The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เกม เพื่อแก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิต ของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by djpasit1, 2022-03-24 01:32:10

การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เกม เพื่อแก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิต ของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เกม เพื่อแก้ไขปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิต ของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใชเ้ กม
เพ่อื แกไ้ ขปัญหาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง สิง่ มชี ีวิต
ของผเู้ รยี นระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4

นลพรรณ ไชยชนะ

งานวจิ ยั นเี้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของขอ้ ตกลงในการพฒั นางาน
ท่เี ป็นประเดน็ ทา้ ทายในการพฒั นาผลลพั ธก์ ารเรียนรูข้ องผเู้ รยี น
โรงเรียนวดั แสงสรรค์ สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาปทมุ ธานี เขต 2

ปีการศกึ ษา 2565

สารบญั 6

บทท่ี 1 บทนา 6
7
ภมู หิ ลงั 7
ความมงุ่ หมายของงานวจิ ยั 8
ความสาคญั ของงานวิจยั 8
ขอบเขตของการวจิ ยั 8
8
ประชากรท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั 8
กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการวิจยั 8
ระยะเวลาท่ที าการวิจยั 8
เนอื้ หาท่ใี ชใ้ นการวิจยั 10
ตวั แปรท่ศี กึ ษา 10
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 12
กรอบแนวคดิ การวิจยั 13
สมมตฐิ านการวจิ ยั 13
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง 13
1. การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) 17
1.1 ความหมายของการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ 18
1.2 รูปแบบการจดั การเรยี นรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ 18
1.3 บทบาทของผสู้ อนและผเู้ รยี นในการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 18
1.4 ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ 19
2. การใชเ้ กม 20
2.1 ความหมายของเกม 20
2.2 ประเภทของเกม 22
2.3 ขนั้ ตอนการสรา้ งเกม 22
2.4 ขนั้ ตอนการใชเ้ กมในการจดั การเรียนรู้
2.5. ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของการใชเ้ กม
3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์

3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น 22
3.2 ประเภทของแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 23
3.3 ลาดบั ขนั้ การประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 26
4.4 ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 28
บทท่ี 3 วิธีการดาเนนิ การวจิ ยั 32
ระยะท่ี 1 การเตรยี มการ 32
ระยะท่ี 2 การสรา้ งเครื่องมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั 32
ระยะท่ี 3 การดาเนินการวจิ ยั 36

สารบัญตาราง

สารบญั รูปภาพ

บทที่ 1
บทนา

ภมู ิหลัง

ปัจจบุ นั นีว้ ิทยาศาสตรม์ ีบทบาทสาคญั ย่ิง เพราะวิทยาศาสตรเ์ กี่ยวขอ้ งกบั คนทกุ คนและ
ทกุ ช่วงวยั รวมถึงเหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขึน้ ในชีวิตประจาวนั ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือและผลผลิต
ต่าง ๆ ท่ีมนุษยไ์ ดใ้ ชเ้ พ่ืออานวยความสะดวกในชีวิต ลว้ นเป็นผลของความรูท้ างวิทยาศาสตร์
ดังนั้นทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รบั การพัฒนาให้รูว้ ิทยาศาสตรเ์ พ่ือท่ีจะมีความรูค้ วามเขา้ ใจใน
ธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษยส์ รา้ งสรรคข์ ึน้ สามารถนาความรูไ้ ปใช้อย่างมีเหตผุ ล สรา้ งสรรค์
และมีคณุ ธรรม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, หนา้ 92) ดงั นนั้ การพฒั นาการเรียนการสอนเพ่ือให้
นักเรียนมีความรูค้ วามเขา้ ใจในวิทยาศาสตร์ สามารถทาไดโ้ ดยจัดใหผ้ ูเ้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมใน
กิจกรรมมากท่ีสดุ และไดล้ งมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง ครูจึงกลายเป็นผูท้ ่ีมีบทบาทสาคญั อย่างยิ่งใน
การสง่ เสรมิ การเรียนรูแ้ ละจดั กิจกรรมเพ่ือพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ กิดการเรียนรูแ้ ละบรรลตุ ามเป้าหมายท่ี
หลักสูตรกาหนด ซ่ึงการเรียนรูจ้ ะไดผ้ ลหรือไม่นั้น สามารถแสดงออกมาในรูปของผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน แต่จากผลการประเมินด้วยแบบทดสอบกลางของสานักทดสอบทางการศึกษา
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2562 ของกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 พบวา่ ในสาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ นกั เรียนรอ้ ยละ
46.30 มีคะแนนอย่ใู นระดบั พอใช้ และมีเพียงรอ้ ยละ 2.78 เท่านนั้ ท่ีมีคะแนนอย่ใู นระดบั ดีมาก ซ่งึ
จากการศึกษาแนวทางในการพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตรข์ องนกั เรียน พบว่า การ
จดั การเรียนรูด้ ว้ ยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เป็นหน่ึงในกระบวนการเรียนรูท้ ่ีสามารถพฒั นา
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตรไ์ ด้ เน่ืองจากเป็นการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ผูเ้ รียนไดฝ้ ึกคิด ฝึก
ปฏบิ ตั ิ เนน้ ใหแ้ สวงหาความรูด้ ว้ ยตนเอง ลงมือปฏบิ ตั ิ คน้ พบและสรา้ งองคค์ วามรูด้ ว้ ยตนเอง โดย
มีกระบวนการในการสืบเสาะหาความรูท้ ่ีสาคญั 5 ขนั้ คือ 1) ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement)
2) ขนั้ การสารวจและคน้ หา (Exploration) 3) ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) 4) ขนั้ ขยาย
ความรู้ (Elaboration) 5) ขั้นประเมิน (Evaluation) (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยี 2546, หนา้ 219-220) แต่เน่ืองจากวิทยาศาสตรเ์ ป็นรายวิชาท่ีมีเนือ้ หาท่ีค่อนขา้ งยาก
และซบั ซอ้ น การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชเ้ กม สามารถพฒั นาใหผ้ เู้ รียนเกิดความรูค้ วามเขา้ ใจท่มี ากขึน้
เน่ืองจากเกมเป็นกิจกรรมท่ีสามารถเรา้ ความสนใจและกระตนุ้ ใหน้ กั เรียนเกิดความกระตือรือรน้
ทาใหน้ กั เรียนเรียนรูอ้ ย่างมีความสขุ ดงั เช่น พนั ธ์ ทองชมุ นุม (2547, หนา้ 227) ไดก้ ล่าวถึงการใช้

เกมเพ่ือประกอบการสอนวิทยาศาสตร์ ไว้ว่า นักเรียนในระดับประถมศึกษา เป็นวัยท่ีกาลัง
สนกุ สนานกบั การเล่นชอบการแข่งขนั ทงั้ ในสว่ นบคุ คลและหม่คู ณะ ดงั นนั้ การจดั กิจกรรมการเรียน
การสอนท่เี นน้ ใหน้ กั เรยี นไดใ้ ชค้ วามสามารถท่มี ีอย่แู สดงออกถึงเลน่ กง่ึ เรียน จะกอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์
กบั การเรียนรูข้ องนกั เรียนทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม ทาใหบ้ รรยากาศการเรียนการสอนเป็นไปดว้ ย
ความสนุกสนานไม่เคร่งเครียด เกมจึงจดั เป็นสื่อประเภทหน่ึงท่ีสามารถใชป้ ระกอบการเรียนการ
สอนไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ กุณฑรี เพชรทวีพรเดช และคณะ (2550, หนา้ 161)
กลา่ วถึง วิธีสอนโดยใชเ้ กมวา่ เป็นกระบวนการเรียนรูท้ ่ผี สู้ อนใชเ้ กมเป็นเครื่องมือประกอบการเรียน
การสอน เพ่ือใหน้ กั เรียน มีความสนกุ สนานและเป็นการสง่ เสริมใหเ้ กิดความรูค้ วามเขา้ ใจ พฒั นา
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์ มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และประสบการณเ์ รียนรูร้ ่วมกับผูอ้ ่ืน โดยมีการกาหนดเนือ้ หาของเกม พฤติกรรมการเล่นวิธีการ
เลน่ และผลการเลน่ เกมมาใชใ้ นการอภิปรายเพ่ือหาขอ้ สรุปการเรียนรู้

และจากสภาพการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรร์ ะดับประถมศึกษาในปัจจุบัน
พบว่า ครูส่วนใหญ่ใชว้ ิธีการสอนแบบเดิม คือ ใชก้ ารบรรยายใหน้ กั เรียนท่องจามากกว่าไดล้ งมือ
ปฏิบตั ิ ไม่ใชส้ ื่อกระตนุ้ การเรยี นรู้ ผเู้ รียนไม่มีส่วนรว่ มในกิจกรรม ดงั นนั้ จึงจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะตอ้ ง
มีการปรบั รูปแบบการเรียนการสอนใหม้ ีความน่าสนใจ ผูว้ ิจัยจึงมีความม่งุ หวังท่ีจะจดั การเรียนรู้
โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใชเ้ กม เพ่ือแกไ้ ขปัญหาผลสมั ฤทธิ์ทางการ
เรียนวทิ ยาศาสตร์ เรือ่ ง สิ่งมชี วี ิต เพ่อื ใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีดขี ึน้ เน่อื งจากเป็นเนือ้ หา
ท่เี ป็นพืน้ ฐานสาหรบั การเรยี นรูเ้ กี่ยวกบั สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรช์ ีวภาพในระดบั ท่สี งู ขนึ้

ความมุ่งหมายของงานวิจัย
1. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตรก์ ่อนและหลังเรียนของ

นกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ไดร้ บั การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E)
รว่ มกบั การใชเ้ กม

2. เพ่อื ศกึ ษาคะแนนพฒั นาการของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ไดร้ บั การจดั การเรียนรู้
โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใชเ้ กม

ความสาคัญของงานวจิ ัย
1. ไดว้ ธิ ีการจดั การเรยี นรูท้ ่พี ฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์
2. เป็นแนวทางสาหรบั ครูท่ีสนใจ สามารถนาแนวการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบ

เสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใชเ้ กม ไปปรบั ใชใ้ นการจดั การเรียนรูใ้ นวิชาอ่นื ท่เี ก่ียวขอ้ งได้

ขอบเขตของการวจิ ยั
ประชากรท่ใี ชใ้ นการวิจยั
นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวดั แสงสรรค์ สานักงาน

เขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาปทมุ ธานี เขต 2 จานวน 123 คน
กลมุ่ ตวั อย่างท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั
นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4/1 ปีการศกึ ษา 2565 โรงเรียนวดั แสงสรรค์ สานกั งาน

เขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 จานวน 40 คน ท่ีไดจ้ ากการเลือกโดยใชว้ ิธีการ
เลอื กแบบเจาะจง (purposive sampling)

ระยะเวลาท่ที าการวิจยั
การวจิ ยั ครง้ั นีใ้ ชเ้ วลา 8 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 2 ช่วั โมง รวม 16 ช่วั โมง ในภาคเรียนท่ี 1

ปีการศกึ ษา 2565
เนอื้ หาท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั
เนื้อหาท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นเนื้อหาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง ส่ิงมีชีวิต

ท่ีสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ.2560) ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ว 1.3 ตวั ชวี้ ดั ป.4/1-2

ตวั แปรท่ศี กึ ษา
1. ตัวแปรอิสระ ไดแ้ ก่ การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E)

รว่ มกบั การใชเ้ กม
2. ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์

นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
1. การจดั การเรียนรูแ้ บบสืบสอบรว่ มกบั การใชเ้ กม หมายถงึ กระบวนการจดั การเรียนรูเ้ ชิง

รุกท่ีกระตุ้นความสนใจนักเรียนเพ่ือนาไปสู่การสารวจ การอธิบาย การประยุกต์ และการ
ประเมินผลผ่านกิจกรรมการเรียนรูท้ ่ีมีเกมสนับสนุน ซ่ึงในงานวิจยั นีใ้ ชร้ ูปแบบการจดั การเรียนรู้
แบบสืบสอบ 5 ขนั้ ตอน (5 E instructional model) โดยมีการใชเ้ กมในการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบ
สอบขนั้ การสรา้ งความสนใจ การสารวจและคน้ หา การขยายความรู้ หรือการประเมิน โดยดคู วาม
สอดคลอ้ งของวัตถุประสงคข์ องเกมกับวัตถุประสงคข์ องการจัดการเรียนรูใ้ นแต่ละขัน้ ตอนของ
รูปแบบการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบสอบ 5 ขนั้ ตอนเป็นหลกั ดงั นี้

1.1 การสรา้ งความสนใจ (engagement) ครูเขา้ ถึงความรูแ้ ละประสบการณเ์ ดิม
ของนกั เรียนผ่านการใชก้ ิจกรรมสน้ั ๆ เพ่ือใหน้ กั เรียนแสดงมโนทศั นท์ ่ีไดเ้ รียนมาแลว้ โดยครูใชเ้ กม

ท่ีทา้ ทายใหน้ กั เรียนเกิดความพยายามส่เู ป้าหมายของเกมเพ่อื กระตนุ้ ใหน้ กั เรียนเกิดความอยากรู้
และมีสว่ นรว่ มในการเรยี นรูม้ โนทศั นใ์ หม่

1.2 การสารวจและค้นหา (exploration) ครูสนับสนุนการรวบรวมข้อมูลจาก
กจิ กรรมการใชป้ ระสบการณแ์ ละความรูเ้ ดิมของนกั เรียนเพ่ือสรา้ งความรูใ้ หม่ในกิจกรรมการเรียนรู้
โดยครูใชเ้ กมเพ่ือใหน้ กั เรียนรวบรวมขอ้ มูลในการสรา้ งมโนทัศนผ์ ่านเกมท่ีทาใหเ้ กิดความรูส้ ึกมี
สว่ นรว่ ม ซง่ึ นกั เรยี นจะมีสว่ นรว่ มในการอภิปรายและสะทอ้ นความคิดเหน็ ในการเรียนรู้

1.3 การอธิบาย (explanation) ครูเปิดโอกาสนกั เรยี นอธิบายประสบการณท์ ่ีไดร้ บั
ในขนั้ การสรา้ งความสนใจและขนั้ การสารวจและคน้ หาเก่ียวกบั ความเขา้ ใจมโนทศั นข์ องตนเอง
หลงั จากนนั้ ครูจะอธิบายมโนทศั นแ์ ก่นกั เรียนเพ่ือใหเ้ กิดความเขา้ ใจท่ลี กึ ซงึ้ มากย่งิ ขึน้

1.4 การขยายความรู้ (elaboration) ครูเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนขยายความเขา้ ใจ
เพ่อื ใหม้ คี วามเขา้ ใจท่ีลกึ ซงึ้ และชดั เจนขึน้ จากการประยกุ ตค์ วามรูใ้ นสถานการณใ์ หม่ ครูใชเ้ กมใน
การส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรูม้ โนทัศนอ์ ย่างลึกซงึ้ ย่ิงขึน้ ผ่านการนาความรูแ้ ละประสบการณท์ ่ี
ไดร้ บั มาใชใ้ นการจดั การและวางแผนในเกม

1.5 การประเมิน (evaluation) ครูประเมินความรูค้ วามเขา้ ใจของนกั เรียน พรอ้ ม
ทงั้ กระตนุ้ และเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนประเมินความเขา้ ใจของตนเอง ครูใชเ้ กมเพ่ือเปิดโอกาสให้
นกั เรียนตรวจสอบและประเมนิ ความเขา้ ใจของเพ่อื นและตนเองผา่ นการอภิปรายแลกเปลย่ี นความ
เขา้ ใจและความรูส้ กึ ระหวา่ งการเลน่ เกม

2. เกมท่ีใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เกมท่ีใชส้ นับสนุนการเรียนรูข้ องนักเรียนซ่ึง
ประกอบดว้ ยผูเ้ ล่น วิธีการเล่น และเป้าหมายของเกม โดยเป็นเกมท่ีนักเรียนเป็นผูเ้ ล่นซ่ึงจะตอ้ ง
ตัดสินใจจากการเล่นเกมของผูเ้ ล่นคนอ่ืนประกอบดว้ ย เกมจะส่งเสริมการสะทอ้ นประสบการณ์
และความรูเ้ ดิม หรือสรา้ งความรูใ้ หม่ และทาใหน้ ักเรียนเกิดความตระหนักร่วมกับสถานการณ์
ปัญหาท่เี กี่ยวขอ้ งกบั สภาพภมู ิอากาศ

3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถทางการเรียนในรายวิชา
วิทยาศาสตร์ เร่ือง สิ่งมีชีวิต ซ่ึงวัดโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ท่ี
ผูว้ ิจัยไดส้ รา้ งขึน้ เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 30 ขอ้ โดยเลือกตอบคาตอบท่ีถูกตอ้ งเพียง
คาตอบเดียวเท่านนั้ ซ่ึงในการออกขอ้ สอบปรนัย ผูว้ ิจยั ไดว้ ดั ดา้ นพทุ ธิพิสยั ตามแนวคิดของแครธ
โวล (Krathwohl) ท่ีดัดแปลงจากแนวคิดของบลมู (Bloom) ซ่ึงประกอบดว้ ย 6 ขนั้ คือ จา เขา้ ใจ
ประยุกตใ์ ช้ วิเคราะห์ ประเมินค่าและคิดสรา้ งสรรค์ ซ่ึงมีรายละเอียด ดังนี้ (Krathwohl. 2002:

213-218; วิทวัฒน์ ขตั ติยมาร; และฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธิ์ 2549: 36; สิริอร วิชชาวธุ . 2554: 136-
137)

3.1 จา (Remembering) หมายถึง นกั เรียนสามารถในการแสดงรายการได้ บอก
ไดร้ ะบุ บอกช่อื ได้ สงั เกตเหน็ และระลกึ ได้ เชน่ นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของทฤษฎีได้

3.2 เขา้ ใจ (Understanding) หมายถึง นักเรียนสามารถในการแปลความหมาย
ยกตวั อย่าง การจัดประเภท สรุป อา้ งอิง การเปรียบเทียบและการอธิบาย เช่น นกั เรียนสามารถ
อธิบายแนวคิดของทฤษฎีได้

3.3 ประยุกต์ใช้ (Applying) หมายถึง นักเรียนสามารถนาเอาความรู้ ข้อมูล
หลกั การหรอื ทฤษฎนี าไปใช้ ประยกุ ตใ์ ช้ แกป้ ัญหาในชีวิตประจาวนั หรือในสถานการณใ์ หม่ได้ เชน่
นกั เรยี นสามารถนาความรูไ้ ปใชแ้ กป้ ัญหาได้

3.4 วิเคราะห์ (Analysis) หมายถึง นักเรียนสามารถแยกความแตกต่าง การ
จดั การและอธิบายลกั ษณะ เช่น นกั เรยี นสามารถบอกความแตกตา่ งระหว่าง 2 ทฤษฎไี ด้

3.5 ประเมินค่า (Evaluating) หมายถึง นักเรียนสามารถตรวจสอบ ตัดสินและ
วจิ ารณไ์ ด้ เชน่ นกั เรยี นสามารถตดั สนิ คณุ ค่าของทฤษฎไี ด้

3.6 คิดสรา้ งสรรค์ (Creating) หมายถึง นกั เรียนสามารถสรา้ ง วางแผนและผลิต
ไดเ้ ช่น นกั เรยี นสามารถนาเสนอทฤษฎีใหมท่ ่แี ตกต่างไปจากเดิมได้

กรอบแนวคดิ การวิจยั

ตวั แปรอิสระ ตวั แปรตาม
การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน

เสาะหาความรู้ (5E) วิชาวิทยาศาสตร์
รว่ มกบั การใชเ้ กม

ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดการวจิ ยั

สมมติฐานการวจิ ยั
1. นกั เรียนท่ีไดร้ บั การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับ

การใชเ้ กม มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตรห์ ลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน

2. นักเรียนท่ีไดร้ บั การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับ
การใชเ้ กม มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตรห์ ลงั เรียนอยู่ในระดับผ่านเกณฑค์ ะแนน
พฒั นาการ (รอ้ ยละ 20)

บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข้อง

ในการวิจัยครงั้ นี้ ผูว้ ิจัยไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องและได้นาเสนอตาม
หวั ขอ้ ตอ่ ไปนี้

1. การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E)
1.1 ความหมายของการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้
1.2 รูปแบบของการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้
1.3 ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของการจดั การเรียนรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้
1.4 งานวิจยั ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E)

2. การใชเ้ กม
2.1 ความหมายของเกม
2.2 ประเภทของเกม
2.3 องคป์ ระกอบของเกม
2.4 ขนั้ ตอนการสรา้ งเกม
2.5 ขนั้ ตอนการใชเ้ กมในการเรยี นการสอน
2.6 ขอ้ ดแี ละขอ้ จากดั ของการใชเ้ กมในการเรียนการสอน
2.7 งานวิจยั ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การใชเ้ กม

3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์
3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
3.2 ประเภทของแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
3.3 ลาดบั ขนั้ การประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
3.4 ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน

1. การจดั การเรยี นรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5E)
1.1 ความหมายของการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
วีณา ประชากลู (2553, น. 228) ใหค้ วามหมายว่า การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้

คือ กระบวนการเรียนรูท้ ่ีเนน้ การพฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาดว้ ยวิธีการฝึกใหผ้ เู้ รียนรูจ้ กั
ศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรู้

ประสาท เนืองเฉลิม (2558, น. 134-136) กล่าวถึงความหมายไวว้ ่า การเรียนการ
สอนวิทยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความรูเ้ ป็นวิธีการเขา้ ถึงความรูค้ วามจริงของนักวิทยาศาสตร์
สาหรบั ใชศ้ กึ ษาโลกรอบตวั และนาเสนอขอ้ คน้ พบทางวิทยาศาสตรส์ ่สู าธารณชนดว้ ยการอธิบาย
อย่างเป็นเหตุเป็นผล ประกอบกบั หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ท่ีน่าเช่ือถือ และเป็นการเรียนการสอนท่ี
เป็นการพฒั นามุมมองของผเู้ รียนใหเ้ ขา้ ใจถึงมโนทัศนท์ างวิทยาศาสตร์ เป็นแนวทางหน่ึงในการ
ส่งเสริมความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ และยังเป็นกระบวนการท่ีนาพาผู้เรียนไปสู่
คณุ ลกั ษณะของผทู้ ่ีใฝ่รูใ้ นยุคโลกาภิวตั น์ เรียนรูท้ ่ีจะแสวงหาความรูต้ ่างๆ ดว้ ยการตงั้ คาถาม การ
คน้ ควา้ หาคาตอบและการใชว้ จิ ารณญาณเพ่ือตดั สนิ ใจ มีหวั ใจนกั ปราชญ์ สรา้ งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกิด
การเรียนรูต้ ลอดชีวิต รูจ้ กั ตนเอง ปรบั ความคิด ยอมรบั กติกาของกลมุ่ ลงมือตรวจสอบหาความรู้
ดว้ ยตนเอง และถา่ ยโยงการเรยี นรูด้ ว้ ยปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกลมุ่ เพ่อื น

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2550) ให้แนวคิดว่า การ
สืบเสาะหาความรู้ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนท่ีใชต้ ามทฤษฎีการสรา้ งความรู้ (Constructivism)
ซ่งึ กลา่ วไวว้ ่า เป็นกระบวนการท่ีนกั เรียนจะตอ้ งสืบคน้ เสาะหา สารวจตรวจสอบและคน้ ควา้ ดว้ ย
วิธีการต่างๆ จนทาใหน้ กั เรียนเกดิ ความเขา้ ใจและเกิดการรบั รูค้ วามรูน้ นั้ อยา่ งมีความหมาย

ดงั นนั้ กลา่ วสรุปไดว้ ่า การสืบเสาะหาความรู้ เป็นกระบวนการเรียนรูท้ ่ีใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษา
คน้ ควา้ สรา้ งองคค์ วามรูใ้ หม่ดว้ ยตนเอง โดยผ่านกระบวนการคิดและปฏิบตั ิ และใชก้ ระบวนการ
ทางวิทยาศาสตรเ์ ป็นเคร่ืองมอื ทงั้ ยงั เป็นการพฒั นามมุ มองของนกั เรยี นใหเ้ กิดความความคิดรวบ
ยอดทางวทิ ยาศาสตรไ์ ดผ้ ่านการจดั การเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรูไ้ ด้ ทงั้ ช่วยใหน้ กั เรียนเกิดการ
เรียนรูท้ ัง้ เนือ้ หาหลกั และหลกั การ ทฤษฎี ตลอดจนการลงมือปฏิบตั ิ เพ่ือใหไ้ ดค้ วามรูซ้ ่ึงจะเป็น
พนื้ ฐานในการเรยี นรูต้ ่อไป

1.2 รูปแบบการจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
วณี า ประชากลู (2553, น. 228-230) ไดแ้ บง่ ขนั้ ตอนการเรยี นรูอ้ อกเป็น 5 ขนั้
1. ขนั้ นาเขา้ ส่บู ทเรียน (Engagement) ขนั้ นีม้ ีลกั ษณะเป็นการแนะนาบทเรียน

กิจกรรมจะประกอบดว้ ยการซกั ถามปัญหา การทบทวนความรูเ้ ดิม การกาหนดกจิ กรรมท่ีเกิดขึน้ ใน
การเรียนการสอนและเปา้ หมายท่ตี อ้ งการ

2. ขนั้ สารวจ (Exploration) ขนั้ นีก้ ระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ กิดการปรบั ขยายความคิด
โดยท่ีผูเ้ รียนไดร้ บั คาแนะนา คาชีแ้ จง และวัสดุอุปกรณ์อย่างพอเพียงท่ีมีปฏิสัมพันธ์กับแนวคิด
ผสู้ อนไม่ควรบอกผเู้ รียนว่าจะตอ้ งเรียนอะไรและตอ้ งไม่อธิบายแนวคิดใหแ้ นวทางและคาแนะนา
เพ่ือใหก้ ารสารวจดาเนินต่อไปได้ ผูเ้ รียนรบั ผิดชอบต่อการสารวจวัสดุ และการเก็บรวบรวมและ
หรอื การบนั ทกึ ขอ้ มลู

3. ขั้นอธิบาย (explanation) ขั้นนีม้ ุ่งหาสิ่งอานวยความสะดวกทางจิตใจแก่
ผเู้ รียน เพ่ือใหผ้ เู้ รียนวางแผนแนวคิดเกี่ยวกบั บทเรียนท่ีจะไดร้ บั การสรา้ งขึน้ ดว้ ยความร่วมมือกนั
ระหว่างทงั้ ผูเ้ รียนและผูส้ อนในการเลือกและจัดสภาพแวดลอ้ มของชนั้ เรียน ช่วยใหเ้ กิดการปรบั
ขยายโครงสรา้ งความคิด ผสู้ อนแนะแนวผเู้ รียนจนตงั้ คาอธิบายของตนเองเกี่ยวกับแนวคิด ซ่งึ จะ
นาผเู้ รียนไปสรู่ ะยะตอ่ ไปโดยอตั โนมตั ิ

4. ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion) ขนั้ นมี้ งุ่ กระตนุ้ ความรว่ มมือของกลมุ่ ผเู้ รียนได้
จัดระเบียบประสบการณท์ างความคิดจากการคน้ พบแลว้ ทาการเช่ือมโยงระหว่างประสบการณ์
เดิมกับประสบการณ์ใหม่ ในสิ่งท่ีผู้เรียนได้เรียนรูม้ าแล้ว แนวคิดท่ีสรา้ งขึน้ ต้องเช่ือมโยงกับ
ความคิดอ่ืนหรือประสบการณ์อ่ืนท่ีสมั พันธก์ ัน เพ่ือช่วยผูเ้ รียนใหป้ ระยุกตใ์ ชใ้ นส่ิงท่ีไดเ้ รียนรูม้ า
โดยการขยายตวั อย่างหรือโดยการจดั ประสบการณเ์ ชิงสารวจเพม่ิ เติมเพ่ือพฒั นาสว่ นบุคคลของ
ผเู้ รียน

5. ขั้นประเมินผล (evaluation) ขั้น นี้เป็นการทดสอบมาตรฐานการเรียนรู้
การเรียนรูม้ กั จะเกิดขึน้ ในสดั ส่วนการเพมิ่ ขึน้ ท่ีนอ้ ยกว่าการยกระดบั ทางความคิดท่ีมีการหย่งั รูท้ ่ี
เป็นไปได้ ดังนนั้ การประเมินผลควรต่อเน่ือง ซ่ึงไม่ใช่การสิน้ สุดของบทบาทหรือวิธีการของหน่วย
การเรยี นการวดั หลายชนิดมีความจาเป็นต่อการจดั ทาการประเมินโดยรวมในการเรียนรูข้ องผูเ้ รียน
และเพ่ือกระตนุ้ การสรา้ งแนวคิดทางจิตใจและทกั ษะกระบวนการประเมินผลรวมถึงในแต่ละระยะ
ของวฎั จกั รการเรียนรู้ ไมใ่ ชเ่ พยี งจดั เฉพาะตอนสดุ ทา้ ย

สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2553) รูปแบบการเรียนการ
สอน : กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนท่สี าคญั ดงั นี้

1. ขนั้ สรา้ งความสนใจ (engagement) เป็นการนาเขา้ สบู่ ทเรียนหรือเรื่องท่ีสนใจ
ซ่งึ อาจเกิดขึน้ เองจากความสงสยั หรืออาจเร่มิ จากความสนใจของตวั นกั เรียนเองหรือเกิดจากการ
อภิปรายภายในกล่มุ เร่ืองท่ีน่าสนใจอาจมาจากเหตกุ ารณท์ ่ีกาลงั เกิดขึน้ อยู่ในช่วงเวลานนั้ หรือ
เป็นเรื่องท่ีเช่ือมโยงกับความรูเ้ ดิมท่ีเพง่ิ เรียนรูม้ าแลว้ เป็นตัวกระตุ้นใหน้ ักเรียนสรา้ งคาถาม
กาหนดประเด็นท่ีจะศกึ ษา ในกรณีท่ยี งั ไมม่ ีประเด็นใดน่าสนใจ ครูอาจใหศ้ กึ ษาจากส่ือต่าง ๆ หรือ

เป็นผูก้ ระตุ้นดว้ ยการเสนอประเด็นขึน้ มาก่อนแต่ไม่ควรบังคับใหน้ ักเรียนยอมรับประเด็นหรือ
คาถามท่ีครูกาลงั สนใจเป็นเรื่องท่ีจะใชศ้ ึกษา เม่อื มคี าถามท่ีนา่ สนใจและนกั เรียนสว่ นใหญ่ยอมรบั
ใหเ้ ป็นประเด็นท่ีตอ้ งการศกึ ษา จึงร่วมกนั กาหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเร่ืองท่ีจะ
ศึกษาใหม้ ีความชัดเจนย่ิงขึน้ อาจรวมทงั้ การรวบรวมความรูป้ ระสบการณเ์ ดิม หรือความรูจ้ าก
แหลง่ ต่าง ๆ ท่จี ะชว่ ยใหน้ าไปส่คู วามเขา้ ใจเรื่องหรือประเดน็ ท่จี ะศกึ ษามากขึน้ และมีแนวทางท่ีใช้
ในการสารวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย

2. ขนั้ สารวจและคน้ หา (exploration) เม่ือทาความเขา้ ใจในประเด็นหรือคาถาม
ท่ีสนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกาหนดแนวทางการสารวจตรวจ สอบ
ตั้งสมมติฐานกาหนดทางเลือกท่ีเป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพ่ือเก็บรวบรวมขอ้ มูลข้อสนเทศ หรือ
ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ วธิ ีการตรวจสอบอาจทาไดห้ ลายวิธี เชน่ ทาการทดลอง ทากิจกรรมภาคสนาม
การใช้คอมพิวเตอรเ์ พ่ือช่วยสร้างสถานการณ์จาลอง (simulation) การศึกษาหาข้อมูลจาก
เอกสารอา้ งองิ หรือจากแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ เพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่งึ ขอ้ มลู อย่างเพียงพอท่จี ะใชใ้ นขนั้ ต่อไป

3. ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป (explanation) เม่ือไดข้ อ้ มูลอย่างเพียงพอจากการ
สารวจตรวจสอบแลว้ จงึ นาขอ้ มลู ขอ้ สนเทศ ท่ไี ดม้ าวเิ คราะห์ แปลผล สรุปผล และนาเสนอผลท่ไี ด้
ในรูปตา่ ง ๆ เช่น บรรยายสรุป สรา้ งแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ หรอื รูปวาด สรา้ งตาราง ฯลฯ การ
คน้ พบในขนั้ นอี้ าจเป็นไปไดห้ ลายทาง เช่น สนบั สนนุ สมมตฐิ านท่ตี งั้ ไว้ โตแ้ ยง้ กบั สมมติฐานท่ีตงั้ ไว้
หรือไม่เกี่ยวขอ้ งกบั ประเด็นท่ไี ดก้ าหนดไว้ แต่ผลท่ีไดจ้ ะอย่ใู นรูปใดก็สามารถสรา้ งความรูแ้ ละช่วย
ใหเ้ กิดการเรียนรูไ้ ด้

4. ขัน้ ขยายความรู้ (elaboration) เป็นการนาความรูท้ ่ีสรา้ งขึน้ ไปเช่ือมโยงกับ
ความรูเ้ ดิมหรือแนวคิดท่ีได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนาแบบจาลองหรือข้อสรุปท่ีไดไ้ ปใช้อธิบาย
สถานการณห์ รือเหตกุ ารณอ์ ่ืน ๆ ถา้ ใชอ้ ธิบายเรื่องต่าง ๆ ไดม้ าก ก็แสดงว่าขอ้ จากดั นอ้ ยซ่ึงก็จะ
ชว่ ยใหเ้ ช่ือมโยงกบั เรื่องต่าง ๆ และทาใหเ้ กดิ ความรูก้ วา้ งขวางขึน้

5. ขนั้ ประเมิน (evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรูด้ ว้ ยกระบวนการต่าง ๆ
ว่านักเรียนมีความรูอ้ ะไรบา้ ง อย่างไร และมากนอ้ ยเพียงใด จากขนั้ นีจ้ ะนาไปส่กู ารนาความรูไ้ ป
ประยุกตใ์ ชใ้ นเรื่องอ่ืน ๆ การนาความรูห้ รือแบบจาลองไปใชอ้ ธิบายหรือประยุกตใ์ ชก้ ับเหตุการณ์
หรือเร่ืองอ่ืน ๆ จะนาไปสขู่ อ้ โตแ้ ยง้ หรือขอ้ จากดั ซ่งึ จะก่อใหเ้ ป็นประเด็นหรือคาถามหรือปัญหาท่ี
จะตอ้ งสารวจตรวจสอบตอ่ ไป ทาใหเ้ กดิ เป็นกระบวนการท่ตี ่อเน่ืองกนั ไปเร่ือย ๆ จงึ เรยี กว่า inquiry
cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรูจ้ ึงช่วยใหน้ ักเรียนเกิดการเรียนรูท้ งั้ เนือ้ หาหลกั และหลกั การ
ทฤษฎตี ลอดจนการลงมือปฏิบตั ิ เพ่อื ใหไ้ ดค้ วามรูซ้ ่ึงจะเป็นพืน้ ฐานในการเรยี นรูต้ อ่ ไป

ประสาท เนืองเฉลมิ (2558, น. 147-148) ไดแ้ บง่ ขนั้ ตอนของกระบวนการจดั กิจกรรม
การเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความรูอ้ อกเป็น 5 ขนั้

1. ขนั้ นาเขา้ ส่บู ทเรียน (Engagement) ขนั้ นเี้ ป็นการแนะนาบทเรียนหรือประเด็น
ท่ีสนใจ ประเด็นอาจมาจากผูเ้ รียนนาเสนอหรือผูส้ อนเป็นผูเ้ สนอแนะในหอ้ งเรียน กิจกรรมการ
เรียนการสอนประกอบไปดว้ ยการซักถามประเด็นปัญหา การถกประเด็นปัญหา การทบทวน
ความรูเ้ ดิมการกาหนดกิจกรรมท่ีจะเกิดขึน้ ในการเรียนการสอนและเป้าหมายท่ีตอ้ งการ ซ่งึ ทาให้
ผู้เรียนเกิดความอยากรูอ้ ยากเห็น ทั้งนี้กิจกรรมการเรียนการสอนควรจะอยู่บนพื้นฐานของ
ประสบการณเ์ ดิมท่ผี เู้ รยี นไดเ้ รยี นมาแลว้

2. ขนั้ สารวจ (Exploration) ขนั้ นีก้ ระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ กิดการปรบั ขยายความคิด
โดยท่ีผูเ้ รียนไดร้ บั คาแนะนา คาชีแ้ จงจากผูส้ อน และมีการเตรียมวัสดุอุปกรณไ์ วอ้ ย่างพอเพียง
ผสู้ อนไม่ควรบอกผเู้ รียนว่าจะตอ้ งเรียนอะไรและตอ้ งไม่อธิบายแนวคิดมากนัก เพ่ือใหก้ ารสารวจ
ดาเนินต่อไปได้ ผเู้ รียนตอ้ งมีบทบาทร่วมกันในการรบั ผิดชอบต่อสิ่งท่ีสารวจ การเก็บรวบรวมและ
หรือการบนั ทึกขอ้ มลู ของตนเอง ผลท่ีไดก้ ารสารวจจะนามาสรา้ งคาอธิบายตามความหมายและ
ความเขา้ ใจของตนเอง

3. ขั้นอธิบาย (explanation) ขั้นนีม้ ุ่งหาส่ิงอานวยความสะดวกทางจิตใจแก่
ผเู้ รยี นเพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นวางแผนแนวคิดเก่ียวกบั บทเรียนดว้ ยความรว่ มมือระหว่างผเู้ รยี นและผสู้ อน ซ่งึ
มีสว่ นในการเลือกและจดั สภาพแวดลอ้ มของชนั้ เรียน ส่งผลใหผ้ เู้ รียนเกิดการปรบั ขยายโครงสรา้ ง
ทางปัญญา สามารถกาหนดมโนทัศนต์ ามความเขา้ ใจของตนเอง ผูส้ อนเสนอแนะแนวทางแก่
ผเู้ รยี นจนสรา้ งคาอธิบายตามความเขา้ ใจหรอื กรอบแนวคิดของตน

4. ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion) ขนั้ นีม้ ่งุ กระตนุ้ ความรว่ มมอื ของกลมุ่ ผเู้ รียนจดั
ระเบียบประสบการณท์ างความคิดผ่านการคน้ พบ ทาการเช่ือมโยงระหว่างประสบการณเ์ ดิมกบั
ประสบการณใ์ หม่ในสิ่งท่ีผเู้ รียนไดเ้ รียนรูม้ าแลว้ มโนทศั นท์ ่ีสรา้ งขึ้นตอ้ งเช่ือมโยงกบั ความคิดอ่ืน
หรือประสบการณอ์ ่ืนท่ีสมั พันธก์ ัน ผูเ้ รียนประยุกตใ์ ชใ้ นส่ิงท่ีไดเ้ รียนรูม้ า โดยการขยายความคิด
จากตัวอย่างหรือจัดประสบการณ์เชิงสารวจเพิ่มเติม สามารถคน้ ควา้ หารายละเอียดในส่ิงท่ี
ตอ้ งการศึกษาและสารวจตรวจสอบไดม้ ากขึน้ ตลอดจนมีการใชท้ ักษะต่าง ๆ และมีการอภิปราย
แลกเปล่ียนความคิดเหน็ รว่ มกบั ผอู้ ่ืน

5. ขั้นประเมินผล (evaluation) ขั้นนีเ้ ป็นการทดสอบความรูค้ วามเข้าใจตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ การประเมนิ ผลควรต่อเน่ืองซ่งึ ไมใ่ ชก่ ารสนิ้ สดุ ของบทเรยี น

ดังนั้นกล่าวสรุปไดว้ ่า รูปแบบการจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ เป็นรูปแบบท่ี
เหมาะสมสาหรบั การจดั การเรียนรูใ้ นหอ้ งเรียนเพ่อื ใหน้ กั เรียนเกิดความคิดรวบยอด เน่ืองจากการ
สืบเสาะตอ้ งเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมในการสรา้ งและประเมินคาอธิบาย ผูเ้ รียนจะไดม้ ี
โอกาสซกั ถาม ตรวจสอบหลกั ฐาน เป็นตน้ สว่ นการมสี ว่ นรว่ มในการรายงานผลและอธิบายช่วยให้
ผูเ้ รียนไดต้ รวจสอบการเช่ือมโยงท่ีสมเหตุสมผลของหลกั ฐาน ความรูท้ ่ียอมรบั และคาอธิบายท่ี
เสนอไวอ้ นั จะนาไปส่กู ารแกป้ ัญหาขอ้ ขดั แยง้ หรือโตแ้ ยง้ ท่ีมีหลกั ฐานการสงั เกต ทดลองสนบั สนุน
ทางผูว้ ิจยั เองไดย้ ึดตามรูปแบบการจัดการเรียนรูแ้ บบสืบเสาะหาความรูข้ องสถาบนั การส่งเสริม
การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

1.3 บทบาทของผ้สู อนและผู้เรียนในการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้
1.3.1 บทบาทของผู้สอน
ผูส้ อนมีหน้าท่ีวางแผนการจัดการเรียนรู้ (จันทรจ์ ิรา แกว้ โกย, 2554, น. 25) สรา้ ง

บรรยากาศท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ใช้คาถามกระตุ้นเพ่ือแนะนาแนวทางให้ใช้
กระบวนการคิด และกระบวนการสืบคน้ ขอ้ มูลเพ่ือนาไปแก้ปัญหา พรอ้ มทงั้ คอยเสริมแรงใหก้ ับ
ผูเ้ รียนเพ่ือให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรูอ้ ย่างต่อเน่ือง (สุวิทย์ คงภักดี, 2553, น. 34) สรุปไดว้ ่า
ผูส้ อนมีบทบาทในการใหค้ าแนะนาและกระตุน้ ใหใ้ ชก้ ระบวนการคิดผ่านการใช้คาถามและใช้
วิธีการสอนเพ่อื สรา้ งบรรยากาศการเรยี นรูใ้ หก้ บั ผเู้ รยี นไดเ้ กิดการเรียนรูอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

1.3.2 บทบาทของผูเ้ รยี น
ผูเ้ รียนมีหนา้ ท่ีดาเนินการสืบเสาะหาความรูด้ ว้ ยตนเองผ่านการเรียนรูแ้ บบร่วมมือ

รว่ มกนั ดาเนินการคน้ หาคา ตอบผา่ นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (จนั ทรจ์ ริ า แกว้ โกย, 2554, น.
28) ใชค้ วามคดิ ในการวเิ คราะห์ พจิ ารณาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขอ้ มลู และสถานการณป์ ัญหา (ณฐ
กรณ์ คาชะอม, 2553, น. 32-34) เพ่อื นาขอ้ มลู ท่ไี ดม้ าอภปิ รายและลงขอ้ สรุป สรา้ งเป็นองคค์ วามรู้
แล้วนาองค์ความรู้ไปแก้ปัญหา โดยผู้เรียนต้องมีคุณลักษณะสาคัญ 5 ประการ (National
Research Council, 2000) ประกอบด้วย 1) ตั้งคาถามทางวิทยาศาสตร์ 2) ใหค้ วามสาคัญกับ
หลกั ฐานหรือประจกั ษพ์ ยานของคาถามท่ีตงั้ ขึน้ 3) ผเู้ รียนสรา้ งคาอธิบายจากขอ้ มลู และหลกั ฐาน
ท่มี ี 4) ผเู้ รียนเช่ือมโยงองคค์ วามรูท้ ่ไี ดส้ ู่องคค์ วามรูท้ างวิทยาศาสตร์ 5) ผเู้ รยี นสื่อสารและประเมิน
องคค์ วามรูอ้ ย่างมีเหตผุ ล

จากท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า ผเู้ รียนจะตอ้ งดาเนินการสืบคน้ ความรูด้ ว้ ยตนเอง ผ่าน
กระบวนการกล่มุ รว่ มกนั ดาเนินการศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลดว้ ยวกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือ
นาขอ้ มลู มาวเิ คราะห์ อภิปราย แลว้ สรา้ งขอ้ สรุปเป็นองคค์ วามรู้ เพ่อื แกป้ ัญหาและนาขอ้ สรุปไปใช้
ในการเช่ือมโยงความรูส้ ชู่ ีวิตจรงิ

1.4 ข้อดแี ละขอ้ จากดั ของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ เป็นวิธีสอนท่เี หมาะสมกบั วชิ าวทิ ยาศาสตร์ โดยท่ีครู

เป็นผูเ้ ตรียมสภาพแวดลอ้ ม จดั ลาดบั เนือ้ หา แนะนาหรือช่วยใหน้ กั เรียนประเมินความกา้ วหนา้
ของตนเอง สว่ นนกั เรียนเป็นผเู้ รียนรูภ้ ายใตเ้ ง่อื นไขของครู นกั เรยี นมอี ิสระในการดาเนินการทดลอง
อยา่ งเตม็ ท่ี (ภพ เลาหไพบลู ย,์ 2542, น. 156-157)

ขอ้ ดีของการสอนแบบสืบเสาะหาความรูม้ ีดงั นี้ คือ
1. นกั เรียนมีโอกาสไดพ้ ฒั นาความคิดอย่างเต็มท่ี ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองจึง

มคี วามอยากเรยี นรูอ้ ยตู่ ลอดเวลา
2. นกั เรียนมีโอกาสไดฝ้ ึกความคิดและฝึกการกระทา ทาใหไ้ ดเ้ รียนรูว้ ิธีจดั ระบบ

ความคดิ และวธิ ีเสาะแสวงหาความรูด้ ว้ ยตนเอง ทาใหค้ วามรูค้ งทนและเกดิ การถา่ ยโยงการเรียนรู้
3. นกั เรียนเป็นศนู ยก์ ลางของการเรียนการสอน
4. นกั เรียนสามารถรูม้ โนมติ และหลกั การทางวทิ ยาศาสตรไ์ ดเ้ รว็ ขนึ้
5. นกั เรียนมีจะเป็นผมู้ เี จตคตทิ ่ตี อ่ การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์

ขอ้ จากดั ของการสอนแบบสบื เสาะหาความรูม้ ีดงั นี้ คอื
1. ใชเ้ วลามากในการสอนแต่ละครงั ้
2. ถา้ สถานการณท์ ่ีครูสรา้ งขึน้ ไม่ทาใหน้ ่าสงสัยแปลกใจ จะทาใหน้ ักเรียนเบื่อ

หน่ายและถ้าครูไม่เขา้ ใจบทบาทหน้าท่ีในการสอนวิธีนี้ มุ่งควบคุมพฤติกรรมของนักเรียนมาก
เกนิ ไปจะทาใหน้ กั เรยี นไมม่ ีโอกาสไดส้ บื เสาะหาความรูด้ ว้ ยตนเอง

3. นกั เรยี นท่มี รี ะดบั สติปัญญาต่าและเนือ้ หาวชิ าค่อนขา้ งยาก นกั เรียนอาจจะไม่
สามารถศกึ ษาหาความรูด้ ว้ ยตนเองได้

4. นกั เรยี นบางคนท่ยี งั ไมเ่ ป็นผใู้ หญ่พอ ทาใหข้ าดแรงจงู ใจท่จี ะศกึ ษาปัญหาและ
นกั เรียนท่ตี อ้ งการแรงกระตนุ้ เพ่อื ใหเ้ กิดความกระตือรอื รน้ ในการเรียน

2. การใชเ้ กม
2.1 ความหมายของเกม
กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช (2552, น. 161) ไดก้ ล่าวว่า เกมเป็นเครื่องมือประกอบการ

เรียนการสอนเพ่ือใหบ้ ทเรียนมีความสนุกสนาน น่าเรียน น่าสนใจ และเป็นการส่งเสริมให้เกิด
ความรู้ พัฒนาทักษะต่าง ๆ พัฒนาความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์ มีโอกาสแลกเปลี่ยน ความรูแ้ ละ
ประสบการณร์ ่วมกับผูอ้ ่ืน การเล่นเกมอาจเล่นคนเดียวหรือหลายคนก็ไดต้ ามกติกา โดยมีการ

กาหนดเนอื้ หาของเกม พฤตกิ รรมการเลน่ วธิ ีการเลน่ และผลการเลน่ เกมมาใชใ้ นการ อภิปรายเพ่ือ
หาขอ้ สรุปการเรียนรู้

สานกั งานพัฒนาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแห่งชาติ (2553, น. 10) กล่าวถึงเกม
หรอื เกมวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ กิจกรรมท่มี ีผเู้ ลน่ ตงั้ แต่ 1 คน หรือมากกว่า 1 คน มกี ฎกตกิ าในการ
เล่นหรือมีการแข่งขัน เป็นเกมท่ีเล่นเกี่ยวขอ้ งกับการใชท้ ักษะหรือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
หรือมเี นอื้ หาสาระท่เี ก่ียวขอ้ งกบั วิทยาศาสตร์

จากความหมายของเกมท่ีกล่าวมาสรุปไดว้ ่า เกมเป็นกิจกรรมท่ีใช้ประกอบการเรียน
วทิ ยาศาสตร์ เพ่อื สรา้ งความสนใจและความสนุกสนานให้กบั ผเู้ รียน โดยมีกฎ กตกิ า และหลกั การ
ทางวทิ ยาศาสตร์ ท่สี ง่ เสรมิ การเรียนรูแ้ ละพฒั นาทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

2.2 ประเภทของเกม
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2555, น. 118) ไดแ้ บ่งประเภท

ของเกมตามลกั ษณะของการเลน่ เกมไดด้ งั นี้
1. เกมปรศิ นาคา (puzzles game) เกมปรศิ นาคา ใชไ้ ดด้ ีกบั การสรา้ งความสนใจ

หรือกระตนุ้ ความน่าสนใจของนักเรียน ใชไ้ ดท้ ุกขนั้ ตอนในกระบวนการเรียนรู้ เหมาะกับนักเรียน
ทุกระดับชั้นและทุกระดับความสามารถ ขึน้ อยู่กับการเลือกคาใหเ้ หมาะสมกับนักเรียน และ
จุดประสงค์การเรียนรู้ เกมปริศนาคา เช่น เกมอักษรไขว้ (crosswords) เกมค้นหาคา (word
reaches) เป็นการเพม่ิ คาลงในภาพ เป็นตน้

2. เกมทายปัญหา (quizzes game) เกมทายปัญหาใช้ได้กับการทบทวนการ
เรยี นรู้ ในช่วงทา้ ยของบทเรยี น และประเมินผลการเรยี นรูข้ องนกั เรยี น ใชไ้ ดก้ บั นกั เรียนทกุ ระดบั ชนั้
และระดบั ความสามารถ ขึน้ อย่กู บั ความยากง่ายของคาถามท่ีใชเ้ กมทายปัญหา เช่น เกมแข่งขนั
ตอบ ปัญหา เกมเศรษฐี เกมบิงโก เกมเอ็กซ-์ โอ เป็นตน้

3. เกมบตั ร (card game) เกมบตั ร เป็นเกมท่ีใชบ้ ตั รคาหรือบตั รภาพเป็นอปุ กรณ์
ประกอบใชไ้ ดท้ ุกขนั้ ตอนในกระบวนการเรียนรู้ ใชไ้ ดด้ ีกบั การทบทวนการเรียนรูแ้ ละในช่วงทา้ ย
ของบทเรียน เป็นการประเมินผลการเรียนรูข้ องนกั เรียน ใชไ้ ดก้ บั นกั เรียนทกุ ระดบั ชนั้ เพราะระดบั
ความสามารถขนึ้ อยกู่ บั ชนดิ ของตวั อย่างบตั รคา เชน่ การลาดบั ภาพ เกมจบั คู่ เกมจดั กลมุ่ เป็นตน้

4. เกมกระดาน (boards game) เกมกระดานเป็นเกมท่ีใชก้ ระดานเป็นอปุ กรณ์
ประกอบการเลน่ เกมและสว่ นใหญ่จะมกี ารทายปัญหารว่ มอย่ดู ว้ ย ใชไ้ ดด้ กี บั การทบทวนการเรียนรู้
ใชไ้ ดก้ บั นกั เรียนทุกระดบั ชนั้ และทุกระดับความสามารถขึน้ อยู่กบั ความยากง่ายของคาถามท่ีใช้
เลน่ เกมกระดาน เชน่ เกมกระดานคาถาม เกมบนั ไดง เกมเอก็ ซ-์ โอ เกมบิงโก เกมเขาวงกต เป็นตน้

5. เกมโดมิโน (domino game) เกมโดมิโนเป็นเกมท่ีใชข้ ึน้ โดมิโนเป็นอุปกรณ์
ประกอบการเล่นเกมใชไ้ ดก้ บั การทบทวนการเรียนรู้ เก่ียวกบั การจาแนกประเภท การจดั กลมุ่ เช่น
เกมโดมิโนการแยกสาร เกมโดมิโนกรด-เบส เกมโดมิโนโลหะ-อโลหะ เกมโดมิโนสถานะของสาร
เป็นตน้

สรุปไดว้ ่าประเภทของเกม สามารถแบ่งไดห้ ลายรูปแบบแต่มีลกั ษณะคลา้ ยกนั คือ เกมท่ี
ฝึกทกั ษะทางดา้ นรา่ งกายมกี ารเคลอื่ นไหวตามกฏกตกิ า และเกมท่ีฝึกทกั ษะทางดา้ นสมอง

2.3 ข้นั ตอนการสร้างเกม
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2555, น. 118) ไดเ้ สนอขนั้ ตอน

การดาเนนิ การออกแบบเกม ดงั นี้
1. วิเคราะหเ์ นือ้ หาสาระวิทยาศาสตรแ์ ละช่วงเวลาท่ีเหมาะสมของการใชเ้ กมใน

กจิ กรรมการเรียนการสอน
2. ออกแบบเกมใหเ้ หมาะสมกบั เนือ้ หาสาระ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เวลา และวยั

ของนกั เรียน การออกแบบเกมมีสิ่งท่คี วรคานึงถึง ไดแ้ ก่
2.1 เนอื้ หาสาระท่แี ฝงในเกม ไม่ควรซบั ซอ้ น
2.2 จานวนผเู้ ลน่ เลน่ คนเดยี ว เลน่ เป็นกลมุ่ หรือเลน่ ทงั้ หอ้ ง
2.3 กติกาการเลน่ เขา้ ใจงา่ ย เป็นกติกาท่นี กั เรียนคนุ้ เคย
2.4 อปุ กรณท์ ่ใี ชค้ วรหางา่ ย
2.5 เวลาท่ใี ชเ้ ลน่ เกม ควรอยรู่ ะหวา่ ง 15 - 20 นาที
2.6 วิธีการประเมนิ ความรูท้ ่นี กั เรยี นไดร้ บั หลงั เลน่ เกม

3. จดั ทาเกม และทดลองใช้ เพ่อื ทดสอบประสทิ ธิภาพของเกม และปรบั ปรุง
4. จดั ทาเกมและแบบประเมนิ ผลใหเ้ พียงพอกบั จานวนนกั เรียน
2.4 ขน้ั ตอนการใชเ้ กมในการจัดการเรียนรู้
ทิศนา แขมมณี (2551, น. 81) กลา่ วถึงขนั้ ตอนการใชเ้ กม ดงั นี้
1. ผสู้ อนนาเสนอเกม ชแี้ จงวิธีการเลน่ และกตกิ าการเลน่
2. ผเู้ รียนเลน่ เกมตามกตกิ า
3. ผูส้ อนและผูเ้ รียนอภิปรายเกี่ยวกบั ผลการเล่น วิธีการ และพฤติกรรมการเล่น
ของ ผเู้ ลน่ หลงั การเลน่

สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553, น. 142) ไดก้ ล่าวถึงขัน้ ตอนการใชเ้ กมในการเรียนการ
สอนไว้ ดงั นี้

1. บอกช่อื เกมและจดุ ประสงคข์ องการเลน่ ใหผ้ เู้ รยี นทราบ
2. จดั สภาพของผเู้ รียนหรือชนั้ เรียนใหอ้ ย่ใู นลกั ษณะท่ีตอ้ งการ
3. อธิบายวิธีการเลน่ กฏ กติกา การเลน่ และเวลาในการเลน่
4. ผสู้ อนสาธิตใหด้ เู พ่อื ใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจ และตอบคาถามในกรณีท่ผี เู้ ลน่ ไม่เขา้ ใจ
5. เรม่ิ เลน่ เกมโดยคานงึ ถึงการใหท้ กุ คนมีสว่ นรว่ มเนน้ ความยุตธิ รรม
6. เม่อื จบเกมแลว้ ประกาศผลผชู้ นะและใหร้ างวลั มกี ารสรุปประเด็นหรอื แง่คิดท่ี
ได้ จากเกมทนั ที
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2555, น. 120) ไดก้ ล่าวถึง
ขนั้ ตอนการใชเ้ กมในการเรยี นการสอนไว้ ดงั นี้
1. ก่อนการเล่นเกม ครูแจ้งจุดประสงคข์ องเกม ทาความเขา้ ใจในเร่ืองกติกา
วิธีการ เลน่ เวลาท่ใี ชเ้ ลน่
2. ขณะนักเรียนเล่นเกม ครูเดินสงั เกต เพ่ือช่วยเหลือนักเรียนท่ีไม่เขา้ ใจกติกา
วิธีการเลน่ และแกป้ ัญหาท่เี กิดขนึ้ และควบคมุ เวลา รวบทงั้ เก็บขอ้ มลู ในประเด็นตอ่ ไปนี้

2.1 นกั เรียนเขา้ ใจเนือ้ หาสาระวิทยาศาสตรท์ ่แี ฝงอย่ใู นเกม หรือไม่
2.2 นกั เรยี นมคี วามเขา้ ใจคลาดเคลอ่ื นในความรูท้ างวทิ ยาศาสตรป์ ระเด็นใด
2.3 นกั เรียนเลน่ ตามกติกาของเกมหรอื ไม่
2.4 กฎ กติกา และวธิ ีการเลน่ เกมควรไดร้ บั การแกไ้ ข ปรบั ปรุงหรอื ไม่ อย่างไร
3. หลงั เลน่ เกม ครูและนกั เรียนควรอภิปรายและสรุปในประเดน็ ต่อไปนี้
3.1 ผลการเลน่ เกม ใครหรอื กลมุ่ ใดเป็นผไู้ ดค้ ะแนนสงู สดุ
3.2 ความรูท้ างวิทยาศาสตรใ์ นเกมและความรู้ทางวิทยาศาสตรอ์ ่ืน ๆ ท่ี
เช่ือมโยงกบั ความรูท้ ่ไี ดจ้ ากการเลน่ เกม
3.3 ความเขา้ ใจท่คี ลาดเคลื่อนทงั้ กฎ กตกิ า วิธีการเลน่
4. ประเมินผลเรียนรู้ เช่น เขียนส้ัน ๆ เพ่ือสรุปความรู้ เขียนแผนผังความคิด
นาเสนอหนา้ ชนั้ เรียน เป็นตน้
สรุปไดว้ ่า การใชเ้ กมในการเรียนการสอน ต้องมีจุดมุ่งหมายมีกฎกติกาในการเล่นท่ี
ชดั เจน ครูควรเลือกใชเ้ กมใหเ้ หมาะสมกบั เนือ้ หา ระดบั ชนั้ และเวลา เม่ือจบเกมนกั เรียนตอ้ งสรุป
ความรูใ้ นเรอ่ื งนนั้ ๆ ได้

2.5. ขอ้ ดแี ละข้อจากดั ของการใชเ้ กม
ทิศนา แขมมณี (2551, น. 85) ไดก้ ล่าวถึง ขอ้ ดีและขอ้ จากัดของการใชเ้ กมในการ

จดั การเรยี นรู้ ดงั นี้
ขอ้ ดี
1. ช่วยใหผ้ เู้ รยี นมีสว่ นร่วมในการเรียนรูส้ งู ผเู้ รียนไดร้ บั ความสนกุ สนาน และเกิด

การเรยี นรูจ้ ากการเลน่
2. ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ โดยการเห็นประจักษ์แจง้ ดว้ ยตนเอง ทาใหก้ าร

เรยี นรูน้ นั้ มคี วามหมายและอย่คู งทน
ขอ้ จากดั
1. เป็นวิธีสอนท่ใี ชเ้ วลามาก
2. เป็นวิธีสอนท่ีมีค่าใชจ้ ่าย เน่ืองจากเกมบางเกมตอ้ งซือ้ หามาโดยเฉพาะเกม

จาลอง สถานการณบ์ างเกมมรี าคาสงู มาก เน่ืองจากการเลน่ เกมสว่ นใหญ่ ผเู้ รยี นทกุ คนตอ้ งมีวสั ดุ
อปุ กรณใ์ นการเลน่ เฉพาะตน

3. ผสู้ อนจาเป็นตอ้ งมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกบั การสรา้ งเกม
4. ผสู้ อนตอ้ งเตรียมการมาก เกมเพ่อื การฝึกทกั ษะแมจ้ ะไม่ยงุ่ ยากซบั ซอ้ นนกั แต่
ผูส้ อนจาเป็นตอ้ งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณใ์ นการเล่นใหผ้ ูเ้ รียนจานวนมาก เกมการศึกษาและเกม
จาลองสถานการณ์ ผู้สอนจาเป็นต้องศึกษาและทดลองใช้จนเข้าใจ ซ่ึงต้องอาศัยเวลามาก
โดยเฉพาะเกมท่ีมคี วามซบั ซอ้ นมากและผเู้ ลน่ จานวนมากยง่ิ ตอ้ งใชเ้ วลามากขนึ้ อีก
5. ผสู้ อนตอ้ งมีทกั ษะในการนาการอภิปรายท่ีมีประสิทธิภาพ จึงจะสามารถช่วย
ให้ ผเู้ รยี นประมวลและสรุปการเรยี นรูไ้ ดต้ ามวตั ถปุ ระสงค์

3. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์
3.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
จารุวรรณ เชื้อแสง (2559) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นคุณลักษณะ

ความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกร รมและ
ประสบการณก์ ารเรียนรูท้ ่เี กดิ จากการฝึกฝนหรือจากการสอน

ทิศนา แขมมณี (2561) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถทาง
สมองดา้ นต่าง ๆ ท่ีนกั เรียนไดร้ บั ประสบการณท์ งั้ ทางตรงและทางออ้ มจากการจัดการเรียนรูก้ าร
ฝึกฝน และการอบรมส่งั สอนคุณลักษณะท่ีไดร้ บั ความสามารถของบุคคลท่ีมีความแตกต่างกัน
หลงั จากการไดเ้ รียนรู้

พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์ และ พเยาว์ ยินดีสขุ (2549) กล่าวว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
วิทยาศาสตร์ หมายถงึ ขนาดของความสาเรจ็ ท่ีไดจ้ ากกระบวนการจดั การเรียนรู้

จากการศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้อง พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
หมายถึง ความสามารถดา้ นความรู้ ท่ีเกิดขึน้ หลงั จากกระบวนการจดั การเรียนการสอน การอบรม
การฝึกฝน หรอื ประสบการณท์ ่เี กดิ ขนึ้ ในรายวชิ าวิทยาศาสตร์

3.2 ประเภทของแบบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็ นแบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ ทักษะและ

ความสามารถทางวิชาการท่ีนกั เรียนไดเ้ รียนรูม้ าแลว้ วา่ บรรลผุ ลสาเรจ็ ตามจุดประสงคท์ ่ีกาหนดไว้
เพียงใด (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2557, น. 96) โดยแบบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนมีจุดม่งุ หมายสาคญั
เพ่ือเป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบนกั เรียนว่ามีประสบความสาเร็จตามจุดม่งุ หมายของการเรียนรู้
ก่อนการนาไปตัดสินผลการเรียน โดยนกั วิชาการและนกั วิจยั หลายท่าน ไดก้ ล่าวถึงประเภทของ
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนในลกั ษณะตา่ ง ๆ ไวด้ งั นี้

ประเภทของแบบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนนัน้ ขึน้ อยู่กับเกณฑใ์ นการแบ่งประเภท
โดยสามารถแบ่งไดห้ ลายเกณฑ์ ไดแ้ ก่

1. เกณฑท์ ่ใี ชล้ กั ษณะการสรา้ ง มี 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1.1 แบบทดสอบท่ีครูสรา้ งขึน้ เอง (Teacher Made Tests) โดยครูสรา้ งขึน้

เพ่อื วตั ถปุ ระสงคใ์ นการวดั การเรียนรู้ (Formative Test) และวดั ผลการเรียนการสอน (Summative
Test) โดยผลท่ีไดม้ กั เปรียบเทียบกบั กลมุ่ หรือเกณฑท์ ่ีครูกาหนดไมไ่ ดน้ าไปเปรียบเทียบกบั กลมุ่ อ่นื

1.2 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardize tests) ซ่งึ จะตอ้ งเป็นบบทดสอบท่ี
มีมาตรฐานการสรา้ ง มีมาตรฐานในการดาเนินการสอบ และมีมาตรฐานในการใหค้ ะแนน โดยมี
การเปรียบเทียบกบั เกณฑป์ กติ (Norms)

2. เกณฑท์ ่ใี ชใ้ นการแปลความหมายของคะแนน มี 2 ประเภท ไดแ้ ก่
2.1 แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Reference Test) โดยเป็นแบบทดสอบ

ท่ีวดั ระดบั ความรูท้ ่ีมีแลว้ นาไปเทียบกบั เกณฑ์ (Absolute Standard) เพ่ืออธิบายว่านกั เรียนรูเ้ รือ่ ง
นนั้ ๆ หรือไม่

2.2 แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norms Reference Tests) ซ่ึ ง จ ะ เป็ นแบบทด
สอบท่ีม่งุ เนน้ การเปรียบเทียบนกั เรียนภายในกลมุ่ ว่านกั เรียนคนนนั้ อย่เู ก่งหรืออ่อนกว่าคนอ่ืน ๆ
อย่างไร

3. เกณฑท์ ่ใี ชล้ กั ษณะการตรวจใหค้ ะแนน มี 2 ประเภท ไดแ้ ก่
3.1 แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) เป็นแบบทดสอบท่ีมุ่งหมายให้

ผูต้ อบเขียนข้อคาตอบยาว ๆ แสดงความสามารถ ความรูส้ ึก ความคิดเห็นได้อย่างเต็มท่ี โดย
เหมาะกบั การวดั ความสามารถทางสมองขนั้ สงู และบรู ณาการได้

3.2 แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) เป็ นแบบทดสอบท่ีผู้เขียน
แบบทดสอบกาหนดประเด็นท่ีเป็นคาตอบท่ีถูกตอ้ งมาแลว้ ล่วงหน้า แลว้ ใหผ้ ูต้ อบแบบวัดเลือก
คาตอบตามท่ีโจทยก์ าหนดมา โดยแบง่ เป็น 4 ประเภทแบบทดสอบย่อย ไดแ้ ก่

3.2.1 ข้อ ส อ บ แ บ บ ถูก ผิ ด ( True-False) เ ป็ น ลัก ษ ณ ะ ข้อ ส อ บ ท่ี
ประกอบดว้ ยขอ้ ความหรือประโยคท่ีตอ้ งการใหผ้ ตู้ อบตดั สินเพ่อื เลือกคาตอบท่ีเป็นไปไดส้ องอยา่ ง
ว่า ขอ้ ความหรือประโยคท่ีแสดงนั้นถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ จริงหรือเท็จ เป็นขอ้ สอบท่ีมีขอ้ เสีย
มากกว่าขอ้ ดี แต่ท่ีนิยมใชก้ นั มาก เพราะสามารถถามไดอ้ ย่างกวา้ งขวางโดยใชเ้ วลาสอบไม่มาก
นักเรียนตอบไดอ้ ย่างรวดเร็ว สรา้ งง่ายแต่ตอ้ งสรา้ งใหช้ ัดเจน โดยขอ้ เสียพบว่า ส่วนใหญ่ถาม
ขอ้ เทจ็ จรงิ คราวละหน่งึ ขอ้ เทจ็ จรงิ เป็นแบบทดสอบท่ีนกั เรียนคาดเดาคาตอบไดง้ ่ายเหมือนเหรียญ
สองดา้ น และการขอ้ คาถามเป็นการยากท่จี ะทาใหข้ อ้ สอบไมค่ ลมุ เครือ

3.2.2 ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching) เป็ นข้อสอบท่ีให้ผู้ตอบจับคู่ท่ี
สมั พันธก์ นั ระหว่างคาหรือขอ้ ความใน 2 สดมภ์ โดยอาจเป็นแบบจบั ค่คู ละ แบบแยกประเภท ซ่ึง
ควรตระหนักว่าควรใหต้ ัวเลือกเป็นประเภทเดียวกัน ควรระบุอย่างชัดเจนว่าจะวัดส่ิงใด เรียงคา
ถามและคาตอบใหเ้ ป็นระเบียบ ควรมีคาตอบท่ีไม่ถูกจับคู่กับคาตอบดว้ ย แต่ไม่มากจนเกินไป
ขอ้ สอบประเภทนีม้ ีขอ้ ดีท่ีสามารถบรรจุคาถามเก่ียวกับขอ้ เท็จจริงเกี่ยวกบั ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง
ขอ้ ความกบั นิยามไดม้ ากโดยไม่ใชเ้ วลาสอบท่เี ยอะ แตข่ อ้ เสียคือ สรา้ งขอ้ คาถามไดย้ าก บางคราว
เนอื้ เรือ่ งมีไม่เพียงพอท่จี ะสรา้ งขอ้ คาถามแบบจบั คู่ จึงทาใหม้ ีตวั เลือกท่ไี มถ่ กู นามาจบั ค่กู บั คาตอบ
ไดไ้ มเ่ พียงพอ

3.3.3 ข้ อ ส อ บ แ บ บ เ ติ ม ( Completion) ห รื อ เ ติ ม ค า ต อ บ สั้ น
(ShortAnswer) เป็นขอ้ สอบท่ีมีคาตอบตายตัว ในลกั ษณะท่ีใหผ้ ูส้ อบเติมคาหรือตอบเพียงสนั้ ๆ
ครูจงึ ควรสรา้ งขอ้ คาถามท่ีทาใหม้ ีคาตอบท่ีถกู ตอ้ งเพียงคาตอบเดียวโดยท่ไี ม่มีขอ้ ความเหมือนกับ
ในหนงั สอื โดยควรเวน้ ท่วี ่างใหเ้ ขียนไวไ้ ม่มากเกนิ ไปทา้ ยคาถาม โดยขอ้ ดีของขอ้ สอบประเภทนี้ คอื
สรา้ งคาถามไดง้ ่ายแต่ตอ้ งระมัดระวังเร่ืองการใชภ้ าษา แต่ขอ้ เสีย คือมักมีคาตอบท่ีถูกตอ้ งเพียง
สว่ นหนงึ่ และผดิ อีกสว่ นหน่งึ จะทาใหค้ รูใหค้ ะแนนไดย้ ากขนึ้

3.3.4 ขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ (Multiple Choices) หรอื ขอ้ สอบแบบหลาย
ตวั เลือก โดยขอ้ สอบประกอบดว้ ย 2 สว่ น คือ สว่ นท่ีเป็นตวั คาถาม (Stem) และสว่ นท่ีเป็นคาตอบ
หรือตวั เลือก (Alternative หรือ Choice หรือ Options) โดยคาตอบอาจเป็นคาตอบถูกเรียกว่า ตวั
คาตอบ (Answer หรือ Key) และตัวเลือกท่ีเหลือจะเป็นตัวเลือกท่ีผิดหรือเรียกว่าตัวเลือกลวง
(Distraters) จะมีประโยชนม์ ีมากกว่าโทษ โดยขอ้ ดีคือสามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดห้ ลายอย่าง วดั ไดว้ ่า
นกั เรียนจดจาขอ้ เท็จจรงิ ย่อย ๆ ไดด้ ีเพียงไร ตลอดจนวดั ไดว้ ่านกั เรียนสามารถนาเอาหลกั เกณฑท์ ่ี
สาคญั ไปใชใ้ นสถานการณใ์ หม่ ๆ ไดม้ ากนอ้ ยแค่ไหน โอกาสในการคาดคาตอบจะนอ้ ยลง และการ
ตรวจจะไม่เป็นปัญหา แต่มีขอ้ เสียสาคญั คือ สรา้ งไดย้ าก กลา่ วคือ เป็นการยากท่ีจะสรา้ งตวั เลือก
ท่ใี กลเ้ คียงกบั ความถกู ตอ้ งแต่ผิด และการใชเ้ วลาในการทดสอบจะมากขนึ้ ดว้ ย

ลกั ษณะสาคญั ของแบบทดสอบปรนยั มี 4 ประการ ไดแ้ ก่
1. นักเรียนตอ้ งทาตามท่ีครูกาหนดใหเ้ กือบทั้งหมด โดยท่ีนักเรียนไม่มี

โอกาสจดั รวบรวมหรือตีความหมายคาถามดว้ ยตนเอง โดยขอ้ เสียนีจ้ ึงไม่ช่วยในการวดั ทักษะใน
การจดั รวบรวมความคิดเห็นของนกั เรียน แต่เป็นขอ้ ดีคือ นกั เรยี นจะตอ้ งตอบคาตอบเหมือนกนั ทุก
คน คาถามไม่กวา้ งหรือเขวเช่นเดียวกบั คาถามอัตนยั ซ่ึงจะแตกต่างกนั มากสาหรบั นกั เรียนท่ีเขา้
สอบ

2. นักเรียนเลือกคาตอบท่ีกาหนดใหเ้ พียงคาตอบเดียวท่ีเห็นว่าถูกตอ้ ง
คาถามแบบปรนยั ส่วนมากกาหนดคาตอบใหน้ กั เรียนเลือก โดยนกั เรียนไม่ตอ้ งคิดหาคาตอบเอง
แตพ่ งึ ตอ้ งละเวน้ ถอ้ ยคาท่เี หมือนกบั ในหนงั สือ และเวน้ จากการใหน้ กั เรียนทอ่ งจาขอ้ เทจ็ จรงิ ถา้ คา
ถามแบบปรนัยเป็นปัญหาท่ีนักเรียนตอ้ งจดจาและนาเอาขอ้ เท็จจริงหรือกฎเกณฑม์ าใชใ้ หเ้ ป็น
ประโยชนด์ ว้ ยคาถามแบบนกี้ ็มีคณุ ค่าเท่ากบั คาถามแบบอตั นยั เหมือนกนั

3. คาถามมีมากขอ้ เน่ืองจากคาถามแตล่ ะขอ้ สน้ั จงึ ถามไดม้ ากและกวา้ ง
ทาใหค้ าถามท่เี ลอื กมาถามนนั้ เป็นตวั แทนของคาถามทงั้ หมดไดด้ ี คะแนนท่ีไดจ้ ึงแม่นยา

4. คาถามมีเฉลยไวแ้ น่นอนตายตวั ดงั นั้นการตรวจใหค้ ะแนนจึงใชเ้ วลา
นอ้ ยแต่การสรา้ งคาถามกินเวลานาน และการเขียนคาถามเช่นนีจ้ ึงตอ้ งอาศยั ความชานาญทาง
ภาษามาก

จึงสรุปไดว้ ่า ประเภทของการแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน มีกี่ประเภทขึน้ อยู่กับว่า
ผูข้ ียนแบบวดั จะใชห้ ลกั เกณฑใ์ ดในการพิจารณา โดยมีเกณฑห์ ลกั ดว้ ยกนั 3 เกณฑ์ ไดแ้ ก่ เกณฑ์
ลักษณะในการสรา้ ง เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนน และเกณฑ์ลักษณะการตรวจให้
คะแนน ซ่งึ ในแตล่ ะเกณฑก์ ็จะสามารถแบง่ ย่อยออกเป็นประเภทย่อยไดอ้ กี โดยพบวา่ มลี กั ษณะใน

การสรา้ งแบบวดั ขอ้ ดีและขอ้ เสียแตกต่างกันออกไป ผูว้ ิจัยเลือกใชแ้ บบทดสอบปรนัยชนิดแบบ
เลือกตอบ จานวน 30 ขอ้ เน่ืองจากเป็นแบบวัดท่ีสามารถวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
ไดค้ ราวละหลายขอ้ เท็จจริง นกั เรียนมีการคาดเดาคาตอบไดน้ อ้ ย แต่การใหค้ ะแนนในการตัดสิน
ผลทาไดอ้ ยา่ งชดั เจน

3.3 ลาดบั ขั้นการประเมินผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
ในการประเมินผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเพ่ือวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน

หลงั การไดร้ บั การเรียนรู้ โดยในการประเมินผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการประเมินผลการเรียนรู้
ดา้ นพทุ ธิพิสยั โดยนาลาดบั ขนั้ ของกระบวนทางปัญญาของบลมู (Bloom’s Taxonomy) ซ่งึ จะมคี า
ท่บี ง่ บอกพฤตกิ รรมระดบั ต่าง ๆ เพ่ือจดั ประเภทของคา ถามว่าครูกา ลงั วดั กระบวนการทางปัญญา
ท่ีอย่ใู นระดบั พืน้ ฐานหรือระดบั สงู โดยบลมู และคณะไดแ้ บ่งจุดม่งุ หมายทางการศึกษาเป็น 3 ดา้ น
ไดแ้ ก่ ดา้ นปัญญาหรือทกั ษะดา้ นการคิดหรือพทุ ธิพิสยั (Cognitive Domain) ดา้ นอารมณห์ รือจิต
พิสยั (Affective Domain) และดา้ นทักษะทางกายหรือทักษะพิสยั (PsychomotorDomain) และ
ในดา้ นพทุ ธิพิสยั ไดม้ ีการปรบั ปรุงโดย Anderson และ Krathwohl โดย BenjaminS. Bloom และ
คณะได้ทาการศึกษาและสร้างฉบับปรับปรุ งใหม่ช่ือว่า Bloom’s Revised Taxonomy
(กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2553, น. 113-117; ชวลติ ชกู าแพง, 2550, น. 89-93) โดยในการวิจยั ครง้ั นี้
ผู้วิจัยมุ่งหวังท่ีจะวัดเพียงด้านพุทธิสัย โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการวัดการ
ประเมินผลตามหลกั การของ Bloom’s Taxonomy ไดจ้ ัดการเรียนรูท้ างปัญญาไว้ 6 ระดับ เรียง
จากระดับพืน้ ฐานถึงระดับสูงไดแ้ ก่ ความรู้-ความจา ความเขา้ ใจ การนาไปใช้ (ทักษะการคิด
ระดับพืน้ ฐาน) การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมินค่า (ทักษะการคิดระดบั สูง) โดยมี
รายละเอยี ดดงั นี้

1. ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความสามารถทางสมองในการรกั ษาคงไว้ใน
เรื่องราวต่าง ๆ ท่ีบุคคลไดร้ บั รูไ้ ว้ในสมองได้อย่างถูกตอ้ งแม่นยา โดยจาแนกเป็น 3 ขอ้ ได้แก่
ความรูใ้ นเรอ่ื งเฉพาะ ความรูใ้ นการดาเนินการ และความรูร้ วบยอดในเนอื้ เรอื่ ง

2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) หมายถึง ความสามารถในการจับใจความ
สาคัญของเรื่อง ถ่ายทอดเรื่องราวจากประสบการณอ์ อกมาเป็นถ้อยคาภาษาของตนเอง โดยท่ี
ความหมายยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยพฤติกรรมท่ีแสดงออกว่ามีความเขา้ ใจมี 3 ลักษณะ
ได้แก่ การแปลความ (translatin) คือ.การตีความ (interpretation) และการขยายความ
(extrapolation)

3. การนาไปใช้ (Application) เป็นความสามารถในการนาหลกั การวิชาไปใชใ้ น
การแกไ้ ขสถานการณแ์ บบใหม่ ซ่งึ อาจใกลเ้ คียงหรือคลา้ ยกบั สถานการณท์ ่เี คยพบเห็นมากอ่ น

4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแยกแยะเร่ืองราว ส่ิงต่าง ๆ
ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ไดว้ ่าเรื่องราวนนั้ ๆ มีองคป์ ระกอบ ความสาคญั หลกั การและเหตผุ ลอย่างไร
โดยแบ่งออกเป็น 3 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การวิเคราะหค์ วามสาคัญ (analysis of elements) วิเคราะห์
ความสัมพันธ์ (analysis of relationship) และวิเคราะห์หลักการ (analysis oforganizational
principles)

5. การสงั เคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเขา้
ดว้ ยกนั เพ่ือเป็นส่ิงใหม่ อีกรูปแบบหน่ึงท่ีมีโครงสรา้ งท่ีแตกต่างไปจากเดิม โดยแบ่งเป็น 3 ลกั ษณะ
ไดแ้ ก่ การสงั เคราะหข์ อ้ ความ ( production of unique communication) การสงั เคราะหแ์ ผนงาน
(production of plan or proposed set of operation) การสงั เคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ (derivation of
a set of abstract relations)

6. การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการพิจารณาตดั สินหรือลง
ข้อสรุปเก่ียวกับคุณค่าของเนือ้ หาและวิธีการต่าง ๆ โดยอาศัยเกณฑแ์ ละมาตรฐานท่ีวางไว้ 2
ลักษณะ ได้แก่ ประเมินโดยอาศัยเกณฑ์ภายใน (Judgment in terms of internalevidence)
ประเมนิ โดยอาศยั เกณฑภ์ ายนอก (Judgment in terms of external criteria)

โดยการปรับเปลี่ยนเกิดจาก Bloom’s Taxonomy มีข้อจากัดบางประการ ได้แก่
มาตรฐานท่ีเขม้ งวดของพฤติกรรมแต่ละขนั้ การให้คาจากดั ความในพฤติกรรมแต่ละขนั้ ทาใหเ้ กิด
ความเขา้ ใจว่าไม่สามารถทบั ซอ้ นและเหล่อื มลา้ กนั ได้ บางพฤติกรรมในขนั้ การประเมินค่ามีความ
ซบั ซอ้ นกว่าขนั้ สูง ทาให้ David Krathwohl และคณะ ไดป้ รบั ปรุงโดยเปล่ียนช่ือของกระบวนการ
ทางปัญญาทงั้ 6 ขนั้ เปลี่ยนจากคานามเป็นคากริยา ทาใหส้ ะทอ้ นถึงการคิดและกระบวนการทาง
ปัญญาในลกั ษณะของการกระทา และมีการปรบั ปรุงคาอธิบายและนิยามในบางลาดับขั้นดว้ ย
โดยไดม้ ีนกั การศกึ ษาเสนอตารางเปรียบเทียบกระบวนการทางปัญญาท่ีใชค้ าศพั ทไ์ วเ้ ป็น Bloom’s
Revised Taxonomy ดงั ตาราง

ตาราง 1 การเปรียบเทียบกระบวนการทางปัญญาระหว่างคาศพั ทเ์ ดิมและคาศพั ทใ์ หม่

คาศัพทเ์ ดิม คาศัพทใ์ หม่
1. ความรู้ (knowledge) 1. จา (remembering)

2. ความเขา้ ใจ (comprehension) 2. เขา้ ใจ (understanding)

3. การนาไปใช้ (application) 3. ประยกุ ตใ์ ช้ (applying)

4. การวเิ คราะห์ (analysis) 4. วเิ คราะห์ (analyzing)

5. การสงั เคราะห์ (synthesis) 5. ประเมินค่า (evaluating)

6. การประเมินคา่ (evaluation) 6. คดิ สรา้ งสรรค์ (creating)

ท่มี า: ชวลิต ชกู าแพง. (2550). ประเมินการเรียนรู.้ หนา้ 91

โดยในการวิจัยครง้ั นี้ ผูว้ ิจยั สรา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 5 ขนั้ ไดแ้ ก่ จา เขา้ ใจ

ประยกุ ตใ์ ช้ วิเคราะหแ์ ละประเมินค่า โดยไม่ไดม้ ่งุ เนน้ ขั้นคิดสรา้ งสรรค์ ซ่งึ เป็นขอ้ สอบปรนัยแบบ

เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 30 ขอ้

4.4 ข้นั ตอนการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
ในการสรา้ งแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จาเป็นอย่างย่ิงท่ีครูต้องมีการวาง

แผนการสรา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เพ่ือใหค้ รูไดต้ ระหนกั ว่าครูกาลงั จะวดั ประเมิน

ในหวั ขอ้ ไหน และมีแนวทางในการดา เนินการสรา้ งเป็นลาดบั ขนั้ ตอนอย่างไร โดยมีนกั การศกึ ษา
หลายท่าน ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนข้อสอบแบบปรนัย

(เตือนใจ เกตุษา, 2549, น. 21-26; ลว้ น สายยศ, 2539, น. 249) หลักท่ัวไปในการสรา้ งแบบวัด
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน มขี นั้ ตอนสาคญั 4 ขนั้ โดยจาแนกไดด้ งั นี้

1. การวางแผนสรา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน จาแนกขนั้ ตอนไดด้ งั นี้
1.1 กาหนดจุดมุ่งหมายในการสรา้ งแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดย

ผสู้ รา้ งขอ้ สอบตอ้ งทราบว่า จดุ มงุ่ หมายของการทดสอบคอื อะไร ทาไมจึงตอ้ งมีการทดสอบ และจะ
นาผลไปใชอ้ ย่างไร ทงั้ นีเ้ พ่ือใหแ้ บบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนท่ีสรา้ งขึน้ เป็นไปตามเป้าหมายท่ี

ตอ้ งการใหม้ ากท่ีสดุ จึงตอ้ งกาหนดจุดม่งุ หมายใหล้ ะเอียดและชดั เจน โดยจดุ ม่งุ หมายจะตอ้ งระบุ
สง่ิ ท่ีจะทดสอบใหช้ ดั เจนวา่ ตอ้ งการทดสอบสมรรถภาพหรือความสามารถใด ทงั้ นีต้ อ้ งระบบุ คุ คลท่ี

จะทาการวดั และสามารถระบผุ ลการนาไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งชดั เจนว่าตอ้ งการนาไปใชใ้ นดา้ นใด

1.2 วเิ คราะหห์ ลกั สตู ร หมายถงึ กระบวนการท่จี าแนกแยกแยะใหท้ ราบว่าใน
วิชานัน้ ๆ มีจุดประสงคท์ ่ีจะใหเ้ กิดพฤติกรรมอะไร โดยอาศัยเนือ้ หาสาระอะไร โดยควรเร่ิมทา
ก่อนท่ีจะมีการเรียนการสอน เพ่ือเป็นการเตรียมวิธีการสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพ และช่วยใหค้ รูบรรลุ
ตามจดุ มงุ่ หมายท่วี างไว้ ดงั นนั้ การวเิ คราะหห์ ลกั สตู รจึงประกอบดว้ ยการวิเคราะห์ 2 อย่าง คือ

1.2.1 วิเคราะหจ์ ดุ ประสงค์ เป็นการใหค้ าจากดั ความเฉพาะพฤติกรรมแทจ้ ริง
ท่ีคาดหวงั ใหเ้ กิดกบั นกั เรียนไวล้ ่วงหนา้ โดยใชค้ าท่ีชดั เจน เพ่ือเป็นแนวทางในการจดั การเรียนการ
สอน และสรา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น โดยจดุ ประสงคก์ ารสอนและการประเมินผลจะตอ้ ง
มคี วามสมั พนั ธแ์ ละเก่ียวขอ้ งกนั อย่างตอ่ เน่ือง

1.2.2 วิเคราะหเ์ นือ้ หาวิชา เป็นการจาแนกหรือจัดหมวดหม่เู นือ้ หาออกเป็น
รายหัวขอ้ ทั้งนีก้ ารวิเคราะห์เนื้อหาวิชาจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องทาไปพรอ้ มกับการวิเคราะห์
จดุ ประสงค์

1.3 สรา้ งตารางวิเคราะหห์ ลกั สตู รหรือตารางขอ้ สอบ (Test blue print) เป็น
ตารางสองมิติ โดยมิติแรกเป็นภาคจุดประสงคท์ ่ีประกอบดว้ ยพฤติกรรมท่ีเขียนไวด้ า้ นบนตาราง
และมิติสองเป็นเนือ้ หาท่ีประกอบดว้ ย หวั ขอ้ เนือ้ หาวิชาท่ีจัดเป็นหมวดหมู่ เพ่ือใชส้ าหรบั กาหนด
นา้ หนกั คะแนน วา่ ในแต่ละหวั ขอ้ เนอื้ หาวิชาจะมีพฤติกรรมใดสาคญั มากหรอื นอ้ ยเพียงใด

2. การสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยจะต้องสร้างให้มีความ
สอดคลอ้ งกับตารางวิเคราะหห์ ลักสูตร โดยขอ้ สอบท่ีสรา้ งขึน้ จะต้องวัดครอบคลุมเนือ้ หาและ
พฤตกิ รรมท่กี า หนดไว้ ทงั้ นีค้ วรคานึงวา่ แบบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นจะตอ้ งไมใ่ ช่คาท่ีคลมุ เครือ
ไม่จัดให้มีข้อถูกเรียงกันอย่างเป็นระบบหรือเป็นไปอย่างสุ่ม โดยการสรา้ งแบบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนในระยะเร่มิ ตน้ (ฉบบั ยกรา่ ง) ควรสรา้ งจานวนขอ้ ของแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
ใหม้ ีจานวนขอ้ ท่ีมากกว่าท่ีต้องการไว้ เพราะหลังจากการทดลองสอบจะต้องตัดข้อท่ีมีระดับ
คณุ ภาพต่าออกเพ่ือไม่ใหเ้ สียเวลาในการเขียนเพ่ิมในภายหลงั โดยก่อนการนาไปทดลองสอบ ครู
ควรมกี ารตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบก่อนท่จี ะนาไปใช้ โดยมผี เู้ ช่ียวชาญเป็นผพู้ จิ ารณาว่า
ขอ้ คาถามวดั ไดต้ รงตามจุดประสงคท์ ่ีตอ้ งการจะวดั หรือไม่ วธิ ีนเี้ ป็นการหาค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง
ระหว่างขอ้ คาถามกับจุดประสงค์ (Item-ObjectiveCongruence Index: IOC) โดยคะแนนในการ
คัดเลือกข้อคาถามท่ีควรพิจารณาไว้ใช้ควรมีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับ
จดุ ประสงคต์ งั้ แต่ 0.5-1.00

3. การทดลองสอบ (Trying out the test) เพ่ือนาขอ้ มลู ท่ีไดไ้ ปประเมินคุณภาพ
ของผลแบบทดสอบจากแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน โดยตอ้ งคานึงถงึ การกาหนดกลมุ่ ตวั อย่าง
ท่ีใชว้ ่าควรเป็นตัวแทนจากกล่มุ ประชากร ควรใหเ้ วลาจานวนมากกว่าการทดสอบจริง เน่ืองจาก
ขอ้ สอบมีจานวนมาก และจงู ใจใหน้ กั เรียนตงั้ ใจในการทาการทดลองสอบ

4. การประเมินหาค่าคุณภาพของแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและจัดพิมพ์
ขนั้ ตอนนีม้ ีเพ่ือการหาคณุ ภาพของขอ้ คาถามโดยพิจารณาเป็นรายขอ้ และทงั้ ฉบบั เพ่ือใหไ้ ดแ้ บบ
วดั ผลสมั ฤทธิท์ ่มี ีคณุ ภาพ และช่วยใหก้ ารวดั มีความถกู ตอ้ งเช่ือถือได้ โดยขอ้ สอบขอ้ ใดท่ีมีคณุ ภาพ
ก็จะนาขอ้ สอบขอ้ นนั้ ไปใชเ้ ป็นขอ้ สอบท่ีจัดพิมพเ์ พ่ือใชจ้ ริง และขอ้ สอบท่ีไม่มีคณุ ภาพก็พิจารณา
เพ่ือตัดออก โดยพิจารณาจากความเท่ียงตรง ความเช่ือม่นั ความยาก อานาจจาแนก และความ
เป็นปรนยั โดยมรี ายละเอียดกลา่ วโดยสรุป ดงั นี้

4.1 ความเท่ียงตรง (Validity) เป็นคุณสมบัติของเคร่ืองมือท่ีสามารถวัดได้
ตามวตั ถปุ ระสงคห์ รอื ตามตามสิ่งท่ีตอ้ งการท่จี ะวดั

4.2 ความเช่ือม่ัน (Reliability) เป็นคุณสมบัติของเคร่ืองมือวัดท่ีแสดงให้
ทราบว่าเคร่ืองมือนนั้ ใหผ้ ลการวดั ท่ีคงท่ีไม่ว่าจะใชว้ ดั กี่คร้ังก็ตามกบั กลมุ่ เดิม โดยค่าความเช่ือม่นั
มีค่าอยรู่ ะหว่าง .00 ถงึ 1.00 โดยท่วั ไปแลว้ แบบทดสอบท่ีสรา้ งขึน้ ควรมีค่าความเช่ือม่นั ตงั้ แต่ .06
ขนึ้ ไป

4.3 ความยากง่าย (Difficulty) เป็นคณุ สมบตั ิของขอ้ สอบท่ีบอกใหท้ ราบว่า
ขอ้ สอบขอ้ นนั้ มีคนตอบถูกมากหรือนอ้ ย ซ่ึงเป็นการเอาจานวนคนทงั้ หมดท่ีตอบถูกในขอ้ นนั้ หาร
ดว้ ยจานวนผูส้ อบทงั้ หมด โดยถา้ มีคนตอบถูกมากขอ้ สอบนนั้ จะถือว่าเป็นขอ้ สอบท่ีง่าย ในทาง
กลบั กนั หากมีคนตอบถกู นอ้ ยจะถือว่าเป็นขอ้ สอบท่ียาก และถา้ มีคนขอ้ สอบถกู ในระดบั ปานกลาง
จะถือวา่ ขอ้ สอบมีความยากปานกลาง ค่าความยากง่ายมีค่าตงั้ แต่ช่วง .00 - 1.00 โดยขอ้ สอบควร
อยรู่ ะหวา่ ง 0.20 – 0.80

4.4 อานาจจาแนก (Discrimination) เป็นคุณสมบัติของข้อสอบท่ีสามารถ
จาแนกนักเรียนไดต้ ามความแตกต่างว่าใครเป็นคนเก่ง ปานกลาง อ่อน หรือใครรูห้ รือไม่รูโ้ ดยยดึ
หลกั ว่าคนเก่งจะตอ้ งตอบขอ้ สอบขอ้ นนั้ ถูก คนไม่เก่งจะตอบขอ้ สอบขอ้ นนั้ ผิด ขอ้ สอบท่ีดีจะตอ้ ง
แยกคนเก่งกบั คนไม่เก่งออกจากกนั ได้ โดยค่าอานาจจาแนกมีค่าอยู่ในช่วงตงั้ แต่ -1.00 ถึง 1.00
โดยขอ้ สอบท่มี คี ณุ ภาพจะมคี ่าอานาจจาแนกอย่ใู นชว่ ง .20 ถงึ 1.00 จงึ จะเป็นขอ้ สอบท่ใี ชไ้ ด้

4.5 ความเป็นปรนยั (Objectivity) หมายถึง ความชดั เจน ความถูกตอ้ งตาม
หลกั วิชา และความเขา้ ใจท่ีตรงกนั โดยลกั ษณะของขอ้ สอบท่ีเป็นปรนัย ควรชัดเจนในการแปล
ความหมายของขอ้ คาถาม กล่าวคือ ควรเป็นขอ้ คาถามท่ีชัดเจน รดั กุม ทุกคนอ่านคาถามแลว้
เขา้ ใจตรงกันว่าคาถามนั้น ถามถึงอะไร นอกจากนีค้ วรเป็นข้อสอบท่ีเป็นปรนัยในด้านการให้
คะแนนและการแปลความหมายของการใหค้ ะแนน กล่าวคือ ไม่ว่าจะใหใ้ ครเป็นผูต้ รวจหรือการ
แปลความหมายของคะแนนก็จะได้ผลจากการตรวจและการแปลความหมายของคะแนน
เช่นเดียวกนั จากเกณฑก์ ารตรวจท่ใี หค้ ะแนนท่ีชดั เจน ทงั้ นีเ้ ม่อื พิจารณาจนทราบว่าขอ้ สอบมีระดบั
ความยากและมีคา่ อานาจจาแนกเทา่ ใด ขอ้ สอบขอ้ ใด มีความยากงา่ ยและอานาจจาแนกไม่อยู่ใน
เกณฑท์ ่ีกาหนดไว้ จาเป็นตอ้ งตดั ทิง้ ไป โดยขอ้ สอบท่ีมีคุณภาพจึงควรเป็นขอ้ สอบท่ีมีความยาก
ง่ายพอเหมาะ มีค่าอานาจจาแนกสงู จากนนั้ จึงเลือกขอ้ สอบใหค้ รบตามจานวนท่ีสอดคล้องกับ
ตารางวิเคราะหห์ ลกั สตู รแกไ้ ขปรบั ปรุงสานวนของขอ้ สอบแต่ละขอ้ ใหเ้ หมาะสม หลงั จากนนั้ จึงเขา้
สกู่ ระบวนการพมิ พแ์ บบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน และนาไปทดสอบจรงิ

จึงสรุปไดว้ ่า ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ควรเรม่ิ ตน้ จาก การศึกษา
หลกั สตู รร่วมกับคณะกรรมการดาเนินการ จากนนั้ จึงเป็นการกาหนดจุดม่งุ หมายในการ วดั และ
ประเมินผลตามโครงสรา้ งหลกั สตู รทงั้ ภาคจุดประสงคท์ ่ีสรา้ งใหเ้ กิดเนือ้ หาวิชาตาม หลกั สตู ร แลว้
จึงร่างตารางขอ้ สอบ (Blueprint) ตาม Bloom’s Revised Taxonomy เพ่ือให้ คณะกรรมการทราบ
ว่า จะสรา้ งขอ้ สอบในแต่ละรายจดุ ประสงคใ์ นขนั้ ใด จานวนเท่าใด โดยมี หลกั การสรา้ งขอ้ สอบใน
ครง้ั แรกใหเ้ กินกวา่ จานวนขอ้ สอบจรงิ ท่ีตอ้ งการ โดยในการวิจยั ครงั้ นี้ ผวู้ จิ ยั จะวิเคราะหห์ าคณุ ภาพ
ของแบบวดั โดยเร่มิ ตน้ จากการประเมินความเท่ียงตรงเชิงเนือ้ หา (Item-Objective Congruence
Index: IOC) โดยผูเ้ ช่ียวชาญจานวน 3 ท่าน โดยมีเกณฑก์ ารผ่าน เกิน 0.50 ขึน้ ไป แลว้ จึงเขา้ สู่
กระบวนการทดลองสอบ (Trying Out) เพ่อื นาแบบวดั ดงั กลา่ วมา วิเคราะหท์ งั้ รายขอ้ และรายฉบบั
ไดแ้ ก่ ค่าความยากง่าย ค่าอานาจจาแนก โดยเลือกขอ้ ท่ีมีค่า ความยากง่ายอย่ใู นช่วง 0.20-0.80
และค่าอานาจจาแนกเกินกว่า 0.20 จากนนั้ การวิเคราะหร์ าย ฉบบั โดยใชค้ ่าสมั ประสิทธิ์แอลฟา
ของครอนบัค (Cronbach’s Alpha Coefficient: α) หลังจากนั้น จึงนาแบบวัดผลสัมฤทธิ์ท่ีได้
คุณภาพตามท่ีตอ้ งการ นาไปใชก้ ับกลุ่มตัวอย่าง โดยในการวิจัยคร้งั นี้ ผู้วิจัยจะสรา้ งแบบวัด
ผลสมั ฤทธิ์ในครง้ั แรกจานวน 60 ขอ้ และหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือจนเหลือ 30 ขอ้ เพ่ือนาไปใชก้ ับ
กลมุ่ ตวั อย่างตอ่ ไป

บทที่ 3
วิธีการดาเนินการวิจยั

ในการวิจัยครงั้ นีเ้ ป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) ผูว้ ิจัยได้
ทาการศกึ ษาผลการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใชเ้ กม ซง่ึ
ผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินการเป็น 4 ระยะ ดงั นี้

ระยะท่ี 1 การเตรียมการ
ระยะท่ี 2 การสรา้ งเครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั
ระยะท่ี 3 การดาเนนิ การวจิ ยั
ระยะท่ี 4 การวิเคราะหข์ อ้ มลู

ระยะที่ 1 การเตรียมการ
ในระยะเตรียมการ ผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินการตามขนั้ ตอน ดงั นี้
1. ศึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับแนวคิด หลกั การของการจัดการเรียนรู้

การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใชเ้ กม
2. ศกึ ษาหลกั สตู ร มาตรฐานการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์

ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ว 1.3 ตัวชีว้ ดั ป.4/1-2 สาระตามหลกั สูตร
แกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)

3. ศึกษารายละเอียดเก่ียวกับการจัดทาแผนการจัดการเรียนรูแ้ ละการจัดกิจกรรม
เพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางในการสรา้ งและพฒั นาเครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ต่อไป

ระยะที่ 2 การสร้างเคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
ข้ันตอนการสร้างและการหาคณุ ภาพเคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการทดลอง
1. แผนการจดั การเรียนรู้
1.1. ศึกษาเอกสาร ตารา วารสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การจัดการเรียนรูท้ ่ีใช้

บรบิ ทเป็นฐานและเทคนคิ การใชค้ าถาม รวมถงึ ศกึ ษาและวิเคราะหต์ วั ชีว้ ดั ในรายวิชาวิทยาศาสตร์
ไดแ้ ก่ เรอ่ื ง ส่ิงมีชีวิต โดยเป็นสาระตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)

1.2. กาหนดขอบเขตของการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ สาระสาคัญ และ
ระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการสอน ปรากฏ ดงั ตาราง 6

ตาราง 2 ขอบเขตของการจดั การเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรู้ และระยะเวลาท่ใี ช้

หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ ระยะเวลา (ช่ัวโมง)
สิ่งมชี ีวติ ทดสอบกอ่ นเรียน 1
2
1 ลกั ษณะของสงิ่ มชี วี ิต 2
2 การจาแนกสงิ่ มชี วี ิต 2
3 โครงสรา้ งของสตั ว์ 2
4 การจาแนกสตั ว์ 2
5 ลกั ษณะเฉพาะสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั 2
6 สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั กลมุ่ ต่าง ๆ 2
7 ส่วนประกอบของพชื 2
8 การจาแนกพชื 1
16
ทดสอบหลงั เรียน 18
จานวนช่วั โมงทงั้ หมดท่ใี ชใ้ นการสอน
จานวนช่วั โมงท่ใี ชท้ งั้ หมดในการวจิ ยั

ตาราง 3 แสดงความสมั พนั ธข์ องมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชีว้ ดั และจดุ ประสงคก์ ารเรียนรูใ้ น
แผนการจดั การเรียนรู้

ตวั ชวี้ ัด แผน จุดประสงค์
การจดั การเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/1 แผนท่ี 1 สงั เกตและบรรยายลกั ษณะ
จาแนกสง่ิ มีชวี ิตโดยใชค้ วามเหมอื นและความ ลกั ษณะของสง่ิ มชี วี ิต ของสิง่ มชี ีวติ แต่ละกล่มุ ได้
แตกตา่ งของลกั ษณะของสงิ่ มีชวี ติ ออกเป็นกลมุ่ จาแนกสงิ่ มชี วี ิตออกเป็นกลมุ่
พชื กล่มุ สตั ว์ และกลมุ่ ท่ีไมใ่ ชพ่ ชื และสตั ว์ แผนท่ี 2 โดยใชก้ ารเคลื่อนท่แี ละการ
การจาแนกส่ิงมชี วี ติ สรา้ งอาหารเป็นเกณฑ์
สงั เกตและอธิบายโครงสรา้ ง
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/3 แผนท่ี 3 ภายนอกและโครงสรา้ งภายใน
จาแนกสตั วอ์ อกเป็นสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั และ โครงสรา้ งของสตั ว์ ของสตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ
สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั โดยใชก้ ารมกี ระดกู สนั จาแนกสตั วอ์ อกเป็นกลมุ่ โดย
หลงั เป็นเกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มลู ท่รี วบรวมได้ แผนท่ี 4 ใชก้ ารมกี ระดกู สนั หลงั เป็น
การจาแนกสตั ว์ เกณฑ์

ตัวชวี้ ดั แผน จดุ ประสงค์
การจัดการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/4 แผนท่ี 5 สงั เกตและบรรยายลกั ษณะ
บรรยายลกั ษณะเฉพาะท่สี งั เกตไดข้ องสตั วม์ ี ลกั ษณะเฉพาะสตั วม์ ี เฉพาะท่สี งั เกตไดข้ องสตั วม์ ี
กระดกู สนั หลงั ในกล่มุ ปลา กล่มุ สตั วส์ ะเทินนา้ กระดกู สนั หลงั กระดกู สนั หลงั กลมุ่ ตา่ ง ๆ
สะเทินบก กลมุ่ สตั ว์ เลอื้ ยคลาน กลมุ่ นก และ แผนท่ี 6 สารวจหรอื สืบคน้ ขอ้ มลู เพ่อื
กลมุ่ สตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนา้ นม และยกตวั อยา่ ง สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั ยกตวั อยา่ งสตั วม์ ีกระดกู สนั
สิ่งมีชวี ติ ในแตล่ ะกล่มุ กลมุ่ ต่าง ๆ หลงั กล่มุ ต่าง ๆ
แผนท่ี 7 สงั เกต สืบคน้ ขอ้ มลู และบอก
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/2 สว่ นประกอบของพชื - สว่ นต่าง ๆ ของพชื
จาแนกพชื ออกเป็นพชื ดอกและพชื ไม่มีดอกโดย แผนท่ี 8 จาแนกพชื ออกเป็นกลมุ่ โดยใช้
ใชก้ ารมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มลู ท่รี วบรวม การจาแนกพชื การมดี อกเป็นเกณฑ์
ได้

1.3. ดาเนินการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้
ประกอบดว้ ย ช่ือเรอื่ ง ระยะเวลา มาตรฐานและตวั ชวี้ ดั สาระสาคญั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ สือ่ และ
แหลง่ การเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ การวดั และประเมนิ ผล และบนั ทกึ หลงั การเรียนรู้

1.4. หาคณุ ภาพของแผนการจดั การเรยี นรู้ ผวู้ จิ ยั ดาเนนิ การตามขนั้ ตอนต่อไปนี้
1.4.1. นาแผนการจดั การเรยี นรูเ้ สนอผเู้ ช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน โดยผเู้ ช่ียวชาญ

จะเป็นครูท่ีมีความชานาญในการจดั การเรียนรูม้ ากกว่า 5 ปี เพ่ือพิจารณาตรวจสอบความชดั เจน
ความสอดคลอ้ งเชิงเนือ้ หา (Content Validity) โดยพิจารณาจากค่าดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่าง
รายละเอียดกบั องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ ความสอดคลอ้ งระหว่างขนั้ ตอนต่าง ๆ ของ
แผนการจัดการเรียนรู้ รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องและความชัดเจนของภาษา โดยให้
ผเู้ ช่ียวชาญประเมินลงในแบบประเมินซ่งึ มีคา่ ประเมิน 3 ระดบั ดงั นี้

คะแนน หมายถงึ ระดบั ความความคิดเห็นในการประเมนิ
+1 หมายถึง สอดคลอ้ ง
0 หมายถงึ ไมแ่ นใ่ จ
-1 ไมส่ อดคลอ้ ง

1.4.2. นาแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีปรบั ปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะของผเู้ ช่ียวชาญ
แลว้ นาไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ท่ไี ม่ใชก่ ลมุ่ ตวั อยา่ ง

ขน้ั ตอนการสร้างและการหาคุณภาพเคร่ืองมือทใ่ี ชเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มูล
1. แบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์
1.1. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเก่ียวกับการสรา้ งแบบวัดผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์
1.2. ศึกษาเนือ้ หาสาระท่ีใช้ในแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง

สิง่ มีชวี ติ จากหนงั สือเรยี นและค่มู ือครูรายวิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เลม่ 1 ชนั้ ประถมศกึ ษา
ปีท่ี 4 ท่ีจดั ทาโดยสถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) ตามตวั ชีว้ ดั โดย
เป็นสาระตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.
2560)

1.3. กาหนดจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมดา้ นพทุ ธิพิสยั ท่ีตอ้ งการวัดสาหรบั การสรา้ ง
แบบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่ือง สง่ิ มีชวี ติ

ตาราง 4 แสดงจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธิพสิ ยั ท่ีตอ้ งการวดั สาหรบั การสรา้ งแบบวดั

มาตรฐานและตวั ชวี้ ัด จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมดา้ นพุทธพิ สิ ัย จานวน ร้อยละ
ข้อ
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/1 จา เข้าใจ ประยุกตใ์ ช้ วเิ คราะห์ 20.00
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/2 4 20.00
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/3 11 - 2 4 15.00
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/4 3 45.00
-1 - 3 9 100.00
รวม 20
-3 - -

-3 - 6

-8 5 6

1.4 สรา้ งแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่อื ง สิง่ มชี วี ติ แบบปรนยั ชนิด
เลือกตอบ จานวน 40 ขอ้ เพ่ือใหค้ รอบคลุมเนือ้ หาและจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมดา้ นพุทธิพิสยั
จานวน 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ การจา การเขา้ ใจ การประยกุ ตใ์ ชแ้ ละการวิเคราะห์

1.5. หาคณุ ภาพของแผนการจดั การเรียนรู้ ผวู้ ิจยั ดาเนนิ การตามขนั้ ตอนต่อไปนี้
1.4.1. นาแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่ือง สิ่งมีชีวิต เสนอ

ผเู้ ช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน โดยผเู้ ช่ียวชาญจะเป็นครูท่มี คี วามชานาญในการจดั การเรียนรูม้ ากกว่า
5 ปี เพ่ือพิจารณาตรวจสอบความชัดเจน ความสอดคล้องเชิงเนือ้ หา (Content Validity) โดย
พิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคลอ้ งระหว่างความถูกตอ้ งเหมาะสมของขอ้ คาถามและตัวเลือก
ตลอดจนพฤติกรรมท่ีต้องการวัด รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องและความชัดเจนของภาษา

จากนั้นคัดเลือกประเด็นท่ีมีค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ตั้งแต่ 0.67 ขึน้ ไป โดยผูเ้ ช่ียวชาญ
ประเมนิ ลงในแบบประเมนิ แบบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนเป็นรายขอ้ ซง่ึ มีคา่ ประเมนิ 3 ระดบั ดงั นี้

คะแนน หมายถึง ระดบั ความความคดิ เห็นในการประเมิน
+1 หมายถึง สอดคลอ้ ง
0 หมายถึง ไมแ่ น่ใจ
-1 ไม่สอดคลอ้ ง

1.4.2. นาแบบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิทยาศาสตรม์ าปรบั ปรุงตามคาแนะนา
ของผเู้ ช่ียวชาญ เพ่อื ความสมบรู ณแ์ ละเหมาะสมยงิ่ ขึน้ ไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี
ท่ี 5 โรงเรียนฺวัดแสงสรรค์ เน่ืองจากนักเรียนกลุ่มดังกล่าวไดผ้ ่านการเรียนเนือ้ หาเรื่อง ส่ิงมีชีวิต
มาแลว้ อีกทงั้ ยงั เป็นนกั เรยี นท่มี ลี กั ษณะคลา้ ยกบั กลมุ่ ตวั อย่าง แลว้ นากระดาษคาตอบมาตรวจให้
คะแนนตามเกณฑก์ ารตรวจใหค้ ะแนน โดยมเี กณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดงั นี้

คะแนน 1 คะแนน สาหรบั ขอ้ ท่ีตอบถกู
คะแนน 0 คะแนน สาหรบั ขอ้ ท่ีตอบผิดหรอื ไม่ตอบ

1.4.3 นาแบบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตรม์ าวิเคราะหห์ าคุณภาพ
ของเครื่องมือดว้ ยค่าความยากง่าย (p) และค่าอานาจจาแนก (r) ของแบบทดสอบเป็นรายข้อ
(Item-Analysis) โดยใชเ้ ทคนิค 27% ของ จุง-เตห-์ ฟาน หลงั จากนนั้ คดั เลือกขอ้ สอบท่ีมีค่าความ
ยากงา่ ย (p) ระหว่าง 0.20-0.80 และคา่ อานาจจาแนก (r) ตงั้ แต่ 0.2 ขนึ้ ไป จาก 40 ขอ้ คดั เลอื กไว้
จานวน 20 ขอ้

ระยะท่ี 3 การดาเนินการวิจยั
ประชากรทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ปีการศึกษา 2565

โรงเรยี นวดั แสงสรรค์ สานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาปทมุ ธานี เขต 2 จานวน 123 คน
กลุม่ ตวั อย่างทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั
นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4/1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวดั แสงสรรค์ สานกั งาน

เขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 จานวน 40 คน ท่ีไดจ้ ากการเลือกโดยใชว้ ิธีการ

เลือกแบบเจาะจง (purposive sampling)

ระยะเวลาทใ่ี ช้ในการวิจัย
ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวิจยั ผูว้ ิจัยดาเนินการใชเ้ วลา 8 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 2 ช่วั โมง

รวมระยะเวลา 16 ช่วั โมง ในภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 (ไม่รวมทดสอบกอ่ นและหลงั เรียน)
แบบแผนการวจิ ยั
การวจิ ยั นเี้ ป็นวจิ ยั กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) ดาเนินแผนการทดลอง

ตามแบบแผนการวิจัย แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One-Group Pretest
Posttest Design)

ตาราง 5 แบบแผนการทดลองแบบกลมุ่ เดยี วทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน (One-Group
Pretest Posttest Design)

กลมุ่ ตวั อย่าง ทดสอบก่อนเรยี น การทดลอง ทดสอบหลงั เรียน

E T1 X T2

สญั ลกั ษณท์ ่ใี ชใ้ นแบบแผนการวจิ ยั

E แทน กลมุ่ ทดลอง

X แทน การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E)

รว่ มกบั การใชเ้ กม

T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน
T2 แทน การทดสอบหลงั เรยี น

ดาเนินการทดลองและการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ในการวจิ ยั ครง้ั นี้ ผวู้ จิ ยั ดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้
1 ผูว้ ิจยั เตรียมนักเรียนดว้ ยการแนะนาวิชาเรียน ชีแ้ จงจุดประสงค์ วิธีการเรียน

การเกบ็ คะแนน ขอ้ ตกลงในการเรยี นตา่ ง ๆ โดยใชเ้ วลา 1 ช่วั โมง
2 ทดสอบก่อนเรียน (pretest) โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

วทิ ยาศาสตร์ เรือ่ ง ส่ิงมชี วี ิต ใชเ้ วลา 1 ช่วั โมง
3 ตรวจใหค้ ะแนนสาหรบั แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง

สง่ิ มชี วี ติ
4 ดาเนนิ การทดลองตามลาดบั ของแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 1-8 ใชเ้ วลาแผนละ 2

ช่วั โมง รวมเป็น 16 ข่วั โมง

5 เม่ือสิ้นสุดการสอน ดาเนินการทดสอบหลังเรียน (posttest) โดยแบบวัด
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน โดยใชแ้ บบวดั และเกณฑก์ ารตรวจฉบบั เดิมกับการทดสอบก่อนเรียน ใช้
เวลา 1 ช่วั โมง

6 นาคะแนนทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทัง้ 2 ครง้ั คือ ก่อนเรียนและหลงั
เรียนท่ไี ดม้ าวิเคราะห์ โดยวธิ ีการทางสถิติเพ่ือทดสอบสมมติฐาน

ระยะท่ี 4 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ผวู้ จิ ยั ดาเนินการจดั กระทาและวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดงั นี้
1. การวิเคราะหข์ อ้ มลู เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มี

วิธีการดงั นี้

1.1 หาค่าเฉลี่ย ( ̅) และค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation:
S.D.) ของคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน

1.2. ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉล่ียของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อน
เรียนและหลงั เรียน ดว้ ยสถิติการทดสอบค่าเฉล่ียของประชากรกล่มุ ตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน
(t-test dependent group)

2. การวิเคราะหข์ อ้ มลู เพ่ือศึกษาคะแนนพฒั นาการของนักเรียนท่ีไดร้ บั การจัดการ
เรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (5E) รว่ มกบั การใชเ้ กม

2.1 คานวณคะแนนพฒั นาการ จากแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
กอ่ นเรียนและหลงั เรียน โดยใชส้ ตู รคะแนนพฒั นาการและแปลคะแนนตามเกณฑร์ ะดบั พฒั นาการ
โดยใชเ้ กณฑข์ องศริ ชิ ยั กาญจนวาสี (2555) ดงั ตาราง 6

ตาราง 6 เกณฑค์ ะแนนพฒั นาการเทียบระดบั พฒั นาการ ระดบั พัฒนาการ
พฒั นาการระดบั สงู มาก
คะแนนพัฒนาการสัมพทั ธ์ พฒั นาการระดบั สงู
76 - 100 พฒั นาการระดบั กลาง
51 - 75 พฒั นาการระดบั ตน้
26 - 50
0 - 25

บรรณานุกรม

National Research Council. (2000). Inquiry and National Science Education Standards:
A Guide for Teaching and Learning. Washington D.C.: National Academy Press.

กณุ ฑรี เพ็ชรทวพี รเดช. (2552). สดุ ยอดวธิ สี อนวทิ ยาศาสตรน์ าไปสู่การจดั การเรียนรูข้ องครูยุค
ใหม่ (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2). กรุงเทพฯ: อกั ษรเจรญิ ทศั น์

จนั ทรจ์ ริ า แกว้ โกย. (2554). ผลการใชห้ อ้ งทดลองเสมือนแบบสืบสอบแบบมีและไมม่ ีการกาหนด
แนวทางท่ีมตี ่อการวิเคราะหแ์ ละผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี น
มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย. (ครุศาสตรมหาบณั ฑิต). จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , กรุงเทพฯ.
(วทิ ยานพิ นธ)์ .

จารุวรรณ เชือ้ แสง. (2559). การเปรียบเทียบผลการจดั การเรียนรูแ้ บบสรา้ งองคค์ วามรูต้ ามทฤษฎี
คอนสตรคั ติวสิ ทก์ บั การจดั การเรยี นรูแ้ บบปกตทิ ่มี ีผลต่อผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
วิทยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3. (การศกึ ษามหาบณั ฑติ ). มหาวทิ ยาลยั
ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ. (ปรญิ ญานิพนธ)์ .

ณฐกรณ์ คาชะอม. (2553). ผลการจดั การเรยี นรูด้ ว้ ยกระบวนการสบื เสาะหาความรูแ้ บบ 5Es และ
วธิ ีการทางประวตั ิศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ท่ีมีต่อผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
ประวตั ิศาสตรแ์ ละการคิดอย่างมีวิจารณญาณ. (การศกึ ษามหาบณั ฑิต). มหาวทิ ยาลยั ศรี
นครนิ ทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ. (ปรญิ ญานิพนธ)์ .

เตอื นใจ เกตษุ า. (2549). การสรา้ งแบบทดสอบ 1 : แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ = Test
construction 1 : MR311 (พิมพค์ รง้ั ท่ี 8). กรุงเทพฯ: ภาควิชาการประเมนิ และการวิจยั
มหาวิทยาลยั รามคาแหง.

ทิศนา แขมมณี. (2551). 14 วธิ สี อนสาหรบั ครูมืออาชีพ (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 8). กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พแ์ หง่
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

ทิศนา แขมมณี. (2561). ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรูเ้ พอื่ การจดั กระบวนการเรียนรูท้ มี่ ี
ประสทิ ธิภาพ (พิมพค์ รงั้ ท่ี 22). กรุงเทพฯ: สานกั พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

ประสาท เนืองเฉลิม. (2558). การเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตรใ์ นศตวรรษที่ 21 (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 7). กรุงเทพฯ:
สานกั พิมพจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

พชิ ิต ฤทธิ์จรูญ. (2557). หลกั การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 9). กรุงเทพฯ: เฮา้ ส์
ออฟ เคอรม์ สิ ท.์

พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต,์ และ พเยาว์ ยินดีสขุ . (2549). โครงงานวทิ ยาศาสตร์ : การจดั การเรียนการ
สอนแบบบูรณาการเพอื่ พฒั นาการคดิ . กรุงเทพฯ: โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

ภพ เลาหไพบลู ย.์ (2542). แนวการสอนวทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช.
ลว้ น สายยศ, แ. อ. ส. (2539). เทคนคิ การวดั ผลการเรยี นรู.้ กรุงเทพฯ: สวุ ีรยิ าสาสน์ .
วีณา ประชากลู . (2553). รูปแบบการเรยี นการสอน. มหาสารคาม: สานกั พมิ พม์ หาวิทยาลยั มหา

สารคา.
ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี. (2555). ทฤษฎกี ารทดสอบแนวใหม่ (พิมพค์ รง้ั ท่ี 4). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่ง

จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2550). รูปแบบการเรียนการสอนท่พี ฒั นา

กระบวนการคดิ ระดบั สงู วิชาชวี วิทยาระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย. สืบคน้ จาก
http://www.ipst.ac.th/biology/Bio-Articles/mag-content10.html
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2553). คู่มือครู รายวชิ าเพม่ิ เติม ฟิสกิ สเ์ ล่ม
1 กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท4ี่ -6. กรุงเทพฯ: องคก์ ารคา้ ของ
สกสค.
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2555). การวดั ผลประเมินผลวิทยาศาสตร์
กรุงเทพฯ. ซเี อ็ดยนู ิเคช่นั .

สานกั งานพฒั นาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี หง่ ชาติ. (2553). การใชเ้ กมในการเรียนการสอน
วทิ ยาศาสตรร์ ะดบั ประถมศกึ ษา. ระยอง: ศภุ พล อนิ เตอรพ์ รนิ้ ตงิ้ .

สคุ นธ์ สินธพานนท.์ (2553). นวตั กรรมการเรียนการสอนเพ่อื พฒั นาคณุ ภาพของเยาวชน
กรุงเทพฯ. 9119 เทคนิคพรนิ้ ตงิ้ .

สวุ ทิ ย์ คงภกั ดี. (2553). ผลของการสอนดาราศาสตรแ์ บบสืบเสาะโดยใชน้ วตั กรรมแบบจาลอง
ระบบโลก ดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย(์ การศกึ ษาดษุ ฎีบณั ฑิต). มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ,
กรุงเทพฯ. (ปรญิ ญานพิ นธ์ ).

ภาคผนวก


Click to View FlipBook Version