The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by lek_toom_pang, 2024-05-25 03:38:50

องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ "ไทใหญ่"

ไทใหญ่

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก คำนำ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร มีโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบ ๑๕๓ โรงเรียน สถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการประกอบไปด้วยผู้คน หลากหลายเชื้อชาติทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้าน วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน อีกทั้งการติดต่อระหว่าง สถานศึกษาในเขตพื้นที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่ได้กำหนดไว้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพัน บ้านเกิด โดยได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนที่มีความตระหนักรู้จักท้องถิ่นของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรมประเพณี อันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงจัดทำ องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.สภาพทั่วไปของชุมชนในเขตพื้นที่บริการของโรงเรียน ๒.ประวัติความเป็นมาของชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๓.สภาพเศรษฐกิจ ๔.สาธารณูปโภค ๕.แหล่งท่องเที่ยว ๖.แหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ๗.หน่วยงาน รัฐ/เอกชน และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑.ชนชาติ/ชาติพันธุ์ ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕.ประเพณี/พิธีกรรม/ งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ปราชญ์ท้องถิ่น คณะกรรมการจัดทำ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ร่วมจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเรื่อง องค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ไว้ณ โอกาสนี้และหวังว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นแนวทางให้สถานศึกษาได้ นำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเอง ตามบริบทของสถานศึกษา ผู้จัดทำ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทนำ ค ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ๓ ศิลปวัฒนธรรม ๔ ภาษา/วรรณกรรม ๑๔ ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน ๒๑ ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๒๘ ศาสนาและความเชื่อ ๕๓ ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน ๕๙ บรรณานุกรม 68 ภาคผนวก 69


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก บทนำ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 54 ระบุไว้ว่า การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของ ตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 มาตรา 7 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่ง ปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข รู้จักรักษา และส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติ รวมทั้ง ส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถใน การประกอบอาชีพ รู้จักตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าภารกิจในการจัดการศึกษา นอกจากต้องจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเกิดความรู้คู่คุณธรรมแล้ว ยังต้องจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพของ ท้องถิ่น เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ชีวิตจริงของตนเองในท้องถิ่น เรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมา สภาพเศรษฐกิจ สังคมการดำรงชีวิต ภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ตลอดจนให้มีความรัก ความผูกพัน และ มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อ การประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตในสังคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย อำเภอไชยปราการ อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง ครอบคลุม พื้นที่รับผิดชอบ 4,893 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา ป่าไม้ และเป็นเขตชายแดน มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นแนวยาวมีระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร การจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีโรงเรียนที่อยู่ใน ความรับผิดชอบจำนวน 153 โรงเรียน การคมนาคมซับซ้อน และการติดต่อระหว่างสถานศึกษาเป็นไปด้วย ความยากลำบาก เนื่องจากสถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกล ตั้งอยู่บนภูเขาสูง ผู้รับบริการ ประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทำให้มีความแตกต่างและมีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา อาหาร การแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในท้องถิ่นที่แตกต่างกัน นักเรียนส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว จะเดินทางเข้าตัวเมืองเพื่อศึกษาต่อและประกอบอาชีพ คนวัยทำงานมีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปในเมืองใหญ่ เนื่องจากแรงดึง (Pull force) ในด้านค่าตอบแทน ความเจริญในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ จึงได้ เล็งเห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ประเพณีทางสังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจและภาคภูมิใจในตนเอง ชุมชน สังคม วัฒนธรรม สามารถแสวงหาบทบาทใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ชุมชนท้องถิ่น นำไปสู่การคิดค้นหาแนวทางการพัฒนาหรือ แก้ปัญหา ช่วยสร้างพลังผลักดันให้ชุมชนขับเคลื่อนไปในทางที่ดีสอดคล้องกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง ของสังคมในปัจจุบัน โดยหลักสูตรท้องถิ่น เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรัก ความหวงแหน และภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอน สามารถนําสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ก เกิดสัมฤทธิ์ผลบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง โดยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความตระหนักรู้จักท้องถิ่น ของตน สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงหวงแหนวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา จึงได้จัดทำโครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด เพื่อสำรวจ รวบรวมและจัดทำ ข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น เพื่อรวบรวมข้อมูลสารสนเทศของท้องถิ่น ประกอบไปด้วยข้อมูลด้าน ๒ ด้าน คือ ด้านที่ ๑ ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป และด้านที่ ๒ ข้อมูลด้านชาติพันธุ์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑. ชนชาติ/ชาติพันธุ์ในชุมชน ๒.ศิลปวัฒนธรรม ๓.ภาษา/วรรณกรรม ๔.ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ๕. ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล ๖.ศาสนาและความเชื่อ ๗.ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน รวมทั้งสภาพ ปัญหาในชุมชน เพื่อจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่สถานศึกษาสามารถนำสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ไปจัด ประสบการณ์ในหลักสูตรท้องถิ่นของตนเองตามบริบทของสถานศึกษา โดยครอบคลุม 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ การจัดทำองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์นี้ จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมองค์ความรู้ในด้านความหลากหลาย ของชาติพันธุ์ จำนวน 15 ชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่รวมกันในพื้นที่อำเภอฝาง แม่อาย ไชยปราการ เชียงดาว และ เวียงแหง โดยได้รวบรวมข้อมูลด้านชาติพันธุ์จากการสำรวจชุมชนของโรงเรียนต่างๆ ในสำนักงานเขต พื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 3 และตัวแทนครูจากทุกโรงเรียน จำนวนทั้งสิ้น 153 โรงเรียน ได้สังเคราะห์ข้อมูลในการจัดทำองค์ความรู้ดังกล่าว เพื่อเป็นหนังสือองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ของสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 โดยโรงเรียนสามารถเลือก คัดสรร ในการนำองค์ความรู้ไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอน และการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 ต่อไป คณะผู้จัดทำ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑ PHOTO 0 ไทใหญ่ หรือ ฉาน (ไทใหญ่: ไต๊, พม่า; IPA: จีนตัวย่อ: 掸族; พินอิน: Shàn zú) คือกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูล ภาษาไท-กะได ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขนาด ใหญ่อันดับสองของพม่า ส่วนมากอาศัยใน รัฐฉาน ประเทศพม่าและบางส่วนอาศัยอยู่ บริเวณดอยไตแลง ชายแดนประเทศไทยประเทศพม่า ไทใหญ่ บทนำ ไทใหญ่ (Tai Yai) ฉาน (Shan) ไต (Tai) หรือ เงี้ยว (Ngeaw) คือ กลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลภาษาไทกะได สำหรับคนไทยภาคกลางนั้น รู้จักไทใหญ่นับจากสมัยอยุธยา เช่น ตัวอย่างคำเรียกไทใหญ่ใน กฎหมายตราสามดวง เมื่อ พ.ศ. 2042 ในบันทึกของ เดอ ลา ลูร์แบร์ ราชทูตฝรั่งเศสจากราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 ที่เดินทางมากรุงศรี อยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2229 – 2231 บันทึกไว้ว่า ชาวสยามเรียกตนเอง ว่าไทน้อย(เซียมเล็ก) ส่วนคนที่อยู่ในภาคเหนือเรียกว่า ไทใหญ่ (เซียม ใหญ่) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังไม่เจริญในยุคนั้น ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ คนสยามมักเรียกไทใหญ่ว่า ‘เงี้ยว’ เช่นเดียวกับชาวล้านนาที่เรียกไท ใหญ่ว่า ‘เงี้ยว’ กลุ่มไทใหญ่เป็นกลุ่มที่อยู่ในดินแดนกับไทเขิน กับไท ลื้อ ที่อยู่ในภาคเหนือของไทย ซึ่งโดยมากจะอยู่บริเวณด้านทิศ ตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน และที่ราบสูงฉาน มาตั้งแต่อดีต เนื่องจาก ยังไม่มีการแบ่งพรมแดนระหว่างรัฐฉานกับล้านนาอย่างแน่ชัด กระทั่ง พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ รัฐของไทใหญ่หรือรัฐฉาน จึงอยู่ใน ดินแดนของพม่า ชาวไทใหญ่ แต่เดิมอาศัยอยู่ในรัฐฉานประเทศพม่าเป็นส่วน ใหญ่และมีบางส่วนที่อาศัยอยู่บริเวณดอยไตแลง ชายแดนไทย-พม่า ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในประเทศ พม่ามีมากกว่า 3 ถึง 4 ล้านคน และ มีหลายแสนคนที่ได้ อพยพเข้าสู่ประเทศไทยมาช้านานและในปัจจุบัน ก็ยังมีการอพยพอย่างต่อเนื่องสาเหตุมาจากการหลบหนีภัยทางการ เมือง หางานทำเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และหลบหนีจากการ ถูกคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศ ไทใหญ่เรียกตนเองว่า “คนไท (คนไต)” จากการศึกษาระบุ บุคลิกลักษณะของ ไทใหญ่ว่า ไทใหญ่เป็นกลุ่มที่รู้จักประหยัดเรื่องการ ใช้จ่ายเงินทอง พวกเขาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตภูเขา ดังนั้นจึงมีความ ยากลำบากในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แต่คนไทใหญ่มี ความสามารถด้านการเพาะปลูก และค้าขายเก่ง จึงสามารถเลี้ยง ครอบครัวได้อย่างมีความสุข ไทใหญ่เป็นกลุ่มที่รักความสงบแต่ในเวลา รบหรือมีศึกสงครามก็ช่วยกันรบอย่างกล้าหาญและเหี้ยมโหด ไทใหญ่ หากอยู่ด้วยกันมักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งในกลุ่มของพวกเขา ดังนั้นจึง มักมีการย้ายถิ่นที่อยู่บ่อยครั้ง คำเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยคำว่า ไท หรือ ไต มีหลายกลุ่ม เช่น ไทดำ ไทแดง ไทขาว และอื่นๆ สำหรับกลุ่มไทใหญ่นั้นมีชื่อ เรียกต่าง ๆ เช่น ชาน หรือ ฉาน อะซาม ไทนา ไทน้ำ หรือ สุยไต่ เป็นต้น


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒ PHOTO ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมพม่า และ ได้ นำกลับมาเผยแพร่แก่ประชาชนไทใหญ่ใน รูปแบบของภาษา ดนตรี นาฏศิลป์ และ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ไทใหญ่ ไทใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ ในภาคเหนือของไทยนั้น มีไทใหญ่อยู่ทุกจังหวัด ในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ มีไทใหญ่อยู่เป็นจำนวนมากที่ อำเภอฝาง ในพื้นที่นี้มี ไทใหญ่อยู่อย่างหนาแน่น เนื่องจากว่าอยู่ติดประเทศพม่า ดังนั้นจึงมี ไทใหญ่อพยพเข้ามาอยู่จำนวนมาก สำหรับอำเภอฝางนั้นมีความ เป็นมาที่เนิ่นนาน งานเขียนระบุว่า ในสมัยพระยามังราย เมื่อสร้าง เมืองเชียงรายแล้ว จึงสร้างเมืองฝางที่ริมฝั่งแม่น้ำแม่ใจ ซึ่งทุกวันนี้คือ สุขาภิบาลเวียงฝาง พระยามังรายทรงอยู่ที่เมืองฝางเป็นเวลา 15 ปี จึงยกทัพไปตีเมืองหริภุญไชย เมื่อ พ.ศ. 1824 และสร้างเมือง เชียงใหม่เรียบร้อย เมื่อ พ.ศ. 1839 นับจากนั้นเมืองฝางจึงเป็นเมือง ลูกหลวงของเมืองเชียงใหม่ ปกครองโดยเชื้อพระวงศ์กับขุนนาง เมื่อ พ.ศ. 2172 พระเจ้าสุทโธธรรมราชาขึ้นครองราชย์ จึง ยกทัพไปตีเมืองต่างๆ ของไทใหญ่กับเมืองเชียงใหม่ แต่กองทัพพม่าไม่ สามารถตีเมืองฝางที่มีพระยาฝางเป็นเจ้าเมือง โดยนำชาวเมืองฝางสู้ รบกับพม่าเป็นเวลากว่าสามปี ก็ก็ไม่อาจสู้กับพม่าได้ดังนั้นเมืองฝางจึง พ่ายแพ้แก่พม่าเมื่อ พ.ศ. 217 และอยู่ในการปกครองของพม่าเป็น เวลาร้อยปีเศษ กระทั่ง ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เมืองฝางจึงถูกผนวก เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม ซึ่งในเวลานั้นเมืองฝางเป็นเมือง ร้างและมีประชากรไม่มาก กระทั่งถึง พ.ศ. 2434 ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์จึงทรงให้พระยามหาธิวงศ์ราชาธิบดี เป็นเจ้าปกครองส่วนภูมิภาค ดังนั้นเมืองฝางจึงมีฐานะเป็นอำเภอใน พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่นับแต่นั้น (สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2558) ปัจจุบันชาวไทใหญ่ได้กระจายอยู่ทั่วไปในทุกอำเภอของ จังหวัดเชียงใหม่ ชาวไทใหญ่มีวิถีการดำเนินชีวิตไม่ต่างไปจากชาว พื้นเมือง มีความผูกพันกับป่าอย่างแยกจากกันไม่ออก มีการใช้ ประโยชน์ จากทรัพยากรป่าไม้จำนวนมาก โดยจัดเป็นแหล่งที่มาของ ปัจจัยสี่ อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค การที่ชาวพื้นเมืองมีวิถีชีวิตผูกพันกับป่าตามแบบวิธีของชาวบ้าน โดยเฉพาะต้องพึ่งพาอาศัย ธรรมชาติ ทำให้เกิดการนำเอาวัฒนธรรม ของตนมาปรับใช้ให้เข้ากับปัจจัยที่มีอยู่รอบตัวก่อเกิดเป็นองค์ความรู้


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓ การแสดงฟ้ อนกิงกะหร่า การแต่งการผู้หญิงไทใหญ่ วิถีชีวิตของชาวไทใหญ่ 1. ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป ชนเผ่าไทใหญ่อาศัยและกระจายตัวอยู่ในทุกตำบลของพื้นที่อำเภอฝาง ได้แก่ บ้านเหมืองแร่ บ้านต้นผึ้ง บ้านป่าบง บ้านหัวฝาย บ้านโป่งน้ำร้อน บ้านห้วยบอน บ้านแม่ใจ บ้านห้วยเฮี่ยน บ้านศรีดอนชัย บ้านสันทรายคองน้อย บ้านลาน บ้านหัวนา บ้านเวียงหวาย บ้านหนองขวาง บ้านม่อนปิ่น บ้านม่วงชุม บ้านเด่นใหม่ บ้านสันต้นเปา บ้านสันม่วง บ้านดงป่าลัน บ้านแม่ข่า บ้านโป่งนก บ้านแม่คะ บ้านห้วยไคร้ บ้านปางปอย บ้านแม่งอนกลาง บ้านยาง บ้านทุ่งหลุก บ้านห้วยห้อม บ้านหลวง(อ่างขาง) บ้านต้นส้าน บ้านแม่สูนน้อย บ้านแม่สูนหลวง บ้านสันป่าแดง บ้านหนองยาว บ้านปางสัก บ้านห้วยงูกลาง บ้านนันทาราม บ้านสันทราย และบ้านสันต้นดู่ อำเภอเชียงดาว ได้แก่ บ้านถ้ำ บ้านทุ่งหลุก บ้านดอน บ้านวังจ๊อม บ้านทุ่งละคร บ้านปางแดง บ้านห้วย ทรายขาว บ้านต้นน้ำขุนคอง บ้านแม่กอนใน บ้านทุ่งข้าวพวง บ้านแกน้อย บ้านหนองเขียว บ้านเมืองนะ บ้านแม่ป๋าม บ้านออน บ้านปางเฟือง บ้านมิตรมวลชน บ้านห้วยจะค่าน บ้านปางมะเยา บ้านวังมะริว บ้านเมือง คอง บ้านใหม่หนองบัว บ้านใหม่ บ้านเมืองงาย บ้านแม่นะ บ้านสบคาบ บ้านปางมะโอ บ้านจอมคีรี บ้านแม่แมะ บ้านแม่อ้อใน บ้านป่าบง บ้านอรุโนทัย บ้านรินหลวง บ้านนาหวาย บ้านน้ำรู บ้านหนองบัว และ บ้านดอยสามหมื่น อำเภอแม่อาย ได้แก่ บ้านห้วยศาลา บ้านผาใต้ บ้านเมืองงาม บ้านสุขฤทัย บ้านท่ามะแกง บ้านห้วย น้ำเย็น บ้านห้วยปู บ้านสันต้นดู่ บ้านท่าตอน บ้านหลวง บ้านป่าแดง บ้านป่าก๊อ บ้านสันปอธง บ้านสันต้นหมื้อ บ้านโละ บ้านห้วยม่วง บ้านคาย บ้านหนองขี้นกยาง บ้านฮ่างต่ำ บ้านสันป่าเหียว บ้านปางต้นเดื่อ บ้านเอก บ้านดอนชัย บ้านโป่งไฮ บ้านสันป่าข่า บ้านแม่ฮ่าง บ้านห้วยป่าซาง บ้านแม่สาว บ้านดง อำเภอเวียงแหง ได้แก่ บ้านม่วงป๊อก บ้านเปียงหลวง บ้านปางป๋อ บ้านกองลม บ้านนามน บ้านจอง บ้านห้วยไคร้ บ้านเวียงแหง อำเภอไชยปราการ ได้แก่ บ้านห้วยบง บ้านปงตำ บ้านอวัญญวาสี บ้านท่า บ้านห้วยไผ่ บ้านต้นโชค บ้านปง บ้านสินชัย บ้านใหม่หนองบัว บ้านสันติวนา บ้านผาแดง บ้านแม่ทะลบ บ้านป่างิ้ว บ้านป่าแดง บ้านแม่ขิ บ้านถ้ำตับเตา บ้านอ่าย บ้านศรีดงเย็น บ้านเวียงผาพัฒนา ข้อมูลด้านสภาพทั่วไป


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔ กุ๊บไต การแต่งกาย ผู้ชายและผู้หญิงชาวไทใหญ่ คัว่ถัว่เน่าซา 2. ศิลปวัฒนธรรม 2.1 การแต่งกาย ภาพที่ 1 การแต่งกาย ผู้ชายและผู้หญิงชาวไทใหญ่ (ภาพโดย ดวงดี เป็งสุรินทร์) การแต่งกาย ผู้ชายและผู้หญิงชาวไทใหญ่ มีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่า ดังต่อไปนี้ (พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, 2553) ➢ การแต่งกายของผู้ชาย เสื้อ : ผู้ชายจะสวมเสื้อกล้ามชั้นใน เสื้อตัว นอกจะเป็นเสื้อคอกลมแขนยาว ไหล่เลยลงมาต่อ ตะเข็บ ตรงกึ่งกลางแขน ผ่าหน้าติดกระดุมขอด 5 คู่ ใช้ผ้าขอดเป็นหัวกระดุมลักษณะหัวแมลงวัน 1 ด้าน อีก 1 ด้าน ทำเป็นห่วงเย็บติดขนานกันเหลือ ห่วงตรงหัวผ้าเป็นหูกระดุม แล้วนำกระดุมมาสอด เข้ากับหูกระดุม เสื้อลักษณะนี้มักสวมใส่ในงาน หรือพิธีสำคัญ ศิลปวัฒนธรรม


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕ กางเกง : เป็นกางเกงขาก๊วย เป้าและขา เหมือนกางเกงของชาวจีน เอวกว้างใช้พับทบเข้ามา พอดีเอว เรียกว่า “ก๋นไต” แล้วคาดด้วยเข็มขัด ผ้าเคนโห : หมายถึง ผ้าโพกศีรษะ เดิมใช้ ผ้าทอ แต่ในปัจจุบันผ้าทอที่ใช้โพกศีรษะโดยตรง หายาก จึงใช้ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าขาวม้ามา ใช้เป็นผ้าโพกศีรษะแทน ➢ การแต่งกายของผู้หญิง เสื้อ : ผู้หญิงชาวไทใหญ่จะแต่งกายที่เป็น แบบแผน ประกอบด้วย เสื้อ และผ้าซิ่น โดยเสื้อ เป็นเสื้อคอกลมแขนยาวขนาดพอดีตัว ตัวสั้น เอวลอย มีส่วนทบตรงอกเสื้อด้านหน้าเรียกว่า “เสื้อ ปั๊ด” ที่มักตัดเย็บด้วยผ้าฝ้าย กระดุมทำจากผ้าขมวดเป็น ปมขัดกัน อาจมีการขดเป็นลวดลายเพื่อ ความ สวยงามมากขึ้น ผ้าซิ่น : ใช้ผ้าที่มีลวดลายเป็นส่วนใหญ่ เย็บตะเข็บเดียวเป็นผ้าถุงธรรมดา จะใช้ผ้าเนื้อนิ่ม สีดำต่อตรงเอว เรียกว่า “หัวซิ่น” เวลานุ่งผ้าก็จะ เหน็บชายหัวซิ่นได้แน่น และใช้เข็มขัดเงินคาดทับ ทรงผม : หญิงชาวไทใหญ่จะไว้ผมยาว และเกล้ามวยไว้เหนือท้ายทอยอย่างเรียบร้อย สวยงาม เรียกว่า “มวยเก่าสะต้อก” ในโอกาสสำคัญ มักจะนำดอกไม้สด ปิ่นปักผม หรือหวีมาปัก ประดับแซมมวยผม เพื่อให้เกิดความสวยงามยิ่งขึ้น เมื่อออกนอกบ้าน ทั้งหญิงและชายจะสวมหมวกที่เรียกว่า “กุ๊บไต” กุ๊บไต คือ หมวกพื้นบ้านไทใหญ่ มีลักษณะคล้ายงอบของภาคกลาง สานจากไม้ไผ่ ชนิดที่ใช้ ทำ ข้าวหลามและเรียกชื่อว่า “ไม้ข้าวหลาม” กุ๊บไตใช้สวมใส่เวลาทำงานกลางแจ้งในเรือกสวนไร่นา ใส่เดินทาง ใช้บังแดดกันฝน กุ๊บไตสามารถใส่กันฝนได้ เพราะเขาจะทาด้วยน้ำมันที่เรียกว่า น้ำมัน เหม็น ซึ่งสามารถกันรั่วซึมได้ บางครั้งข้างในกุ๊บจะกรุด้วยพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง กุ๊บไตเป็นภูมิปัญญา ของชาวบ้าน ในการใช้ไม้ไผ่มาจักสานหมวกใส่กันแดดกันฝน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบต่อกันมาตั้งแต่ บรรพบุรุษจนถึงรุ่นปัจจุบันเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปัจจุบันได้มีการประยุกต์ลวดลาย ให้มีสีสันสวยงามน่าใช้มากขึ้น เพื่อจำหน่ายเป็นของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว ภาพที่ 2 กุ๊บไต (ภาพโดย :https://sanaywienghang.wordpress.com)


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖ 2.2 อาหาร ชาวไทใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวในล้านนาที่นิยมทานข้าวเจ้าเป็นหลัก ใช้ผักเป็นวัตถุดิบหลักใน การประกอบอาหาร โดยเครื่องปรุงได้มาจากพืชผักธรรมชาติ เช่น พริก เกลือ หอม กระเทียม เครื่องปรุงสำคัญ ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทใหญ่คือ “ถั่วเน่า” หรือถั่วเหลืองหมัก มีทั้งถั่วเน่าแผ่น เรียกว่า ถั่วเน่าแข็บ และ ถั่วเหลืองที่หมักและบดละเอียดโดยจะเก็บไว้ในลักษณะคล้ายการเก็บน้ำพริกตาแดงจะไม่ทำให้แห้ง ใช้แทน กะปิ เรียกว่าถั่วเน่าเมอะ ➢ โถ่เน่า (ถั่วเน่า) : เครื่องปรุงอาหารสืบสานวัฒนธรรม โถ่เน่า หรือ ถั่วเน่า เป็นผลผลิตจากถั่วเหลือง เนื่องจากมีพื้นที่การเพาะปลูกถั่วเหลืองเป็น จำนวนมาก ทั้งในพื้นที่ราบลุ่มและในพื้นที่บนภูเขา เป็นสินค้าทางการเกษตรที่ปลูกไว้รับประทานและจำหน่าย ชาวไทใหญ่นำถั่วเหลืองมาแปรรูปทำเป็นถั่วเน่าเพื่อนำมาเป็นเครื่องปรุงอาหารแทนกะปิหรือปลาร้า โดยถั่วเน่า ทำจากถั่วเหลืองที่ผ่านการต้มสุก และปรุงรสชาติด้วยเกลือ พริกย่างป่นทิ้งไว้ 2 – 3 วัน จนมีกลิ่นและมีสีที่ เปลี่ยนไปจากเดิม และมีรสชาติเค็ม เป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของคนไทใหญ่ในสมัยโบราณที่มีอาหารประเภท โปรตีนจากธรรมชาติทดแทนเนื้อสัตว์ หาได้ง่ายกว่าและมีประโยชน์ทดแทนกันได้ หากในยามที่หิวข้าว ก็ สามารถรับประทานถั่วเน่าเป็นกับข้าว ขั้นตอนการทำถั่วเน่า ขั้นตอนแรก นำเมล็ดถั่วเหลืองที่มีคุณภาพนำมาคัดแยกเมล็ดที่เสียออก แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาดและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้ถั่วนิ่ม จากนั้นนำถั่วเหลืองมาซาวน้ำทิ้งไว้ให้พอหมาด ต้มในน้ำเดือดนาน 4 – 6 ชั่วโมง หรือ 1 วัน จนกว่าถั่วจะเปื่อย นำไปใส่ในกระบุง ตะกร้า หรือเข่ง ที่รองและ ปิดทับด้วยใบตองตึงหรือใบตองหาฝาหม้อ หรือไม้ที่หนักๆ มาทับอีกชั้น หมักให้ถั่วอบและร้อนโดยทิ้งไว้ 2 หรือ 3 คืน หรืออาจนำไปตาก ส่วนใหญ่นิยมหมักถั่วเน่า ประมาณ 2 – 3 วัน จะได้ถั่วที่เริ่มเปื่อยยุ่ยและส่ง กลิ่นเล็กน้อย โดยมีกลิ่นและรสชาติกำลังดี เรียกว่า ถั่วเน่าซา (ถั่วเน่าที่ยังเป็นเมล็ด คล้ายเต้าเจี้ยวของคนจีน แต่ไม่มีน้ำ) ➢ คั่วถั่วเน่าซา การนำถั่วเน่าที่ผ่านจากการหมักโดยถั่วที่เริ่มเปื่อยยุ่ย เรียกว่า “ถั่วเน่าซา” สามารถนำไป ประกอบอาหาร เช่น เอามาผัดกับไข่ หอมแดง กระเทียม หรือถั่วเน่าซาใช้ผัดกับเนื้อไก่หรือหมู เรียก ถั่วเน่าซา คั่ว ภาพที่ 3 คั่วถั่วเน่าซา


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗ ➢ ถั่วเน่าเมอะ การนำถั่วเน่าซามาโขลกหรือบดให้ละเอียดจนกลายเป็นสีไข่ไก่แล้วนิยมนำมาห่อใบตองปิ้งจะ เรียกว่า “ถั่วเน่าเมอะ” ภาพที่ 4 ถั่วเน่าเมอะ ➢ ถั่วเน่าแข็บ การนำ “ถั่วเน่าเมอะ” มาทำเป็นแผ่นวงกลมตากแห้งแล้วเป็นสีน้ำตาล ก็จะเรียก “ถั่วเน่า แข็บ” และในปัจจุบันถั่วเน่าแข็บยังมีการพัฒนาและนำมาแปรรูปเป็นถั่วเน่าผง เพื่อความสะดวกในการปรุงรส ของอาหาร วิธีการทำถั่วเน่าแข็บ นำถั่วเหลืองมาต้มเกือบทั้งวัน แล้วคอยเติมน้ำเรื่อย ๆ จนกว่าถั่วจะเปื่อย จากนั้นก็นำมาหมักประมาณ 3 วัน ให้พอขึ้นรานิด ๆ แล้วก็นำมาตำโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาแบ่งเป็นก้อน กลม ๆ จากนั้นนำใบไม้ มาประกบกันแล้วตีเข้าหากันจนถั่วเน่าเป็นแผ่นกลมและบาง จากนั้นนำไปเรียงใส่ ภาชนะแล้วตากแดดประมาณ 2 วัน พอแห้งดีก็สามารถนำมาย่างถ่านไฟให้หอมกรอบ เพื่อนำมาทำเป็น ส่วนผสมในแกง น้ำพริกต่างๆ ถั่วเน่าแข็บจะมีรสจืดเพราะไม่ได้ปรุงรสอะไร โดยจะช่วยเพิ่มความนัวและอร่อย ให้แก่อาหาร ถือส่วนประกอบที่สำคัญที่ใช้ในการประกอบอาหารอื่นๆอีกมากมาย เช่น ขนมจีนน้ำเงี้ยว น้ำพริก ภาพที่ 5 ถั่วเน่าแข็บ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘ ➢ ข้าวปุก เป็นขนมของชาวไทใหญ่ นิยมกินกันในช่วงอากาศหนาว มีลักษณะคล้ายกับขนมโมจิของญี่ปุ่น แต่เป็นสีดำ ทำจากข้าวเหนียว และใส่งาขี้ม่อน ตำด้วยครกกระเดื่องขนาดใหญ่ หรือครกมือ เวลาตำจะมีเสียง ดัง “ปุก..ปุก” จึงเป็นที่มาของชื่อขนมข้าวปุก ภาพที่ 6 ข้าวปุก ➢ ขนมจีนน้ำเงี้ยว เดิมทีแล้วนั้นขนมจีนน้ำเงี้ยวเป็นอาหารของชาวไทใหญ่ โดยน้ำเงี้ยวนั้นจะเป็นน้ำแกงสีแดงส้ม เข้มข้นด้วยเนื้อหมูสับ หรือซี่โครงหมูอ่อน เลือดหั่นชิ้น และมีรสเปรี้ยวจากมะเขือเทศ ทางภาคเหนือจะใช้มะเขือเทศลูกเล็ก หรือที่เรียกว่า มะเขือส้ม ผสมเข้ากับเครื่องแกง โดยมี พริก ตะไคร้ รากผักชี กระเทียมไทย และขมิ้นสด และเครื่องปรุงที่สำคัญมาก ๆ คือ ถั่วเน่า ตำให้ละเอียด แล้ว ผัดเครื่องแกงเข้าด้วยกัน โดยถั่วเน่านั้น ถือว่าเป็นเครื่องปรุงพื้นฐาน เปรียบเสมือนกะปิของคนเหนือ มีรสชาติเค็ม กลม กล่อม และมีกลิ่นหอมเย้ายวน และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำน้ำเงี้ยวคือ การใส่ดอกงิ้ว ซึ่งเป็น ดอกนุ่นพันธุ์พื้นเมือง ที่มีกลิ่นหอมและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ภาพที่ 7 ขนมจีนน้ำเงี้ยว


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๙ ➢ อ๊บไก่ หรือ อุ๊บไก่ ชาวไทใหญ่ชอบปรุงอาหาร ด้วยวิธีที่เรียกว่า "อุ๊บ" ซึ่งมีรสชาติ เผ็ด มัน เค็ม ครบรส อุ๊บ สามารถทำอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกอุ๊บ ไก่อุ๊บ หมูอุ๊บ เป็นต้น ส่วนเมนูไก่อุ๊บ วัตถุดิบสำคัญ คือ "ไก่เมือง" หรือ "ไก่บ้าน" ซึ่งมีความโดดเด่นด้านเนื้อแน่น และรสชาติหวานอร่อยกว่าไก่พันธุ์ อุ๊บไก่ คือ ไก่อบด้วยเครื่องแกงที่มี พริก หอม กระเทียม ขิง ตะไคร้ ปรุงรสด้วยถั่วเน่า เกลือ ซีอิ๊ว ภาพที่ 8 อ๊บไก่ หรือ อุ๊บไก่ วัตถุดิบของไก่อุ๊บ 1. ไก่เมือง สับไก่ให้เป็นชิ้นพอดีคำ 2. มะเขือเทศ 3. ตะไคร้ 4. ข่า 6. ใบมะกรูดฉีก 7. พริกขี้หนู 8. กระเทียม 9. กะปิ วิธีทำ 1. ขั้นตอนแรก นำกระเทียม พริก หอมแดง ข่า แล้วใส่กะปินิดหน่อยตำเข้ากันให้แหลก 2. นำส่วนผสมทั้งหมดที่เราโขลกแล้ว คนใส่ไก่ที่เตรียมไว้ให้ทั่ว แล้วก็ปรุงรสตามใจชอบ 3. พอส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย และตั้งไฟอ่อนรอจนน้ำแห้ง 4. หากน้ำในไก่แห้งก็พร้อมขึ้นโต๊ะจัดเสิร์ฟแล้ว


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๐ ➢ ข้าวซอย ชาวไทใหญ่จะปรุงข้าวซอย 2 แบบ คือ 1. ข้าวซอยน้ำ หรือ ข้าวซอยกะทิ ภาษาพม่าเรียกว่า โอโนะข้าวซอย โอโนะ หมายถึงกะทิ ข้าว ซอยน้ำจะเหมือนกับข้างซอยของทางเมืองเหนือบ้านเรา 2. ข้าวซอยยำ หรือ ข้าวซอยแห้ง ภาษาพม่าเรียกว่า ข้าวซอยโตม โตม หมายถึง ยำ ซึ่งบ้านเรา ไม่มีข้าวซอยยำ ภาพที่ 9 ข้าวซอยน้ำ ภาพที่ 10 ข้าวซอยยำ หรือ ข้าวซอยแห้ง ➢ ถั่วพูอุ่น ถั่วพูอุ่น หรือ ข้าวซอยหนาก ลักษณะคล้ายกับก๋วยเตี๋ยวที่ราดด้วยซุปถั่วเหลืองหนืดข้น ปรุงรส ด้วยเครื่องปรุง ตามด้วยข้าวแรมฟืนทอดซึ่งมีลักษณะคล้ายกับปาท่องโก๋ โรยหน้าด้วยยอดถั่วลันเตาหรือจะใช้ ผักหวานบ้านแทนก็ได้ ที่มาของชื่อถั่วพูอุ่น คือ ต้องทำให้น้ำซุปที่ทำมาจากถั่วเหลืองนั้นอุ่นอยู่ตลอดเวลา ภาพที่ 11 ถั่วพูอุ่น วิธีการทำถั่วพูอุ่น การนำเม็ดถั่วพูไปแช่น้ำไว้ก่อน 1 คืน จากนั้นก็นำมาบดให้ละเอียด แล้วมาเคี่ยวจนน้ำถั่วพูอุ่น กลายเป็นซุปข้น ค่อยปรุงด้วยผงขมิ้น จะได้รสชาติที่หวานได้กินเนื้อถั่วพูเต็ม ๆ คำเวลาทานถั่วพูอุ่นจะมี การเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวลวกพร้อมกับยอดถั่วลันเตาลวด แล้วตักซุปถั่วพูราด ปรุงด้วย ถั่วลิสงบดพริกคั่วน้ำตาล เครื่องปรุงรสซอส และต้นหอมผักชีโรยหน้าด้วยข้าวแรมฟืนทอด


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๑ ➢ ข้าวแรมฟืน เป็นอาหารของพี่น้องชาวไทใหญ่ ทำมาจากข้าวหรือถั่ว ที่ผ่านการโม่ กรอง และเคี่ยวจนเหนียว ข้น นำไปกวนกับน้ำปูนใสจนสุก ตักใส่ภาชนะให้แข็งตัว แล้วจึงตัดแบ่งรับประทาน ถ้าใส่แต่ข้าวอย่างเดียวมีสี ขาวเรียกข้าวฟืนข้าว ใส่ถั่วลันเตาโม่พร้อมกับข้าวจะได้สีเหลืองเรียกข้าวฟืนถั่ว ถ้าใส่ถั่วลิสงโม่พร้อมข้าวจะได้สี ม่วงอ่อน เรียกข้าวฟืนถั่วดิน และหากเป็นลักษณะคล้ายโจ๊กหรือซุปข้นสีเหลือง ราดบนเส้นสีเหลืองคล้ายเส้น หมี่ เรียกว่าข้าวแรมฟืนอุ่น การรับประทานมีได้หลายแบบ ถ้ารับประทานเป็นอาหารคาว จะผสมกับถั่วลิสงคั่ว งา พริก ซีอิ๊วและผักต่างๆ ถ้ารับประทานเป็นอาหารหวาน จะกินกับน้ำกะทิ ถ้ารับประทานเป็นอาหารว่างจะ นำไปทอดแล้วจิ้มกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวาน ภาพที่ 12 ข้าวแรมฟืน ภาพที่ 13 ข้าวแรมฟืนทอด ➢ จิ้นลุง เป็นอาหารไทใหญ่ "จิ้น" คือส่วนที่เป็นเนื้อ เป็นคำเรียก เช่น จิ้นหมูหมายถึง เนื้อหมูจิ้นไก่ หมายถึง เนื้อไก่ เป็นต้น ส่วนคำว่า "ลุง" แปลว่า ก้อนกลมๆ กลิ้งเป็นลูกกลมๆ เมนู"จิ้นลุง" นี้จะใช้หมูสับมา ผสมกับเครื่องเทศ สมุนไพร เครืองแกง แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ มีรสชาตเผ็ดนิดๆ เข้มข้นด้วยสมุนไพรหอม เครื่องเทศเครื่องแกง ภาพที่ 14 จิ้นลุง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๒ วัตถุดิบและส่วนประกอบจิ้นลุง 1. หมูบด 2. เม็ดผักชี 3. ตะไคร้หั่นฝอย 4. หอมแดงสับ 5. กระเทียมปอกเปลือก 6. ผักชี 7. พริกขี้หนูเขียว(หอมดี) 8. หมากสล่า 9. ขมิ้นผง 10.กะปิ 11.เกลือ 12.มะเขือเทศสีดาสับ 13.ผักชีฝรั่งหั่นฝอย 14.น้ำมันพืช วิธีทำ 1. ตำเม็ดผักชีกับตะไคร้ ให้ละเอียดก่อน แล้วใส่ ส่วนประกอบข้อ 4 – 11 ตำรวมกัน 2. เอาแกงเครื่องที่ตำ มาผสมกับ หมูบด มะเขือเทศ ผักชีฝรั่ง นวดทั้งหมดให้เข้ากัน 3. ปั่นเป็นลูกกลมพอดีๆ วางเรียง บนกะทะ 4. เทน้ำมันพืชลงไปในกระทะ ตั้งไฟอ่อนๆ ปิดฝาด้วย ไม่ต้องคน 5. สักพักน้ำผักและหมูจะออกมาเองแล้วจะสุกทั่ว หมูเกาะกันแข็งเป็นก้อน 6. เปิดฝากลับก้อนหมู อีกด้าเบาๆ แล้วเปิดฝาตั้งไฟไว้จนน้ำแห้งเหลือแต่น้ำมัน ➢ น้ำพริกคั่วทราย น้ำพริกคั่วทราย เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวไทใหญ่ มีมาแต่โบราณ ส่วนผสมมีหอมแดง กระเทียม ถั่วเหลืองแผ่น (ถั่วเน่า) พริกและเกลือ ภาพที่ 15 น้ำพริกคั่วทราย


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๓ วัตถุดิบในการทำน้ำพริกคั่วทราย 1. กระเทียม 2. พริกแห้ง 3. แคบหมูติดมันเล็กน้อย 4. ถั่วเน่าแผ่น (ที่ผิงไฟแล้ว) 5. เกลือ / ผงชูรส 6. กุ้งแห้ง วิธีการทำน้ำพริกคั่วทราย 1. นำกระเทียมมาตำให้พอหยาบแล้วนำกระเทียมที่ตำนำไปสับต่อให้พอหยาบ (ไม่ต้องตำ ละเอียดจนเป็นน้ำ, ใส่เกลือเล็กน้อยเวลาตำ) ๒. ตำพริกแห้งให้ละเอียด (ใส่ตามความชอบ ชอบเผ็ดใส่ เยอะ ไม่ชอบเผ็ดใส่น้อย) 3. ตำแคบหมู(ติดมันเล็กน้อย) ตำแคบหมูไม่ต้องละเอียดแค่พอหยาบ 4. ตำถั่วเน่าแผ่น (ใส่ประมาณ 3 – 4 แผ่น) ตำแค่พอหยาบ 5. ตำกุ้งแห้งให้ละเอียด 6. นำกระเทียมที่ตำแล้วนำไปสับ นำมาคั่วกับกระทะ (ใช้ไฟอ่อนๆ) คั่วแค่พอเหลืองสวย เสร็จ นำออกมาพักไว้สะเด็ดน้ำมัน 7. นำกระเทียมที่พักไว้กับ แคบหมูที่ตำแล้ว กุ้งแห้งที่ตำแล้ว ถั่วเน่าแผ่นที่ตำแล้ว พริกแห้งที่ตำ แล้วมาคั่ว ใช้ไฟอ่อนคั่วจนแห้ง สีออกน้ำตาลทอง เป็นอันว่าสำเร็จ แล้วนำมาพักให้หายร้อน 8. นำน้ำพริกคั่วทรายที่พักไว้นำมาใส่ถุงแกง หรือ จะใส่กระป๋องก็ได้(หายร้อนก่อนแล้วค่อยปิด ฝา ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้น้ำพริกคั่วทรายไม่แห้งละมีไอน้ำได้)


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๔ พยัญชนะไทใหญ่ ต านานรักขุนสามลอและนางอูเป่ ม แบบเรียนภาษาไทใหญ่ 3. ภาษา / วรรณกรรม 3.1 ด้านภาษา ภาษาไทใหญ่ หรือ ภาษาไต หรือบ้างก็เรียก ภาษาฉาน เป็นภาษาตระกูลขร้า ไท ใช้พูดใน ภาคเหนือของประเทศพม่า ประเทศไทย เป็นภาษาตระกูลเดียวกับภาษาไทย ถูกใช้โดยคนไต หรือไทใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรัฐฉานประเทศพม่าและในจังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ ประเทศไทย โดยเฉพาะ แม่ฮ่องสอนซึ่งมีคนไตมาอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อน เพราะอยู่ใกล้กับรัฐฉาน โดยลักษณะของภาษานี้จะใกล้เคียง กับคำเมืองและภาษาอีสานในประเทศไทย ภาษาไทใหญ่มีสำเนียงแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น ฉานเหนือ ฉานใต้ เชียงตุง และพรมแดนติด กับจีนเรียกว่า ไทเหนือ สำเนียงของฉานเหนือ และฉานใต้จะแตกต่างโดยชัดเจน ส่วนที่เชียงตุง คนส่วนใหญ่มี เชื้อสายไทขืน โดยมีส่วนต่างกับภาษาไทใหญ่อื่น ๆ มาก และมีศัพท์เฉพาะค่อนข้างมาก และเสียง ร ไม่เป็น ฮ ไปทั้งหมด ภาษาไทใหญ่มีระบบเสียงที่ประกอบไปด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ เช่นเดียวกับภาษาไทย ดังนั้น การที่เราจะเข้าใจภาษาไทใหญ่ เราก็ต้องเริ่มศึกษา และทำความรู้จักกับพยัญชนะ สระ และ องค์ประกอบอื่นๆ ของภาษา เมื่อเข้าใจและจดจำแต่ละองค์ประกอบได้บ้างแล้ว ก็เริ่มทำการประสมเป็นคำ แล้วสร้างเป็นประโยค เพื่อให้สามารถเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมของคนไตได้มากขึ้น เพราะภาษาจะบอกเล่า อะไรหลายๆอย่างได้เป็นอย่างดี ภาษา/วรรณกรรม


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๕ ภาพที่ 16 ตัวอย่างพยัญชนะไทใหญ่ ทั้ง 19 ตัว ภาพที่ 17 ลายมือนักเรียนที่ได้ศึกษาโรงเรียนในรัฐฉาน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๖ ภาพที่ 18 การเทียบตัวอักษรไทย และอักษรไทใหญ่ ตารางที่ 1 แสดงตัวอย่างคำพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวันของนักเรียน ที่ คำอ่าน ความหมาย 1 ปู่ ตา พ่อเฒ่า ๒ ย่า ยาย แม่เฒ่า ๓ ปี้อ้าย พี่ชาย ๔ ปี้นาง พี่สาว ๕ จายอ่อน เด็กชาย ๖ นางอ่อน เด็กหญิง ๗ พระพุทธรูป เจ้าพารา ๘ วัด จอง ๙ เจดีย์ จองมู ๑๐ พระ (รูป) เจ้าหวุ่น ๑๑ สามเณร เจ้าส่าง ๑๒ ผู้ใหญ่บ้าน ปู่แก่ ๑๓ ขนม ข้าวมูล ๑๔ แกง กับข้าว ผัก ๑๕ ขอแสดงความยินดี ยินหลี ยินจม ๑๖ เดินทางปลอดภัย กวาลอยๆ ๑๗ ขนุน หมากลาง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๗ ตารางที่ 1 (ต่อ) จากการสัมภาษณ์และได้ข้อมูลจาก พระเป อภินนโท เจ้าอาวาสวัดหนองเทียนคำ ปัจจุบันมีผู้สืบ ทอดค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เกิดในประเทศไทย ไม่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาไทใหญ่ได้เลย คนไทใหญ่ที่อพยพมาในพื้นที่ ที่ยังพออ่านออกเขียนได้ คือพระสงฆ์ชาวไทใหญ่ และผู้ที่เคยบวชเรียนมาก่อน หรือที่ชาวไทใหญ่เรียกว่า หมอสล่า ซึ่งได้เล่าเรียนมาจากประเทศเมียนมาร์ พระเป อภินนโท เจ้าอาวาสวันหนองเทียนคำ อ.ไชยปราการ พระภิกษุอพยพมาจากเมืองลางเคอ รัฐ ฉาน ประเทศเมียนมาร์ สล่า อ่านว่า สะ-หล่า จะเรียกคนที่เก่งหรือเชี่ยวชาญอย่างใดอย่างหนึ่งว่า “สล่า” เช่น หมอสล่า หมายถึง คนมีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาด้วยตำราโบราณ สมุนไพรการบริกรรมคาถา น้ำมนต์ 3.2 ด้านวรรณกรรม วรรณกรรมไทใหญ่มีทั้งที่เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ (Oral Literature) เรียกว่า “ลีกลายป๋ายปาก” และวรรณกรรมประเภทลายลักษณ์อักษร (Literacy Literature) เรียกว่า “ ลีกลายป๋ายก๋ำ” ลิกลาย หมายถึง ลีลาทางภาษา ป๋ายปาก หมายถึง การสื่อสารโดยใช้ปาก (คำพูด) ก๋ำ หมายถึง เครื่องเขียน เช่น ปากกา ดินสอ ฯลฯ 1. วรรณกรรมมุขปาฐะ เป็นการบอกเล่า สั่งสอน แลกเปลี่ยนความรู้ หรือการแสดงออกทาง อารมณ์ด้วยทำนองเพลงในโอกาสต่างๆ 1.1 วรรณกรรมประเภทมุขปาฐะเกิดขึ้นจากสาเหตุ ดังต่อไปนี้ 1) ตอนแม่หรือพี่เลี้ยง กำลังเลี้ยงเด็ก เช่น กล่อมเด็ก หรือไกวเปลเด็ก จะร้องกล่อมเด็ก เพื่อให้เด็กหลับ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังก็จะสืบทอดจดจำต่อๆกันมา 2) เมื่อนั่งพักผ่อนพร้อมหน้าพร้อมตากัน มักจะมีการทำนายปริศนาต่างๆ หรือเล่า นิทาน ตำนาน ประวัติต่างๆ จะจดจำถ้อยคำและเรื่องราวไว้ถ่ายทอดสืบต่อกันมา 3) เมื่อมีการแสดงดนตรี ละคร การร้องรำทำเพลง จะจดจำทำนองเนื้อร้องทำนอง เพลง ไว้ สืบทอดต่อกันมา 4) โอกาสที่สนุกสนาน ด้วยการละเล่นพื้นบ้าน หรือพักผ่อน เกิดอารมณ์สุนทรีจะเปล่งเป็น เพลงสั้นๆ จะจำและนำไปใช้ต่อๆกันไป ที่ คำอ่าน ความหมาย ๑๘ ส้ม หมากจ๊อก ๑๙ มะขาม หมากแกง ๒๐ มะละกอ หมากซางพอ ๒๑ แตงโม หมากแต๋งเต้า ๒๒ กางเกง โก๋น ๒๓ รองเท้า แค๊บตีน ๒๔ รองเท้าผ้าใบ ซ่อก ๒๕ หมวก โมกโห


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๘ 5) โอกาสที่บิดามารดาสอนบุตรในการประกอบอาชีพ เช่น วิธีทำไร่ ทำนาวิธีดูฤกษ์ยาม การ สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ สอนวิธีถักทอเย็บผ้า ทำอาหาร ฯลฯ จะจดจำและสอนคนรุ่นต่อๆไป 6) ในการฝึกวิชาชีพต่างๆ โดยเฉพาะวิชาช่าง เช่น ช่างตีเหล็ก ช่างเงินช่างทอง ช่าง ไม้ ช่าง ปูน แกะสลัก จักสาน ช่างปั้น ช่างหล่อ ลงรัก ปิดทอง ฯลฯ อดีตไม่มีการบันทึกจะจดจำเป็นช่วงๆครูสอนศิษย์ เป็นทอดๆ 1.2 ประเภทวรรณกรรมมุขปาฐะที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาในแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วย 1) ตำนาน เล่าสืบต่อกันมา ไม่ได้บันทึกไว้เป็นหนังสือในภาษาของชนเผ่าแต่บันทึก ไว้ใน เอกสารภาษาอื่น เช่น ตำนานคนไต (ไทใหญ่) 2) นิทานไทใหญ่ (อะปุ่มไต) เป็นนิทานสั้นใช้เล่าสนุกสนานหรือสร้างเสริมปัญญาให้ ข้อคิดใน การดำรงชีวิต 2. วรรณกรรมประเภทลายลักษณ์อักษร เป็นการจดบันทึกไว้ใน ที่ต่างๆ เช่น แผ่นไม้ แผ่นหนัง แผ่นหิน และกระดาษ เป็นต้น ประเภทของวรรณกรรมลายลักษณ์อักษร ภาพที่ 19 ตำราทางพุทธศาสนา ภาพที่ 20 ตำราความเชื่อทางภูตผี ภาพที่ 21 – 22 วรรณกรรมและงานเขียน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๑๙ ภาพที่ 23 – 24 แบบเรียนภาษาไทใหญ่ ตัวอย่างนิทานไทใหญ่ เรื่อง ตำนานรักขุนสามลอและนางอูเป่ม นานมาแล้ว ณ เมืองเชียงตอง รัฐฉานมีเศรษฐีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีชื่อ นายอูติ่งนะ ส่วนภรรยาชื่อ นางกั่นทะก่านโหย่ง ทั้งสองแต่งงานกันมาหลายปีจึงมีบุตรชายคนแรกและคนเดียวชื่อ “ขุนสามลอ” เมื่อเติบ ใหญ่กลายเป็นหนุ่มรูปงามที่สาวน้อยสาวใหญ่พากันหลงรัก แต่มีหญิงสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ “นางอูแปม” ที่แม่ของ ขุนสามลออยากได้เป็นลูกสะใภ้ แต่บุตรชายกลับไม่เคยสนใจหญิงใดเลย เมื่อถูกแม่รบเร้าให้แต่งงานกับนางอู แปมบ่อยเข้า ขุนสามลอจึงหาทางหลบเลี่ยงด้วยการเดินทางไปค้าขายทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐฉาน ระหว่างทางเขาได้แวะพักที่เมืองกึ๋ง และที่นี่เองที่ทำให้ขุนสามลอพบรักกับนางอูเป่ม สาวงามที่สุดของเมืองนี้ หลังจากพบรักกันไม่นาน ทั้งคู่ก็ตัดสินใจร่วมหอลงโรงไม่นานนักนางอูเป่มก็ตั้งท้องได้ 4 เดือน ขุนสามลอจึงพา เมียรักกลับไปยังบ้านเกิด เมื่อทั้งสองกลับไปถึงนางกั่นทะก่านโหย่งไม่พอใจอย่างมากที่ขุนสามลอแอบหนี ไป แต่งงานกับสาวอื่นที่ไม่ใช่นางอูแปม คู่หมั้นคู่หมายที่นางกั่นทะโหย่งหาให้ แม่ผัวจึงไม่ชอบหน้าลูกสะใภ้เป็น อย่างมากและหาทางกลั้นแกล้งต่างๆ นานาในช่วงที่ขุนสามลอออกไปค้าขายต่างเมือง วันหนึ่ง ฝ่ายแม่ผัวออกอุบายให้ลูกสะใภ้ออกไปเดินเล่นน้ำ ที่ท่าน้ำ ระหว่างนั้นแอบทำกับดักโดยซ่อน ของมีคมไว้ใต้บันไดที่แกล้งทำให้ชำรุดไว้ เมื่อนางอูเป่มกลับมาจากท่าน้ำและขึ้นบันได นางจึงเสียหลักล้มลงใส่ กับดักจนแท้งลูก นางรู้ดีว่าเป็นฝีมือแม่สามีจึงหนีกลับบ้านเกิดที่เมืองกึ๋งทันที นางอูเป่มนำศพของลูกไปวางไว้ที่ ตอไม้แห่งหนึ่งและกล่าวว่า “ไม่ว่าพ่อของลูกจะอยู่ที่ไหน ลูกจงตามหาพ่อของเจ้า” ไม่ นานนักทารกน้อยนั้นก็


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๐ กลายร่างเป็นนกแล้วส่งเสียงเรียก “ต้องลอ ต้องลอ” (คนไทใหญ่ตั้งชื่อนกชนิดนี้ว่า “นกต้องลอ” โดยเชื่อว่า เสียงร้อง “ต้องลอ” เป็นเสียงเรียกหาพ่อตามตำนานเรื่องขุนสามลอ) เมื่อนางอูเป่มกลับมาถึงเมืองกึ๋งก็เสียชีวิต ในอ้อมกอดพ่อแม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ขุนสามลอกลับมาจากการค้าขาย เมื่อไม่พบ เมียรักจึงออก เดินทางไปตามหานางที่เมืองกึ่ง ระหว่างทางพบนกต้องลอส่งเสียงร้องเหมือนกับเรียกหาพ่อ เมื่อได้มาถึงเมือง กึ๋ง จึงได้รู้ว่านางอูเป่มได้เสียชีวิตแล้ว ขุนสามลอจึงใช้ดาบแทงตัวตายตามเมียรักไป ระหว่างจัดพิธีงานศพของ ทั้งคู่ นางกั่นทะก่านโหย่งได้นำเอาไม้คานซึ่งเป็นไม้มี 3 ตา มาคั่นระหว่างศพของคนทั้งสอง เพื่อขัดขวางไม่ให้ พบรักกันอีกในชาติหน้า ความเชื่อดังกล่าวจึงเป็นที่มาของความเชื่อเรื่องดวงดาวของชาวไทใหญ่ที่ว่า หาก มองเห็นดวงดาวสองดวงอยู่ตรงข้ามกันและมีกลุ่มดาวเล็กๆสามดวงเรียงตัวกัน กั้นกลางดวงดาวคู่นั้น นั่น หมายถึงไม้ไผ่ที่นางกั่นทะโหย่งนำไปกั้นศพของทั้งคู่เอาไว้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าสืบขานกันต่อมาอีกว่า ก่อนที่นางอูเป่ม จะตายได้อธิษฐานไว้ว่า อย่าให้หญิง สาวเมืองกึ๋งมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เพราะไม่อยากให้ประสบพบเจอเหมือนตน ซึ่งยังไม่มีใครยืนยันว่าเรื่องนี้ เป็นความจริงหรือไม่ แต่สำหรับตำนานรักเรื่องนี้ชาวไทใหญ่เชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง เพราะมีชื่อเมืองต่างๆ ที่ ปรากฏอยู่จริงในรัฐฉาน และเป็นตำนานที่โด่งดังมากจนนักร้องไทใหญ่นำไปแต่งเป็นเพลงทำให้ตำนานนี้ เป็นที่ รู้จักในกลุ่มคนรุ่นใหม่มาจนถึงทุกวันนี้ คติชาวบ้าน เป็นเรื่องที่มีการเล่าสืบปากต่อปากกันมานาน ตั้งแต่สมัยโบราณจากรุ่นหนึ่งมาสู่อีกรุ่น หนึ่ง ส่วนมากเป็นการถ่ายทอดจากความทรงจำ รับปฏิบัติต่อๆกันมามากกว่าจะมีการจดบันทึกหรือจารึกไว้ เป็นอักษร และไม่ทราบว่าใครเป็นคนแต่ง หรือแต่งขึ้นเมื่อใด เช่น เพลงพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก ความเชื่อ นิทานชาวบ้าน คำให้พร ปริศนาคำทาย สุภาษิต คำพังเพย และสำนวนต่างๆเป็นต้น คติชาวบ้านมีลักษณะเด่น 2 ประการ คือ 1. มีความหมายชัดเจนเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นความหมายที่เกี่ยวข้องกับวิถีการดำเนินชีวิตทั่วๆไป 2. ภาษาที่แสดงออกในเรื่องคติชาวบ้านมีความไพเราะ คล้องจองสะดวกแก่การจดจำ และถ่ายทอด


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๑ หมวก / กุ๊บไต ภูมิปัญญาด้านการตีมีด พ่อครูปายเมือง ลายใส 4. ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน 4.1 ภูมิปัญญา ➢หมวก (ภาษาไทใหญ่ กุ๊บ) กุ๊บไตหนึ่งใบมีการสานที่ซับซ้อนอย่างมาก มีทั้งการขึ้นโครงหลัก และตอกเส้นเล็กสานทึบ เป็นลาย ดอกที่สวยงามและหลากหลายลวดลายด้วยกัน เช่น ลายสี่พระยา, ลายเม็ดมะยม, ลายมะลิซ้อน, ลายยกดอก, ลายเจ็ดเต่า, ลายงูเหลือม, ลายดอกพิกุล เป็นต้น ซึ่งแต่ละลวดลายเป็นความตั้งใจสร้างสรรค์จากชาวชุมชน เพื่อเพิ่มมูลค่าและความเป็นเอกลักษณ์ให้ผลิตภัณฑ์ ทั้งยังเป็นการสานต่อภูมิปัญญาอันดีให้อยู่คู่ชาวไทใหญ่ ภาพที่ 25 – 26 หมวก / กุ๊บไต “กุ๊บไต” เป็นภาษาท้องถิ่นของชาวไทใหญ่เรียกกันทั่วไป หรือเรียกอีกชื่อหนึ่ง คือ หมวกจักรสานซึ่ง มีประโยชน์ใช้สอย คือใช้สวมศีรษะเพื่อกันแดดหรือกันฝน และสวมในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการ เดินขบวนกิจกรรมงานประเพณีต่าง ๆ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและบางแห่งก็ใช้ในการตกแต่งร้านค้า บ้านเรือนและสถานที่ที่มีการแสดงนิทรรศการต่าง ๆ เพื่อความสวยงามหรือเพื่อแสดงถึงเอกลักษณ์และ ประโยชน์ใช้สอย ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๒ ลวดลายกุ๊บไต มีลวดลายต่างๆ ดังนี้ • ลายพื้นเมืองลายสานไม่มีดอก • ลายพิกุลดอกสี่รวม • ลายพิกุลดอกเล็ก • ลายพวงกุญแจ • ลายซิกแซกใหญ่ • ลายแก้วชิงดวง • ลายกังหันลม • ลายดอกโป๊ยเซียน • ลายพิกุลดอกใหญ่ • ลายดอกรูปหัวใจ • ลายไม้ขีดไฟ • ลายซิกแซกเล็กลายดอกชบา ประโยชน์ที่ใช้สอย ใช้สวมศีรษะเพื่อกันแสงแดดหรือกันฝน และสวมในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการ เดินขบวนกิจกรรมงานประเพณีต่าง ๆ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และบางแห่งก็ใช้ใน การตกแต่งร้านค้า บ้านเรือนสถานที่ วัสดุที่ใช้ประกอบด้วยดังนี้ 1. ไม้ไผ่ (ผ่าเป็นตอก) 2. หวาย 3. ด้าย 4. ด้ายไหมพรม 5. สีน้ำ 6. พู่กัน 7. แลคเกอร์ ขั้นตอนการทำกุ๊บไต ประกอบด้วย ขั้นเตรียมการ ขั้นการผลิต ดังนี้ 1. ขั้นตอนการเตรียมการ ประกอบด้วย 1) คัดเลือกไม้ไผ่ (ใช้ไม้ข้าวหลาม) ที่มีอายุ 1 – 15 ปี (เป็นไม้ไผ่ที่เหนียวและง่าย ในการผ่า จักทำเป็นตอก) 2) นำไม้ไผ่มาตัดแล้วนำไปผึ่งแดดทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน 3) นำไม้ไผ่ที่ผึ่งแดดเรียบร้อยแล้วมาขูดผิวด้านนอกออกให้หมดและตัดตรงข้อ ต่อระหว่าง ปล้องทิ้ง 4) นำไม้ไผ่ที่ได้ตามข้อ 3 มาทำการจักทำเป็นตอกตามขนาดที่ต้องการและนำมา เหลาอีก ครั้งเพื่อให้ได้ตอกที่เรียวและผิวเรียบเพื่อความสวยงามละเอียดประณีต 2. ขั้นตอนการผลิต ประกอบด้วย 1) นำตอกที่ได้ตามความต้องการมาสานขึ้นรูปจิ๊ก หมวกก่อน (ด้านบนสุดของหมวก ที่มี ลักษณะแหลม)


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๓ 2) สานใบหมวกตามลวดลายที่ต้องการ 3) สานขอบหมวกตามลวดลายที่ต้องการ 4) ทำขอบหมวกรูปวงกลมโดยทำจากหวายหรือไผ่แข็งก็ได้ โดยจะมีอยู่ 3 ขอบ คือ ขอบบน ขอบล่าง และขอบใน 5) นำส่วนประกอบทั้ง 3 ส่วนมาเย็บเข้าด้วยกันเป็นกุ๊บไต 6) นำกุ๊บไตที่ได้มาวาดลวดลายตามต้องการและลงแลคเกอร์เพื่อเคลือบเงา 7) ทำสายรัดคาง 3. ขั้นตอนหลังการผลิต ประกอบด้วย 1) นำกุ๊บไตที่ทำเสร็จแล้วมาผึ่งลมให้แห้ง 2) นำมาใช้ประโยชน์หรือจำหน่ายต่อไป อายุการใช้งาน ประมาณ 2 – 3 ปี ➢การสานโก๋ย ภาพที่ 27 โก๋ย โก๋ย ส่วนมากคนไทใหญ่นิยมใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน สมัยก่อนผู้คนได้ใช้โก๋ย ตาห่างในการเก็บพืชผักผลไม้ และใส่พืชผักและสิ่งของที่จำเป็นในการเดินทาง หรือการใช้เก็บใบตองตึงของคน สมัยก่อนและคนสมัยนี้บางคนก็ยังใช้อยู่ ส่วนโก๋ยตาถี่จะนำไปใส่ข้าวสาร ถั่วเหลือง เมล็ดหรือพืชผักสวนครัวที่ เป็นชิ้นเล็กๆ และลายที่สานออกมานั้นจะเป็นลายที่ละเอียด และมีความสวยงามแบบไทใหญ่ที่ไม่เหมือนใคร การสานลายแต่ละครั้งจะสานด้วยมือ โก๋ย สามารถแบ่งลวดลายออกเป็น 2 ลาย คือ 1. โก๋ยตาห่าง จะเป็นโก๋ยที่สานอยู่ในรูปแบบลายหกเหลี่ยม ตาที่สานจะใหญ่ เอาไว้ใส่พวก ผลไม้ชิ้นโต 2. โก๋ยตาถี่ จะเป็นโก๋ที่สานในรูปแบบลายสอง ซึ่งชิดติดกัน เหมาะสำหรับเอาไว้ใส่พวกข้าวสาร หรือผลไม้ชิ้นที่เล็ก ๆ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๔ ประโยชน์ที่ใช้สอย ประโยชน์ใช้สอยคือ นำมาใส่พืชผัก ผลไม้ และสิ่งของจำเป็นหรือนำมาบรรจุ สิ่งของที่จำเป็น ที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนของคนไทใหญ่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วัสดุที่ใช้ ประกอบด้วยดังนี้ ไม้ไผ่ (ผ่าแล้วจักทำเป็นตอก) พู่กัน แลคเกอร์ ไม้ไผ่ข้าวหลามและเชือก วิธีการผลิต 1. ขั้นเตรียมการ ประกอบด้วย 1) คัดเลือกไม้ไผ่ (ใช้ไม่ข้าวหลาม) ที่มีอายุ 1 – 2 ปี 2) นำไม้ไผ่ที่ตัดมาได้แล้วนำมาผึ่งแดดทิ้งไว้ประมาณ 2 – 3 วัน 3) นำไม้ไผ่ที่ผึ่งแดดเรียบร้อยแล้วมาขูดผิวออกให้หมดและตัดตรงข้อระหว่างปล้องทิ้ง 4) นำไม้ไผ่ที่ตัดแล้วมาจักเป็นตอก 5) นำไม้ไผ่อีกส่วนหนึ่งที่ผึ่งแดดเรียบร้อยแล้วมาตัดออกเป็นสองท่อนให้มีขนาดความยาว ใกล้เคียงกัน 6) หลังจากนั้นนำมาเหลาตามขนาดที่ต้องการ 2. ขั้นตอนการผลิตโก๋ยตาห่าง มีขั้นตอนการทำดังนี้ 1) นำตอกที่จักไว้แล้วมาสานขึ้นรูปจากด้านฐานของโก๋ยตาห่าง ลายที่สานจะ เป็นรูปหก เหลี่ยม ให้ช่องระยะห่างมีขนาดเท่ากัน 2) เมื่อสานฐานของโก๋ยตาห่างตามขนาดที่ต้องการแล้ว นำไม้ไผ่ที่เหลาไว้สอง ท่อนมาวาง ไขว้กันให้เป็นรูปตัวเอ็กซ์ เสร็จแล้วนำปลายไม้ทั้งสองมาสอดไว้ตรงลายที่สานไว้ เพื่อความแข็งแรงของโก๋ยตา ห่าง 3) ต่อไปเมื่อได้ฐานของโก๋ยตาห่างแล้วก็ยกตอกทางด้านข้างขึ้น เพื่อสานต่อทาง ด้านข้าง ของโก๋ยตาห่าง 4) เมื่อสานได้ระดับที่ต้องการแล้วให้ทำการเม้มขอบของโก๋ยตาห่าง 5) เมื่อเม้มขอบเสร็จให้นำเชือกหรือตอกมาสอดหรือมัดทำเป็นหูหิ้วของโก๋ยตาห่าง 6) เสร็จแล้วนำแลคเกอร์มาทาเคลือบเงา 3. ขั้นตอนการผลิตโก๋ยตาถี่ (โก๋ยทอ) ขั้นตอนการทำดังนี้ 1) นำตอกที่จักไว้แล้วมาสานขึ้นรูปจากทางด้านฐานของโก๋ยตาถี่ ลายที่สานจะ สานเป็น ลายขัด 2) เมื่อสานด้านฐานของโก๋ยตาถี่ตามขนาดที่ต้องการแล้ว นำไม้ไผ่ที่เหลาไว้สอง ท่อนนั้น มาไขว้กันให้เป็นรูปตัวเอ็กซ์ เสร็จแล้วนำปลายไม้ทั้งสองมาสอดไว้ตรงลายที่สานไว้ เพื่อความแข็งแรงของโก๋ย ตาถี่ 3) ต่อไปเมื่อได้ฐานของโก๋ยตาถี่แล้ว ก็ยกตอกทางด้านข้างขึ้น เพื่อสานต่อทาง ด้านข้าง ของโก๋ยตาถี่ ในการสานแบบรูปวงกลมขึ้นไป 4) เมื่อสานได้ระดับที่ต้องการแล้วให้ทำการเม้มขอบของโก๋ยตาถี่ 5) เมื่อเม้มขอบเสร็จให้นำเชือกหรือตอกมาสอดหรือมัดทำเป็นหูหิ้วของโก๋ยตาถี่ 6) เสร็จแล้วนำแลคเกอร์มาทาเคลือบเงา ระยะเวลาในการทำงาน ในเวลา 1 วัน จะทำจะทำโก่ยตาห่าง และโก่ยตาถี่ ได้ประมาณ 2 – 3 ใบ)


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๕ ➢ ภูมิปัญญาด้านการตีมีด นายชุ ลุงโอง อายุ 67 ปี อยู่บ้าน หมู่ที่ 6 ตำบลเวียง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความ เชี่ยวชาญในการตีมีด และตีเหล็กช่างตีมีดโบราณมากด้วยประสบการณ์กว่า 23 ปีรู้เคล็ดลับในการตี เช่น ควรเผาเหล็กให้แดงขนาดไหน เวลาชุบน้ำต้องชุบขนาดใดมีดถึงจะคม ต้องอาศัยความจำและไหวพริบของ ตนเอง ภาพที่ 28 – 29 ภูมิปัญญาด้านการตีมีด ➢ ภูมิปัญญาด้านยารักษาโรค การรักษาโรค ยารักษาโรค มีการนำพืชท้องถิ่นมาใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิด เช่น การใช้รากของเจื้องเขิง หรือกระตังใบต้มน้ำดื่มแก้บิด จุกเสียด การใช้ใบของมิ้นจารางต้มน้ำอาบแก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัวและใช้ดอก ต้มน้ำดื่มแก้ช้ำใน หรือการใช้ใบและเปลือกต้นของไม้ยางเยืองหรือเปล้าหลวงต้มน้ำอาบหลังคลอด แก้ปวด เมื่อย ชาวไทใหญ่มีความเชื่อว่าความเจ็บไข้นั้นเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น ผิดผี มีเคราะห์ ขวัญหนี ลมและพยาธิ (โรค) โดยเมื่อวินิฉัยว่าเกิดมาจากสาเหตุใดแล้ว ก็จะมีการรักษาพยาบาลทั้งแบบไสยศาสตร์ การรักษาแผนโบราณ และแผนปัจจุบัน โดยมีรูปแบบการรักษาที่ต่างกันออกไป นับตั้งแต่อดีตชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพร จึงมีชาวไทใหญ่ที่เป็น “สล่ายา” ที่ใช้สมุนไพรในการรักษาโรค ปัจจุบันชาวไทใหญ่ใช้วิธีการรักษาทั้งในรูปแบบการแพทย์แผนปัจจุบัน และส่วนหนึ่งยังคงใช้วิธีการรักษาโรคแบบพื้นบ้าน โดยจะมีผู้รักษาโรคที่เรียกว่า “หมอเมือง” หรือ “สล่าหมอ ยา” เช่น การรักษากระดูกหัก จะใช้สมุนไพรพื้นบ้านในการรักษา ประกอบไปด้วย ข้าวก่ำ (ข้าวสีดำ) และหญ้า เอ็นยืด นำมาตำในครก ผสมเหล้าขาวและน้ำมันเลียงผา เมื่อได้ตัวยาจะนำไปทำพิธีกรรมบูชาครู จะมี “ขันตั้ง” ได้แก่กรวยดอกไม้สด เหล้าขาว ข้าวสาร ข้าวเปลือกใส่ในแก้ว กล้วย ธงกระดาษ และเทียน สล่าหมอยาจะ จุดธูปเทียน และสวดคำกล่าวบูชาครู และสวดคาถา จากนั้นนำยาสมุนไพรมาประคบตรงบริเวณที่กระดูกหัก เป่าคาถา ทาน้ำมันเลียงผา แล้วพันด้วยผ้าขาวบาง และนำไม้สนผ่าเป็นซี่มามัดเป็นแถวด้วยเชือกฟางแล้วเข้า เผือกแบบโบราณ เมื่อรักษาหาย ผู้ป่วยจะมาดำหัวหมอยาเพื่อแสดงความกตัญญูและขอบคุณ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๖ ภาพที่ 30 เจื้องเขิง หรือกระตัง ภาพที่ 31 มิ้นจารางหรือไพ ภาพที่ 32 ไม้ยางเยืองหรือเปล้าหลวง ➢ ภูมิปัญญาด้านการทำอาหารพื้นบ้าน 1. ถั่วเน่า (ภาษาไทใหญ่ โถ่เน่า) ภาพที่ 33 ภูมิปัญญาด้านการทำอาหารพื้นบ้าน (การทำถั่วเน่า) ถั่วเน่าป้าใหม่ พี่นีถั่วเน่าวัตถุดิบชั้นเลิศของทางภาคเหนือ ถั่วเน่าเป็นผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง หมักดั้งเดิมของภาคเหนือ โดยมีถิ่นกำเนิดมาจากชาวไทยภูเขา รวมถึงชาวไทลื้อ และไทใหญ่ ซึ่งวิธีดั้งเดิมมักใช้ ใบตองเหียงในการห่อหมัก อาจเติมเกลือหรือเครื่องปรุง ก่อนหมักทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน จนได้ถั่วเหลืองที่มีราสี ขาวเกิดขึ้น มีกลิ่นหอม และกลิ่นฉุนแรง หลังจากนั้น จึงนำมาบดแล้วนึ่งรับประทาน หรือใช้ทำเป็นแผ่นแล้ว ตากให้แห้งนำมาประกอบอาหาร รวมถึงแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งป้าใหม่ได้สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ยาวนานกว่า 40ปีถือว่าเป็นรุ่นแรกๆในการทำถั่วเน่าเลยก็ว่าได้โดยปัจจุบันมีลูกสาวเป็นผู้สืบทอดกรรมวิธีใน การทำถั่วเน่า โดยได้นำเทคโนโลยีในยุคสมัยปัจจุบันมาปรับใช้อีกด้วย


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๗ 2. ถั่วพูซิ่ง เป็นของอาหารว่างชาวไทใหญ่ ซึ่งคำว่า โถ่พูซิ่ง คือ เต้าหู้ที่มีรสชาติมันอร่อย จะทำจากถั่ว เหลือง มีสารอาหารโปรตีนสูง เหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพ ภาพที่ 34 ภูมิปัญญาด้านการทำอาหารพื้นบ้าน (การทำถั่วพูซิ่ง) 4.2 ปราชญ์ชาวบ้านในท้องถิ่น 1. พ่อครูปายเมือง ลายใส ผู้ให้ข้อมูลท้องถิ่นชาวไทใหญ่ ภาพที่ 35 พ่อครูปายเมือง ลายใส 2. นายสมบูรณ์ กูนะ ผู้ให้ข้อมูลท้องถิ่นชาวไทใหญ่ ภาพที่ 36 นายสมบูรณ์ กูนะ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๘ ประเพณีแต่งงาน การอาบเดือน ความเชือ่เรือ่งการนับถอืผี 5. ประเพณี / พิธีกรรม / งานเทศกาล 5.1 การเกิด / การตาย ❖ การเกิด ประเพณีการเกิดของชาวไทใหญ่ เมื่อแม่กำลังเจ็บท้องอย่างหนักใกล้จะคลอด จะให้ดื่มน้ำมะพร้าว อ่อนเพราะมีความเชื่อว่าจะช่วยล้างไขมันที่ติดตัวทารกทำให้คลอดง่าย ทารกแรกเกิดจะอาบน้ำต้ม พออุ่นๆ ผสมกับน้ำสมุนไพร เพื่อล้างให้ร่างกายสะอาด สมัยโบราณผู้ที่ทำคลอดคือหมอตำแยคนไตเรียกว่า แม่เก็บ เมื่อทำคลอดเสร็จแล้วแม่เก็บจะนอนดูอาการแม่ลูกประมาณ 1 สัปดาห์ แม่จะต้องอยู่ไฟอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้มดลูกเข้าอู่หรือพักฟื้นให้ร่างกายแข็งแรง การอยู่ไฟของชาวไทยใหญ่นั้นต้องสวมใส่เสื้อผ้า ถุงเท้า หมวกให้มิดชิดและรับประทานอาหารสำหรับคนที่อยู่ไฟเท่านั้น จะรับประทานอาหารเหมือนคนปกติไม่ได้ เช่น ข้าวจี่ ปลาย่าง เนื้อย่าง ผักต้ม ระหว่างที่อยู่ไฟแม่จะต้องงดอาหารแสลงทุกชนิด ยาที่ให้แม่อยู่ไฟ รับประทานก็คือ ยาหมิ่นจาลาง ซึ่งเป็นยาสมุนไพรจาก หัวไพล เกลือ พริกไทย หรือยาผง พอครบ ๑ เดือน แล้วก็จะเชิญผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้แก่ มาทำพิธีอาบเหลือน ( อาบเดือน ) โดยจะใช้เงิน ทอง และสมุนไพร แช่ในน้ำ แล้วเอาอาบให้เด็กจากนั้นทำพิธีผูกข้อมือและรับประทานอาหารร่วมกัน อาหารของทารกแรกเกิดจะใช้น้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น ต่อจากนั้นจึงจะให้เข้าบดกับกล้วยน้ำว้าสุก แล้วค่อย ๆ พัฒนาให้อาหารไปตามวัย ข้อควรปฏิบัติในขณะคลอดลูก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดและขัดข้องอยู่ ต้องเปิดคลี่คลายออกให้หมด เช่น ประตู หน้าต่าง คลี่มุ้งม่านออก ถอดเครื่องประดับที่สวมออก เพื่อเป็นการเอาเคล็ดให้คลอดลูกได้ง่าย เมื่อ คลอดลูกเรียบร้อยแล้วจะนำรกไปฝังดินใต้บันไดแล้วเหยียบให้แน่น อีกทั้งชาวไทใหญ่มีความเชื่อว่าเด็กอ่อน ทุกคนมีแม่ในชาติก่อนที่เรียกว่า “แม่พ้าย” ซึ่งจะตามมาเอาเด็กไป ดังนั้นเมื่อคลอดเด็กออกมาแล้วอาบน้ำให้ สะอาด นำเด็กใส่กระด้งฝัดข้าว ออกไปนอกเรือนในตอนค่ำแล้วร้องว่า “สามวันลูกผี สี่วันลูกเรา ถ้าจะเอาก็เอา ทันที หลังจากนี้เอาไปไม่ได้” ในระหว่างอยู่ไฟ ที่มุมเรือนจะเอาหนามชนิดต่างๆ มาติดไว้กับเสาเรือนเพื่อกัน ผีกระสือมาทำอันตรายเด็กอ่อน หากเป็นเด็กผู้ชายจะเอาดาบเหน็บไว้ที่หัวนอนด้วย ข้อห้าม ในระหว่างตั้งครรภ์จะมีข้อห้ามต่างๆ อันเกิดจากความหวาดกลัวการคลอดลำบากและกลัวว่า รกจะไม่ออกมา เช่น ห้ามนั่งที่ธรณีประตู ห้ามกินหัวปลี ห้ามนั่งเอาหลังผิงไฟ ห้ามอาบน้ำเวลาตะวันตกดิน ประเพณี/พิธีกรรม/งานเทศกาล


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๒๙ เพราะจะทำให้แฝดน้ำ ห้ามกินกล้วยแฝด เพราะจะทำให้ได้ลูกแฝด ห้ามทำพีไพหรือแม่เตาไฟ เพราะจะทำให้ ลูกปากแหว่ง ภาพที่ 37 – 38 การอาบเดือน (ประเพณีการเกิดของชาวไทใหญ่) ❖ การตาย ประเพณีการตาย เมื่อมีคนตายเพื่อนบ้านจะช่วยกันอาบน้ำศพ แล้วนำไปนอนหงายบนเสื่อ ห่อด้วยผ้า ขาว และจุดเทียนไว้บนหัวนอน ญาติจะเชิญผู้ที่อ่านหนังสือธรรมะ ที่เรียกว่า จเร มาอ่านให้ผู้มาร่วมงานศพฟัง จะตั้งศพบำเพ็ญกุศล 2 ถึง 5 วัน ถ้าผู้ตายเป็นชายหรือหญิงโสดเรียกว่า ต๋ายหัวหล่อต๋อ คนหามศพจะนำร่อง ชนตอไม้ 3 ครั้งแล้วนำไปฝังหรือเผา แต่ถ้าเป็นการตายผิดปกติ สมัยก่อนจะไม่นำเข้าบ้านเด็ดขาด ตายที่ไหนก็ จะตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่นั่น เมื่อมีคนตายในบ้าน หล่าส่อ (ประชาสัมพันธ์) จะประกาศให้ชาวบ้านทราบเพื่อให้ ช่วยกันจัดงานศพ ประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับการตายที่ชาวไทใหญ่ได้ถือปฏิบัติสืบต่อเนื่องกันมาช้านานแล้วอีกอย่างหนึ่งใน เดือน 11 ก็คือประเพณีแฮนซอมโก่จา ซึ่งเป็นประเพณีงานทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ใน ประเพณีแฮนซอมโก่จานั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการถวายหนังสือที่เรียกว่า ลีกซุตต้ะ ซึ่งจะใช้อ่านในงานศพ แล้ว นำไปถวายวัด จากนั้นยังมีการถวายธงให้แก่ผู้ตายซึ่งเรียกว่า ตุงตำข่อน ซึ่งมาจากความเชื่อที่ว่าจะช่วยให้ ผู้ตายหลุดพ้นจากนรกได้ เมื่อมีผู้ตาย จะนำศพมาอาบน้ำสวมเสื้อใหม่ โดยกลับหน้าหลัง แล้วเอานอนหันหัวไปทางทิศเหนือ ครั้นต่อโลงแล้ว เอาใบยาสูบ ใบฝรั่งหรือฟักเขียวเจาะรูใส่ไว้ เพื่อดับกลิ่นแล้วปูด้วยเสื่อหรือฟูก นำศพใส่โลงหัน หัวไปทางทิศเหนือ เอาด้ายผูกหัวแม่มือแม่เท้าให้ติดกัน ถ้าเป็นชนชั้นหัวหน้าใช้แผ่นทองคำเปลวติดที่หน้า เสียก่อน จากนั้นเอาเหรียญเงินใส่ปากผู้ตาย หากเป็นผู้ที่มีฐานะดีก็ใส่เครื่องประดับมีค่าต่างๆ ไว้ ผู้ตายที่เป็น สามัญชน ไม่มีตำแหน่งสำคัญมากนัก เมื่อต่อโลงแล้ว นำศพใส่โลงเคลื่อนศพไปฝังทันที แต่หากเป็นเจ้าฟ้าหรือ เชื้อพระวงศ์จะตั้งศพไว้ 1 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้นตามต้องการ เพื่อส่งข่าวไปยังหมู่บ้านต่างๆ และเชื้อเชิญมา งานศพ ในระหว่างนั้นก็ต้องจัดให้มีผู้เฝ้าศพตลอดทั้งคืน ผู้หญิงนั่งด้านซ้าย ผู้ชายนั่งด้านขวาของศพ ต้องจัด อาหารตลอดจนเครื่องใช้ให้พร้อมเสมือนยังมีชีวิตอยู่ ญาติผู้ตายจะรำพันถึงความดีของผู้ตายที่เคยทำแก่ตน ตลอดเวลาที่ศพยังอยู่จะมีการเลี้ยงอาหารแก่แขกที่มาร่วมงานทุกมื้อ ในบริเวณบ้านมีวงฆ้อง กลอง ฉาบ ประโคมเพื่อไล่วิญญาณร้ายที่จะมารบกวนวิญญาณของผู้ตาย เมื่อถึงเวลาเคลื่อนศพลงจากเรือน จะหามเอาทางปลายเท้าออก หากเป็นการตายโดยปกติโลงศพจะ ถูกหามออกทางประตู ผ่านชาน ลงบันได นำไปวางบนแคร่หามศพ แต่หากเป็นการตายที่ผิดปกติ เช่น ตายทั้ง กลม จะเคลื่อนศพลงข้างโดยเปิดฝาเรือนออกแล้วหย่อนศพลงข้างล่าง ก่อนจะนำศพไปป่าช้า เจ้าภาพจะเลี้ยง อาหารแก่แขกที่มาเผาศพ มีการโปรยข้าวสาร ถั่ว เงิน และแจกเสื้อผ้าแก่คนจน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๐ ขบวนแห่ศพ นำด้วยพระสงฆ์ตามจำนวนที่เจ้าภาพนิมนต์ พระสงฆ์ถือด้ายสายสิญจน์ที่โยงจากแคร่หามศพ ซึ่ง มีผู้ผลัดเปลี่ยนกันหามหลายชุด คือ ญาติพี่น้องของผู้ตายและแขกที่มาร่วมพิธี เมื่อเข้าป่าช้าก็กลับเอาหัวเข้า ก่อน หามไปจนถึงหลุมที่ขุดเตรียมไว้ พระสงฆ์และผู้ชายทำพิธีฝัง ส่วนผู้หญิงนั่งรวมกลุ่มอยู่ห่างจากหลุมฝังศพ ไม่ไกลนัก ครั้นหย่อนศพลงหลุมโดยหันหัวไปทางทิศเหนือ แล้วนำข้าว ใบชา ยาสูบวางลงในหลุม พระสงฆ์สวด อีกครั้งแล้วจึงกลบหลุม เจ้าภาพถวายสิ่งของในนามผู้ตาย การทำศพ ผู้ที่ตายผิดปกตินอกเรือน (ผีตายโหง) จะไม่นำศพเข้าบ้าน เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายกับคนอยู่ต้อง นิมนต์พระไปสวดยังที่เกิดเหตุโดยเร็ว และนำไปฝังหรือเผาทันที เช่นเดียวกับผู้ที่ตายนอกบ้านก็ไม่นำศพเข้ามา ในบ้านเช่นกัน จะทำพิธีศพนอกรั้วบ้าน โดยก่อเป็นเพิงชั่วคราวเพื่อตั้งศพก่อนนำไปฝังหรือเผา วันเผาศพ จะไม่มีการเผาศพข้ามเดือน ข้ามปี เช่น หากตายในวันแรม 14 15 ค่ำ หรือวันที่ 14 เมษายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนปี ต้องทำพิธีศพในวันนั้นทันที ไม่ข้ามไปเผาเดือนใหม่ ปีใหม่ เพราะเชื่อว่า ผู้ตายจะเป็นผีมาหลอกหลอน ทั้งนี้ หากไม่สามารถเผาในวันปลายเดือนหรือปลายปีได้ทันที จะทำพิธีฝังหลอก คือ เอาก้อนดินมาวางบนฝาโลง ทำทีว่าฝังกลบดินแล้ว แล้วจึงจะเผาจริง ศพตายทั้งกลม สามีผู้ตายจะต้องรื้อ เรือนแล้วไปหาที่อยู่ใหม่ เพราะผีแม่ลูกจะมารบกวน 5.2 การบวช ภาพที่ 39 – 41 ประเพณีปอยส่างลอง (ประเพณีการบวชของชาวไทใหญ่) ประวัติปอยส่างลอง คำว่า “ปอยส่างลอง” เป็นภาษาไทใหญ่เกิดจากคำ ๓ คำ มาสมาสกัน คือ คำว่า “ปอย” แปลว่า “งาน” คำว่า “ส่าง” สันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “สาง” หรือ “ขุนสาง” หมายถึงพระพรหม ในหนังสือ ธรรมะของชาวไทใหญ่กล่าวถึงว่า “พระคณิตพรหมได้ถวายจีวรแก่เจ้าชายสิทธัตถะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา เมื่อ คราวที่หนีออกไปบวช” อีกความหมายหนึ่งนั้น คำว่า “ส่าง” มาจากคำว่า “เจ้าส่าง” หมายถึง สามเณร ส่วน คำว่า “ลอง” มาจากคำว่า “อลอง” แปลว่า พระโพธิสัตว์ หรือหน่อพุทธางกูร ดังนั้นงาน “ปอยส่างลอง” ก็ คืองานบวชลูกแก้วของชาวล้านนานั่นเอง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๑ ประวัติความเป็นมา ส่างลอง มีความหมาย ๒ นัย ดังนี้ (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน2549 : 215- 217 นัยที่หนึ่งเป็นคำผสมระหว่างคำว่า “ส่าง” หมายถึง เจ้าส่าง คือสามเณรในภาษาไทย กับคำว่า “ลอง” หรือ “อลอง” หมายถึงหน่อกษัตริย์หรือผู้ที่เตรียมจะเป็นส่างลองคือผู้ที่เตรียมจะเป็นสามเณร การเป็นส่างลองนั้นเป็นการเลียนแบบประวัติของพระพุทธเจ้าตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะครองกรุง กบิลพัสดุ์ก่อนจะออกผนวก การกระทำทุกอย่างในช่วงเวลาการเป็นส่างลองจะปฏิบัติเสมือนการปฏิบัติต่อ พระมหากษัตริย์ เป็นความเชื่อตามวรรณกรรมไทใหญ่เรื่องอะหน่าก้าดตะหว่างซึ่งกล่าวถึงพระเจ้าอ่าจ่าตะ ซาดมังจี (อชาตศัตรู หลังจากที่ได้สำนึกผิดในการทำปีตุฆาตโดยหลงผิดไปร่วมมือกับพระเทวทัตทำบาปหนัก ต่าง ๆ แล้วได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าทำอย่างไรจะได้เป็นเหล่ากอของพระพุทธเจ้าคือเป็นอลองพญา (หน่อ พุทธางกูร) พระพุทธองค์ทรงตอบว่าต้องนำบุตรชายเข้าบวชในศาสนา จึงได้นำเจ้าชายอะจิ้กต๊ะมังซา (อชิต กุมาร) พระราชโอรสของพระองค์เข้าบรรพชาเป็นสามเณร และทรงมีพุทธทำนายว่าอชิตสามเณรจะมาตรัสรู้ เป็นพระศรีอริยเมตไตยพระพุทธเจ้าแห่งภัทรกัปป์นี้ วรรณกรรมฉบับนี้แต่งเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ โดยพระ อู่ก่าวิจิ่งต่า วัดสบตุ๋ง เมืองตุ๋ง จังหวัดจ้อกแม ประเทศพม่าและพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๘ นัยที่สอง ถือตามความในวรรณกรรมไตเรื่อง “อ่าหนั่นต่าตองป่าน” หรือ เรื่องการทูลถามของพระ อานนท์ แต่งขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีเศษ โดยพระสุหนั่นต่า บ้านกุ๋นอ้อ จังหวัดจ้อกแม ประเทศพม่า กล่าวถึง เรื่องต่าง ๆ ที่พระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าในเรื่องเหล่านั้นมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทูลถามเกี่ยวกับการเป็นส่งลองว่า มีอานิสงส์มากน้อยอย่างไรและพระพุทธเจ้าทรงชี้แจงว่า ถ้านำบุตรของตนบวชจะได้สวรรค์สมบัติเป็นเวลา ๘ ก่ำผ่า (กัลป์) ถ้ารับเป็นพ่อข่ามแม่ข่าม (พ่อแม่อุปถัมภ์) จะได้อานิสงส์ ๔ ก่ำผ่า (กัลป์) และวรรณกรรมดังกล่าว ได้บรรยายเรื่องราวส่างลองไว้ว่า ในอดีตบรรดากษัตริย์และเศรษฐีคหบดีได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดงานปอยส่าง ลองขึ้น บังเอิญมีบุตรชายของหญิงหม้ายคนหนึ่งมีรูปร่างอัปลักษณ์และมีศรัทธาอยากบรรพชา แต่ไม่มีทรัพย์ สมบัติที่จะเป็นเจ้าภาพบวชด้วยบุญบารมีและแรงศรัทธาของบุตรชาย ได้บันดาลให้พระอินทร์เกิดเมตตาจึง เสด็จมา นำไปพยาบาลให้อาบน้ำเงินน้ำทองขัดสีฉวีวรรณล้างคราบไคลต่าง ๆ กลายเป็นกุมารที่มีรูปร่าง สวยงาม และขุนสาง (พระพรหม) ได้ลงมามอบชฎา (ปานกุม) และสร้อยสังวาล (ลอแป) ให้ พร้อมทั้งรับภาระ เป็นพ่อข่าม (พ่ออุปถัมภ์) ในการจัดงานปอยส่างลองครั้งนั้นบุตรชายหญิงหม้ายได้เป็นลูกข่าม (ลูกอุปถัมภ์) ของขุนสาง (พระพรหม) จึงเรียกกุลบุตรที่ได้รับการยกย่องในช่วงก่อนบรรพชาว่า “สางลอง” หรือ “ส่าง ลอง” คือ ลูกอุปถัมภ์ หรือลูกบุญธรรมของพระพรหมสืบต่อมาจนปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่ากุลบุตรที่จะได้เป็น ส่างลองนั้นเป็นผู้มีบุญบารมีมากกว่าคนธรรมดาสามัญ จึงมีโอกาสได้รับการยกย่องให้เป็นหน่อกษัตริย์ หรือ บุตรบุญธรรมของพระพรหมในช่วงเวลาก่อนบรรพชา ประเพณีปอยส่างลองเกิดจากศรัทธายึดมั่นในบวรพุทธศาสนาอย่างมั่นคงของชาวไทใหญ่ซึ่งถือว่า การที่บุตรสามารถอุทิศตนบรรพชาอุปสมบทในพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญอันยิ่งใหญ่ เจ้าภาพจะยอมเสียสละ สิ่งของ เงิน ทอง อันเป็นโลกียทรัพย์ภายนอกเท่าไรก็ได้เพื่อสนับสนุนให้กุลบุตรได้มีโอกาสพบกับอริยทรัพย์ ในทางพระพุทธศาสนา คือ การบรรพชา เสียสละ ลาภ ยศ สรรเสริญสุข มุ่งดำเนินตามอริยมรรคเส้นทางไปสู่ พระนิพพาน เป็นการเลียนแบบเหตุการณ์ตามพุทธประวัติ ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อโปรด พระประยูรญาติวันหนึ่งพระนางพิมพาถือโอกาสที่ปลอดโปร่งแต่งองค์ทรงเครื่องให้ พระราหุลกุมาร และส่งไป ขอราชสมบัติจากพระพุทธองค์ เมื่อได้รับคำขอจากราหุลกุมารแทนที่จะพระราชทานราชสมบัติให้ พระพุทธ องค์ทรงดำริว่าราชสมบัติอันเป็นโลกียทรัพย์นี้ไม่จีรังควรที่เราจะพระราชทาน อริยทรัพย์อันยั่งยืนดีกว่า แล้ว ทรงรับสั่งให้บรรพชาราหุลกุมารเป็นสามเณรแทน (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน2549 : 215- 217)


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๒ ในอดีตที่ผ่านมาการจัดงานปอยส่างลองใช้เวลานานประมาณ ๗-๑๕ วัน ในการจัดงานปอยส่างลอง ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากทำให้ผู้ที่มีฐานะยากจนไม่สามารถจะจัดงานปอยส่างลองได้ ส่วนผู้มีฐานะดีแต่ไม่มี บุตรชายหรือมีแต่บุตรชายไม่ต้องการบวช ทำให้เกิดการเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนขึ้น กล่าวคือ ผู้ที่มีฐานะยากจนที่ต้องการให้บุตรชายส่างลองจะมอบบุตรของตนแก่ผู้ที่มีฐานะซึ่งต้องการจัดงานปอยส่างลอง แต่ไม่มีบุตรชาย การมอบในลักษณะนี้ ผู้ที่รับเป็นเจ้าภาพบวชจะต้องยอมรับหน้าที่เป็นบิดามารดาคนที่สอง ของผู้ที่ซึ่งตนรับบวช จะให้ความอุปถัมภ์ค้ำจุนในขณะที่บวชและหลังจากสึกแล้วด้วย บางรายถึงกับมอบมรดก ให้เหมือนกับเป็นบุตรคนหนึ่งทีเดียว ผู้ที่ได้บวชลักษณะนี้จะเรียกผู้ที่รับเป็นเจ้าภาพบวชให้ตนว่า “พ่อ - แม่” หรือ “พ่อข่าม แม่ข่าม” คำว่า “ข่าม” แปลว่า รับรอง หรือรับภาระอุปถัมภ์ ในอดีต “พ่อข่าม แม่ข่าม” หรือ ผู้ที่รับอุปถัมภ์บรรพชาสามเณรจะได้รับการยกย่องยอมรับนับถือในสังคมเป็นอย่างมาก โดยจะได้รับการ ยกย่องและเรียกคำนำหน้าว่า “พ่อส่าง แม่ส่าง” ส่วนผู้ที่รับอุปถัมภ์อุปสมบทพระภิกษุจะได้รับการยกย่อง และเรียกคำนำหน้าว่า “พ่อจาง แม่จาง” ผู้ที่ผ่านการบรรพชาเป็นสามเณรมาแล้วเมื่อสึกออกมาจะเรียกว่า “ส่าง” สำหรับผู้ที่ผ่านการอุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อสึกออกมาจะเรียกว่า “ทาก” หรือ “หนาน” นำหน้าชื่อ (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน2549:215-217) ประเภทของการบวชส่างลอง วิธีจัดงานบวชเณรของชาวไทใหญ่นั้นมีวิธีการบวช ๒ วิธีคือ แบบที่เรียกว่า “ข่ามดิบ” และแบบที่ เรียกว่า “ข่ามส่างลอง” ๑) แบบ“ข่ามดิบ” เป็นวิธีการง่าย ๆ และประหยัดไม่ต้องใช้เวลาในการเตรียมงานและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย มาก วิธีการคือ เมื่อตกลงว่าจะนำเด็กมาบรรพชาเป็นสามเณรแล้วพ่อแม่ก็จะโกนผมหรือนำเด็กไปโกนผมที่วัด แล้วพระจะทำพิธีบรรพชาเป็นเณรให้เลย ๒) แบบ “ข่ามสางลอง” เป็นพิธีที่ต้องเตรียมงานกันนานมีค่าใช้จ่ายสูงใช้เวลาจัดงาน ๓-๕ วันมีการเชิญผู้ มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก และมีขั้นตอนมากมาย คือหลังจากเตรียมงานแล้วก็นำเด็กมาโกนผมแล้วแต่งตัว เป็น “ส่างลอง” หรือลูกแก้ว แห่ไปขอขมาตามที่ต่าง ๆ แห่เครื่องไทยทานจากบ้านไปสู่วัด แห่ส่างลองจากบ้าน ไปทำพิธีขอบรรพชาที่วัด และมีการเฉลิมฉลองที่วัดหรือที่บ้านอีก ๑ วัน จึงเสร็จพิธีแต่แบบ “ส่างลอง” นี้เป็น ที่นิยมจัดกันมากถือกันว่าเป็นบุญกุศลของผู้จัดและเป็นสง่าราศีแก่หมู่บ้านและท้องถิ่นด้วย การจัดงาน “ปอยส่างลอง” ในอดีตนั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากไม่มีงานอื่นใดในรอบปีที่จะมาเทียบได้ ใช้ เวลาเตรียมงานกันเป็นแรมเดือน มีการบอกกล่าวไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ให้ได้ทราบก่อนล่วงหน้า เพื่อป้องกัน ไม่ให้แต่ละหมู่บ้านจัดตรงกัน และเพื่อที่จะให้ญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกลได้รับทราบข่าวล่วงหน้า ช่วงระยะเวลาใน การจัดงานปอยส่างลอง นิยมจัดในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคเรียนและว่างเว้นจากการทำ นา มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้าไม่ตก สะดวกในการเดินทางไปมาหาสู่กัน พ่อแม่เด็กเมื่อตกลงที่จะให้บุตรของ ตนไปบวชเป็นสามณรก็จะนำบุตรและคนที่จะบวชไปฝากฝังให้เจ้าอาวาสอบรมสั่งสอน หัดให้ท่องจำคำขอ บรรพชา คำให้ศีลให้พร ก่อนจะจัดงานประมาณ ๗-๑๐ วัน จากนั้นก็จะเชิญผู้ที่จะร่วมในการจัดงานปอยส่าง ลอง มาประชุมปรึกษาหารือกันว่าใครจะรับเป็นเจ้าภาพใหญ่ “ตะก่าโหลง” ซึ่งมักจะเป็นผู้ที่มีฐานะดี หรือผู้ที่ ได้รับการยกย่องในหมู่บ้านนั้น จะจัดงานกี่วัน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าอาหารที่จะเลี้ยงผู้ร่วมงาน ค่าเครื่องไทย ธรรม ค่าต้นตะเป่ส่า (ต้นกัลปพฤกษ์) จำนวนพระภิกษุสงฆ์ที่จะนิมนต์มารับเครื่องไทยธรรม จำนวนแขกที่จะ เชิญมาร่วมงาน การยืมสิ่งของเครื่องใช้ ค่ารางวัล "ตะแปส่างลอง" (พี่เลี้ยงส่างลอง) ค่าเจ้ามื้อ (ผู้รับผิดชอบใน การปรุงอาหารเลี้ยงผู้ร่วมงาน) ฯลฯ เมื่อตกลงกันได้แล้วก็จะเชิญตะแปส่างลองมามอบหมายหน้าที่การงานให้ รับผิดชอบเป็นองค์ ๆ ไป ตะแปส่างลองนั้นมีหน้าที่ดูแลส่างลองตั้งแต่การอาบน้ำ ผัดหน้า ทาแป้ง เขียนคิ้ว


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๓ เกล้ามวยผม แต่งองค์ทรงเครื่อง ดูแลในเรื่องอาหารการกินและให้ส่างลองขี่คอไปในที่ต่าง ๆ ตั้งแต่วันแรกจน วันสุดท้ายของงาน โดยเฉพาะวันสุดท้ายจะต้องคอยดูแลไม่ให้คลาดจากสายตา เพราะมักจะมีการแอบนำเอา ส่างลองไปหลบซ่อนไว้ไม่ให้บรรพชา เดือดร้อนเจ้าภาพจะต้องนำ “อะซู” คือรางวัลไปมอบให้จึงจะได้ส่างลอง กลับมาบรรพชาเป็นสามเณรต่อไป ประเพณีการเชิญแขกมาร่วมงานปอยส่างลองในสมัยก่อน จะมีญาติพี่น้องที่เป็นหนุ่ม ๆ สาว ๆ บ้านใกล้ เรือนเคียงเจ้าภาพ มาช่วยกันเชิญแขก แต่เดิมจะใช้วิธี “ต๊กห่อเน่ง” (เมี่ยง) คือ นำเมี่ยงที่นิยมกินกันนำมาห่อ ด้วยใบตองอย่างสวยงาม ให้หนุ่มสาวนำ “ห่อเน่ง” ไปมอบให้เจ้าของบ้านที่จะเชิญมาร่วมงานโดยบอก รายละเอียดการจัดงานให้ทราบว่า ใครเป็นเจ้าภาพจัดงานปอยส่างลอง จำนวนกี่องค์จะรับส่างลองวันไหน แห่ โคหลู่ (ของทำบุญ) วันไหน และทำพิธีบรรพชาวันไหน ฯลฯ ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนไปใช้เทียนไขแทน เรียกว่า “ต๊กเต็น” (บอกเทียน) การให้หนุ่มสาวไปบอกเทียนหรือ ต๊กเต็นนั้นเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง คือ เป็นการเปิด โอกาสให้หนุ่มสาวได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน อีกประการหนึ่ง การบอกบุญในต่างหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปหนุ่ม สาวจึงเหมาะสมที่จะทำหน้าที่นี้ ส่วนการนิมนต์พระภิกษุสงฆ์เป็นหน้าที่ของผู้สูงอายุ โดยผู้สูงอายุจะนำ กระสวยดอกไม้ธูปเทียนไปนิมนต์พระตามวัดที่ศรัทธาปัจจุบันนิยมจัดพิมพ์เป็นการ์ดเชิญ 5.3 การแต่งงาน ภาพที่ 42 – 43 ประเพณีแต่งงาน ประเพณีแต่งงาน ฝ่ายชายจะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอฝ่ายหญิง จะไม่มีการหมั้นไว้นาน ๆ เนื่องจากเชื่อว่าอาจ เกิดภัยแก่คู่หมั้น ถ้าฝ่ายหญิงยอมก็จะกำหนดวันแต่งงาน พิธีแต่งงานสำหรับบุตรชายมีทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 เรียกว่า โถ้นเหลิน ครั้งที่ 2 บวชเป็นสามเณร ครั้งที่ 3 บวชเป็นพระ ครั้งที่ 4 แต่งงาน ส่วนผู้หญิงจะมีงาน มงคลเพียง 2 ครั้งคือ โถ้นเหลิน กับแต่งงาน พิธีแต่งงานเรียกว่า ส่องหมั่งก่าหล่า จะมีอุ๊บขันหมากที่เรียกว่า โคหลู่หางปลา นำใบตองกล้วยมาพับ ทำเป็นรูปหางปลา มีห่อกับห่อกู้ทำสิ่งต่างๆเป็นคู่ๆ ได้แก่ ห่อเมี่ยง ห่อน้ำอ้อย ห่อเกลือ กล้วยน้ำว้า ขบวน ขันหมากจะแห่จากบ้านฝ่ายชายไปยังบ้านเจ้าสาว จะมีผู้ถือถุงเงินเพื่อซื้อผ่านประตูเงินประตูทอง ฝ่ายชายจะมี การต่อรองอย่างสนุกสนานทำเช่นนี้จนผ่านประตูและที่นอนด้วย เริ่มพิธีแต่งงาน พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายใช้ด้ายผูกข้อมือคู่บ่าวสาว จากนั้นจะอวยพร และทำพิธีทางศาสนา คือการถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ก่อน จึงจะจัดอาหารเลี้ยงแขก อาหารที่ใช้เลี้ยงส่วนมากจะเป็นขนมจีน หรือข้าวซอย ซึ่งมีความหมายว่าอยู่ด้วยกันยาวนาน เมื่อแต่งงานเสร็จคู่สมรสจะนำโคหลู่หางปลา ไปขอขมา ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายในวันต่อๆไปตามประเพณี


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๔ 5.4 ประเพณี 12 เดือน ของไทใหญ่ ชาวไทใหญ่เป็นกลุ่มชนที่ยึดมั่นในประเพณีมาก ในแต่ละเดือนของรอบปีจะมีงานประเพณีที่ยึดถือ ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาโดยตลอด ดังนี้ 1. ประเพณีเหลินเจ๋ง (ตรงกับเดือนธันวาคม) ประวัติความเป็นมา ภาษาปุ่งนา (ปุโหริต) เรียกว่า “ธะคยาหย่าสี่” ภาษาพม่าเรียกว่า “นะต่อละ” ชาวไทใหญ่เรียกเดือน หนึ่ง หรือเดือนเจ๋ง ธาตุประจำเดือนคือ เตโชธาตุ ไม้ประจำราศีคือ ดอกปานเซ (ภาษาถิ่น) มีนิทานที่เป็นบ่อ เกิดของประเพณีเล่าว่า “สมัยเมื่ออะสิ่งกอนติงญะ (โกญฑัญญะ) เป็นชาวนาอยู่ในกรุงพาราณสี ถวายข้าวใหม่ 9 ครั้ง คือ 1.ตอนที่ข้าว เริ่มท้อง 2.ตอนที่เข้าเป็นน้ำใส ๆ เหมือนน้ำนม 3.ตอนเก็บเกี่ยว 4.ตอนร่วมมาไว้ในงาน 5.ตอนเริ่มตีข้าว 6.ตี ข้าวเสร็จแล้ว 7.ตอนที่ขนข้าวจากนาไปยุ้งฉาง 8.ตอนนำข้าวใส่ยุ้งฉาง 9.ตอนนำข้าวออกจากฉางมาตำเป็น ข้าวสาร ด้วยอานิสงส์การถวายข้าว 9 ครั้งนี้ ชาติต่อมาชาวนาเกิดเป็นฤาษี 5 ตน ซึ่งได้ออกบวชตาม พระพุทธเจ้า และเป็นกลุ่มบุคคลกลุ่มแรกที่พระพุทธเจ้าเทศนาโปรด (ปฐมเทศนา) ทำให้สามารถบรรลุพระ อรหันต์สาวกชุดแรกด้วย” จากนั้นต่อมาเดือน 1 ของทุกปี จึงเป็นเดือนที่พระพุทธศาสนิกชนถือปฏิบัติบุญถวายข้าวใหม่แด่ พระสงฆ์ และบำรุงผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลาย จึงเป็นประเพณีทำบุญถวายข้าวใหม่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน เรียก ประเพณีนี้ว่า “กอบซอมอู” หรือทำบุญข้าวใหม่ คือนำข้าวที่ได้จากการเก็บเกี่ยวมาใหม่ ๆ จัดทำอาหารหรือ ขนมแล้วเชิญคนเฒ่าคนแก่ไปร่วมทำบุญถวายพระที่วัด (กรรมการวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน มปป. :28- 29) สำหรับหมู่บ้านเวียงหวายในเดือนนี้จะมีกิจกรรมปอยปีใหม่ไต โดยจะทำกันแบบสนุก ๆ เป็นงานเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน เช่น มีการไปทำบุญที่วัด มีการกินเลี้ยงฉลองกันในหมู่เครือญาติด้วยความเชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นปี อย่างมีความสุข ส่วนการจัดงานปอยปีใหม่ไตที่ยิ่งใหญ่ก็มีทุกปีโดยเลือกเป็นบางพื้นที่เป็นเจ้าภาพ บ้านไทใหญ่ เวียงหวาย และหมู่บ้านไทใหญ่อื่น ๆ ก็ส่งตัวแทนไปร่วมมีกิจกรรมแสดงพลังรักชาติของชาวไต มีการละเล่น ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน มีการแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน อ่านประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านที่เป็นเจ้าภาพ บุคคลสำคัญที่มาร่วมพิธีนิมนต์พระมาประกอบพิธีมงคล ทำพิธีสงเคราะห์ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน เป็นต้น ในปีที่ ผ่านมาก็จัดที่ดอยสันจุ๊ที่อยู่ใกล้ชายแดนไทย-พม่า ส่วนการทำบุญข้าวใหม่ หรือหลู่เข้าใหม่ หรือฮับเข้าใหม่ ก็มี การปฏิบัติดังที่เคยทำในอดีต เพียงแต่บางอย่างอาจมีการปรับเปลี่ยนไป เช่น นำเข้าใหม่มาทำเป็นข้าวหลาม ข้าวเม่า หรือขนมที่ทำจากข้าวไปทำบุญ ซึ่งส่วนมากจะซื้อหามาจากตลาดแบบสำเร็จรูป เพราะคนส่วนมากมี งานประจำงานรับจ้างไม่มีเวลามาทำ พ่อครูประเสริฐ ปัญญาวงค์ ได้เล่าให้ฟังว่าในอดีตคนไทใหญ่มีงานปล่อยล้างสาด (ล้างเสือที่ใช้รองใน การนวดข้าว) ทั้งนี้เพื่อสร้างความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยให้กับชาวนา แต่ในปัจจุบันก็ไม่มีให้ เห็นกันแล้ว จะมีก็เพียงการดื่มเหล้าดองยาของชาวนากลุ่มเล็ก ๆ หลังจากการเก็บข้าวสู่ยุ้งฉาง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๕ 2. ประเพณีเหลินก๋ำ (ตรงกับเดือนมกราคม) ประวัติความเป็นมา ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกว่า “มะกะระหย่าสี่” ภาษาพม่าเรียกว่า “ปฺผาโส่” ภาษาไตเรียกว่าเดือน 2 หรือเดือนก๋ำ ธาตุประจําราศีคือ ปฐวีธาตุ ดอกประจำราศีคือ ดอกขว่าโหย่ (ภาษาถิ่น) หรือดอกกว๋างข่อง (ภาษาถิ่น) เป็นเดือนที่พระสงฆ์อยู่ปริวาสธรรมและมานัต มีนิทานที่เป็นบ่อเกิดประเพณีนี้เล่าว่า “สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ มีพระภิกษุจำนวน 20 รูป ทำผิดวินัยอาบัติสังฆาทิเสส พระพุทธองค์ ทรงลงโทษให้ไปบำเพ็ญเพียรเจริญสมถกัมมัฎฐาน ทรมานอยู่ในที่โล่งแจ้งท่ามกลางน้ำค้างและสายหมอก ในขณะที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เห็นความทุกข์ยากของพระภิกษุทั้ง 20 รูป ก็ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพระภิกษุ ที่ถูกทำโทษตากน้ำค้างอยู่ท่ามกลางที่โล่งแจ้งไม่มีสิ่งกำบังใด ๆ ได้รับทุกขเวทนา หาข้าพระพุทธเจ้ามีเจตนา ศรัทธาจะทำที่อยู่ที่พักถวายจะเหมาะสมประการใดหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงตอบว่าสามารถถวายได้ พระเจ้าป เสนทิโกศล จึงตรัสให้เสนาอมาตย์นำป๋องจ้าง (สัปคับหลังช้าง) ไปถวายรูปละ 1 ที่ จนครบและจัดอาหาร บิณฑบาตมาถวายตอนเวลาที่พระภิกษุอยู่ปริวาสธรรมและมานัต” ด้วยเหตุนี้เมื่อถึงเดือนก๋ำพระสงฆ์จะมีการเข้าปริวาสธรรมและอยู่มานัต ส่วนประชาชนก็ถือโอกาสทำบุญถวาย อาหารบิณฑบาตและเสนาสนะที่อยู่อาศัยแด่พระสงฆ์ที่อยู่ปริวาสธรรมและมานัตสืบต่อมาจนทุกวันนี้ (โกศล ศรีมณี มปป. : 29 – 30) การเข้าปริวาสธรรมของพระสงฆ์คนไทใหญ่เรียกว่า “ปอยป๋างวาส”ในอดีตจะมีการสลับสับเปลี่ยน กันเป็นเจ้าภาพในแต่ละตำบลจะมีการนิมนต์พระมาจำศีลที่วัด ศรัทธาก็จะสลับกันมาเป็นเจ้าภาพรับเลี้ยงเพล เลี้ยงน้ำปานะ เลี้ยงอาหารสำหรับผู้ที่มาร่วมทำบุญ ซึ่งระยะเวลาที่ทำประมาณ ๑๐ วัน นอกจากนี้ก็จะมีทำ ข้าวปุ๊ก (ข้าวที่ตำด้วยงา นวดจนเหนียวเป็นเนื้อเดียวกัน) มาถวายพระ เรียกว่า “ปอยหลู่ข้าวต๋ำงา หลู่ข้าว ปุ๊ก” ในปัจจุบันก็ยังมีการเข้าปริวาสธรรมของพระสงฆ์แต่จะจัดพิธีที่ป่าช้า เพราะเชื่อว่าเป็นการทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลไปยังวิญญาณที่เร่ร่อน เป็นเสมือนการล้างป่าช้า และเหตุที่ไปจัดที่ป่าช้าอีกประการหนึ่งก็คือเป็น สถานที่สงบเงียบไม่ค่อยมีใครรบกวน ทำให้การประกอบกิจของสงฆ์ไม่มีผู้ใดรบกวน 3.ประเพณีเหลินสาม (เดือนสามตรงกับเดือนกุมภาพันธ์) ประวัติความเป็นมา ในภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต เรียกว่า “กุมหย่าสี่” ภาษาพม่าเรียกว่า “ต๊ะโป่แต่ละ” ธาตุประจำราศี คือ วาโยธาตุ ธาตุลม ดอกไม้ประจำราศี คือ ดอกซูปานและดอกอิงแง (ภาษาถิ่น) เป็นฤดูถวายไม้โหล (ฟืน) ถวาย ข้าวหย่ากู๊ (ข้าวเหนียวแดง) มีนิทานบ่อเกิดประเพณีเล่าว่า “นานมาแล้วในเมือง สาวัตถี มีนายมานพเข็ญใจคนหนึ่ง พอถึงเดือน 3 ยามหนาวเหน็บ ได้เก็บฟืนมากองไว้ที่ ต้นทางที่พระสงฆ์จะบิณฑบาตในเมืองพอถึงเวลาเช้าตรู่ก็ตื่นแต่เช้ามืด เดินทางไปยังกองพื้นและก่อกองไฟที่ต้น ทางแห่งนั้น พร้อมกับนิมนต์พระสงฆ์มาผิงไฟให้เกิดความอบอุ่นแล้วจึงออกบิณฑบาตทำอย่างนี้ทุกเช้าจนสิ้น ฤดูหนาว ด้วยอานิสงส์แห่งการกระทำดังกล่าวส่งผลให้มาณพนั้นตายไปเกิดในสวรรค์ เป็นเทพบุตรผู้มีรัศมี ยิ่งใหญ่ ดุจดวงไฟที่ลุกโชน เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าเทพยดาทั้งหลาย สำหรับการถวายข้าวหย่ากู๊ (ข้าว เหนียวแดง) มีตำนานบ่อเกิดประเพณีกล่าวไว้ว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงประชวรด้วยโรคพระอุทรปวดๆ เสียดๆ พระอานนท์ ได้ออกบิณฑบาตและพบนางสุชาดาที่กำลังหุงข้าวยาคูใส่เนย น้ำนม น้ำมัน จ่าตีโผ่ (ยา สมุนไพร) เลงยาง (กานพลู) พิดชาง ผิดป้อม (พริกไทย) พอเหลือบเห็นพระอานนท์ นางสุชาดารีบตักข้าวยาคู ไปใส่บาตรพระอานนท์ทันที พระอานนท์ได้นำข้าวยาคูนั้นไปถวายแด่พระพุทธเจ้า เมื่อฉันข้าวยาคูของนาง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๖ สุชาดาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงหายจากอาการประชวรพระอุทร ด้วยอานิสงส์การถวายข้าวยาคูนี้ นางสุชาดาเมื่อ ตายไปแล้วได้ไปจุติบนสวรรค์ เสวยผลบุญอย่างเป็นสุข” ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงเดือน ๓ บรรดาพุทธบริษัทชาวไทใหญ่ต่างนิยมทำบุญถวายข้าวหย่ากู้ (ยาคู หรือข้าวเหนียว แดง และข้าวยาคูหุงด้วยนม เนย ผสมสมุนไพร เป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีประเพณีหลู่ ข้าวหย่ากู้ และปอยก๋องโหลขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ❖ ประเพณีปอยหลู่ข้าวหย่ากู๊ (ทำบุญข้าวเหนียวแดง) ช่วงที่มีการจัดงาน ประเพณีปอยหลู่ข้าวหย่ากู๊มักจัดในเดือน ๓ หรือเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปี ประวัติความเป็นมาของปอยหลู่ข้าวหย่ากู๊ ประเพณีการหลู่ข้าวหย่ากู๊เป็นประเพณีหนึ่งที่จัดขึ้นทุกปี และเป็นประเพณีที่มีความผูกพันกับ ชาวบ้านผู้ทำการเกษตรมาช้านาน ถือว่าเป็นประเพณีของชาวไทใหญ่จัดขึ้นและสืบทอดแก่ลูกหลานสืบมา โดย มีความเชื่อว่าหลังจากทำนาหรือหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จต้องมีการระลึกถึงบุญคุณของข้าว (พระแม่โพสพ) ที่ได้ คุ้มครองไร่นาหรือให้ชาวนามีข้าวไว้หล่อเลี้ยงชีวิต และเมื่อได้ข้าวมาก็จะนำไปถวายวัดเพื่อเป็นศิริมงคล และ ข้าวนั้นต้องเป็นข้าวใหม่ ในวัน “เหลินสาม” หรือเดือนสามซึ่งตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีชาวไทใหญ่จึงมี ประเพณีถวายข้าวหย่ากู้สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีการทำข้าวหย่ากู๊ เมื่อถึงเดือน ๓ หรือ เดือนกุมภาพันธ์ บรรดาพุทธบริษัทชาวไทใหญ่ทั้งหลายจะนิยมทำบุญหลู่ข้าว หย่ากู๊ หรือถวายข้าวเหนียวแดง เพราะเชื่อกันว่าการหลู่ข้าวหย่ากู๊นี้จะได้บุญกุศลทำให้ได้ไปจุติบนสวรรค์ เสวยผลบุญอย่างเป็นสุข เช่นเดียวกับนางสุชาดา ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำกันสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การจัดงานประเพณี “ปอยหลู่ข้าวหย่ากู๊” (หลู่ หมายถึง ถวายหรือให้ทาน) หรือการถวาย ข้าวเหนียวแดง คือ กิจกรรมประเพณีที่เกิดขึ้นหลังจากที่ชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวผลผลิตจาก การทำไร่ทำนา และได้ผลผลิต หรือ เรียกว่าได้ข้าวใหม่ ก็จะเอาข้าวใหม่นี้ไปทำบุญในรูปข้าวหย่ากู๊ ในการหลู่ข้าวหย่ากู๊นั้น ชาวบ้านจะแบ่งส่วน หนึ่งไปถวายพระภิกษุ สามเณร และส่วนที่เหลือทั้งหมดจะนำไปตาน (ให้ทาน) คนเฒ่าคนแก่ที่บุคคลนั้น ๆ ให้ ความเคารพนับถือ หรือแจกเป็นทานในหมู่บ้านหรือตามบ้านญาติสนิทมิตรสหาย เพราะเชื่อกันว่าการหลู่ข้าว หย่ากู๊นี้จะได้บุญกุศล ชุมชนไทใหญ่บางแห่งจะรวมตัวกันจัดงาน ในสมัยก่อนมีการแห่ขบวนข้าวหย่ากู๊ โดยใช้ เกวียนบรรทุกข้าวหย่ากู๊แห่ไปทั่วหมู่บ้าน ซึ่งเกวียนจะประดับตกแต่งขบวนอย่างสวยงาม มีการละเล่นดนตรี พื้นบ้านและการฟ้อนรำเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน แต่ปัจจุบันนิยมใช้รถยนต์บรรทุก ๔ ล้อแทนเกวียนในการให้ ทานข้าวหย่ากู๊ สำหรับปริมาณของการทำข้าวหย่ากู๊แต่ละครัวเรือนก็จะลดน้อยลงตามสภาพเศรษฐกิจ เพราะ ปัจจุบันข้าวมีราคาแพงบางบ้านจึงมีการทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีแจกจ่ายกันมากมายเช่นแต่ก่อน ❖ ประเพณีปอยก๋องโหล ประวัติความเป็นมา หลังจากเสร็จสิ้นประเพณีการหลู่ข้าวหย่ากู๊แล้วจะมี “ปอยโหล” คือ งานจุดฟืน ในวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม เป็นฤดูถวายไม้โหล (ฟืน) มีนิทานบ่อเกิดเกี่ยวกับประเพณีได้กล่าวไว้ว่า กาลครั้งหนึ่ง ณ เมืองสาวัตถี ในช่วงเดือน ๓ ซึ่งมีอากาศหนาวเหน็บมาก มีชายหนุ่มผู้ยากจนคนหนึ่ง ได้เก็บฟืน มากองไว้ที่ต้นทางที่พระสงฆ์จะบิณฑบาตในเมือง พอถึงเวลาเช้าตรู่ก็จะตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืดเดินทาง ไปยังกองฟืน และก่อกองไฟที่ต้นทางแห่งนั้น พร้อมนิมนต์พระสงฆ์มาผิงไฟให้เกิดความอบอุ่น แล้วพระสงฆ์จึง ค่อยออกบิณฑบาต ทำอย่างนี้ทุกเช้าจนสิ้นฤดูหนาว อานิสงส์แห่งการกระทำดังกล่าวส่งผลให้ชายหนุ่มผู้นั้น


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๗ เมื่อตายไปจึงได้เกิดบนสวรรค์ เป็นเทพบุตรผู้มีรัศมียิ่งใหญ่ดุจดวงไฟที่ลุกโชน เป็นที่เคารพนับถือของเหล่า เทวดาทั้งหลาย ดังนั้นเมื่อถึงเดือนสามชาวบ้านจึงมีประเพณีนำฟืนมารวมกันจุดให้แสงสว่างที่วัดในเวลา กลางคืน และมีการละเล่นพื้นบ้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการรับเสด็จพระพุทธเจ้าจากสวรรค์ลงมาสั่งสอนประชาชน บนโลกมนุษย์ งานก๋องโหล จัดในเดือน กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ชาวบ้านนิยมจัดงานก๋องโหล (โหล แปลว่า ฟืน) เป็นพิธีถวายฟืนเป็นพุทธบูชามีนัยว่าให้พระพุทธเจ้าได้ผิงไฟคลายหนาว จัดขึ้นทั่วไปตามวัดไท ใหญ่ ชาวบ้านจะจัดหาไม้ฟืนบ้านละท่อนสองท่อนมารวมกันที่วัด พิธีการทำบุญถวายก๋องโหล คือเอาไม้ เนื้ออ่อนนำมาก่อฐานสี่เหลี่ยมคอกหมู ปลายแหลมขึ้นไปเป็นยอดเจดีย์ มีฉัตรเป็นยอดเป็นฉัตรห้าชั้นประดับ ด้วยดอกจ้ากจ่า ยอดเจดีย์ทำด้วยไม้แปก คือ ไม้สนที่จุดติดไฟง่าย นำไม้ไผ่มาขัดราชวัติ ทั้งสี่มุม ปักหน่อกล้วย หน่ออ้อย พอเวลากลางคืนหลังจากทำพิธีถวายพระเสร็จแล้วจะนำน้ำมันมาราดจนทั่วแล้วจุดไฟถวายเป็นพุทธ บูชา บางหมู่บ้านจะเผากองโหลโดยใช้ไฟม้าล่อบ้องไฟสัน เมื่อจุดม้าไฟแล้ว ม้าไฟจะวิ่งไปตามเส้นลวดไปชน สายชนวนที่ก๋องโหล ไฟนั้นจะพุ่งเข้าหาก๋องโหลที่ราดด้วยน้ำมัน ไฟก็จะลุกโชติช่วง มีการประโคมด้วยเสียง กลองก้นยาว อย่างครึกครื้น ปัจจุบันการทำบุญถวายก๋องโหลของชาวไทใหญ่ไม่ค่อยมีให้เห็นกันแล้ว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสภาพ สังคม เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป คนในหมู่บ้านมีภาระงานที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น การใช้ฟืน หรือโหล ในวิถีชีวิตมีน้อยลง ต้นไม้ที่จะนำมาทำเป็นฟืนก็หายาก ประกอบกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งในช่วงเดือน กุมภาพันธ์อากาศก็เริ่มร้อนแล้ว จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ประเพณีงานปอยก๋องโหลเริ่มสูญหายไป คงเหลือไว้แต่ เรื่องราวที่ดีงาม ที่ลูกหลานชาวไทใหญ่พึงได้รับรู้ไว้เท่านั้น ส่วนในหมู่บ้านเวียงหวายก็จะมีปอยกินข้าวหลาม ปอยก๋องโหล (กองฟืน) ปอยหลู่ไฟ โดยเชื่อว่าช่วงฤดูหนาวหากใครได้ถวายฟืนแด่พระสงฆ์ก็จะได้อานิสงส์แรง ในอดีตฟืนหาง่ายทุกคนก็จะหาฟืนไปวัดคนละท่อนปัจจุบันก็เหลือครอบครัวละท่อนแต่ก็ยังมีการจัดกิจกรรมนี้ กันอยู่ 4.ประเพณีเหลินสี่ (เดือนสี่ตรงกับเดือนมีนาคม) ประวัติความเป็นมา ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกว่า “มะหยิ่นหย่าสี่” ภาษาพม่าเรียกว่า “ต๊ะป่องละ” ธาตุประจำเดือนคือ อาโปธาตุ ดอกไม้ประจำราศีคือดอกเปา (ภาษาถิ่น) ตำนานบ่อเกิดประเพณีกล่าวไว้ว่า “ขณะที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ เชตวันวิหาร เมืองสาวัตถีนั้นข่าวคราวของพระองค์ได้ทรงทราบถึงพระ เจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา ท่านจึงทรงสั่งอำมาตย์ ๑,๐๐๐ คน นิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองกบิลพัสด์ ฝ่าย อำมาตย์ทั้งหลายเมื่อมาเฝ้าพระพุทธเจ้า และเมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาต่างพากันตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ ขอ บรรพชาอุปสมบทไม่กลับไปกรุงกบิลพัสด์ ตามภาระหน้าที่ที่ได้รับมา พระเจ้าสุทโธทนะสั่งอำมาตย์อีก ๑,๐๐๐ คนไปนิมนต์พระพุทธเจ้าอีก เหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดิม ทุกคนบรรลุอรรหันต์ แล้วไม่กลับกรุงกบิลพัสด์ ทำเช่นนี้ ถึง ๓ ครั้ง ครั้งสุดท้ายจึงทรงรับสั่งให้กาฬุทายีอำมาตย์มานิมนต์พระพุทธเจ้าอีก กาฬทายีอำมาตย์จึงขอพระ บรมราชานุญาตพรรพชาอุปสมบทก่อนจึงจะนิมนต์พระพุทธเจ้ากลับมาสู่กรุงกบิลพัสด์พระเจ้าสุทโธทนะทรง อนุญาต อำมาตย์กาฬุทายีจึงพาคณะ 1,000 คน เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า” เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาและบรรลุมรรคผล จึงอยู่จำพรรษากับพระพุทธเจ้าจนครบถ้วน ๓ เดือนแล้วจึง อาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสด์ พระพุทธองค์ทรงใคร่ครวญแล้วเห็นว่าเป็นธรรมเนียมของ พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ในอดีตที่จะต้องไปโปรดพระประยูรญาติ จึงทรงรับพระนิมนต์ เมื่อทราบแน่ชัดแล้ว กาฬุทายีภิกษุจึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติเดินทางไปเตรียมการล่วงหน้าและแจ้งข่าวแด่พระเจ้าสุ


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๘ ทโธทนะและข้าราชบริพารว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมากรุงกบิลพัสด์ในเดือน ๔ นี้ ให้ทุกคนเตรียมซุ้มรับเสด็จ และเครื่องไทยธรรม อาหารบิณฑบาตและอื่น ๆ ไว้รับเสด็จพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าสุทโธทนะมีรับสั่งให้จัดทำ ถนนหนทางปราสาทและซุ้มรับเสด็จทั่วกรุงกบิลพัสด์พอถึงวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๔ พระพุทธองค์ทรงนำพระสงฆ์ ออกจากเชตวันวิหาร เดินทางไปวันละ ๑ โยชน์ เมื่อนำคณะสงฆ์ เดินทางถึงกรุงกบิลพัสด์แล้วบรรดาศรัทธา ประซาชนชาวเมืองต่างชื่นชมยินดี พากันจัดไทยธรรมไว้ถวายเป็นจำนวนมาก ทั้งอาหารบิณฑบาต ล้วนแต่เป็น สิ่งของสิ่งแปลก ๆ ที่ทุกคนคิดว่าทำ ๆ ได้ดีที่สุด บางกลุ่มจัดทำต้นเวชยันต์หรือต้นหอลม ต้นร่ม ต้นธง ต้นจีวร ๑,๐๐๐ ผืน พร้อมทั้งบรรเลงเครื่องดนตรี ดุริยางค์ นานาประการรับเสด็จพระพุทธเจ้าทุกแห่งหน จัดเป็นงาน พิธียิ่งใหญ่ในการแสดงความยินดีที่ได้รับเสด็จพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลนั้น ด้วยเหตุนี้แม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานไปนานแล้วในวันเดือน ๔ อยู่มิรู้ลืม จึงพากันจัดงาน ประเพณีสืบต่อกันมาเป็นประจำปี ตัวแทนของพระพุทธเจ้า เช่น พระธาตุเจดีย์ก็ดี พระพุทธรูปก็ดี พระบรม ฉายาลักษณ์ก็ดี มีอยู่ ณ ที่ใด ศรัทธาพุทธบริษัททั้งหลายก็จะพากันไปทำบุญเป็นงานรับเสด็จเช่นใน สมัย พุทธกาล เป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน 5. เหลินห้า (เดือนห้าตรงกับเดือนเมษายน) ประวัติความเป็นมา เนื้อความตามปั๊บสาชื่อ ต๊ะซะนิดหย่าสี่สิบสองเหลินซากเส่อูต่านกล่าวไว้ว่า เดือน 5 ภาษาปุงนา (ปุโรหิต)เรียกว่า "มิกซะหย่าสี่" ภาษาพม่าเรียกว่า "ต๊ะกู่ละ" ธาตุประจำเดือนคือเตโชธาตุอากาศจึงค่อนข้าง ร้อน ดอกไม้ประจำราศีคือ ดอกก้ำก่อ (ดอกบุนนาค) เป็นเดือนที่เปลี่ยนศักราชใหม่ มีเรื่องเล่าเกี่ยวประเพณี นี้ว่า ครั้งหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ที่เชตะวันวิหารในกรุงสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ชักชวนข้า ราชกาลบริพารตระเตรียมไทยธรรมอาหารคาวหวาน นำไปถวายพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าตรัส เทศนาว่า ในช่วงเทศกาลเปลี่ยนศักราชนี้ขอให้ทำพิธีคาราวะพระรัตนตรัย ผู้มีพระคุณและสรงน้ำพระพุทธรูป รดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อขอพรปีใหม่ให้มีโชคลาภอยู่เย็นเป็นสุข เจริญด้วยจตุรพิธพร 4 ประการ มีอายุ วรรณะ สขะพละ ปฏิภารธนสารสมบัติ ตลอดไป และพระพุทธองค์ทรงนำพระสงฆ์ทำการสรงน้ำพระใน สระอนปทัต ที่มีกลุ่มดอกบัว 5 ประเภท ที่บานสะพรั่งเต็มสระพอถึงเดือน 5 ชาวประชาจึงพากันทำโกมโบ๋ (โคมรูปดอกบัว) เพื่อบูชาพระตามวัดว่าอารามต่างๆ จึงยึดถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ (โกศล ศรีมณีมปป. : 7) จากเอกสารโรเนียวเย็บเล่มภาษาไต ชื่อ "หย่าสิบสองเหลินคำ"เขียนโดย เจเรแสงเฮิง บ้านแม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่าเดือน 5เป็นวาระการเปลี่ยนศักราชเนื่องจากธิดาท้าวมหาเทพพรหมเปลี่ยน วาระอุ้มเศียรบิดาไว้ในแต่ละปี ตามตำนานเล่าว่าหลังเกิดโลกวินาศไฟประลัยกัลป์ล้างโลกและน้ำท่วมโลกแล้ว มีดอกบัว 5 ดอกผุดขึ้นที่กลางสระใหญ่เป็นจุดเริ่มต้นของภัทรกัลป์นี้ ในกัลป์นี้มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 5 พระองค์ และมีดอกบัว 5 ดอกมีจีวร 5 ชุด พระพรหมได้ลงมาอัญเชิญจีวรทั้ง 5 ชุด ขึ้นไปไว้ในพรหมโลกเมื่อถึงเวลาที่ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มาตรัสรู้ ท้าวมหาพรหมและคณะจะนำผ้าจีวรลงมาถวายตามลำดับขณะนี้พระพุทธเจ้า มาตรัสรู้ไปแล้ว 4 พระองค์ ยังเหลืออีก 1 พระองค์ คือ พระศรีอริยเมตไตย ซึ่งจะมาตรัสรู้ต่อจากยุคของพระ โคดมพุทธเจ้า บรรดาพระพรหมที่ลงมาในโลกมนุษย์โลกมาได้สูดกลิ่นดินหอมแล้วเกิดความพอใจพากันขุดมา ชิมดู หลังจากชิมดินหอมแล้วทำให้วิชาฌาน (เหาะเหินเดินอากาศ) เสื่อมไม่สามารถเหาะกลับไปสู่พรหมโลกได้ จึงอาศัยอยู่ในมนุษย์โลกต่อมาจนถึงปัจจุบัน(โกศล ศรีมณี มปป. : 8) เหล่าพรหมและเทวดาได้ประชุมปรึกษาเรื่องวิธีการกำหนดราศีฤดูกาลและพิจารณาหาผู้ที่มีความสามารถ กำหนดราศีฤดูกาลได้ ซึ่งท้าวมหาพรหมได้รับอาสาเป็นผู้จัดทำ พร้อมกับสัญญาว่าหากไม่สามารถทำให้สำเร็จก็


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๓๙ จะให้ศีรษะเป็นประกัน ต่อมาเมื่อไม่สามารถกำหนดราศีฤดูกาลให้ดีทัดเทียมกันได้ พระอินทร์จึงขอให้ศาสดา พยากรณ์ (งะพอหมอกยาม)กำหนดฤดูกาลเป็นฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ซึ่งเป็นฤดูกาลมาตราบจนถึงปัจจุบัน นี้ พระอินทร์จึงบอกกับพระธิดาทั้ง 7 ของท้าวมหาพรหมว่า ใครสามารถตัดศีรษะของท้าวมหาพรหมได้จะ อภิเษกยกขึ้นเป็นอัครมเหสี ธิดา 6 องค์ ไม่สามารถทำได้ แต่ธิดาองค์สุดท้อง(วันเสาร์) ได้ใช้เส้นผมขึงกับโครง ไม้ ทำเป็นเลื่อยใช้เลื่อยคอของท้าวมหาพรหมจนขาด พอขาดแล้วนำไปไว้ที่ไหนก็ไม่ได้ไว้ในน้ำก็น้ำแห้ง ไว้บน บกก็ไฟไหม้จำเป็นที่ธิดาทั้ง 7 จะต้องผลัดเปลี่ยนกันทูนศีรษะของบิดาไว้คนละ 1 ปี หมุนเวียนกันตลอดกาล พอถึงเดือน 5 ของแต่ละปีก็จะเปลี่ยนกันครั้งหนึ่ง ธิดาองค์ที่หมดภารกิจก็จะถือโอกาส ล้างมือ อาบน้ำ ซักผ้า สระผมให้สดชื่น หลังจากที่รับภารกิจมานานเป็นเวลาแรมปี ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นประเพณี พอถึงเดือน 5 เปลี่ยนศักราชใหม่จะพากันอาบน้ำชำระร่างกาย สระผม ปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือนในโอกาสวันขึ้นปี ใหม่เป็นกรณีพิเศษ สำหรับตัวท้าวมหาพรหมนั้นพระอินทร์ได้ทูลถามมารดาของท้าวมหาพรหมว่าจะสามารถ หาศีรษะของใครมาต่อแทนได้ มารดาตอบว่าศีรษะของใครอะไรก็ได้ที่นอนหันศีรษะไปทางทิศเหนือพระพรหม และเทวดาทั้งหลายจึงพากันลงมายังโลกมนุษย์และได้พบกับช้างตัวหนึ่ง กำลังนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึง ตัดหัวช้างนั้นนำไปต่อติดกับตัวของท้าวพรหม ทำให้ท้าวพรหมฟื้นคืนชีพและได้รับขนานนามว่า "มหาปิงเน" (พระพิฆเนศ - ผู้เรียบเรียง) ส่วนตัวช้าง ก็นำไม้ฟันมาก่อกองไฟสุมฌาปนกิจจนเสร็จกิจ (โกศล ศรีมณีมปป. : 8-9) เหล่าพระพรหมและเทวดาทั้งหลายได้ประชุมปรึกษากันว่า บาปที่ตัดเศียรท้าวมหาพรหมมี่ จะตกแก่ ใคร พระอินทร์ตอบว่า ตกแก่ชาวเมืองทั้งหลายเพราะชาวเมืองอยู่ใต้อิทธิพลของดวงดาวชะราศี ฤดูกาล และ ถามต่อว่า หากต้องการถ่ายบาปจะต้องทำอย่างไรบ้าง พระอินทร์ตอบว่า ต้องพากันก่อเจดีย์ทราย ถวายน้ำ ถวายดอกไม้ สรงน้ำพระพุทธรูปและพระสงฆ์ให้ทำขนมไปทำบุญ ผู้เฒ่าผู้แก่แลพระสงฆ์ผู้ทรงศีลอธิษฐานขอ พรให้พ้นจากบาปและได้รับความสุขความเจริญยิ่ง ๆขึ้นไป จึงเกิดมีประเพณีรดน้ำดำหัว คารวะผู้เฒ่าผู้แก่ทำ ขนมประเพณีแจกจ่ายและถวายพระสงฆ์สืบกันมาจนถึงทุกวันนี้ (โกศล ศรีมณีมปป. : 8-9) ❖ การกั่นตอ (ขอขมา)บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่และพระสงฆ์ ภาพที่ 44 – 45 ถวายคัวหลู่ผู้เฒ่าผู้แก่ให้พร ช่วงเวลาที่มีการจัดงาน เดือน 5 และเดือน 11 (เดือนเมษายนและเดือนตุลาคม) หรือก่อนวันขึ้นวัด 1 วัน คือช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 14-15 เมษายนของทุกปี และขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ประเพณีกั่นตอ หรือขอขมานี้จะมีปีละ 2 ครั้ง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๐ ประวัติความเป็นมาและความเชื่อเกี่ยวกับพิธี เหลินห้าเป็นเทศกาลสำคัญของชาวไทใหญ่ เรียกว่าปอยเหลินห้าหรือปอยซอนน้ำ ในเทศกาลนี้จะมี การสรงน้ำพระ กั่นตอบิดามารดาญาติผู้ใหญ่ขอขมาพระสงฆ์และทำบุญตักบาตรฟังเทศน์ ฟังธรรมตาม ประเพณี เช่นเดียวกับงานสงกรานต์ของล้านนา และชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าบิดามารดาก็คือพระพุทธเจ้าคน แรก ถ้าไม่เลี้ยงบิดามารดาแล้วจะลำบากในสมัยก่อนถ้าไม่ได้กั่นตอบิดามารดาก่อนก็ไม่กั่นตอพระได้ เมื่อ สมัยก่อนมีเศรษฐีคนหนึ่งจะไปกั่นตอพระพุทธเจ้าที่วัด จึงนำผลไม้ อาหารคาวและอาหารหวาน นำมากั่นตอ พระพุทธเจ้าที่วัด พระพุทธเจ้าถามท่านเศรษฐีว่า ท่านเศรษฐีกั่นตอบิดามารดาหรือยัง ท่านเศรษฐีบอกว่าเราไม่ มีบิดามารดา พระพุทธเจ้าถามต่อไปว่าถ้าท่านเศรษฐีไม่มีบิดามารดาแล้วท่านเกิดมาได้อย่างไร เศรษฐีคนนั้น รู้สึกอับอายมากพระพุทธเจ้าให้ท่านเศรษฐีไปกันตอบิดามารดาก่อน พระพุทธเจ้าถึงจะรับของที่มากั่นตอได้ ถ้า ท่านเศรษฐีไม่กั่นตอบิดามารดา พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจรับสิ่งของที่มากันตอนี้ได้ ท่านเศรษฐีต้องจึงต้องไปกั่นตอ บิดามารดาก่อนถึงจะกั่นตอพระได้ เศรษฐีรู้สึกอับอายมาก ก็นำอาหารที่มากั่นตอพระพุทธเจ้า นำไปเททิ้งลงใน กระบอกไม้ ทำให้นกมาจิกอาหารที่ท่านเศรษฐีทิ้งไว้ นกที่มาจิกกินมีอาการเมาเหมือนเมาสุราเพราะผลไม้ที่ หมักดองกันมากๆ ทำให้เกิดเป็นสุรา เหตุนี้การเกิดสุราก็เลยเกิดขึ้นในสมัยนั้นเป็นต้นมา การกั่นตอต้องมีการเตรียมสิ่งของที่จะใช้กันตอหรือขอขมาก่อน การกั่นตอหรือขอขมาจะเริ่มกั่นตอ บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ของตนเองก่อนเสมอและก่อนวันขึ้นวัด 1 วัน คือช่วงเวลาวันที่ 14 - 15 เมษายน ของทุกปี คือ ถ้าขึ้นวัดวันที่ 15 เมษายน จะเริ่มกันตอหรือขอขมาในวันที่ 14 เมษายน และถ้าวันขึ้นวัดตรง กับวันที่ 16 เมษายน ก็จะเริ่มกันตอในวันที่ 15 เมษายน ในเวลาตอนค่ำๆ ตั้งแต่เวลา 17.00 - 21.00 น. และวันรุ่งขึ้นวันที่ 16 เมษายนก็จะทำบุญที่วัด เตรียมข้าวปลาอาหารใส่ปิ่นโต และของใช้ต่างๆ ที่เห็นว่า เหมาะสมจัดใส่ถาดถวายพระสงฆ์ที่วัด พอทำบุญเสร็จแล้วจึงจะกันตอญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ โดยจะพากัน เป็นหมู่คณะแสดงถึงความพร้อมเพียงกันจากนั้นก็ไปกันต่อหมู่บ้านและวัดต่างๆ ที่ใกล้เคียง การกั่นตอวัดใน ชุมชนที่ตนเองอยู่มักจัดพิธีในวันที่ 18 เมษายน กิจกรรมจะกั่นตอหรือขอขมาพระสงฆ์ที่วัดและก็จะมีการสรง น้ำพระพุทธรูปที่วัด ให้คนในชุมชนได้สรงน้ำพระชาวบ้านในชุมชนก็จะจัดเตรียมน้ำส้มป่อย น้ำอบน้ำหอม ใส่ น้ำส้มปอยผสมน้ำอบน้ำหอมในชันเงินที่เตรียมไป เพื่อจะกันตอหรือขอขมาพระสงฆ์และสรงน้ำพระพุทธรูปที่ วัด แล้วพระสงฆ์ให้คำอวยพรเป็นเสร็จพิธี และจะมีอีกการกั่นตออีกครั้งในเดือน 11 คือ เดือนตุลาคม ก่อน ออกพรรษา จะเริ่มที่การกั่นตอบิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่ ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 เช้าวันรุ่งขึ้นมีการตักบาตร เทโว ตอนสายฟังเทศน์ ฟังธรรมที่วัด ประมาณวันแรม 2 – 3 ค่ำ เดือน 5 จะมีการกั่นตอต่างหมู่บ้าน หรือ หมู่บ้านใกล้เคียง โดยอาศัยวัดประจำหมู่บ้านเป็นศูนย์กลาง ❖ การชอนน้ำเจ้าพารา (สรงน้ำพระพุทธรูป) วันปีใหม่ชาวไทใหญ่รียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปอยซอนน้ำ จึงเป็นเทศกาลที่ชาวไทใหญ่จะได้สรงน้ำ พระพุทธเจ้ารูปตามวัดอารามหรือบ้านเรือนของตน บางวัดอาจสร้างสถานที่สรงน้ำพระขึ้นมาเฉพาะ เรียกชื่อ ว่า จองชอนมีการอัญเชิญพระพุทธรูปบนวัดมาประดิษฐานไว้ ณ จองซอน เพื่อให้ชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธาได้ สรงน้ำพระตามประเพณี ซึ่งยึดถือปฏิบัติกันมาช้านานสำหรับวัดที่ไม่มีจองชอนสำหรับเป็นที่สรงน้ำพระพุทธรูป ก็อาจอัญเชิญพระพุทธรูปที่สำคัญบนวัด วางไว้สถานที่ดีเหมาะสม เพื่อให้ชาวบ้านได้ร่วมกันสรงน้ำ ส่วนใหญ่ จะมีการสรงน้ำพระพุทธรูปในวันผญาวัน


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๑ 6. ประเพณีเหลินหก (เดือนหกตรงกับเดือนพฤษภาคม) ประวัติความเป็นมา ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกว่า "ปิ๊กซะหย่าสี่" ภาษาพม่าเรียกว่า"ก๊ะสุ่งละ " ธาตุประจำเดือนที่มี ลักษณะแข็งดอกไม้ประจำราศรีคือ ดอกจ๋ำกา-โหลง หรือดอกจำแป่ (ดอกลั่นทม) ดอกก้านง้อก (ดอก ซ่อนกลิ่น) เรื่องราวอันเป็นบ่อเกิดประเพณีระบุไว้ว่า "ในเมืองสี่โห่ (เมืองลังกา-ผู้เรียบเรียง มีมานพผู้ยากเข็ญคนหนึ่ง หาเลี้ยงชีพโดยการหาฟืนและใบตองขาย ต่อมาเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6 มานพผู้นี้ก็ยังเข้าป่าหาฟืนหาใบตองตามปกติ เมื่อเดินทางถึงฝั่งลำธารแห่งหนึ่ง จึงนั่งพักและฉุกคิดขึ้นว่าชาตินี้เกิดเป็นทั้งทีแต่ไม่เคยทำบุญเลยที่จะเป็นปัจจัยส่งผลให้เสวยสุขในชาติหน้า วันนี้เป็นวันเพ็ญควรที่จะได้ทำบุญอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อคิดได้นั้นจึงวางสัมภาระลงแล้วไปตักทรายที่ฝั่งลำธาร มากองก่อเป็นรูปเจดีย์พร้อมหาดอกไม้ในป่ามาประดับตกแต่งให้สวยงาม ตัดไม้ไผ่มาจักตอกสานเป็นราชวัตร ขัดเป็นสี่เหลี่ยมกั้นเป็นชั้นๆเหมือนเจดีย์ เสร็จแล้วแกะห่อข้าวออกมาเป็นสามส่วน ส่วนที่ 1 นำถวายเป็นพุทธ บูชา ส่วนที่ 2 นำถวายเป็นธรรมบูชาส่วนที่ 3 นำถวายเป็นสังฆบูชา ส่วนที่ถวายเป็นสังฆบูชานี้เมื่อเสร็จสิ้น การถวายแล้วนำไปให้นกกากิน (โกศล ศรีมณี มปป. : 12) เมื่อทำบุญถวายทานเสร็จแล้วเกิดปีติซาบซึ้งในการกระทำของตน มานพผู้นี้จึงร้องรำทำเพลงไปรอบๆ เจดีย์ทรายอยู่คนเดียวในป่า พอพลบค่ำก็กลับบ้านตั้งแต่วันนั้นมามานพผู้นี้เมื่อนึกถึงบุญที่ได้ทำในวันนั้นก็รู้สึก ปีติเป็นสุขขึ้นมาทุกครั้ง ต่อมาถึงคราวที่จะเมื่อใกล้จะตาย เป็นช่วงเวลาที่กับขุนหอคำ (กษัตริย์)ผู้ครองเมือง สี่โห่ และนางมิพญา(พระมเหสี) ทรงช้างเสด็จออกเรียบนครเสด็จผ่านมาถึงกระต๊อบที่อยู่ของมานพผู้นี้พอดี และแกก็มองเห็นพระมหากษัตริย์และพระมเหสีที่ทรงช้างเสด็จมาใกล้ที่อยู่ของตน จึงเกิดอุปทานขึ้นในใจใคร่ที่ จะเกิดเป็นพระโอรสของพระราชา จากนั้นนั้นก็สิ้นใจไปในทันที ชาติต่อมาจึงได้ไปจุติปฏิสนธิในครรภ์พระ มเหสี พอเติบใหญ่ก็ได้สืบราชสมบัติแทนพระบิดาอยู่มาวันหนึ่งได้นิมนต์พระอรหันต์มาเทศนาใพระบรม มหาราชวัง ขณะที่ฟังพระธรรมเทศนาอยู่นั้นเกิดศรัทธาจะถวายผ้าสไบค่าควรแสนทองคำที่พระองค์ทรงห่มอยู่ เป็นเครื่องบูชาธรรม แต่ก็ไม่อาจตัดใจได้ในทันที ครั้งที่หนึ่งก็แล้วครั้งที่สองก็แล้ว ครั้งที่สามก็แล้ว ยังมิอาจ ตัดสินใจละทิ้งความเสียดายได้ เป็นเจตนาศรัทธาที่ยืดๆ หดๆ อยู่ ไม่อาจให้สำเร็จอย่างแท้จริงได้ พอดีมีกาสอง ตัวผัวเมียบินมาจับอยู่บนกิ่งมะขามตรงหน้าต่าง กามองเห็นและทราบในเจตนาพยายามของพระราชา กาตัวผู้ จึงพูดกับกาตัวเมียว่าพระราชานี้ด้วยเหตุที่เคยเป็นคนยากจนได้เกิดเป็นพระราชาจึงไม่อาจตัดสินใจถวายสิ่งที่มี ค่าสูงแม้มีเจตนาศรัทธาก็ตาม หากพระองค์ถวายในคราวที่มีเจตนาครั้งแรกก็จะได้เสวยผล 8ประการ พระราชาได้ยินคำสนทนาของกาสองผัวเมียและรู้ภาษากาจึงได้ชื่อว่า"กำก๊ะหวุ่นลิยะ " พระราชาก็ทรงพระ สรวลออกมา พระรหันต์จึงทรงถามเหตุที่พระราชาทรงพระสรวลนั้นพระราชาก็นมัสการเรื่องราวตามที่กาสอง ผัวเมียพูด พระอรหันต์ผู้เป็นประธานจึงถวายพระพรว่า จริงแล้วมหาบพิตรกาทั้งสองนี้ ชาติก่อนก็เป็นกา เช่นเดียวกันเป็นบริวารของมหาบพิตรได้รับประทานของพรมหาบพิตร (ตอนที่ถวายเจดีย์ทรายได้นำข้าวส่วนที่ เป็นสังฆบูชาไปวางไว้ให้กากิน) พระราชาจึงตัดสินใจถวายผ้าสไบ ค่าควรแสนทองคำ บูชาพระธรรมเทศนา เมื่อละจากภพนั้นก็ไปจุติเสวยผลบุญในสรวงสวรรค์ไป ๆ มา ๆ ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ตลอดมา ไม่ได้เกิดใน นรกอบายใดๆเลย" จากเรื่องเล่าดังกล่าว พอถึงเดือน 6 ชาวไทใหญ่ในกลุ่มพุทธศาสนิกชนจึงพากันทำบุญก่อ เจดีย์ทรายถวายห่อข้าวห่อแกง เป็นประเพณีสืบต่อมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ (โกศล ศรีมณี มปป. : 12 – 13)


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๒ ❖ ปอยจ่าตี่ การจัดงานจะเริ่มก่อนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ประมาณ 5 – 7 วัน ประวัติความเป็นมาของประเพณีและความเชื่อ ประวัติความเป็นมาของ ปอยจ่าตี่ จาก "ลีกโหลง" หนังสือธรรมะของชาวไทใหญ่ที่เขียนขึ้นเพื่อถวาย เป็นกุศลในพระพุทธศาสนา และจะถูกนำมาอ่านในโอกาสสำคัญต่างๆ เรียกกันว่า "ถ่อมลีก" ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า "ในสมัยพุทธกาลมีชายคนหนึ่งทำงานสุจริตและประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมขยันหมั่นเพียร ทำแต่ความดี จนชายผู้นี้ถึงแก่กรรมด้วยบุญกุศลที่ได้ทำดีมา จึงได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์เป็นเทวดาใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย เสวยสุขอยู่อย่างนี้เป็นเวลาเกือบ 1 แสนปีก็จะสิ้นสุดบุญและต้องตาย เมื่อใกล้จะตายร่างของเทวดาองค์นั้นก็ เปลี่ยนไปจากที่เคยเต่งตึงสวยงามก็กลายเป็นเหี่ยวแห้งสิ่งเหล่านี้เป็นลางบอกเหตุว่าอายุของการเป็นเทวดาใกล้ จะสิ้นสุดลง และจะต้องไปรับกรรมที่เคยทำไว้ในโลกมนุษย์ เทวดาจึงได้เดินทางไปหาเทวดาที่ชื่อพระเจ้าวิปาลี เทวดาผู้หยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ เทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย พร้อมทั้งขอคำแนะนำ พระ เจ้าวิปาลีจึงแนะนำว่า หากไม่อยากไปรับกรรมในนรกก็จงไปก่อเจดีย์ทรายถวายพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นการ สะเดาะเคราะห์ โดยให้ไปก่อเจดีย์ทรายที่ริมฝั่งมหาสมุทรให้ได้ถึง 500 กองจึงจะรอดพ้นจากเหตุการณ์ ดังกล่าว เวลาผ่านไปจนเหลืออีก 7 วันเทวดาองค์นั้นก็จะสิ้นบุญ จึงได้เดินทางไปหาดทรายริมฝั่งมหาสมุทร และเริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อก่อเจดีย์ทรายได้บางส่วนก็มีลมพายุและคลื่นจากมหาสมุทรพัดเอาเจดีย์ทราย เหล่านั้นพังทลายหายไป เทวดาก็พยายามก่อใหม่พอครบ 500กองก็มีลมพายุและคลื่นมากวาดพัดไปอีก เป็น เช่นนี้ทุกครั้ง เทวดาก็พยายามต่อไปเรื่อยๆจวบจนครบ 7 วัน ยมทูตก็ขึ้นมาจากนรกจะมารับตัวเทวดา ฝ่าย เทวดาก็ยินดีจะไปรับกรรมดังกล่าว แต่ได้ขอร้องยมทูตว่า ขอให้รอจนกว่าตนจะก่อสร้างเจดีย์ทราย 5-0 กอง จนครบเสียก่อนยมทูตก็ตกลง เทวดาก็ลงมือก่อเจดีย์ทรายต่อไป แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์เช่นเดิมคือมีลมพายุและ คลื่นมาพัดเจดีย์ทรายหายไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนยมทูตรอไม่ไหวจึงกลับไปเมืองนรก ฝ่ายเทวดาก็ก่อเจดีย์ทราย ต่อจนครบ 500 กองได้ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชาด้วยผลบุญดังกล่าวจึงทำให้เทวดา องค์นั้นพ้นจากผลกรรม และได้เสวยสุขในสรวงสวรรค์ต่อไป" จากเรื่องราวดังกล่าวนี้ทำให้ชาวไทใหญ่นิยมจัดงาน "ปอยจ่าตี่" ก่อเจดีย์ทรายเพื่อบูชาพระพุทธองค์ กันทุกหมู่บ้านในช่วงเดือน 6 กันทุกปี นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาอีกเรื่องหนึ่งว่า มีชายคนหนึ่งตายไปชั่วคราว แล้วมียมบาลจะมาเอา วิญญาณของชายคนนั้นไป เมื่อเปิดบันทึกการทำความดีและการทำความชั่วของมนุษย์มาดูว่า ชายคนนั้นทำชั่ว หรือทำดีอะไรไว้บ้าง ปรากฏว่าชายคนนี้เคยถวายเจดีย์ทราย ยมบาลจึงปล่อยตัวทำให้เขามีชีวิตฟื้นคืนมา เขาก็ ไปทำบุญก่อเจดีย์ทราย ยมบาลมาคอยก่อเจดีย์ทราย แต่เกิดพายุพัด ไม่สามารถจะนับได้ ชายคนนั้นก็ไม่ต้อง ถูกนำไปนรกอีกต่อไป ภาพที่ 46 ประเพณีปอยจ่าตี่


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๓ ความเชื่อเกี่ยวกับ ปอยจ่าตี่ วันขึ้น 15ค่ำ เดือน 6 ของทุกปีเป็นวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันที่สำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา และเป็น วันทำบุญบูชาเจดีย์ทรายของชาวไทใหญ่ด้วยว่ากันว่าหากได้ร่วมประเพณีนี้จะได้บุญกุศลยิ่งใหญ่ เคราะห์กรรม ไม่ดีต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเราก็จะจางหายไป สิ่งที่ร้ายจะกลายเป็นดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกและถือเป็นประเพณี ขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลอีกด้วย วัตถุประสงค์ของปอยจ่าตี่ (การทำบุญก่อเจดีย์ทราย) เพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นการสะเดาะเคราะห์และเป็นการขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ปอยจ่าตี่หรืองาน บูชาเจดีย์ทราย เป็นงานทำบุญที่นับว่าสำคัญและยึดถือปฏิบัติกันมานานตั้งแต่สมัยพุทธกาล สำหรับที่วัดพระ นอนได้จัดงานนี้เป็นประจำทุกปีนับเป็นเวลาร้อยกว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่ครั้งก่อตั้งแม่ฮ่องสอนจนมาถึงปัจจุบัน งานประเพณีบูชาเจดีย์ที่วัดพระนอนเป็นงานบุญที่ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่หนุ่มสาว และผู้เฒ่าผู้แก่ชื่นชอบ การขนทราย จะเริ่มก่อนวันวิสาขบูชา 7 วันตอนเย็นๆของทุกวันในช่วงนี้จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากทั้งหญิงชายพากันเดินไปที่ บ่อทรายขาว ใกล้บริเวณโรงฆ่าสัตว์ในปัจจุบัน ซี่งบริเวณดังกล่าวนี้จะเต็มไปด้วยทรายขาว พุ่มไม้เตี้ย มีต้นไม้ จำพวกต้นพวง ต้นหว้า ทุกคนจะขุดทรายขาวใส่ย่าม ขัน ถังน้ำ หรือบางทีก็บรรทุกใส่เกวียน และเด็ดยอดต้น หว้า (ไม้สะเป่)เสียบไปในดินขาวนั้นด้วย เพื่อจะได้นำทรายและไม้สะเป่มาบูชาที่วัดพระนอนด้วย ที่วัดจะมีการ จัดเตรียมสถานที่เพื่อจะจัดเป็นที่ก่อเจดีย์ทรายไว้บริเวณหน้ารูปปั้น ส่างสี่ หรือราชสีห์คู่ใหญ่ เมื่อผู้คนขนทราย มาถึงวัดจะนำเทกองไว้ ณบริเวณที่ทางวัดจัดไว้ให้พร้อมทั้งนำยอดไม้สะเป่(นิยมเรียกว่าหมอกสะเป่) ปักไว้บน กองทรายด้วย คำว่าสะเป่ แปลว่าเต็มอกเต็มใจหรือพอใจ (ชาวไทใหญ่เชื่อว่างานบุญใดๆหากได้บูชาด้วยดอก สะเถือว่าได้ทำบุญนั้นด้วยความเต็มอกเต็มใจ) เมื่อเททรายไว้ที่วัดแล้วก็พากันกลับบ้าน บางคนก็ช่วยพระตี กลองโป่งต่องซึ่งเป็นกลองสองหน้าขึงด้วยหนังสัตว์มีขนาดเท่ากับคนโอบ 1 ใบ: และฆ้องขนาดใหญ่มีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ฟุต เวลาตีจะสลับกันระหว่างฆ้องกับกลอง กลองจะตีด้วยไม้ พอถึงเวลาค่ำมืดไม่มีผู้คนขน ทรายมาเพิ่มแล้วก็หยุดตีวันรุ่งขึ้นก็ตีกลองอีกตลอดเวลา 7 วันก่อนวันงานคนที่ได้ยินเสียงกลองโป่งต่องทุกเย็น เป็นสัญญานบอกว่าได้เวลาขนทรายเข้าวัดแล้ว แต่ปัจจุบันไม่มีเสียงกลองแล้วอีกทั้งบ่อ ทรายขาวก็ถูกนำไปปีน ที่ปลูกสร้างบ้านเรือนหมด จะใช้รถบรรทุกขนทรายมาจากแม่น้ำ สำหรับบางวัดอาจจัดปอยจ่าตี่ก่อนวันเพ็ญ เดือนหก การขนทรายตามวันเกิดจากตำราโหราศาสตร์ไต เรียกว่า "กุยามลอกี่ ปองขยุก" การทำบุญตามวันเกิดเพื่อสะเดาะเคราะห์ด้วย การตักทรายและการ นั่งบูชา (ไหว้) เจดีย์ทรายตามวันเกิด การเริ่มตักทรายใส่ในเจดีย์เริ่มตรงหน้าวันเกิดก่อนแล้วเวียนขวาไป ตามลำดับแปดทิศและตักทรายใส่ลงไปแต่ละด้านทิศต่างๆดังนี้ (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2549 : 252) - คนเกิดวันอาทิตย์อยู่ทางทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ของเจดีย์ทราย ตักบูชา 6 ครั้ง - คนเกิดวันจันทร์ทางทิศบูรพา (ตะวันออก) ของเจดีย์ทราย ตักบูชา 15 ครั้ง - คนเกิดวันอังคารอยู่ทางทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ของเจดีย์ทราย ตักบูชา 8 ครั้ง - คนเกิดวันพุธอยู่ทางทิศทักษิณ (ใต้ ของเจดีย์ทราย ตักบูชา 17 ครั้ง - คนเกิดวันพฤหัสบดีอยู่ทางทิศปัจฉิม (ตะวันตก) ของเจดีย์ทราย ตักบูชา 18 ครั้ง - คนเกิดวันศุกร์อยู่ทางทิศอุดร (เหนือ) ของเจดีย์ทราย ตักบูชา 21 ครั้ง - คนเกิดวันเสาร์อยู่ทางทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ของเจดีย์ทรายตักบูชา 10 ครั้ง - คนเกิดวันพุธกลางคืนหรือราหูอยู่ทางทิศพาย (ตะวันตกเฉียงเหนือ)ของเจดีย์ทราย ตักบูชา 12 ครั้ง


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๔ เมื่องาน" ปอยจ่าตี่" เสร็จแล้วระยะหนึ่งมักจะมีฝนเริ่มตกโปรยปรายลงมา จึงเป็นช่วงเวลาที่ชาวไทใหญ่จะเริ่ม ลงมือประกอบอาชีพทำไร่ทำนากันต่อไป การเข้าร่วมพิธี "ปอยจ่าตี่" จึงเป็นการสร้างความมั่นใจว่า จะทำให้ ตนเอง ครอบครัว ชุมชนมีความสุขทั้งกายและใจอย่างถ้วนหน้าทุกคน อีกทั้งการประกอบอาชีพต่างๆก็จะ ประสบผลสำเร็จแน่นอน 7. ประเพณีเหลินเจ็ด (เดือนเอ็ดตรงกับเดือนมิถุนายน) ประวัติความเป็นมา เดือน 7 ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต)เรียกว่า "เหม่ถุ่งหย่าสี่" ภาษาพม่าเรียกว่า "นหยุ่งละ" ธาตุประจำเดือน คือ วาโยธาตุ เป็นเดือนที่มีลมแรงดอกไม้ประจำราศี คือดอกเข้าแตกโหลง (ดอกมะลิ) เป็นเดือนที่พระสงฆ์จัด ให้มีจ่าแมปอย (ปุจฉา-วิสัชนา) ศึกษาค้นคว้า ชักถามในเรื่องพระธรรมคำสั่งสอนและวิชาการต่างๆ ซึ่งเจเลแสง เฮิง กล่าวว่า เดือน 7 เป็นเดือนที่พระพุทธเจ้าทรงไตร่ตรองในหลักโมกขธรรมที่ทรงตรัสรู้โดยเฉพาะ หลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นวัฎฎจักรของสังสารวัฎ จนถึงหลักความจริงแห่งความหลุดพ้น 4ประการหรือ อริยสัจ 4 ❖ ประเพณีวานปะลีกและประเพณีเลี้ยงเมือง ภาพที่ 47 ประเพณีวานปะลีกและประเพณีเลี้ยงเมือง วานปะลีก เป็นประเพณีหนึ่งในเดือน 7 ก่อนเข้าพรรษาของชาวไทใหญ่วานปะลีกเป็นการทำบุญ หมู่บ้าน เจ้าของบ้านจะนำถังน้ำใส่น้ำใส่ทราย ทำตาแหลว7 ชั้น นำใบไม้มงคล (ใบไม้ที่มีชื่อ กั้น กีดขวางและ หนาม) มาทำพิธีเพื่อป้องกันสิ่งที่สิ่งร้าย ชาวบ้านมีความเชื่อว่าการจัดทำประเพณีวานปะลีกจะช่วยป้องกัน อันตรายทั้งปวงและเชื่อว่าการเลี้ยงเจ้าเมือง จะทำให้หมู่บ้านได้รับการคุ้มครอง ป้องกันอันตรายจากสิ่งเลวร้าย ต่าง ๆ ใน 1 ปี จะมีพิธีเลี้ยงเมืองตามความเชื่อของชาวไทใหญ่ 1 ครั้ง จะถือเอาวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 7 เป็น วันเลี้ยงเมือง ยึดถือตามตำราโหราศาสตร์ที่กำหนดไว้ว่า วันขึ้นหรือแรม 13 ค่ำเป็นวันผีกินไก่ เนื่องจากการ เลี้ยงเมืองจะต้องมีเครื่องเช่นที่เรียกว่า เหล้าไหไก่คู่เป็นหลัก จึงต้องเลือกวันผีกินไก่ ส่วนใหญ่จะประกอบพิธี พร้อมๆ กันทุกหมู่บ้าน ภาคเช้าจะประกอบพิธี "เลี้ยงเมือง"ภาคบ่ายจะประกอบพิธี "วานปะลึก" จึงมีพิธีกรรม และความเชื่อเกี่ยวกับการเลี้ยงผีของแต่ละชุมชนที่คล้ายกัน เช่นจะมีพิธีเลี้ยงผีเจ้าเมืองในเดือน 7 ของทุกปีที่


สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๕ เรียกว่า "การเลี้ยงเมือง" เพราะประชาชนมีความเชื่อว่า ผีเจ้าเมืองจะคอยปกปักรักษาดูแล ผู้คนในชุมชนให้อยู่ เย็นเป็นสุข 8. ประเพณีเหลินแปด เหลินเก้า และเหลินสิบ (ตรงกับเดือน กรกฎาคม สิงหาคมและกันยายน) ช่วงเดือน กรกฎาคม สิงหาคมและกันยายน มีงานประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาหลายงาน เช่น งานเข้าพรรษา งานประเพณีทำบุญสลากภัตรงานประเพณีต่างซอมต่อโหลง ปอยเหลินสิบเอ็ด การตักบาตรเท โว ปอยก๋อยจ๊อดการหลู่เตนเหง และการแห่จองพารา ❖ งานประเพณีเข้าพรรษา ภาษาป่งนา (ปโรหิต) เรียกว่า "กระระกั๊ดหย่าสี่" ภาษาพม่าเรียกว่า"หว่าเสื่อละ" ธาตุประจำเดือนคือ อาโปธาตุเป็นเดือนที่มีน้ำมาก ดอกไม้ประจำราศีคือ ดอกสะระพีเล็ก (ดอกสารภี) เป็นฤดูที่มีการบรรพชา อุปสมบทกันมากเป็นเดือนที่พระสงฆ์อธิษฐานอยู่จำนำพรรษา มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับงานประเพณีในเดือนนี้ไว้ว่า "ตอนที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับนั่งบนบัลลังก์ที่ตรัสรู้นั้นเป็นเพ็ญเดือน 6 ระหว่างเดือน 6 แรม 7 ค่ำ จนถึงวันสิ้นเดือน 7 นั้น เป็นระยะที่พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุข พอวันขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 พระองค์ก็ไปยังมิกก๊ะต่าหวุ่น (มฤคทายวัน) ใช้เวลาเดินทาง 10 วันถึงวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 8 วัน ขึ้น 14 ค่ำ ได้เทศนาธรรมจักกะหย่า (ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร) วัน 15 ค่ำ เทศนาโปรดก่อนติ่งยะ (โกญ ฑัญญะ) วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 เทศโปรด วัปปะ ภัททิยะ มหานานะ และอัสสชิ ตามลำดับในปีะทะมะหว่า (ปฐมพรรษา) พระองค์อยู่จำพรรษาในมฤคทายวัน พอพรรษาที่ 2 พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ การเข้าพรรษาไว้ ให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาไม่ไปค้างคืนที่อื่นตลอดจนครบถ้วน 3 เดือน "ส่วนศรัทธา อุบาสก อุบาสิกาก็ได้ถือศีล ภาวนาในพรรษาตามพระสงฆ์ไปด้วย ในเดือนนี้เป็นเดือนที่เป็นช่วงวันเข้าพรรษา ผู้เฒ่าผู้แก่จะมักจะจำศีลที่วัด ตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนถึงวันออกพรรษา (โกศล ศรีมณี มปป. : 19-20) ❖ งานประเพณีทำบุญสลากภัตร ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต)เรียกว่า "สิ่นนะหย่าสี่" ภาษาพม่าเรียกว่า"คยองละ" ธาตุประจำเดือนคือ เตโชธาตุ เป็นเดือนที่มีอากาศร้อนเล็กน้อยดอกประจำราศีคือ ดอกคะต่อโหลง (ภาษาถิ่น) เป็นเดือนที่ทำสลาก ภัตร มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับงานประเพณีกล่าวไว้ว่า "ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสีมีหน่อพุทธางกูร ที่ตกทุกข์ได้ยากถือกำเนิดในตระกูลของมหาทุคคตะ ในเมืองป่าหร่านะสี่ (ฬราณสี)ในสมัยนั้น ชาวเมือง ทั้งหลายนิยมทำบุญถวายสลากภัตร คนหนึ่งก็รับถวายไทยธรรม 1 องค์บ้าง 2 องค์บ้าง 3 องค์บ้าง 10 องค์ บ้าง จับสลากกั้น เพราะความที่หน่อพุทธางกูรเป็นมีฐานะยากจน ทั้งสามีและกรรยามีอาซีพี่หาฝืนหาใบตอง มาขายเพื่อเลี้ยงชีพไปวันหนึ่งๆ แต่มีเจตนาศรัทธาประสงค์จะร่วมทำบุญสลากภัตกับคนอื่นๆไปบอกเจ้าหน้าที่ ขอรับเป็นเจ้าภาพ 1 องค์ แล้วกลับไปเตรียมไทยธรรมอาหารเพื่อถวายบิณฑบาตที่บ้าน พอถึงวันทำบุญก็บอก เจ้าหน้าที่ที่จัดทำรายชื่อศรัทธาเจ้าภาพเพื่อขอรับสลากกลับได้รับคำตอบว่าลืมจดชื่อไว้ และได้จับสลากกันไป หมดแล้ว พระสงฆ์ก็ได้รับนิมนต์ไปจนหมดสิ้นไม่เหลือเลย พอได้ยินดังนั้นมหาทุคคตะรู้สึกน้อยอกน้อยใจถึงกับ ร้องไห้โฮขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน ผู้คนเกิดความสสารจึงแนะนำว่าขณะนี้เหลือเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว เท่านั้นที่ยังไม่ได้รับนิมนต์ผู้ใด ขอให้ไปนิมนต์พระพุทธองค์ดู มหาทุคคตะรู้สึกชื่นชมยินดีจึงรีบเข้าไปนิมนต์ พระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็รับนิมนต์ทันทีพร้อมทั้งยื่นบาตรให้มหาทุคคตะ เมื่อรับบาตรแล้วมหาทุคคตะก็ทุน บาตรไว้บนศีรษะและเดินผ่านท่ามกลางพุทธบริษัทไปอย่างอิ่มเอมใจ เหล่าพุทธบริษัทที่รอนิมนต์พระองค์เห็น เหตุการณ์เช่นนั้น ต่างพยายามขอซื้อการเป็นเจ้าภาพจากมหาทุคคตะด้วยเงิน 100 – 1000 กษาปณ์ แม้ มหาทุคคตะจะไม่มีอาหารดีๆ ถวายพระพุทธเจ้า จึงได้ชวนกันตามไปดูที่เรือนด้วยหวังว่าหากอาหารบิณฑบาต และไทยธรรมไม่ดี หรือไม่เพียงพอ จะได้นิมนต์พระพุทธเจ้าไปยังบ้านเรือนของตน แต่ปรากฏว่าเทพยาดาได้ลง


Click to View FlipBook Version