ดนตรีปรี ฏิบัติ บั ติรหัสวิชวิา ศ๓๐๑๐๓ ชั้น ชั้ มัธ มั ยมศึกษาปีที่ ปี ที่ ๕ หลักสูตสูรโรงเรียรีนวิทวิยาศาสตร์ภูร์มิภูภมิาค ระดับชั้นชั้มัธมัยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (ฉบับบั ปรับรั ปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๑) จัด จั ทำ โดย นายเกียรติสินสิเทพวารินริทร์ นางสาวนฤมล สุภั สุ ภั คศิริปริระสาน ใบอนุญาตเลขที่ E06/2566 กลุ่มบริหารวิชาการ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช
ใบอนุญาตใหใชสื่อการเรียนรูในสถานศึกษา -------------------------------------------------------- เลขที่ E06/2566 วันที่ 10 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาพื้นฐาน ศ30103 ด น ต ร ี ป ฏ ิ บ ั ติ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ ตามหลักสูตรโรงเรียนวิทยาศาสตรภูมิภาค ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2560 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561) เรียบเรียงโดย นายเกียรติสิน เทพวารินทร และนางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน โรงเรียนวิทยาศาสตรจุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราชไดพิจารณาแลว อนุญาตใหใช ในสถานศึกษาได (นายสันติ นาดี) ผูอำนวยการโรงเรียนวิทยาศาสตรจุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช
ก คำนำ เอกสารประกอบการเรียนการสอน รายวิชาดนตรีปฏิบัติ(ศ30103) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ฉบับนี้ทางคุณครู ประจำวิชาได้จัดทำขึ้นมาเพื่อเป็นเอกสารประกอบค้นคว้าหาความรู้สำหรับคุณครูและนักเรียน เพื่อช่วยในการ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ และสร้างสรรค์ผลงานทางด้านดนตรีของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามหลักสูตร โรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช เอกสารประกอบการเรียนฉบับนี้ ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้ จำนวน 7 หน่วย คุณครูประจำวิชาได้ รวบรวม เรียบเรียง และนำเสนอเนื้อหาพร้อมกับภาพประกอบ ให้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ สาระมาตรฐาน การเรียนรู้ ตรงตามมาตรฐานตัวชี้วัด ซึ่งเทียบเคียงกับหลักสูตรแกนกลาง ครูผู้สอนหวังว่าเอกสารประกอบการเรียนรู้ ฉบับนี้ จะเป็นฐานในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้การศึกษาค้นคว้าหา ความรู้ของนักเรียนในรายวิชาดนตรีปฏิบัติ (ศ30103) บรรลุวัตถุประสงค์อย่างดีที่สุด เกียรติสิน เทพวารินทร์ นฤมล สุภัคศิริประสาน ครูผู้สอน
ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข แผนการจัดการเรียนรู้ (ฉบับย่อ) ค หน่วยการเรียนรู้ที่1 ดนตรีตะวันตก การประสวงดนตรีตะวันตก 1 บทเพลงบรรเลง 9 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 โน้ตสากลกับการปฏิบัติ เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรี 19 เทคนิคการปฏิบัติตามโน้ตดนตรีสากล 25 บันไดเสียง 29 หน่วยการเรียนรู้ที่3 การถ่ายทอดอารมณ์เพลง การปฏิบัติกีตาร์โปร่ง 38 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 รู้จักเครื่องดนตรีไทยที่ปฏิบัติ ประเภทวงดนตรีไทย 46 ประเภทของบทเพลงไทย 51 วิธีการปฏิบัติและการดูแลรักษาเครื่องดนตรี 53 หน่วยการเรียนรู้ที่5 เทคนิคการปฏิบัติเครื่องดนตรีไทย หลักการปฏิบัติเครื่องดนตรีไทย : ระนาดเอก 60 หน่วยการเรียนรู้ที่6 การถ่ายทอดอารมณ์เพลง(ไทย) ศัพท์สังคีต 63 แนวทางการอนุรักษ์ และส่งเสริมดนตรีไทย 67 หน่วยการเรียนรู้ที่7 การประเมินพัฒนาการทักษะทางดนตรี หลักการประเมินทักษะทางดนตรี 69 บรรณานุกรม 72 บรรณานุกรม (เว็ปไซต์) 73
1 ตอนที่ 1 การประสมวงดนตรีตะวันตก 1. วงแชมเบอร์มิวสิค (Chamber Music) จัดเป็นการผสมวงดนตรีของตะวันตกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นมายาวนานมากนับตั้งแต่ ต้นศตวรรษที่ 14 หรือยุคกลาง (Middle Age) เป็นต้นมา ได้มีการผสมวงโดยซึ่งพบในบทเพลงโมเต็ท (Motet) และแมดริกัล (Madrigal) ซึ่งเป็นบทเพลงขับร้อง นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 14 จนถึงต้น ศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย และเครื่องลมได้เข้ามาบรรเลงร่วมกับการขับร้อง Webster's Dictionary ได้ให้คำจำกัดความของ คำว่า " แชมเบอร์มิวสิค" ไว้ว่า "Instrumental music suitable for performance in a chamber or a small audience hall" ซึ่งศาสตราจารย์ไข แส ศุขะวัฒนะ (2525:20) แปลเป็นภาษาไทยว่า "ดนตรีประเภทบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่เหมาะ สำหรับแสดงภายในห้องโถงหรือสถานที่ที่จุผู้ฟังได้เพียงจำนวนน้อย" หรือจะเรียกดนตรีประเภทนี้ว่า แชมเบอร์มิวสิค เป็นดนตรีของนักดนตรี (musicians' music) , ดนตรีของมิตรสหาย (music of friends) และ ดนตรีในหมู่เพื่อนฝูง (music among friends) หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ดนตรีตะวันตก
2 ในสมัยแรก ๆ วงดนตรีประเภทนี้เหมาะสำหรับการบรรเลงในบ้าน คฤหาสน์ของขุนนาง หรือ ห้องที่จุผู้ฟังได้จำนวนน้อยซึ่งผู้จัดงานมีแขกพอประมาณ ต่อมาวงแชมเบอร์มิวสิคเล่นในห้องโถงที่มี ขนาดใหญ่ และในที่สุดต้องเล่นในคอนเสิร์ตฮอลล์ (Concert hall) หรือสังคีตสถาน อย่างเช่นศูนย์ วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น การฟังดนตรีประเภทแชมเบอร์มิวสิคต้องมีความรู้ความเข้าใจ เช่นเดียวกับการฟังดนตรีคลาสสิกทั่ว ๆ ไป เนื่องจากดนตรีประเภทนี้ใช้ผู้เล่นเพียงไม่กี่คน ฉะนั้นเสียงที่ออกมาจะยิ่งใหญ่มโหฬารหรือ ความมีพลัง อย่างวงออร์เคสตราก็ทำไม่ได้ ลักษณะเด่นของวงดนตรีประเภทนี้ก็คือเสียงดนตรีที่แท้จริง สำหรับด้านคุณภาพของการเล่นนั้นผู้เล่นต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ผู้ใดเล่นผิดพลาดจะได้ยินอย่าง เด่นชัด ความถูกต้องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของดนตรีประเภทนี้ การฟังเพื่อให้ได้รสชาติที่สมบูรณ์ของแชมเบอร์มิวสิคนั้น ไม่ได้อยู่แต่เพียงความตั้งอกตั้งใจฟัง อย่างไตร่ตรอง แต่ยังต้องอาศัยบรรยากาศที่เอื้อต่อการฟังอีกด้วย เนื่องด้วยดนตรีประเภทนี้บรรเลงด้วย กลุ่มนักดนตรีเพียงไม่กี่คนประกอบกับไม่ได้มีการใช้เครื่องขยายเสียงหรือตู้แอมป์ สถานที่ที่เหมาะกับ การบรรเลงและการฟังจึงควรเป็นห้องโถงตามบ้าน หรือห้องฟังดนตรีขนาดเล็กเพราะผู้ฟังทุกคน สามารถฟังเสียงของเครื่องดนตรีทุก ๆ ชิ้นได้อย่างชัดเจนและสัมผัสกับดนตรีได้อย่างใกล้ชิด วงแชมเบอร์มิวสิคจะมีชื่อเรียกต่างกันออกไปตามจำนวนของผู้บรรเลงต้องมีนักดนตรีตั้งแต่สองคนขึ้นไป ถึงเก้าคนดังนี้ - ผู้บรรเลง 2 คน เรียก ดูโอ (Duo) - ผู้บรรเลง 3 คน เรียก ทริโอ (Trio) - ผู้บรรเลง 4 คน เรียก ควอเต็ต (Quartet) - ผู้บรรเลง 5 คน เรียก ควินเต็ต (Quintet) - ผู้บรรเลง 6 คน เรียก เซกซ์เต็ต (Sextet) - ผู้บรรเลง 7 คน เรียก เซพเต็ต (Septet) - ผู้บรรเลง 8 คน เรียก ออคเต็ต (Octet) - ผู้บรรเลง 9 คน เรียก โนเน็ต (Nonet) ในการเรียกชื่อวงแชมเบอร์มิวสิคนั้นยังมีประเพณีในการเรียกอีกอย่าง คือเรียกชื่อประเภทของ เครื่องดนตรีก่อนแล้วตามด้วยจำนวนเครื่องดนตรีเช่น สตริงควอเต็ต หมายถึงวงแชมเบอร์มิวสิคที่ ประกอบด้วย ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล เป็นต้น เครื่องดนตรีที่นำรวมกันเป็นวงแชมเบอร์มิวสิค นั้นที่นิยมแพร่หลายนั้นได้แก่กลุ่มเครื่องสาย ตระกูลไวโอลิน เพราะสุ้มเสียงของเครื่องตระกูลนี้ไม่ว่าจะ เป็นไวโอลิน, วิโอลา, และเชลโล ล้วนสามารถกลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดี เช่น วงสตริงควอเต็ต ( ไวโอลิน 2 คัน, วิโอลาและเชลโล) ซึ่งถือว่าเป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หรืออาจกล่าวอีกนัย
3 หนึ่งก็คือการผสมวงดนตรีประเภทนี้ควรเป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในตระกูลเดียวกันเพราะสุ้มเสียงที่มีสีสัน (Tone color) เดียวกันอีกทั้งยังไม่มีการแสดงความเด่นข่มสุ้มเสียงอื่น การผสมวงที่ใช้เครื่องสายไวโอลิน 2 คัน รวมเรียกว่า " สตริงดูโอ" (String Duo) ในงานของ ลุยส์ ชโปร์ ( ค. ศ.1784-1859) คีตกวีและนักไวโอลินชาวเยอรมัน และของบาร์ท้อค ในยุคบาโรคการได้มีการปรับปรุงการจัดวงแชมเบอร์มิวสิคได้รู้จักกันในชื่อว่า " ทริโอโซนาตา" (Trio sonata) โดยโซนาตาชนิดนี้มีผู้บรรเลง 4 คน คือ ผู้บรรเลงเดี่ยว 2 คน และผู้บรรเลงแนวล่างสุด หรือ คอนตินูโอ (Continuo) อีก 2 คน ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนผู้บรรเลง 4 คนก็ตามแต่ให้ถือว่ามี 3 แนว คือ สองแนวแรกเป็นแนวของเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว และแนวที่สามนั้นเป็นของเครื่องดนตรีคอนตินู โอ เช่น บาโรคทริโอโซนาตา ประกอบด้วย ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ 2, ฮาร์พซิคอร์ดและเชลโล นอกจากนี้ยังมีการผสมวงแบบต่าง ๆ ด้วยเครื่องสายและเปียโน เช่น เปียโนทรีโอ ( เปียโน, ไวโอลินและเชลโล) ปัจจุบันในประเทศไทยเราก็ได้มีการพัฒนาวงดนตรีประเภทแชมเบอร์มิวสิคขึ้นมาเช่นกัน โดยการนำเอาเครื่องดนตรีตระกูลแซ็กโซโฟน ( โซปราโน, อัลโต, เทเนอร์และบาริโทนแซ็กโซโฟน) มา รวมกันเป็น " วงบางกอกแซ็กโซโฟนควอเต็ต" โดย รองศาสตราจารย์ ดร. สุกรี เจริญสุข และสมาชิก ตั้งแต่ปี พ. ศ. 2532 การผสมวงที่ใช้เครื่องลมบางชนิดรวมกัน เช่น โอโบ 2, คลาริเนท 2 , บาสซูน 2 และ แตรเฟ รนช์ฮอร์น 2 รวมเรียกว่า " วินด์อ๊อคเต็ต" (Wind Octet) นอกจากนี้ยังมีคำว่า " อองซองค์เบิล" (Ensemble) เป็นภาษฝรั่งเศส ซึ่งมีความหมายว่า " ด้วยกัน" เป็นลักษณะของการบรรเลงดนตรีจากผู้เล่นหลาย ๆ คนมีจำนวนผู้เล่นไม่เกิน 20 คน ซึ่งต้อง อาศัยความร่วมมือร่วมใจในการแสดงของทุกคนรวมถึงความสามารถของนักดนตรีแต่ละคน ในกรณีที่กลุ่มนักดนตรีไม่ว่าชนิดที่มีเฉพาะผู้เล่นเครื่องสายล้วน ๆ และมีผู้เล่นเครื่องลมผสม อยู่บ้างแต่รวมแล้วไม่เกิน 30 คน โดยสัดส่วนของวงเช่นเดียวกับวงออร์เคสตรา กลุ่มนักดนตรีนี้ก็จะ เรียกว่า " วงออร์เคสตราแชมเบอร์มิวสิค" (Chamber Orchestra) ลักษณะการผสมวงแบบแชมเบอร์มิวสิคนี้หากนักดนตรีที่มารวมกันนั้นเป็นนักศึกษามาจาก มหาวิทยาลัยต่าง ๆ กัน อาจเป็นการรวมวงระหว่างอาจารย์หรือนักศึกษาที่มีความสามารถทางดนตรี เป็นเยี่ยม เรามักจะเรียกการรวมวงประเภทนี้ว่า " โปรมิวสิคกา ออร์เคสตรา" (Promusica Orchestra) ข้อมูลอ้างอิง http://601phrateeptao.net76.net/sakol/Chamber.html http://krutri.samroiwit.ac.th/band.html
4 2. วงออเครสตร้า (orchestra) วงออร์เคสตรา (orchestra) เป็นภาษาเยอรมัน ความเป็นมาของ Orchestra โดยความหมาย คือ สถานที่เต้นรำ ที่ใช้เป็นที่เต้นรำและร้องเพลง ของพวกนักร้องประสานเสียง ซึ่งหมายถึง ส่วนหน้า ของโรงละครสมัยกรีกโบราณ ในยุคแรกเริ่มเป็นลักษณะของวงเครื่องสาย ความเป็นมาของ Orchestra ประเทศไทย ออร์เคสตรา มีชื่อเรียกว่า วงดุริยางค์ ซึ่งมีประวัติมา ยาวนานเช่นกัน โดยวงแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สังกัดกรมมหรสพ กระทรวงวัง มีชื่อเรียกในสมัยนั้นว่า วงเครื่องสายฝรั่งหลวง ปัจจุบันคือ วงดุริยางค์สากล กรมศิลปากร ความเป็นมาของ วงออร์เคสตรา ที่มีวิวัฒนาการในราว ค.ศ.1600 แรกเริ่มเดิมทีเป็นลักษณะ ของวงเครื่องสาย (String Orchestra) มีจำนวนผู้เล่นไม่มาก มีประมาณ 10 ถึง 25 คน เท่านั้น
5 Conductor ผู้ผสานเครื่องดนตรีเป็นหนึ่งเดียวกัน คอนดักเตอร์ ผู้อำนวยการเพลง ช่วงปี คริสต์ศตวรรษที่ 17 วงออร์เคสตรามีการเพิ่ม เครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องกระทบในวง ออร์เคสตรา ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 มีการพัฒนามาตรฐาน ออร์เคสตรา ให้มีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีให้ มากขึ้น นักดนตรีที่บรรเลงมีประมาณ 80 คน (จากเดิม 10-25 คน) แสดง ณ เวทีที่มีพื้นที่ระดับต่ำกว่าที่ นั่งผู้ชม ในโรงแสดงละครหรือคอนเสิร์ต ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มีการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีเข้าไปในวงออร์เคสตราเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อให้สามารถบรรยายเรื่องราวให้ได้ตรงตามที่ผู้ประพันธ์เพลงตั้งใจไว้ ทำให้วงมีจำนวนคนและมีขนาด ที่ใหญ่ขึ้น ยุคนี้เป็นยุคที่เรียกยุคโรแมนติก จึงนิยมเล่นบทเพลงประเภทดนตรีแบบบรรยายเป็นเรื่องเป็น ราว พร้อมบทเพลงร้องประสานเสียง
6 ชนิดของวง Orchestra Symphony Orchestra เป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 4 กลุ่ม คือ กลุ่มเครื่องสาย (string section) เช่น ไวโอลิน, วิโอลา, เชลโล กลุ่มเครื่องลมไม้ (woodwind section) เช่น ฟลูต, โอโบ, คลาริเน็ต, บาสซูน กลุ่มเครื่องเป่าทองเหลือง (brass section) เช่น เฟรนช์ฮอร์น, ทรัมเป็ต กลุ่มเครื่องเคาะ (percussion section) เช่น ทิมปานี วงออร์เคสตรา แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ วงแชมเบอร์ออร์เคสตรา หมายถึง วงดนตรีที่ประสมวงด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายใน ตระกูลไวโอลินเท่านั้น มีผู้บรรเลงเพียง 16 – 20 คน วงซิมโฟนีออร์เคสตรา หรือ วงดุริยางค์สากล ประกอบด้วยเครื่องดนตรีครบทุกประเภท เป็น ลักษณะการประสมวงที่สมบูรณ์ที่สุด วงขนาดเล็ก (Small Orchestra) มีนักดนตรีบรรเลงประมาณ 40 – 60 คน วงขนาดกลาง (Medium Orchestra) มีผู้บรรเลงประมาณ 60 – 80 คน และ วงขนาดใหญ่ (Full Orchestra) มีนักดนตรีผู้บรรเลงประมาณ 80 คนขึ้นไป ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีครบทั้งสี่ชนิด คือ เครื่องสาย เครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง เครื่องลิ้มนิ้ว และเครื่องตีกระทบ
7 3. วงซิมโฟนิกแบนด์ (Symphony Band) วงซิมโฟนิคแบนด์ (symphonic band) คือ การนำเอาวงโยธวาทิตมานั่งบรรเลงในลักษณะ ของคอนเสิร์ต ซึ่งจะเป็นการนำเอาบทเพลงที่มีการเรียบเรียงใหม่มาใช้ในการบรรเลงที่มีลักษณะคล้าย กับวงออร์เคสตรา หรือบางครั้งก็จะเป็นการนำเอาเพลงของวงออร์เคสตรามาเรียบเรียงใหม่แล้วใช้ใน การบรรเลง เพื่อที่จะให้เกิดความเหมาะสมกับเครื่องดนตรีที่ใช้ ด้วยลักษณะของการเล่นจึงทำให้ วงซิม โฟนิคแบนด์ (symphonic band) มีชื่อเรียกออีกอย่างหนึ่งว่า วงนั่งบรรเลง (concert band) โดย วงซิมโฟนิคแบนด์ (symphonic band) มีการพัฒนามาจากวง โยธวาทิต ลักษณะจะเป็นการนั่งบรรเลงแบบคอนเสิร์ท คล้ายกับวง ดุริยางค์ซิมโฟนีและมีคลาริเนท B แฟลต เป็นเครื่องหลัก ซึ่ง สามารถเทียบได้กับไวโอลินในวงดุริยางค์ซิมโฟนีนั้นเอง โดยวงซิมโฟ นิคแบนด์ (symphonic band) เกิดขึ้นในปีค.ศ. 1920 ในส่วนของ เครื่องดนตรีที่ใช้ของวงซิมโฟนิคแบนด์ (symphonic band) ได้แก่ กลุ่มเครื่องลมไม้ กลุ่มเครื่องลมทองเหลือง กลุ่มเครื่องเพอคัชฌั่น และซอดับเบิลเบส ซึ่งจะเห็นได้ว่าจะเป็นการเน้นในเรื่องของเครื่องดนตรีประเภทเป่าต่างๆเป็นสิ่ง สำคัญ ที่สำคัญวงซิมโฟนิคแบนด์ (symphonic band) จะไม่นำไวโอลิน วิโอลา และเชลโลมาประสมวง ยกเว้นดับเบิลเบส ที่จัดว่าเป็นเครื่องสายชนิดเดียวที่นำมาใช้ในการประสมในวงประเภทนี้ ส่วนใหญ่ แล้ววงซิมโฟนิคแบนด์ (Symphonic Band) จะบรรเลงใช้บรรเลงในร่ม ในห้องประชุม หรือห้องจัด แสดงดนตรี รูปแบบของการจัดวงซิมโฟนิคแบนด์คือ จะเรียงตามประเภทของเครื่องดนตรีที่ใช้ใน การบรรเลง ที่ประกอบไปด้วย
8 1. กลุ่มของเครื่องลมไม้ ที่ประกอบไปด้วย แซ็กโซโฟน , บาสซูน , โอโบ , คลาริเนท , ฟลูท และปิคโคโล ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ข้างหน้า 2. กลุ่มของเครื่องทองเหลือง ที่ประกอบไปด้วย ทรัมเป็ต , ทรอมโบน , ทูบา , ยูโฟเนียม , เฟรนช์ฮอร์นและคอร์เน็ต ที่จะอยู่ส่วนกลาง 3. กลุ่มของเครื่องตีประกอบจังหวะ ที่ประกอบไปด้วย กลองทิมปานี , กลองเล็ก , กลอง ใหญ่ , กิ่ง , มาริมบา , ฉาบ และระฆังราว จะอยู่ในส่วนสุดท้ายของรูปแบบของวงซิม โฟนิคแบนด์ ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้อำนวยเพลง หรือที่เรียกกันว่า Conductor ที่จะคอยเป็นผู้ที่ทำการควบคุมจังหวะ และปรับความสมดุลของเพลงที่ใช้ในการบรรเลงของวงซิมโฟนิคแบนด์ เพื่อที่จะให้เกิดความสมบูรณ์ และเกิดความไพเราะขึ้น และนิยมจัดในรูปแบบของครึ่งวงกลม แต่อย่างไรก็ดีในการจัดรูปแบบของ วงซิมโฟนิคแบนด์ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้เล่นและเครื่องดนตรีที่ใช้ด้วยเช่นกัน ทุกองค์ประกอบของ วงซิมโฟนิคแบนด์มีส่วนสำคัญที่จะถูกนำมาใช้ในการพิจารณารูปแบบของการวางผังในการงเล่นของวง ซิมโฟนิคแบนด์ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงในเรื่องของสถานที่ พื้นที่ที่ใช้ในการบรรเลง ที่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับ การจัดรูปแบบของซิมโฟนิค เพราะฉะนั้นแล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็ดีทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่สำคัญ บทเพลง จะบรรเลงให้ไพเราะได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับการถ่ายทอดความหมายผ่านมาทางเสียงเพลงให้ผู้ฟังได้รับรู้ เสียงเพลงสามารถที่จะสร้างความสุขได้ หากเราบรรเลงด้วยใจ
9 ตอนที่ 2 บทเพลงบรรเลง (Instrumental Music) เมื่อมนุษย์รู้จักนำบทเพลงไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน บทเพลงต่าง ๆ จึงถูกสร้างขึ้น มากมาย เพื่อสนองความต้องของมนุษย์ เพลงสากลที่เกิดขึ้นในยุคแรกๆนั้น เป็นเพลงเกี่ยวกับ กิจกรรมทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เริ่มจากการร้องเพลงที่มีเสียงเดียว และได้วิวัฒนาการต่อมา จนเป็น เพลงที่มีหลายเสียง มีการนำเสียงประสานมาใช้ในบทเพลง เพื่อให้เกิดความไพเราะมากยิ่งขึ้นนอกจาก การขับร้องแล้วมนุษย์ยังได้ประดิษฐ์เครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ มาใช้สร้างเสียงเพลงตามที่ต้องการ เสียงเพลงที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา บางครั้งจะเป็นเพลงสำหรับร้องเพียงอย่างเดียว จะเป็นการร้องเดี่ยว ร้องหมู่ หรือร้องประสานเสียงก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม บางครั้งจะใช้เครื่องดนตรีที่ได้สร้างขึ้นมา บรรเลงเป็นเสียงเพลงตามที่ต้องการ ดังนั้นเราจึงสามารถจำแนกประเภทของเพลงที่อย่างกว้างๆได้ 2 ชนิด คือ บทเพลงร้อง (Vocal Music) และบทเพลงบรรเลง (Instrumental Music) เพลงบรรเลงมีทั้งที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีน้อยชิ้น ไปจนถึงบรรเลงด้วยวงดุริยางค์ขนาด ใหญ่ทั้งวง ที่เรียกว่า Orchestral Music ส่วนใหญ่บทเพลงบรรเลงเหล่านี้ยังได้รับความนิยม และถือกัน ว่าเป็นบทเพลงที่มีคุณค่าทางด้านศิลปะดนตรีอย่างมาก 1.โซนาตา (Sonata) โซนาตา เป็นคำภาษาอิตาเลียน (Italian Sonare, “to sound”) หมายถึง ฟัง จัดเป็นบทเพลง ที่มีความสำคัญและมีบทบาทตลอดมาตั้งแต่สมัยบาโรคจนถึงสมัยปัจจุบัน คล้ายคลึงกับลักษณะของคอน แชร์โต โซนาตา มีอยู่สองลักษณะ คือ โซนาตาที่บรรเลงเป็นกลุ่มเครื่องดนตรีเล็ก ๆ ซึ่งเป็นโซนาตาแบบ หนึ่งในสมัยบาโรค และโซนาตาที่บรรเลงโดยเครื่องดนตรีชนิดเดียว หรือสองชนิด แต่เน้นการแสดงออก ของเครื่องดนตรีเพียงชนิดเดียว โดยมีเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่งคลอให้บทเพลงสมบูรณ์ขึ้น ซึ่งอาจ เรียกว่า โซโลโซนาตาได้ โซนาตาในลักษณะนี้เป็นความหมายของโซนาตาที่ใช้กันตั้งแต่สมัยคลาสสิก จนถึงปัจจุบันได้ให้ความหมายของคำว่า “โซนาตา”แปลว่า “เสียง” เมื่อพูดถึงโซนาตา อาจหมายถึง ประเภทของบทประพันธ์หรือประเภทของสังคีตลักษณ์ก็ได้ โซนาตาที่เป็นประเภทของบทประพันธ์ เป็น เพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยว เช่น เปียโน โซนาตา ก็คือ บทเพลงสำหรับเดี่ยวเปียโน ไวโอลินโซนาตา เป็นบทเพลงสำหรับเดี่ยวไวโอลิน ฟลูท โซนาตา เป็นบทเพลงสำหรับเดี่ยวฟลูท อนึ่งเพลงเดี่ยวสำหรับเครื่องดนตรีที่ไม่ใช่เปียโนจะมีเครื่อง ดนตรีบรรเลงประกอบซึ่งมึกเป็นเปียโน บทบาทของเครื่องดนตรีที่บรรเลงประกอบในสมัยแรก ๆจะเป็น แนวสนับสนุนเท่านั้น แต่ในสมัยต่อ ๆ มา เครื่องดนตรีประกอบจะเปลี่ยนบทบาทเป็นการบรรเลงร่วมกัน หรือโต้ตอบกันมากกว่า ความสำคัญของบทบาทใกล้เคียงกันมากขึ้น บทประพันธ์ประเภทโซนาตามัก ประกอบด้วย 3 หรือ 4 ท่อน ท่อนแรกมักอยู่ในอัตราจังหวะเร็ว ท่อนที่ 2 อยู่ในอัตราจังหวะช้า ท่อนที่ 3 มักอยู่บรรยากาศที่ร่าเริงสนุกสนานในจังหวะเต้นรำแบบมินูเอต
10 ประวัติของโซนาตาโซนาตา เป็นบทเพลงที่มีมาตั้งแต่สมัยบาโรค ซึ่งมีลักษณะเฉพาะต่างไปจาก โซนาตาในสมัยคลาสสิก จึงเรียกว่า “บาโรคโซนาตา” โซนาตาในลักษณะนี้เป็นบทเพลงสำหรับวงดนตรี เล็กในลักษณะของแชมเบอร์มิวสิก โดยมีเครื่องดนตรีตั้งแต่หนึ่งชิ้นจนถึงหกหรือแปดชนิด ทีนิยมมากใน สมัยนี้ คือ ทริโอโซนาตาเป็นบทเพลงสำหรับไวโอลินสองเครื่องและเครื่องบรรเลงแนวเบส (Continuo) อีกสองชิ้น โซนาตาในสมัยบาโรคมีสองลักษณะคือ โซนาตาสำหรับวัด (Church sonata) เป็นเพลง ชั้นสูงเน้นรูปแบบการสอดประสานทำนอง (Contrapuntal texture) ประกอบ ด้วย 4 ท่อน (ช้า – เร็ว – ช้า - เร็ว) และโซนาตาคฤหัสถ์ (Chamber sonata) เป็นเพลงบรรเลงตามบ้านมีลักษณะเป็นเพลงชุด เต้นรำในรูปแบบของ Binary form เช่น ประกอบด้วย Prelude –Allemande – Courante – Sarabande Gigue ( หรือ Gavotte) ในสมัยคลาสสิก โซโลโซนาตาเริ่มเข้ามามีบทบาทมากกว่าบาโรคโซนาตา จึงเรียก โซโลโซนาตา อีกชื่อหนึ่งว่า “คลาสสิกโซนาตา” ลักษณะของโซนาตาในสมัยคลาสสิกตอนต้นยังมีลักษณะ ไม่แน่นอน อาจจะมีเพียงท่อนเดียว หรือสามท่อน (เร็ว – ช้า - เร็ว) รูปแบบพัฒนามาเรื่อยจนมีรูปแบบแน่นอน คือ มีลักษณะคล้ายซิมโฟนี คือ มี 4 ท่อน หรือ คล้ายคอนแชร์โต คือ มี 3 ท่อน เครื่องดนตรีที่นิยมในการ ประพันธ์โซนาตา คือ เปียโน และไวโอลิน ไฮเดิน โมทซาร์ และเบโธเฟน คือผู้ประพันธ์เพลงที่ให้ความ สนใจกับการประพันธ์ เพลงประเภทนี้เช่นเดียวกับซิมโฟนีและคอนแชร์โต ไฮเดินประพันธ์ โซนาตาไว้ ทั้งหมด 62 บท โมทซาร์ทประพันธ์ไว้ 21 บท และประมาณ 37 บท ประพันธ์โดยเบโธเฟน ปกติโซนาตา สำหรับเปียโนใช้เปียโนบรรเลงเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นโซนาตาของเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น ไวโอลิน ฟลูท ทรัมเป็ต ฯลฯ มักใช้เปียโนคลอไปด้วย ในสมัยโรแมนติก ผู้ประพันธ์เพลงคนสำคัญ ๆ ยังคงนิยมประพันธ์เพลงโซนาตา โดยเฉพาะ เปียโนโซนาตา ไม่ว่าจะเป็น ชูเบิร์ท ชูมานน์ ลิสซท์ โชแปง และบราห์มส์ รวมทั้งผู้ประพันธ์รุ่นหลัง เช่น ดวอชาค กรีก แซงค์ – ซองส์ สเตราส์ ไชคอฟสกี และวากเนอร์ โซนาตายังคงเป็นบทเพลงที่ผู้ประพันธ์ในศตวรรษที่ 20 สนใจ แม้จะมีบทเพลงในลักษณะอื่น ๆ ที่นิยมประพันธ์กันมากกว่าโซนาตา ผู้ประพันธ์เพลงในยุคนี้ที่มีผลงานด้านโซนาตา ได้แก่ เดอบูสซี เบิร์ก ไอฟส์ เป็นต้น (ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2535: 120) ลักษณะของโซนาโตลักษณะที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นลักษณะของคลาสสิกโซนาตา ซึ่งเป็น รูปแบบที่สำคัญ ซึ่งต่อมาในสมัยโรแมนติก และในสมัยปัจจุบันยังใช้ลักษณะเช่นนี้อยู่ ประกอบด้วย 3 หรือ 4 ท่อน ซึ่งมีรูปแบบแต่ละท่อนดังนี้ท่อนแรก มีจังหวะเร็ว (Allegro) บางครั้งมีบทนำที่ช้า ใช้ รูปแบบโซนาตาอัลเลโกรลักษณะซับซ้อนเร้าใจท่อนที่ 2 จังหวะช้า (Andante, Largo หรือ Lento) รูปแบบที่นิยม ได้แก่ Sonata – allegro form, Ternary form, Binary form, Theme and Variation ลักษณะช้ามีแนวทำนองไพเราะ เน้นการแสดงออกของอารมณ์ท่อนที่ 3 มีจังหวะเร็วหรือค่อนข้างเร็ว (Allegro หรือ Allegretto) รูปแบบ คือ มินูเอท หรือสเคร์กโท (expanded ternary form) ลักษณะ เป็นจังหวะเต้นรำส่วนใหญ่จะเป็นอัตราจังหวะ 3/4 ท่อนที่ 4 มีจังหวะเร็ว (Allegro, Presto) รูปแบบ
11 อาจจะเป็นโซนาตาอัลเลโกร หรือ รอนโด ลักษณะเร็ว มีพลังในตอนจบปกติโซนาตาที่มี 3 ท่อนจะตัด ท่อนที่ 3 ออกไป ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าโซนาตามีลักษณะเช่นเดียวกับซิมโฟนี หรือคอนแชร์โตนั่นเอง โซนาตา เป็นบทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยว เช่น เปียโน จะใช้เปียโนบรรเลงเครื่องเดียว เนื่องจากเปียโนสามารถบรรเลงทั้งแนวทำนองและแนวประสานเสียงได้ในเครื่องเดียวกัน ส่วนโซนาตา สำหรับเครื่องดนตรีชนิดอื่นมักจะมีเปียโนเป็นเครื่องดนตรีประกอบ เนื่องจากเครื่องดนตรีอื่น ๆ ไม่ สามารถบรรเลงทั้งแนวทำนองและแนวประสานเสียงได้ เช่น ไวโอลินโซนาตา หมายถึง เป็นโซนาตา สำหรับไวโอลิน โดยมีเปียโนคลอ ความสำคัญหรือจุดเด่นจะอยู่ที่ไวโอลินมากกว่าเปียโน โซนาตาเป็นบท เพลงที่เน้นการแสดงออกของผู้บรรเลง เทคนิคของเครื่องมือ และแนวคิดของการประพันธ์ จึงจัดเป็น เพลงที่น่าสนใจและศึกษาทั้งในลักษณะของการประพันธ์ และเทคนิควิธีเล่นอย่างไรก็ตามเนื่องจากโซนา ตาเป็นบทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีชิ้นเดียว สีสันจะมีไม่ได้มากเท่าเพลงประเภทออร์เคสตรา แต่ความ ลึกซึ้งของเทคนิควิธีการประพันธ์ การแปรเปลี่ยนความซ้ำซาก ให้ต่างออกไป ตลอดจนการใช้ องค์ประกอบอื่น ๆ ทางดนตรีเข้ามาเป็นหลักการประพันธ์ทำให้โซนาตาเป็นเพลงที่น่าสนใจฟังตลอดมา โครงสร้างของโซนาตาเนื่องจากรูปแบบของโซนาตาพัฒนามาจากรูปแบบสองตอนแบบ ย้อนกลับ จึงมีโครงสร้างเป็น 2 ตอน แต่เดิมรูปแบบของโซนาตาก็ใช้เครื่องหมายย้อยกลับ โดยในแต่ละ ตอนต้องเล่นซ้ำ แต่ในเวลาต่อมาเมื่อเพลงยาวขึ้น บางครั้งผู้แต่งเขียนเครื่องหมายซ้ำเฉพาะในตอนแรก ส่วนในตอนหลังไม่มีเครื่องหมายซ้ำ (Repeat) ในการบรรเลงจริงผู้เล่นอาจเคร่งครัดกับเครื่องหมายซ้ำ หรือไม่ก็ได้ ทำให้ระเบียบปฏิบัติในเรื่องของการซ้ำมีความจริงจังน้องลง อย่างไรก็ตาม ผู้แต่งยังคิดเป็น 2 ตอนอยู่ดี เพียงแต่ต้องตัดการซ้ำออกไปเนื่องจาก สัดส่วนที่ยาวเกินไปจากรูปข้างต้นใน ตอน A B A’ ของรูปแบบสองตอนแบบย้อยกลับ ได้พัฒนาเป็นช่วงนำเสนอ (Exposition) ช่วงพัฒนา (Development) และช่วงย้อนความคิด (Recapitulation) ตามลำดับ ช่วงนำเสนอต่างจากตอน A คือ ช่วงนำเสนอมี 2 ทำนอง ในขณะที่ตอน A มีความต่อเนื่องไปจนจบตอน แต่ในช่วงนำเสนอสามารถ แบ่งย่อยออกได้เป็น 2 ช่วง ช่วงแรกมีทำนองหลักในกุญแจเสียงโทนิก (Tonic) ส่วนช่วงหลังเป็นทำนอง รองในกุญแจเสียงใกล้เคียง เช่น โดมิแนนท์(Dominant) หรือกุญแจเสียงร่วม ทำนองหลักและทำนอง รองในบางเพลงมีความสำคัญไม่เท่ากัน โดยปกติทำนองหลักมักสำคัญกว่าและจะถูกนำไปใช้ในการ พัฒนามากกว่า แต่บางเพลงทำนองรองกลับสำคัญกว่า ฉะนั้นการเรียกชื่อทำนองหลักและทำนองรอง อาจสื่อความหมายว่าทำนองรอง ต้องด้อยความสำคัญกว่าเสมอ จึงควรเรียกทำนองหลักว่า ทำนองที่ หนึ่ง และเรียกทำนองรองว่า ทำนองที่สอง ส่วนช่วงแรกในกุญแจเสียงโทนิกซึ่งมีทำนองที่หนึ่งอยู่ จะ เรียกว่า ช่วงที่หนึ่ง และเรียกช่วงหลังว่า ช่วงที่สอง เพื่อให้สอดคล้องกัน ช่วงนำเสนอนี้จบด้วยกุญแจ เสียงของช่วงที่สอง ตอน B ของรูปแบบสองตอนแบบย้อนกลับได้กลายมาเป็นช่วงพัฒนาในรูปแบบโซนาตาแต่อันที่ จริงแนวความคิดพื้นฐานของตอน B และช่วงพัฒนานั้นต่างกัน กล่าวคือ ตอน B เป็นช่วงที่นำเสนอ
12 ทำนองใหม่ซึ่งเป็นความคิดใหม่ ในขณะที่ช่วงพัฒนาของรูปแบบโซนาตาเป็นการนำวัตถุดิบจากช่วง นำเสนอมาพัฒนาให้ซับซ้อนมากขึ้น การพัฒนาอาจเป็นการนำหน่วยทำนองย่อยเอกมาพัฒนาโดยใช้ เทคนิคต่าง ๆ เช่น ซีเควนซ์ การเลียน การซ้ำ การแปร ในกุญแจเสียงต่าง ๆ หรืออาจพัฒนาโดยการนำ บางส่วนของทำนองมาแปรให้น่าสนใจ การยืมกุญแจเสียงและการเปลี่ยนกุญแจเสียงเป็นเทคนิคที่นิยม มากในช่วงพัฒนานี้ ไม่ว่ากุญแจเสียงจะเปลี่ยนไปกี่ครั้ง แต่ในที่สุดมักจบช่วงพัฒนาด้วยกุญแจเสียงโด มิแนนท์ ซึ่งเป็นกุญแจเสียงที่เตรียมกลับสู่กุญแจเสียงโทนิกในช่วงต่อไปได้ง่ายที่สุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ เหมือนกันระหว่างตอน B ของรูปแบบสองตอนแบบย้อนกลับกับช่วงพัฒนาในรูปแบบโซนาตา ก็คือ เป็น ช่วงที่มีความหนาแน่นของเนื้อหาเช่นกัน และน่าจะเป็นช่วงที่มีความยาวที่สุดของเพลง ลักษณะอีกประการหนึ่งของการบรรเลงเพลงประเภทนี้ที่ต่างไปจากเพลงแชมเบอร์มิวสิกคือ ผู้ บรรเลงจะไม่ดูโน้ตเพลง ต้องบรรเลงจากความจำ จึงมีคำว่า “รีไซทอล” (Recital) เกิดขึ้น สิ่งนี้เป็นอีก สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้บรรเลงแสดงออกได้อย่างเต็มที่ และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม ผู้บรรเลงในลักษณะนี้มัก เรียกว่า “เวอร์ทูโอโซ” อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า โซนาตาสำหรับวงออร์เคสตรา คือ ซิมโฟนี และซิมโฟนีสำหรับเครื่อง ดนตรีเดี่ยว คือ โซนาตา ดนตรีประเภทบรรเลง (Instrumental Music) 2. ซิมโฟนี (Symphony) Arthur Jacobs ได้ให้คำนิยามของคำว่า ซิมโฟนี (Symphony) ในหนังสือ A New Dictionary of Music ไว้ว่า “a sounding - together” ซึ่งแปลตามศัพท์ได้ว่า “เสียงที่รวมกัน” เป็นคำที่มาจาก คำว่า “Sinfonia” ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ซิมโฟนีเป็นบทเพลงที่เป็นรูปแบบและนิยมประพันธ์ใน สมัยคลาสสิก (1750-1820) ในระยะแรก ๆ นั้น ซิมโฟนียังมีรูปแบบที่ไม่แน่นอนนัก แต่ก็มีความแตกต่าง จากเพลง ในสมัยบาโรค (Baroque) ต่อมาได้มีการปรับปรุงจนมาถึงสมัย คลาสสิกทุกอย่างเริ่มมีแบบ แผนมากขึ้น มีมาตรฐานที่เห็น ชัดเจนขึ้น และใช้กันต่อมาจนถึงสมัยโรแมนติกและปัจจุบัน บทเพลงซิมโฟนีที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยคลาสสิกถือว่าเป็นต้นแบบของบทเพลงประเภทนี้และบท เพลงจำนวนมาก ประพันธ์โดย ไฮเดิล (ค.ศ.1732-1809) คีตกวีชาวออสเตรียนเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อง ว่าเป็น “บิดาแห่งซิมโฟนี” ไฮเดิลได้ประพันธ์บทเพลงซิมโฟนีไว้รวมทั้งสิ้น 104 บท (ณรุทธ์ สุทธ จิตต์,2535 :115) รูปแบบของซิมโฟนีบทเพลงประเภทซิมโฟนีเป็นเพลงขนาดใหญ่ซึ่งผู้ประพันธ์เพลงประพันธ์ขึ้น อย่างมีกฏเกณฑ์และแบบแผนเพื่อใช้บรรเลงสำหรับวงออร์เคสตรา โดยทั่วไปบทเพลงซิมโฟนี ประกอบด้วย 3-4 ท่อน (Movement) โดยมีการจัดรูปแบบของความเร็วจังหวะแต่ละท่อนมีความเร็ว ดังนี้
13 ท่อนที่ 1 (First Movement) เป็นบทนำของเพลงมักมีความยาวมากที่สุด ใช้รูปแบบโซนา ตาอัลเลโกร (Sonata Allegro) มีลักษณะของความลึกซึ้งสลับซับซ้อน ความเร็วจังหวะใช้ใน ลักษณะ ของ อัลเลโกร (Allegro) ท่อนที่ 2 (Second Movement) โดยทั่วไปจะเป็นท่วงทำนองที่ช้าเป็นการพัฒนาทำนองหลัก ของบทเพลง (Theme) อาจใช้รูปแบบของแทร์นารี (ABA) มีลักษณะช้าใช้ในลักษณะของ อันตาลเต (Andante), อะดาจิโอ (Adagio), หรือลาร์โก (Largo) ท่อนที่ 3 (Third Movement) เป็นลีลาที่ไพเราะผ่อนคลายหรรษาไปตามบทเพลงที่เรียกว่า มีนูเอ็ท (Minuet) ลักษณะของโครงสร้างมักจะเป็นจังหวะเต้นรำมีการซ้ำทวนของทำนองต่าง ๆ มาก ที่สุด ลักษณะของความเร็วแบบสนุกสนาน เร็ว อาจจะเป็น อัลเลโกร (Allegro),อัลเลเกร็ตโต (Allegretto), วิวาเช (Vivace) ท่อนที่ 4 (Fourth Movement) มักจะมีท่วงทำนองที่เร็วและมีสาระของเพลงน้อยกว่าท่อนอื่น บางครั้งก็เป็นลีลาที่แปรผันมาจากทำนองหลัก (Theme) ความเร็วของจังหวะมีลักษณะเร็ว เร้าใจ แบบอัลเลโกร (Allegro) หรืออัลเลเกร็ตโต(Allegretto), และ วิวาเช (Vivace) 3. คอนแชร์โต (Concerto) ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2535 :80 - 81) ได้กล่าวถึงความหมายของคอนแชร์โตไว้ว่า.. เป็นคำภาษา ฝรั่งเศส มีความหมายว่าการนำมารวมกัน (To join together) คำว่า คอนแชร์โนนี้ใช้ในความหมายที่ เกี่ยวพันกับคำในภาษาอิตาเลียน คือ Concertare ซึ่งหมายถึง การรวมกัน กล่าวคือ ผู้แสดงร้องหรือ บรรเลงดนตรีร่วมกัน เช่น ผู้ร้องเดี่ยวร้องร่วมกับวงประสานเสียง วงประสานเสียงสองวงร้องร่วมกัน ผู้ ร้องร่วมแสดงกับวงดนตรี ความหมายเช่นนี้เริ่มใช้ในศตวรรษที่ 16 ถึงต้น ศตวรรษที่ 18 ในช่วงศตวรรษ ที่ 17 ความหมายของคอนแชร์โต มีเพิ่มขึ้นมาโดยดึงรากศัพท์มาจากภาษาละติน หมายถึง การประชัน หรือสู้กัน (Fighting of Contending) ซึ่งมีความหมายถึงการประชันกันระหว่างเครื่องดนตรีเดี่ยวกับวง ออร์เคสตรา อันเป็นความหมายที่ใช้ในปัจจุบันจึงเห็นได้ว่า คอนแชร์โตมีความหมายหลายนัย การจะ ทราบว่า คอนแชร์โต หมายถึงสิ่งใดแน่จึงต้องดูถึงสภาพการณ์หรือสถานการณ์ในการใช้คำนี้ คอนแชร์โต เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน หมายถึง การประชันหรือสู้กัน (Fighting of Contending) มีความหมายถึงการประชันกันระหว่างเครื่องดนตรีเดี่ยวกับวงออร์เคสตรา คอนแชร์โต เป็นประเภทของบทเพลงที่ประกอบด้วย 3 ท่อน (Movement) คือ
14 ท่อนที่ 1 (First Movement) เป็นบทนำของเพลง ความเร็วจังหวะใช้ในลักษณะเร็วแบบ อัลเล โกร (Allegro) ท่อนที่ 2 (Second Movement) โดยทั่วไปจะเป็นท่วงทำนองที่ช้าเป็นการพัฒนาทำนอง หลัก ของบทเพลง(Theme)มีลักษณะช้าใช้ในลักษณะของอันตาลเต (Andante), อะดาจิโอ (Adagio), หรือ ลาร์โก (Largo) ท่อนที่ 3 (Third Movement) ลักษณะของโครงสร้างมักจะเป็นลักษณะของความเร็ว แบบ สนุกสนาน เร็ว อาจจะเป็น อัลเลโกร (Allegro),อัลเลเกร็ตโต(Allegretto), วิวาเช (Vivace) เครื่องดนตรีที่นิยมนำมาประพันธ์เพื่อบรรเลงเดี่ยวประเภทคอนแชร์โตมักได้แก่ เปียโน, ไวโอลิน , เชลโล, ฟลูท, หรือแม้กระทั่งระนาดเอก ก็ยังเคยนำมาทำเป็นบทเพลงประเภทคอนแชร์โต ในการเขียน ชื่อเพลงประเภทคอนแชร์โตนี้มักจะมีชื่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ ปรากฏอยู่หน้าคำ “Concerto” เช่น - เปียโนคอนแชร์โต ในบันไดเสียง ซี เมเจอร์ ผลงานลำดับที่ 467 โดย โมทซาร์ท (Piano Concerto in C Major, K.467 by Mozart) - ไวโอลินคอนแชร์โน ในบันไดเสียง ดี เมเจอร์ ผลงานลำดับที่ 61 โดย เบโธเฟน (Violin Concerto in D Major, Op 61 by Beethoven) 4. โอเปรา (Opera) โอเปรา คือ ละครที่มีเพลงและดนตรีเป็นหลักสำคัญในการดำเนินเรื่องราว โอเปราจึงเป็น ผลรวมของศิลปะนานาชนิดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่วรรณกรรม คือ บทร้อง เครื่องละคร การแสดง การเต้นรำ การร้องและการเล่นดนตรี ตลอดระยะเวลาร่วม 400 ปีที่เกิดมีโอเปราขึ้นมานั้น รูปแบบของโอเปรามี การเปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่เสมอโอเปราจึงมีหลายประเภท การที่จะซาบซึ้งในโอเปรานั้นอาจเกิดจากการฟังได้ อย่างไรก็ตามการเข้าใจและซาบซึ้งในโอ เปราอย่างแท้จริงน่าจะเป็นผลของการมีประสบการณ์ที่ได้ชมการแสดงโอเปราจริง ๆ ซึ่งทำให้ได้เห็นสิ่ง ต่าง ๆ ที่ดำเนินไปตั้งแต่การร้อง เสียงดนตรีประกอบการแสดง และฉาก สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ผู้ชม สามารถเข้าใจลักษณะของโอเปราและนำไปสู่ความซาบซึ้งได้ (ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535: 89) องค์ประกอบของโอเปรา องค์ประกอบสำคัญของโอเปราประกอบด้วย เนื้อเรื่อง ดนตรี และผู้ แสดงเนื้อเรื่องที่นำมาเป็นบทขับร้อง เป็นบทร้อยกรองที่มาจากตำนาน เทพนิยายนิทานโบราณ และ วรรณกรรมต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาทำเป็นบทร้อง และที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับแสดงอุปรากรโดยเฉพาะ โดยมี คีตกวีเป็นผู้แต่งทำนองดนตรี คีตกวีบางคนก็มีความสามารถแต่งเรื่องทำเนื้อเรื่องให้เป็นบทร้อยกรอง หรือบทละครสำหรับขับร้อง และแต่งดนตรีประกอบทั้งเรื่องด้วยดนตรี
15 ดนตรีในโอเปรานั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้โอเปรามีชีวิตจิตใจ มักเริ่มด้วยดนตรีบรรเลงโหมโรง (Overture) บรรเลงประกอบบทร้อยกรองซึ่งเป็นบทขับร้อง ทั้งดำเนินเรื่องและเจรจากันตลอดทั้งเรื่อง ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญจนโอเปราได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานของผู้ประพันธ์ดนตรีหรือ คีตกวี (Composer) มากกว่าที่จะคิดถึงผู้ประพันธ์เนื้อเรื่อง หรือ บทขับร้อง เช่น โอเปราเรื่อง Madame Butterfly Giacomo ของ Puccini (1878-1924)ปุกซินี เป็นคีตกวีที่แต่งดนตรีประกอบผู้แต่งละครเรื่อง มาดามบัตเตอร์ฟลาย คือ David Belasco (David Belasco ได้เค้าเรื่องนี้จากเรื่องสั้นของ John Luther Long) ผู้ร้อยกรองเนื้อเรื่องให้เป็นบทขับร้อง คือ Luigi lllica และ Giuseppe Giacosa แต่เมื่อ พูดถึงโอเปราเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลายแล้ว ก็จะยกย่องให้เป็นผลงาน ของคีตกวีปุกซินี มักไม่มีใครนึกถึงนักประพันธ์ หรือ กวีผู้ร้อยกรองเรื่องให้เป็นบทขับร้อง หรือโอเปรา เรื่อง Carmen ของ Georges Bizet ที่มี Prosper Merimee เป็นผู้ประพันธ์เรื่อง และมี Henri Meilhac และ Ludovic Halevy เป็นผู้ร้อยกรองบทขับร้อง แต่คนก็จะพูดกันถึงแต่เพียงว่าโอเปรา เรื่อง คาร์เมนของบิเซต์ ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบเป็นวงออร์เคสตรา (Orchertral) ผู้แสดงผู้แสดงโอเปรานอกจากต้องเป็นนักร้องที่เสียงไพเราะ ดังแจ่มใสกังวานมีพลังเสียงดีแข็ง แรงร้องได้นาน ต้องฝึกฝนเป็นนักร้องอุปรากรโดยเฉพาะ แล้วยังเป็นผู้มีบทบาทยอดเยี่ยมด้วย เน้นใน เรื่องน้ำเสียง ความสามรถในการขับร้อง และบทบาทมากกว่าความสวยงามและรูปร่างของผู้แสดง มักให้ นักร้องเสียงสูงทั้งหญิงและชายแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง โดยทั่วไป น้ำเสียงที่ใช้ในการขับร้อง แบ่งเป็น 6 ระดับเสียง คือ เป็นน้ำเสียงนักร้องชาย 3 ระดับ และน้ำเสียงนักร้องหญิง 3 ระดับ ดังนี้ 1. โซปราโน (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง 2. เมซโซ – โซปราโน (Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง 3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง 4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย 5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย 6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย ลักษณะของโอเปรา การศึกษาโอเปราให้เข้าใจถ่องแท้ ควรจะต้องศึกษาเนื้อเรื่องแต่ละเรื่อง ของโอเปรา รวมทั้งฉากต่าง ๆ ผู้แสดง ดนตรี และเพลงด้วย ซึ่งไม่สามารถนำมากล่าวได้ ณ ที่นี้ สิ่งที่จะ กล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นเพียงองค์ประกอบทั่ว ๆ ไป และประเภทของโอเปราเท่านั้นได้แบ่งลักษณะของโอเปรา ดังนี้ 1. ลิเบรตโต (Libretto) คือเนื้อเรื่อง หรือบทละครของโอเปรา บางครั้งบทโอเปราอาจจะเป็น บทหนึ่งที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายหรือบทละครอื่น ๆ บางครั้งบทโอเปราก็เป็นบทที่ผู้ประพันธ์แต่งเนื้อ เรื่องขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้ประพันธ์เพลงใช้เป็นบทแต่งโอเปรา เช่น ดา ปองเต (Da Ponte) เขียนบท โอเปราบางเรื่องให้กับโมทซาร์ท เช่น เรื่อง Don Giovanni บัวตา (Boita) เขียนบทโอเปราบางเรื่อง
16 ให้กับแวร์ดี เช่น เรื่อง Otella บางครั้งบทโอเปราเป็นบทประพันธ์ของผู้ประพันธ์เพลงเองโดยแท้ เช่น วากเนอร์ ประพันธ์ Lohengrin และ The Flying Dutchman และเมโนตี (Menotti) ประพันธ์ The Telephone เป็นต้น 2. โอเวอร์เชอร์ (Overture) คือ บทประพันธ์ที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีล้วน ๆ ใช้เป็นเพลงนำ ก่อนการแสดงโอเปรา อาจเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า “เพลงโหมโรง” บางครั้งอาจใช้คำว่าเพรลูด (Prelude) แทนโอเวอร์เชอร์ เพลงโอเวอร์เชอร์อาจจะเป็นเพลงที่แสดงถึงบรรยากาศของโอเปราที่จะ แสดง กล่าวคือ ถ้าโอเปราเป็นเรื่องเศร้าโอเวอร์เชอร์จะมีทำนองเศร้า ๆ อยู่ในที เป็นต้นบางครั้งโอเวอร์ เชอร์อาจเป็นเพลงที่รวมทำนองหลักของโอเปราฉากต่าง ๆ ไว้ก็ได้ โอเวอร์เชอร์มักเป็นเพลงสั้น ๆ ประมาณ 4-8 นาที ปกติจะใช้วงออร์เคสตราทั้งวงบรรเลง ถ้าโอเปราเรื่องนั้นใช้วงออร์เคสตราประกอบ ลักษณะของเพลงโอเวอร์เชอร์ มักรวมเอาองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น ด้านความดัง – ค่อย , สีสัน ลีลาต่าง ๆ จึงทำให้โอเวอร์เชอร์เป็นบทเพลงที่ชวนฟังโอเวอร์เชอร์ของโอ เปราบางเรื่องมีความไพเราะเป็นที่นิยมฟังและบรรเลงเป็นเพลงบทเพลงแรกของการแสดงคอนเสิร์ต โดยทั่วไป เช่น - “Overture of The Marriage of Figaro” ของโมทซาร์ท - “Overture of the Barder of Saville” ของ รอสซินี - “Overture of Fidelio” ของเบโธเฟน - “Overture of Carmen” ของบิเซต์ เป็นต้น 3. รีซิเททีฟ (Recitative) คือบทสนทนาในโอเปราที่ใช้การร้องแทนการใช้คำพูด อย่างไร ก็ตาม มักจะไม่เป็นทำนองเพลงมากนัก มักจะเน้นที่คำพูดมากกว่า แต่ก็มีดนตรีและการร้องช่วยทำให้บท สนทนาน่าสนใจ เป็นลักษณะการร้องหรือดนตรีอีกประเภทหนึ่ง 4. อาเรีย (Aria) คือ บทร้องเดี่ยวในโอเปรา มีลักษณะตรงกันข้ามกับรีซิเททีฟ เนื่องจากเน้นการ ร้องและดนตรีเป็นหลัก มากกว่าจะเน้นการสนทนา อาเรียเป็นบทร้องที่ตัวละครตัวเดียวร้องซึ่งจัดเป็น บทร้องที่ 5.บทร้องประเภทสอง สาม สี่ และมากกว่านี้ของตัวละคร (Duo, Trio, and Other Small Ensembles) บทร้องที่มีคนร้องสองคนแทนที่จะเป็นคนเดียวในลักษณะของอาเรียเรียกว่า ดูโอ (Duo) ถ้าเป็น 3 คนร้องเรียกว่า ทรีโอ (Trio) สี่และห้าคนร้องเรียกว่า ควอเต็ต (Quartet) และ ควินเต็ต (Quintet) และอาจมีมากกว่าห้าคนก็ได้ เช่น บทร้อง 6 คน (Sextet) “Lucia” จากเรื่อง Rigoletto เป็นบทร้องที่มีชื่อเสียงของโอเปรามาก 6. บทร้องประสานเสียง (Chorus) ในโอเปราบางเรื่องที่มีฉากประกอบด้วยผู้เล่นเป็นจำนวน มาก มักจะมีการร้องประสานเสียงเสมอ บทร้องประสานเสียงจากโอเปราที่มีชื่อเสียง เช่น “The Anvil
17 Chorus” จ า ก II Irovatore, “The Pilgrim’s Chorus” จ า ก “Tannhauser, The Triumphal Chorus” จาก Aida 7. ออร์เคสตรา (Orchestra) วงออร์เคสตรานอกจากจะเล่นโอเวอร์แล้ว ยังใช้ประกอบการร้อง ในลักษณะต่าง ๆ ในโอเปราตลอดเรื่องในบางครั้งออร์เคสตราจะบรรเลงโดยไม่มีผู้ร้องเพื่อต่อเนื่องการ ร้องหรือรีซิเททีฟแต่ละตอนหรือสร้างอารมณ์ในเนื้อเรื่องให้เข้มข้นขึ้นบางครั้ง วงออร์เคสตราจะมี บทบาทในโอเปรามากทีเดียว เช่น โอเปรา ที่แต่งโดยวากเนอร์ มักจะเน้นการบรรเลงของวงออร์เคสตรา เสมอ 8. ระบำ (Dance) ในโอเปราแทบทุกเรื่องมักจะมีบางตอนของฉากใด ฉากหนึ่งที่มีระบำ ประกอบ ในบางครั้งอาจจะเป็นระบำบัลเลท์ ซึ่งมักจะเป็นของคู่กันโอเปราแบบฝรั่งเศส (French Opera) บางครั้งอาจจะเป็นระบำในลักษณะอื่น ๆ เช่น ระบำพื้นเมือง การเต้นรำแบบต่าง ๆ เช่น วอล์ท 9. องก์ และฉาก (Acts and Scenes) โอเปราก็เช่นเดียวกับละครทั่ว ๆ ไป มีการแบ่งเป็นตอน ๆ เรียกว่า องก์ และแบ่งย่อยลงไปเป็นฉาก เช่น Carmen เป็นโอเปรา ประกอบด้วย 4 องก์เป็นต้น 10. ไลม์โมทีฟ (Leitmotif) ในโอเปราบางเรื่อง ผู้ประพันธ์จะมีแนวทำนองต่าง ๆ แทนตัวละคร แต่ละตัว หรือแทนเหตุการณ์ สภาพการณ์ และแนวทำนองเหล่านี้จะปรากฏอยู่ตลอดเวลาในโอเปราเพื่อ แทนตัวละครหรือเหตุการณ์นั้น ๆ วากเนอร์เป็นผู้หนึ่งที่ชอบใช้ไลท์โมทีฟ เช่น Ring motive ของ Ring Cycle และ Love motive ใน Tristan and Isolde ประเภทของโอเปรา 1. โอเปรา (Opera) โดยปกติคำว่า “โอเปรา” มักจะใช้จนเป็นที่เข้าใจว่า หมายถึง โอเปราซีเรีย (Opera seria) หรือ Serious opera หรือ Grand opera ซึ่งเป็นโอเปราที่ผู้ชมต้องตั้งใจดูอย่างมาก เพราะการดำเนินเรื่องใช้บทร้องลักษณะต่าง ๆ และรีซิเททีฟไม่มีการพูดสนทนาซึ่งจัดว่าเป็นศิลปะดนตรี ชั้นสูง เช่นเดียวกับการเข้าถึงศิลปะแขนงอื่น ๆ การชมโอเปราประเภทนี้จึงต้องมีพื้นความรู้และมีความ เข้าใจในองค์ประกอบของโอเปรา โดยเฉพาะด้านดนตรีเพื่อความซาบซึ้งอย่างแท้จริงเรื่องราวของโอ เปราประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องของความเก่งกาจของพระเอกหรือตัวนำหรือเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม (Heroic or tragic drama) 2. โคมิค โอเปรา (Comic Opera) คือ โอเปราที่มักจะมีเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน ตลกขบขัน ล้อเลียนคน หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ มักมีบทสนทนาที่ใช้พูดแทรกระหว่างบทเพลงร้อง โอเปรา ประเภทนี้ จะดูง่ายกว่าประเภทแรก เนื่องจากเนื้อเรื่องสนุกสนาน มีบทสนทนาแทรก ดนตรีและเพลงที่ฟังไพเราะ ไม่ยากเกินไป โคมิคโอเปรามีหลายประเภท เช่น Opera – comique (ฝรั่งเศส) Opera buffa (อิตา เลียน) Ballad opera (อังกฤษ) และ Singspiel (เยอรมัน) 3. โอเปเรตตา (Operetta) โอเปอเรตตาจัดเป็นโอเปราขนาดเบามีแนวสนุกสนานทันสมัย อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักกระจุ่มกระจุ๋ม คล้าย ๆ กับ โคมิคโอเปรา โดยปกติโ อเปเรตตา ใช้การ พูดแทนการร้องในบทสนทนา
18 4. คอนทินิวอัส โอเปรา (Continuous opera) เป็นโอเปราที่ผู้ประพันธ์ใช้ดนตรีเชื่อมโยง เรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ มิใช่เป็นการร้องหรือสนทนาที่เป็นช่วง ๆ ลักษณะของคอนทินิวอัส โอ เปรานี้วากเนอร์เป็นผู้นำและใช้เสมอในโอเปราที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ 5. โอเวอร์เจอร์ (Overture) คือเพลงโหมโรง ที่แต่งขึ้นเพื่อใช้สำหรับบรรเลงนำก่อนการแสดง อุปรากร ซึ่งมักจะมีลักษณะลีลาทีเริ่มต้นด้วยช้าแบบเคร่งขรึมหรือสง่า และตามด้วยลีลาที่เร็วโดยการ บรรเลงซ้ำ จากแนวทำนองหลักในลีลาแรก แต่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีต่างชนิดกันและจบด้วยลีลาที่เร็ว ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คีตกวีได้ประพันธ์โอเวอร์เจอร์ขึ้นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมิได้ใช้เป็นบทบรรเลง สำหรับโหมโรงอุปรากร แต่ใช้สำหรับบรรเลงในการแสดงคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ เป็นการโหมโรงของการ แสดงคอนเสิร์ต โอเวอร์เจอร์ (Concert Overture) โอเวอร์เจอร์จะมีเพียงกระบวนเดียวและมีความยาว ประมาณ 6-7 นาที
19 ตอนที่ 1 เครื่องหมายและสัญลักษณ์ดนตรีสากล 1. บรรทัด 5 เส้น (Staff) คือ เส้นตรงแนวนอนขนานกัน มีระยะห่างระหว่างเส้นเท่ากัน ประกอบด้วยเส้นบรรทัดจำนวน 5 เส้นและช่องบรรทัด 4 ช่อง โดยกำหนดให้เส้นบรรทัดล่างสุดเป็นเส้น ที่ 1 แล้วไล่ตามลำดับจากล่างขึ้นบน สัญลักษณ์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่ใช้สื่อภาษาดนตรีจะบันทึกไว้ บนบรรทัดห้าเส้นหรือบริเวณใกล้เคียง ตัวอย่าง บรรทัดห้าเส้น 2. ตัวโน้ต (Note) เป็นสัญลักษณ์ทางดนตรีที่บันทึกไว้บนบรรทัดห้าเส้น เพื่อแสดงระดับ เสียงสูงต่ำ ตำแหน่งของตัวโน้ตมี 2 ลักษณะคือ ตัวโน้ตที่อยู่ในช่องบรรทัดหรืออยู่คาบบนเส้นบรรทัด หรือล่างเส้นบรรทัดที่มีชื่อเรียกว่า เส้นน้อย ลักษณะของตัวโน้ตมีลักษณะ ดังนี้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 โน้ตสากลกับการปฏิบัติ
20 ลักษณะของ ตัวโน้ต ชื่อภาษาไทย ชื่อระบบอเมริกัน ค่าความยาวของตัวโน้ต ตัวกลม Whole note มีค่ามากที่สุด ตัวขาว Half note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวกลม ตัวดำ Quarter note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวขาว ตัวเขบ็ต 1 ชั้น Eight note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวดำ ตัวเขบ็ต 2 ชั้น Sixteenth note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวเขบ็ต 1 ชั้น ตัวเขบ็ต 3 ชั้น Thirty second note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวเขบ็ต 2 ชั้น ตารางที่ 1.2 ชื่อเรียกตัวโน้ตและค่าความยาว
21 3. ตัวหยุด (Rest) หมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ชนิดหนึ่งที่ใช้บันทึกแทน เสียงดนตรี หรือเสียงขับร้อง เพื่อให้เสียงดนตรีหรือเสียงขับร้องเงียบเสียงลงชั่วขณะหนึ่งตามอัตราของ ตัวหยุด ที่มีค่าเทียบเท่ากับตัวโน้ต มีชื่อเรียกตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ลักษณะของ ตัวโน้ต ชื่อภาษาไทย ชื่อระบบอเมริกัน ค่าความยาวของตัวโน้ต ตัวหยุดตัวกลม Whole Rest มีค่าหยุดเสียงมากที่สุด ตัวหยุดตัวขาว Half Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวกลม ตัวหยุดตัวดำ Quarter Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวขาว ตัวหยุดตัวเขบ็ต 1 ชั้น Eight Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวดำ ตัวหยุดตัวเขบ็ต 2 ชั้น Sixteenth Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัว เขบ็ต 1 ชั้น ตัวหยุดตัวเขบ็ต 3 ชั้น Thirty second Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัว เขบ็ต 2 ชั้น ตารางที่ 1.3 ชื่อเรียกตัวหยุดและค่าในการหยุดเสียง
22 4.กุญแจเสียง (Clef) หมายถึง เครื่องหมายที่ใช้กำหนดชื่อตัวโน้ต ตำแหน่ง และระดับเสียง บันทึกอยู่ตอนต้นของบทเพลง กุญแจประจำเสียงที่ควรรู้จัก มีดังนี้ 1. กุญแจซอล (G clef) จะต้องมีตำแหน่งอยู่บนเส้นบรรทัดที่ 2 เสมอ ซึ่งจะทำให้โน้ตที่ คาบอยู่บนเส้นบรรทัดที่ 2 เป็นโน้ตตัวซอล (G) 2. กุญแจฟา (F clef) จะต้องมีตำแหน่งอยู่บนเส้นบรรทัดที่ 4 เสมอ ซึ่งจะทำให้โน้ตที่ คาบอยู่บนเส้นบรรทัดที่ 4 เป็นโน้ตตัวฟา (F) 3. กุญแจโด (C clef) เป็นกุญแจประเภทเคลื่อนที่ได้ กุญแจโดจะมีตำแหน่งคาบอยู่บน เส้นบรรทัดใดก็ได้ ซึ่งจะทำให้โน้ตที่คาบอยู่บนเส้นบรรทัดนั้นเป็นโน้ตโด-กลาง (Middle C) 5.การอ่านโน้ต 1. การอ่านโน้ตบนกุญแจซอล (G clef) 2. การอ่านโน้ตบนกุญแจฟา (F clef)
23 6.เครื่องหมายแปลงเสียง (Accidental) หมายถึง เครื่องหมายที่บันทึกอยู่ด้านหน้าของตัว โน้ต ที่ทำให้ตัวโน้ตตัวนั้น ๆ มีระดับเสียงเปลี่ยนแปลงไปจากปกติตามลักษณะของเครื่องหมายนั้น ๆ ซึ่งมีอยู่ 5 ชนิดดังนี้ 1. เครื่องหมายแปลงเสียงชาร์ป (Sharp) หรือ # เมื่อบันทึกเครื่องหมายแปลงเสียงชาร์ปอ ยู่ด้านหน้าของตัวโน้ต จะทำให้โน้ตตัวนั้นมีระดับเสียงสูงขึ้นครึ่งเสียง (Semitone) เช่น เมื่อบันทึกอยู่ ด้านหน้าของโน้ตตัว F จะทำให้เสียงของโน้ตตัว F สูงขึ้นครึ่งเสียง จะกลายเป็น F# (เอฟชาร์ป) ดัง ตัวอย่างต่อไปนี้ เรียกว่า “ F# ” (เอฟชาร์ป) 2. เครื่องหมายแปลงเสียงเเฟลต (Flat) หรือ เมื่อบันทึกเครื่องหมายแปลงเสียงแฟลต อยู่ด้านหน้าของตัวโน้ต จะทำให้โน้ตตัวนั้นมีระดับเสียงต่ำลงครึ่งเสียง (Semitone) เช่น เมื่อบันทึกอยู่ ด้านหน้าของโน้ตตัว G จะทำให้เสียงของโน้ตตัว G ต่ำลงครึ่งเสียง จะกลายเป็น Gb (จีแฟลต) ดัง ตัวอย่างต่อไปนี้ เรียกว่า “ Gb ” (จีแฟลต) 3. เครื่องหมายแปลงเสียงเนเจอรัล (Naturat) หรือ เมื่อบันทึกเครื่องหมายแปลง เสียงเนเจอรัลอยู่ด้านหน้าของตัวโน้ต จะทำให้ตัวโน้ตตัวนั้นมีระดับคงเดิมหรือกลับคงสภาพเดิม เช่น เมื่อบันทึกอยู่ด้านหน้าของโน้ตตัว A จะทำให้เสียงของโน้ตตัว A กลับสู่สภาพเดิมจากที่ถูกเครื่องหมาย แปลงเสียงอื่น ๆ บังคับไว้ เรียกว่า “ A ” (เอเนเจอรัล) ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เรียกว่า “ A ” (เอเนเจอรัล)
24 4. เครื่องหมายแปลงเสียงชาร์ปคู่ (Double Sharp) หรือ เมื่อบันทึกเครื่องหมาย แปลงเสียงชาร์ปคู่ อยู่ด้านหน้าของตัวโน้ต จะทำให้โน้ตตัวนั้นมีระดับเสียงสูงขึ้นสองครึ่งเสียง (2 Semitone) เช่น เมื่อบันทึกอยู่ด้านหน้าของโน้ตตัว E จะทำให้เสียงของโน้ตตัว E สูงขึ้นสองครึ่งเสียง เรียกว่า “ E ” (อีดับเบิ้ลชาร์ป) ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เรียกว่า “ E ” (อีดับเบิ้ลชาร์ป) 5. เครื่องหมายแปลงเสียงดับเบิ้ลแฟลต (Flat) หรือ เมื่อบันทึกเครื่องหมายแปลง เสียงแฟลต อยู่ด้านหน้าของตัวโน้ต จะทำให้โน้ตตัวนั้นมีระดับเสียงต่ำลงสองครึ่งเสียง (2 Semitone) เช่น เมื่อบันทึกอยู่ด้านหน้าของโน้ตตัว B จะทำให้เสียงของโน้ตตัว B ต่ำลงสองครึ่งเสียง เรียกว่า บีดับเบิ้ลแฟลต ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เรียกว่า “ B ” (บีดับเบิ้ลแฟลต) ตัวอย่าง เครื่องหมายแปลงเสียงกับตัวโน้ต
25 ตอนที่ 2 เทคนิคการปฏิบัติตามโน้ตดนตรีสากล ตัวโน้ตดนตรี ภาพที่ 1.1 ชื่อลักษณะตัวโน้ต 1. โน้ตตัวกลม (Whole Note) คือ การบรรเลงหนึ่งครั้งแล้วนับค่าความยาวของเสียง ไป 4 จังหวะ ภาพที่ 1.2 โน้ตตัวกลม (Whole Note) 2. โน้ตตัวขาว (Half Note) คือ กรรบรรเลงจังหวะที่หนึ่ง ด้วยค่าความยาวของตัว โน้ต 2 จังหวะ แล้วจึงเริ่มปฏิบัติต่อที่โน้ตตัวขาวตัวที่ 2 ด้วยค่าความยาว 2 จังหวะ และจะสิ้นสุดลงใน จังหวะที่สี่ยก ภาพที่ 1.3 โน้ตตัวขาว (Half Note)
26 3. โน้ตตัวดำ (Quarter Note) คือ การบรรเลงในค่าโน้ตที่มีค่าความยาว 1 จังหวะ ปฏิบัติตัวละ 1 จังหวะ จะต้องปฏิบัติ 4 ครั้ง ถึงจะคบ 4 จังหวะ ภาพที่ 1.4 โน้ตตัวดำ (Quarter Note) 4. โน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้น (Eighth Note) คือ การบรรเลงในรูปแบบของการบรรเลงแบบ 1-&-2-&-3-&-4-& โดยที่จังหวะที่เป็น 1-2-3-4- จะบรรเลงด้วยจังหวะตก ในส่วนจังหวะที่เป็น & จะ บรรเลงด้วยจังหวะยก ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ภาพที่ 1.5 โน้ตเขบ็ตหนึ่งชั้น (Eighth Note) 5. โน้ตเขบ็ตสองชั้น (Sixteenth Note) คือการบรรเลงใน 1 จังหวะมีการปฏิบัติ 4 ครั้ง ซึ่งภายในเครื่องหมายกำหนดจังหวะที่ (Time Signature) 4/4 จะมีโน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้นแปดตัว จึง ทำให้มีตัวโน้ตเขบ็ตสองชั้นสิบหกตัว ค่าของโน้ตที่แบ่งละเอียดลงไปในจังหวะที่เป็น e-&-ahจึงทำให้เกิด รูปแบบที่มีลักษณะการบรรเลง ดังนี้ 1-e-&-ah-2-e-&-ah-3-e-&-ah-4-e-&-ahภาพที่ 2.15 โน้ตเขบ็ตสองชั้น (Sixteenth Note)
27 ฝึกปฏิบัติพื้นฐาน 1 - ให้นักเรียนปฏิบัติพร้อมกัน โดยเน้นเทคนิคการอ่านค่าความยาวโน้ตในรูปภาพข้างบนนี้ ปฏิบัติโดยการปรบมือ ตามโน้ตที่ครูกำหนดให้ ฝึกปฏิบัติพื้นฐาน 2
28 การอ่านโน้ตบนกุญแจซอล (G clef) (1) (2) มาทดลองอ่านโน้ตไปด้วยกัน
29 ตอนที่ 3 บันไดเสียง บันไดเสียง (Scale) มีความสำคัญยิ่งในการนำไปใช้ในทักษะทางดนตรี และทฤษฎีดนตรี ที่จะ สามารถวิเคราะห์บทเพลงต่าง ๆ ที่จะทำการบรรเลงได้อย่างถูกต้อง และเป็นเสมือนกุญแจที่สำคัญ สำหรับนักดนตรี เมื่อมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของบันไดเสียงได้อย่างแม่นยำแล้ว จะสามารถต่อ ยอดในการศึกษาเนื้อหาสาระทางทฤษฎีในระดับที่สูงขึ้นต่อไปได้ ดังนั้น การเรียนรู้เรื่องบันไดเสียง จึง เป็นความรู้ที่นักดนตรีไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การจดจำบันไดเสียงอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ถ้าไม่มี ความเข้าใจและสามารถวิเคราะห์ได้อย่างแท้จริง ความหมายของบันไดเสียง (Scales) จากหนังสือ Harvard Dictionnary (1950) หน้า 662 คำว่า Scale เป็นศัพท์ดนตรี (Term) ซึ่งโดยทั่วไปแปลว่าถูกต้องว่า “บันได” หมายถึง เสียงดนตรีที่เรียบเรียงจากระดับเสียงต่ำไปหา ระดับเสียงสูง ซึ่งเรียกว่าบันไดเสียงขาขึ้น (Ascending) หรือ เสียงดนตรีที่เรียบเรียงจากระดับเสียงสูง ลงมาหาระดับเสียงต่ำ ซึ่งเรียกว่าบันไดเสียงขาลง (Descending) สเกลมีหลายประเภท ตามความ แตกต่างของวัฒนธรรมและยุคสมัย สเกลหลักของยุโรป คือ Diatonic Scale ซึ่งประกอบด้วยโน้ต C D E F G A B และ C ดังรูปต่อไปนี้ บันไดเสียงไดอาทอนิก (Diatonic Scale) บันไดเสียงไดอาทอนิก หมายถึง โน้ตที่เรียงตามลำดับขั้น มีจำนวน 8 ตัว มี 7 เสียง เนื่องจาก ขั้นที่ 1 กับ ขั้นที่ 8 เป็นโน้ตที่มีชื่อเดียวกัน แต่ต่างกันกันตรงที่โน้ตขั้นที่ 8 มีระดับเสียงสูงกว่าขั้นที่ 1 เท่านั้น การเขียนบันไดเสียงสามารถเขียนได้ทั้งขาขึ้นและขาลง การเขียนบันไดเสียงขาขึ้นจะเริ่มจาก โน้ตที่มีระดับเสียงต่ำไล่เรียงตามลำดับขั้นไปหาโน้ตที่มีระดับเสียงสูง ส่วนการเขียนบันไดเสียงขาลงจะ เริ่มจากโน้ตที่มีระดับเสียงสูงไล่เรียงตามลำดับขั้นลงมาหาโน้ตที่มีระดับเสียงต่ำ ตัวอย่าง การเขียนบันไดเสียงขาขึ้น
30 ตัวอย่าง การเขียนบันไดเสียงขาลง มีชื่อเรียกตามลำดับตัวโน้ตไม่ซ้ำกัน ยกเว้นชื่อขั้นที่ 1 และขั้นที่ 8 จะมีชื่อซ้ำกันแต่จะมีระดับ เสียงที่ต่างกัน 1 คู่แปด (Octeve) ขั้นของบันไดเสียงไดอาทอนิกนับจากล่างขึ้นบนเสมอ โดยมีชื่อ ตามลำดับขั้นดังนี้ บันไดเสียงไดอาทอนิก (Diatonic Scale) • โน้ตตัวที่1 เรียกว่า โทนิก • โน้ตตัวที่2 เรียกว่า ซุปเปอร์โทนิก • โน้ตตัวที่3 เรียกว่า มีเดียนต์ • โน้ตตัวที่4 เรียกว่า ซับโดมิแนนต์ • โน้ตตัวที่5 เรียกว่า โดมิแนนต์ • โน้ตตัวที่6 เรียกว่า ซับมีเดียนต์ • โน้ตตัวที่7 เรียกว่า ลีดดิงโทน • โน้ตตัวที่8 เรียกว่า โทนิก
31 โครงสร้างบันไดเสียงเมเจอร์ (Major Scales) บันไดเสียงเมเจอร์ ทางชาร์ป ทางแฟลต
32 ก่อนการเรียนรู้เรื่องของบันไดเสียง ผู้ศึกษาควรต้องมีความเข้าใจถึงระยะห่างของโน้ตสากลใน แต่ละระดับเสียงในเบื้องต้นเสียก่อน เนื่องจากเนื้อหาทางทฤษฎีดนตรีล้วนมีลำดับและขั้นตอนและมี ความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง โดยระยะห่างของเสียงในตัวโน้ตแต่ละตัว ประกอบไปด้วยโน้ตต่าง ๆ ดังนี้ การสร้างบันไดเสียงเมเจอร์ (Major Scales)
33 ตัวอย่างที่ 1.1 บันไดเสียง C Major จากตัวอย่างที่ 1.1 บันไดเสียง C Major (C Major Scale) โดยปกติแล้ว ระดับเสียงของโน้ตแต่ละตัวเมื่อไม่มีเครื่องหมายแปลงเสียง (Accidental) กำกับ ไว้ ตามธรรมชาติของเสียงโดยโน้ตแต่ละตัวจะมีระยะห่างของเสียงระหว่างกันเป็น 1 เสียงเต็ม (Whole step) เช่น โน้ต C-D, D-E, F-G, G-A และ A-B และจะมีโน้ตจำนวน 2 คู่บนบันไดเสียง จะมีระยะห่าง ของเสียงระหว่างกันเพียงครึ่งเสียง (Half step) ได้แก่ โน้ต E^F และ B^C ดังนั้น ไม่ว่าโน้ตเหล่านี้ จะเริ่มต้นด้วยบันไดเสียงใด ธรรมชาติของโน้ตที่ห่างระหว่างกันแต่ละคู่ จะมีความห่างซึ่งกันและกันเหมือนกับบันไดเสียง C Major ทั้งหมด และจากตัวอย่างที่ 1.1 จะพบอีกว่า
34 เมื่อเทียบกับคีย์เปียโน เมื่อเริ่มต้นที่โน้ต C และบรรเลงในคีย์สีขาวทั้งหมดก็จะได้บันไดเสียง C Major ตามความห่างของโน้ตแต่ละตัว แต่ทั้งนี้ เมื่อต้องการบรรเลงในบันไดเสียงอื่น ๆ โดยไม่ได้เริ่มจากโน้ต C หรือบรรเลงบันไดเสียงที่ นอกเหนือไปจากบันไดเสียง C Major ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากโน้ตอื่น ๆ ไล่ระดับเสียงสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ตาม ธรรมชาติของโน้ตแต่ละตัว ก็จะยังคงมีระยะห่างของเสียงเช่นเดิม แต่เราจะต้องทำหน้าที่ปรับระดับเสียง ให้เป็นบันไดเสียงเมเจอร์ด้วยตนเองจากการใช้เครื่องหมายแปลงเสียง (Accidental) มาช่วยแปลงเสียง โน้ตแต่ละคู่ให้อยู่ในตำแหน่งเดิม กล่าวคือ การสร้างบันไดเสียงทางเมเจอร์ จะต้องทำให้โน้ตจำนวน 2 คู่ ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยโน้ตใดและโน้ตคู่ใดไปตกอยู่ในตำแหน่งที่ 3^4 และ 7^8 ก็จะต้องใช้เครื่องหมาย แปลงเสียงทำให้โน้ตคู่นั้น ๆ ที่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าวห่างกันครึ่งเสียง (Half step) ให้ได้ตามระยะห่าง ของบันไดเสียง C Major ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่างที่ 1.2 การสร้างบันไดเสียงเมเจอร์อื่น ๆ จากตัวอย่างที่ 1.2 การสร้างบันไดเสียงเมเจอร์อื่น ๆ ผู้ศึกษาสามารถนำบันไดเสียง C Major มาเปรียบเทียบระยะห่างของโน้ตแต่ละตัวได้ จากนั้น สร้างบันไดเสียงโดยเริ่มจากโน้ตอื่น ๆ ใน ตัวอย่างที่1.2 เป็นการสร้างบันไดเสียง D Major ซึ่งเริ่มต้นด้วยโน้ต D และไล่ระดับเสียงสูงขึ้นไป แต่ ทั้งนี้ ธรรมชาติของระยะห่างของโน้ตแต่ละตัวยังคงเดิมอยู่ ดังนั้นจึงต้องปรับระยะห่างของตำแหน่งโน้ต ในลำดับที่ 3^4 และ 7^8 ให้มีระยะห่างกันครึ่งเสียงตามแบบของบันไดเสียง C Major โดยใส่ เครื่องหมายแปลงเสียงโน้ต F ให้สูงขึ้นครึ่งเสียงเพื่อให้มีระยะห่างจากโน้ต E จำนวน 1 เสียงเต็ม (โดยธรรมชาติโน้ต E^F ห่างกันเพียงครึ่งเสียง โดยทำให้ห่างกัน1เสียงเต็มได้จากการใส่เครื่องหมาย Sharp # ที่โน้ต F เพื่อให้โน้ต F มีระดับเสียงสูงขึ้นไปเพื่อหนีห่างจากโน้ต E เป็น 1 เสียงเต็ม) และโน้ต
35 B^C เช่นเดียวกัน โดยใส่เครื่องหมายSharp # ที่โน้ต C เพื่อให้โน้ต C มีระดับเสียงสูงขึ้นไปอีกครึ่งเสียง เพื่อหนีห่างจากโน้ต B เป็น 1 เสียงเต็มเช่นเดียวกัน จากการสร้างบันไดเสียงต่าง ๆ แล้ว ในบันไดเสียงทางแฟล็ต (b) ก็จะทำเช่นเดียวกัน เพียงแต่ปรับ โน้ตให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือ เครื่องหมายแฟล็ต มีหน้าที่แปลงเสียงโน้ตให้มีเสียงต่ำลงครึ่งเสียง และ เครื่องหมายชาร์ป มีหน้าที่แปลงเสียงโน้ตให้มีเสียงสูงขึ้นครึ่งเสียง ตามที่ผู้ศึกษาพิจารณาการสร้างบันได เสียงที่แตกต่างกัน ดังนั้น ครูผู้สอนจึงขอให้ลองฝึกทำแบบฝึกหัดการสร้างบันไดเสียงเบื้องต้น ดังต่อไปนี้
36 คำชี้แจง ให้นักเรียนเติมชื่อโน้ตสากล ให้ถูกต้อง โดยใส่เป็นชื่อโน้ตในระบบอักษร ใบงาน เรื่อง โน้ตสากล
37 • คำชี้แจง ให้นักเรียนเติมโน้ตในช่องว่าง ให้ถูกต้องตามบันไดเสียงนั้น ๆ ใบงาที่2.1 การสร้างบันไดเสียงเบื้องต้น
38 การปฏิบัติกีตาร์โปร่ง กีตาร์โปร่ง คือ คือกีตาร์ที่มีลำตัวโปร่งไม่ต้องอาศัยไฟฟ้าในการเล่น ซึ่งสามารถที่จะพกพาไป เล่นได้ในทุก ๆ ที่ เรามาทำการศึกษากีตาร์โปร่งกันครับ 1.ส่วนประกอบของกีตาร์โปร่ง หน่วยการเรียนที่ 3 การถ่ายทอดอารมณ์เพลง
39 การตั้งสายกีตาร์ สาย เสียงโน้ต 1 E 2 B 3 G 4 D 5 A 6 E
40 คอร์ดพื้นฐานสำหรับการฝึก การปฏิบัติดีดคอร์ดพื้นฐาน เรื่อง แบบฝึกทักษะการปฏิบัติกีตาร์โปร่ง คำชี้แจง ให้นักเรียนปฏิบัติแบบฝึกทักษะชุดการสอนปฏิบัติกีตาร์โปร่งเบื้องต้นที่กำหนดให้ โดยการ บรรเลงด้วยอัตราจังหวะความเร็วจากช้าไปจนถึง tempo = 100 ข้อที่ 1 วิธีการบรรเลงแบบฝึกข้อที่ 1 เป็นแบบฝึกหัดการดีดเป็นโน้ตตัวดำ ซึ่งจะปฏิบัติจาก ห้องที่ 1 ในคอร์ด C และปฏิบัติไปยังคอร์ดถัดไปในรูปแบบคอร์ดละ 1 ห้องเพลง จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 คอร์ด ได้แก่ คอร์ด C C7 F G ดังภาพที่ 3.1
41 ภาพที่ 3.2 แบบฝึกดีดคอร์ด เป็นโน้ตตัวดำ Key C ข้อที่ 2 วิธีการบรรเลงแบบฝึกข้อที่ 2 เป็นแบบฝึกหัดการดีดเป็นโน้ตตัวดำสลับกับโน้ตเขบ็ต 1 ชั้น ซึ่งจะปฏิบัติจากห้องที่ 1 ในคอร์ด D และปฏิบัติไปยังคอร์ดถัดไปในรูปแบบคอร์ดละ 1 ห้องเพลง จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 คอร์ได้แก่คอร์ด D A Bm G ดังภาพที่ 2.2
42 ภาพที่ 3.3 แบบฝึกดีดคอร์ด เป็นโน้ตตัวดำและเขบ็ต 1 ชั้น ข้อที่ 3 วิธีการบรรเลงแบบฝึกข้อที่ 3 เป็นแบบฝึกหัดการดีดเป็นโน้ตเขบ็ต 1 ชั้น ซึ่งจะเป็น การเพิ่มการตบสายกีตาร์เข้ามาในจังหวะที่ 2 ในแต่ละห้อง เริ่มปฏิบัติจากห้องที่ 1 ในคอร์ด D และ
43 ปฏิบัติไปยังคอร์ดถัดไปในรูปแบบคอร์ดละ 1 ห้องเพลง จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 คอร์ได้แก่คอร์ด D A Bm G ดังภาพที่ 3.4 ภาพที่ 3.4 แบบฝึกการดีดและตบสาย โน้ตเขบ็ต 1 ชั้น
44 แบบประเมินการสอบปฏิบัติ การถ่ายทอดอารมณ์เพลง ชื่อ …………………………………………………………………………….…………………….. ให้ใส่เครื่องหมาย ✓ ที่ช่องว่างที่ตารางกับพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนเพียงช่องเดียว หัวข้อ ระดับ หมายเหตุ สามารถบรรเลงได้ถูกต้อง ตามโน้ตที่กำหนดให้ 3 2 1 ความสามารถในการ ควบคุมจังหวะ 3 2 1 ความสามารถในการอ่าน โน้ต 3 2 1 คะแนนรวม
45 เกณฑ์การประเมินแบบประเมินการปฏิบัติแบบฝึกทักษะ หัวข้อ ระดับ หมาย เหตุ สามารถบรรเลงได้ ถูกต้องตามโน้ตที่ กำหนดให้ 3 บรรเลงได้ถูกต้องทั้งหมด 2 บรรเลงได้ค่อนข้างถูกต้องมากกว่า 50% 1 บรรเลงถูกต้องต่ำกว่า 50% ความสามารถใน การควบคุมจังหวะ 3 ควบคุมจังหวะได้สม่ำเสมอและอัตราจังหวะของโน้ตถูกต้อง ทั้งหมด 2 ควบคุมจังหวะได้ค่อนข้างสม่ำเสมอและอัตราจังหวะของโน้ตไม่ ถูกต้องน้อยกว่า 5 ครั้ง 1 ควบคุมจังหวะได้ค่อนข้างไม่สม่ำเสมอและอัตราจังหวะของโน้ต ไม่ถูกต้องมากกว่า 5 ครั้ง ความสามารถใน การอ่านโน้ต 3 อ่านโน้ตได้ถูกต้องทั้งหมด 2 อ่านโน้ตไม่ถูกต้องน้อยกว่า 5 ครั้ง 1 อ่านโน้ตไม่ถูกต้องมากกว่า 5 ครั้ง คะแนนรวม โดยกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน 3 ระดับดังนี้ 7-9 A หมายถึง การปฏิบัติอยู่ในระดับดีมาก 5-6 B หมายถึง การปฏิบัติอยู่ในระดับพอใช้ 3-4 c หมายถึง การปฏิบัติอยู่ในระดับควรปรับปรุง
46 ตอนที่ 1 ประเภทวงดนตรีไทย วงดนตรีไทยเป็นวงดนตรีที่มีพัฒนาการต่อเนื่องกันมายาวนาน โดยมีศิลปิน ดนตรีเป็นผู้รักษา มรดกวัฒนธรรม และมีพระมหากษัตริย์ ตลอดจน พระราชวงศ์ ขุนนางข้าราชการและคหบดี ที่มีฐานะ ได้ร่วมกันสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาดนตรีไทยมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ดนตรีไทยมีความสมบูรณ์และ สามารถนำมาใช้บรรเลง ทั้งในงานพระราชพิธี งาน พิธีกรรม ประกอบการแสดงงาน บันเทิง และการ นำไปประกอบธุรกิจด้านต่าง ๆ ได้ วงดนตรีไทยมีแบบแผนที่ เป็นสมบัติวัฒนธรรมร่วมกัน ของคนทั้งชาติโดยแบบแผนของวง ดนตรีไทยที่เป็นต้นแบบให้เกิดวงดนตรีลักษณะอื่น ๆ อีกหลายวงที่นักเรียนควรทราบมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทดังนี้ 1.วงปี่พาทย์ วงปี่พาทย์ หมายถึงวงดนตรีที่เกิดจากการประสมวงกันระหว่างเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องเป่าและเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเป็นหลักโดยแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้ 1.1 วงปี่พาทย์เครื่องห้า วงดนตรีประเภทนี้มีเครื่องดนตรีประกอบไปด้วยปี่ ใน ระนาด เอก ฆ้องวงใหญ่ตะโพน ฉิ่ง กลองทัด หน่วยการเรียนที่ 4 รู้จักเครื่องดนตรีไทยที่ปฏิบัติ