The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียนวิชาดนตรี3 จัดทำโดย นางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน และนายเกียรติสิน เทพวารินทร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เอกสารประกอบการเรียนวิชาดนตรี 3

เอกสารประกอบการเรียนวิชาดนตรี3 จัดทำโดย นางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน และนายเกียรติสิน เทพวารินทร์

เอกสารประกอบการเรียน หลกัสต ู รโรงเร ี ยนว ิ ทยาศาสตรภ ์ ม ู ิ ภาค ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2554 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561) เกียรติสิน เทพวารินทร์ นฤมล สุภัคศิริประสาน ดนตรี 3 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ใบอนุญาตเลขที่ C26/2566 กลุ่มบริหารวิชาการ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3


ใบอนุญาตให้ใช้สื่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา -------------------------------------------------------- เลขที่ C26/2566 วันที่ 30 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2566 เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาพื้นฐาน ศ23103 ดนตรี 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ตามหลักสูตรโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช ๒๕54 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕61) เรียบเรียงโดย นายเกียรติสิน เทพวารินทร์ และคณะ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราชได้พิจารณาแล้ว อนุญาตให้ใช้ ในสถานศึกษาได้ (นายวิชัย ราชธานี) ผู้อำนวยการโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช


ก คำนำ เอกสารประกอบการเรียนการสอน รายวิชาดนตรี3 (ศ23103) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ฉบับนี้ทาง คุณครูประจำวิชาได้จัดทำขึ้นมาเพื่อเป็นเอกสารประกอบค้นคว้าหาความรู้สำหรับคุณครูและนักเรียน เพื่อ ช่วยในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ และสร้างสรรค์ผลงานทางด้านดนตรีของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ตามหลักสูตรโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬา ภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช เอกสารประกอบการเรียนฉบับนี้ ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้ จำนวน 5 หน่วย คุณครูประจำ วิชาได้รวบรวม เรียบเรียง และนำเสนอเนื้อหาพร้อมกับภาพประกอบ ให้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ สาระมาตรฐานการเรียนรู้ ตรงตามมาตรฐานตัวชี้วัด ซึ่งเทียบเคียงกับหลักสูตรแกนกลาง ครูผู้สอนหวังว่า เอกสารประกอบการเรียนรู้ฉบับนี้ จะเป็นฐานในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ ส่งเสริมให้การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียนในรายวิชาดนตรี3 (ศ23103) บรรลุวัตถุประสงค์ อย่างดีที่สุด นายเกียรติสิน เทพวารินทร์ นางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน ผู้จัดทำ


ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข หน่วยการเรียนรู้ที่1 องค์ประกอบดนตรี ในลีลาของบทเพลง 1 องค์ประกอบดนตรีสากล 1 องค์ประกอบดนตรีไทย 4 การเปรียบเทียบองค์ประกอบในงานดนตรีและศิลปะ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 แต่งเพลงง่ายๆได้คุณค่า 8 เครื่องหมายกำหนดจังหวะ 8 การประพันธ์เพลง 9 การเลือกใช้องค์ประกอบในการสร้างสรรค์บทเพลง 9 หน่วยการเรียนรู้ที่3 ร้องเล่นดนตรีสร้างสีสันให้อารมณ์ 11 เทคนิคและการแสดงออกในการขับร้องเดี่ยวและหมู่ 11 เทคนิคและการแสดงออกในการบรรเลงดนตรีเดี่ยวและรวมวง 13 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การแสดงดนตรีเชิงบูรณาการ 15 อิทธิพลของดนตรี 15 อิทธิพลของดนตรีต่อสังคม 17 หน่วยการเรียนรู้ที่5 วิวัฒนาการดนตรีคือวิถีที่งดงาม 20 ประวัติดนตรีตะวันตก (แต่ละยุค) 20 ประวัติดนตรีไทย 39 แผนการจัดการเรียนรู้และแผนการประเมินผลการเรียนรู้ ฉบับย่อ 63 บรรณานุกรม 66


1 องค์ประกอบทางดนตรี หมายถึง รายละเอียดทางดนตรีต่าง ๆ ที่นำมาประกอบกันเป็นบทเพลง ทำให้เพลงมีความสมบูรณ์ เกิดความไพเราะ ดังนั้น เราจึงต้องเรียนรู้ถึงองค์ประกอบของดนตรีเพื่อสร้าง ความเข้าใจในบทเพลงต่าง ๆ ได้ดีขึ้น องค์ประกอบของดนตรี คือ ส่วนสำคัญพื้นฐานทางดนตรีซึ่งรวมกันทำให้เกิดดนตรีหรือบทเพลงต่าง ๆ เป็นรูปร่างขึ้นมาได้ โดยประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ เสียง (Tone) จังหวะ (Rhythm) ทำนอง (Melody) เสียงประสาน (Harmony) รูปพรรณหรือ พื้นผิว (Texture) รูปแบบ (Form) สีสันของเสียง (Tone Color) หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 องค์ประกอบดนตรี ในลีลาของบทเพลง องค์ประกอบของดนตรีสากล


2 1. เสียง (Tone) เสียง ในทางดนตรี หมายถึง เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยจะเกิด จากการร้อง การเป่า การดีด และการสี เสียงจะประกอบด้วยคุณสมบัติเสียง 4 อย่าง คือ ระดับเสียงความ ยาวของเสียง ความเข้มของเสียงและคุณภาพของเสียง 1.1 ระดับเสียง (Pitch) คือ ความสูงต่ำของเสียง ซึ่งเกิดจากความถี่ในการสั่นสะเทือน ถ้า ความถี่ของการสั่นสะเทือนเร็วเสียงจะสูง ความถี่ของการสั่นสะเทือนช้าเสียงจะต่ำ 1.2 ความยาวของเสียง (Duration) คือ ความยาวสั้นของเสียง เสียงดนตรีอาจมีควานยาว เสียงเช่น เสียงสั้นๆ เสียงยาวมาก ซึ่งเป็นพื้นฐานในเรื่องของจังหวะ (Rhythm) 1.3 ความเข้มของเสียง (Intensity) คือ ความแตกต่างของเสียงจากค่อยไปจนถึงดัง ซึ่ง เป็นพื้นฐานเรื่องจังหวะเน้นในทางดนตรี 1.4 คุณภาพของเสียง (Quality) คือ คุณภาพของเสียงแต่ละชนิด เกิดจากการสั่นสะเทือน ของวัตถุที่ทำให้เกิดเสียงนั้น ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานเรื่องสีสันของเสียง (Tone Color) 2. จังหวะ (Rhythm) จังหวะ คือ สัญลักษณ์ที่บอกความยาว สั้น (Duration) ของตัวโน้ตและตัวหยุด โดยไม่มีระดับเสียง ในบทเพลงจะมีองค์ประกอบจังหวะ ดังนี้ 2.1 ความเร็วของจังหวะ (Tempo) เทมโป มาจากภาษาอิตาเลียน หมายถึง เวลา ในทาง ดนตรี หมายถึง ความเร็ว ช้า ปานกลาง ซึ่งถูกกำหนดไว้ในบทเพลง โดยมีเครื่องกำหนดความเร็วที่เรียกว่า เมโทรนอม (Metronome) และมีชื่อเรียกกำหนดความเร็วจังหวะ ได้แก่ Presto เร็วมาก Allegro เร็ว Moderato ความเร็วปานกลาง Adagio ช้า ๆ ไม่รีบร้อน Largo ช้ามาก 2.2 อัตราจังหวะ (Time) คือ การจัดกลุ่มจังหวะตบ (Beat) เป็น 2,3,4 จังหวะเคาะเน้น จังหวะหนัก เบา ของจังหวะตบที่เกิดขึ้น จังหวะตบ (Beat) หมายถึง จังหวะที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ คล้ายการ เต้นของหัวใจตัวอย่างอัตราเช่น 2.3 รูปแบบจังหวะ (Rhythm Pattern) คือรูปแบบกระสวนจังหวะของจังหวัดที่ถูก กำหนดไว้เพื่อเป็นจังหวะในการบรรเลงบทเพลง เช่น จังหวะมาร์ช (March) จังหวะวอลซ์ (Waltz) จังหวะ ร็อค (Rock) เป็นต้น


3 3. ทำนอง (Melody) ทำนอง คือ การจัดเรียงลำดับสูง ต่ำ และความยาว สั้น ของเสียงตามแนวนอน ทำนองเป็น องค์ประกอบดนตรีที่ง่ายต่อการจำเหมือนภาษาพูดที่เป็นประโยค เพื่อสนองความคิดของผู้พูดดังนั้นการ เข้าใจดนตรีจึงต้องจำทำนองให้ได้ 4. เสียงประสาน (Harmony) เสียงประสาน คือ การผสมผสานเสียงตั้งแต่ 2 เสียงขึ้นไป โดยบรรเลงพร้อมกันการประสานเสียงมี ทั้งให้ความกลมกลืนไพเราะ และไม่กลมกลืน การนำเสียง 2 เสียงมาบรรเลงพร้อมกันจะเรียกว่า ขั้นคู่เสียง (Interval) ถ้านำเสียง 3 เสียงขึ้นไปมาบรรเลงพร้อมกันจะเรียกว่า คอร์ด (Chord) 5. รูปพรรณหรือพื้นผิว (Texture) รูปพรรณ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างทำนองกับเสียงประสาน ซึ่งทำให้เกิดเป็นภาพรวมของดนตรี รูปพรรณดนตรีมีหลายแบบ คือ 5.1 แบบโมโนโฟนี (Monophony) คือ ดนตรีแนวทำนองแนวเดียว ไม่มีเสียงประสานหรือ องค์ประกอบใด 5.2 แบบโฮโมโฟนี (Homophony) คือ ดนตรีที่มีแนวทำนองหลักเป็นแนวที่สำคัญที่สุดใน ขณะที่แนวอื่น ๆ เป็นเพียงแนวประสานเสียงด้วยคอร์ดเข้ามาช่วยให้ทำนองหลักไพเราะขึ้น เช่นเพลงไทย สากล เพลงพื้นบ้าน (Folk Song) เป็นต้น 5.3 แบบโพลิโฟนี (Polyphony) คือ ดนตรีที่ใช้แนวทำนองหลายแนวเพื่อมาประสานกับ ทำนองหลัก ทำนองหลักจะเป็นแนวที่สำคัญ แต่แนวอื่น ๆ ก็เป็นทำนองรองและเป็นแนวประสานเมื่อเล่น จะพบว่าแต่ละแนวเป็นทำนองด้วยเช่นกัน 6. รูปแบบ (Form) รูปแบบ คือ โครงสร้างของบทเพลงที่มีแบบแผน ซึ่งผู้ประพันธ์เพลงมักจะมีรูปแบบการแต่งเพลง ตามที่ตนเองคิดไว้ เช่น การแบ่งเป็นห้องเพลง เป็นวลี (Phrase) เป็นประโยค (Sentence) และเป็นท่อน เพลง รูปแบบของบทเพลงในปัจจุบัน ได้แก่ 6.1 ยูนิทารี (Unitary Form) หรือ One Part Form หรือ เอกบท คือ บทเพลงที่มีแนว ทำนองสำคัญเพียงทำนองเดียวตั้งแต่เริ่มต้นจนจบสมบูรณ์ เช่น เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงชาติ เป็นต้น 6.2 ไบนารี (Binary Form) หรือ Two Part Form คือ บทเพลงที่มีรูปแบบประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ เช่น ท่อนทำนอง A และท่อนทำนอง B เรียกบทเพลงบทนี้ว่า รูปแบบ A B 6.3 เทอร์นารี (Ternary Form) หรือ Three Part Form คือ บทเพลงที่มีรูปแบบ ประกอบด้วย3 ส่วนใหญ่ๆ มีส่วนกลางที่แตกต่างไปจากส่วนต้นและส่วนท้าย เช่น ท่อนทำนองที่ 1 A, ท่อน


4 ทำนองที่ 2B, ซึ่งทำนองแตกต่างกันออกไป และท่อนที่ 3 A ก็มีทำนองคล้ายกับท่อนที่ 1 A เรียกบทเพลง แบบนี้ว่ารูปแบบ A B A 6.4 ซองฟอร์ม (Song Form) คือ การนำเทอร์นารีฟอร์มมาเติมส่วนหลักแรกลงอีก 1 ครั้ง จะได้รูปแบบ A A B A เรียกว่า ซองฟอร์ม โครงสร้างแบบนี้มักพบในเพลงทั่ว ๆ ไป 6.5 รอนโด (Rondo Form) คือ รูปแบบการเน้นที่ทำนองหลัก โดยในบทเพลงจะมีหลาย แนวทำนอง ส่วนทำนองหลักหรือทำนองแรกจะวนอยู่ระหว่างทำนองอื่น ๆ ที่ต่างกันออกไป อาจแบ่งได้ 3 รูปแบบ คือ 6.5.1 Simple Rondo คือ การเปลี่ยนไปมาของทำนองหลักกับทำนองที่ 2 เช่น A B A B A 6.5.2 Second Rondo คือ การเปลี่ยนไปมาของทำนองหลักกับอีก 2 แนว ทำนอง เช่น A B A C A 6.5.3 Third Rondo คือ การเปลี่ยนไปมาของทำนองหลักกับอีก 3 แนวทำนอง โดยจัดเรียงกันเช่น A B A C A D A 7. สีสันของเสียง(Tone Color) คือ คุณสมบัติของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชนิด รวมถึงเสียงร้องของมนุษย์ซึ่งแตกต่างกันไปในเรื่อง ของการดนตรี สีสันของเพลงอาจเกิดจากการร้องเดี่ยว การบรรเลงเดี่ยวโดยผู้แสดงเพียงคนเดียว หรือการ นำเครื่องดนตรีหลายชนิดเสียงร้องมาร่วมบรรเลงด้วยกันก็เกิดเป็นการรวมวงดนตรีแบบต่าง ๆ ขึ้น ดนตรีในแต่ละวัฒนธรรมของทุกชนชาติ ล้วนมีองค์ประกอบพื้นฐานทางดนตรีที่คล้ายกัน จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดที่สร้างสรรค์ปรุงแต่งทางดนตรีเพื่อให้เหมาะสมตามเอกลักษณ์ทาง วัฒนธรรมของตน ในทางดนตรีไทยนั้นองค์ประกอบทางดนตรีจะมีลักษณะเด่นเฉพาะของตนเอง โดยมี รายละเอียดดังนี้ เสียงดนตรี หมายถึง คลื่นคนที่เกิดจากการสั่นสะเทือน เกิดจากการที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นทั้งเสียงที่ เกิดจากเครื่องดนตรี จากการดีด สี ตี เป่า รวมถึงเสียงร้องของมนุษย์ โดยนำเสียงต่างๆมาจัดระบบให้เกิด ความกลมกลืนกัน ระบบเสียงดนตรีไทย มีทั้งหมด 7 เสียง คือ เสียงโด เสียงเร เสียงมี เสียงฟา เสียงซอล เสียงลา เสียงที ซึ่งแต่ละเสียงของดนตรีไทยจัดเป็นระบบ 7 เสียงเท่าหรือ 7 เสียงเต็ม คือเสียงทั้ง 7 เสียง มี ระยะห่างของช่วงความถี่แต่ละเสียงที่เท่ากัน ซึ่งจะแตกต่างจากระบบเสียงของดนตรีสากลที่มีระบบ ครึ่งเสียง องค์ประกอบของดนตรีไทย 1. เสียง


5 ทำนองคือเสียงสูง – ต่ำ สั้นบ้างยาวบ้างที่เรียบเรียงขึ้นอย่างได้สัดส่วน กลมกลืน ไพเราะ ตามความประสงค์ของผู้แต่ง โดยปกติทำนองเพลงไทยจะใช้เสียงสูงที่ไล่เรียงกัน เช่น จังหวะในดนตรีไทย หมายถึง การแบ่งระยะเวลาอย่างสม่ำเสมอ จังหวะจะมีความเกี่ยวพันกับ ประโยชน์ของทำนองเพลงอย่างแยกกันไม่ได้แต่เราสามารถเคาะจังหวะให้เห็นสัดส่วนของทำนองเพลงได้ ลักษณะของจังหวะที่เคาะในดนตรีไทยจะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 3.1 จังหวะในใจหรือจังหวะสามัญ เป็นจังหวะพื้นฐานที่มีอยู่ในทุกคน คล้ายกับจังหวะการ เต้นของหัวใจ หรือจังหวะการย่างก้าวที่เป็นไปอย่างปกติเช่น - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 3.2 จังหวะหนักเบาหรือจังหวะฉิ่ง เป็นจังหวะที่เคาะให้เห็นตำแหน่งของจังหวะจังหวะเบา โดยใช้เสียงฉิ่ง กำกับในการให้เสียงดัง ฉิ่ง แทนจังหวะเบาและให้เสียงดัง ฉับ แทนจังหวะหนัก เช่น - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ 3.3 จังหวะหน้าทับจังหวะหน้าทับ จังหวะหน้าทับ คือ รูปแบบจังหวะของการตีเครื่อง ประกอบจังหวะ กลุ่มเครื่องหนังไทย เช่น กลองแขก ตะโพน โทน รำมะนา ตามแบบแผนการบรรเลง ประกอบทำนองเพลง ใช้เป็นเกณฑ์นับจังหวะและเป็นเครื่องบอกโครงสร้างของเพลงนั้นๆ ตัวอย่างหน้าทับ ลาว ดังนี้ - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง คีตลักษณ์ หรือรูปแบบของทำนองเพลงไทย หมายถึง รูปแบบของบทเพลงหรือลักษณะโครงสร้าง ของบทเพลงไทยที่แตกต่างกันออกไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ประพันธ์ ซึ่งมีการกำหนดรูปแบบของเพลงโดย แบ่งออกได้ดังนี้ 2. ทำนอง 3. จังหวะ 4.คีตลักษณ์ หรือรูปแบบของทำนองเพลงไทย


6 • การแบ่งเป็นวรรคเพลงคือ การนำทำนองสั้นๆเรียงต่อเนื่องกันถ้าบันทึกเป็นโน๊ตเพลงจะ พบว่าในแต่ละวรรคเพลงอาจจะมีความยาวเท่ากับ 1 ห้องเพลง 2 ห้องเพลงหรือ 4 ห้องเพลง • การแบ่งเป็นประโยคเพลง คือ การนำวัคซีนต่างๆมาเรียงต่อเนื่องกันและแบ่งทำนองเป็น ประโยค โดยสามารถยึดจังหวะหน้าทับเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ ความยาวของทำนองเพลงที่บรรเลงไป 1 เที่ยว เทียบกับการนับได้ 1 ประโยคเพลงหรือ 1 จังหวะหน้าทับ • การแบ่งเป็นท่อน คือ การนำทำนองตั้งแต่ 2 ประโยคเพลง หรือ 2 จังหวะหน้าทับ หรือ หลายๆประโยคมาเรียงต่อเนื่องกันทำให้เกิดเป็นท่อน ในขณะเดียวกันการนำหลายๆท่อนมาประกอบกันทำ ให้เกิดเป็นบทเพลง การประสานเสียง หมายถึง การผสมผสานของแนวเสียงหลายๆแนวที่เกิดขึ้นพร้อมกันในเชิงดนตรี ไทย มักจะพิจารณาในลักษณะของการบรรเลงแนวทำนองที่ต่างกันหลายๆแนวพร้อมกัน โดยยึดทำนอง หลัก ซึ่งมีการยึดลูกตกเป็นเสียงสำคัญของการบรรเลงเพลงที่ยังคงไว้ การประสานเสียงในแนวนอน (Heterophony) อารมณ์เพลง เป็นองค์ประกอบของดนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุนทรียะในการถ่ายทอดความรู้สึก ผ่านบทเพลง ที่มีสัมผัสระหว่างประโยคเพลงที่สอดคล้องกับจังหวะ ประกอบกับเทคนิคด้วง T ลีลาของผู้ บรรเลงสามารถโน้มน้าวให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกอารมณ์และภาพพจน์ต่างๆได้ตามบริบทของดนตรีไทยมีบท เพลงที่ให้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ดนตรีมีความแตกต่างจากศิลปะอย่างมาก ในขณะที่รูปปั้นและภาพวาดมีรูปทรงทางกายภาพ สื่อความหมายจากองค์ประกอบและการใช้สัญลักษณ์ที่มองเห็นได้ เสียงดนตรีกลับเป็นสิ่งที่มีอยู่ขณะที่ถูก บรรเลงเท่านั้น การฟังดนตรีจึงมีปัจจัยในเรื่องของเวลามากำหนด อย่างไรก็ตามนักเรียนจะสามารถ เปรียบเทียบองค์ประกอบในงานดนตรีและศิลปะได้นั้น จำเป็นจะต้องรู้จักองค์ประกอบของศิลปะก่อน โดยให้นักเรียนรับชมวิดีโอข้างล่างนี้ก่อนครับ การเปรียบเทียบองค์ประกอบในงานดนตรีและศิลปะ 5.การประสานเสียง 6.อารมณ์เพลง


7 ที่มา : https://youtu.be/rNR4lPF6V9 1. การเปรียบเทียบองค์ประกอบในงานศิลปะมีวิธีการเปรียบเทียบโดยใช้องค์ประกอบและเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ การใช้องค์ประกอบในการสร้างสรรค์งานดนตรีและศิลปะแขนงอื่น ในการเลือกใช้องค์ประกอบ ต่าง ๆ ของงานศิลปะ เพื่อนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดผลงานออกมานั้น ผู้สร้างสรรค์ผลงานจำเป็นจะต้องรู้จัก และเข้าใจในองค์ประกอบทุก ๆ ส่วนเป็นอย่างดีเสียก่อนว่ามีความหมายและความสำคัญอย่างไร เพื่อให้ การนำมาประยุกต์ใช้เป็นไปได้อย่างถูกต้อง และเกิดประโยชน์มากที่สุด 2. เทคนิคที่ใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรีและศิลปะแขนงอื่น งานศิลปะทุกแขนงจำเป็นมากที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจและจินตนาการ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก แนวคิด เพื่อสื่อออกมาให้กับผู้ที่มาชมผลงาน ศิลปะให้ได้ซาบซึ้งกับผลงานผ่านทางประสาทสัมผัสของร่างกาย เทคนิคสำหรับสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะนั้น ไม่มีข้อจำกัด แต่อยู่ที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานจะจับเอา ประเด็น หรือมีแรงบันดาลใจเรื่องอะไร ที่ต้องการแสดงผ่านทางผลงานออกมา และเมื่อนำมาผสมผสาน กับองค์ประกอบของศิลปะแขนงนั้น ๆ ก็จะทำให้ผลงานออกมามีความน่าสนใจแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร และสื่อถึงประเด็นของงานให้ได้ชัดเจนที่สุด และที่สำคัญไม่ควรลอกเลียนแบบผลงานและแนวคิดของ ศิลปินคนอื่น


8 เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time Signature) มีลักษณะเป็นตัวเลข 2 ตัวที่เขียนซ้อนกันคล้าย เลขเศษส่วน หรือบางบทเพลงก็ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนตัวเลข ใช้เพื่อแสดงให้รู้ว่าจังหวะ (rhythm) และอัตราจังหวะ (meter) ของบทเพลงนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ทั้งจังหวะและอัตราจังหวะก็เป็น องค์ประกอบส่วนหนึ่งของบทเพลง ซึ่งในขณะบทเพลงดำเนินไป จังหวะและอัตราจังหวะก็จะต้องดำเนินไป ให้สอดคล้องกับความเร็วของจังหวะ (tempo) ด้วย ความหมายเลขตัวบนและตัวล่าง เลขตัวบน เป็นเลขที่กำหนดว่าบทเพลงจะแบ่งออกเป็นห้องละกี่จังหวะตามตัวเลขที่กำหนดดังนี้ เลข 2 แบ่งออกเป็นห้องละ 2 จังหวะ เลข 3 แบ่งออกเป็นห้องละ 3 จังหวะ เลข 4 แบ่งออกเป็นห้องละ 4 จังหวะ เลขตัวล่าง เป็นเลขที่กำหนดว่าโน้ตลักษณะใดจะเป็นเกณฑ์ตัวละ 1 จังหวะดังนี้ เลข 1 กำหนดให้ โน้ตตัวกลม เป็นตัวละ 1 จังหวะ เลข 2 กำหนดให้ โน้ตตัวขาว เป็นตัวละ 1 จังหวะ เลข 4 กำหนดให้ โน้ตตัวดำ เป็นตัวละ 1 จังหวะ เลข 8 กำหนดให้ โน้ตตัวเขบ็ต 1 ชั้น เป็นตัวละ 1 จังหวะ เลข 16 กำหนดให้ โน้ตตัวเขบ็ต 2 ชั้น เป็นตัวละ 1 จังหวะ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 แต่งเพลงง่ายๆได้คุณค่า เครื่องหมายกำหนดจังหวะ


9 การสร้างสรรค์บทเพลงขึ้นมานั้น จะต้องเกิดจากแนวคิดหรือแรงบันดาลใจจากผู้ประพันธ์ว่า ต้องการจะบอกเล่าถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร สื่อความหมายและมุมมองอย่างไรผ่านบทเพลง และ ต้องการให้ผู้ฟังรับรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังเพลง ดังนั้นในการประพันธ์เพลง ผู้แต่งจะต้องรู้จักเลือกใช้องค์ประกอบของดนตรีให้เหมาะสมกับ อารมณ์ของบทเพลงและความรู้สึกที่ถ่ายทอด ซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ จะต้องมีความสัมพันธ์กัน และแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ผู้ฟังรับรู้และเข้าใจได้อย่างชัดเจน ซึ่งการ ประพันธ์เพลงนั้น ผู้ประพันธ์จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. แนวคิดหลักของเพลง ผู้ประพันธ์เพลงต้องรู้ก่อนว่า เพลงที่กำลังจะเขียนขึ้นมานั้น เขียนมาเพื่ออะไร เช่น เขียนเพื่อ ประกอบละคร ภาพยนตร์ หรือ โฆษณา หรืออื่น ๆ เมื่อทราบวัตถุประสงค์ของการแต่งเพลงแล้ว ขั้นต่อไป คือหาแรงบันดาลใจ หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือมุมมองของเรื่องราวนั้น ๆ เพื่อช่วยให้มีทิศทางในการเขียนที่ ง่ายขึ้นและชัดเจน 2. การเลือกใช้เสียงประสาน เลือกใช้คอร์ด เลือกทำนองประสาน ที่เหมาะสมและส่งเสริมให้ทำนองมีความไพเราะมากยิ่งขึ้น 3. การเลือกใช้เครื่องดนตรี ผู้ประพันธ์ต้องรู้ลักษณะเสียงของเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ ว่าแต่ละเครื่องนั้นเมื่อเล่นโน้ตที่เขียน ขึ้นมา เสียงจากเครื่องดนตรีนั้นให้อารมณ์และความรู้สึกอย่างไร การเลือกจังหวะ เพื่อสร้างสรรค์บทเพลง ผู้ประพันธ์ควรเลือกใช้อัตราจังหวะให้เหมาะสมกับบท เพลง โดยทั่วไปแล้วอัตราจังหวะที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือ อัตราจังหวะ 4/4 หลังจากทราบวัตถุประสงค์และแนวคิดของการเขียนเพลงและเลือกอัตราจังหวะที่เหมาะสมได้แล้ว สิ่งสำคัญต่อไปคือ ความเร็วของบทเพลง ซึ่งความเร็วจะมีความสำคัญมากในการให้อารมณ์ ความรู้สึกใน เพลง เช่น การใช้จังหวะเร็ว จะทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกสนุกสนาน อยากจะลุกขึ้นมาเต้น มีความสุข ในทางกลับกัน การใช้จังหวะช้า จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่านคลายหรือเศร้าโศกได้เช่นกัน 2. การเรียบเรียงทำนองเพลง การประพันธ์เพลง การเลือกใช้องค์ประกอบในการสร้างสรรค์บทเพลง


10 ทำนองเพลง คือสิ่งที่โดดเด่นที่สุด ผู้ฟังจะจำเพลงแต่ละเพลงได้จากทำนองเพลง ซึ่งถือเป็น เอกลักษณ์ของเพลง ดังนั้น การคิดทำนองจะขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประพันธ์ ว่าจะให้ทำนอง ออกมาเป็นอย่างไร เนื้อร้องเล่าถึงอะไร ใช้ภาษาอย่างไร ทำนองที่ไพเราะจะต้องฟังแล้วกลมกลืนไปกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของเพลง ส่งเสริมอารมณ์เพลง ให้ชัดเจนมากขึ้น


11 การขับร้องเป็นการสร้างสรรค์ทางดนตรีวิธีหนึ่ง ซึ่งใช้วิธีเปล่งเสียงออกมาให้เป็นเพลงต่าง ๆ โดยอาศัยองค์ประกอบทางดนตรี เพื่อทำให้เพลงที่ร้องมีความไพเราะขึ้น ซึ่งการขับร้องอาจจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การขับร้องเดี่ยวและการขับร้องหมู่ การขับร้องเดี่ยว หมายถึง การร้องเพลงโดยบุคคลเพียงคนเดียว อาจมีดนตรีประกอบหรือไม่มีก็ได้ การขับร้องหมู่ หมายถึง การร้องเพลงโดยบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป อาจมีดนตรีประกอบหรือไม่มีก็ ได้ซึ่งการขับร้องแบบหมู่นี้อาจจะร้องแบบเป็นทำนองเดียวกันหรือร้องแบบประสานเสียงกันก็ได้ การขับร้องเดี่ยว หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ร้องเล่นดนตรีสร้างสีสันให้อารมณ์ เทคนิคและการแสดงออกในการขับร้องเดี่ยวและหมู่


12 การขับร้องหมู่ การขับร้องเดี่ยว ส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงความสามารถในการร้องเพลงของผู้ขับร้อง ซึ่งผู้ขับร้อง จะต้องมีทักษะความสามารถในการร้องที่ดีทั้งในเรื่องของการควบคุมเสียง ทำนอง การจับจังหวะ และการ ถ่ายทอดอารมณ์เพลง เทคนิคและการแสดงออกในการขับร้องเดี่ยว มีดังนี้ 1. ต้องมีความเข้าใจในบทเพลงเป็นอย่างดีเพื่อที่จะถ่ายทอดออกมาให้ผู้ฟังเข้าใจในบทเพลงได้ 2. ต้องฝึกออกเสียงให้ชัดเจนในทุกคำ ทุกอักขระ ไม่ว่าจะเป็นภาษาใด ๆ และออกเสียงให้เต็มเสียง 3. ต้องมีความพร้อมทั้งร่างกาย และจิตใจ ควบคุมอารมณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่จะขึ้นแสดงให้ได้ 4. ต้องมีความมั่นใจที่จะแสดงและถ่ายทอดบทเพลงให้กับผู้ชม 5. ต้องฝึกซ้อมท่าทางขณะร้องเพลงให้เหมาะสมกับเนื้อเพลงและดูเป็นธรรมชาติ 6. ต้องมีการฝึกซ้อมในทุกรายละเอียดมาเป็นอย่างดี การขับร้องหมู่ เป็นการร้องเพลงโดยบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป อาจมีดนตรีประกอบหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งการขับร้องแบบหมู่นี้อาจจะร้องแบบเป็นทำนองเดียวกันหรือร้องแบบประสานเสียงกันก็ได้สิ่งสำคัญใน การขับร้องหมู่คือ ความพร้อมเพรียงและความไพเราะของเสียงที่มาจากผู้ขับร้องหลายๆ คน ดังนั้น ก่อน การแสดงต้องมีการฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี การฝึกซ้อม การสร้างเสียงประสาน ขั้นตอนการขับร้องเดี่ยว จะแตกต่างกับการฝึกนักร้องประสาน เสียง แต่ยังคงใช้หลักการฝึกร้องเพลงเหมือนกัน เพื่อพัฒนาเทคนิคการขับร้องและสร้างเสียงที่มีคุณภาพ ใน การขับร้องประสานเสียงนั้น นักร้องต้องพยายามร้องให้เสียงกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นหมายถึง ทุกคนจะต้องเปล่งเสียงพยัญชนะสระอย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยเทคนิคการร้องเหมือนกัน การสื่อ ความหมายของเพลง เข้าใจตรงกัน นอกเหนือจากที่จะต้องร้องให้พร้อมเพรียงกันในแนวเสียงเดียวกัน เพื่อให้สื่อความหมายของเพลงได้อย่างสมบูรณ์


13 จุดมุ่งหมายของการฝึกซ้อมการขับร้องเพลง 1. ท่าทางการยืน – มีท่าทางที่ดี มั่นใจ ไม่เกรง ปล่อยตามสบาย แต่มั่งคง ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้ หายใจได้ถูกวิธีและร้องออกมาได้ดี 2. การหายใจและการควบคุมการใช้ลม – ซี่โครง (rib) ให้ขยายออกได้อย่างสบาย อกไม่ยุบเมื่อ หายใจออก หายใจไม่มีเสียงดัง ควบคุมลมหายใจได้ดี และให้คงขยายซี่โครงไว้ตลอดเวลาในขณะร้องเพลง 3. ร้องสระได้ชัดเจน – สามารถร้องเพลงได้ชัด ทำรูปปากให้ถูกต้อง 4. ร้องพยัญชนะได้ชัดเจน – ไม่เกร็งขากรรไกร ไม่เกร็งลิ้นและขยันปากได้คล่อง 5. ภาษาชัดเจน – มีความสามารในการร้องเพลงภาษาต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ถูกต้องตามหลักของ ภาษานั้น ๆ 6. มีเสียงก้องกังวาน – เข้าใจวิธีการทำให้เสียงมีความก้องกังวาน และรู้จักที่จะใช้เทคนิคการสั่น เสียงได้อย่างพอเหมาะพอดี 7. รู้จักเสียงของตนเอง – รู้ขีดความสามารถของเสียงตนเอง รู้จักช่วงเสียงที่เหมาะสมของตน รู้จัก ข้อดีข้อเสียของตนอยู่ที่ใด จะนำมาใช้อย่างไร 8. รู้จักวิธีการฝึกซ้อม – เข้าใจวิธีการฝึกซ้อมอย่างมีประสิทธิภาพ รู้ขั้นตอนและวิธีการศึกษาเพลง อย่างละเอียด 9. รู้จักวิธีการตีความบทเพลง (Interpretation) – สามารถตีความบทเพลงและถ่ายทอดอารมณ์ เพลงได้ถูกต้อง 10. แสดงได้ – มีความสามารถที่จะนำเสนอ แสดงการขับร้องต่อหน้าผู้ชมด้วยความมั่นใจได้ 11. ร้องประสานเสียงได้- นำความรู้ด้านทักษะการขับร้องไปใช้ในการขับร้องปรานเสียงได้ โดยสามารถแยกแยะเทคนิคการเปล่งเสียงในการขับร้องเดียวและในการขับร้องกลุ่ม 12. รักษาสุขภาพ – รักษาสุขลักษณะที่ดี กินอาหารถูกต้องตามโภชนาการ และดูแลรักษาสุขภาพ รักษากล่องเสียง และรู้วิธีการขับร้องที่ไม่ทำลายเสียง 13. รู้จักการพัฒนา – พัฒนาความสามารถและเทคนิคในการขับร้องอยู่เสมอ ทั้งทางด้านทฤษฎี และปฏิบัติ 1. การบรรเลงเดี่ยว คือ การบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชิ้นเดียว เป็นการบรรเลงคนเดียว แสดงถึง ความสามารถของผู้บรรเลงทั้งในเรื่องความแม่นยำในด้านจังหวะ ทำนองเพลง เทคนิคในการบรรเลงเดี่ยว 1.1 ผู้บรรเลงต้องมีความสามารถและฝีมือในการบรรเลง 1.2 ผู้บรรเลงต้องฝึกจดจำจังหวะทำนองของบทเพลงเพื่อให้บรรเลงได้ถูกต้อง 1.3 ผู้บรรเลงต้องฝึกอ่านโน้ตก่อนการบรรเลงเสมอ เทคนิคและการแสดงออกในการบรรเลงดนตรีเดี่ยวและรวมวง


14 1.4 ผู้บรรเลงต้องมีปฏิภาณไหวพริบในการบรรเลงเพราะการบรรเลงเดี่ยว บางครั้ง มีการประชันฝีมือในการบรรเลงโต้ตอบกัน จึงต้องบรรเลงเพลงที่มีความเหนือชั้นกว่า 1.5 ผู้บรรเลงต้องมีสมาธิในการบรรเลงเพื่อให้การบรรเลงดนตรีได้ถูกต้องตามจังหวะและ ทำนองเพลง 2. การบรรเลงรวมวง หรือการผสมวง เป็นการบรรเลงพร้อม ๆ กันทั้งวงดนตรี โดยนำเครื่อง ดนตรีแต่ละประเภทมาบรรเลงร่วมกันเป็นวง ซึ่งในการผสมวงจะต้องเลือกเครื่องดนตรีที่มีความเหมาะสม กลมกลืนกัน การบรรเลงดนตรีรวมวง ผู้บรรเลงควรมีเทคนิคที่ใช้ในการบรรเลงดังนี้ ฝึกฟังจังหวะเพื่อให้สามารถบรรเลงดนตรีได้ถูกต้องตามจังหวะและช่วยให้วงบรรเลงได้อย่างราบรื่น ผู้บรรเลงจะต้องฝึกการอ่านโน้ตเพลงที่จะบรรเลงเพื่อให้บรรเลงได้ถูกต้อง ผู้บรรเลงจะต้องมีความรับผิดชอบต่อกลุ่มในการบรรเลงดนตรีร่วมกัน ฝึกฟังทำนองเพลงแนวอื่น ๆ เพื่อให้ทราบถึงการเรียบเรียงเสียงประสานและบรรเลงได้หลากหลาย เข้าใจบทเพลงได้ง่ายขึ้น ผู้บรรเลงต้องมีความมั่นใจขณะบรรเลง และบรรเลงได้เข้าจังหวะ ทำนองกับผู้บรรเลงอื่น


15 ดนตรีเป็นสิ่งที่สร้างความผ่อนคลาย สนุกสนานให้กับมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะปฏิบัติ กิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ล้วนมีการบรรเลงดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ 1. อิทธิพลของดนตรีต่อบุคคล ดนตรีเข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของเราด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 ด้านร่างกาย ดนตรีมีอิทธิพลต่อมนุษย์ คือ ดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์เคลื่อนไหว ร่างกายเมื่อได้ยินบทเพลง และดนตรียังสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวกับการส่งเสริมร่างกายอีกด้วย เช่น การเต้นแอโรบิค การรำมวยจีน การฝึกโยคะ การใช้ดนตรีในการเรียนการสอน หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การแสดงดนตรีเชิงบูรณาการ อิทธิพลของดนตรี


16 1.2 ด้านจิตใจ ดนตรีมีผลต่อจิตใจของมนุษย์เกิดอารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อฟังบท เพลง ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกนั้นก็จะเปลี่ยนไปตามบทเพลงที่ฟัง เช่น การเล่นดนตรีหรือฟังดนตรีบรรเลง เบาๆ จะทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ การใช้ดนตรีบำบัดผู้ป่วยให้มีอารมณ์ที่สดชื่น แจ่มใส การฟังเพลงที่มี เนื้อหาเกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวัง เนื้อหาเศร้า ก็จะทำให้อารมณ์นั้นเศร้าตามบทเพลงไปด้วย หรือถ้าหาก ฟังเพลงที่มีจังหวะเร็ว เนื้อหาสมหวังสนุกสนาน จะทำให้เรามีความสุขแจ่มใส 1.3 ด้านสติปัญญา ดนตรีมีผลต่อสติปัญญาของมนุษย์ เมื่อมนุษย์เกิดความเครียด สามารถ ฟังดนตรีเพื่อให้เกิดความผ่อนคลายได้ เช่น ในการเรียนการสอนสามารถนำดนตรีเข้ามีส่วนร่วมใน กิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความจำได้ง่ายขึ้น การนำดนตรีมาประกอบการฝึกโยคะ การนำดนตรีมาประกอบการเต้นแอโรบิค


17 การใช้ดนตรีบำบัดผู้ป่วย สังคม คือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ โดยมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในการอยู่ร่วมกัน จะต้องมีวิถีปฏิบัติ กฎระเบียบ ข้อบังคับปฏิบัติ ซึ่งก่อให้เกิดเป็นกฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณีและ วัฒนธรรม ในสังคม สำหรับดนตรีนั้นมีอิทธิพลต่อสังคมมาช้านาน เป็นการนำดนตรีมาใช้บรรเลง พิธีกรรม ในงานประเพณีต่าง ๆ ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ นอกจากดนตรีจะแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ ของชาติแล้ว ยังเป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของ คนในสังคมได้ด้วย เช่น การเล่นดนตรีร่วมกันของสมาชิกใน ครอบครัว ทำให้เกิดความอบอุ่นใน ครอบครัว กลุ่มคนที่ชื่นชอบดนตรีไทยและต้องการอนุรักษ์ดนตรีไทย มารวมตัวกันก่อตั้งชมรมเพื่อ แสดงและเผยแพร่ดนตรีไทยร่วมกัน ทำให้เกิดการรู้จักกัน ร่วมกันทำสิ่งที่ดี ให้กับสังคม ซึ่งนอกจาก ดนตรีจะทำให้รู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การแสดงความคิดเห็นอื่น ๆ แล้ว ดนตรียัง เป็นพื้นฐานที่ทำให้ สังคมเกิดความสงบสุขได้อีกด้วย ดนตรีทำให้เกิดกระแส หรือค่านิยมต่าง ๆ ในสังคม เช่น ค่านิยมของคนในสังคมเกี่ยวกับกีตาร์อูคูเลเล่ เพราะ เป็นกีตาร์ที่มีความกะทัดรัด ทำให้วัยรุ่นหันมานิยมเล่นกันเป็นจำนวนมาก ดนตรีมีอิทธิพลต่อสังคม ดังนี้ 1. ความสัมพันธ์ของดนตรีที่ใช้ในพิธีการ การประกอบพิธีการต่าง ๆ ในปัจจุบันมีดนตรีเข้ามาเป็นส่วนร่วมเเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพิธี การที่เป็นมงคลหรืออวมงคล เพลงที่ใช้ในพิธีการต่าง ๆ มีดังนี้ เช่น บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารในขณะรับเสด็จพระมหากษัตริย์ พระบรม วงศานุวงศ์และผู้แทนพระองค์ เพลงชาติไทย ใช้บรรเลงในขณะเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา เวลา 08.00 น. และเชิญธงชาติลงเวลา 18.00 น.เพลงมหาชัย ใช้บรรเลงในขณะเปิดพิธีการต่าง ๆ โดยเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง พระบรมวงศานุวงศ์และนายกรัฐมนตรีเพลงมหาฤกษ์ ใช้บรรเลงต้อนรับประธานเปิดงานพิธีต่าง ๆ ซึ่งเเป็น งานทั่วไปอาจใช้บุคคลสำคัญที่เคารพนับถือ หรือบุคคลมีชื่อเสียงมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานเพลงกราว กีฬา ใช้บรรเลงในขณะการเดินสวนสนามของนักกีฬา ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬา หรือปิดการแข่งขัน อิทธิพลของดนตรีต่อสังคม


18 วงโยธวาทิต บรรเลงเพลงรับเสด็จฯ วงโยธวาทิต บรรเลงในงานแข่งขันกีฬา 2. ความสัมพันธ์ของดนตรีกับกิจกรรมบันเทิง การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ย่อมมีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อให้คนในสังคมเกิดความ รักใคร่สมัครสมานกลมเกลียวกัน กิจกรรมที่เกิดขึ้นจึงเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับความบันเทิง ความสนุกสนาน ซึ่งกิจกรรมที่นิยม คือ การเต้นรำ ดนตรีเพื่อกิจกรรมบันเทิงจะช่วยส่งเสริมให้คนในสังคมได้มีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมร่วมกัน สร้างความสนุกสนาน ครึกครื้น อีกทั้งดนตรียังช่วยขัดเกลาจิตใจของคนให้มีความอ่อนโยนอยู่ร่วมในสังคม ได้อย่างมีความสุข


19 วงดนตรีประกอบรำวงย้อนยุค 3. ความสัมพันธ์ของดนตรีกับการรักษาโรค ในทางการแพทย์ปัจจุบันได้มีการนำดนตรีเข้ามาใช้ร่วมกับการรักษาโรค หรือ บำบัดรักษา การเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ อาการเจ็บป่วยทางกาย และอาการเจ็บป่วยทางใจ สำหรับในส่วนของดนตรี สามารถนำมาบำบัดผู้ป่วยที่เรียกว่า "ดนตรีบำบัด " ซึ่งใช้บำบัดทั้งทางกายและ จิตใจ การใช้ดนตรีบำบัดสำหรับผู้ป่วย


20 จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่าโครงสร้างทางดนตรีตะวันตกได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีของ ชนชาติกรีกซึ่งเป็นชนชาติโบราณที่มีอารยธรรมสูงส่ง กรีกได้ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ มนุษย์ไว้มากมาย ทั้งในด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศิลปะดนตรี เมื่อกรีกกลายเป็นส่วน หนึ่งของอาณาจักรโรมัน วัฒนธรรมด้านดนตรี ทั้งหมดจึงถูกถ่ายทอดไปสู่โรมัน เมื่ออาณาจักรโรมันล่ม สลาย วัฒนธรรมดนตรีที่โรมันรับมาจากกรีก ได้แพร่กระจายไปสู่ชนชาติต่าง ๆ ทั่วภาคพื้นยุโรป ครั้นเมื่อคริสต์ศาสนาเกิดขึ้น ดนตรีก็ยิ่งมีบทบาทควบคู่เป็นเงาตามตัวไปด้วย ยุคสมัยประวัติศาสตร์ ดนตรีตะวันตกแบ่งออกเป็นช่วงระยะเวลา แต่ละช่วงระยะเวลาหรือแต่ละสมัย มีลักษณะผลงานทางดนตรีที่ แตกต่างกันออกไป ประวัติศาสตร์ดนตรีเริ่มตั้งแต่สมัยกลาง สมัยเรเนสซองส์ สมัยบาโรค สมัยคลาสสิก สมัยโรแมนติก สมัยอิมเพรสชั่นนิสติค และสมัยศตวรรษที่ 20 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 วิวัฒนาการดนตรีคือวิถีที่งดงาม ประวัติดนตรีตะวันตก


21 1. ยุคกลาง (Middle Ages ) เริ่มประมาณปี ค.ศ. 400 – 1400 ในสมัยกลางนี้โบสถ์เป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านดนตรี ศิลปะ การศึกษาและการเมือง วิวัฒนาการของดนตรีตะวันตกมีการบันทึกไว้ตั้งแต่เริ่มแรกของคริสต์ศาสนา บท เพลงทางศาสนา ซึ่งเกิดขึ้นจากกราประสมประสานระหว่างดนตรีโรมัน โบราณกับดนตรียิวโบราณ เพลง แต่งเพื่อพิธีทางศาสนาคริสต์เป็นส่วนใหญ่ โดยนำคำสอนจากพระคัมภีร์มาร้องเป็นทำนอง เพื่อให้ประชาชน ได้เกิดอาราณ์ซาบซึ้ง และมีศรัทธาแก่กล้าในศาสนา ไมใช่เพื่อความไพเราะของทำนอง หรือความสนุกสนาน ของจังหวะ เมื่อศาสนาคริสต์แพร่กระจายไปทั่วโลก ประเทศต่าง ๆ ได้นำบทเพลงที่ชาติตนเองคุ้นเคยมา ร้องในพิธีสักการะพระเจ้า ดังนั้นเพลงที่ใช้ร้องในพิธีของศาสนาคริสต์จึงแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและเชื้อ ชาติที่นับถือ เมื่อคริสต์ศาสนาเข้มแข็งขึ้น ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการขับร้องเพลงสวด ที่เรียกว่า ชานท์ (Chant) จนเป็นที่ยอมรับในหมู่พวกศาสนาคริสต์ สันตะปาปาเกรกอรี (Pope Gregory the Great) พระผู้นำศาสนาในยุคนั้น คือ ผู้ที่รวบรวมบทสวดต่าง ๆ ที่มีอยู่ ให้เป็นหมวดหมู่ เปลี่ยนคำร้องจากภาษา กรีกให้เป็นภาษาละติน กำหนดลำดับเพลงสวดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกคนปฏิบัติเหมือนกัน ผลงานการ รวบรวมบทสวดของสันตะปาปาเกรกอรี ถูกเรียกว่า เกรกอรีชานท์ (Gregory Chant)หรือบทสวดของเก รกอรี ซึ่งในศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิคก็ยังนำมาใช้อยู่จนปัจจุบัน ชานท์เป็นบทเพลงรองที่มีแต่ ทำนอง ไม่มีการประสานเสียงและไม่มีการบังคับจังหวะ แต่ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและรสนิยมของนักร้อง เอง เพลงประเภทนี้ถูกเรียกว่า เพลงเสียงเดียว หรือเรียกว่า โมโนโฟนี (Monophony) วิวัฒนาการที่สำคัญที่สุดของดนตรีเกิดขึ้นที่ปลายยุคกลาง ราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 คือ การเพิ่มแนว ร้องขึ้นอีกแนวหนึ่ง เป็นเสียงร้องที่เป็นคู่ขนานกับทำนองหลัก กำหนดให้ร้องพร้อมกันไป วิธีการเขียนเพลง ที่มี 2 แนวนี้เรียกว่า ออร์แกนุม (Organum) จากจุดเริ่มนี้เองดนตรีสากลก็ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย จาก แนวสองแนวที่ขนานกันเป็นสองแนวแต่ไม่จำเป็นต้องขนานกันเสมอไ ป สวนทางกันได้ ต่อมาได้เพิ่มเสียง


22 สองแนวเป็นสามแนวและเป็นสี่แนว จากเพลงร้องดั้งเดิมที่มีเพียงเสียงเดียว ได้พัฒนาขึ้นกลายเป็นเพลง หลายแนวเสียงหรือเรียกว่า โพลีโฟนี (Polyphony) ปลายยุคกลางได้มีการเล่นดนตรีนอกวงการศาสนาขึ้นบ้าง โดยมีกลุ่มนักดนตรีเร่ร่อนเที่ยวไปในที่ ต่าง ๆ เปิดการแสดงดนตรีประกอบการเล่านิทาน เล่าเรื่องการต่อสู้ของนักรบผู้กล้าหาญ ร้องเพลง หรือบรรเลงดนตรีประกอบการแสดงมายากล แสดงกายกรรม แสดงการต้นระบำต่าง ๆ จุดมุ่งหมายคือ ความบันเทิง นักดนตรีพเนจรเหล่านี้ กระจายอยุ่ทั่วภาคพื้นยุโรป มีชื่อเรียกต่างกันไป พวกจองเกลอ (Jonglour) อยู่ทั่วไปในยุโรป พวกมิสสเทรล (Minstrel) เร่ร่อนอยู่ในอังกฤษ พวกทรูแวร์ (Trouveres) ทำ หน้าที่บรรเลงเพลงในราชสำนักทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส และพวกทรูบาร์ดัวร์ (Troubadour) ทำ หน้าทีบรรเลงเพลงในราชสำนักทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส คลิกฟังตัวอย่างเพลงสวด (Chant) ในยุคกลาง https://youtu.be/ApX4DJvPpEg 2. ยุคเรเนสซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (The Renaissance Period) สมัยเรเนสซองส์ หรือ สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา เริ่มประมาณ ค.ศ. 1400 – 1600 เพลงศาสนายังมี ความสำคัญอยู่เช่นเดิม เพลงสำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อให้ความบันเทิง ความสนุกสนาน ก็เกิดขึ้นด้วย การประสานเสียงได้รับการพัฒนาให้กลมกลืนขึ้น เพลงศาสนาเป็นรากฐานของทฤษฎีการประสานเสียง เพลงในยุคนี้แบ่งเป็นสองแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่เรียกว่า อิมมิเททีฟโพลีโฟนี (Imitative Polyphony) คือ มีหลายแนว และแต่ละแนวจะเริ่มไม่พร้อมกัน ทุกแนวเสียงมีความสำคัญแบบที่สองเรียกว่า โฮโมโฟนี (Homophony) คือ มีหลายแนวเสียงและบรรเลงไปพร้อมกัน มีเพียงแนวเสียงเดียวที่เด่น แนวเสียงอื่นๆ เป็นเพียงเสียงประกอบ เพลงในสมัยนี้ ยังไม่มีการแบ่งจังหวะที่แน่นอน คือ ยังไม่มีการแบ่งห้องออกเป็น 3/4 หรือ 4/4 เพลงส่วนใหญ่ก็ยังเกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนาอยู่เพลงประกอบขั้นต อนต่างๆ ของพิธีทาง ศาสนาที่สำคัญ คือ เพลงแมส (Mass) และโมเต็ท (Motet) คำร้องเป็นภาษาละติน เพลงที่ไม่ใช่เพลงศาสนา


23 ก็เริ่มนิยมกันมากขึ้น ได้แก่ เพลงประเภท แมดริกัล (Madrigal) ซึ่งมีเนื้อร้องเกี่ยวกับความรัก หรือยกย่อง บุคคลสำคัญ และมักจะมีจังหวะสนุกสนาน นอกจากนี้ยังใช้ภาษาประจำชาติของแต่ละชาติ เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทในยุคนี้ เครื่องดนตรีที่นำมาใช้ในการบรรเลง คือ ลูท ออร์แกนลม ฮาร์พซิ คอร์ด เวอจินัล ขลุ่ยเรคอร์เดอร์ ซอวิโอล องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของดนตรียุคนี้ที่ถูกนำมาใช้ คือ ความดัง – เบาของเสียงดนตรี (Dynamic) คำว่า “Renaissance” แปลว่า “การเกิดใหม่ ” (Re-birth) ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ปัญญาชนในยุโรป ได้หันความสนใจจากกิจการฝ่ายศาสนาที่ได้ปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัดตล อดสมัยกลาง มาสู่การฟื้นฟู ศิลปวิทยา ซึ่งมีแนวความคิดอ่านและวัฒนธรรมตามแบบกรีก และโรมันโบราณ สมัยแห่งการฟื้นฟู ศิลปวิทยานี้ ได้เริ่มขึ้นครั้งแรกตามหัวเมืองภาคเหนือของแหลมอิตาลีโดยได้เริ่มขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ก่อน แล้วจึงแพร่ไปยังเวนิช ปิสา เจนัว จนทั่วแคว้นทัสคานีและลอมบาร์ดี จากนั้นจึงแพร่ไปทั่วแหลมอิตาลีแล้ว ขยายตัวเข้าไปในฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ายในสมัยศิลป์ใหม่ แต่ได้มีการปรับปรุงพัฒนารูปแบบ มากขึ้น ลักษณะการสอดประสานทำนอง ยังคงเป็นลักษณะเด่น เพลงร้องยังคงนิยมกัน แต่เพลงบรรเลงเริ่ม มีบทบาทมากขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 รูปแบบของดนตรีมีความแตกต่างกันดังนี้ (ไขแสง ศุขะ วัฒนะ,2535:89) 1. สมัยศตวรรษที่ 15 ประชาชนทั่วไปได้หลุดพ้นจากการปกครองระบอบศักดินา (Feudalism) มนุษยนิยม (Humanism) ได้กลายเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา ศิลปินผู้มีชื่อเสียง คือ ลอเร็นโซ กิแบร์ตี โดนาเต็ลโล เลโอนาร์โด ดา วิน ชิ ฯลฯ เพลงมักจะมี 3 แนว โดยแนวบนสุดจะมีลักษณะน่าสนใจกว่าแนวอื่น ๆ เพลงที่ประกอบด้วยเสียง 4 แนว ในลักษณะของโซปราโน อัลโต เทเนอร์ เบส เริ่มนิยมประพันธ์กันซึ่งเป็นรากฐานของการประสานเสียง 4 แนว ในสมัยต่อ ๆ มา เพลงโบสถ์จำพวก แมสซึ่งพัฒนามาจากแชนท์มีการประพันธ์กันเช่นเดียวกับในสมัยกลาง เพลงโมเต็ตยังมีรูปแบบคล้ายสมัย ศิลป์ใหม่ ในระยะนี้เพลงคฤหัสถ์เริ่มมีการสอดประสานเกิดขึ้น คือ เพลงประเภทซังซอง แบบสอดประสาน


24 (Polyphonic chanson) ซึ่งมีแนวทำนองเด่น 1 แนว และมีแนวอื่นสอดประสานแบบล้อกัน (Imitative style) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลักษณะของการใส่เสียงประสาน (Homophony) ลักษณะล้อกันแบบนี้เป็นลักษณะสำคัญของเพลงในสมัยนี้ นอกจากนี้มีการนำรูปแบบของโมเต็ตมา ประพันธ์เป็นเพลงแมสและการนำ หลักของแคนนอนมาใช้ในเพลงแมสด้วย 2. สมัยศตวรรษที่ 16 มนุษยนิยมยังคงเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา การปฏิรูปทางศาสนาและการต่อต้านการปฏิรูปทาง ศาสนาของพวกคาทอลิก เป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งของคริสต์ศาสนาเพลงร้อง แบบสอดประสานทำนอง พัฒนาจนมีความสมบูรณ์แบบเพลงร้องยังคงเป็นลักษณะเด่น แต่เพลงบรรเลงก็เริ่มนิยมกันมากขึ้น เพลง โบสถ์ยังมีอิทธิพลจากเพลงโบสถ์ของโรมัน แต่ก็มีเพลงโบสถ์ของนิกายโปรแตสแตนท์เกิดขึ้น การประสาน เสียงเริ่มมีหลักเกณฑ์มากขึ้น การใช้การประสานเสียงสลับกับการล้อกันของทำนองเป็นลักษณะหนึ่งของ เพลงในสมัยนี้ การแต่งเพลงแมสและโมเต็ต นำหลักของการล้อกันของทำนองมาใช้แต่เป็นแบบฟิวก์ (Fugue) ซึ่งพัฒนามาจากแคนนอน คือ การล้อของทำนองที่มีการแบ่งเป็นส่วน ๆ ที่สลับซับซ้อนมี หลักเกณฑ์มากขึ้นในสมัยนี้มีการปฏิวัติทางดนตรีเกิดขึ้นในเยอรมัน ซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้งทางศาสนา กับพวกโรมันแคธอลิก จึงมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่โดยใช้กฏเกณฑ์ใหม่ด้วยเพลงที่เกิดขึ ้นมาใหม่เป็นเพลง สวดที่เรียกว่า “โคราล” (Chorale) ซึ่งเป็นเพลงที่นำมาจากแชนท์แต่ใส่อัตราจังหวะเข้าไป นอกจากนี้ยัง เป็นเพลงที่นำมาจากเพลงคฤหัสถ์โดย ใส่เนื้อเป็นเรื่องศาสนาและเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ด้วย เพลงในสมัยนี้ เริ่มมีอัตราจังหวะแน่นอน เพลงคฤหัสถ์มีการพัฒนาทั้งใช้ผู้ร้องและการบรรเลง กล่าวได้ว่าดนตรีในศตวรรษ นี้มีรูปแบบ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นและหลักการต่าง ๆ มีแบบแผนมากขึ้น ในสมัยนี้มนุษย์เริ่มเห็นความสำคัญของดนตรีมาก โดยถือว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นอกจากจะ ให้ดนตรีในศาสนาสืบเนื่องมาจากสมัยกลาง (Middle Ages) แล้วยังต้องการดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) เพื่อพักผ่อนในยามว่าง เพราะฉะนั้นในสมัยนี้ดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) และดนตรีศาสนา (Sacred Music) มีความสำคัญเท่ากัน สรุปลักษณะบทเพลงในสมัยนี้ 1. บทร้องใช้โพลีโฟนี (Polyphony) ส่วนใหญ่ใช้ 3-4 แนว ในศตวรรษที่ 16 ได้ชื่อว่า “The Golden Age of Polyphony” 2. มีการพัฒนา Rhythm ในแบบ Duple time และ Triple time ขึ้น 3. การประสานเสียงใช้คู่ 3 ตลอด และเป็นสมัยสุดท้ายที่มีรูปแบบของขับร้องและบรรเลง เหมือนกัน เครื่องดนตรีสมัยรีเนซองส์ – เครื่องดนตรีในสมัยนี้ที่นิยมใช้กันได้แก่ เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชัก ได้แก่ ซอวิโอล (Viols) ขนาดต่าง ๆ ซอรีเบค (Rebec) ซึ่งตัวซอมีทรวดทรงคล้ายลูกแพร์เป็นเครื่องสายที่ใช้คันชัก ลูท เวอร์จินัล คลาวิคอร์ด ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ปี่ชอม ปี่คอร์เน็ต แตรทรัมเปต และแตรทรอมโบนโบราณ เป็น ต้น


25 https://youtu.be/ePqqoag8s1E https://youtu.be/O2MuqpcfuM4 https://youtu.be/Ctci_zhGhvY 3. ยุคบาโรก (The Baroque Period) คำว่า “Baroque” มาจากคำว่า “Barroco” ในภาษาโปรตุเกสซึ่งหมายถึง “ไข่มุกที่มีสัณฐาน เบี้ยว” (Irregularly shaped pearl) Jacob Burckhardt เป็นคนแรกที่ใช้คำนี้เรียกสไตล์ของงาน สถาปัตยกรรมและจิตรกรรมใน คริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่เต็มไปด้วยการตกแต่งประดับประดาและให้ ความรู้สึกอ่อนไหว (ไขแสง ศุขวัฒนะ,2535:96) ในด้านดนตรี ได้มีผู้นำคำนี้มาใช้เรียกสมัยของดนตรีที่เกิดขึ้นในยุโรป เริ่มตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 และมาสิ้นสุดลงราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็นเวลาร่วม 150 ปี เนื่องจากสมัยบาโรกเป็นสมัยที่ ยาวนานรูปแบบของเพลงจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา อย่างไรก็ตามรูปแบบของเพลงที่สามารถกล่าว ได้ว่าเป็นลักษณะเด่นที่สุดของดนตรี บาโรกได้ปรากฏในบทประพันธ์ของ เจ.เอส.บาคและยอร์ช ฟริเดริค เฮนเดล ซึ่งคีตกวีทั้งสองนี้ได้แต่ง ขึ้นในช่วงเวลาครึ่งแรกของศตวรรษที ่ 18 ในตอนต้นสมัยบาโรก คีตกวีส่วนมากได้เลิกนิยมสไตล์โพลี่โฟนี (Polyphony) ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งแนวขับร้องแต่ละแนวในบทเพลงต่างมีความสำคัญทัดเทียมกันและห ันมาสนใจสไตล์โมโนดี (Monody) ซึ่งในบทเพลงจะมีแนวขับร้องเพียงแนวเดียวดำเนินทำนอง และมีแนวสำคัญที่เรียกในภาษาอิตาเลี่ยนว่า “เบสโซคอนตินิวโอ (Basso Continuo)” ทำหน้าที่เสียงคลอเคลื่อนที่ตลอดเวลาประกอบ ทำให้เกิดคอร์ด ขึ้นมา อย่างไรก็ตามคีตกวีรุ่นต่อมาก็มิได้เลิกสไตล์โฟลี่โฟนีเสียเลยทีเดียวหากยังให้ไปปรากฏในดนตรี คีย์บอร์ดในแบบแผนของฟิวก์ (Fugue) ออร์แกนโคราล (Organchorale) ตลอดจนทอคคาตา (Toccata) ซึ่งแต่งโดยใช้เทคนิค เคาน์เตอร์พอยท์ (Counterpoint)


26 ดนตรีในสมัยนี้จะอยู่ประมาณ ค.ศ. 1600 – 1750 ช่วงระยะเวลานี้ ทวีปยุโรปกำลังมีการ เปลี่ยนแปลงทุกด้านไปในทางที่ดีขึ้น ดนตรีในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสมบูรณ์ ดนตรีศาสนา และ ดนตรีของชาวบ้านมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกัน โครงสร้างของเพลงมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สีสันใน บทเพลงมีมากขึ้นวงดนตรีวงใหญ่ขึ้น มีการนำเครื่องดนตรีมาใช้อย่างหลากหลาย เพลงในยุคนี้จะมีจังหวะ สม่ำเสมอมาก ทางด้านการประสานเสียงมีการใช้เสียงหลัก (Tonality) ที่แน่นอน เพลงแต่ละเพลงจะต้อง อยู่ในกุญแจหนึ่ง เช่น เริ่มด้วยกุญแจ C ก็ต้องจบด้วยกุญแจ C มีกฎเกณฑ์การใช้คอร์ด นักประพันธ์เพลงใน ยุคนี้นิยมทำนองสั้นๆ (Motif) มาบรรเลงซ้ำ ๆ กัน โดยเลียนแบบให้สูงขึ้น หรือต่ำลงเป็นลำดับ หรือไม่ก็ซ้ำ อยู่ในระดับเดียวกัน ในด้านจังหวะ ได้ทำให้กระชับขึ้นมาก โดยมีการใช้เครื่องหมายกำหนดจังหวะ (Time Signature) จุดสุดยอดแห่งการเขียนเพลงแบบนี้คือ เพลงประเภท ฟิวก์ (Fugue) ซึ้งใช้เป็นทั้งเพลงร้องและ เพลงบรรเลง เป็นเพลงที่มีหลายทำนองสลับซับซ้อน มีลวดลายมาก นอกจากนี้ การเขียนเพลงแบบโฮ โมโฟนี คือ การประสานเสียงที่มีทำนองหลักหนึ่งแนว และมีแนวเสียงอื่นเป็นส่วนประกอบ ได้รับพัฒนา อย่างสมบูรณ์ในยุคนี้ นักประพันธ์เพลงหลายท่าน ได้สร้างผลงานโดยใช้หลักการประสานเสียงแบบโฮโมโฟนี ผู้มีชื่อเสียงมากในฐานะที่เป็นผู้บุกเบิกการประพันธ์เพลงแบบบรรเลงในยุคนี้ คือ วิวาลดี (Antonio Vivaldi ค.ศ. 1676 – 1741) เพลงที่เขาเขียนส่วนใหญ่ เป็นเพลงประเภท คอนแชร์โต (Concerto) ซึ่งเป็นเพลง สำหรับเดี่ยวคนเดียว ส่วนเพลงที่มีเดี่ยว 2 – 4 คน เพลงประเภทหลังนี้เรียกว่า คอนแชร์โต กรอสโซ (Concerto Grosso) ยุคนี้เป็นยุคที่ริเริ่มเขียนอุปรากร (Opera) ขึ้น ผู้ที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ทางด้านอุปรากร (Opera) คือ มอนทิเวอร์ดี (Claudio Monteverdi ค.ศ. 1567 – 1643) นักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในยุคนี้เป็นชาวเยอรมัน คือ เจ. เอส. บาค (Johann Sebastian Bach ค.ศ. 1685 – 1750) และ แฮนเดล (George Frideric Handel ค.ศ. 1685 – 1759) สำหรับบาคนั้น ได้แต่งเพลงต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนหลายร้อยเพลง และยังได้วางรากฐานทางดนตรีไว้มากจน ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาของดนตรีสากล” และส่วนแฮนเดลนั้น ใช้ชีวิตอยู่ในอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เขา


27 ได้แต่งเพลงร้องและเพลงบรรเลงไว้เป็นจำนวนมากเช่นกัน เพลงร้องที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเพลงหนึ่ง คือ Messiah (ไทยออกเสียงว่า มิซซา) เป็นเพลงบรรยายถึงประวัติของพระเยซู เพลงนี้ใช้แสดงกันในฤดู คริสต์มาสทั่วทุกมุมโลก สำหรับเพลงบรรเลงนั้นได้เขียน คอนแชร์โต กรอสโซ (Concerto Grosso) ซึ่งเพลง ไพเราะมาก ทั้งหมด 12 เพลง ที่วงดนตรีนิยมบรรเลงกันจนกระทั่งทุกวันนี้มี 2 เพลง คือ Water Music และ Fireworks Music ในสมัยบาโรก ดนตรีศาสนาในแบบแผนต่าง ๆ เช่น ออราทอริโอ แมส พาสชัน คันตาตาในศาสนา (Church Cantata) คีตกวีก็นิยมแต่งกันไว้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แมสใน บี ไมเนอร์”ของ เจ.เอส. บาค และออราทอริโอ เรื่อง “The Messiah” ของเฮนเดล จัดได้ว่าเป็นดนตรีศาสนาที่เด่นที่สุดของสมัยนี้ ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งของดนตรีสมัยบาโรกคือ การทำให้เกิด “ความตัดกัน”(Contrasting) เช่น ในด้าน ความเร็ว – ความช้า ความดัง – ความค่อย การบรรเลงเดี่ยว – การบรรเลงร่วมกัน วิธีเหล่านี้ พบในงานประเภท ตริโอโซนาตา (Trio Sonata) คอนแชร์โต กรอซโซ(Concerto Grosso) ซิมโฟเนีย (Simphonia) และคันตาตา (Cantata) ตลอดสมัยนี้คีตกวีมิได้เขียนบทบรรเลงส่วนใหญ่ของเขาขึ้นอย่าง ครบบริบูรณ์ ทั้งนี้เพราะเขาต้องการให้ผู้บรรเลงมีโอกาสแสดงความสามารถการ เล่นโดยอาศัยคีตปฏิภาณ หรือการด้นสด (Improvisation) และการประดิษฐ์เม็ดพราย (Ornamentation) ในแนวของตนเอง ในสมัยบาโรกนี้การบันทึกตัวโน้ตได้รับการพัฒนามาจนเป็นลักษณะการบันทึกตัวโน้ตที่ใช้ในปัจจุบัน คือการใช้บรรทัด 5 เส้น การใช้กุญแจซอล (G Clef) กุญแจฟา (F Clef) กุญแจอัลโตและกุญแจเทเนอร์ (C Clef) มีการใช้สัญลักษณ์ตัวโน้ตและตัวหยุดแทนความยาวของจังหวะและตำแหน่งของตัวโน้ต บรรทัด 5 เส้น แทนระดับเสียงและยังมีตัวเลขบอกอัตราจังหวะมีเส้นกั้นห้องและสัญลักษณ์อื่น ๆ เพื่อใช้ บันทึกลักษณะของเสียงดนตรี ดังนี้ (ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535: 147) อย่างไรก็ตามลักษณะทั่วไปของดนตรี สมัยบาโรก สามารถสรุปกว้าง ๆ ได้ดังนี้ (อนรรฆ จรัณยานนท์,ม.ป.ป. :56) 1. เริ่มนิยมใช้สื่อที่ต่างกันตอบโต้กัน เช่น เสียงนักร้องกับเครื่องดนตรี การบรรเลงเดี่ยวตอบโต้กับ การบรรเลงเป็นกลุ่ม 2. นิยมใช้เบสเป็นทั้งทำนองและแนวประสาน เรียกว่า Basso Continuo และมีวิธีบันทึก เรียกว่า Figured bass 3. เริ่มมีการประสานเสียงแบบ Homophony ซึ่งเป็นการประสานเสียงแบบอิงคอร์ด และหลาย แนวหนุนแนวเดียวให้เด่น 4. นิยมใช้บันไดเสียงเมเจอร์ (Major)และไมเนอร์ (Minor) แทนโมด (Mode) 5. เคาน์เตอร์พอยท์ (Counterpoint) ยังคงเป็นคุณลักษณะเด่นของสมัยนี้อยู่ โฮโมโฟนี (Homophony) มีบทบาทหนุนส่งให้ เคาน์เตอร์พอยท์ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 6. มีการระบุความเร็ว – ช้า และหนัก – เบา ลงไปในผลงานบ้าง เช่น adagio, andante และ allegro เป็นต้น 7. เทคนิคของการ Improvisation ได้รับความนิยมสูงสุด 8. มีคีตลักษณ์ (Form) ใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายแบบ


28 9. มีการจำแนกหมวดหมู่ของคีตนิพนธ์ และบัญญัติศัพท์ไว้เรียกชัดเจน 10. อุปรากร (Opera) ได้กำเนิดและพัฒนาขึ้นในสมัยนี้ https://youtu.be/wTGVOvTv0zE 4. ยุคคลาสสิก (The Classical Period) เริ่มประมาณ ค.ศ. 1750 – 1820 สมัยนี้ดนตรีได้เริ่มออกมาแพร่หลายถึงประชาชนมากยิ่งขึ้น สถาบันศาสนามิได้เป็นศูนย์กลางของดนตรีอีกต่อไป ดนตรีในยุคนี้ถือว่าเป็นดนตรีบริสุทธิ์ (Pure Music หรือ Absolute Music) เพลงต่าง ๆ นิยมแต่งขึ้นเพื่อการฟังโดยเฉพาะ มิใช่เพื่อประกอบพิธีศาสนาหรือพิธี อื่น ๆ เป็นระยะเวลาแห่งดนตรีเพื่อดนตรี เพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงบรรเลง เพื่อฟังความไพเราะของ เสียงดนตรีอย่างแท้จริง เป็นลักษณะดนตรีที่ต้องใช้แสดงความสามารถในการบรรเลงมากขึ้น การประสาน ทำนองแบบโพลีโฟนีใช้น้อยลงไป การประสานทำนองแบบโฮโมโฟนีถูกนำมาใช้มากขึ้น มีการนำกฎเกณฑ์ มาใช้ในการแต่งเพลงอย่างเคร่งครัด รวมทั้งนำเอาองค์ประกอบของดนตรีมาใช้อย่างครบถ้วน มีการกำหนด อัตราจังหวะ กำหนดให้จำนวนจังหวะสม่ำเสมอเท่ากันทุกห้อง การเขียนเพลงในยุคนี้สนใจความแตกต่าง (Contrast) การใช้จังหวะ มีทั้งจังหวะช้า และเร็ว สลับกันไปตามจำนวนของท่อนเพลงการเขียนทำนอง เพลง มีการพัฒนาให้มีหลักเกณฑ์และมีความสมดุล เช่น ทำนองประโยคหนึ่งจะแบ่งเป็น 2 วรรค คือ วรรค ถาม และวรรคตอบ ให้มีความยาวเท่าๆ กัน ด้านเสียงประสานนั้นก็ได้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปอีก นำการ เปลี่ยนบันไดเสียงในระหว่างบทเพลงมาใช้แล้วจึงกลับมาหาบันไดเสียงเดิมในตอนจบเพลง ในด้านน้ำเสียง นั้นยุคนี้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ การจัดวงออร์เคสตรา ใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภท ได้มีการประดิษฐ์ เครื่องดนตรีใหม่ๆ ที่ได้ใช้กันมาจนถึงปัจจุบันหลายเครื่องที่สำคัญที่สุด คือ เปียโน (Piano) เพลงที่นิยมแต่งก็พัฒนามาจากสมัยบาโรค แต่ได้มีการปรับปรุงให้ยิ่งใหญ่ขึ้น รวมทั้งเพลงประเภท อุปรากร โอราทอริโอ คอนแชร์โต โซนาตา และเพลงซิมโฟนี ซึ่งต่อมานิยมแต่งมากที่สุด คือเพลงซิมโฟนี


29 ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 มาจนถึงช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19 นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ ประชาชนส่วนใหญ่ในยุโรปมีความตื่นตัวในเรื่องประชาธิปไตยเหตุการณ์ที่ได้กระตุ้นเรื่องนี้เป็นอย่างมา กก็ คือการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสซึ่งเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1879 การรบครั้งสำคัญในสมัยนี้คือ สงครามเจ็ดปี (ค.ศ.1756-1763) สงครามฝรั่งเศสและอินเดีย ในอเมริกาเกิดสงครามระหว่างอังกฤษและอาณานิคมอเมริกัน ซึ่งนำไปสู่การประกาศอิสรภาพ ของ อเมริกันในปี 1776 และสงครามนโปเลียนใน ยุโรป ซึ่งเป็นผลให้เกิดคองเกรสแห่งเวียนนาขึ้นในปี ค.ศ. 1814 สมัยนี้ในทางปรัชญาเรียนกว่า “ยุคแห่งเหตุผล” Age of Reason (ไขแสง ศุขวัฒนะ,2535:102) หลังการตายของ เจ.เอส.บาค (J. S. Bach) ในปี 1750 ก็ไม่มีผู้ประสบความสำเร็จในรูปแบบของดนตรีแบบ บาโรก (Baroque style) อีก มีการเริ่มของ The (high) Classical era ในปี 1780 เราเรียกช่วงเวลา หลังจากการตายของ เจ.เอส.บาค (J. S. Bach1730-1780) ว่า The early classical period ดนตรีในสมัย บาโรกนั้นมีรูปพรรณ (Texture) ที่ยุ่งยากซับซ้อนส่วนดนตรีในสมัยคลาสสิกมีลักษณะเฉพาะคือมี โครงสร้าง (Structure) ที่ชัดเจนขึ้น การค้นหาความอิสระในด้านวิชาการ เป็นหลักสำคัญที่ทำให้เกิดสมัยใหม่นี้ ลักษณะของดนตรีในสมัยคลาสสิกที่เปลี่ยนไปจากสมัยบาโรกที่เห็นได ้ชัด คือ การไม่นิยมการสอดประสาน ของทำนองที่เรียกว่าเคาน์เตอร์พอยท์ (Counterpoint) หันมานิยมการเน้นทำนองหลักเพียงทำนองเดียว โดยมีแนวเสียงอื่นประสานให้ทำนองไพเราะขึ้น คือการใส่เสียงประสานลักษณะของบาสโซ คอนตินูโอเลิก ใช้ไปพร้อม ๆ กับการสร้างสรรค์แบบอิมโพรไวเซชั่น(Improvisation) ผู้ประพันธ์นิยมเขียนโน้ตทุกแนวไว้ ไม่มีการปล่อยว่างให้ผู้บรรเลงแต่งเติมเอง ลักษณะของบทเพลงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน


30 ศูนย์กลางของสมัยคลาสสิกตอนต้นคือเมืองแมนฮีมและกรุงเวียนนาโรง เรียนแมนฮีมจัดตั้งขึ้นโดย Johann Stamitz ซึ่งเป็นนักไวโอลิน และเป็นผู้ควบคุม Concert ของ The Mannheimorchestra เขา เป็นผู้พัฒนาสไตล์ใหม่ของการประพันธ์ดนตรี (Composition) และ การเรียบเรียงสำหรับวงออร์เคสตรา (Orchestration) และยังพัฒนา The sonata principle in 1st movement of symphonies, second theme of Stamitz ตรงกันข้ามกับ 1st theme ซึ่ง Dramatic, striking หรือ Incisive (เชือดเฉือน) เขา มักเพิ่มการแสดงออกที่เป็นท่วงทำนองเพลงนำไปสู่บทเพลงในซิมโฟนี การเปลี่ยนความดัง – ค่อย (Dynamic) อย่างฉับพลันในช่วงสั้น ๆ ได้รับการแสดงครั้งแรกโดย Manheim orchestra เขายังขยาย Movement scheme of symphony จากเร็ว-ช้า-เร็ว เป็น เร็ว – ช้า – minuet – เร็ว (minuet คือดนตรี บรรเลงเพื่อการเต้นรำคู่ในจังหวะช้า 3 จังหวะ ) ใช้ครั้งแรกโดย GM Monn แบบแผนนี้กลายเป็นมาตรฐาน ในซิมโฟนีและ สตริงควอเตท (String quartet ) สมัยคลาสสิกนี้จัดได้ว่าเป็นสมัยที่มีการสร้างกฎเกณฑ์รูปแบบในทุก ๆ อย่างเกี่ยวกับการประพันธ์ เพลงซึ่งในสมัยต่อ ๆ มาได้นำรูปแบบในสมัยนี้มาใช้และพัฒนาให้ลึกซึ้งหรือแปรเปลี่ยนไ ป เพลงในสมัยนี้ เป็นดนตรีบริสุทธิ์ส่วนใหญ่ กล่าวคือ เพลงที่ประพันธ์ขึ้นมาเป็นเพลงซึ่งแสดงออกถึงลักษณะของดนตรีแท้ ๆ มิได้มีลักษณะเป็นเพลงเพื่อบรรยายถึงเหตุการณ์หรือเรื่องราวใด ๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีการใส่ หรือแสดงอารมณ์ของผู้ประพันธ์ลงในบทเพลงมากนัก ลักษณะของเสียงที่ดัง – ค่อย ค่อย ๆ ดัง และค่อย ๆ เบาลง ดนตรีสไตล์เบา ๆ และสง่างามของโรโคโค (Rococo Period ) ซึ่งตรงข้ามกับสไตล์ที่เคร่งเครียดใน สมัยบาโรก โดยปกติมันเป็น Lightly accompanied pleasing music ด้วย Phrasing ที่สมดุลย์กัน (JC Bach, Sammartini, Hasse, Pergolesi ) Galant เหมือนกับ โรโคโค (Rococo Period ) ในแนวคิดของ Heavy ornamentation แต่ต่างกันตรงที่ลักษณะดนตรีมีโครงสร้างและประโยคเพลงที่มีแบบแ ผนและ รูปแบบที่มีความอ่อนไหวง่าย พยายามแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงและเป็นธรรมชาติ แทรกความโร แมนติกของศตวรรษที่ 19 เข้าไป จุดหมายเพื่อแสดงความเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีของ CPE Bach และ WF Bach ด้วย ความหมายของคำว่า “คลาสสิกซิสซึ่ม” (Classicism) คำว่า “คลาสสิก” (Classical) ในทางดนตรี นั้น มีความหมายไปในทางเดียวกันกับความหมายของอุดมคติของลัทธิ Apollonian ในสมัยของกรีกโบราณ โดยจะมีความหมายที่มีแนวคิดเป็นไปในลักษณะของความนึกถึงแต่สิ่ง ที่เป็นภายนอกกาย สภาพการเหนี่ยว รั้งทางอารมณ์ ความแจ่มแจ้งในเรื่องของรูปแบบ และการผูกติดอยู่กับหลักทางโครงสร้างอย่างใดอย่างหนึ่ง อุดมคติทางคลาสสิกในทางดนตรีนั้นมิได้จำกัดอยู่แต่ในช่วงตอนปลา ยของศตวรรษที่ 18 เท่านั้น อุดมคติ ทางคลาสสิกดังกล่าว ยังเคยมีปรากฏมาก่อนในช่วงสมัยอาร์สอันติควา (Ars Antiqua) และมีเกิดขึ้นให้พบ เห็นอีกในบางส่วนของงานประพันธ์การดนตรีในศตวรรษที่ 20 พวกคลาสสิกนิยม (Classicism) ก็มีในดนตรีในช่วงตอนปลาย ๆ ของสมัยบาโรก ซึ่งเป็นดนตรีสไตล์ ของบาค (J.S. Bach) และของฮัลเดล (Handel) เช่นกัน ในช่วงของความเป็นคลาสสิกนิยมนั้นมี 2 ช่วง คือ ในตอนต้นและใช้ช่วงตอนปลายของศตวรรษที่ 18 และในช่วงตอนปลายของศตวรรษที่ 18 มักจะเรียกกัน โดยทั่ว ๆ ไปว่า เป็นสมัยเวียนนิสคลาสสิก (Viennese Classical Period) เพื่อให้ง่ายต่อการระบุความ


31 แตกต่างระหว่างคลาสสิกตอนต้นและตอนป ลายนั้นเอง และที่เรียกว่าเป็นสมัยเวียนนิสคลาสสิก ก็เพราะ เหตุว่าช่วงเวลานั้นกรุงเวียนนาของออสเตรียถูกถือว่าเป็นเมืองศูนย์กลางหลักของการดนตรีในสมัยนั้น ลักษณะทั่ว ๆ ไปของการดนตรีในสมัยคลาสสิก โดยทั่วไปแล้วดนตรีคลาสสิกสามารถตีความหมายออกมาได้ คือ มองออกจากตัว(Objective) แสดง ถึงการเหนี่ยวรั้งจิตใจทางอารมณ์ สละสลวย การขัดเกลาให้งดงามไพเราะ และสัมผัสที่ไม่ต้องการความลึก ล้ำนัก นอกจากความหมายดังกล่าวแล้วคลาสสิกยังมีความหมาย ที่อาจกล่าวไปในเรื่องของประมวลผลงาน ก็ได้ กล่าวคือ ผลงานทางดนตรี บทบรรเลงที่เห็นได้ชัดว่ามีมากขึ้นกว่าผลงานทางการประพันธ์โอเปร่า และ ฟอร์มอื่น ๆ สรุปลักษณะสำคัญของดนตรีสมัยคลาสสิก (ไขแสง ศุขะวัฒนะ,2535 :105) 1. ฟอร์ม หรือคีตลักษณ์ (Forms) มีโครงสร้างที่ชัดเจนแน่นอน และยึดถือปฏิบัติมาเป็นธรรมเนียม นิยมอย่างเคร่งครัดเห็นได้จากฟอร์มโซนาตาที่เกิดขึ้นในสมัยคลาสสิก มี 4 ท่อน คือ จังหวะเร็ว-จังหวะช้าจังหวะเร็ว-จังหวะเร็ว 2. สไตล์ทำนอง (Melodic Style) ได้มีการพัฒนาทำนองชนิดใหม่ขึ้นมีลักษณะที่เป็นตัวของตัวเอง และ รัดกุมกะทัดรัดมากขึ้น มีความแจ่มแจ้งและความเรียบง่ายซึ่งมักจะทำตามกันมา สไตล์ทำนองลักษณะ นี้ได้เข้ามาแทนที่ทำนองที่มีลักษณะยาว ซึ่งมีสไตล์ใช้กลุ่มจังหวะตัวโน้ตในการสร้างทำนอง (Figuration Style) ซึ่งนิยมกันมาก่อนในสมัยบาโรก ในดนตรีแบบ Polyphony 3. สไตล์แบบโฮโมโฟนิค (Homophonic Style) ความสำคัญอันใหม่ที่เกิดขึ้นแนวทำนองพิเศษใน การประกอบทำนองหลัก (Theme) ก็คือลักษณะพื้นผิวที่ได้รับความนิยมมากกว่าสไตล์พื้นผิวแบบโพล ี่โฟนี เดิม สิ่งพิเศษของลักษณะดังกล่าวนั่นก็คือ Alberti bass ซึ่งก็คือลักษณะการบรรเลงคลอประกอบแบบ Broken Chord ชนิดพิเศษ 4. ในด้านการประสานเสียง (Harmony) นั้น การประสานเสียงของดนตรีสมัยนี้ซับซ้อน น้อยกว่าการประสานเสียงของดนตรีสมัยบาโรก ได้มีการใช้ตรัยแอ็คคอร์ด ซึ่งหมายถึง คอร์ด โทนิด (I) ดอ มินันท์ (V) และ ซับโดมินันท์ (IV)มากยิ่งขึ้น และการประสานเสียงแบบเดียโทนิค (Diatonic harmony) ได้รับความนิยมมากกว่าการประสานเสียงแบบโครมาติค (Chromatic harmony) 5. เคาน์เตอร์พอยท์ (Counterpoint) ในสมัยคลาสสิกยังคงมีการใช้อยู่โดยเฉพาะในท่อนพัฒนา ของฟอร์มโซนาตาในท่อนใหญ่ การประพันธ์ดนตรีที่ใช้ฟอร์มทางเคาน์เตอร์พอยท์ (Counterpoint) ซึ่งเป็น ฟอร์มที่มี Counterpoint เป็นวัตถุดิบสำคัญ โดยทั่ว ๆ ไปจะไม่มีอีกแล้วในสมัยนี้ 6. การใช้ความดัง – เบา (Dynamics) ได้มีการนำเอาเอฟเฟคของความดัง – เบา มาใช้สร้างเป็น องค์ประกอบของดนตรี ดังเห็นได้จากงานการประพันธ์ของนักประพันธ์หลาย ๆ คน ซึ่งความดัง – เบานั้นมี ทั้งการทำเอฟเฟคจากเบาแล้วค่อยเพิ่มความดังขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่าเครสเซนโด (Crescendo) และ จากดัง แล้วก็ค่อย ๆ ลดลงจนเบาเรียกว่าดิมินูเอ็นโด (Diminuendo)


32 นักดนตรีในยุคนี้ได้แก่ 1. โจเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph Haydn ค.ศ. 1732 – 1828) ผู้นี้ได้วางรากฐานทางด้านเพลง ซิมโฟนีไว้มากและแต่งเพลงซิมโฟนี ไว้ถึง 104 เพลง จนได้รับฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งเพลงซิมโฟนี” และยัง ได้ปรับปรุงสตริงควอเตท (String Quartet) ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 2. โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart ค.ศ. 1756 – 1791) ได้รับการยกย่องมากอีกท่าน หนึ่ง ซึ่งได้แต่งเพลงต่าง ๆ ไว้มากและแต่ละเพลงล้วนมีความไพเราะมาก 3. เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven ค.ศ. 1770 – 1827) มีผลงานต่าง ๆ ที่น่าประทับใจ มากมาย https://youtu.be/3eq4_pWGwRM


33 5. ยุคโรแมนติก (the Romantic Period) ความหมายของคำว่า “โรแมนติก” กว้างมากจนยากที่จะหานิยามสั้น ๆ ให้ได้ ในทางดนตรีมักให้ ความหมายว่า ลักษณะที่ตรงกันข้ามกับดนตรีคลาสสิก กล่าวคือ ขณะที่ดนตรีคลาสสิกเน้นที่รูปแบบอันลง ตัวแน่นอน (Formality)โรแมนติกจะเน้นที่เนื้อหา(Content) คลาสสิกเน้นความมีเหตุผลเกี่ยวข้องกัน (Rationalism)โรแมนติกเน้นที่อารมณ์ (Emotionalism) และคลาสสิกเป็นตัวแทนความคิด แบบภววิสัย (Objectivity) โรแมนติกจะเป็นตัวแทนของอัตวิสัย (Subjectivity) นอกจากนี้ยังมีคำนิยามเกี่ยวกับดนตรีสมัยโรแมนติก ดังนี้ – คุณลักษณะของการยอมให้แสดงออกได้อย่างเต็มที่ซึ่งจินตนาการ อารมณ์ที่หวั่นไหว และความรู้สึกทางใจ – ในดนตรีและวรรณกรรม หมายถึง คำที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “Classicism” เสรีภาพที่ พ้นจากการเหนี่ยวรั้งทางจิตใจ หรือจารีตนิยมเพื่อที่จะกระทำการในเรื่องใด ๆ สมัยโรแมนติกเริ่มต้นขึ้นในตอนต้นของศตวรรษที่ 19 แต่รูปแบบของดนตรีโรแมนติกเริ่มเป็นรูปแบบ ขึ้นในตอนปลายของศต วรรษที่ 18 แล้วโดยมีเบโธเฟนเป็นผู้นำ และเป็นรูปแบบของเพลงที่ยังคงพบเห็นแม้ ในศตวรรษที่ 20 นี้ สมัยนี้เป็นดนตรีที่แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกของ ผู้ประพันธ์อย่างมาก ผู้ประพันธ์ เพลงในสมัยนี้ไม่ได้แต่งเพลงให้กับเจ้านายของตนดังใ นสมัยก่อน ๆ ผู้ประพันธ์เพลงแต่งเพลงตามใจชอบ ของตน และขายต้นฉบับให้กับสำนักพิมพ์เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะดนตรีจึงเป็นลักษณะของผู้ประพันธ์เอง ลักษณะทั่ว ๆ ไปของการดนตรีในสมัยโรแมนติก (ไขแสง ศุขะวัฒนะ. 2535:111) 1. คีตกวีสมัยนี้มีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดอย่างมี อิสระ ไม่จำเป็นต้องสร้างความงามตามแบบแผนวิธีการ และไม่ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ใดทั้งนี้เพราะเขา ไม่ได้อยู่ ในความอุปภัมภ์ของโบสถ์ เจ้านาย และขุนนางเช่นคีตกวีสมัยคลาสสิกอีกต่อไป 2. ใช้อารมณ์ และจินตนาการเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงาน 3. ลักษณะที่เปลี่ยนไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “ลัทธิชาตินิยม” (Nationalism)


34 4. ลักษณะที่ยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “ลัทธินิยมเยอรมัน” (Germanism) 5. ลักษณะภายในองค์ประกอบของดนตรีโดยตรง 5.1 ทำนอง ลีลาและบรรยากาศของทำนองเน้นความรู้สึก และอารมณ์ของบุคคลมากขึ้นมี แนวเหมือนแนวสำหรับขับร้องมากขึ้น และความยาวของวลี (Phrase) ก็เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่จำกัด 5.2 การประสานเสียง โครงสร้างของคอร์ดและลำดับการใช้คอร์ด มีเสรีภาพมากขึ้นการใช้ คอร์ด 7 คอร์ด 9 อย่างมีอิสระ และการย้ายบันไดเสียงแบบโครมาติค (Chromatic Modulation) มีบทบาทที่สำคัญ 5.3 ความสำคัญของเสียงหลัก (Tonality) หรือในคีย์ยังคงมีอยู่ แต่เริ่มคลุมเครือหรือ เลือนลางไปบ้าง เนื่องจากบางครั้งมีการเปลี่ยนบันไดเสียงออกไปใช้บันไดเสียงที่ เป็นญาติห่างไกลบ้าง หรือ Chromatic Modulation 5.4 พื้นผิว ในสมัยนี้โฮโมโฟนียังคงมีความสำคัญมากกว่าเคาน์เตอร์พอยท์ 5.5 ความดังเบาของเสียง (Dynamics) ในสมัยนี้ได้รับการเน้นให้ชัดเจนทั้งความดัง และ ความเบาจนเป็นจุดเด่นจุดหนึ่ง ดนตรีสมัยนี้เริ่มประมาณปี ค.ศ. 1820 – 1900 ถือว่าเป็นยุคทองของดนตรี ดนตรีมิได้เป็นเอกสิทธิ์ ของผู้นำทางศาสนาหรือการปกครอง ได้มีการแสดงดนตรี (Concert) สำหรับสาธารณชนอย่างแพร่หลาย นักดนตรีแต่ละคนมีโอกาสแสดงออกซึ่งความรู้สึกของตนเองได้เต็มที ่ และต้องการสร้างสไตล์การเขียนเพลง ของตนเองด้วย ทำให้เกิดสไตล์การเขียนเพลงของแต่ละท่านแตกต่างกันอย่างมาก ในยุคนี้ใช้ดนตรีเป็น เครื่องแสดงออกของอารมณ์อย่างเต็มที่ ทุก ๆ อารมณ์สามารถถ่ายทอดออกมาได้ด้วยเสียงดนตรีอย่างเห็น ได้ชัด ดนตรีในยุคนี้จึงไม่คำนึงถึงรูปแบบ และความสมดุล แต่จะเน้นเนื้อหา ว่าดนตรีกำลังจะบอกเรื่องอะไร ให้อารมณ์อย่างไร เช่น แสดงออกถึงความรัก ความโกรธ ความเศร้าโศกเสียใจ หรือความกลัว ด้านเสียง ประสานก็มักจะใช้คอร์ดที่มีเสียงไม่กลมกลืน เช่น ดอร์ดโครมาติค (Chromatic Chord) หรือ คอร์ดที่มี ระยะขั้นคู่เสียงกว้างมากขึ้นๆ เช่น คอร์ด 7,9 หรือ 11 นอกจากจะแสดงถึงอารมณ์แล้ว คีตกวียังชอบเขียน เพลงบรรยายธรรมชาติเรื่องนิยายหรือความคิดฝัน ของตนเอง โดยพยายามทำเสียงดนตรีออกมาให้ฟังได้ ใกล้เคียงกับสิ่งที่กำลังบ รรยายมากที่สุด เพลงที่มีแนวเรื่องหรือทิวทัศน์ธรรมชาติเป็นแนวการเขียนนี้เรีย กว่า ดนตรีพรรณนา (Descriptive Music) หรือ โปรแกรมมิวสิค (Program Music) สำหรับบทเพลงที่คีต กวีได้พยายามถ่ายทอดเนื้อความมาจากคำประพันธ ์หรือบทร้อยกรอง (Poem) ต่างๆ แล้วพรรณนาสิ่ง เหล่านี้ออกมาด้วยเสียงของดนตรีอย่างเหมาะสมนั้น จะเรียกบทเพลงแบบนี้ว่า ซิมโฟนิคโพเอ็ม (Symphonic Poem) ต่อมาภายหลังเรียกว่า โทนโพเอ็ม (Tone Poem) ในยุคนี้เป็นสมัยชาตินิยมทางดนตรีด้วย (Nationalism) คือ คีตกวีจะแสดงออกโดยใช้ทำนองเพลง พื้นเมืองประกอบไว้ในเพลงที่แต่ งขึ้น หรือแต่งให้มีสำเนียงของชาติตนเองมากที่สุด โดยใช้บันไดเสียงพิเศษ ของแต่ละชาติ ซึ่งเป็นผลให้คนในชาติเดียวกันเกิดความรักใคร่กลมเกลียวกัน รักชาติบ้านเมืองเกิดความ หวงแหนทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินที่อาศัยอยู่ เช่น ซีเบลิอุส (Jean Sibelius) แต่งเพลง ฟินแลนเดีย


35 (Finlandia) โชแปง (Frederic Chopin) แต่งเพลง มาซูกา (Mazurka) และโพโลเนียส (Polonaise) นอกจากนี้ยังมีคีตกวีชาติอื่น ๆ อีกมาก คีตกวีที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ ได้แก่ 1. ซีเบลิอุส (Jean Sibelius ค.ศ. 1865 – 1957) 2. ลิสซต์ (Franz Liszt ค.ศ. 1811 – 1886) 3. เม็นเดลโซห์น (Felix Mendelssohn ค.ศ. 1809 – 1847) 4. โชแปง (Frederic Chopin ค.ศ. 1810 – 1849) 5. ชูมานน์ (Robert Schumann ค.ศ. 1810 – 1856) 6. วากเนอร์ (Richard Wagner ค.ศ. 1813 – 1883) 7. บรามส์ (Johannes Brahms ค.ศ. 1833 – 1897) 8. ไชคอฟสกี (Peter Ilyich Tchaikovsky ค.ศ. 1846 – 1893) 6. ยุคอิมเพรสชั่นนิสติค (The Impressionistic) ในตอนปลายของศตวรรษที่ 19 จนถึงตอนต้นของศตวรรษที่ 20 (1890 – 1910) ซึ่งอยู่ในช่วง ของยุคโรแมนติกนี้ มีดนตรีที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยเดอบูสซี ผู้ประพันธ์เพลงชาวฝรั่งเศส โดยการใช้ ลักษณะของบันไดเสียงแบบเสียงเต็ม (Whole-tone Scale) ทำให้เกิดลักษณะของเพลงอีกแบหนึ่งขึ้น เนื่องจากลักษณะของบันไดเสียงแบบเสียงเต็มนี้เองทำให้เพลงในยุค นี้มีลักษณะ ลึกลับ ไม่กระจ่างชัด เพราะคอร์ดที่ใช้จะเป็นลักษณะของอ๊อกเมนเต็ด (Augmented) มีการใช้คอร์ดคู่ 6 ขนาน ลักษณะของ ความรู้สึกที่ได้จากเพลงประเภทนี้จะเป็นลักษณะของความ รู้สึก “คล้ายๆ ว่าจะเป็น” หรือ “คล้ายๆ ว่าจะ เหมือน” มากว่าจะเป็นความรู้สึกที่แน่ชัดลงไปว่าเป็นอะไร ซึ่งเป็นความประสงค์ของการประพันธ์เพลง


36 ประเภทนี้ ชื่ออิมเพรสชั่นนิสติค หรือ อิมเพรสชั่นนิซึมนั้น เป็นชื่อยุคของศิลปะการวาดภาพที่เกิดขึ้นใน ฝรั่งเศส โดยมี Monet,Manet และ Renoir เป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมา ซึ่งเป็นศิลปะการวาดภาพที่ ประกอบด้วยการแต้มแต่งสีเป็นจุดๆ มิใช่เป็นการระบายสีทั่วๆ ไป แต่ผลที่ได้ก็เป็นรูปลักษณะของคนหรือ ภาพวิวได้ ทางดนตรีได้นำชื่อนี้มาใช้ ผู้ประพันธ์เพลงในแนวนี้นอกไปจากเดอบูสซีแล้วยังมี ราเวล ดูคาส เด ลิอุส สตราวินสกี และโชนเบิร์ก (ผลงานระยะแรก) เป็นต้น ดนตรีอิมเพรสชั่นนิสติก ได้เปลี่ยนแปลงบันไดเสียงเสียใหม่แทนที่ จะเป็นแบบเดียโทนิค (Diatonic) ซึ่งมี 7 เสียงอย่างเพลงทั่วไปกลับเป็นบันไดเสียงที่มี 6 เสียง (ซึ่งระยะห่างหนึ่งเสียงเต็มตลอด) เรียกว่า “โฮ ลโทนสเกล” (Whole – tone Scale)นอกจากนี้คอร์ดทุกคอร์ดยังเคลื่อนไปเป็นคู่ขนานที่เรียกว่า “Gliding Chords” และส่วนใหญ่ของบทเพลงจะใช้ลีลาที่เรียบ ๆและนุ่มนวล เนื่องจากลักษณะของบันไดเสียงแบบ เสียงเต็มนี้เองบางครั้งทำให้เ พลงในสมัยนี้มีลักษณะลึกลับไม่กระจ่างชัด ลักษณะของความรู้สึกที่ได้ จาก เพลงประเภทนี้จะเป็นลักษณะของความรู้สึก “คล้าย ๆ ว่าจะเป็น…” หรือ“คล้าย ๆ ว่าจะเหมือน…” มากกว่าจะเป็นความรู้สึกที่แน่ชัดลงไปว่าเป็นอะไร (ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535 :174) 1. โคล้ด-อะชิล เดอบูซี (Claude-Achille Debussy) เป็นคีตกวีชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862) ที่เมืองซังต์-แจร์มัง-อ็อง-เลย์ และเสียชีวิตที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) เดอบุสชี ได้กล่าวถึงลักษณะดนตรีสไตล์อิมเพรสชั่นนิสติกไว้ ว่า…“สำหรับดน ตรีนั้น ข้าพเจ้าใคร่จะให้มีอิสระ ปราศจากขอบเขตใด ๆ เพราะในสไตล์นี้ดนตรีก้าวไปไกล กว่าศิลปะแขนงอื่น ๆ ไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ มาบังคับให้ดนตรีต้องจำลองธรรมชาติออกมาอย่างเป็นจริงเป็นจัง ดนตรีนี้แหละจะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับจินตนาการที่ เร้นลับมหัศจรรย์บางอย่างออกมา เอง” 2. มอริส ราเวล (Maurice Ravel,1875-1937) เกิดวันที่ 7 มีนาคม 1875 ที่ Ciboure ใกล้กับ St.Jean de Luz ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสเกือบติดเขตแดนสเปญ เริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เรียน การประสานเสียงอายุ11 ขวบและเข้าศึกษาในสถาบันดนตรีแห่งปารีส (Paris Conservatory) อายุ 14 ขวบเป็นเพื่อนกับเดอบุสซี ราเวลมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับเดอบุสซีอยู่บ่อย ๆ แต่อันที่จริงแล้วดนตรีของ ทั้งสองต่างกันมากในสิ่งที่เรียกว่า “สไตล์” ถึงแม้ว่าราเวลจะถูกจัดว่าเป็นคีตกวีในสมัยอิมเพรสชั่นคนหนึ่ง แต่ดนตรีของเขามีสีสันไปทางคลาสสิกมากกว่าอย่างไรก็ตามราเวลก็ม ีชีวิตอยู่ระหว่างปลายสมัยดนตรีอิม เพรสชั่นกำลังเติบโตเต็มที่คนหนึ่งชีวิตส่วนตัวของราเวลเขาไม่เคยแต่งงานเลยทั้ง ๆ ที่พบปะคุ้นเคยกับสตรี มากมายเช่นเดียวกับเกิร์ชวินซึ่งก็ไม่ได้ แต่งงานเหมือนกัน ราเวลเป็นคนร่างเล็ก แต่งตัวดีอย่างไม่มีที่ติแต่ ชีวิตของเขาไม่ฟู่ฟ่า มีนิสัยชอบสันโดษอย่างมาก สำหรับเขา “ความสำเร็จ” กับ “อาชีพ” ดูเหมือนว่าจะคน ละอย่างกัน ยิ่งประชาชนเพิ่มความนิยมชมชอบเขามากเท่าไรแต่เขากลับทำตัวธรรม ดามากขึ้น เขาสร้าง ดนตรีเพราะต้องทำ ไม่เคยสร้างดนตรีเพราะต้องการความก้าวหน้าหรือเพื่อหาเงิน ไม่มีความเป็นนักธุรกิจ เลยแม้แต่น้อยไม่ต้องการแม้แต่จะหาลูกศิษย์สอนเพื่อจะได้เงิน เขามีรายได้จากงานประพันธ์และการแสดง ดนตรีแค่พอมีชีวิตอยู่อย่างสบาย ๆ พอประมาณเท่านั้นลักษณะเด่นของราเวล คือ การเรียบเรียงเสียง ประสานสำหรับวงออร์เคสตรา


37 ผลงานที่มีชื่อเสียง – Pavane for a Dead Princess 1899 ดนตรีหวานซึ้งราบเรียบนุ่มนวลชวนฟังให้จิตใจสงบ – String Quartet 1903, Introduction and Allegro 1905 – Daphnis et Chloe : Suite No. 2 1909-12, – The Waltz 1920, – Bolero 1928 ทำนองแบบสเปนดนตรีเริ่มจากเบาที่สุด แต่ละท่อนไม่ยาวเกินไป ใช้สีสันของเสียง จากการเปลี่ยนเครื่องดนตรี ให้ความรู้สึกค่อนข้างเย้ายวนและร้อนแรงในช่วงท้าย 7. ยุคศตวรรษที่ 20 (The Twentieth Century) เริ่มจากปี ค.ศ. 1900 จนถึงปัจจุบัน ดนตรีในยุคนี้มีความหลากหลายมาก เนื่องจากสภาพสังคมที่ เป็นอยู่ คีตกวีพยายามที่จะสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา มีการทดลองการใช้เสียงแบบแปลกๆ การประสาน ทำนองเพลงมีทั้งรูปแบบเดิม และรูปแบบใหม่ คีตกวีเริ่มเบื่อและรู้สึกอึดอัดที่จะต้องแต่งเพลงไปตาม กฎเกณฑ์ ที่ถูกบังคับ โดยระบบกุญแจหลักและบันไดเสียงเมเจอร์ และไมเนอร์ จึงพยายามหาทาง ออกต่าง ๆ กันไป มีการใช้เสียงประสานอย่างอิสระ ไม่เป็นไปตามกฎของดนตรี จัดลำดับคอร์ดทำตามความ ต้องการของตน ตามสีสันของเสียงที่ตนต้องการ ทำนองไม่มีแนวที่ชัดเจนรัดกุม เหมือนทำนองยุคคลาสสิค หรือ โรแมนติค ฟังเพลงเหมือนไม่มีกลุ่มเสียงหลัก ในครึ่งหลังของสมัยนี้ การดนตรีรุดหน้าไปอย่างไม่ลดละ นอกจากมีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทางด้านทฤษฎีแล้ว ยังมีการใช้เครื่องไฟฟ้าเข้ามาประกอบด้วย เช่น มีการใช้ เสียงซึ่งทำขึ้นโดยระบบไฟฟ้า เป็นสัญญาณเสียงในระบบอนาล็อกหรือดิจิตอล หรือใช้เทปอัดเสียงใน สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มาเปิดร่วมกับดนตรีที่แสดงสดๆ บนเวที และเสียงอื่น ๆ อีกมากยุคนี้จึงเป็นสมัยของการ ทดลองและบุกเบิก


38 หลังจากดนตรีสมัยโรแมนติกผ่านไป ความเจริญในด้านต่าง ๆ ก็มีความสำคัญและมีการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่องตลอดมา ความเจริญทางด้านการค้าความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางด้าน วิทยาศาสตร์ การขนส่ง การสื่อสาร ดาวเทียม หรือ แม้กระทั่งทางด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้แนวความคิด ทัศนคติของมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงไปและแตกต่างจาก แนวคิดของคนในสมัยก่อน ๆ จึงส่งผลให้ดนตรีมีการ พัฒนาเกิดขึ้นหลายรูปแบบ คีตกวีทั้งหลายต่างก็ได้พยายามคิดวิธีการแต่งเพลง การสร้างเสียงใหม่ ๆ รวมถึง รูปแบบการบรรเลงดนตรี เป็นต้น จากข้างต้นนี้จึงส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปแบบของดน ตรีในสมัยศตวรรษที่ 20 ความเปลี่ยนแปลงในทางดนตรีของคีตกวีในศตวรรษนี้ก็คือ คีตกวีมีความคิดที่จะทดลองสิ่งใหม่ ๆ แสวงหา ทฤษฎีใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับความคิดสร้างสรรค์กับสิ่งใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง ดนตรีในศตวรรษที่ 20 นี้ กล่าวได้ว่าเป็นลักษณะของดนตรีที่มีหลายรูปแบบนอกจากนี้ยังมีกา รใช้ บันไดเสียงมากกว่า 1 บันไดเสียงในขณะเดียวกันที่เรียกว่า “โพลีโทนาลิตี้” (Polytonality) ในขณะที่การใช้ บันไดเสียงแบบ 12 เสียง ที่เรียกว่า “อโทนาลิตี้” (Atonality) เพลงจำพวกนี้ยังคงใช้เครื่องดนตรีที่มีมาแต่ เดิมเป็นหลักในการบรรเลง ลักษณะของบทเพลงในสมัยศตวรรษที่ 20 ดนตรีในศตวรรษที่ 20 นี้ไม่อาจที่จะคาดคะเนได้มากนัก เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตามความเจริญก้าวหน้าทาง ด้านเทคโนโลยีการเลื่อนไหลทางวัฒนธรรม คนในโลกเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น (Globalization) โดยใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออินเตอร์เน็ต (Internet) ในส่วนขององค์ประกอบทาง ดนตรีในศตวรรษนี้มีความซับซ้อนมากขึ้นมาตรฐานของรูปแบบที่ใช้ในการประพันธ์และการทำเสียง ประสานโดยยึดแบ บแผนมาจากสมัยคลาสสิก ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและสร้างทฤษฎีขึ้นมาใหม่เพื่อ รองรับ ดนตรีอีกลักษณะคือ บทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นมาเพื่อบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีอีเลคโทรนิค ซึ่งเสียง เกิดขึ้นจากคลื่นความถี่จากเครื่องอิเลคโทรนิค (Electronic) ส่งผลให้บทเพลงมีสีสันของเสียงแตกต่าง ออกไปจากเสียงเครื่องดนตรีประเภทธรรมชาติ (Acoustic) ที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม การจัดโครงสร้างของ ดนตรียังคงเน้นที่องค์ประกอบหลัก 4 ประการเหมือนเดิม กล่าวคือระดับเสียงความดังค่อยของเสียง ความ สั้นยาวของโน้ต และสีสันของเสียง


39 วิวัฒนาการของดนตรีไทย ปรากฏหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งในหลักศิลาจารึก หนังสือ วรรณคดี และเอกสารทางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุค ซึ่งจะศึกษาประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ ด้านเครื่องดนตรี ด้านวงดนตรี และด้านบทเพลง ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สืบเนื่องต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งสมัย รัตนโกสินทร์ 1. สมัยกรุงสุโขทัย ในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของไทย ระหว่าง พ.ศ. 1778 – 1981 นั้น นับได้ว่าสุโขทัยเป็น อาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองรุดหน้าเรื่อยมาตลอดระยะเวลากว่า 200 ปี โดยเฉพาะในสมัยพ่อขุน รามคำแหงมหาราชเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง พระองค์ได้ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น และมีการจารึก เหตุการณ์ต่าง ๆ ลงในแท่งศิลา กลายเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ เรียกว่า “ศิลาจารึก” ซึ่งหลัก ศิลาจารึกที่ถือว่าเป็นแม่บทสำคัญในการบรรยายถึงเรื่องราวในสมัยสุโขทัยแทบทุกสรรพวิชา โดยเฉพาะ ข้อความที่เกี่ยวด้วยเรื่องดนตรีนั้นก็คือ ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1 ในด้านที่ 2 ตอนหนึ่ง บันทึกไว้ว่า “...ดํบงคํกลอย ด้วยเสียงพาทย์เสียงพิณเสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน” จากข้อความข้างต้น สันนิษฐานได้ว่า วิถีการดำเนินชีวิตของชาวสุโขทัยในสมัยนั้น มีแต่ความ สนุกสนานรื่นเริง ด้วยการบรรเลงดนตรีและขับร้องกันโดยทั่วไป ทั้งยังอยู่ในฐานะผู้เล่นเอง แสดงเองอีกด้วย มิได้มีเพียงแต่ผู้ฟังที่คั่นด้วยกรอบของเวทีจนกลายเป็นผู้เล่นกับผู้ชมเหมือนดั่งปัจจุบัน นอกจากนี้ ข้อความ ในศิลาจารึกยังกล่าวถึงชื่อเครื่องดนตรีไทยไว้ด้วย ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดต่อไป ภาพถอดตัวอักษรบางส่วน จากหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ด้านที่ 2 ที่มา : http://www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/srjsd22-2.htm ประวัติดนตรีไทย


40 เครื่องดนตรีในสมัยสุโขทัย คำในศิลาจารึกที่ยกมามีคำว่า “ดํบงคํกลอย ด้วยเสียงพาทย์เสียงพิณ” คงจะแปลได้ว่า ระดม ประโคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์และพิณ คำว่า “พาทย์” นั้น หากแปลตามรูปศัพท์ หมายถึง เครื่องบรรเลง ทั่ว ๆ ไป หรือวงปี่พาทย์ คำว่า “พิณ” อาจจะได้แก่ การบรรเลงประเภทเครื่องสาย นอกจากข้อความใน ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงแล้ว เรายังพบหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องดนตรีปรากฏในศิลาจารึกวัดพระยืน เมืองลำพูน ซึ่งบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างพระอัฏฐารส (พระยืน) ในราว พ.ศ. 1913 มีข้อความบาง ตอนกล่าวถถึงเครื่องดนตรีล้านนา ด้วยศิลปวิทยาการของสุโขทัยกับล้านนาย่อมมีการแลกเปลี่ยนกันเสมอ เพราะอยู่ใกล้ชิดกัน ย่อมใช้อ้างอิงถึงเรื่องราวในสมัยสุโขทัยได้เป็นอย่างดีในจารึกพระยืนตอนหนึ่ง (มนตรี ตราโมท, 2507 อ้างถึงใน อัศนีย์ เปลี่ยนศรี, 2551) กล่าวถึงการรับพระมหาสุมนเถร ซึ่งได้อาราธนาจาก สุโขทัยไปยังเมืองลำพูน บันทึกว่า “...ให้ถือกระทงข้าวตอกดอกไม้ได้เทียน ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลองปี่สรไน พิสเนญชัยทะเทียดกาหลแตรสังข์มานกังสดาล มรทงค์ดงเดือด เสียงเลิศเสียงก้อง อีกทั้งคนร้องโห่อื้อดาสรท้าย ทั่วทั้งนครหริภุญชัย แล...” จากข้อความข้างต้นแสดงว่า ราวสมัยพระมหาธรรมราชาธิราชที่ 1 (พญาลิไท) เป็นกษัตริย์ปกครอง บ้านเมือง มีเครื่องดนตรีใช้กันหลายชนิด ดังนี้ ..................... หมายถึง การบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทตีและเป่า เช่น เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ เครื่องห้า ประกอบด้วย ปี่ ฆ้อง กลอง ตะโพน และฉิ่ง เป็นต้น .................... หมายถึง การบรรเลงเครื่องดนตรีจำพวกดีด เช่น พิณน้ำเต้า พิณเพี๊ยะหรือเพลี้ย กระจับปี่ เป็นต้น และคงครอบคลุมถึงเครื่องสายจำพวกเครื่องสีด้วย แต่ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่ามีลักษณะ รูปร่าง และคุณภาพเสียงเป็นอย่างไร .................... ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเป็นฆ้องลักษณะใด เพราะฆ้องมีหลายชนิด ตั้งแต่ฆ้องเดี่ยว ฆ้องคู่ ฆ้องราว ไปจนถึงฆ้องหลาย ๆ ลูกนำมาผูกเป็นวงก็ได้ .................... ไม่อาจสันนิษฐานได้แน่ชัดว่า คำว่า “กลอง” ในจารึกนี้ คือกลองชนิดใด เพราะกลองมีอยู่ หลายชนิดเช่นเดียวกับฆ้อง กลองที่ใช้กันในสมัยนั้นเป็นต้นว่า ทับ (บางตำรา ต่อมาเรียกว่า โทน บางตำราก็ว่า คือ ตะโพน) บัณเฑาะว์ และกลองทัด ซึ่งใช้สำหรับตีประโคมหรือใช้ตีบอกสัญญาณ


41 2. สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่ออาณาจักรสุพรรณภูมิ ซึ่งปกครองโดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เริ่มมีความเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับอาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง เป็นเหตุให้อาณาจักรสุพรรณภูมิสามารถแผ่อิทธิพลครอบคลุม พื้นที่ไปตลอดจนคาบสมุทรมลายูแทนอาณาจักรสุโขทัย โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงย้ายศูนย์กลาง การ ปกครองมาสร้างเมืองหลวงใหม่ชื่อว่า “กรุงศรีอยุธยา” และสามารถรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับกรุง ศรีอยุธยา ได้ใน พ.ศ.1981 ซึ่งเป็นราชธานีอยู่นานถึง 417 ปี จนถึง พ.ศ.2310 ย่อมเป็นการแสดงถึงความ มั่นคง เข้มแข็งของบ้านเมืองในทุก ๆ ด้าน เป็นต้นว่า การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งด้วย เหตุแห่งการ รวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับกรุงศรีอยุธยา ศิลปวิทยาการที่มีอยู่ในสมัยสุโขทัยจึงเกิดการ ประสมประสานกัน และสืบทอดต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาด้วย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาดนตรีไทยเจริญขึ้นมาก ประชาชนนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย เครื่องดนตรีใน สมัยนี้ก็ได้มาตั้งแต่สุโขทัย แต่ได้มีการปรับปรุงรูปร่างและการประสมวงดนตรี มีการคิดเครื่องดนตรีเพิ่ม เช่น จะเข้ ทำให้ในสมัยอยุธยานี้มีเครื่องดนตรีครบทุกชนิด ด้วยความเจริญทางด้านดนตรีไทยในสมัยนี้ ทำให้ประชาชนนิยมเล่นดนตรีกันอย่างมากมาย ประชาชนมีความสามารถทางการเล่นดนตรีและเล่นกันจนเกินขอบเขตแม้แต่ในเขตพระราชฐาน จนกระทั่ง ใน สมัยพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 - 2031) ต้องมีกฎมณเฑียรบาลกำหนดไว้ว่า “...ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน...” เครื่องดนตรีไทยในสมัยอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กล่าวได้ว่า เครื่องดนตรีไทยที่ใช้เล่นกันในสมัยนี้ก็คือ เครื่อง ดนตรีที่ ใช้เล่นมากันตั้งแต่กรุงสุโขทัยนั่นเอง แต่ได้วิวัฒนาการให้ดีขึ้นทั้งในด้านรูปร่าง ลักษณะ คุณภาพ ของเสียง และ การนำมาประสมเป็นวงดนตรี รวมทั้งวิธีการบรรเลงก็คงมีความประณีตขึ้นกว่าแต่ก่อน และ มีเครื่องดนตรีบาง ชนิดเพิ่มขึ้นจากเดิมในสมัยสุโขทัย ตามข้อความใน. ดังต่อไปนี้ ภาพที่ 1 ขลุ่ยเพียงออ ที่มา : https://sites.google.com/site/narissara44472/prapheth-pea-blowing เป่าขลุ่ย หมายถึง การบรรเลงดนตรีประเภทเครื่องเป่า ซึ่งมักทำด้วยไม้ไผ่ ลักษณะรูปร่างยาวเป็น ทรงกระบอก ด้านบนเจาะเป็นรูสำหรับเป่าลมเพื่อให้เกิดเสียง และมีรูเปิด-ปิด เพื่อให้เกิดเสียงสูงต่ำตาม ต้องการ ซึ่งในสมัยนี้คงเป็นขลุ่ยขนาดกลาง ปัจจุบันเรียกว่า “ขลุ่ยเพียงออ”


42 เป่าปี่ หมายถึง การบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าที่ต้องใช้ลิ้น ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำจากวัสดุ อย่างใดอย่างหนึ่ง (ไทยเราใช้ใบตาล) มาสวมใส่สำหรับเป่าให้เกิดการสั่นสะเทือนของลิ้นทำให้เกิดเสียง ซึ่ง นับว่าเป็นเครื่องดนตรีของไทยแท้ เพราะจากการศึกษาค้นคว้า ไม่พบว่าเครื่องดนตรีชาติอื่น ๆ มีรูปร่าง ลักษณะ ระบบการไล่เสียง หรือสำเนียงเช่นเดียวกับปี่ของไทย ส่วนคำว่า “เป่าปี่” ที่กล่าวถึงนี้ สันนิษฐาน ว่าเป็นการบัญญัติคลอบคลุมปี่ทั้ง 3 ชนิดของไทย ได้แก่ ปี่นอก ปี่ใน และปี่กลาง ภาพที่ 2 ชนิดของปี่ไทย ที่มา : shorturl.at/dvGW7 สีซอ หมายถึง การบรรเลงซอ คำว่า “ซอ” ที่ระบุไว้ในกฎมณเฑียรบาลนี้ คงเป็นซอด้วงและซออู้ เพราะหากพิจารณาตามสภาพการณ์ในสมัยนั้น ซึ่งเล่นดนตรีกันอย่างสนุกสนานและแพร่หลาย จนต้อง บัญญัติ ไว้เป็นกฎหมายห้ามกันอย่างนี้ ย่อมเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นได้ไม่ยาก สามารถหาได้ง่ายและพกพา สะดวก จึง สันนิษฐานว่า “ซอ” ที่ระบุไว้ หมายถึง ซอด้วงและซออู้ แต่ที่บัญญัติว่า “ซอ” เท่านั้น คงเพื่อให้ ครอบคลุมถึง ซอสามสายและซออื่น ๆ ภาพที่ 3 ซอด้วง ที่มา : https://sites.google.com/site/muibangna/sx-dwng


43 ภาพที่ 4 ซออู้ ที่มา http://khluiddshop.lnwshop.com/product/6/ซออู้ ดีดจะเข้หมายถึง การบรรเลงจะเข้ ซึ่งเป็นเครื่องดีดประเภทหนึ่ง แต่เดิมเครื่องดีดของไทยมีพิณ น้ำเต้า พิณเพี๊ยะ และกระจับปี่ ส่วน “จะเข้” คงมีวิวัฒนาการมาจากพิณ เพราะเวลาดีดพิณนั้นต้องถือขึ้น ดีด นาน ย่อมเกิดความเมื่อยล้า จึงวางพิณลงแล้วดีดบนพื้นแทน ต่อมาจังได้ปรับปรุงให้เหมาะกับวิธีการดีด กับพื้น โดยไม่ต้องถือไว้แบบเดิม แรกเริ่มจะเข้มีรูปร่างอย่างไรไม่ปรากฏแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่า คงมี ลักษณะรูปร่าง เหมือนจระเข้ แล้วไทยนำมาปรับปรุงจนมีลักษณะเช่นปัจจุบัน แล้วเรียกว่า “จะเข้” ภาพที่ 5 จะเข้ ที่มา : https://www.shattingermusic.com/เครื่องดนตรี-จะเข้.html ดีดกระจับปี่ หมายถึง พิณชนิดหนึ่ง ที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย มี 4 สาย เหตุที่เรียกเครื่องดนตรีนี้ว่า กระจับปี่ เพราะเพี้ยนมาจากคำว่า “กัจฉปิ” ซึ่งเป็นภาษาชวา และเพี้ยนมาอีกต่อหนึ่งจากคำว่า “กัจฉปะ” เป็นภาษาบาลีแปลว่า “เต่า” ภาพที่ 6 กระจับปี่ ที่มา : https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/kheruxng- dntri-thiy-3-2/kheruxng-dntriprapheth-did/1-kracabpi


44 ตีโทนทับ หมายถึง กลองที่ขึงด้วยหนังหน้าเดียว ใช้ตีกำกับจังหวะในวงดนตรีไทย มีด้วยกัน 2 ชนิด 1. โทนชาตรี ตัวกลองทำด้วยไม้ เวลาตีใช้มือหนึ่งตีและอีกมือหนึ่งปิดเปิดท้าย เพื่อช่วยให้เกิด เสียงตามต้องการ ใช้กับวงปี่พาทย์ชาตรี ตีประกอบการแสดงละครโนราและหนังตะลุง 2. โทนมโหรี ตัวกลองทำด้วยดินเผา กลองชนิดนี้ใช้ตีเฉพาะวงเครื่องสาย และมโหรี จึงเรียกว่า “ โทนมโหรี ” ใช้ตีคู่กับรำมะนา นอกจากมีเครื่องดนตรีที่เกิดขึ้นในสมัยนี้แล้ว ก็ยังมีระนาดเกิดขึ้นในสมัยนี้เช่นกัน ซึ่งอาจารย์สุดจตต์ วงษ์เทศ (2529) ได้แสดงความคิดเห็นว่า ระนาดนั้น แต่เดิมคงมาจากกรับ ที่ให้เสียงสูงต่ำไม่เท่ากัน เนื่องมาจากขนาดและน้ำหนัก ไม้ที่ถูกเหลามาต่างกัน จึงเกิดเป็นเสียงต่าง ๆ มีผู้เข้าใจว่าเป็นความพยายามของชาวบ้านที่ไม่มีเงินซื้อหาโลหะมาทำฆ้องจึงได้คิดระนาดไม้ที่เกิดเสียงแทน ฆ้อง ดังนั้น ในยุคของกรุงศรีอยุธยาจึงปรากฏเครื่องดนตรีครบทุกประเภท ดังนี้ เครื่องดีด ได้แก่ กระจับปี่ จะเข้ พิณเพี๊ยะ พิณน้ำเต้า เครื่องสีได้แก่ ซอสามสาย ซออู้ ซอด้วง เครื่องตีไม้ได้แก่ ระนาด (เอก) กรับพวง กรับคู่ เครื่องตีโลหะ ได้แก่ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องคู่ ฆ้องชัย ฆ้องโหม่ง ฉิ่ง ฉาบ มโหระทึกและกังสดาล เครื่องตีหนัง ได้แก่ ตะโพน ทับ (โทน) รำมะนา กลองทัด กลองตุ๊ก บัณเฑาะว์ กลองชาตรี และกลองมลาย เครื่องเป่า ได้แก่ พิเสนญชัย แตรงอน แตรสังข์ ปี่ใน ปี่นอก ปี่กลาง (อาจมีพวกปี่มอญและ ปี่ชวาด้วย) และขลุ่ย


45 วงดนตรีไทยในสมัยอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้น ศิลปะวิทยาการมีความเจริญรุ่งเรืองและกว้างขวางออกไปกว่า แต่ก่อนมาก ด้านดนตรีไทยก็มีเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้น จึงได้นำมาประสมกันเป็นวงดนตรีขึ้นอีกประเภท ดังนี้ 1. ................................ เป็นวงที่ขยายมาจากวงมโหรีเครื่องสี่ ภายหลังจากวงมโหรีเครื่องสี่เป็นที่ นิยมกันอย่างแพร่หลายจึงได้พัฒนาขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นวงมโหรีเครื่องหกโดยมีเครื่องดนตรีที่เพิ่มเข้ามา คือ ขลุ่ยเพียงออ และรำมะนา วงมโหรีเครื่องหก ประกอบด้วย กระจับปี่ ซอสามสาย และขลุ่ยเพียงออเป็นเครื่องดำเนินทำนอง ส่วน ฉิ่ง โทน และรำมะนานั้น เป็นเครื่องกำกับจังหวะในวง ภาพที่ 7 วงมโหรีเครื่องหก ที่มา : https://sites.google.com/site/xeklaksnkhumeuxngthiy/home/pra-wat/prawati-dntri-thiy-smaysukhothay?tmpl=%2Fsystem%2Fapp%2Ftemplates%2Fprint%2F&showPrintDialog=1 2. ............................... สันนิษฐานว่า เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายส่วนใหญ่ ทั้งจะเข้ ซอด้วง และ ซออู้ มีผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นใช้ในสมัยนี้ จึงได้นำมาผสมกันเป็นวงดนตรีไว้สำหรับราษฎรได้บรรเลง เพื่อความ สนุกสนานเพลิดเพลินใจ แต่การรวมวงกันในสมัยนั้น คงไม่มีชื่อเรียก และยังไม่มีระเบียบแบบแผนดังเช่น ปัจจุบัน สุดแต่ว่าใครจะมีเครื่องดนตรีชนิดใดมาประสมวง เป็นต้นว่า ซอด้วง ซออู้ จะเข้ กระจับปี่ ขลุ่ย ฉิ่ง ฉาบ โทน ตรงกับข้อความในกฎมณเฑียรบาล สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ การประสมวงของชาวบ้านดังกล่าวนี้ มิได้นำซอสามสายเข้ามาร่วมด้วย แม้ว่าจะเป็นเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องสายเช่นเดียวกัน เพราะว่า ซอสามสาย เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในวงขับไม้ สำหรับบรรเลงในพระ ราชพิธีเท่านั้น เช่นเดียวกับเครื่องดนตรีบางชนิด เช่น บัณเฑาะว์ ปี่ไฉน หรือกลองชนะ จึงไม่นำมาบรรเลง ร่วมกัน 3. ............................... เป็นวงดนตรีที่มีรากฐานมาจากวงปี่พาทย์เครื่องห้าในสมัยสุโขทัย สันนิษฐาน ว่า เมื่อมีผู้คิดค้น “ระนาด” ขึ้น จึงได้นำมาผสมในวงให้เกิดความสมบูรณ์และไพเราะยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงเรียกปี่พาทย์เครื่องห้า (ไม่นับรวมฉิ่ง) ซึ่งประกอบด้วย ปี่ใน 1 เลา ระนาด 1 ราง ฆ้องวง 1 วง ตะโพน 1 ใบ และกลองทัด 1 ลูก หน้าที่ของวงปี่พาทย์เครื่องห้านั้น ยังคงใช้สำหรับการประโคม และบรรเลงประกอบการ แสดงโขนละครเช่นเดิม


46 ภาพที่ 8 วงปี่พาทย์เครื่องห้าในสมัยอยธุยา ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com/2014/08/blog-post_12.html ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เรามีการประสมวงดนตรีชนิดใหม่เกิดขึ้น 1 วง คือ วงเครื่องสายส่วนวงมโหรีเครื่องหกและวงปี่พาทย์เครื่องห้านั้น เป็นวงที่ได้พัฒนาสืบมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เพลงไทยในสมัยอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เหตุการณ์บ้านเมืองสงบสุข มีเวลาร้องรำทำเพลงสนุกสนานถึง ขนาดออกกฎมณเฑียรบาลขึ้นเพื่อห้ามบรรเลงดนตรีในเขตพระราชฐานดังกล่าว เพลงไทยในสมัยนี้จึงเกิด มากมาย มีหลักฐานเชื่อได้ว่า มีเพลงในอัตราจังหวะสองชั้นเกิดขึ้นมากหลายเพลง ทั้งนี้เพราะสมัยอยุธยามีการแสดงประเภทโขน ละครและหนังใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยดนตรีทั้งสิ้น เพลงจึงต้องปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับท่ารำ และการบรรเลงขับกล่อม นอกจากนี้สมัยอยุธยายัง นิยมการเล่นเพลงเรือ เพลงดอกสร้อย สักวา โดยเฉพาะการเล่นสักวา เป็นการนำไปสู่การร้องเพลงประเภท อัตราสามชั้น ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านดนตรีไทยและเพลงไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยามีทั้งด้านการคิดสร้างเครื่อง ดนตรี และบทเพลงประกอบโขน ละคร ขึ้นมากมาย ซึ่งก็ได้มีการนำเอาเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ เข้ามาเล่น ผสมกันจนเกิดวงดนตรีไทยขึ้น 3 ประเภท คือ วงปี่พาทย์ วงมโหรี และวงเครื่องสาย นับว่าเป็นยุคศิวิไลซ์แห่ง การดนตรีไทยที่ปัจจุบันสามารถเทียบเคียงศึกษาได้จากหลักฐานต่าง ๆ ในแต่ละยุค จึงเป็นพัฒนาการแห่ง ศิลปวิทยาที่ได้มีการคิดค้นสั่งสมสร้างสรรค์ ตกทอดเป็นมรดกตราบต่อยุคเรื่อยมา 3. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีและ พระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มา เป็นลำดับจนถึงรัชกาลปัจจุบัน แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นับเป็นระยะเวลา ยาวนาน กว่า 240 ปีแล้วดังนั้น เราจึงแบ่งช่วงระยะเวลาทางประวัติศาสตร์ดนตรีไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ออกเป็น 3 ระยะ (พิชิต ชัยเสรี, 2542) ได้แก่ 1) ยุคฟื้นฟูหมายถึงช่วงแห่งการสืบต่อศิลปะวิทยาการด้านต่างๆจากกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี การดนตรีจึงยังเป็นการรวบรวม แสวงหาและตั้งหลักให้มั่นเป็นสำคัญ แต่ก็เริ่มมีพัฒนาการขั้น ซึ่ง ตรงกับ ช่วงรัชกาลที่ 1 - รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รวมเป็นระยะเวลา 69 ปี


Click to View FlipBook Version