The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แบบเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ ป.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by fahtheeranad13, 2022-08-10 01:56:53

แบบเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ ป.6

แบบเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ ป.6

สื่อการเรียนรู้ รายวิชาพื้นฐาน ชุด พื้นฐานภาษาไทย

ชนิ ดของคำ

ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ๖ป.
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑



สื่อการเรียนรู้ รายวิชาพื้นฐาน ชุด พื้นฐานภาษาไทย

ชนิ ดของคำ

หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย

ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ๖ชั้นประถมศึ กษาปีที่
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผู้เรียบเรียง สุยะ ก ข
ประสานทอง ค ง
นางสาวกมลลักษณ์ รอดเกตุ
นางสาวชลธิชา ศิริวรรณ์
นางสาวญาณิศา เพ็ชรรัตน์
นางสาวธีรนาฎ รูปงาม
นางสาวนิภาวรรณ เพชรสุภา
นางสาวปิยะนันท์
นางสาวพรนัชชา

เสนอ

ผศ.ดร.ทรงภพ ขุนมธุรส

รายวิชาการออกแบบบทเรียนและสื่อ
สำหรับการสอนภาษาไทย (๓๘๔๔๐๒)
คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย
มหาวิทยาลัยนเรศวร



คำนำ

หนังสือเรียน เรื่อง ชนิดของคำ จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนรู้กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ

เรื่อง ชนิดของคำ

เนื้อเรื่องของหนังสือเรียน เรื่อง ชนิดของคำ ประกอบไปด้วยเรื่องสั้นสำหรับ

อ่านในเเต่ละบท มารยาทในการอ่าน เเละชนิดของคำ ที่เเบ่งเนื้อหาออกเป็นชนิดละ

บท ได้เเก่ ๑. คำนาม ๒. คำสรรพนาม ๓. คำกริยา ๔. คำวิเศษณ์ ๕. คำบุพบท

๖. คำเชื่อมหรือคำสันธาน ๗. คำอุทาน อีกทั้งยังมีแบบฝึกหัดเสริมความเข้าใจท้าย

บทเพื่อเป็นการทบทวนความรู้หลังจากการศึกษาเนื้อหาในหนังสือ นอกจากนั้นท้าย

เล่มของหนังสือจะมีข้อสอบจำนวน ๒ ชุด

หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายละเอียดของหนังสือเรียนเล่มนี้จะช่วยทำให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้ที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ พัฒนาความสามารถในการอ่าน
มีมารยาทในการอ่าน เเละเป็นเเนวทางที่สามารถทำให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้เรื่อง

ชนิดของคำไปใช้ได้อย่างถูกต้องเเละเหมาะสม

คณะผู้จัดทำ

สารบัญ ๑

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ ๘
เด็กไทยยุคใหม่ รู้ใช้เท่าทันสื่อ
เรียนรู้เรื่องคำนาม ๑๑
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ ๑๔
๑๗
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒
เลือกของดีที่ห้างสรรพสินค้า ๑๙
เรียนรู้เรื่องคำสรรพนาม ๒๓
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ ๒๖

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ ๒๗
ทำดี ได้ดี ๓๑
เรียนรู้เรื่องคำกริยา ๓๖
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๓
๓๙
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๔ ๔๒
ทำไมถึงเรียกไม้ต้องห้าม ๔๕
เรียนรู้เรื่องคำวิเศษณ์ ๔๖
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๔

หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕
ช้อนกลางสร้างสุขภาพ
เรียนรู้เรื่องคำบุพบท
เรียนรู้เรื่องมารยาทในการอ่าน
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๕

สารบัญ ๔๘
๕๑
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๖ ๕๓
เงินเหรียญบาท
เรียนรู้เรื่องคำสันธาน ๕๔
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๖ ๕๙
๖๑
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๗
บันทึกเล่มแรกของฉัน ๖๓
เรียนรู้เรื่องคำอุทาน ๖๙
แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๗ ๗๕
๗๖
ฝึกสมองประลองปัญญา
ข้อสอบชุดที่ ๑
ข้อสอบชุดที่ ๒
เฉลยข้อสอบ

บรรณานุกรม

สาระการเรียนรู้

สาระที่ ๑ การอ่าน
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้เเละความคิดเพื่อ
นำไปใช้ตัดสินใจ เเก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต เเละมีนิสัยรักการอ่าน
ท ๑.๑ ป.๖/๑ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง
สาระสำคัญ - อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองที่มีโวหารได้ถูกต้อง
ท ๑.๑ ป.๖/๙ มารยาทในการอ่าน
สาระสำคัญ - มารยาทในการอ่าน

สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาเเละหลักภาษาไทย
การเปลี่ยนแปลงของภาษาเเละพลังของภาษาภูมิปัญญาทางภาษา
เเละรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
ท ๔.๑ ป.๖/๑ วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค
สาระสำคัญ ชนิดเเละหน้าที่ของคำ

๑. คำนาม
๒. คำสรรพนาม
๓. คำกริยา
๔. คำวิเศษณ์
๕. คำบุพบท
๖. คำเชื่อม หรือคำสันธาน
๗. คำอุทาน

หน่วยการเรียนรู้ที่

๑ เด็กไทยยุคใหม่ รู้ใช้เท่าทันสื่อ

บทที่หนึ่งฝากความรู้วิชาการ การสื่อสารที่มีมาแต่ก่อนเก่า
เทคโนโลยีผันเปลี่ยนโลกของเรา จากก่อนเก่าเข้ายุคใหม่ที่หมายปอง
ใช้เรียกตามคน สัตว์ เเละสิ่งของ
ส่วนท้ายบทกล่าวถึงเรื่องคำนาม หนูหนูต้องใช้ให้ถูกตามที่ควร
เเบ่งประเภทไว้หลากหลายให้ไตร่ตรอง

พัฒนา
ทักษะการอ่านและคิด

การสื่อสารมีความจำเป็นและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน
ของมนุษย์ เพราะต้องติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา การสื่อสาร
เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้มนุษย์สามารถ
สืบทอด พัฒนา เรียนรู้วัฒนธรรมของตนเองและสังคมได้ อีกทั้งยัง
เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยพัฒนาประเทศ สร้างสรรค์ความเจริญ
ก้าวหน้าให้แก่ชุมชนและสังคมในทุกด้าน

ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น การสื่อสารมีการ

พัฒนาที่ก้าวหน้าและล้ำสมัยอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ ทั้งด้าน

ความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการใช้งาน จนกล่าวได้ว่าเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร

หรือโลกไร้พรมแดน ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้น คือ ทำให้มีการผสมผสานทางความคิด วัฒนธรรม

และประเพณี รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตทั่วไป การติดต่อสื่อสารที่เคยใช้

ระยะเวลาหลายวันถึงหลายเดือน กลับกลายเป็นเรื่องที่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้เพียงใน

ไม่กี่วินาที

การสื่อสารในอดีตแม้จะเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างล้าสมัย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความพยายาม

ของมนุษย์ที่จะติดต่อสื่อสารกัน เช่น การใช้ม้าเร็ว การใช้นก การเขียนภาพบนผนังถ้ำ การใช้

ควันไฟ การเขียนข้อความใส่ผอบลอยน้ำ ฯลฯ

ความพยายามของมนุษย์ในอดีตที่จะติดต่อสื่อสารส่งข่าวถึงกันและกันนั้นมีปรากฏให้

เห็นได้ในวรรณคดี วรรณกรรม และตำนานต่าง ๆ เช่น การใช้ม้าเป็นพาหนะเพื่อนำสารไป

ต่างเมืองในเรื่องพระรถเมรี การใช้นกในการสื่อสารในเรื่องพระนลคำหลวง การสื่อสารทาง

น้ำในเรื่องพิกุลทอง และวรรณคดีเรื่องอิเหนา เป็นการใช้
เล็บเขียนข้อความบนกลีบดอกปะหนันลอยน้ำสื่อสารไป
ถึงนางบุษบา การสื่อสารระหว่างแม่กับลูกด้วยการแกะ
สลักฟักทองในเรื่องสังข์ทอง



การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการสื่อสารที่รวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้ผู้สื่อสารต้องพยายาม

หาวิธีปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการเข้าถึงข้อมูลจากการบริการต่าง ๆ เพื่อที่จะสร้างสรรค์

ผลงาน และการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าสื่อสังคมออนไลน์จะมีประโยชน์

มากมาย เช่น นำไปใช้เพื่อการศึกษาค้นคว้า การเข้าสังคมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ

เพื่อการบันเทิง แต่ก็มีโทษเช่นกันถ้าใช้อย่างไม่เหมาะสม

การรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การขาดความรับผิดชอบในการเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ จะทำให้

ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ง่าย โดยเฉพาะการแบ่งปันข้อมูล (Share) หรือการกดเพื่อ

แสดงความถูกใจ (Like) ด้วยความรวดเร็ว ขาดการไตร่ตรองจนเกิดความเสียหาย เนื่องจาก

ข้อมูลที่เผยแพร่บางครั้งเป็นการเผยแพร่ที่ไม่เหมาะสม ข้อมูลมีทั้งที่เป็นเท็จหรือละเมิดสิทธิ

ผู้อื่น รวมทั้งข้อมูลเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมต่อศีลธรรมและวัฒนธรรมไทยในด้านต่าง ๆ หลาก

หลายประเด็น

ปัจจุบันเด็กและเยาวชนมีการใช้สื่อออนไลน์เพิ่ม

ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในยุคที่สื่อออนไลน์มีกระบวนการ

ทำงานที่ซับซ้อนและยากต่อการควบคุมนั้น ผู้ใช้ควร

มีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ เพราะสื่อออนไลน์ไม่ได้เป็น

เพียงเครื่องมือในการสื่อสารแต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่

สำคัญ

ความคิดและจินตนาการของมนุษย์ในด้านการสื่อสารมีวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องตลอดมา

ในอนาคตเมื่อบริการทางเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้น อาจมีการสื่อสารในรูปแบบที่แปลกใหม่

ออกไปอีกก็เป็นได้ ดังนั้น การพัฒนาและเสริมสร้างเด็กและเยาวชนให้มีทักษะในการเข้าถึง

สื่อสามารถวิเคราะห์และประเมินสื่อจากอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นการ

สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีและช่วยปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยร้ายที่แฝงมากับสื่อและ

เทคโนโลยีการสื่อสารรูปแบบใหม่ ๆ ได้มากยิ่งขึ้น



รอบรู้
หลักภาษา

เรียนรู้เรื่องคำนาม

คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ พืช สิ่งของ สถานที่ สภาพอาการ ลักษณะทั้งที่เป็น

สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต เช่น คำว่า ปลา ไก่ ตะกร้า จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาล การศึกษา

ความดี ความสุข เป็นต้น

คำนามแบ่งออกเป็น ๕ ชนิด คือ
๑) สามานยนาม คำนามที่ไม่ชี้เฉพาะ
๒) วิสามานยนาม คำนามที่ชี้เฉพาะ
๓) ลักษณนาม คำนามที่บอกลักษณะของนาม
๔) สมุหนาม คำนามแสดงหมวดหมู่
๕) อาการนาม คำนามบอกอาการ

๑ สามานยนาม

สามานยนาม หรือ คำนามที่ไม่ชี้เฉพาะ คือ คำนามที่ใช้เรียกคน พืช สัตว์ สิ่งของ

และสถานที่ โดยไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น ปลา สุนัข วัด ต้นไม้ บ้าน หนังสือ รถยนต์

ครู เป็นต้น

ตัวอย่าง แม่กำลังล้างจาน
คุณพ่อไปตลาดกับคุณแม่
ผู้ใหญ่บ้านจับช้างได้ 1 เชือก
อากาศในกรุงเทพฯ กำลังร้อนมาก
เด็ก ๆ กำลังเล่นคอมพิวเตอร์



๒ วิสามานยนาม

วิสามานยนาม หรือ คำนามชี้เฉพาะ คือ คำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉพาะของคน พืช

สัตว์ สิ่งของหรือสถานที่ เพื่อให้รู้ชัดว่าเป็นใครหรือเป็นอะไร เช่น เชียงใหม่ พระแก้ว

มรกต ดอกเข็ม พระอภัยมณี วันจันทร์ เป็นต้น

ตัวอย่าง มินตราเป็นคนใจดี
มานะและมานีเป็นเพื่อนกัน
ประเทศไทยอยู่ในทวีปเอเชีย
ฉันไปเที่ยวกับพ่อที่ประเทศอิตาลี
เอราวัณเป็นช้างอยู่บนสวรรค์

๓ ลักษณนาม

ลักษณนาม หรือ คำนามที่บอกลักษณะของนาม คือ คำนามที่ใช้บอกลักษณะของ

คำนามข้างหน้า เพื่อให้รู้ลักษณะ ขนาด หรือสัดส่วนของนามนั้น ๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

หลัง ตัว ด้าม อัน ก้อน ฉบับ เส้น เรื่อง คัน บาน เป็นต้น

ตัวอย่าง คุณพ่อได้รับจดหมาย ๒ ฉบับ
ช้างเชือกนี้มีงาที่สวยงามทั้ง ๒ กิ่ง
คุณแม่ซื้อกระเป๋าให้ฉัน ๑ ใบ

ข้อสังเกต
ลักษณนามมักตามหลังคำบอกจำนวน เช่น หนังสือ ๓ เล่ม หมวก ๕ ใบ

แต่ถ้าจำนวนเป็นหนึ่ง อาจใช้คำว่า หนึ่ง ตามหลังลักษณนามได้ เช่น บ้านหลัง
หนึ่ง ชายคนหนึ่ง หรือตามหลังคำนามเมื่อต้องการเน้นคำนามนั้น เช่น เด็กคนนี้
ดินสอแท่งนี้



๔ สมุหนาม

สมุหนาม หรือ คำนามแสดงหมวดหมู่ คือ คำนามที่บอกลักษณะของคน พืช สัตว์

และสิ่งของที่รวมกันอยู่เป็นหมวด เป็นหมู่ เป็นพวก โดยจะอยู่หน้าคำนามที่ประกอบอยู่

เช่น โขลง หมู่ คณะ กลุ่ม ฝูง เป็นต้น

ตัวอย่าง คณะนักเรียนชมการแสดงกายกรรม
ฝูงสุนัขไล่กัดเด็ก
พวกโจรแพ้พวกตำรวจ
มีกองหนังสืออยู่บนโต๊ะ
บริษัทขอขอบคุณประชาชน

ข้อสังเกต

สมุหนามจะต้องทำหน้าที่เป็น ประธาน หรือกรรม หรือส่วนขยายของประโยค
เช่น โขลงช้างเดินผ่านทุ่ง (สมุหนาม) , ช้างโขลงหนึ่งเดินผ่านทุ่ง (ลักษณนาม)
สมุหนามจะต้องเป็นสมมุติบุคคล แต่ถ้าหมายถึงองค์กรตามรูปศัพท์นับเป็นนามชนิดอื่น
เช่น โรงเรียนออกใบรับรองให้นักเรียน (สมุหนาม) , กิ่งแก้วไปโรงเรียน (สามานยนาม)

๕ อาการนาม

อาการนาม หรือ คำนามบอกอาการ คือ คำนามที่เกิดจากคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ที่

มีคำว่า "การ" หรือ "ความ" นำหน้า เช่น การเดิน การยืน การนอน การศึกษา ความรู้

ความคิด ความดี ความฝัน ความเชื่อ ความทุกข์ เป็นต้น

ตัวอย่าง การออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรง
คุณแม่ชอบการเต้นรำ
ผมมีความฝันว่าอยากเป็นนักบิน
ความแห้งแล้งเกิดจากฝนไม่ตกตามฤดูกาล



ข้อสังเกต
คำว่า "การ" มักใช้นำหน้าคำกริยาที่แสดงความเป็นไปได้ ทางกาย วาจา เช่น การยืน
การเดิน การนั่ง การนอน การเรียน
คำว่า "ความ" มักใช้นำหน้าคำวิเศษณ์หรือคำกริยาที่มีความเป็นไปได้ทางจิตใจ ความ
นึกคิด เช่น ความชั่ว ความยาก ความเร็ว ความหรูหรา
คำว่า "การ" และ "ความ" ถ้านำหน้าคำอื่นนอกจากคำกริยาและคำวิเศษณ์ ไม่นับว่า
เป็นอาการนาม เช่น การไฟฟ้า การประปา การค้า การเมือง ความโลภ ความแพ่ง

หน้าที่ของคำนาม

๑) เป็นประธานของประโยค เช่น มานีชอบอ่านหนังสือ ตำรวจจับผู้ร้าย
๒) เป็นกรรมหรือผู้ถูกกระทำ เช่น วารีอ่านจดหมาย
๓) ขยายนาม เพื่อทำให้นามที่ถูกขยายชัดเจนขึ้น เช่น บุ๋มบิ๋มเป็นข้าราชการครู
๔) เป็นส่วนสมบูรณ์หรือส่วนเติมเต็ม เช่น เขาเป็นตำรวจแต่น้องสาวเป็นพยาบาล
๕) ใช้ตามหลังคำบุพบทเพื่อทำหน้าที่บอกสถานที่หรือขยายกริยาให้มีเนื้อความบอก

สถานที่ชัดเจน เช่น นักเรียนไปโรงเรียน
๖) ใช้บอกเวลาโดยขยายคำกริยาหรือคำนามอื่น เช่น เขาชอบนอนตอนกลางวัน
๗) ใช้เป็นคำเรียกขานได้ เช่น น้ำฝนช่วยหยิบปากกาให้ครูทีซิ ตำรวจช่วยฉันด้วย

คำนามเป็นคำชนิดหนึ่ง ที่ใช้เรียก คน พืช สัตว์

สิ่งของ และสถานที่ ทำหน้าที่เป็นได้ทั้งประธาน

และกรรมในประโยค ซึ่งใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน



แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑

คำชี้แจง ให้นักเรียนหาคำนามจากภาพที่กำหนดให้ แล้วนำมาแต่งประโยค



ุ า









คำศัพท์ = _________________________________________________________

ประโยค = ________________________________________________________

ิ๒







คำศัพท์ = _________________________________________________________
ประโยค = ________________________________________________________

๓ำว

คำศัพท์ = _________________________________________________________
ประโยค = ________________________________________________________



๔ั ์


คำศัพท์ = _________________________________________________________
ประโยค = ________________________________________________________

๕ า








คำศัพท์ = _________________________________________________________
ประโยค = ________________________________________________________



คำชี้แจง ให้นักเรียนพิจารณาคำที่ขีดเส้นใต้ แล้วตอบว่าเป็นคำนามชนิดใด

คำนามทั่วไป คำนามบอกลักษณะ คำนามชี้เฉพาะ
คำนามบอกหมวดหมู่ คำนามไม่ชี้เฉพาะ

ข้อ ประโยค ชนิดของคำ
ตัวอย่าง ฉันชอบเลี้ยงสุนัข คำนามทั่วไป
______________________
๑ ภาวิณีชอบร้องเพลง ______________________
๒ การนอนอย่างเพียงพอทำให้สุขภาพดี ______________________
๓ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ______________________
๔ ฉันซื้อปากกามา 2 ด้าม ______________________
๕ แม่ไก่กำลังฟักไข่อยู่บนกองฟาง ______________________
๖ เด็กเริ่มหัดเขียนต้องใช้ดินสอ ______________________
๗ คุณครูมอบรางวัลเรียนดีให้กับไข่มุก ______________________
๘ เขารู้สึกภาคภูมิใจในคุณความดีที่เขาได้ทำไว้ ______________________
๙ ปากกาด้ามนี้เขียนลื่นดีจัง ______________________
๑๐ คุณแพรชมพูไว้ผมทรงนี้เข้ากับใบหน้าดีมาก

๑๐

หน่วยการเรียนรู้ที่

๒ เลือกของดีที่ห้างสรรพสินค้า

บทนี้ชี้ให้เห็น เลือกให้เป็นการซื้อของ
ราคาจำต้องมอง ความคุ้มค่าจำต้องดู
ฝึกให้ถาม ซึ่ง อัน ผู้
เพิ่มเติมสรรพนาม นั่นคุณครูชี้เจาะจง
ใครใครต่างใคร่รู้

พัฒนา
ทักษะการอ่านและคิด

ยิ้มไปเลือกซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ากับแม่เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ ทุก ๆ ครั้งแม่
จะเป็นคนขับรถพายิ้มไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้้บ้าน

วันนี้หลังจากยิ้มทำการบ้านเสร็จเรียบร้อย เมื่อถึงเวลา ๑๖.๐๐ น. แม่ก็เรียกยิ้มให้
มาช่วยกันสำรวจดูข้าวของในบ้านว่ามีอะไรที่ต้องซื้อบ้าง ซึ่งยิ้มจะมีหน้าที่จดบันทึกรายการ
ข้าวของที่ใช้หมดไป เพราะแม่เคยสอนว่าหากเราไม่จดบันทึกไว้ เราอาจจะซื้อของไม่ครบ
หรืออาจจะซื้อซ้ำกับของที่มีอยู่ และหากมีพนักงานขายมาชักชวนให้ซื้อของละก็จะเสียเงิน
เพิ่มขึ้นเป็นกอง!

การสำรวจดูข้าวของในทุก ๆ ครั้ง แม่จะเริ่มจากห้องครัว ยิ้มคอยจดบันทึกอย่าง
แข็งขัน "วันนี้ของในครัวหมดเยอะเลย" ยิ้มพูด แม่หัวเราะพลางบอกว่า

"นี่แค่ห้องครัว ต่อไปเป็นห้องน้ำจ้ะ" ยิ้มรีบเดินนำหน้าแม่ไปเหมือนรู้ว่าต้องจดอีก
เยอะแน่ ๆ เมื่อทั้งสองสำรวจของเสร็จก็ถึงเวลาออกเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้า
ยิ้มแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แม่ก็เช่นกัน

เมื่อเดินทางมาถึงแม่ไปหยิบรถเข็นเหมือนทุกครั้ง
รอบนี้เราทั้งสองเจอกับป้าแจ่มเพื่อนบ้าน
คนที่พึ่งย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านได้ไม่นาน
ป้าแจ่มมีลูกชายชื่อจอน และจอนก็เรียนโรงเรียน
เดียวกันกับยิ้มแต่มีอายุน้อยกว่ายิ้ม ๒ ปี

๑๒

"วันนี้ป้าแจ่มมาซื้ออะไรคะ" ยิ้มถามหน้าระรื่น
"มาซื้ออาหารแห้งจ้ะ แล้วหนูยิ้มมาซื้ออะไรจ๊ะ" ป้าแจ่มถามกลับ
"มาซื้อของใช้ในบ้านค่ะ" ยิ้มพูดจบพลางมองไปที่แม่ด้วยแววตาภาคภูมิใจราวกับ
ถามว่าตนทำดีหรือไม่
แม่ยิ้มและทักทายกับป้าแจ่ม ป้าแจ่มเป็นคนที่ชอบซื้อของลดราคา เมื่อมีอะไร
ที่ลดราคาป้าแจ่มเป็นต้องหยิบลงตะกร้า แม้ว่าจะได้ใช้หรือไม่ก็ตามเพราะป้าแจ่มเห็นว่า
คุ้มค่า บางครั้งป้าแจ่มซื้อมาเยอะจนใช้ไม่ทันก็นำมาแบ่งปันให้บ้านของยิ้ม
ยิ้มจึงสงสัยและถามคุณแม่ว่า "ทำไมบ้านเราจึงไม่ซื้อของลดราคาบ้าง"
แม่ให้คำตอบกับยิ้มว่า "ของลดราคาก็คือของที่เพิ่มราคามาเพื่อลดราคาอีกทีนึง
ขายของก็ต้องได้กำไร ใครจะยอมขาดทุนกันล่ะ จริงไหมจ๊ะ"
ยิ้มรู้ไหมผู้บริโภคกว่า ๗๐% มักตัดสินใจซื้อของ ณ จุดขาย โดยที่ไม่ได้ต้องการ
ซื้อด้วยซ้ำแต่เพียงเพราะเห็นว่าคุ้มค่า การลดราคาสินค้าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ยังไงก็ต้องเหลือกำไรอยู่แล้ว สินค้าหลายชนิดจึงถูกเพิ่มราคาเต็มขึ้นมา เพื่อที่จะขายใน
ครึ่งราคาหรือราคาที่ลดลงได้อย่างไม่เกิดผลกระทบกับกำไรมากนัก
"แล้วสินค้าที่มีโปรโมชัน ๑ แถม ๑ ละคะ เขาตั้งราคาเกินมาเพื่อขายแบบ
๑ แถม ๑ ด้วยใช่ไหมคะ" ยิ้มหัวไวถามแม่ แม่ยิ้มท่าทางภูมิใจ
"ใช่แล้วจ้ะ การจัดโปรโมชันแบบนี้มักถูกออกแบบมาเพื่อปริมาณยอดขาย ที่จะ
จูงใจให้คนอยากซื้อหรืออาจซื้อเยอะขึ้น หรือชวนเพื่อนมาซื้อคนละชิ้นเพราะจะได้ของที่
ถูกลง" แม่ตอบ
"แล้วแบบนี้เราควรซื้อของลดราคาหรือของที่จัดโปรโมชันไหมคะ" ยิ้มถามต่อ
ด้วยความสงสัย "ซื้อได้จ้ะยิ้ม แต่เราต้องอย่าลืมว่า เราใช้หรือไม่ใช้อะไรบ้าง สินค้า
จำพวก ๑ แถม ๑ บางคนจะกักตุนมาเป็นจำนวนมากเพราะเห็นว่าคุ้มค่า สุดท้ายก็ใช้
ไม่ทันจำต้องแจกจ่ายเพื่อนบ้านบ้าง หมดอายุบ้าง ถ้าเป็นแบบนี้ยิ้มยังเห็นว่าคุ้มอยู่ไหม
จ๊ะ" ยิ้มพยักหน้ารับ

๑๓

รอบรู้
หลักภาษา

เรียนรู้เรื่องคำสรรพนาม

คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนาม กล่าวคือ เป็นคำที่ใช้แทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของต่าง ๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกชื่อนั้นซ้ำ ๆ และหลีกเลี่ยงการ ใช้ชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรง ๆ

คำสรรพนามแบ่งออกเป็น ๖ ชนิด คือ
๑) บุรุษสรรพนาม
๒) วิภาคสรรพนาม
๓) นิยมสรรพนาม
๔) อนิยมสรรพนาม
๕) ปฤจฉาสรรพนาม
๖) ประพันธสรรพนาม

๑ บุรุษสรรพนาม

บุรุษสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนชื่อบุคคลแบ่งออกเป็น
๓ พวกดังนี้
บุรุษสรรพนามที่ ๑ หมายถึง สรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้พูด ได้แก่คำว่า
ฉัน,ข้าพเจ้า,กู,เรา,ผม,กระผม,ฯลฯ
บุรุษสรรพนามที่ ๒ หมายถึง สรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้ฟัง ได้แก่คำว่า
มึง,แก,สู,เธอ,ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ฯลฯ
บุรุษสรรพนามที่ ๓ สรรพนามที่ใช้แทนชื่อผู้ที่จะกล่าวถึง ได้แก่คำว่า
เขา,มัน,ท่าน,พระองค์ ฯลฯ

๑๔

๒ วิภาคสรรพนาม

วิภาคสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามข้างหน้า เพื่อจำแนกนามนั้นออกเป็น

ส่วน ๆ บางคำใช้แทนนามบอกความซ้ำกันได้ ได้แก่ บ้าง ต่างกัน

ตัวอย่าง นักเรียนห้องนี้ บ้างฟังครูสอน บ้างอ่านหนังสือ และบ้างคุยกัน

๓ นิยมสรรพนาม

นิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนาม เพื่อบ่งบอกระยะทางหรือตำแหน่งของ

นามนั้นอย่างชัดเจนแน่นอน กำหนดให้รู้ความใกล้ไกลของนามที่กล่าวถึง “สรรพนาม

บอกความชี้เฉพาะเจาะจง” ได้แก่ นี่, นั่น, โน่น, นู้น

ตัวอย่าง นี่ของใคร
นั่นครูของผม

๔ อนิยมสรรพนาม

อนิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนาม แล้วบอกความกำหนดไม่แน่นอน
ลงไปว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้ “สรรพนามบอกความไม่เจาะจง” ได้แก่ ใคร อะไร ไหน ใด ๆ
อื่น ๆ

ตัวอย่าง ใครจะเข้ามาในบ้านก็เข้ามา
อะไรก็ได้ที่คุณอยากได้

๑๕

๕ ปฤจฉาสรรพนาม

ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนาม แล้วมีเนื้อความเป็นคำถาม

“สรรพนามใช้ถาม” ได้แก่ ใคร อะไร ไหน ผู้ใด

ตัวอย่าง ไหนคือตึกสำนักงานอธิการบดี
คุณจะมาหาใคร

๖ ประพันธสรรพนาม

ประพันธสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคำนาม หรือสรรพนามที่อยู่

ข้างหน้า “สรรพนามเชื่อมประโยค” ได้แก่คำต่อไปนี้ ผู้ ที่ ซึ่ง อัน หรือ อาจเป็น

คำประสมกับลักษณนาม เช่น ผู้ที่ อันที่ ตัวที่ ลูกที่ ฯลฯ

ตัวอย่าง คนที่ฉันรักมักเป็นคนขยันขันแข็ง
ลูกหมูตัวที่ออกเป็นตัวแรกจะมีน้ำหนักมาก

๑๖

แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๒

คำชี้แจง ให้นักเรียนบอกชนิดของคำสรรพนามตัวสีแดงในประโยคต่อไปนี้ให้ถูกต้อง

บุรุษสรรพนาม ประพันธสรรพนาม วิภาคสรรพนาม
อนิยมสรรพนาม ปฤจฉาสรรพนาม
นิยมสรรพนาม

๑. อุทยานแห่งชาติคือมรดกอันล้ำค่าของประเทศไทย…………………..........
๒. นั่นไงกระเป๋าที่ฉันอยากได้……………………………………………………………
๓. ใคร ๆ ก็ชมว่าฉันมีความสามารถในการอ่านบทกลอน…………………….......
๔. ผู้คนต่างหลั่งไหลกันเข้ามาทำบุญในวันออกพรรษา……………………………….
๕. เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา……………………………………………………………….
๖. นี่คือโรงเรียนของฉัน…………………………………………………………………………..
๗. ชาวนาบ้างไถนาบ้างดำนา………………………………………………………………….
๘. ใครชอบกินแกงเขียวหวานเหมือนเราบ้าง…………………………………………….

๑๗

คำชี้แจง ให้นักเรียนระบายสีคำสรรพนามแต่ละชนิดตามสีที่กำหนดให้

บุรุษสรรพนาม ประพันธสรรพนาม นิยมสรรพนาม

อนิยมสรรนาม วิภาคสรรพนาม ปฤจฉาสรรพนาม

๑๘

หน่วยการเรียนรู้ที่ ทำดี ได้ดี



ในบทนี้สอนเรื่องการทำดี ว่าทำดีจะได้ดีตอบสนอง
ทั้งกับเด็ก กับผู้ใหญ่และเพื่อนพ้อง เราจึงต้องทำความดีกับทุกคน
ชวนกันมาเรียนรู้ให้เห็นผล
เเละพูดถึงความรู้เรื่องคำกริยา ตลอดจนทั้งคำนาม สรรพนาม
คำเเสดงการกระทำของผู้คน

พัฒนา
ทักษะการอ่านและคิด

องอาจ เป็นชายวัย ๔๐ ปี ประกอบอาชีพขายใบชา ฐานะของเขาค่อนข้างดี แต่ยังไม่มี

บุตรชายเลย วันหนึ่งเขาออกไปเดินเล่นและพบกับหมอดูคนหนึ่งเข้า ชื่อ จวง จึงได้ขอให้เขาทำนาย

ดวงชะตาให้

หมอดูได้พินิจดูหน้าตาองอาจอย่างละเอียดแล้ว จึงบอกว่า “คุณองอาจ อย่าโมโหนะ

ตามลักษณะดวงชะตาของคุณ เรื่องบุตรชายสืบสกุลนั้นอาจพูดได้ว่า ไม่มีหวังและ....”


หมอดูพูดค้างไว้

ด้วยความสงสัยองอาจจึงถามว่า “ไม่มีบุตรชายก็แล้วไป แล้วมีอะไรอีก? บอกมาตรง ๆ

ได้เลยครับ”

หมอดูกล่าวว่า “ใจเย็น ๆ นะ ผมจะบอกเดี๋ยวนี้ ดวงชะตาของคุณองอาจ เดือนสิบปีนี้

จะประสบภัยพิบัติและสิ้นอายุขัย”

องอาจได้ฟังดังนั้นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ หลังจากจ่ายค่าทำนายแล้ว จึงรีบกลับบ้านทันที

ตั้งแต่ที่เขาถูกหมอดูทำนายว่าจะมีภัยในเดือนสิบ ต้นเดือนเก้าองอาจก็ไปเก็บบัญชีตามร้านค้า

ต่าง ๆ เพื่อปิดบัญชี องอาจพักอยู่ที่โรงแรมได้เดือนกว่า ๆ

เมื่อเก็บบัญชีเรียบร้อยแล้ว มีเวลาว่างจึงออกไปเดินเล่น ขณะนั้นก็เห็นมีหญิงสาวคน

หนึ่งเดินไปที่แม่น้ำแล้วก็กระโดดลงไป

”ดวงชะตาของคุณ
จะประสบภัยพิบัติ

และสิ้นอายุขัย”

๒๐

องอาจตกใจมากหันไปเห็นเรือหาปลาลำหนึ่งที่กำลังพายผ่านมาใกล้ที่เกิดเหตุ
จึงตะโกนร้องเรียกว่า “คุณ...รีบลงไปช่วยคนเร็ว ผมจะให้เงิน”

คนหาปลาได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดลงไปในน้ำ สักครู่หนึ่งก็ลากหญิงสาวคนนั้น
ขึ้นมาบนฝั่ง องอาจจึงให้รางวัลเป็นเงินจำนวน ๑,๐๐๐ บาท เมื่อหญิงสาวคนนั้นได้สติ
องอาจก็ถามไถ่นางถึงสาเหตุที่ตัดสินใจกระโดดลงแม่น้ำ

นางบอกว่า “ตอนสามีฉันไปทำงาน ฉันได้ขายหมูที่เลี้ยงไว้หนึ่งตัวในราคา
๘๐๐ บาท และวันนี้เมื่อฉันนำเงินไปจ่ายค่าเช่าจึงรู้ว่านั่นเป็นเงินปลอม ด้วยเกรงว่า
หากสามีกลับมาจะถูกด่าว่า จึงจัดสินใจโดดน้ำตายให้จบเรื่อง”

องอาจรู้สึกสงสารมากจึงได้ให้เงินกับหญิงสาวอีกเท่าหนึ่ง โดยมอบให้จำนวน
๑,๖๐๐ บาท นางจึงถามชื่อและที่อยู่ขององอาจก่อนจะขอบใจยกใหญ่แล้วจากไป

หลังจากที่องอาจได้ช่วยชีวิตคน จิตใจเขารู้สึกสบาย เมื่อกลับถึงโรงแรมก็เข้า
นอนเลย ส่วนหญิงสาวคนนั้นเมื่อกลับไปบ้านผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกแล้ว พอดีกันกับ
ที่สามีเธอกลับมาจึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง สามียังคงรู้สึกคลางแคลงใจ จึงถาม
ถึงที่พักขององอาจแล้วครอบครัวของเขาไปที่โรงแรมเพื่อถามไถ่ให้กระจ่าง

ขณะที่องอาจกำลังหลับอยู่พลันได้ยินเสียงเคาะประตูจึงถามขึ้นว่า “ใคร”
คนนอกห้องตอบว่า “คนที่โดดน้ำตายมาขอบพระคุณค่ะ”

องอาจพูดเสียงดังว่า “ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ ชายกับหญิงจะพบกันสองต่อสองได้
อย่างไร” เมื่อฝ่ายสามีของนางได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ว่าองอาจเป็นคนมีคุณธรรมจึงบอกกลับไป
ว่า “คุณ.....เราสองสามีภรรยามาด้วยกัน”

องอาจได้ฟังก็ใส่เสื้อออกมาเปิดประตู สองสามีภรรยานั่งคุกเข่าพร้อมกล่าวว่า
“เราทั้งสองขอคารวะท่านผู้มีพระคุณ” โครม! เสียงปานฟ้าถล่มทลาย ฝาผนังห้องเกิด
ถล่มลงมาตรงเตียงขององอาจพอดี ทุกคนตกตะลึง ต่างอุทานว่า “อามิตตาพุทธ” สามี
ภรรยาขอบคุณแล้วขอบคุณอีกแล้วก็จากไป

๒๑

หลังจากองอาจผ่านพ้นอันตรายจากฝาผนังถล่มแล้ว วันรุ่งขึ้นก็โดยสารเรือ
กลับบ้าน ซึ่งตอนนี้เป็นเดือน ๑๑ แล้ว วันหนึ่งได้ออกไปข้างนอกผ่านไปที่หมอดูจวง
ขณะกำลังคิดจะถาม จวงเห็นเข้าก็กล่าวว่า “โอ รอยอัปมงคลบนใบหน้าของคุณหาย
ไปจนหมด คุณคงไปสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่มาแน่ ๆ”

องอาจได้เล่าเรื่องการช่วยชีวิตคนและเรื่องฝาผนังถล่ม
หมอดูบอกว่า “ถูกแล้ว ต่อไปคุณยังจะโชคดีอีกนะ”
องอาจถามว่า “ในเมื่อดวงชะตากำหนดไว้แล้ว ทำไมเมื่อได้สร้างบุญกุศลจึง
สามารถเปลี่ยนแปลงได้ล่ะ”
หมอดูกล่าวว่า “อันนี้เข้าใจไม่ยาก คือเป็นธรรมชาติของกฎแห่งกรรม สร้าง
กรรมใดก็ต้องรับกรรมนั้น แม้ว่าดวงชะตาของคุณจะไม่มีบุตรไว้สืบสกุลและอายุสั้น
แต่ตอนหลังคุณได้มีเมตตาจิต ช่วยชีวิตคนไว้ ความมืดมนแห่งชีวิตจึงสลายไป
หมดด้วยแสงตะวัน คุณช่วยเขา เขาก็ช่วยคุณ นี่คือ การทำดีได้ดี”
ต่อมาภรรยาขององอาจได้ให้กำเนิดบุตรชายห้าคน ส่วนตนเองก็มีชีวิตอยู่ถึง
อายุ ๙๐ ปี

“ คุณช่วยเขา
เขาก็ช่วยคุณ

นี่คือ
การทำดีได้ดี ”

๒๒

รอบรู้
หลักภาษา

เรียนรู้เรื่องคำกริยา

คำกริยา หมายถึง คำแสดงอาการ การกระทำ หรือบอกสภาพของคำนามหรือ
คำสรรพนามเพื่อให้ได้ความ เช่นคำว่า กิน เดิน นั่ง นอน เล่น จับ เขียน อ่าน เป็น คือ
ถูก คล้าย เป็นต้น

คำกริยาแบ่งออกเป็น ๔ ชนิด

อกรรมกริยา นอนหลับ นั่ง ป่วย โค่น เหงา ฯลฯ
สกรรมกริยา เตะ ถือ ใส่ ขับ ตัก ขาย ฯลฯ

วิกตรรถกริยา
เหมือน คล้าย ดุจ คือ เป็น ฯลฯ

กริยานุเคราะห์
คง ควร ควรจะ ให้ ต้อง กำลัง ฯลฯ

๒๓

๑ อกรรมกริยา

อกรรมกริยา เป็นคำกริยาที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัว ไม่ต้องมีกรรมมา

รับก็ได้ความสมบูรณ์ เข้าใจได้

ตัวอย่าง ต้นไม้โค่น ต้นกล้านั่ง มาตานอนหลับ
พี่ยืนอยู่ สุนัขป่วย

๒ สกรรมกริยา

สกรรมกริยา เป็นคำกริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับ ความหมายจึงจะสมบูรณ์

ตัวอย่าง ฉันกินข้าว (ข้าว เป็นกรรมที่มารองรับคำว่า กิน)
ต้นกล้าเตะฟุตบอล (ฟุตบอล เป็นกรรมที่มารองรับคำว่า เตะ)
พี่อ่านหนังสือ (หนังสือ เป็นกรรมที่มารองรับคำว่า อ่าน)

๓ วิกตรรถกริยา

วิกตรรถกริยา เป็นคำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความ

ต้องมีคำอื่นมาประกอบจึงจะได้ความ

ตัวอย่าง คุณน้าเป็นพยาบาล ต้นกล้าสูงเท่าคุณพ่อ
เขาเหมือนทหาร เธอคือครูของฉันเอง

๒๔

๔1 กริยานุเคราะห์

กริยานุเคราะห์ เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาสำคัญในประโยค

ให้มีความหมายชัดเจนขึ้น

ตัวอย่าง นักเรียนควรตั้งใจเรียน ชาวนากำลังเกี่ยวข้าว
นายดำจะไปโรงเรียน ปู่เคยเปิดร้านอาหาร

หน้าที่ของคำกริยา

๑. ทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดงของประโยค เช่น
- ขนมวางอยู่บนโต๊ะ (ภาคแสดง คือ วางอยู่บนโต๊ะ)
- นักเรียนอ่านหนังสือทุกวัน (ภาคแสดง คือ อ่านหนังสือทุกวัน)

๒. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
- วันเดินทางของเขาคือพรุ่งนี้ (เดินทาง เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำนาม วัน)

๓. ทำหน้าที่ขยายกริยา เช่น
- เด็กคนนั้นนั่งดูนก (ดู เป็นคำกริยาที่ไปขยายคำกริยา นั่ง)

๔. ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เช่น
- ออกกำลังกายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง
(ออกกำลังกาย ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
- เด็กชอบเดินเร็ว ๆ (เดิน ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค)

๒๕

แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๓
คำชี้แจง ให้นักเรียนเติมคำกริยาให้ถูกต้องและได้ใจความ

๑. นักเรียน.....................หนังสือในห้องสมุด
๒. ครู.........................ปูชนียบุคคลที่ทุกคนควรให้ความเคารพ
๓. น้อยหน่า........................เพราะถูกแม่ตี
๔. พระสงฆ์........................ภัตตาหารเพล
๕. นกกำลัง........................รัง
๖. ตำรวจ.........................คนร้ายที่บุกปล้นร้านทอง
๗. เธอช่วยคุณแม่.....................ใบไม้ทุกวัน
๘. แก้มใส.........................เพลงเวลาอาบน้ำ
๙. นดา..........................ที่สอบได้ที่ ๑
๑๐ นักเรียน....................เชื่อฟังคำสอนของครู

๒๖

หน่วยการเรียนรู้ที่

๔ ทำไมถึงเรียกไม้ต้องห้าม

บทนี้บอกเรื่องราว ดอกสีขาวนางแย้มป่า
แดงเรื่อดอกชบา เต่าร้างหนาต้นสูงโต
ฝึกสังเกตคำมากโข
ท้ายบทคำวิเศษณ์ เอ้นั้นนาเร่งท่องจำ
เรียนรู้อย่ามัวโอ้-

ทำไมต้นไม้บางชนิดถึงปลูกไว้
ในบ้านไม่ได้เหรอครับ

พัฒนา
ทักษะการอ่านและคิด

เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ออมสินกับภูมิใจต่างดีใจที่พ่อแม่จะพาไปเที่ยวบ้านคุณยาย
เด็ก ๆ พากันตื่นนอนตั้งแต่เช้าและรีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เพราะบ้านคุณยายมีทั้ง
ขนมไทยแสนอร่อยและเกร็ดความรู้รอบตัวที่คุณยายมักจะเล่าให้ฟังทุกครั้ง

"ออมสิน ภูมิใจ พร้อมเดินทางกันหรือยังลูก" แม่ถามพลางเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถ
"เรียบร้อยแล้วครับแม่" เด็ก ๆ ตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เมื่อทุกคนพร้อมแล้วพ่อจึง
ขับรถออกเดินทางมุ่งหน้าไปสู่บ้านคุณยาย

ระหว่างทางออมสินกับภูมิใจผลัดกันร้องเพลง สลับกับพูดคุยจ้อกแจ้กกับพ่อแม่
ตลอดทาง เวลาผ่านไป ๒ ชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านคุณยาย วันนี้คุณยายต้อนรับด้วย
ขนมไทยแสนอร่อย มีทั้งกล้วยบวชชี ขนมหม้อแกง ลูกชุบ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ขณะที่ออมสินกำลังวิ่งเล่นกับเจ้าข้าวซอยและข้าวเจ้าสุนัขแสนสนของคุณยาย
ภูมิใจก็คิดขึ้นได้ว่าสุดสัปดาห์นี้ครูประจำชั้นให้หาคำตอบว่า ทำไมต้นไม้บางชนิดถึงไม่ควร
ปลูกไว้ในบ้าน

"พ่อครับ มีต้นไม้ที่เราจะปลูกไว้ในบ้านไม่ได้ด้วยเหรอครับ" ภูมิใจถาม พ่อยิ้ม
แล้วก็บอกให้ภูมิใจลองไปถามคุณยายดู เพราะนอกจากคุณยายจะชอบทำขนมแล้วยังรู้
เกี่ยวกับต้นไม้หลากหลายพันธุ์อีกด้วย เมื่อได้ยินคำตอบจากพ่อ ภูมิใจไม่รอช้ารีบชวน
ออมสินเข้าไปฟังคำตอบจากคุณยาย

๒๘

"คุณยายครับ ทำไมต้นไม้บางชนิดถึงปลูกไว้ในบ้านไม่ได้เหรอครับ" ภูมิใจถามด้วย
ใบหน้าที่สงสัย คุณยายยิ้ม "ออมสินล่ะจ๊ะ อยากรู้เหมือนกันไหม" เมื่อได้ยินดังนั้นออมสิน
จึงพยักหน้าตอบและตั้งใจฟังเรื่องที่คุณยายกำลังจะเล่า

ต้นไม้ที่เราไม่ปลูกไว้ในบ้านคนโบราณเรียกกันว่า "ไม้ต้องห้ามจ้ะ" แต่ก็มีเพียงไม่กี่
ชนิดที่เป็นความเชื่อของคนโบราณที่สืบต่อกันมาว่า เมื่อนำมาปลูกในบ้านที่พักอาศัยแล้ว
อาจไม่ดี ไม่เป็นมงคล ซึ่งส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับชื่อของต้นไม้นั่นเอง

"อย่างเช่นต้นอะไรบ้างครับคุณยาย" คราวนี้ออมสินเป็นฝ่ายถามบ้าง
ต้นเต่าร้าง คนไทยเชื่อว่าจะส่งผลไม่ดีแก่ผู้ปลูก
เพราะถือว่านามไม่เป็นมงคล เชื่อว่าหากสามีภรรยาปลูก
ต้นเต่าร้างไว้หน้าบ้าน อาจต้องหย่าร้างกันล่ะ
โศก ก็เป็นไม้อีกชนิดที่ไม่นิยมปลูกไว้ในเขตรั้วบ้าน
เหมือนกันนะ เพราะชื่อขวนหดหู่ใจ คนในบ้านจะมีแต่ความ ต้นเต่าร้าง
ทุกข์โศก แต่แท้จริงแล้วชื่อเดิมของ "โศก" คือ "อโศก" ต่างหาก ซึ่งไม่ได้หมายถึงความ
โศกเศร้าจ้ะ
แม้แต่ชบาเอง สมัยโบราณก็ไม่นิยมปลูกไว้ในบ้านเพราะเป็นดอกไม้ที่นำไปใช้เมื่อ
เกิดเรื่องร้าย ๆ เช่น นำดอกชบามาร้อยเป็นพวง แล้วนำสวมคอผู้หญิงผู้ชายที่เป็นชู้ หรือ
การนำดอกชบาไปสวมคอนักโทษที่ถูกประหารยังไงล่ะ
"สนุกกันไหม" คุณยายถาม "คุณยายเล่าอีกได้ไหมครับ" ออมสินพูดพลางทำตา
ละห้อย "ได้สิจ๊ะ" ขณะที่กำลังจะเล่าต่อภูมิใจถามขึ้นมาว่า "ต้นงิ้วก็เป็นไม้ต้องห้ามเหมือน
กันใช่ไหมครับ เพราะผมเคยได้ยินว่าคนที่ทำไม่ดีเมื่อตกนรกจะได้ปีนต้นงิ้ว"
คุณยายหัวเราะในความช่างคิด ช่างสงสัยของภูมิใจ
"ใช่แล้วจ้ะ" งิ้ว ไม่พ้นเรื่องต้นไม้สัญลักษณ์ของการมีชู้
คนสมัยก่อนจึงไม่นิยมปลูกต้นงิ้วไว้ในบ้าน แต่ตามอาคาร
สำนักงานต่างก็นิยมปลูก ซึ่งเชื่อว่าถ้าไม่ใช่ที่พักอาศัยก็ไม่เป็นไร

ต้นงิ้ว

๒๙

นอกจากนี้ยังมี มะละกอ อีกด้วยนะจ๊ะ เพราะเชื่อว่ามะละกอนั้นเหมือนการแตกกอ
หรือ "ละ" ออกจากเถือกเขาเหล่ากอ บ้านไหนปลูกไว้บริเวณบ้านลูกหลานจะแตกแยก
ขณะที่คนภาคอีสานก็เชื่อว่าการปลูกมะละกอหลังบ้านนั้นจะถูกหลอกได้ง่าย แต่นิยมปลูก
โดยเลือกปลูกนอกรั้วบ้านจ้ะ

และพันธุ์ไม้ชนิดสุดท้ายที่ยายจะเล่าให้ฟังวันนี้ก็คือ นางแย้มป่า ไม้ชนิดนี้เชื่อว่ามี
ผีสางนางไม้สิงอยู่ ห้ามนำมาปลูกในบ้านเพราะวันดีคืนดีต้นนางแย้มป่าจะสำแดงฤทธิ์รังแก
ผู้คนในบ้านทำให้เจ็บป่วย

แต่ในปัจจุบันหลายคนก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเคร่งครัดในการที่จะนำไม้ต้องห้ามมาปลูก
แล้วล่ะ

สิ้นเสียงคุณยายทุกอย่างก็เงียบกริบ ออมสินกับภูมิใจต่างพากันหลับโดยมีข้าวซอย
กับข้าวเจ้าสนุกแสนสนของคุณยายนั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ

ต้นชบา
ต้นโศก

ต้นมะละกอ ต้นนางแมวป่า

๓๐

รอบรู้
หลักภาษา

เรียนรู้เรื่องคำวิเศษณ์

คำวิเศษณ์ คือ คำที่ขยายคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ด้วยกัน
เพื่อช่วยให้ข้อความในประโยคมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

ประกอบนามและสรรพนาม เช่น
- นกใหญ่เกาะกิ่งไม้
- เขาทั้งหลาย

ประกอบกริยา เช่น
- หวานเดินเร็ว
- เหยี่ยวบินสูง

ประกอบคำวิเศษณ์เอง เช่น
- หมูกินจุมาก
- พ่อทำงานหนักแทบเป็นลม

คำวิเศษณ์ มีหลายชนิดในที่นี้ขอกล่าวถึง ๖ ชนิด ดังนี้
๑) ลักษณวิเศษณ์ (บอกลักษณะ)
๒) นิยมวิเศษณ์ (บอกชี้เฉพาะ)
๓) อนิยมวิเศษณ์ (บอกไม่ชี้เฉพาะ)
๔) สถานวิเศษณ์ (บอกสถานที่)
๕) ประมาณวิเศษณ์ (บอกจำนวน)
๖) กาลวิเศษณ์ (บอกเวลา)

๓๑

๑ ลักษณวิเศษณ์

ลักษณวิเศษณ์ (ลัก-สะ-หฺนะ-วิ-เสด) คือ คำที่ใช้ขยายคำอื่น เพื่อบอกลักษณะต่าง ๆ
บอกชนิด ขนาด กลิ่น สี รส ความรู้สึก เช่น

ตัวอย่าง - ดอกมะลิหอม (บอกกลิ่น)
- ทุเรียนต้นนี้มีผลใหญ่ (บอกขนาด)
- มะดันมีรสเปรี้ยว (บอกรส)
- วันนี้อากาศอบอุ่น (บอกความรู้สึก)
- น้องสวมเสื้อสีขาว (บอกสี)

ตัวอย่าง ขนาด เตี้ย สูง รี แบน ใหญ่ เล็ก กว้าง แคบ
คำบอกลักษณะ ชนิด ดี ชั่ว แข็ง นิ่ม นุ่ม อ่อน แก่ พิเศษ
รส ขม มัน เค็ม เปรี้ยว หวาน จืด เผ็ด
สี ดำ แดง เหลือง หม่น เขียว เทา ขาว
กลิ่น หอม ฉุน เหม็น เหม็นอับ
ความรู้สึก หนาว เย็น ร้อน เจ็บ สั่น อบอ้าว เมื่อย คัน

๓๒

๒ นิยมวิเศษณ์

นิยมวิเศษณ์ (นิ-ยม-มะ-วิ-เสด) คือ คำที่ขยายคำอื่น เพื่อบอกความชัดเจนว่า
เป็นสิ่งนั้น ๆ เช่น โน่น โน้น นั่น นั้น นี่ นี้ นู่น นู้น

ตัวอย่าง - บ้านนี้อยู่กันหลายคน
- คนนั้นใส่เสื้อสีสวย
- ชุมชนโน้นสุนัขดุ
- แจกันนี่มีลวดลายแบบจีน

ข้อสังเกต
คำเหล่านี้จะอยู่หลังคำที่ขยาย หากทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมในประโยค

จะเป็นนิยมสรรพนาม

๓ อนิยมวิเศษณ์

อนิยมวิเศษณ์ (อะ-นิ-ยม-มะ-วิ-เสด) คือ คำที่ใช้ขยายคำอื่น โดยไม่ระบุระยะ

ใกล้ไกล หรือไม่ระบุเจาะจง ว่าเป็นผู้ใด ชั้นใด ตัวใด เช่น อะไร ไหน อื่น ๆ ต่าง ๆ

ใด เท่าไร

ตัวอย่าง - รถคันอื่น ๆ เข้าอู่หมดแล้ว
- ครอบครัวใด ๆ ต้องรักลูกทุกคน
- ผลไม้ต่าง ๆ ล้วนให้วิตามิน
- ฉันพักบ้านหลังไหนก็ได้
- ถึงจะแพงสักเท่าไร ฉันก็จะซื้อ

ข้อสังเกต
จะวางหลังคำนาม หรือ ลักษณนามก็ได้และใช้เป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่คำถาม

๓๓

๔ สถานวิเศษณ์

สถานวิเศษณ์ (สะ-ถา-นะ-วิ-เสด) คือ คำที่ใช้ขยายคำอื่น เพื่อบอกตำแหน่งสถานที่

เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ห่าง ชิด ริม ซ้าย ขวา หน้า หลัง เป็นต้น

ตัวอย่าง - ห้องประชุมอยู่ชั้นบน
- หนังสือเรียนวางอยู่ชั้นล่าง
- นักเรียนยืนห่างกันมาก
- โรงพยาบาลอยู่ใกล้ ๆ

ข้อสังเกต
หากมีคำนามหรือคำสรรพนามมาต่อท้ายจะกลายเป็นคำบุพบท
เช่น เด็กน้อยนั่งใกล้หน้าต่าง

๕ ประมาณวิเศษณ์

ประมาณวิเศษณ์ (ปฺระ-มาน-วิ-เสด) คือ คำที่ใช้ขยายคำอื่น เพื่อบอกจำนวนนับ
เช่น หนึ่ง สอง สาม สี่ เป็นต้น หรือบอกปริมาณ เช่น ทุกคน น้อย มาก ทั้งหมด เป็นต้น

ตัวอย่าง - แม่ซื้อหมูปิ้ง ๑๐ ไม้
- เด็กหลายคนไม่ชอบกินผัก
- พ่อปลูกต้นมะลิ ๕ ต้น
- เขากินข้าวหมดเกลี้ยง
- ฉันมีพี่น้อง ๓ คน
- สามทหารเสือเตรียมออกรบ

๓๔

๖ กาลวิเศษณ์

กาลวิเศษณ์ (กา-ละ-วิ-เสด) คือ คำที่ใช้ขยายคำอื่น เพื่อบอกเวลา อดีต ปัจจุบัน

อนาคต เช่น เช้า สาย กลางวัน เช้ามืด ค่ำ ๆ พรุ่งนี้ ก่อน หลัง เดี๋ยวนี้ เป็นต้น

ตัวอย่าง - เมื่อคืนฝนตกหนักมาก
- เด็ก ๆ เดินไปโรงเรียนแต่เช้า
- ฉันได้ยินเสียงไก่ขันตอนเช้ามืด
- เย็นนี้ครอบครัวเราจะไปรับประทานอาหารนอกบ้าน

หน้าที่ของคำวิเศษณ์

๑) ขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้า เช่น บ้านสวยราคาไม่แพง (สวย เป็นคำวิเศษณ์ขยาย
คำนาม คือ บ้าน)

๒) ขยายคำสรรพนามที่อยู่ข้างหน้า เช่น เราทุกคนจงช่วยกันทำความสะอาด
(ทุกคน เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม คือ เรา)

๓) ขยายคำกริยา เช่น เด็กชายภานุวัชรกินจุ (จุ เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำกริยา คือ กิน)
๔) ขยายคำวิเศษณ์ด้วยกันเอง เช่น เธอคนนี้มีหน้าตาสวยมาก (มาก เป็นคำวิเศษณ์

บอกจำนวนที่ทำหน้าที่ขยายคำวิเศษณ์ คือ สวย)

ถ้าประโยคที่ใช้ในการสื่อสาร
ไม่มีคำวิเศษณ์จะเป็นอย่างไร
จงอธิบายพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

๓๕

แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ ๔

คำชี้แจง ให้นักเรียนเติมคำวิเศษณ์ที่เหมาะสมลงในช่องว่างที่เว้นไว้ให้

๑ ฉันชอบนอนที่นอน..................….. ๆ และหมอน..........…......... ๆ
๒ คน......……....มักตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
๓ คน........……..มักเดิน..................กว่าคน.................
๔ วัว...…….......ชอบกินหญ้า.....…….........
๕ ลมพายุหมุนพัด........…........และ....……........มาก จนบ้านพังหลายหลัง

คำชี้แจง ให้นักเรียนเขียนชนิดของคำวิเศษณ์จากคำพิมพ์ตัวหนาในประโยค

๑ พริกขี้หนูที่ซื้อมาวันนี้ เขียวบ้าง แดงบ้าง
ชนิดคำวิเศษณ์.................................................................................

๒ พ่อจ๋า พ่ออยู่ไหน
ชนิดคำวิเศษณ์.................................................................................

๓ จานบินมีลักษณะกลมและแบน
ชนิดคำวิเศษณ์.................................................................................

๔ ซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ชั้นล่าง เครื่องเขียนอยู่ชั้นบน
ชนิดคำวิเศษณ์.................................................................................

๕ โรงเรียนดีเด่นที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ชนิดคำวิเศษณ์.................................................................................

๓๖

คำชี้แจง ให้นักเรียนเติมชนิดของคำวิเศษณ์ให้ถูกต้อง



๔ ะ ศ



นิ ณ
วิ ม


ณ์



๖ษ

แนวตั้ง แนวนอน
๑. หนึ่ง สอง มาก น้อย หมดเกลี้ยง ๔. ผักต่าง ๆ ล้วนมีประโยชน์
๒. วัดโน้นสุนัขดุ ๕. มะรืนนี้พ่อจะไปเที่ยว
๓. ห้องสมุดอยู่ชั้นล่าง ๖. แคบ อ้วน ดำ สูง เหม็นอับ

๓๗



หน่วยการเรียนรู้ที่

๕ ช้อนกลางสร้างสุขภาพ

บทห้าบอกความรู้ สอนควบคู่เรื่องช้อนกลาง
กินข้าวในวงกว้าง ใช้ช้อนกลางจะปลอดภัย
ที่ต้องจดจำขึ้นใจ
ความรู้บุพบท
ช่วยให้ความต่อเนื่องกัน
คือคำที่มีไว้

พัฒนา
ทักษะการอ่านและคิด

วันนี้เป็นโอกาสพิเศษที่พ่อเเม่จะพาต้นไปงานเเต่งของน้าเเป้งซึ่งเป็นญาติทางเเม่
ต้นตื่นเต้นมาก เเต่งตัวเสร็จตั้งเเต่เช้า พอไปถึงงานต้นตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นผู้คนมากมาย
เเต่งตัวสวยงาม ซึ่งเป็นการให้เกียรติเเก่คู่บ่าวสาว

ด้านหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง มีโต๊ะวางอาหารเป็นเเนวยาว มีอาหารนานาชนิด
ทั้งคาวหวานเเละผลไม้ที่ประดิดประดอยไว้อย่างสวยงาม เเขกที่มาร่วมงานต่างทยอยเข้า
นั่งที่โต๊ะเเละเดินไปตักอาหาร ทุกคนเข้าเเถวหยิบจานที่หัวโต๊ะ เเล้วเดินตักอาหารที่ตน
ชอบใส่จานอย่างเป็นระเบียบ

ระหว่างเข้าเเถวตักอาหารเเม่จึงพูดกับต้นว่า "การกินเลี้ยงเเบบนี้เรียกว่า 'บุพเฟต์'
ทุกคนต้องช่วยเหลือตัวเอง ควรตักอาหารให้พอดี พออิ่ม อย่าตักมากจนล้นจานถ้าไม่อิ่ม
ค่อยมากตักใหม่"

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ต้นขอไปห้องน้ำซึ่งอยู่นอกห้องจัดเลี้ยงต้องเดินไปทาง
ระเบียงจึงได้เดินผ่านโต๊ะพี่สิน ต้นสังเกตเห็นว่าทั้งโต๊ะเเต่ละคนใช้ช้อนของตนเองตัก
อาหารจากบนโต๊ะใส่ปาก เเก้วน้ำก็มีเเค่ ๒-๓ เเก้วใช้วนกันต้นตั้งใจว่ากลับไปจะเล่าให้เเม่
ฟัง เเต่พอกลับมาที่โต๊ะต้นก็ลืมเสียสนิทเพราะมัวเเต่เพลิดเพลินกับการฟังดนตรีและ
บรรยากาศที่สวยงามของงาน

จบงานทุกคนออกจากงานเลี้ยงด้วยความรู้สึกยินดีกับคู่บ่าวสาว บ้านของต้นกับพี่
สินอยู่ติดกัน ทุกวันต้นจะได้ยินเสียงกีตาร์ที่พี่สินดีดเพลงเพราะ ๆ ดังข้ามรั้วมา เเต่เมื่อ
๒-๓ วันมานี้ต้นกลับไม่ได้ยินเลย

๔๐

จนกระทั่งเเม่ไปพบป้าสายเเม่ของพี่สิน จึงได้ทราบว่า พี่สินเข้าโรงพยาบาลด้วยโรค

ไวรัสตับอักเสบเอ พ่อกับเเม่เลยไปเยี่ยมพี่สินที่โรงพยาบาลทันทีที่ทราบข่าว
เมื่อพ่อเเม่กลับถึงบ้านต้นก็ถามพ่อเเม่ว่าพี่สินเป็นอย่างไรบ้าง พ่อตอบว่า
“พี่สินไม่เป็นอะไรมากนอนโรงพยาบาลอีก ๒ คืนก็น่าจะกลับบ้านได้”

“โรคไวรัสตับอักเสบเอนี่เป็นยังไงเหรอครับ” ต้นสงสัยจึงถาม
แม่ตอบว่า

“โรคไวรัสตับอักเสบหรือดีซ่านเกิดจากการอักเสบของเซลล์ตับ ทำให้ตับทำงาน
ได้ไม่เต็มที่ ที่พี่สินเป็นคือ มีอาการเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน ต่อมามีปัสสาวะสีเข้ม มีไข้ ตาเหลืองตัวเหลืองเเละปวดท้องจ้ะ”

ต้นได้ฟังเเบบนี้ก็กลัวว่าตนเองจะเป็น
“น่ากลัวจังมันติดต่อยังไงหรอครับต้น
จะเป็นไหม”พ่อจึงบอกว่า
“ต้นไม่เป็นหรอกโรคนี้จะติดต่อกันทางเลือด อาหาร น้ำลาย ถ้าเราล้างมือก่อนกิน
อาหารทุกครั้ง ทานอาหารที่ดี น้ำดื่มที่สะอาด ที่สำคัญคือใช้ช้อนกลางตักอาหารทุกครั้ง
ไม่ใช้เเก้วน้ำร่วมกับใคร”
ต้นได้ยินดังนั้นจึงนึกถึงวันที่ไปงานเเต่งน้าเเป้ง เเละเล่าให้พ่อเเม่ฟังว่าเห็นพี่สิน
กินอาหารโดยไม่ใช้ช้อนกลาง เเละใช้เเก้วน้ำร่วมกับคนอื่น พ่อกับเเม่จึงสอนต้นทันทีว่า
เราต้องใช้ช้อนกลางทุกครั้ง ไม่ใช้ช้อนหรือเเก้วน้ำร่วมกับใครโดยเด็ดขาด
เพราะเราไม่รู้ได้เลยว่าเชื้อโรคมันอยู่ตรงไหนบ้าง ดังนั้นเราต้องระมัดระวังตนเอง
เเม้กระทั้งการทานอาหารในบ้าน ก็ต้องใช้ช้อนกลางตักอาหาร

หลังจากฟังเรื่องพี่สินเเล้วต้นรู้สึกโชคดีมากที่พ่อเเม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการใช้
ช้อนกลางเเละปลูกฝังต้นมาตั้งเเต่เด็ก ๆ

จนต้นเองก็ติดเป็นนิสัย ยิ่งเกิดเรื่องเเบบนี้ต้นยิ่งเห็นความสำคัญของการใช้ช้อนกลาง
มากยิ่งขึ้น เเละตั้งใจเลยว่าต้นจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ทานอาหารที่ดี ใช้ช้อนกลางในทุกครั้ง
เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเอง

๔๑

รอบรู้
หลักภาษา

เรียนรู้เรื่องคำบุพบท

คำบุพบท คือ คำที่เเสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำ ข้อความ หรือประโยค เพื่อให้

ความต่อเนื่องกัน เเละช่วยให้ข้อความนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น

คำบุพบทแบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ
๑) บุพบทบอกสถานที่
๒) บุพบทบอกความเป็นเจ้าของ
๓) บุพบทบอกความเกี่ยวข้อง
๔) บุพบทบอกเวลา

๑ บุพบทบอกสถานที่

คำบุพบทบอกสถานที่ เช่น ที่ นอก ใน ใกล้ ไกล ใต้ บน ฯลฯ

ตัวอย่าง - นกเกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่
- เสื้อสีขาวอยู่ในตู้เสื้อผ้า
- เขาขายส้มตำอยู่ใกล้สถานีตำรวจ

๒ บุพบทบอกความเป็นเจ้าของ

คำบุพบทบอกความเป็นเจ้าของ เช่น ของ แห่ง ฯลฯ

ตัวอย่าง - เขาทำงานอยู่ที่วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
- เงินของฉันหาย
- พ่อซื้อสวนของนายทองคำ

๔๒


Click to View FlipBook Version