47 2) ยุครุ่งเรือง หมายถึง ช่วงที่มีการพัฒนาดนตรีจนเจริญรุ่งเรือง และแพร่หลายอย่ากว้างขวาง กระทั่งถึงขั้นสูงสุดในทุกด้าน นับว่าเป็น “ยุคทองของดนตรีไทย” เทียบได้กับยุคคลาสสิกในดนตรี ตะวันตก ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รวมเป็นระยะเวลา 74 ปี 3) ยุคคลี่คลาย หมายถึง ช่วงแห่งการสืบทอดและอนุรักษ์ศิลปะวิทยาการจากยุครุ่งเรือง รวมถึงการพยายามหนีรูปแบบความคลาสสิก ด้วยการปรับกรุงตามระเบียบวิถีของไทยเอง และรับการ สังสรรค์ ทางวัฒนธรรมจากตะวันตก จนเกิดเป็นดนตรีแนวใหม่ ซึ่งตรงกับช่วงรัชกาลที่ 7 - จนถึงรัชกาล ปัจจุบันเป็น ระยะเวลา 84 ปีมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 (พ.ศ. 2325 - 2352) ได้ทรงฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรมขึ้นโดยทรงพระราช นิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ให้สมบูรณ์และเรื่องดาหลัง ซึ่งเป็นวรรณคดีที่มีมา แต่สมัยอยุธยา วรรณคดีทั้งสองเรื่องนี้ใช้นำแสดงละครและแสดงโขน นับเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้บทเพลง ต่างๆในอดีตฟื้นฟูขึ้นอีกครั้งเนื่องจากละครไทยนั้นต้องอาศัยเพลงบรรเลงประกอบหลายประเภท นับเป็น จำนวนเพลงมากมาย ดนตรีไทยสมัยรัชกาลที่ 1 จึงเป็นการฟื้นฟู หัดขึ้นใหม่เครื่องดนตรีไทยได้มีการเพิ่มเข้า ไปในวงปี่พาทย์เครื่องห้าอีก 1 ใบ จากเดิมที่ใช้เพียงใบเดียว เพิ่มอีก 1 ใบ เป็น 2 ใบ คือ มีทั้งเสียงต่ำและ เสียงสูง ซึ่งสันนิษฐานว่า กลองทัดที่เพิ่มเข้าไปไม่ใช่ ของใหม่แต่อย่างใดเป็นเครื่องดนตรีที่มีใช้อยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าบรรเลงในที่โล่งแจ้งก็จะใช้กลองขนาดย่อมที่มีเสียงสูง (ตูม) เพื่อให้เสียงดังไปไกล แต่ ถ้าบรรเลง ในที่ร่มหรือภายในอาคารก็จะใช้กลองขนาดใหญ่ เสียงทุ้มต่ำ กำลังดี (ต้อม) ต่อมาในรัชกาลนี้ จึงได้ใช้กลอง ทัดทั้ง 2 ใบ ให้เข้าคู่กัน เป็นการทำให้เกิดความสมบูรณ์และไพเราะยิ่งขึ้นกว่าเดิม ภาพที่ 2 วงปี่พาทย์เครื่องห้า (รัตนโกสินทร์ตอนต้น) ที่มา : http://www.patakorn.com/modules.php?name=News&file=article&sid=32
48 วงดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เพิ่มเครื่องดนตรีอีก 2 ชนิด คือ ระนาดไม้และระนาด แก้ว เข้า มาประสมในวงมโหรีเครื่องหก รวมเป็น 8 คน กลายเป็น “วงมโหรีเครื่องแปด” ภาพที่ 3 วงมโหรีเครื่องแปด ที่มา : https://pck24-09.weebly.com/3623359136173650362736193637.html ด้านบทเพลงไทยเนื่องด้วยในสมัยรัชกาลที่ 1 ยังอยู่ในสภาวะการสงครามป้องกันพระนคร และมี การ ก่อสร้างเมืองใหม่ การดนตรีไทยในด้านเพลงไทยจึงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม ภาพที่ 4 รัชกาลที่ 2 ที่มา : http://www.thaigoodview.com พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 (พ.ศ. 2352 - พ.ศ. 2367) ดนตรีไทยและ ละคร เริ่มพัฒนาขึ้นด้วยพระองค์ ทรงดำเนินนโยบายฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรมสืบต่อจากพระราชบิดา ทรง ส่งเสริมด้าน วรรณคดีและการละคร ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาและ รามเกียรติ์ ส่วนด้านดนตรี ทรงมี พระปรีชาสามารถในการสีซอ สาม-สาย ทรงมีซอสามสายคู่พระหัตถ์ชื่อ “ซอสายฟ้าฟาด” พระองค์ยังทรง ตรากฎหมาย “ตราภูมิคุ้มกัน” เว้นภาษีสวน มะพร้าวซอที่มีลูกมะพร้าวซอ (สำหรับนำมาใช้เป็นกะโหลกซอ สามสาย) นับเป็นการส่งเสริมการปลูกมะพร้าวซอ เพื่อการดนตรีไทยโดยแท้ เครื่องดนตรีชิ้นสำคัญที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 คือ “...............................” เนื่องจากการขับเสภา เป็นมหรสพที่ได้รับความนิยมในสมัยนี้ แต่เดิมการขับเสภานั้นไม่มีวงดนตรีเข้ามาบรรเลงประกอบการขับ มี เพียงการขับเป็นทำนองเสภาอย่างเดียว ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 จึงมีการนำวงปี่พาทย์เข้ามาบรรเลง
49 ประกอบการขับเสภา เพื่อคั่นเวลาให้คนขับเสภาได้พักและคิดทำนองร้องขึ้นในบางบทบางตอนที่เหมาะสม เพื่อ นำมาขับร้อง แล้วให้ปี่พาทย์บรรเลงรับ จึงมีผู้คิดประดิษฐ์กลองสองหน้าขึ้นใช้แทนตะโพน และกลอง ทัด ซึ่งมี เสียงดังเกินไปจนกลบเสียงร้อง ภาพที่ 5 กลองสองหน้า ที่มา : https://vi555.wordpress.com/เครื่องตี/เครื่องตีที่ทำด้วยหนัง/กลองสองหน้า/ วงดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 วงมโหรีภายหลังใช้ “จะเข้” แทนกระจับปี่ และใช้ “ฆ้องวง” แทน ระนาดแก้ว รวมถึงมีการนำวงปี่พาทย์เครื่องห้าบรรเลงประกอบการขับเสภา เพื่อคั่นเวลาในคนขับได้พัก เหนื่อย จึงมีพระราชดำริให้มีปี่พาทย์รับเสภา เป็นเหตุให้เรียกชื่อวงปี่พาทย์นี้ว่า “......................................” ภาพที่ 6 วงมโหรีวงเล็ก ที่มา : https://som3737np.wordpress.com/วงมโหรีวงเล็ก/ ภาพที่ 7 วงปี่พาทย์เสภา ที่มา : https://som3737np.wordpress.com/วงปี่พาทย์เสภา/ บทเพลงในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทยที่มีความไพเราะ เป็นที่รู้จักกันในวงการ ดนตรี ไทยและนิยมบรรเลงกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน คือ “บุหลันลอยเลื่อน”
50 ภาพที่ 8 รัชกาลที่ 3 ที่มา : http://www.thaigoodview.com พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 (พ.ศ.2367 - พ.ศ. 2394) เนื่องจากไม่ทรงโปรด การละคร และดนตรี ทรงให้ยกเลิกงานดนตรีและละครหลวง แต่บรรดาเจ้านายที่มีวงดนตรีและคณะละคร ภายในวังไม่ทรงห้าม ดังนั้น การละครและดนตรีจึงไปเจริญรุ่งเรืองตามวังของเจ้านายและ บรรดาเจ้านาย เหล่านี้จึงมีส่วนสำคัญในการอุปถัมภ์ส่งเสริมให้ การละครและดนตรีไทยเจริญรุ่งเรืองนับแต่นั้นสืบเรื่อยมา จนถึง เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475การประดิษฐ์เครื่องดนตรีในสมัยรัชกาลที่ 3 มี การ ประดิษฐ์ “ระนาดทุ้ม” ขึ้นเพื่อให้เป็นคู่กับระนาดเอก และ “ฆ้องวงเล็ก” เพื่อให้คู่กับฆ้องวงใหญ่ในวง ปี่พาทย์เดิมสันนิษฐานว่า ในสมัยนี้เริ่มมีชาวต่างชาติ ไทยเราย่อมได้ยินดนตรีต่างชาติที่มีเสียงสูงเสียงต่ำ หลายรูปแบบ จึงเป็นเหตุให้คิดสร้างระนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เสียงจะได้ทุ้มต่ำและสร้างลูกฆ้องให้มีขนาดเล็ก ลงกว่าเดิม ภาพที่ 9 ระนาดทุ้ม ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/50876
51 ภาพที่ 10 ฆ้องวงเล็ก ที่มา : https://som3737np.wordpress.com/วงมโหรีวงเล็ก/ วงดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อคิดทำระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กเพิ่มขึ้นในวงปี่พาทย์ จึงเพิ่ม เครื่อง ดนตรี 2 ชนิดนี้เข้าในวงมโหรีเครื่องแปด และใช้ “ฉิ่ง” แทนกรับพวงเพื่อให้เสียงจังหวะดังขึ้น และ เพิ่ม “ฉาบ” เข้าในวง มีการเพิ่มเติมเครื่องดนตรีเข้าไปจนกระทั่งกลายเป็น 12 คน จึงเรียกชื่อเพียงว่า “วง มโหรี” จากนั้นได้นำระนาดทุ้มและฆ้องวงเล็กมาประสมให้เข้าคู่กับระนาดเอกและฆ้องวงใหญ่ที่มีอยู่แต่เดิม ในวงปี่ พาทย์เครื่องห้า และยังนำปี่นอกเข้ามาประสมอีก 1 เลา ให้เข้าคู่กับปี่ใน จึงเรียกว่า “ ” ท ำ ใ ห้ เกิดความสมบูรณ์ในขอบเขตเสียง แต่ยังคงใช้สำหรับการประโคมและบรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร ได้เช่นเดิมบทเพลงในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นช่วงที่เริ่มนิยมแต่งขยายเพลงสองชั้นขึ้นเป็น “...................” แม้แต่เพลงร้องประกอบเสภา ทั้งทางดนตรีและทางร้อง โดยมีพระประดิษฐไพเราะ(มี ดุริยางกูร) หรือ “ครู มี แขก” เป็นผู้บุกเบิกและริเริ่มนำเพลงในอัตราจังหวะสองชั้นมาแต่งขยายขึ้นเป็นสามชั้น
52 ภาพที่ 11 รัชกาลที่ 4 ที่มา : http://www.thaigoodview.com พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4(พ.ศ.2394 - พ.ศ.2411) นับตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปกครองทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆด้าน แม้ด้าน ดนตรีจึงถือเป็นยุคทองของดนตรีไทย ทั้งวิชาการ เครื่องดนตรีและวงดนตรี มีบรรดาครูอาจารย์ผู้ฝีมือ เพิ่มขึ้นเป็น ลำดับ เนื่องด้วยรัชกาลที่ 4 พระราชทานอนุญาตให้ประชาชนเล่น ดนตรีและละครผู้หญิง (ละครใน) ได้ เมื่อปี พ.ศ. 2378 นับเป็น การให้สิทธิแก่ประชาชนในด้านการบันเทิงที่ไม่เคยมีมาก่อนใน ประวัติศาสตร์ไทย การเรียนขับร้องดนตรีจึงกระจายไปสู่ชนบท มากขึ้น ลูกหลานบ้านใดมีฝีมือ มี ความสามารถในทางดนตรีก็ มีโอกาสที่จะเข้าไปอยู่ในวังในพระอุปถัมภ์ของพระราชวงศ์หรือ บ้านของขุน นางมากขึ้น เครื่องดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการสร้างเครื่องดนตรีขึ้นใหม่ให้มีเสียงดังกังวานมากขึ้น โดย ทรง ใช้หลักการกำเนิดเสียงจากเครื่องเขี่ยหวีเหล็ก (Music Box) มาดัดแปลงเป็น “ หรือระนาดเอกเหล็ก” และ “ระนาดทุ้มเหล็ก”แล้วนำไปผสมในวงดนตรีต่อไป ภาพที่ 12 ระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็ก ที่มา : https://hs2kvo.blogspot.com
53 วงดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อมีผู้คิดประดิษฐ์เครื่องดนตรี คือ “ระนาดเอกเหล็กและระนาด ทุ้ม เหล็ก” ได้นำมาประสมในวงปี่พาทย์มีขนาดใหญ่ขึ้น จึงเรียกว่า “..............................” ภาพที่ 13 วงปี่พาทยเครื่องใหญ่ ที่มา : http://thai3music.blogspot.com/p/3-1.html บทเพลงไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มนิยมแต่งเพลงประเภททยอย และเพลงสามชั้นกันอย่าง แพร่หลาย นับเป็นความก้าวหน้าใหม่ในวงการดนตรีไทย นอกจากนี้ครูมีแขกยังได้คิดแต่งเพลงเดี่ยวคือ “ เพลงทยอยเดี่ยว” ขึ้นจากเพลงทยอยใน เพื่อใช้เป็นเพลงสำหรับเดี่ยวปี่เพื่ออวดฝีมือเฉพาะตัว จึงเริ่มนิยม แต่งเพลงเดี่ยว กันเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5(พ.ศ.2411 - พ.ศ.2453) ทรงโปรดใน วิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศกระทั้งมีความเจริญ รุดหน้าอย่าง รวดเร็ว สำหรับด้านดนตรี ทรงโปรดบทละครและบท ร้องเพลงไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่อง “นิทรา ชาคริต” ทรง จึงตรัสให้จัดแสดงเป็นละครพูดสลับลำขึ้นด้านเครื่องดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 มีมีการ ประสมวง ปี่พาทย์ขึ้น โดยการปรับปรุงเครื่องดนตรีชนิดใหม่เข้าประสมกัน คือ นำฆ้องหุ่ยหรือฆ้องชัย 7 ใบ มาเทียบเสียงเรียงกัน 7 เสียง แล้วทำที่แขวนเรียงรอบตัวผู้ตี เรียกว่า “............................” และ ทรงนำ ตะโพนไทย 2 ลูก ถอดเท้าออก แล้วตั้งขึ้นตี เสียงทุ้มต่ำเรียกว่า “กลองตะโพน” อีกอย่างหนึ่ง มีผู้คิด ประดิษฐ์ขลุ่ยขนาด ใหญ่ที่มีเสียงทุ่มต่ำเรียกว่า “ขลุ่ยอู้” ขึ้น
54 ภาพที่ 14 รัชกาลที่ 5 ที่มา : http://www.thaigoodview.com ภาพที่ 15 ฆ้องหุ่ย 7 ใบ ที่มา : https://sites.google.com/site/thaimusichistory ภาพที่ 16 กลองตะโพน ที่มา : https://tminstrument.wordpress.com
55 ภาพที่ 17 ขลุ่ยอู้ ที่มา : https://som3737np.wordpress.com/ขลุ่ยอู้/ วงดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดวงปี่พาทย์ไม้นวมชนิดหนึ่งเรียกว่า “.............................”ใช้คู่ กับละครแบบใหม่ และมีการประชันฝีมือนักดนตรี การประชันนี้เองได้สร้างวิวัฒนาการขึ้นมากมาย ก่อให้เกิดการผสมวงขึ้น โดยการเอาเครื่องดนตรีต่าง ๆ มารวมเพิ่มขึ้นในวง ภาพที่ 19 วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ที่มา : https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/kheruxng-dntri-thiy-3-2/wng-piบทเพลงในสมัยรัชกาลที่ 5 ปรากฏเพลงทางกรอขึ้นเป็นครั้งแรก อาทิ เพลงเขมรไทรโยค และมี การ นำเพลงหลาย ๆ เพลงที่มีความสอดคล้องทั้งด้านอัตราจังหวะ ทำนองและสำเนียงของเพลงมาเรียง ติดต่อกัน เรียกว่า “ตับเพลง”
56 ภาพที่ 20 รัชกาลที่ 6 ที่มา : http://www.thaigoodview.com พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6(พ.ศ. 2453 - พ.ศ.2468) เป็นรัชสมัยที่มีมีชาว ต่างประเทศเข้า มาค้าขาย รับราชการและปฏิบัติธุรกิจมากมาย ข้าราชการ ศึกษา มาจากยุโรปเป็นอันมาก ศิลปะการแสดงต่าง ๆ จึงได้รับอิทธิพล จากตะวันตก และทรงเป็นศิลปินที่เชี่ยวชาญทั้งด้านดนตรี นาฎศิลป์ และวรรณศิลป์ เป็นรัชกาลที่ศิลปะวิทยาการเจริญรุ่งเรือง สูงสุดในทุกด้าน เรียกได้ว่าเป็น “ยุคทองของ ดนตรีไทย”เครื่องดนตรีในสมัยรัชกาลที่ 6 นับเป็นช่วงที่ดนตรีไทย ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างชาติ จึง มีการปรับปรุงดัดแปลง เครื่องดนตรีของต่างชาติบางชนิดให้มีลักษณะรูปร่าง คุณภาพเสียง และวิธีการ บรรเลงตามหลักของดุริยางคศิลป์ไทย ซึ่งก็คือ “อังกะลุง” ได้รับแบบอย่างมาจากเครื่องดนตรีในเกาะชวา (อินโดนีเซียในปัจจุบัน) และ “ขิม” ที่ได้ปรับปรุงจากเครื่องดนตรีจีนที่เรียกว่า “หยางฉิน (Yang Chin)” ภาพที่ 21 อังกะลุง ที่มา : https://sites.google.com/site/bikhwamrudntrithiy/prawati
57 ภาพที่ 22 ขิมผีเสื้อ ที่มา : http://110.170.81.29/instrument_detail/1427266291611/th/word วงดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อมีเครื่องดนตรีต่างชาติเข้ามาในประเทศมากขึ้น จึงได้นำเครื่อง ดนตรีต่างชาติเข้ามาผสมในวงเครื่องสายของไทย เกิดเป็น “วงเครื่องสายผสม” โดยเรียกชื่อตามแต่เครื่อง ดนตรีที่นำมาผสมด้วย เช่น วงเครื่องสายผสมเปียโน วงเครื่องสายผสมออร์แกน วงเครื่องสายผสมขิม เป็นต้น ภาพที่ 23 วงเครื่องสายผสม ที่มา : https://pck24-09.weebly.com/3623359136173650362736193637.html ด้านบทเพลงไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 นิยมบรรเลงเพลงประเภท “เพลงเถา” เป็นเพลงไทยที่มี รูปแบบ การร้องหรือการบรรเลงติดต่อกันในเพลงเดียว โดยมีอัตราจังหวะลดหลั่นกันตามลำดับไม่น้อยกว่า 3 ขั้น เป็น ต้นว่า สามชั้น (ช้า) สองชั้น (ปานกลาง) และชั้นเดียว (เร็ว)
58 ภาพที่ 24 รัชกาลที่ 7 ที่มา : https://www.thaipost.net พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7(พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2677) เป็นช่วงคาบเกี่ยว ระหว่าง ความเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศ รวมถึง สภาพบ้านเมืองเริ่มเข้าสู่สภาวะ เศรษฐกิจตกต่ำ ในด้านเครื่อง ดนตรีและวงดนตรีไทยจึงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม เนื่องด้วย พระองค์ทรงโปรดในดนตรีไทยเช่นเดียวกับรัชกาล ก่อน ๆ พระราชกรณียกิจในด้านดนตรีไทยนั้นมีอยู่ พอสมควร ทรงมีพระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ถึง 3 เพลง คือ “เพลงราตรี ประดับดาว เถา , เพลงเขมรลออ องค์ เถา และเพลงโหม โรงคลื่นกระทบฝั่ง สามชั้น” ภาพที่ 25 รัชกาลที่ 8 ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลรัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2477 - พ.ศ. 2489) ทรงครองราชย์ใน ระยะเวลาไม่นาน ประกอบกับวิกฤตทางการเมืองและเศรษฐกิจ เป็นระยะที่ดนตรีไทย เข้าสู่ภาวะมืดมน รัฐบาลไม่ส่งเสริมดนตรี ไทยแถมยังปลูกฝังวัฒนธรรมตะวันตกให้คนไทย ให้คนไทยหันไป เล่นดนตรีแบบตะวันตก ต่อมารัฐบาลยังได้ออกพระราชกฤษฎีกา เกี่ยวกับการจัดระเบียบวัฒนธรรมทาง ศิลปกรรม เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ให้ครูและนักดนตรีไทยเข้าใจว่ารัฐบาล ห้ามเล่นหรือไม่ ส่งเสริมดนตรี
59 ไทย แต่อย่างไรก็ตาม แม้รัฐจะมิได้ห้ามโดย เคร่งครัด คือ ยังอนุญาตให้บรรเลงในงานหรือพิธีบางอย่างได้ แต่ ก็ห้ามนั่งบรรเลงกับพื้น ทั้งยังต้องขออนุญาตจากทางราชการ และต้องมีบัตรนักดนตรีที่ทางราชการ ออกให้ นักดนตรีไทยหลายคนต่างละทิ้งอาชีพดนตรีของตน แต่ยังมีนักดนตรีบางท่านที่ไม่ยอมทิ้งดนตรีไทย โดยเฉพาะครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปะบรรเลง) ท่านยังคงสั่งสอนศิษย์และสร้างสรรค์บทเพลงต่อไป อย่างไม่ย่อท้อ บทเพลงสำคัญของท่านในยุคนี้ก็คือ “เพลงแสนคำนึง เถา” เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองแสดงให้ เห็นถึงความรู้สึกกดดัน และอัดอั้นใจของท่านในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี ภาพที่ 26 ครูหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปะบรรเลง) ที่มา : https://sirindhornmusiclibrary.li.mahidol.ac.th บรรดาเพลงไทยที่มีอยู่เดิม ระยะนี้มีผู้นำทำนองเพลงไทยมาใส่เนื้อร้องให้เต็มเท่ากับทำนองเพลง หรือ ที่เรียกว่า “เพลงไทยเนื้อเต็ม” (อันเป็นต้นกำเนิดของ “เพลงไทยสากล”) ภาพที่ 27 รัชกาลที่ 9 ที่มา : https://www.pinterest.com พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 (พ.ศ. 2489 - พ.ศ. 2559) ทรงอุทิศ พระองค์เพื่อ บำเพ็ญพระราชกรณียกิจที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองเป็น
60 ปึกแผ่นของประเทศชาติเป็นสำคัญ ส่วนในด้านศิลปวัฒนธรรม ทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านศิลปะ หลาย แขนง โดยเฉพาะด้านดนตรีนั้นทรงโปรดเป็นพิเศษ ขณะทรง ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ทรงโปรดเครื่องดนตรี สากลประเภท เครื่องเป่า ภายหลังเมื่อเสร็จครองราชย์ทรงได้พระราชนิพนธ์เพลง ต่าง ๆ มากมาย และทรง ก็มีความสนใจเกี่ยวกับดนตรีไทยทั้ง ภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎี ทรงฝึกหัดเป่าปี่ใน และทรงริเริ่มให้มี การ บรรเลงเพลงไทยที่เรียบเรียงขึ้นจากเพลงไทยสากล โดยให้ครูเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล นำทำนองเพลง พระราชนิพนธ์ “มหาจุฬาลงกรณ์” มาแต่งเป็นทำนองเพลงไทยต่อมาได้ปรับปรุงเพลงโหมโรงชื่อ “โหมโรง มหาจุฬาลงกรณ์” นับเป็นเพลงไทยเพลงแรกที่ประดิษฐ์ขึ้นจาก เพลงไทยสากล ในขณะเดียวกันสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช กุมารี ทรงโปรดดนตรีไทยมาก ทรงอุปถัมภ์และทำนุบำรุงดนตรีไทยตลอดมา ทรงพระราชทานถ้วยรางวัล แก่ นักเรียนหรือวงดนตรีไทยที่ชนะเลิศในการประกวดต่าง ๆ ทรงเป็นประธานในการแสดงดนตรีไทย รวมถึงทรง ร่วมบรรเลงดนตรีในโอกาสต่าง ๆ ภาพที่ 28 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มา : https://hilight.kapook.com/view/201288 เครื่องดนตรีไทยไม่ปรากฏว่ามีผู้คิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีใหม่ ๆ ขึ้น แต่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะ รูปร่างบางประการเพื่อให้เกิดความสวยงาม มีเสียงดังไพเราะขึ้นและสะดวกในการบรรเลงกว่าเดิม เช่น มี การ ปรับปรุงตัวขิมจากขิมผีเสื้อหรือขิมโป๊ยเซียนให้มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูคล้ายกระเป๋าเดินทาง จึง เรียกว่า “ขิมคางหมู หรือ ขิมกระเป๋า” ยังมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะบางประการของขลุ่ยเพียงออ โดยให้มี ข้อต่อ ระหว่างรูปากนกแก้วกับรูเป่า สามารถเลื่อนเข้าออกเพิ่มหรือลดระยะห่าง เพื่อให้ได้ระดับเสียงสูง หรือต่ำตาม ต้องการ จึงเรียกขลุ่ยลักษณะ
61 ภาพที่ 29 ขิมคางหมู ที่มา : http://www.khimthaimusic.com/article01.html ด้านวงดนตรีไทยมีการนำวงดนตรีไทยและวงดนตรีสากลมาบรรเลงเพลงไทยแนวใหม่ร่วมกัน เรียกว่า “วงดนตรีร่วมสมัย” ซึ่งวงดนตรีร่วมสมัยรุ่นแรก ๆ ในวงการดนตรีไทย คือ “วงฟองน้ำ” ภาพที่ 30 วงฟองน้ำ ที่มา : https://www.facebook.com/photo/?fbid=5200616476689933&set=a.139735066111458 และมีการผสมวงดนตรีเฉพาะกาลที่เรียกว่า “วงมหาดุริยางค์” เป็นวงดนตรีไทยที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีทั้ง 4 ประเภท และมีลักษณะการผสมวงเช่นเดียวกับวงมโหรีแต่ได้เพิ่มเครื่อง ดนตรี ขึ้นจำนวนหลายสิบชิ้น รวมทั้งวงดนตรีไม่น้อยกว่า 100 ชิ้น โดยมีผู้บรรเลงฉิ่งเพียงคนเดียวที่ทำ หน้าที่กำกับ จังหวะอยู่ด้านหน้าวงเหมือนวาทยกร (Conductor) ในวงดุริยางค์สากล (Orchestra)
62 ภาพที่ 31 วงมหาดุริยางค์ ที่มา https://krutongmusic.wordpress.com ภาพที่ 32 รัชกาลที่ 10 ที่มา : https://www.trueplookpanya.com พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10(พ.ศ. 2559 - ปัจจุบัน) ทรงเรียนและฝึกหัด เครื่องดนตรีสากล ประเภทเครื่องเป่า ทรงขับร้องเพลงลาวดวงเดือนได้ ซึ่งเป็นเพลงโปรดของสมเด็จพระ นางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรม ราชชนนีพันปีหลวงสภาวะของดนตรีไทยในปัจจุบัน ยังคงอยู่ และสืบทอด ต่อไป ๆ ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงส่งเสริมให้ เยาวชนไทยสามารถเล่นดนตรีไทยและขับร้อง ทั้งในระดับโรงเรียน ประถม มัธยมจนถึงในระดับอุดมศึกษา ดนตรีไทยขยายตัวขึ้นเป็น อันมากในส่วนของการศึกษา จากโรงเรียนนาฎศิลป์ไปสู่โรงเรียนและสถาบันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร จนถึงนัดประชุมบรรเลงเพลงกัน ประจำปี อาทิ งานดนตรีไทยอุดมศึกษาเวทีการประชันปี่พาทย์ เป็นต้น ดนตรีไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรม อันทรงคุณค่าของชาติควรอนุรักษ์และ ถ่ายทอดแก่ชนรุ่นใหม่ ให้คิดคำนึงถึงคุณค่าที่แท้จริง ซึ่งดนตรีไทย สามารถเป็นส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งในสังคมไทยได้
63 แผนการจัดการเรียนรู้และแผนการประเมินผลการเรียนรู้ ฉบับย่อ รายวิชา ศ23103 ชื่อวิชา ดนตรี 3 จำนวน 0.5 หน่วยกิต เวลาเรียน 1 คาบ/สัปดาห์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน : นายเกียรติสิน เทพวารินทร์และนางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. คำอธิบายรายวิชา ศึกษาเรื่ององค์ประกอบที่ใช้ในดนตรีและงานศิลปะอื่น การเล่นดนตรีเดี่ยว และรวมวง เทคนิคการ ร้อง การเล่น การแสดงออก และคุณภาพเสียง การแต่งเพลงสั้นๆ จังหวะง่ายๆ การเลือกใช้องค์ประกอบ ดนตรีในการสร้างสรรค์งานดนตรี อิทธิพลของดนตรีที่มีต่อบุคคลและสังคม หลักการนำเสนอ หรือจัดการ ดนตรี โดยการบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ วิวัฒนาการของดนตรีแต่ละยุคสมัย และลักษณะ เด่นที่ทำให้งานดนตรีได้รับการยอมรับ (K) โดยใช้ทักษะกระบวนการสืบค้นข้อมูล กระบวนการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ และคิดสร้างสรรค์ งานดนตรีนำเสนอโดยการอธิบาย อภิปราย เปรียบเทียบองค์ประกอบที่ใช้ในงานดนตรีและจัดการแสดงดนตรี (P) เพื่อให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ ชื่นชม และเห็นคุณค่าของดนตรี(A) 2. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 1. เปรียบเทียบองค์ประกอบที่ใช้ในงานดนตรีและงานศิลปะอื่น (ศ 2.1 ม.3/1) 2. ร้องเพลง เล่นดนตรีเดี่ยวและร่วมวง โดยเน้นเทคนิคการร้อง การเล่น การแสดงออก และคุณภาพเสียง (ศ 2.1 ม.3/2) 3. แต่งเพลงสั้นๆ จังหวะง่ายๆ (ศ 2.1 ม.3/3) 4. อธิบายเหตุผลในการเลือกใช้องค์ประกอบดนตรี ในการสร้างสรรค์งานดนตรีของตนเอง (ศ 2.1 ม.3/4) 5. เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างงานดนตรีของตนเอง และผู้อื่น (ศ 2.1 ม.3/5) 6. อธิบายเกี่ยวกับอิทธิพลของดนตรีที่มีต่อบุคคล และสังคม (ศ 2.1 ม.3/6) 7. นำเสนอหรือจัดการแสดงดนตรีที่เหมาะสมโดยการบูรณาการกับสาระการเรียนรู้อื่นในกลุ่ม ศิลปะ (ศ 2.1 ม.3/7) 8. บรรยายวิวัฒนาการของดนตรีแต่ละยุคสมัย (ศ 2.2 ม.3/1) 9. อภิปรายลักษณะเด่นที่ทำให้งานดนตรีนั้นได้รับการยอมรับ (ศ 2.2 ม.3/2
64 3. กำหนดการจัดการเรียนรู้ สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผลการ เรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการสอน/ เรียนรู้ 1-3 1-3 หน่วยที่ 1 องค์ประกอบ ดนตรี ในลีลาของบทเพลง -รูปแบบและคีตลักษณ์ ศ 2.1 ม.3/1, ม. 3/4 ปฐมนิเทศ - ชี้แจงเกี่ยวกับสาระการ เรียนรู้/การวัดผล ประเมินผล/ภาระงาน ชิ้นงาน วิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ - นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ บทเรียนร่วมกำหนดภาระ งานและวิธีการวัด ประเมินผลเพื่อเป็นข้อตกลง รายวิชา - ศึกษาองค์ประกอบของ ดนตรีรูปแบบและคีตลักษณ์ ของดนตรีไทยและสากล ซึ่ง สามารถนำมาประสาน กลมกลืนกันเป็นบทเพลง และงานดนตรี เนื้อหา เปรียบเทียบองค์ประกอบ ดนตรีกับงานศิลปะอื่น - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point - สื่อวีดีทัศน์ - Internet - เครื่องดนตรี - อุปกรณ์แสง สีเสียง 4-6 4-6 หน่วยที่ 2 แต่งเพลงง่ายๆ ได้คุณค่า - หลักการแต่งเพลง (เนื้อ ร้อง ทำนองเพลง จังหวะ) ศ 2.1 ม.3/1, ม. 3/4 วิธีสอนโดยเน้น กระบวนการคิดอย่างมี วิจารณญาณ วิธีสอนโดยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ : เทคนิคร่วมกันคิด วิธีสอนโดยเน้น กระบวนการ : การสร้าง เจตคติ เนื้อหา - ศึกษาเรื่องหลักการแต่ง เพลง - ปฏิบัติการแต่งเพลงสั้นๆ ง่ายๆ - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point - สื่อวีดีทัศน์
65 สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผลการ เรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการสอน/ เรียนรู้ 7-9 7-9 หน่วยที่ 3 ร้องเล่นดนตรี สร้างสีสันให้อารมณ์ - ใช้เทคนิคและการ แสดงออกในการขับร้อง บรรเลงเดี่ยวและรวมวง ศ 2.1 ม.3/2, ม. 3/4 วิธีสอนโดยเน้น กระบวนการ : กระบวนการปฏิบัติ - ฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค และการแสดงออกในการ ขับร้อง บรรเลงเดี่ยวและ รวมวง - เอกสาร โน้ตเพลง - เครื่องดนตรี 10 10 สอบกลางภาค 11 11 หน่วยที่ 4 ร้องเล่นดนตรี สร้างสีสันให้อารมณ์ - ใช้เทคนิคและการ แสดงออกในการขับร้อง และบรรเลงเดี่ยวและ รวมวง ศ 2.1 ม.3/2, ม. 3/5 วิธีสอนโดยเน้น กระบวนการ : กระบวนการปฏิบัติ - ฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค และการแสดงออกในการขับ ร้อง และบรรเลงเดี่ยวและ รวมวง - เอกสาร โน้ตเพลง - เครื่องดนตรี 12 - 16 12 - 16 หน่วยที่ 5 การแสดงดนตรี เชิงบูรณาการ - อธิบายเกี่ยวกับอิทธิพล ของดนตรีที่มีต่อบุคคลและ สังคม - นำเสนอหรือจัดการแสดง ดนตรีที่เหมาะสม โดยการบูร ณาการกับสาระทัศนศิลป์ และสาระนาฏศิลป์ ศ 2.1 ม.3/6, ม. 3/7 วิธีสอนโดยการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ : เทคนิคร่วมกันคิด วิธีสอนโดยเน้น กระบวนการ : กระบวนการปฏิบัติ - ศึกษาอิทธิพลของดนตรีที่ มีต่อบุคคลและสังคม - นำเสนอหรือจัดการแสดง ดนตรีที่เหมาะสม โดยการ บูรณาการกับสาระทัศนศิลป์ และสาระนาฏศิลป์ - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point - สื่อวีดีทัศน์ - Internet - เครื่องดนตรี - อุปกรณ์แสง สีเสียง 17-19 17-19 หน่วยที่ 6 วิวัฒนาการ ดนตรีคือวิถีที่งดงาม - บรรยายวิวัฒนาการของ ดนตรีสากลแต่ละยุคสมัย - อภิปรายลักษณะเด่นที่ทำให้ งานดนตรีนั้นได้รับการ ยอมรับ ศ 2.2 ม.3/1, ม. 3/2 วิธีสอนโดยเน้น กระบวนการ : การสร้าง เจตคติ - บรรยายวิวัฒนาการของ ดนตรีสากลแต่ละยุคสมัย - อภิปรายลักษณะเด่นที่ทำ ให้งานดนตรีนั้นได้รับการ ยอมรับ - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point - สื่อวีดีทัศน์ - Internet 20 สอบปลายกลางภาค
66 บรรณานุกรม ณรุทธ์ สุทธจิตต์. (2561). สังคีตนิยม ความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ถาวร วัฒนบุญญา. (2557). เอกสารประกอบการสอน รายวิชาพื้นฐานทฤษฎีดนตรีตะวันตก. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. สำเร็จ คำโมง. (2553). ทฤษฎีดนตรีสากล ฉบับบสรรพสูตร. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ ฐานบัณฑิต จำกัด. สงบศึก ธรรมวิหาร. (2545). ดุริยางค์ไทย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ไขแสง ศุขวัฒนะ. (2541). สังคีตนิยม ว่าด้วยเรื่องเครื่องดนตรีของวงดุริยางค์. กรุงเทพมหานคร : ไทย วัฒนาพาณิช. เฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี. สังคีตนิยมว่าด้วยดนตรีไทย (ฉบับบปรับปรุง). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โอ เดียนสโตร์. มนตรี ตราโมท. ดุริยางคศาตร์ไทย ภาควิชาการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : มติชน. ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล. (2547). สานฝันด้วยเพลงมาฝึกร้องเพลงกันเถิด. พิมพ์ครั้งที่ 4 กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บ้านเพลง. สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์ และคณะ. (2551). หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ดนตรี - นาฎศิลป์ ม3. กรุงเทพมหานคร : บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท.จำกัด อัศนีย์ เปลี่ยนศรี. (2561). พินิจดนตรีไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช