47 2. วงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงดนตรีประเภทนี้เกิดการผสมวงครั้งแรกในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปี่ใน ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฉาบเล็ก กลับ และโหม่ง 3. วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ วงดนตรีประเภทนี้เกิดจากการผสมวงครั้งแรกในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปีใน ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ฆ้องวงเล็ก ตะโพนกลองทัด ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่กลับ และ โหม่ง
48 2. วงเครื่องสายไทย วงเครื่องสายไทย เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทที่มีสายเป็นหลัก ส่วน เครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ ที่ประสมในวงเครื่องสาย นิยมใช้เครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงที่มีความกลมกลืน สอดคล้องกับเครื่องดนตรีอื่น ๆ ในวง โดยวงเครื่องสายไทยแบ่งออกได้ 2 ชนิด ดังนี้ 2.1 วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว หรือวงเครื่องสายวงเล็ก เครื่องดนตรีประกอบด้วย ซอด้วง 1 คัน ซออู้ 2 คันจะเข้ 1 คันขลุ่ยเพียงออ 1 เหล้า โทนรำมะนา 1 สำรับ ฉิ่ง 1 คู่ และฉาบเล็ก 1 คู่ 2.2 วงเครื่องสายเครื่องคู่ เครื่องดนตรีประกอบด้วย ซอด้วง 2 คัน ซออู้ 2 คัน จะเข้ 2 คัน ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ขลุ่ยหลีบ 1 เลา โทน-รำมะนา 1 สำรับ ฉิ่ง 1 คู่ ฉาบเล็ก 1 คู่กับ 1 คู่และโหม่ง 1 ใบ
49 3. วงมโหรี วงมโหรี เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีประสมวงครบทุกกลุ่ม คือเครื่องดีดสีตีเป่าลักษณะเด่นของ วงประเภทนี้คือความกลมกลืนของระบบเสียงที่ใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่ถูกย่อสัดส่วนสำหรับ ฆ้องวงที่ผสมในวงดนตรีประเภทนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าฆ้องมโหรี การปรับลดขนาดเครื่องดนตรีประเภท เครื่องตีเพราะการ ให้ระบบเสียงมีความดังที่เข้ากันได้กับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายวงมโหรี มีการ ผสมวง และถือเป็นแบบแผนมาตั้งแต่สมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำแนก ออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้ 1. วงมโหรีเครื่องเดี่ยว เครื่องดนตรีประกอบด้วยซอสามสาย 1 คัน ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ระนาดเอก 1 ร่างของวงใหญ่ 1 วง จะเข้ 1 ตัว ซอด้วง 1 คัน ซออู้ 1 คัน โทนรำมะนา 1 สำรับ ฉิ่ง 1 คู่ และฉาบเล็ก 1 คู่ 2. วงมโหรีเครื่องคู่ เครื่องดนตรีประกอบด้วยซอสามสาย 1 คัน ซอสามสายหลีบ 1 คัน ขลุ่ย เพียงออ 1 เลา ขลุ่ยหลีบ 1 เลา ระนาดเอก 1 รางระนาดทุ้ม 1 ราง ฆ้องวงใหญ่ 1 วงฆ้องวงเล็ก 1 วง จะเข้ 2 ตัว ซอด้วง 2 คันซออู้ 2 คัน โทนรำมะนา 1 สำรับ ฉิ่ง 1 คู่ ฉาบเล็ก 1 คู่ กลับ 1 คู่ โหม่ง 1 ใบ
50 3. วงมโหรีเครื่องใหญ่ เครื่องดนตรีมี ซอสามสาย 1 คัน ซอสามสายหลีบ 1 คัน ขลุ่ย เพียงออ 1 เลา ขลุ่ยหลีบ 1 เลาระนาดเอกมโหรี 1 ร่างและหน้าทุ้มมโหรี 1 ราง ระนาดเอกเหล็กมโหรี หนึ่งร่าง ระนาดทุ้มเหล็กมโหรี 1 ราง ฆ้องวงใหญ่ 1 วงฆ้องวงเล็ก 1 วง จะเข้ 2 ตัว ซอด้วง 2 คัน ซออู้ 2 คัน โทนรำมะนา 1 สำหรับ ฉิ่ง 1 คู่ ฉาบเล็ก 1 คู่ กลับ 1 คู่ และโหม่ง 1 ใบ
51 ตอนที่ 2 ประเภทของบทเพลงไทย เพลงไทยเป็นเพลงที่มีแนวทำนอง เนื้อร้อง จังหวะ และเสียงประสานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย เพลงไทยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) เพลงบรรเลง หมายถึง เพลงที่ใช้เครื่องดนตรีบรรเลงล้วนๆ มีแต่ทำนอง ไม่มีการขับร้อง ประกอบ เช่น เพลงโหมโรง เพลงหน้าพาทย์ 2) เพลงขับร้อง หมายถึง เพลงที่นิยมนำมาขับร้องประกอบการบรรเลงดนตรีตามแบบ ของเพลงไทย คือ ร้องแล้วมีดนตรีรับ หรือร้องคลอไปกับดนตรี เช่น เพลงเถา เพลงตับ เพลงใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการจำแนกเพลงไทยออกตามกิจกรรมหรือสถานการณ์ต่างๆ โดยศิลปินดนตรีจะบรรเลง ให้เหมาะสมและถูกต้องตามหลักขนบปฏิบัติสำหรัลเพลงนั้น ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ เพลงในพระราชพิธี ในงานพระราชพิธีต่างๆนักดนตรีของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น ศิลปินข้าราชการของ กรมศิลปากร ผู้ปฏิบัติราชการ เพลงที่ใช้บรรเลงจึงต้องดำเนินไปตามระเบียบการใช้เพลง เช่น งานทอด ผ้ากฐิน จะมีวงปี่พาทย์บรรเลง เพลงที่ใช้ คือ เพลงสาธุการ เพลงกราวใน และเพลงเรื่อง หากป็นงาน จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพลงที่ใช้ เช่น เพลงพญาดิน เป็นต้น เพลงในงานมงคล งานมงคลเป็นงานที่มีเพลงบรรเลงได้ทั่วไป ยกเว้นเพลงที่กำหนดใช้สำหรับงานอวมงคล นัก ดนตรีจะทราบและไม่นำมาใช้ในงานมงคลอย่างไรก็ตามแบบแผนการใช้ เพลงก็ต้องพิจารณาว่าควรใช้วง ดนตรีประเภทใดและเลือกใช้เพลงใดที่เหมาะสม เช่น งานที่เกี่ยวกับการทำบุญเลี้ยงพระ มีการสวดมนต์ เย็น-ฉันเช้า กลุ่มเพลงที่ใช้จะประกอบไปด้วยเพลงชุดโหมโรงเย็น เพลงชุดโหมโรงเช้า เพลงพระฉัน งาน ทำขวัญบวชนาค เพลงในงานอวมงคล งานอวมงคลเป็นงานพิธีที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหลังความตาย นิยมใช้ในงานของชาำทยพุทธ เช่น งานสวดพระอภิธรรมศพ งานฌาปนกิจศพ งานทำบุญกระดูก วงดนตรีที่มช้มนงานอวมงคล เช่น วง บัวลอย วงปี่พาทย์นางหงส์ วงปี่พาทย์มอญ วงเครื่องสายปี่ชวา เป็นต้น
52 เพลงประกอบการแสดง การแสดงหนังใหญ่ โขน ละคร หุ่นกระบอก ลิเก และการแสดงเป็นเรื่องต่างๆนักแสดงสวม บทบาทไปตามบทของแต่ละท้องเรื่อง วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงต้องดำเนินเพลงให้ สอดคล้องกับบทที่กำหนดเพลงไว้ หรืออาจบรรเลงรับ-ส่งตัวแสดงตามบทบาท ซึ่งนักดนตรีต้องทราบ และเข้าใจระเบียบในการใช้เพลงให้เข้ากับการแสดงนั้นๆ เพลงประกอบการแสดงมีอยู่จำนวนมาก สามารถจำแนกตามประเภทเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) เพลงหน้าพาทย์ เพลงประเภทนี้เป็นที่ใช้ประกอบกิริยาสมมติของตัวละคร ซึ่งดำเนินตามบทบาทใน เนื้อเรื่อง ได้แก่ อากัปกิริยาในการแสดง เพลงที่ใช้ เดิน ทั้งเดนเร็ว เดินช้า วิ่งไล่ เพลงเชิด เชิดฉาน เสมอ เสมอตีนนก เสมอเถร เสมดมาร เสมอแขก เสมอมอญ เหาะเหิน บิน ท่องอากาศ เคลื่อนตัวในอากาศ เพลงเหาะ แผละ โคมเวียน ที่เกี่ยวกับน้ำ เพลงลงสรง ใช้เรือ โล้ กิน ดื่ม เพลงนั่งกิน เซ่นเหล้า นอน เพลงตระบรรทมไพร ตระนอน จัดทัพ สู้รบ เพลงกราวนอก กราวใน ปฐม เชิด โศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้ เพลงทยอย โอด แสดงอิทธิฤทธิ์ แปลงหรือเนรมิตรร่างใหม่ เพลงรัวลาเดียว รัวสามลา คุกพาทย์ ตระนิมิต 2) เพลงตามบทบาทและสถานการณ์ เพลงประกอบการแสดง นอกจากจะมีเพลงประกอบอากัปกิริยา แล้ว ในช่วงดำเนินเนื้อเรื่องซึ่งบรรยายถึงสถานที่ เหตุการณ์ รูปร่าง ลักษณะ อารมณ์ ความรู้สึก ของตัวละคร รวมถึงความเป็นมาเป็นไปของเนื้อเรื่อง เพลงที่ใช้ต้องบรรเลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ นั้น มีตัวอย่างของเพลงที่กำหนดใช้บรรเลงหรือบรรเลงประกอบการขับรัอง ของตัวละคร ซึ่งส่วนใหญ่ นิยมใช้เพลงอัตรา 2 ชั้น หรือเพลงอัตราชั้นเดียว ได้แก่
53 อารมณ์ในการแสดง เพลงที่ใช้ รัก เพลงบังใบ สาลิกาแก้ว ทองย่อน ลีลากระทุ่ม โศกเศร้า เพลงลาวครวญ ดาวทอง ธรณีกันแสง ดีใจ เย้ยหยัน เพลงกราวรำ เย้ย โกรธ ขัดเคือง เพลงลิงโลด ลิงลาน นาคราช ขลัง บรรยายความศักดิ์สิทธิ์ เพลงลาวเสี่ยงเทียน ขับไม้บัณเฑาะว์ แขกบร เทศ ชมธรรมชาติ เพลงคลื่นกระทบฝั่ง ลมพัดชายเขา ลาวชมดง สนุกสนาน เพลงกราวตะลุง ค้างคาวกินกล้วย คุดทะราด เหยียบกรวด ตอนที่ 3 วิธีการปฏิบัติและการดูแลรักษาเครื่องดนตรี 1. วิธีการใช้และดูแลรักษาเครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีด 1.1 จะเข้ ภาพที่ 4.1 จะเข้
54 ๑.วิธีการนั่งบรรเลงจะเข้ ให้นั่งพับเพียบตัวตรงด้านกระพุ้งอยู่ด้านซ้ายมือของผู้บรรเลง ลูกบิด อยู่ด้านขวามือ ของผู้บรรเลงมือซ้ายใช้สำหรับ กดนมจะเข้ มือขวาสำหรับพันไม้ดีด และดีดสายจะเข้ ๒.การอุ้มจะเข้ ต้องอุ้มให้ขนานกับพื้น โดยนำกระพุ้งแนบด้านข้างลำตัวผู้ถือจะเข้ ๓.เมื่อบรรเลงจะเข้เสร็จควรเก็บเข้าชิดข้างฝาผนัง หรือด้านในของเวทีเพื่อความเป็นระเบียบ เรียบร้อย ป้องกัน ความเสียหาย ๔.การทำความสะอาดจะเข้ควรใช้ผ้าที่มีความนุ่มชุบน้ำหมาดๆเช็ดตัวจะเข้ ๕.คลุมจะเข้ด้วยผ้าเพื่อกันฝุ่นละออง 2. วิธีการใช้และการดูแล รักษาเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องตี 2.1 ระนาดเอก และระนาดทุ้ม ภาพที่ 4.2 ระนาดทุ้ม ภาพที่ 4.3 ระนาดเอก
55 ๑. ลักษณะการบรรเลงระนาดผู้บรรเลงนั่งพับเพียบหรือขัดสมาธิ โดยให้ลำตัวอยู่กึ่งกลางของ เท้าระนาดการจับไม้ระนาด ให้นิ้วชี้อยู่ด้านบนของก้านไม้ นิ้วโป้งอยู่ด้านข้างนิ้วกลางนิ้วนางนิ้วก้อยกำ อยู่ใต้ไม้ ๒ .เมื่อบรรเลงเสร็จต้องปลดเชือกคล้องหูระนาดด้านซ้ายมือลงเพื่อป้องกันไม่ให้เชือกรับ น้ำหนักของผืนตลอดเวลา ๓. ควรเก็บไม้ระนาดไว้ใต้ราง ไม่วางทิ้งบนพื้น หรือวางบนผืนระนาด เพราะอาจจะหักได้ ใน กรณีนั่งทับ ๔. การเคลื่อนย้ายระนาดควรใช้การยก แทนการลากหรือดึง เพราะจะทำให้ระนาดล้ม อาจ เสียหาย ได้ ๕. ถ้าตะกั่วใต้ผืนระนาดหลุด ควรใช้ไม้ขีดไฟ หรือไฟแซค ลนเพื่อให้ตะกั่วอ่อนตัว แล้วติดไว้ ตามเดิม ห้ามใช้เทียนไขลนเพราะอาจทำให้น้ำตาเทียนหยดผสมกับตะกั่วทำให้ลื่นและติดไม่อยู่ ภาพที่ 4.4 ฆ้องวงเล็ก 2.2 ฆ้องวงใหญ่และฆ้องวงเล็ก ๑. การบรรเลงฆ้องวง ผู้เล่นต้องนั่งให้ตรงกลางฆ้องวง วิธีการนั่ง นั่งได้ทั้งพับเพียบหรือ ขัดสมาธิ การจับไม้ตีฆ้องวงผู้บรรเลงต้องรวบนิ้วกลางนิ้วนางและนิ้วก้อย กำไม้ฆ้องไว้กับฝ่ามือ ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วชี้เป็นตัวประคอง ให้นิ้วชี้ชิดกับหัวไม้ ๒. การเก็บไม้ตีฆ้อง ควรมีถุงใส่ หรือวางรวมกันไว้บนลูกฆ้อง ไม่ควรวางกับพื้น ๓. การทำความสะอาด ควรใช้ผ้าแห้งหรือผ้าหมาดๆทำความสะอาด
56 ๔. ควรวางฆ้องวงให้ราบกับพื้น ไม่ควรวางหรือตั้งพิงไว้ข้างฝาผนัง เพราะอาจทำให้ฆ้องวง ล้มอาจหักได้ ๕. การยกฆ้องวง ไม่ควรยกเพียงคนเดียวเนื่องจากเป็นเครื่องตีที่มีน้ำหนักมากและขนาด ใหญ่ ควรจะยกฆ้อง ให้ตั้งฉาก หรือขนานกับพื้น ห้ามกับด้าน ภาพที่ 4.5 ขิม 2.3 ขิม ๑. การบรรเลงขิม ควรนั่งพับเพียบให้อยู่ตรงกลางขิม ระยะห่างประมาณ ๑ คืบ นั่งตัวตรงไม่ โน้มตัวไปทางใดทางหนึ่ง การจับไม้ตีขิม ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ทั้ง ๒ มือจับไม้ตีขิม นิ้วที่เหลือหุ้มใน ลักษณะดอก บัวตูม ๒. เมื่อบรรเลงเสร็จควรปิดฝาขิม ๓. การเก็บไม้ขิมควรมีกล่องใส่ที่มิดชิด หรือถ้าเป็นถุงต้องระมัดระวังจากการ กระทบกระเทือนเพราะไม้ตีมี ความอ่อนแอมาก ๔. การทำความสะอาดขิม ควรใช้ที่ปัดฝุ่นหรือแปรงขนาดเล็กปัด เพราะผ้าไม่สามรถเข้าไปใน ซอก เล็ก ๆ ของ ขิม ได้
57 2.4 กลอง ภาพที่ 4.6 กลองแขก ๑. ในกรณีกลองประเภทที่ต้องใช้ข้าวติดหน้ากลอง ให้ทำความสะอาดโดยการใช้ผ้าเปียกน้ำ พอหมาดๆเช็ดหน้ากลองให้สะอาด ๒. นำกลองที่ทำความสะอาดแล้วใช้ผ้าคลุมหรือนำผ้าไปตัดเป็นถุงใส่ เพื่อกันความชื้น ๓. ตรวจสอบคุณภาพความตึงของเสียงกลองให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ วิธีการใช้และการดูแลรักษาเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องสี 3. วิธีการใช้และการดูแล รักษาเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องสี 3.1 ซอด้วงและซออู้ ภาพที่ 4.7 ซออู้ ภาพที่ 4.8 ซอด้
58 ๑. ผู้บรรเลงควรขึ้นสายซอ และเลื่อนหย่องหรือหมอน(ใช้หนุนสายซอ) ให้อยู่กึ่งกลางของ หน้าซอ จากนั้นเทียบเสียงของซอตามประเภทซอนั้น ๆ ผู้บรรเลงนั่งตัวตรง มือซ้ายจับคันซอเพื่อกด สายซอ มือขวา จับคันชักวางกะโหลกซอตรงหน้าขาซ้ายข้างลำตัวของผู้บรรเลง ๒. เมื่อบรรเลงเสร็จ ควรลดสายและปลดหย่อง เลื่อนหมอนขึ้นไว้บนขอบกะโหลกซอ เพื่อ ป้องกัน หน้าซอยุบตัวจากการกดทับของสาย และเก็บคันชักซอคล้องไว้กับลูกบิด โดยนำส่วนที่ใช้จับขึ้น ด้านบน ๓. ควรใช้ผ้าที่มีความนุ่มและแห้งเช็ดซอทุกครั้งจากการบรรเลงเสร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วน กะโหลกซอ เพราะจะมีฝุ่นของยางสนติดสะสมอยู่ ๔. การถือซอให้แนบกับลำตัวโดยตั้งฉากกับพื้น ไม่แกว่งไปมา ๕. ไม่ควรพิงซอไว้ข้างฝาผนัง หรือวางชิดขอบโต๊ะ เพราะอาจล้มหรือตกจนเกิดความ เสียหายได้ ๖. ควรใส่ถุงเก็บเพื่อสะดวกในการเก็บและถือ 4. วิธีการใช้และการดูแลรักษาเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่า 4.1 ขลุ่ย และปี่ ภาพที่ 4.9 ขลุ่ยเพียงออ ๑. ท่านั่งในการเป่า ผู้เป่าสามารถนั่งได้ทั้งท่าพับเพียบและนั่งขัดสมาธิ นั่งตัวตรง ยกมือทั้ง สองข้างให้แขนทั้งสองข้างกลางออกพอประมาณ ไม่หนีบแขน จับขลุ่ยและปี่ในท่าสบาย ไม่เกร็ง โดยใช้ มือ ขวาอยู่ด้านบนมือซ้ายอยู่ด้านล่าง ๒. เมื่อบรรเลงเสร็จ ควรทำความสะอาดโดยการนำส่วนที่เปียกน้ำลายไปล้างด้วยน้ำ สะอาดส่วนใดที่ไม่ถูก น้ำลายให้ใช้ผ้าเช็ด ๓. ไม่ควรวางขลุ่ยหรือปี่วางไว้กับพื้น สามารถกลิ้ง หรือตกทำให้แตกได้ ๔. ควรเก็บใส่กล่องหรือถุงให้เรียบร้อย
59 คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ขนบประเพณีดนตรีไทยมีอะไรบ้าง พร้อมอธิบายรายละเอียด ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. รูปแบบการบรรเลงดนตรีไทยมีกี่รูปแบบ พร้อมอธิบาย ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ให้นักเรียนอธิบายวิธีการใช้และการดูแลรักษาเครื่องดนตรีไทย โดยเลือกมา 1 เครื่องดนตรีที่นักเรียน สนใจ ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………… ใบงาน เรื่อง ดนตรีไทย
60 หน่วยการเรียนที่ 5 เทคนิคการปฏิบัติเครื่องดนตรีไทย
61
62
63 ตอนที่ 1 ศัพท์สังคีต คือ ภาษาเฉพาะที่ใช้พูดกันในวงการดนตรีไทย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าหมายความ ถึงอะไร หรือ ให้ปฏิบัติอย่างไร จะนำมาอธิบายเฉพาะคำที่มีกล่าวไว้ในบทข้างต้น ดังต่อไปนี้ กรอ ๑. เป็นวิธีบรรเลงของเครื่องดนตรีประเภทตี (เช่น ระนาด ฆ้องวง) อย่างหนึ่ง ซึ่งใช้วิธีตี ๒ มือ สลับกัน ถี่ๆ โดยใช้มือซ้ายกับมือขวาตีมือละเสียง เป็นคู่ ๒ คู่ ๓ คู่ ๔ คู่ ๕ คู่ ๖ และคู่ ๘ ๒. เป็นคำเรียกการดำเนินทำนองเพลงที่ใช้เสียงยาวๆ ช้าๆ เพลงที่ดำเนิน ทำนองอย่างนี้เรียกว่า "ทาง กรอ" ที่เรียกอย่างนี้ก็ด้วยทำนองที่มีเสียงยาวๆ นั้น เครื่องดนตรีประเภทตี ต้องตีกรอ (ดังข้อ ๑) เพราะ ไม่สามารถจะทำเสียงยาว อย่างพวกเครื่องสีเครื่องเป่าได้ เก็บ ได้แก่การบรรเลงที่สอดแทรกเสียงให้มีพยางค์ถี่ขึ้นกว่าเนื้อเพลงธรรมดา เช่น เนื้อเพลงเดินทำนอง ห่างๆ ได้๔ พยางค์การเก็บก็จะแทรกแซงถี่ขึ้นเป็น ๑๖ พยางค์ซึ่งมีความยาวเท่ากัน (ดูโน้ต เปรียบเทียบกับเนื้อเพลงที่คำว่าเนื้อ) หน่วยการเรียนที่ 6 การถ่ายทอดอารมณ์เพลง
64 คู่ หมายถึง ๒ เสียงและเสียงทั้งสองนี้จะบรรเลงพร้อมกันก็ได้หรือคนละทีก็ได้เสียงทั้งสองห่างกันเท่าใดก็ เรียกว่าคู่เท่านั้น แต่การนับจะต้องนับเสียงที่ดังทั้ง สองรวมอยู่ด้วยกัน เช่น เสียงหนึ่งอยู่ที่อักษร บ อีก เสียงหนึ่งอยู่ที่อักษร พ การนับก็ต้องนับ บ เป็น ๑ แล้ว ป เป็น ๒ ๓ผ ๔ฝ และ ๕พ คู่เช่นนี้ก็เรียกว่า "คู่ ๕" จังหวะ หมายถึง การแบ่งส่วนย่อยของทำนองเพลง ซึ่งดำเนินไปโดยสม่ำเสมอ ทุกๆ ระยะที่แบ่งนี้คือ จังหวะ จังหวะที่ใช้ในการบรรเลงดนตรีไทย แยกออกได้เป็น ๓ อย่าง คือ ๑. การแบ่งระยะที่มีความรู้สึกอยู่ในใจ แม้จะไม่มีสัญญาณอะไรตีเป็นที่หมายก็มีความรู้สึกแบ่งระยะได้ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะกำหนดแบ่งระยะถี่หรือห่างอย่างไร ก็แล้วแต่ถนัด อย่างนี้เรียกว่า "จังหวะสามัญ" หรือจังหวะทั่วไป ๒. การกำหนดแบ่งระยะนั้น ใช้เสียงฉิ่งที่ตีเป็นที่หมาย เสียงที่ตีดัง "ฉิ่ง" เป็น จังหวะเบา และเสียงที่ตีดัง "ฉับ" เป็นจังหวะหนัก ซึ่งจังหวะหนักเป็นสำคัญ กว่าจังหวะเบา ๓. กำหนดเอาเสียงตีของตะโพน หรือสองหน้า หรือกลองแขกซึ่งเรียกว่า "หน้าทับ" เป็นที่หมายเมื่อ ตะโพน หรือสองหน้า หรือกลองแขก ตีไปจบกระบวน ครั้งหนึ่ง ก็กำหนดว่าเป็นจังหวะหนึ่ง ตีจบไป ๒ ครั้ง ก็ถือว่าเป็น ๒ จังหวะ ตีจบไปกี่ครั้งก็ถือว่าเป็นเท่านั้นจังหวะ จังหวะอย่างนี้เรียกว่า "จังหวะหน้า ทับ" ตับ หมายถึง เพลงหลายๆ เพลง ที่นำมาร้องหรือบรรเลง ติดต่อกันไป เหมือนอย่างปลาหลายๆ ตัว เอาไม้ คาบให้เรียงติดกัน ก็เรียกว่า ตับ หรือใบจากหลายๆ ใบนำมาเย็บให้เรียงติดกัน ก็เรียกว่า ตับจาก เพลง ที่เรียงติดต่อกันเป็นตับนี้ยังแยกออกได้เป็น ๒ ชนิด คือ
65 ๑. ตับเพลง ได้แก่ เพลงที่นำมาร้องหรือบรรเลงติดต่อกันนั้น ต้องเป็นเพลง อัตราเดียวกัน ๒ ชั้นก็๒ ชั้น ทุกเพลง หรือ ๓ ชั้นก็๓ ชั้นทุกๆ เพลง และทำนองที่ติดต่อกันได้สนิทสนม ส่วนใจความของบทร้องอาจ เป็นคนละเรื่อง หรือคนละตอนก็ได้ไม่ถือเป็นสิ่งสำคัญ ๒. ตับเรื่อง เพลงที่นำมารวมร้องหรือบรรเลงติดต่อกันนั้น ต้องมีบทร้องเป็น เรื่องเดียวกัน และดำเนินไป โดยลำดับ ฟังได้ความเป็นเรื่องเป็นราว ส่วน ทำนองเพลงจะเป็นชั้นเดียว ๒ ชั้น หรือจะลักลั่นกันอย่างไร ก็ได้ทั้งนั้น ไม่ถือ เป็นสิ่งสำคัญ เถา คือเพลงที่เป็นเพลงเดียวกัน แต่มีอัตราลดหลั่นกันตามลำดับเช่น ๓ ชั้น ๒ ชั้น และชั้นเดียว อัตราที่ ลดหลั่นกันนี้ต้องไม่น้อยกว่า ๓ อันดับ และต้องร้องหรือ บรรเลงติดต่อกัน โดยไม่เว้นระยะหรือมีเพลง อื่นมาแทรก เหมือนชามรูปเดียว กัน ๓ ขนาด มีใหญ่กลาง และเล็ก นำมาซ้อนกัน หรือวางเรียงกัน ก็ เรียกว่า เถา หรือ ๓ ใบเถา ทาง คำนี้มีความหมายแยกได้เป็น ๓ ประการคือ ๑. หมายถึงวิธีดำเนินทำนองโดยเฉพาะของเครื่องดนตรีแต่ละชนิด เช่น ทางระนาดเอก ทาง ระนาดทุ้ม ทางซอด้วง ทางจะเข้ซึ่งแต่ละชนิดก็มีวิธีดำเนิน ทำนองของตนต่างๆ กัน (ดูโน๊ตเปรียบเทียบกับเนื้อ เพลงที่คำว่าเนื้อ) ๒. หมายถึงวิธีดำเนินทำนองของเพลงที่แต่งขึ้นโดยเฉพาะ เช่น ทางของครูคน นั้น ทางของครูคนนี้หรือ ทางเดี่ยว ทางหมู่ และทางกรอ เป็นต้น ๓. หมายถึงระดับเสียงที่บรรเลง ซึ่งแต่ละทางเป็นคนละเสียง และมีชื่อเรียก เป็นที่หมายรู้กัน เช่น ทาง เพียงออล่าง ทางใน และทางกลาง เป็นต้น ทำนอง ได้แก่ เสียงสูงๆ ต่ำๆ ซึ่งสลับสับสนกัน และมีความสั้น ยาว หนัก เบา ต่างๆ แล้วแต่ความประสงค์ของผู้ แต่ง
66 เนื้อ คำนี้แยกความหมายออกได้เป็น ๒ อย่าง คือ ๑. หมายถึง บทประพันธ์ที่เป็นถ้อยคำสำหรับร้อง ซึ่งเรียกเต็มๆ ให้ได้ความ หมายชัดเจนขึ้นว่า "เนื้อ ร้อง" ๒. หมายถึง ทำนองเพลงที่เป็นเนื้อแท้คือ ทำนอง ที่มิได้ตกแต่งพลิกแพลงออก ไป ถ้าจะเรียกเต็มๆ ให้ ได้ความหมายชัดเจนก็ต้องเรียกว่า "เนื้อเพลง" การตีฆ้องวงใหญ่ในวงปี่พาทย์โดยปกตินั้น คือ "เนื้อ" (หรือเนื้อเพลง) ส่วนระนาดเอก หรือระนาดทุ้ม หรือเครื่องดนตรีอื่นๆ ซึ่งดำเนินทำนองพลิกแพลง ออกไป ตามวิธีการของเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆ เปรียบเสมือนหนังที่หุ้มห่อไปตามรูปของเนื้อ เพี้ยน ได้แก่ เสียงที่ไม่ตรงกับระดับที่ถูกต้อง เพี้ยนก็คือผิด แต่เป็นการผิดเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าเสียงร้องหรือ เสียงดนตรีถ้าหากว่าไม่ตรงกับระดับเสียงที่ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะสูงไปหรือต่ำไป แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ เรียกว่า "เพี้ยน" ทั้งสิ้น ลูกล้อลูกขัด เป็นวิธีการบรรเลงทำนองอย่างหนึ่ง ที่แบ่งเครื่องดนตรีออกเป็น ๒ พวก และผลัดกันบรรเลงคนละที พวกหนึ่งบรรเลงก่อนเรียกว่า พวกหน้า อีกพวก หนึ่งบรรเลงที่หลังเรียกว่า พวกหลัง ทำนองที่ผลัดกัน บรรเลงนี้จะเป็นวรรค สั้นๆ หรือยาวๆ ก็ได้แต่ถ้าเมื่อพวกหน้าบรรเลงไปแล้วเป็นทำนองอย่างใด พวก หลังก็บรรเลงเป็นทำนองอย่างเดียวกันเหมือนการพูดล้อเลียนตามกัน ก็เรียกว่า "ลูกล้อ" ถ้าหากเมื่อ พวกหน้าบรรเลงไปเป็นทำนองอย่างหนึ่ง แล้ว พวกหลังแยกทำนองบรรเลงไปเสียอีกอย่างหนึ่ง (ไม่ เหมือนพวกหน้า) เหมือนพูดขัดกันก็เรียก "ลูกขัด" ถ้าเพลงใด มีบรรเลงทั้ง ๒ อย่างก็เรียกว่า "ลูกล้อลูก ขัด"
67 ตอนที่ 2 แนวทางการอนุรักษ์ และส่งเสริมดนตรีไทย ดนตรีไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญต่อคนไทย บ่งบอกให้ทราบถึงความ เจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมที่บรรพชนไทยได้พัฒนาและสร้างสรรค์จนเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนให้ เห็นคุณค่า ควรค่าแก่การอนุรักษ์และส่งเสริมดนตรีไทย โดยแนวทางการอนุรักษ์และส่งเสริมดนตรี ไทย เพื่อความคงอยู่ของดนตรีไทยอย่างมีคุณค่า มีดังนี้ บทบาทหน้าที่ของเยาวชนไทย เยาวชนไทยทุกคนเป็นผู้สืบทอดมรดกวัฒนธรรมที่บรรพชนได้สร้างสมไว้ ด้วยสติปัญญาของ เยาวชน ซึ่งเป็นผู้ที่พร้อมด้วยข้อมูล ข่าวสาร ทำให้สามารถรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ภารกิจนี้เป็นบทบาท หน้าที่ของเยาวชนที่ต้องแสวงหารูปแบบ วิธีการที่เหมาะสมในการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกวัฒนธรรม ดนตรีของไทย สำหรับเยาวชนไทย แนวคิดที่ควรนำมาเป็นแนวทาง และวิธีการสำหรับการอนุรักษ์และส่งเสริม มรดกวัฒนธรรมดนตรี มีดังนี้ ๑. ศึกษาประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของมรดกวัฒนธรรมทางดนตรี เพื่อให้ รู้จริง รู้ แจ้ง และให้เข้าใจดนตรีอย่างถ่องแท้ ๒. ฟังและเผยแพร่ โดยพยายามหมั่นรับฟังดนตรีไทยบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความซาบซึ้ง แล้วเรา จะรู้ว่าเพลงไทยในปัจจุบันที่เรานิยมชมชอบ ทำนองเพลงได้จำลองมาจากดนตรีไทยตั้งแต่โบราณ ขณะเดียวกันก็พยายามชักนำและส่งเสริมใให้บุคคลอื่นฟังดนตรีไทยด้วย ๓. รับรู้สาระศิลปวัฒนธรรมด้วยใจที่เปิดกว้าง มีทัศนคติที่ดี ๔. หาแนวร่วมจากคนวัยเดียวกัน หรือผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน พร้อมที่จะร่วมกิจกรรมอนุรักษ์ พัฒนามรดกวัฒนธรรมตามวิถีประชาธิปไตยที่เกิดจากมติของกลุ่ม ๕. เลือกรูปแบบเพื่อหาทางขับเคลื่อนวิธีการให้ดำเนินไปสู่เป้าหมาย คือ รูปแบบเพื่อการ อนุรักษ์ดนตรี รูปแบบเพื่อการพัฒนา และรูปแบบเพื่อการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย ๖. การฝึกหัดเล่นดนตรีไทย ขับร้องเพลงไทย นับเป็นวิธีการเข้าถึงดนตรีและนำไปสู่การ อนุรักษ์ดนตรีไทยได้
68 ๗. การนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์และสื่อเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน มาสร้างให้เป็นนวัตกรรม ทางดนตรีไทยด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งนี้ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนามรดกวัฒนธรรมทางดนตรีให้บรรลุผลได้อย่างดีนั้น ขึ้นอยู่ กับพลังของเยาวชนทุกคนผู้เป็นเจ้าของมรดกวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของความเป็น ชาติ ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ว่า "การรักษาวัฒนธรรม เป็นการรักษาชาติ" เมื่อเยาวชนคนรุ่นใหม่ร่วมกันรักษามรดกวัฒนธรรมไว้ได้อย่างเข้มแข็งกับเป็นการ รักษามรดกวัฒนธรรมไว้ได้อย่างเข้มแข็งก็เท่ากับเป็นการรักษาให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็งด้วย
69 หลักการประเมินทักษะทางดนตรี การวัดและประเมินพัฒนาการทักษะทางดนตรีและขับร้องเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ของกระบวนการทางการเรียนทักษะในวิชาดนตรี โดยระบบการศึกษาเมื่อมีการเรียนย่อมมีการวัดและ การประเมินผลการเรียน เพื่อให้ทราบว่า ผู้เรียนได้เรียนสิ่งใดไปบ้าง มากน้อยเพียงใด และได้ปฏิบัติตาม วัตถุประสงค์หรือผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้อย่างไร สำหรับผู้สอน การวัดและประเมินผลทำให้ทราบด้วย ว่า กระบวนการเรียนการสอนประสบความสำเร็จเพียงใด มีสิ่งใดที่ดีหรือสิ่งใดควรปรับปรุงแก้ไขเพื่อทำ ให้การเรียนการสอนในครั้งต่อไปพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น การวัดและประเมินผลจึงควรมีหลักการ มีระบบ มีการจัดการที่ครอบคลุม มีความรัดกุม ความสะดวก และให้ผลตามที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ การวัดและ ประเมินผลดนตรี จึงเป็นเรื่องสำคัญและสามารถทำให้เกิดประโยชน์ได้ในหลายแง่มุม ในกระบวนการเรียนดนตรีนั้นผลลัพธ์สุดท้ายที่เราคาดหวังคือการแสดงออกถึง ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นในภาพรวมทั้งหมด อาจเป็นการแสดงดนตรีเพื่อสอบ หรือการสอบเนื้อหาวิชา ดนตรีในช่วงปลายภาคเรียน เพื่อสามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการเรียนการสอนในครั้ง ต่อไปที่ผู้สอน สอนในวิชานั้นๆอีกครั้งหนึ่งในอนาคตได้ และให้ผู้เรียนได้ทราบว่าผลการเรียน ดนตรีของ ผู้เรียนนั้นอยู่ในระดับใดควรปรับปรุงแก้ไขในส่วนใด การประเมินผลในกระบวนการจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ สำคัญในการเรียนทักษะดนตรี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ใช้ในการพัฒนาความสามารถ ของนักเรียน ซึ่ง ผู้สอนสามารถประเมิน และปรับปรุงแก้ไขปัญหาของผู้เรียนได้ทันท่วงที หน่วยการเรียนที่ 7 การประเมินพัฒนาการทักษะทางดนตรี
70 ดังนั้นในการประเมินพัฒนาการทักษะทางดนตรีเราจะต้องพิจารณาจากลักษณะ และ ความสามารถของผู้ขับร้อง และผู้บรรเลงดนตรี ซึ่งจะมีหลักที่จะใช้ในการประเมินมีดังนี้ 1. ความถูกต้องในการบรรเลง จะต้องพิจารณาว่าผู้บรรเลงดนตรีนั้น มีความสามารถในการ ถ่ายทอด การบรรเลงดนตรีที่ถูกต้องตามจังหวะ ท่วงทำนองของบทเพลง ถ่ายทอดอารมณ์ของบทเพลง ทั้งสามารถบรรเลงเพลงได้เหมาะสมกลมกลืน และไพเราะ ไม่มีลักษณะณะด้อยของการบรรเลง เช่น เพี้ยน หลุด พลาด เป็นต้น 2. ความแม่นยำในการอ่านเครื่องหมาย และสัญลักษณ์ทางดนตรีในการขับร้องและการ บรรเลงดนตรีนั้น ผู้บรรเลงดนตรีและผู้ขับร้องจะต้อง มีความเข้าใจในการอ่านเครื่องหมายและ สัญลักษณ์ทางดนตรี มีความสามารถที่จะอ่านโน้ตเพลงได้อย่างถูกต้องตามที่ผู้ประพันธ์ได้ประพันธ์ไว้ ทำให้บทเพลงนั้นไพเราะและสมบูรณ์ 3. การควบคุมคุณภาพเสียงในการร้องและบรรเลง ในการขับร้องเพลงนั้นเราสามารถที่จะ ประเมินคุณภาพของผู้ขับร้องได้จากการฟัง ว่าผู้ขับร้องสามารถที่จะใช้น้ำเสียงและควบคุมเสียงร้องได้ มากน้อยเพียงใด เสียงจะต้องไม่ขาด ไม่เกิน เหมาะสมกับทำนองดนตรี ทั้งยังต้องออกเสียงขับร้องนั้นให้ ถูกต้องตามอักขระวิธีของภาษาที่ใช้ขัยร้องนั้นๆ ส่วนผู้บรรเลงดนตรีจะต้องควบคุมคุณภาพเสียงของ เครื่องดนตรีได้อย่างถูกต้องชัดเจน
71 กล่าวคือการขับร้องและการบรรเลงดนตรีไทยและสากล ผู้ขับร้องและผู้บรรเลงควรมี เทคนิคในการขับร้อง บรรเลง ให้ถูกต้องตามเกณฑ์ของหลักดุริยางคศิลป์ จะสามารถทำให้การขับร้อง และการบรรเลงดนตรีนั้นออกมาได้อย่างมีคุณภาพ ไพเราะ เป็นที่ประทับใจแก่ผู้ฟัง และต้องเข้าใจใน หลักของการประเมิน เพื่อที่จะประเมินการขับร้องและการบรรเลงได้อย่างถูกต้อง เข้าใจในบทเพลงและ อารมณ์ของบทเพลงได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างการกำหนดเกณฑ์ประกวดวงดนตรี เกณฑ์การประกวดวงดนตรีสากล “รณรงค์ป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา” *************************************** 1. เงื่อนไขและกติกาในการสมัครแข่งขันดนตรีสากลต้านยาเสพติด 1.1 เข้าประกวดลักษณะทีม โดยสมาชิกภายในทีมที่ร่วมการแข่งขันเป็นเยาวชนที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี และเป็นนักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เท่านั้น 1.2 สมาชิกวงดนตรี มีจำนวน 3 คนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 7 คน 1.3 ผู้สมัครแข่งขันต้องเขียนใบสมัครให้ละเอียด พร้อมทั้งแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของตัวแทน สมาชิกวงดนตรี จำนวน 1 ชุด 1.4 การประกวดเป็นรูปแบบมินิคอนเสิร์ต 2. เกณฑ์การตัดสินวงดนตรีสากลต้านยาเสพติด 2.1 เพลงที่ใช้ในการประกวด - เพลงที่สะท้อนสังคมเกี่ยวกัลป์บุหรี่ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด จำนวน 1 เพลง - เพลงอิสระ จำนวน 1 เพลง 3. กติกาการประกวด 3.1 ทีมที่เข้าประกวดจะต้องส่งใบสมัครพร้อมหลักฐานให้ครบตามวันและเวลาที่กำหนด พร้อมปฏิบัติ ตามระยะเวลาที่กำหนด และปฏิบัติตามข้อกำหนด มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด 3.2 ให้เวลาในการเตรียมวามพร้อมก่อนการแสดงทีมละ 5 นาที 3.3 เวลาที่ใช้ประกวดทีมละ 20 นาที 4. เกณฑ์การตัดสินและให้คะแนน (คะแนนเต็ม 100 ) 4.1 ความสามารถของนักดนตรี นักร้อง 20 คะแนน 4.2 จังหวะ ทำนอง ความชัดเจน หนัก เบา 20 คะแนน 4.3 ความกลมกลืนของเสียงดนตรีและการขับร้อง 20 คะแนน 4.4 ความพร้อมของวง และการแสดงออกบนเวที 20 คะแนน 4.5 การนำเสนอถึงการรณรงค์ป้องกันยาเสพติด 20 คะแนน 5. เกณฑ์การแข่งขัน 5.1 ปิดรับสมัครเข้าร่วมการแข่งขันในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม 2561 5.2 การแข่งขันจะทำการแข่งขันในวันที่ ๑๑ กรกฎาคม 2561 5.3 ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องมารายงานตัวก่อนการแข่งขัน และจับฉลากเพื่อเรียงลำดับการแสดงอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
72 บรรณานุกรม ณรุทธ์ สุทธจิตต์. (2561). สังคีตนิยม ความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ถาวร วัฒนบุญญา. (2557). เอกสารประกอบการสอน รายวิชาพื้นฐานทฤษฎีดนตรีตะวันตก. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. สำเร็จ คำโมง. (2553). ทฤษฎีดนตรีสากล ฉบับบสรรพสูตร. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ ฐานบัณฑิต จำกัด. ไขแสง ศุขวัฒนะ. (2541). สังคีตนิยม ว่าด้วยเรื่องเครื่องดนตรีของวงดุริยางค์. กรุงเทพมหานคร : ไทย วัฒนาพาณิช. เฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี. สังคีตนิยมว่าด้วยดนตรีไทย (ฉบับบปรับปรุง). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โอ เดียนสโตร์. มนตรี ตราโมท. ดุริยางคศาตร์ไทย ภาควิชาการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : มติชน. ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล. (2547). สานฝันด้วยเพลงมาฝึกร้องเพลงกันเถิด. พิมพ์ครั้งที่ 4 กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บ้านเพลง. ณัชชา โสคติยานุรักษ์. (2545). ทฤษฎีดนตรี. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
73 บรรณานุกรม (เว็ปไซต์) การขับร้องและบรรเลงเพลงสากล. เข้าถึงได้ https://www.kroobannok.com/news_file/p94923141958.pdf : 30 มิถุนายน 2564. การปฏิบัติดนตรีสากล. เข้าถึงได้ http://koob.samroiwit.ac.th/montri01 : 30 มิถุนายน 2564. ความรู้เรื่องดนตรีอาเซียน. เข้าถึงได้ file:///Users/macbookpro13/Documents : 30 มิถุนายน 2564. รูปภาพเครื่องดนตรี. เข้าถึงได้ https://www.pinterest.com : 30 มิถุนายน 2564.
แผนการจัดการเรียนรู้และแผนการประเมินผลการเรียนรู้ ฉบับย่อ รายวิชา ศ30103 ชื่อวิชา ดนตรีปฏิบัติ จำนวน 0.5 หน่วยกิต เวลาเรียน 1 คาบ/สัปดาห์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ผู้สอน : ครูโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. คำอธิบายรายวิชา ศึกษาเครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีสากล บันไดเสียง เรียนรู้โน้ต บทเพลง การประสมวงของดนตรี ไทยและสากล เข้าใจวิธีดูแลรักษาเครื่องดนตรีอย่างถูกต้อง (K) โดยใช้กระบวนการฝึกทักษะการอ่าน เขียน โน้ตไทยและสากล ตามเครื่องหมายและสัญลักษณ์ของดนตรี สากลและดนตรีไทย โดยการร้องเพลงหรือปฏิบัติดนตรีเดี่ยว และรวมวงโดยเน้นรูปแบบการแสดงออกและคุณภาพ การแสดง โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบรูปแบบของบทเพลง และวงดนตรีแต่ละประเภท สามารถประเมินทักษะการ ปฏิบัติการทางดนตรีของตนเองและผู้อื่น โดยนำไปประยุกต์ใช้ในงานอื่นๆ สามารถดูแลรักษาเครื่องดนตรีได้อย่าง ถูกต้องตามวิธีการ วิเคราะห์และเสนอแนวทางส่งเสริม และอนุรักษ์ดนตรีในฐานะมรดกของชาติ(P) เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะ ตระหนักในเทคนิคการปฏิบัติดนตรี การถ่ายทอดอารมณ์เพลงโดยเน้นการกล้า แสดงออก และมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพของการปฏิบัติดนตรีได้ด้วยความชื่นชมรวมทั้งให้ผู้เรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และรัก ความเป็นไทย (A) 2. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 1. เปรียบเทียบรูปแบบของบทเพลงและการประสมวงดนตรีแต่ละประเภท (ศ 2.1 ม.4-6/1) 2. อ่านเขียนโน้ตดนตรีไทยและสากลในอัตราจังหวะต่างๆ (ศ 2.1 ม.4-6/4) 3. ร้องเพลงหรือเล่นดนตรีเดี่ยวและรวมวงโดยเน้นเทคนิคการแสดงออกและคุณภาพของการแสดง (ศ 2.1 ม.4-6/5) 4. สร้างเกณฑ์สำหรับประเมินคุณภาพการประพันธ์และการเล่นดนตรีของตนเองและผู้อื่น (ศ 2.1 ม.4-6/6) 5. นำดนตรีไปประยุกต์ใช้ในงานอื่นๆ (ศ 2.1 ม.4-6/8) 6. นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมและอนุรักษ์ดนตรีในฐานะมรดกของชาติ(ศ 2.2 ม.4-6/5)
3. กำหนดการจัดการเรียนรู้ สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผล การเรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการสอน/ เรียนรู้ 1 1 การปฐมนิเทศรายวิชา - แนะนำผู้สอนและผู้เรียน - ชี้แจงเกี่ยวกับเกณฑ์ ประเมินผล การปฐมนิเทศรายวิชา แนะนำผู้สอนและผู้เรียน ชี้แจงเกี่ยวกับเกณฑ์ ประเมินผล วิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ - ศึกษาองค์ประกอบของ ดนตรีไทยและดนตรีสากล ที่มาจากวัฒนธรรมต่างกัน เนื้อหา 1. ความเข้าใจความสำคัญ ของรายวิชาดนตรีปฏิบัติ 2. อธิบายความหมาย ความสำคัญ และขอบเขต สาระวิชาดนตรีปฏิบัติได้ 3. บอกวิธีการเรียนและ ข้อตกลงในการเรียนและการ ประเมินผลได้ - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point 2-3 2-3 หน่วยที่ 1 ดนตรีตะวันตก - การประสมวงดนตรี ตะวันตก - ประเภทของบทเพลง ศ 2.1 ม.4-6/1 ศึกษารูปแบบของการรวมวง แต่ละประเภท ลักษณะของ บทเพลงที่ใช้ในการบรรเลง และโอกาสที่ใช้แสดง วิเคราะห์รูปแบบและ โครงสร้างของบทเพลง เนื้อหา -วงแชมเบอร์ -วงออร์เคสตร้า -วงซิมโฟนิคแบนด์ -บทเพลงโซนาต้า เอกสาร ประกอบการ เรียน web – based learning - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point
สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผล การเรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการสอน/ เรียนรู้ -บทเพลงซิมโฟนี -บทเพลงคอนแชร์โต้ -บทเพลงโอเวอเจอร์ -บทเพลงโอเปรา - สื่อวีดีทัศน์ 4-6 4-6 หน่วยที่ 2 โน้ตสากลกับการปฏิบัติ ศ 2.1 ม.4-6/4 ศ 2.1 ม.4-6/5 ศ 2.1 ม.4-6/8 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ เครื่องหมายและสัญลักษณ์ ทางดนตรีสากล และการ ปฏิบัติโน้ตสากล ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ระบบเสียงดนตรีสากล โครงสร้างบันไดเสียงเมเจอร์ เนื้อหา - เครื่องหมายและสัญลักษณ์ ดนตรีสากล - เทคนิคการปฏิบัติตามโน้ต ดนตรีสากล -บันไดเสียงเมเจอร์ เอกสาร ประกอบการ เรียน web – based learning 7-9 7-9 หน่วยที่3 การถ่ายทอดอารมณ์เพลง ศ 2.1 ม.4-6/5 ปฏิบัติเครื่องดนตรีสากลโดย เน้นที่เทคนิคการแสดงออก ตามอารมณ์เพลง ปฏิบัติเครื่องดนตรีสากล โดย เน้นที่คุณภาพของการแสดง ด้วยการปฏิบัติแบบเดี่ยวและ รวมวง เนื้อหา - การปฏิบัติเครื่องดนตรี สากล เครื่องดนตรี เอกสาร ประกอบการ เรียน web – based learning 10 10 สอบกลางภาค 11 11 หน่วยที่ 4 รู้จักเครื่องดนตรีไทยที่ ปฏิบัติ ศ 2.1 ม.4-6/1 ศึกษารูปแบบของการรวมวง แต่ละประเภท ลักษณะของ เอกสาร ประกอบการ เรียน
สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผล การเรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการสอน/ เรียนรู้ - ประเภทของการประสม วงดนตรีไทย - ประเภทของบทเพลง ไทย บทเพลงที่ใช้ในการบรรเลง และโอกาสที่ใช้แสดง ประวัติที่มาและประเภทของ เครื่องดนตรีไทยที่ปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติและการดูแล รักษาเครื่องดนตรีที่ปฏิบัติ เนื้อหา - ประเภทของวงดนตรีไทย -ประวัติที่มาและประเภทของ เครื่องดนตรีไทยที่ปฏิบัติ -วิธีปฏิบัติ และการดูแลรักษา เครื่องดนตรีที่ปฏิบัติ - บทเพลงไทย เครื่องดนตรี 12-13 12-13 หน่วยที่ 5 เทคนิคการปฏิบัติเครื่อง ดนตรีไทย ศ 2.1 ม.4-6/4 ศ 2.1 ม.4-6/5 ศ 2.1 ม.4-6/8 สามารถปฏิบัติเครื่องดนตรี ไทยด้วยบทเพลงสั้นๆได้ เนื้อหา การปฏิบัติเครื่องดนตรีไทย ด้วยแบบฝึกเพลง เครื่องดนตรี แบบฝึกเพลง 14-17 14-17 หน่วยที่ 6 การถ่ายทอดอารมณ์เพลง ศ 2.1 ม.4-6/5 ศ 2.2 ม.4-6/5 - สามารถปฏิบัติเครื่องดนตรี ไทยโดยเพิ่มการใช้เทคนิค ด้านศัพท์สังคีต - สามารถบรรเลงเดี่ยวและ รวมวงโดยเน้นที่คุณภาพของ การบรรเลงได้ - นำเสนอแนวทางในการ ส่งเสริมและอนุรักษ์ดนตรี เนื้อหา - การปฏิบัติดนตรีไทย พื้นฐานโดยเพิ่มการใช้เทคนิค ด้านศัพท์สังคีต เครื่องดนตรี
สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผล การเรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการสอน/ เรียนรู้ - การปฏิบัติดนตรีไทยโดย เน้นที่คุณภาพของการแสดง ด้วยการปฏิบัติแบบเดี่ยวและ รวมวง - การอภิปรายการส่งเสริม อนุรักษ์ดนตรีไทย 18-19 18-19 หน่วยที่7 การประเมินพัฒนาการ ทักษะทางดนตรี ศ 2.1 ม.4-6/6 - ศึกษาหลักการประเมิน พัฒนาการทักษะทางดนตรี - ประเมินพัฒนาการทักษะ ทางดนตรีของตนเอง เนื้อหา ให้นักเรียนศึกษา หลักการประเมินพัฒนาการ ทักษะทางดนตรี - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point - สื่อวีดีทัศน์ - Internet - เครื่องดนตรี 20 สอบปลายกลางภาค