ก็ได้ แต่จะต้องมีกติกา และคำชี้แงกำหนดไว้และจะต้องมีการประเมินผล ความสำเร็จของผู้อ่านด้วย 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะการอ่าน และการสะกดคำก่อนและหลัง การ ใช้ แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ เปรียบเทียบทักษะการอ่าน และการสะกดคำ พบว่า นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 8 คน มีการพัฒนาทักษะการอ่าน และการสะกดคำสูงกว่า ก่อนการใช้แบบฝึก ทักษะการอ่านสะกดคำทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการใช้แบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำเป็นกิจกรรมที่เน้นการ เรียนรู้การจดจำคำศัพท์ภาษาไทย เป็นส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติของเด็ก ช่วยให้เด็กได้


43 ทดลอง ค้นพบและปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว เพิ่มความหลากหลายให้บทเรียนและช่วย สร้าง แรงจูงใจ รวมทั้งกระตุ้นให้เด็กๆ ได้ใช้ภาษาที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของพิมพ์นิภา จันทร์บุตร (2559: 42) ได้ทำการศึกษาใช้แบบฝึกอ่าน และแบบสะกดคำของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1/4 นักเรียนสามารถอ่าน และทำแบบสะกดคำได้ค่อนข้างสูงคิดค่าเฉลี่ยไว้เป็นร้อย ละ 70.90 และ สอดคล้องกับผลการวิจัยของอำพร เงินโต (2559: 40) ได้ทำการศึกษาพบว่านักเรียนมีพัฒนาการอ่านดีขึ้น การแก้ปัญหาคือต้องฝึกอ่านซ้ำคำเดิมบ่อยๆ เด็กจะเกิดทักษะการอ่านการจดจำ และที่สำคัญหากเด็กๆ ได้รับการส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของการอ่าน มีนิสัยรักหนังสือและรักการอ่าน โดยผ่านการพัฒนาอย่าง ถูกต้องเป็นระบบต่อเนื่อง เด็กๆก็เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ที่มีคุณภาพของ สังคม ใฝ่รู้ คิดเป็น และรู้จักใช้ปัญญา แก้ไขปัญหาต่างๆได้ ข้อเสนอแนะ 1. ควรนำแบบทฝึกทักษะการอ่านสะกดคำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มอื่น เพื่อพัฒนา นักเรียนในด้าน อื่นๆ เช่น การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ส่งเสริมด้านการใช้ภาษา ส่งเสริมพัฒนา ทางด้านอารมณ์-จิตใจ ส่งเสริมพัฒนาทางด้านสติปัญญา เป็นต้น 2. ควรศึกษาทักษะการอ่าน และการสะกดคำโดยใช้กิจกรรมอื่นๆบูรณาการกับรายวิชาต่างๆ เช่น บัตรคำศัพท์กับภาพ การจัดกิจกรรมแต่งเรื่องจากภาพ การเล่าเรื่องจากภาพ เป็นต้น


44 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. กรมวิชาการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๑ วิมลรัตน์สุนทรโรจน์. นวัตกรรมตามแนวคิด Backward Design. ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ๒๕๔๙. ฉวีวรรณ คูหาภินันท์.การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: โสภณการพิมพ์๒๕๔๕. สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์. หลักและวิธีสอนอ่านภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ : บริษัทโรงพิมพ์ไทย วัฒนาพานิช จำกัด, ๒๕๔. ถวัลย์มาศจรัส และคณะ. แบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ผู้เรียนและการจัดทำ.ผลงาน วิชาการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ธารอักษร, ๒๕๕๐. กำชัย ทองหล่อ.(2509). หลักภาษาไทย. พิมพค์ร้ังที่2. กรุงเทพฯ :รวมสำสน์, กรมวิชาการ เครือวัลย์ ชรสุวรรณ. (2541). การใช้แบบฝึกเขียนสะกดคำยาก ส หรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสาตรมหาบัณฑิต (ประถมศึกษ) เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ชิน โพธิอ่อน. (2526). การศึกษาความยากง่ายของคำลักษณะคำยากและเหตุผลในการเขียนสะกด คำผิดของนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 จังหวัดอุดรธานีปริญญานิพนธ์. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีศรีนครินทรวิโรฒประสำนมิตร. (อัดสำเนา). ชัยวัฒน์ ปิงเมือง. (2550). รายงานผลพัฒนาความสามารถในการอ่านสำหรับนักเรียนที่มีปัญหา ทางการ เรียนรู้ด้านการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่2 โดยใช้สื่อผสม. พะเยา : โรงเรียนบ้ำนจำป่าหวาย. ทิพวรรณ นำมแกว้. (2535). การใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดค าที่มีพยัญชนะ น ง ด ม ก บ เป็นตัวสะกด สำหรับนักเรียนชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 .วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. วิภำ แกว้ประทีป. (2546). การสร้างแบบฝึกการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3.วิทยำนิพนธ์ศึกษาศาสตรมหำบัณฑิต (ประถมศึกษา) เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ. (2550). แบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ผู้เรียนและการ จัดทำ ผลงานวิชาการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: ธารอักษร.


Click to View FlipBook Version