สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๖ มาช่วยหุงช่วยปรุงอาหารรสชาติอันเป็นทิพย์พอเปิดฝาภาชนะเท่านั้น กลิ่นอันหอมหวานขจรขจายไปทั่วบ้าน ทั่วเมือง คณะศรัทธาทั้งหลายจึงช่วยกันจัดอาหารบิณฑบาตไปถวายพระพุทธเจ้า เมื่อกลับคืนมาถึงบ้านเรือน พระอินทร์ก็เนรมิตฝนเงินฝนทองและฝนแก้ว 7 ประการ ตกลงมารอบๆ เรือนของมหาทุคคตะเป็นกองพะเนิน เทินทึก พระมหากษัตริย์ทราบเรื่องดังกล่าวจึงพระราชทานตำแหน่งมหาเศรษฐีใหญ่ให้แก่มหาทุคคตะ มหา เศรษฐีใหม่ก็ได้โอกาสทำบุญ ทำทานอย่างยิ่งขึ้น เมื่อสิ้นอายุขัย จึงจุติเป็นเทวดาในสวรรค์ จากสวรรค์ก็จุติ เป็นมนุษย์กลับไปกลับมาจนถึงสมัยพระโคดมสมณเจ้า จึงสามารถบรรลุมรรคผล เมื่ออายุได้ 7 ขวบ มีชื่อว่า ปั่นติ๊กต่ามะเหน่"สามเณรบัณฑิต"ด้วยเหตุนี้ในเดือน 9 นี้จึงมีประเพณีทำบุญสลากภัตรสืบต่อกันมาจนถึง ปัจจุบัน (โกศล ศรีมณี มปป. : 20-22) ❖ งานประเพณีต่างซอมต่อโหลง (ถวายข้าวมธุปายาส) ช่วงเวลาที่มีการจัดงาน การจัดงานจะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา คือช่วงเดือนกรกฎาคม หรือในเดือน กันยายน และการจัดงานจะอยู่ในช่วงของวันพระซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการจัดงานแต่ละครั้งจำนวน 2 วัน ประวัติการต่างซอมต่อโหลง (ถวายข้าวมธุปายาส) ประเพณีถวายข้าวมธุปายาสหรือประเพณี "ต่างข้าวพระเจ้าหลวง"หรือทางไทใหญ่เรียกกันว่า "ต่าง ซอมต่อโหลง" นั้น ถึงจะเรียกชื่อต่างกันแต่ก็มีความหมายเดียวกันคือเป็นการถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้าเพื่อ เป็นพุธบูชาแต่เดิมจะทำกันในวันวิสาขบูชา วันเพ็ญเดือน 8 เหนือ ซึ่งถือกันว่าเป็นวันที่คล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในตอนหนึ่งของพุทธประวัติตอนปฐมโพธิกาลเขียนไว้ว่า "ก่อนวันตรัสรู้ 1 วัน พระบรมโพธิ์สัตว์ทรงรับข้าว "มธุปายาส"ของนางสุขาดาซึ่งเป็นธิดาของนายบ้าน ตำบล อุรุเวลาเสนานิคมได้ทำข้าวมธุปายาสด้วยความละเอียดประณีตโดยฝีมือของ นางเอง (วิธีในการทำข้าว มธุปายาส ของนางสุขาดานั้นมีขั้นตอนคือ บีบเอาน้ำนมจากวัว 500 ตัว แล้วเอามาเลี้ยงวัวจำนวน 250 ตัว แล้วรีดนมจาก 250 ตัว มาให้วัวอีก 125 ตัวกิน ทำเช่นนี้จนเหลือวัว 5 ตัวสุดท้าย และบีบน้ำนมวัวไปหุงข้าว ซึ่งทำให้ได้น้ำนมวัวบริสุทธิ์มาหุงเรียกว่า "ข้าวมธุปายาส" นำไปใส่ภาชนะถาคู่ทองคำแล้วนำไปถวายพระมหา บุรุษ ซึ่งนางสุขาดาเข้าใจว่าเป็นเทพเจ้าที่นางเคยบนบานไว้ไว้ว่าขอให้ได้บุตรชาย เมื่อสมปรารถนาแล้วนางจึง ทำข้าวมธุปายาสซึ่งเป็นข้าวที่เลอเลิศมาถวาย พระมหาบุราจึงปั้นข้าวในถาดนั้นเป็นก้อน ๆ ได้จำนวน 49 ก้อน และทรงเสวยจนหมด แล้วนำถาดไปลอยในแม่น้ำเนรัญชราตั้งคำสัจอธิฐานว่า ถ้าจะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าขอให้ถาดทองใบนี้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วถาดใบนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปซ้อนกันกับ ถาดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต เป็นสัญญาณให้รู้ว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นที่แน่นอน ตอนเย็นพระองค์ ได้เสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชรากลางทางพบกับพราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่า "โสตถิยะพราหมณ์" ซึ่งกลับจากการไป เกี่ยวหญ้าคา จึงเอาหญ้าคา 8 กำมือเข้าไปถวายให้กับพระมหาบุรุษ พระองค์รับแล้วนำไปที่โคนพระศรีมหา โพธิ์ ทรงปูหญ้าคา 8 กำมือนั้นเพื่อรองนั่งและตั้งสัจอธิฐานในพระทัยว่า ตราบใดที่ไม่บรรลุพระอนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณ ถึงแม้ว่าเนื้อหนังจะเหี่ยวแห้งไปก็ตามก็จะไม่เสด็จลุกขึ้นจากที่นี่ตราบนั้นแล้วพระองค์ทรงนั่งผินพ ระพัตรไปทางทิศตะวันออก ทรงพิจารณาในอาณาปานสติทรงกำหนดรู้ลมอัสสาสะปัสสาสะ หายใจเข้าออกใน ปฐมยามตรัสรู้ปุพเพนิจาสานุสติญาณญาณที่หยั่งรู้ชาติหนหลังได้ พระองค์ทรงบรรลุญาณที่เรียกว่า จุตูปปาตญาณ หยั่งรู้การจุติและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายในมัชฌิมยาม (ยาม 2) ในปัจฌิมยาม(ยามที่ 3ได้ บรรลุอาสอักขยญาณญาณที่ทำอาสวะให้สิ้น ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา เอกในโลก และธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้น เรียกว่า "อริยสัจสี่" คือ 1.ทุกข์ 2.สมุทัย 3.นิโรธ 4.มรรค ซึ่งเป็น ธรรมที่พระองค์ไม่เคยศึกษามาก่อนในสำนักบุคคลใดเลย จึงได้ พระนามว่า"สัมมาสัมพุทธะ" ตรัสรู้ชอบเอง ไม่ มีครูอาจารย์สั่งสอนและเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งพุทธอุทาน ดังพระบาลีว่า อัพยาปัชฌัง สุขังโลเก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๗ แปลว่าความไม่เบียดเบียนเป็นสุขในโลก แล้วต่อจากนั้นพระองค์ทรงเสวยวิมุตติสุขเป็นเวลา 7 สัปดาห์ ที่ละ 7 วัน รวมเป็น 49 วัน โดยไม่ได้เสวยพระกระยาหารเลย โบราณบัญฑิต ท่านอธิบายว่า ข้าวมธุปายาสของนาง สุขาดา ที่พระองค์ทรงปั้นเป็น 49 ก้อนนั้นก็เปรียบเสวยวันละก้อน แต่เป็นการเสวยครั้งเดียวทีเดียว"ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชาวพุทธทั้งหลาย จึงนิยมถวายข้าวพระเจ้าหลวงจำนวน 49ก้อน สืบมาจนถึงปัจจุบัน (สำนักงาน วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2549 :234-235) 11. ประเพณีเหลินสิบเอ็ด (เดือนตุลาคม) เดือนสิบเอ็ดตรงกับเดือนตุลาคมของทุกปี ภาษาปุ๋งนา (ปุโรหิต) เรียกว่า "ตู่พม่าเรียกว่า สะตางก ยอด" เป็นเดือนที่พุทธบริษัทชาวไทใหญ่พากันถวาย จองเข่งต่างปุ๊ด (จองพารา = ซุ้มรับเสด็จ) จุดธูปเทียน ถวายภัตตาหาร นม เนย ผลไม้ในฤดูกาล มีเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีไว้ว่า "พระโคดมสมณเจ้าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาเป็นเวลา 7 พรรษา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ในเมืองสาวัตถีที่อุทยานสวนมะม่วง เสด็จขึ้นไปยังสรรค์ขั้นดาวดึงส์ ประทับนั่งหรือบัณกัมพลศิลาอาสน์ ทรง เทศน่าอภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดสับตุฏธีพุทธมารดา พร้อมทั้งเหล่าเทพยดาและพระพรหมตลอดระยะเวลาใน พรรษา 3 เดือน และเสด็จนิวัฒมนุษยโลกในวันเพ็ญเดือน 11 ณเมืองสั่งกะนะโก่ (สังกัสนคร) ในการเสด็จลง มานั้น พระอินทร์ได้เนรมิตบันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว พาดตรงประตูสรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้านทิศใต้ลงสู่ ประตูเมืองสังกัสนครด้านทิศใต้เช่นเดียวกัน ก่อนจะถึงวันเพ็ญเดือน 11พระพุทธองค์ทรงมีกระแสรับสั่งถึงพระ มหาโมคัลลานะ ว่าพระองค์พระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไปจนทั่วทุกหนทุกแห่งบรรดามนุษย์และสัตว์ที่สามารถมาได้ ก็จะมารับเสด็จที่สังกัสนคร ที่มาไม่ได้ก็จัดทำจองเย่งต่างส่างปุ๊ด (ซุ้มปราสาทรับเสด็จ)ที่บ้านเรือนของตน พอ ถึงเข้าวันเพ็ญเดือน 11 จะจัดอาหารบิณฑบาตและขนมนมเนยไว้ถวายพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาประทับยืนอยู่ที่ หัวบันไดแก้ว แล้วเปล่งรัศมี 6 ประการ (ฉัพพรรณรังสี) นับตั้งแต่พรหมโลกจนถึงนรกอเวจีได้มองเห็นกันหมด สิ้น กึ่งนะหรี่ (กินรี) กิ่งกะหล่า (กินนร) นะกา (นาค) กะหรุ่ง (ครุฑ) ยักคะ (ยักษ์) กันตัปป๊ะ (คนธรรพ์) ผีลูผี ผาย (สัตว์ประหลาดจากป่าหิมพานต์ลักษณะคล้ายลิงใหญ่ ส่างซี่ (สิงโต) และบรรดาสัตว์ 90ประเภท มาแสดง ความชื่นชมบุญบารมี และเดชานุภาพแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สนุกสนานกับทั่วไปทุกถิ่นแคว้น ขณะที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งอัพพรรณรังสีนั้นรัคมีแสงแห่งฉัพพรรณรังสีนั้น รัศมีแสงแห่งฉัพพรรณรังสี กระจายสาดส่องไปถึงจองเข่งต่างส่างปุ๊ด (ซุ้มปราสาทรับเสด็จ ของทุกบ้านเรือน บรรดาพุทธบริษัทที่อยู่ใน บ้านเรือนรู้สึกชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงพร้อมกันถวายภัตตาหาร และจุดธูปเทียนบูชาเป็นเวลา ๗ วัน" จากเรื่องเล่าข้างต้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 11 ครั้งใด ชาวไทใหญ่จึงพากันทำจองเข่งต่างส่างปุ๊ด(ซุ้มปราสาท) หรือจองพารารับเสด็จพระพุทธองค์ทุกบ้านเรือนเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และได้จัดเป็น ประเพณี"ปอยเหลินสิบเอ็ด" หรือประเพณีออกพรรษา ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากสำหรับชาวแม่ฮ่องสอน ภาพที่ 48 ประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๘ งานประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด จะเริ่มตั้งแต่ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงแรม 14 ค่ำ เดือน 11 (ตรงกับเดือน ตุลาคม) โตยมีรายละเอียดของแต่ละกิจกรรมดังนี้ ❖ การแฮนซอมโก่จา "แฮนซอมโก่จา" คือการทำบุญเป็นครั้งที่ 2 (การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายครั้งแรกในวันฌาปนกิจ ศพ หรือหลังจากนั้น 7 วัน เรียกว่า"แฮนซอมใจขาด") ในระหว่างวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 ของปีที่ตาย หาก ตายระหว่างเดือนสิบเอ็ดจะต้องเลื่อนการแฮนซอมโก่จาออกไปอีก 1 ปี คือเลื่อนไปทำบุญในปีต่อไป เมื่อมีการ แฮนซอมโก่จาแล้ว ถือได้ว่าได้อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ตายครบถ้วนตามประเพณีเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปก็จะ ไม่มีการทำบุญใดๆอีก ซึ่งแตกต่างจากที่อื่นที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตายในวาระครบรอบ 100 วันครั้งเดียว เท่านั้น ในประเพณีการแฮนชอมโก่จาสิ่งที่ขาดเสียมิได้คือ การถวายหนังสือที่เรียกว่า "ลีกชุตต๊ะ" (ลีกชุตต๊ะคือ หนังสือธรรมของชาวไทใหญ่เนื้อหาของหนังสือจะเป็นเหมือนนิทานเรื่องเล่า ในสีกขุตต๊ะจะมีเรื่อง นางวัวแกง การแพร่กรรม มอนธรรม ซึ่งจะใช้อ่านในงานศพหรืองานแฮนชอมโก่จาแล้วนำ ไปถวายวัด นอกจากนั้น การ ถวายธง(ตุง)ให้แก่ผู้ตายหรือเรียกว่า "ตุงตำข่อน"มาจากความเชื่อว่า ตุงนี้จะมีอานิสงค์ช่วยให้ผู้ตายรอดพ้นจาก การไปเกิดเป็นเปรต หรือการตายตกนรกได้ ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีแฮนซอมโก่จา การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นความเชื่อของชาวไทใหญ่ (คนไต) ที่จะจัดขึ้นในเดือน 11 ซึ่งเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาช้านานเมื่อญาติพี่น้องเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากผ่านไปประมาณ 1 ปี ก็จะ เริ่มมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เพราะเชื่อกันว่าผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับสาวนบุญส่วนกุศลที่ญาติพี่น้อง นำไปให้และถ้าไปตกอยู่ ณ จุดใดในยมโลกก็จะกลับมารับเอาบุญกุศลนี้ไปใช้ในอีกภพหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็จะเป็น ความสบายใจของญาติพี่น้องเอง ❖ งานกาดพิด (ตลาดนัดเดือนสิบเอ็ด) เมื่อย่างเข้าเดือน 11 ช่วงวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 จะมีการจัดงานตลาด นัดขายของทั้งวันทั้งคืนหรือเรียกว่า "กาดพิดเหลิน11" ขึ้นที่ตลาดสด ถนนสิงหนาทบำรุง ตำบลจองคำ อำเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งจะเป็นช่วงที่ประชาชนทั้งในเขตเทศบาล และนอกเขตเทศบาลต่างมา จับจ่ายซื้ออาหารและสิ่งของต่างๆกันอย่างครึกครื้น เพื่อนำไปขอขมาผู้เฒ่าผู้แก่และไปทำบุญที่วัด ❖ การแห่จองพารา การแห่จองพารา(จองเข่งต่างส่างปุ๊ด มีขึ้นในวันขึ้น 13 หรือ 14 ค่ำ เดือน 11 โดยจะนำจองพารา ของแต่ละชุมขนในเขตเมืองแม่ฮ่องสอน หมู่บ้านนอกเขตเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน และหน่วยงานราชการ เข้า ร่วมในขบวนแห่ซึ่งจะเริ่มขบวนที่โรงแรมรุคฮอลิเดย์ หรือถนนขุนลุมประพาสไปสิ้นสุดที่ ถนนสิงหนาทบำรุง โดยในขบวนจะมีการแสดงต่างๆ ดังนี้ 1) การฟ้อนรำนก (กิ่งกะหล่า)เ ป็นการรำชนิดหนึ่งของชาวไทใหญ่หรือรำเป็นฟ้อนตามจังหวะกลองกันยาว ขบวน ฟ้อนรำกลองมองเชิงจะเป็นกลุ่มเด็กสาวอายุ ๑๘ – ๒๐ ปี ใส่ชุดไทใหญ่เข้าเป็นคณะๆ ละ 7 – 10 คน ใส่ชุดเผ่าไทใหญ่รำพร้อมจังหวะกลองกันยาวขบวน 2) ก้าลาย เป็นการฟ้อนรำที่ประยุกต์จากลีลา การต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือใช้ค้อนเป็นอาวุธมาเป็นการร่ายลำที่ อ่อนช้อย สวยงามจะมีผู้ชายวัยกลางคนรำเพียงคนเดียวเข้ากับจังหวะกลองมองเชิงขบวน 3) ก้าแลว เป็นขบวนการฟ้อนดาบ ซึ่งประยุกต์มาจากการฟันดาบ(ลายแลว) จากที่เคยใช้เป็นแม่ไม้การต่อสู่ ป้องกันตัว ที่มีลีลากระฉับกระเฉงว่องไว ดุดัน มาเป็นลีลาการรำที่อ่อนช้อย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๔๙ เพื่อแสดงลักษณะวัฒนธรรมประจำชนชาติขบวนหาบจองพาราจะเป็นชายเป็นผู้หาบ 4 คนหรือ 4 มุมของจอง พาราจะมีไม้หาบยืนออกมาเปลี่ยนกันหาบเมื่อเหนื่อยจะเดินกันเป็นขบวนแบบตั้งแถวทั้งชายและหญิงทั้งหมด 4 แถวปัจจุบันใช้รถหาบจองพาราเพราะมีขนาดใหญ่และนักกว่าสมัยในอดีตแต่ขบวนยังเหมือนเดิม ขบวนด้าน หลังสุดจะเป็นชุดกลองกันยาวและกลองมองเชิงมีคนตีกลอง, ตีฆ้องแบบหาบจากวงเล็กไปยังวังใหญ่ตีแบบเป็น จังหวะตีนิ่ง,คนตีฉาบจองพาราจะถูกประกวดรางวัลความสวยงามของจองพาราแต่ละหมู่บ้านและการประกวด การฟ้อนรำต่างๆ เป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจในการร่วมงาน ภาพที่ 49 การแห่จองพารา ภาพที่ 50 จองพารา ❖ การตักบาตรเทโว การตักบาตรเทโว หรือเรียกชื่อเต็มตามคำพระว่า "เทโวโรหณะ" แปลว่าการหยั่งลงจาก เทวโลก หรือการตักบาตรนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ตักบาตรดาวดึงส์" และการตักบาตรเทโวนี้ จะกระทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 การตักบาตรเทโว จะเป็นงานที่จัดขึ้นหนึ่งครั้งในปีนั้น ตามตำนานเล่าว่า "เมื่อก่อนพุทธศักราช 8 ปี พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในสวรรค์ขั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนา"พระ สัตตปรณา – ภิธรรม" คือพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดพระพุทธมารดา ซึ่งทรงบังเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ครั้นครบกำหนดการทรงจำพรรษาครบ 3 เดือน พระพุทธเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้วเสด็จลงจากดาวดึงส์ เทวโลกมาสู่มนุษย์โลกในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 โดย เสด็จลงทางบันไดแก้วทิพย์ ซึ่งตั้งระหว่างกลางของ บันไดทองทิพย์อยู่เบื้องขวา บันไดเงินทิพย์อยู่เบื้องข้าย และหัวบันไดทิพย์ที่เทวดาเนรมิตขึ้นทั้ง 3 พาดบนยอด เขาพระสิเนรุราช อันเป็นที่ตั้งแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนเชิงบันไดตั้งอยู่บนแผ่นศิลาใหญ่ใกล้ประตูเมืองสังกัส สนคร และสถานที่นั้นประชาชนถือว่าเป็นศุภนิมิตรสร้างพระเจดีย์ขึ้นเป็น "พุทธบูชานุสาวรีย์" เรียกว่า "อจลเจดีย์" ในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาสู่มนุษย์โลกนั้นประชาชนพร้อมกันไปทำบุญตักบาตรเป็นจำนวน มาก พิธีที่กระทำกันในการตักบาตรเทโว คือการทำบุญตักบาตร รับเสด็จพระพุทธเจ้าในคราวเสด็จลงมาจากเท วโลกนั่นเอง บางวัดจึงเตรียมการในคฤหัสถ์แต่งตัวเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้างแล้วอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้น ประดิษฐานบนบุษบกที่มีล้อเคลื่อน และมีบาตรตั้งอยู่ข้างหน้าพระพุทธรูปใช้คนลากนำหน้าพระสงฆ์ พวก ทายกทายิกาตั้งแถวเรียงรายคอยใส่บาตร เป็นการกระทำให้ใกล้กับความจริงเพื่อเป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ส่วนอาหารที่นำมาทำบุญตักบาตรในวันนั้น มีข้าว กับข้าวต้มมัดใต้ ข้าวต้มลูกโยนที่ห่อด้วยใบมะพร้าวหรือใบ ลำเจียกไว้หางยาว และข้าวต้มลูกโยนนี้มีประวัติมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะตั้งใจอธิษฐานแล้วโยนไปให้ลงบาตรของพระพุทธเจ้า เนื่องจากมีคนมากเข้าไปใส่บาตรไม่ได้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๐ การตักบาตร ส่วนมากในการตักบาตรจะใช้ข้าวสาร อาหารแห้ง เพราะเชื่อว่าการตักบาตรเทโวเป็นการระลึก ถึงวันที่พระพุทธเจ้ากลับจากการโปรดพระพุทธมารดาแล้วเสด็จลงมาจากเทวโลกนั้น บางวัดจึงเตรียมการใน คฤหัสถ์แต่งตัวเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้างแล้วอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนบุษบกที่มีล้อเคลื่อน และมีบาตรตั้งอยู่ข้างหน้าพระพุทธรูปใช้คนลากนำหน้าพระสงฆ์ พวกทายกทายิกตั้งแถวเรียงรายคอยใส่บาตร เป็นการกระทำให้ใกล้กับความจริงเพื่อเป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ❖ ปอยก๋อยจ๊อด (ปอยอ่องจ๊อด) ปอยก๋อยจ๊อด (ปอยอ่องจ๊อต) เป็นประเพณีที่ต่อจากการเสร็จสิ้นของประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด โดยมี ประวัติดังนี้ "พระโคดมสมณะเจ้าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาเป็นเวลา 7 พรรษา ทรงแสดงยมกปฏิ หารย์ในเมืองสาวถีที่อุทยานสวนมะม่วง เสด็จขึ้นไปดาวดึงส์สวรรค์ ประทับนั่งเหนือบัณทุกัมพลศิลาอาสน์ ทรง เทศนาอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ โปรดสันตุฏฐีพุทธมารดาพร้อมเหล่าเทพยดา และพระพรหมตลอดระยะในพรรษา ๓ เดือน และเสด็จนิวัติมนุษย์โลกในวันเพ็ญเดือน 11 ในเมืองสั่งกะนะโก่(สังกัสนคร ในการเสด็จลงมานั้นพระ อินทร์เนรมิตบันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว พาดตรงประตูดาวดึงส์สวรรค์ด้านทิศใต้ ลงสู่ประตูกัสนคร ทางทิศใต้เช่นเดียวกัน ก่อนถึงวันเพ็ญเดือน 11 พระพุทธองค์ทรงมีกระแสรับสั่งถึงพระโมคคัลลานะ ว่า พระองค์จะเสด็จนิวัติมนุษย์โลกในวันเพ็ญเดือน 11พระโมคคัลลานะได้บอกข่าวการเสด็จนิวัติขององค์ สัมมาสัมพุทธเจ้าทั่วทุกแห่งบรรดามนุษย์และสัตว์ที่สามารถมารับได้ก็มารับเสด็จที่สังกัสนคร ที่มาไม่ได้ก็ทำ จองเข่งต่างส่างปุ๊ดที่บ้านเรือนของตน พอถึงวันเพ็ญเดือน 11 จะจัดอาหารบิณฑบาต และขนมนมเนยไว้ถวาย พระพุทธเจ้าที่เสด็จประทับยืนอยู่ที่หัวบันไดแก้วแล้วเปล่งรัสมี 6 ประการ(ฉัพพรรณรังสี) นับตั้งแต่พรหมโลก จนถึงนรกอเวจีได้มองเห็นกันหมดสิ้น กึ่งนะหรี่ (กินรี) กิ่งกะหล่า(กินรา) นะกา (นาค) กะกรุ่งหรือก่าหร่น (ครุฑ) ยักคะ (ยักษ์) กันตัปป๊ะ (คนธรรพ์) ผีลู ผีพาย (ยักษ์) ส่างสี่ หรือโต (สิงโต) และบรรดาสัตว์ 40ประเภท มารับเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยการที่พระพุทธเจ้าทรงเปล่งรัศมีทั้ง 2 ก็ดี การเหล่านี้เทพบุตร เทพยดา ซึ่งมีรัศมี มารับเสด็จทำให้เกิดแสงสว่างไสว" อันเป็นที่มาของประเพณีแห่ต้นเตน (ต้นเทียน) การประดับประโคมไฟใน งานประเพณีเดือน 11 ประเพณีแห่ตันเตน (ต้นเทียน) นิยมทำกันในวันปิดท้ายเทศกาลปอยเดือน 11 คือวัน แรม 14 หรือ 15 ค่ำ พร้อมกับถวายนางนกโต และสัตว์อื่นๆ อันเป็นประเพณีรำกิ่งกะหล่า ก้าโต (ฟ้อนนาง นก สิงโต) ที่ทำการแสดงในเทศการปอยเหลินสิบเอ็ดที่เรียกว่า "ปอยก๋อยจ๊อด" หรือปอยอ่องจ๊อด (สำนักงาน วัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2549 : 274) การจัดงานปอยอ่องจ๊อดในจังหวัดแม่ฮ่องสอนจะจัดในช่วงวันแรม 14 ค่ำ เดือน 11 ในเขตเทศบาล แต่ละชุมชนปีอกจะจัดทำต้นเกี๊ยะ (ต้นแปก) และตกแต่งให้สวยงาม เพื่อเข้าร่วมการประกวดกับทางเทศบาล เมืองแม่ฮ่องสอนขบวนแห่จะเริ่มตั้งตั้งแต่ตลาดนัดวันอาทิตย์หรือถนนรุ่งเรืองการค้า ถึงวัดจองคำ และนำถวาย เวลาเริ่มแห่ประมาณ 15.00 น. ขบวนจะมีการจัดตกแต่งต้นแปกของแต่ละปีอกให้ดูสวยงามจะมีการแสดง การก้าลาย ก้าแลว กิ่งกะหล่า ก้าโต ซึ่งเป็นศิลปะของไทใหญ่ที่อยู่คู่กับขาวแม่ฮ่องสอนมานาน ขบวนแห่จะมี การแห่ไปตามท้องถนน เมื่อขบวนไปถึงหน้าวัดจองคำจะมีการนำต้นแปกของแต่ละป๊อก มาเรียงกันอยู่ที่หน้า วัดจองคำ จากนั้นก็ได้มีการนำเอาสายสินมามัดลอบต้นแปกตั้งแต่ต้นแรกจนถึงต้นสุดท้าย แล้วจะมีการพ่วง สายสินอีกเส้นขึ้นไปบนวัด จากนั้นประธานในพิธีก็จะนำไหว้พระและรับกรรมทานศีล เมื่อเสร็จจากการรับ กรรมทานศีลแล้วจะมีการกล่าวคำถวายต้นเกี๊ยะ (ต้นแปก) และพระสงฆ์ก็จะกล่าวคำอนุโมทนาเป็นภาษาบาลี เมื่อพระสงฆ์กล่าวเสร็จตัวแทนของแต่ละป๊อกก็จะไปจุดต้นแปกที่หน้าวัด สุดท้ายก็จะมีการขอขมาพระสงฆ์ ปอยก๋อยจ๊อด (หรือปอยอ่องจ๊อด) ที่หมู่บ้านทุ่งกองมู มีความเชื่อว่าเมื่อถึงเทศกาลก็จะมีการนำเอาไม้แปก (ไม้ เกี๊ยะ) ของแต่ละบ้านมารวมกันไปถวายวัด เพื่อเป็นการบูชาหรือฉลองให้กับพระพุทธเจ้า และเป็นการบอกให้รู้ ถึงฤดูกาลที่เปลี่ยน จากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว บางหมู่บ้านจะมีการใช้กองฟืนแทนไม้แปก (ไม้เกี๊ยะ) เพื่อทำกอง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๑ ไฟฉลองให้กับพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า กองหลัว (ภาษาทางภาคเหนือ) หรือกองฟื้นนั้นเอง และจะมีการจุด ภายในบริเวณวัดภายในงานปอยก๋อยจ๊อด(อ่องจ๊อด) จะมีการแสดงจ้าดไต (ในสมัยก่อน) ก้าลาย(ในสมัยก่อน) ปิงโก สอยดาว ดนตรี เป็นต้น และยังมีความเชื่ออีกที่ว่าการนำเอาไม้แปก(ไม้เกี๊ยะ) นำมาจักเป็นเส้นๆ มัด รวมกัน ตกแต่งให้สวยงาม แล้วหามแห่ไปตามถนน นำไปถวายที่วัด และจุดแสงสว่างให้เป็นพุทธบูชา เชื่อว่า เป็นการให้แสงสว่างต่ออายุให้ศาสนารุ่งเรืองต่อไปในภายภาคหน้า และเป็นการเสร็จสิ้นฤดูกาลนั้นของปี ภาพที่ 51 ขบวนแห่ต้นแปก 12. งานประเพณีเหลินสิบสอง (เดือนสิบสองตรงกับเดือนพฤศจิกายน) ❖ ประเพณีเขาวงกต (ปอยหวั่งกะป่า) ช่วงเวลาที่มีการจัดงาน จะจัดขึ้นในเตือนพฤศจิกายน หรือทางชาวไทใหญ่เรียกว่า เดือน 12 ระหว่างขึ้น1 ค่ำถึง 15 ค่ำ แต่ส่วนใหญ่มักจะจัดขึ้น 13 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือน 12 โดยถือเอาวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันสุดท้าย ของงานประเพณีต่างๆ ของชาวไทใหญ่ ประวัติความเป็นมาและความเชื่อ คำว่า หวั่งกะบำ แปลว่า เขาวงกต เป็นเรื่องราวตอนหนึ่งในมหาเวสสันดรชาดก เขาวงกตเป็นคำที่ พระพุทธเจ้ามีไว้ในตำนานในพระเวสสันดรเล่าว่า กาลสมัยที่พระพุทธเจ้าอยู่ในทศชาติที่ 10 (พระเวสสันดร) ซึ่งพระองค์ทรงบริจาคช้างเผือกแก้วซึ่งเป็นช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พราหมณ์ของเมืองกลิงคราช เป็นเหตุให้กรุงสิ พีเกิดอลหม่านแห้งแล้ง มหาชนจึงมาร้องทุกข์ต่อพระเจ้ากรุงสัญชัยให้เนรเทศพระเวสสันดรออกจากบ้านเมือง พร้อมด้วยพระนางมัทรีพระโอรสและพระธิดาเสร็จเข้าไปบำเพ็ญเพียรในป่าและเดินทางมาถึง เขาวงกต มี ความเชื่อกันว่าเป็นเรื่องราวตอนหนึ่งในมหาเวสสันดรซาดกตอนที่พระเวสสันดร ได้ออกจากเมืองไปบำเพ็ญ บารมีในป่าเขาวงกต ซึ่งเส้นทางที่จะเข้าไปหาพระเวสสันดรในป่าเขาวงกตนั้นสลับซับช้อนมีทางเข้ามากมายถ้า ผู้ใดจะเข้าไปหาหรือไปทำบุญก็ตามหากไม่มีบุญแล้ว จะไม่สามารถเข้าไปถึงเข้าอาศรมพระเวสสันดรได้จะหลง ทางไปมาอยู่ในป่าเขาวงกตนั่นเองสร้างจำลองตามประวัติและความเชื่อตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นการจำลอง ปราสาทมหาวิหาร๘ หลัง ที่เศรษฐีในสมัยนั้นสร้างถวายแด่พระพุทธเจ้า โดยจำลองเหตุการณ์มาสร้างพุทธบูชา ซึ่งตามพุทธประวัติได้กล่าวไว้ว่า (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน. 2549 : 253-254) หลังที่ 1 ชื่อ เชตวรรณ์มหาวิหาร ตั้งอยู่ในกรุงสาวัตถี ในครั้งที่พระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพานซึ่งเป็นวัดที่มหา เศรษฐีอนาถมีนทิกะเป็นผู้ถวาย หลังที่ 2 ชื่อ บุพผารามหาวิหาร ตั้งอยู่ในชนบทแห่งกรุงพาราณสีโดยนางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นผู้สร้างถวาย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๒ หลังที่ 3 ชื่อ เวฬุรรณ์มหาวิหาร ตั้งอยู่ในชนบทแห่งกรุงราชคฤห์เจ้าพิมพิศาลเป็นผู้สร้างถวาย หลังที่ 4 ชื่อ มหาวรรณ์มหาวิหาร ตั้งอยู่ในกรุงปาตะลีบุตร จิตตะมหาเศรษฐี เป็นผู้ถวาย หลังที่ 2 ชื่อ เมกกะทายะวรรณ์มหาวิหาร ตั้งอยู่ในป่าติดกับดินแดนแห่งกรุงมันลานครนันทิยะมหาเศรษฐีเป็น ผู้ถวาย หลังที่ 6 ชื่อ กัณตารมมหาวิหาร ตั้งอยู่ในกรุงเวสลี โขติกะมหาเศรษฐีเป็นผู้สร้างถวาย หลังที่ 7 ชื่อ กุสินารามมหาวิหาร ตั้งอยู่ในกรุงโกสัมภี กากะวรรณะมหาเศรษฐี เป็นผู้ถวายหลังที่ 8 ชื่อ นิโคร ธารามมหาวิหาร ตั้งอยู่ในกรุงกะบิลละภัทพระเจ้าสุทโทธานะ สำหรับขาวบ้านตอนเจดีย์ ซึ่งถือว่าเป็นชุมขนชาวไทใหญ่ที่เก่าแก่และยืดมั่นในขนบประเพณีและวัฒนธรรม ชาวไหใหญ่ใหญ่อย่างเหนียวแน่นชุมชนหนึ่งนิยมสร้าง การจำลองเขาวงกต (ปอยหวั่งกะปา) คือในเขาวงกตที่มี จำนวนประสาท ๕ หลังเป็นการสร้างจำลองปราสาทของพระพุทธเจ้า ภาพที่ 52 ภายในเขาวงกต
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๓ ท าบุญทีว่ดั ในวนัพระ ลักษณะซุ้มประตูและวัดชาวไทใหญ่ ลกัษณะรอยสกัตามความเชือ่ชาวไทใหญ่ 6. ศาสนาและความเชื่อ 6.1 การนับถือผี กลุ่มชาติพันธุ์ไต (ไทใหญ่) นั้นมีความเคารพผีบ้านผีเมืองซึ่งมีความเชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างเมือง หากจะต้องเดินทางไปไหนมาไหนหรือจะมีพิธีกรรมต่าง ๆ จะต้องมีการกราบไหว้ผีเจ้าเมืองเพื่อเป็นการบอก กล่าวและให้ผีเจ้าเมืองคุ้มครอง ในวันขึ้นปีใหม่นั้นจะมีการจุดเทียนด้วยกัน 12 เล่ม เพื่อเป็นตัวแทน 12 เดือน ในรอบ 1 ปี โดยมักจะจุดไว้ที่ศาลเจ้าเมืองประจำเมืองตามที่ตนอยู่ กลุ่มชาติพันธุ์ไต (ไทใหญ่) นั้นนับถือ ศาสนาพุทธโดยสังเกตได้จากวัดและเจดีย์ที่มีในแต่ละเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไต (ไทใหญ่) นั้นและในแต่ละบ้าน นั้นจะมีหิ้งพระไว้กราบไหว้บูชาโดยจะมีการเปลี่ยนอาหารคาวหวานที่บูชาพระทุก ๆ วันเป็นประจำ กลุ่มชาติ พันธุ์ไต (ไทใหญ่) นั้นมีความเคร่งครัดในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากหากบ้านไหนมีลูกชายก็จะต้องให้บวช เป็นพระภิกษุอย่างน้อย 1 รูป โดยเชื่อกันว่าจะเป็นการทำบุญให้กับครอบครัวและเป็นการสืบทอด พระพุทธศาสนาด้วย และความเชื่ออีกอย่างหนึ่งนั้นมีความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับรอยสักหรือการสักยันต์โดยมีความ เชื่อกันว่าจะสามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงหรือในเวลายามออกศึกสงครามอาวุธต่าง ๆ จะไม่สามารถทำ อันตรายใด ๆ ให้กับผู้ที่สักยันต์ได้ เพราะในน้ำหมึกที่ใช้ในการสักยันต์นั้นจะมีตัวยาสมุนไพรผสมไว้ด้วย แต่เดิม นั้นจะสักยันต์กันทั้งตัว แต่ในปัจจุบันนี้คนรุ่นใหม่แทบจะไม่มีใครนิยมสักยันต์แบบโบราณกันอีกแล้วยังคงเหลือ แต่เพียงคนเฒ่าคนแก่ที่มีอายุโดยประมาณ 50 ปีขึ้นไปที่ยังหลงเหลือลอยสักยันต์อยู่ในร่างกาย และวิถีชีวิตใน ทุก ๆ วัดจะมีการเดินทางไปทำบุญตักบาตรและฟังธรรมเทศนา รวมทั้งยังช่วยกันร่วมบริจาคเงินและ บูรณะ ศาสนสถานต่าง ๆ ของตนอีกด้วย ชาวไทใหญ่จะมีเสื้อบ้านและหอเสื้อบ้านเพื่อให้ชาวบ้านทุกคนมาประกอบพิธีกรรม เพื่อความ เป็นสิริมงคลของหมู่บ้านและเพื่อความอยู่ดีกินดี พืชพันธุ์เจริญงอกงาม วัวควาย สัตว์เลี้ยงทั้งหลายเติบโต ปราศจากโรคภัยจากสภาพทางภูมิศาสตร์ ถิ่นที่อยู่ และความเชื่อประเพณี พิธีกรรมที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธ ศาสนา และความเชื่อเรื่องผีสางนางฟ้า ชาวไทใหญ่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาแบบผสมผสานกับ ความเชื่อดั้งเดิม เช่น ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ภูตผีวิญญาณ เทพาอารักษ์ คนไทใหญ่ เชื่อว่า ทุกที่จะมีเทวดาให้ความคุ้มครองตน และครอบครัว ทุกวันพระจะมีการนำเอา กระทงข้าว (ก๊อกซอมต่อ) ไปวางไว้ในจุดที่คิดว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิงสถิต คอยให้ความคุ้มครองตนและครอบครัว ศาสนาและความเชื่อ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๔ จากอันตราย วันพระในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาหรือวันสำคัญทางพุทธศาสนา ชาวบ้านจะนำกระทงไปวางยังจุด ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยความเชื่อหลักในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นของคนในชุมชน คือ 2.1 ความเชื่อเรื่องท้าวทั้ง 4 ที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาเรื่องไตรภูมิพระร่วง 2.2 ความเชื่อเรื่องผีเจ้าเมือง ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นวิญญาณบรรพบุรุษหรือผู้ปกครอง บ้านเมือง ในอดีตที่กลายเป็นเทวดา ทำหน้าที่คอยสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดภัยอันตรายจากสิ่งเหนือธรรมชาติ 2.3 ความเชื่อเรื่องเสาใจกลางบ้านที่มีลักษณะเหมือนเสาหลักเมือง ไม่มีเทวดาสิงสถิตอยู่ที่ใจ กลางบ้าน เป็นเสาที่ปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าจะมาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่แห่งนี้ ในสมัยที่พญาไพศาลเริ่มสร้าง หมู่บ้าน 2.4 ความเชื่อเรื่องผีเจ้าบ้าน มีหน้าที่ดูแลอันตรายไม่ให้เกิดกับชาวบ้าน ภาพที่ 53 – 58 ความเชื่อเรื่องการนับถือผี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๕ 6.2 ศาสนา/ลัทธิ ชาวไทใหญ่ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ นิกายเถรวาทหรือหินยาน ศาสนาพุทธเริ่มเข้ามา มี บทบาทในกลุ่มชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในรัฐฉานตั้งแต่ พ.ศ. 2015 ในช่วงที่พระญาณคัมภีร์เดินทางมาจาก เชียงใหม่ทืไปเผยแพร่ศาสนาพุทธนิกายโยน ชาวไทใหญ่ยังนับถือเทพและผีเจ้าเมืองด้วย เป็นความเชื่อดั่งเดิมที่ เชื่อว่าเจ้าเมืองที่เสียชีวิตไปแล้วจะยังคงปกปักรักษาชาวบ้านในชุมชน ชาวไทใหญ่ยังมีความเชื่อในเรื่องของโลก หน้าอีกด้วย ชาวไทใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งดังความเชื่อในพุทธศาสนาที่ ส่งอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตในความนิยมทำบุญของชาวไทใหญ่ปรากฏเป็นพิธีกรรมสำคัญ เช่น ประเพณีปอย ส่างลอง ประเพณีจองพารา นอกจากนี้ยังพบความเชื่อร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทอื่นๆ เช่น การสักรูปสัตว์ เช่น สิงห์ มอม และลวดลายอักขระ คาถาอาคมเพื่อความคงกระพันและยังพบการสักในผู้หญิงเพื่อป้องกันภัย ชาวไทใหญ่ จะมีเสื้อบ้านและหอเสื้อบ้านเพื่อให้ชาวบ้านทุกคนมาประกอบพิธีกรรม เพื่อ ความ เป็นสวัสดิ์มงคลของหมู่บ้าน และเพื่อความอยู่ดีกินดี พืชพันธุ์เจริญงอกงาม วัวควาย สัตว์เลี้ยงทั้งหลายเติบโต ปราศจากโรคภัยจากสภาพทางภูมิศาสตร์ ถิ่นที่อยู่ และความเชื่อประเพณี พิธีกรรมที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธ ศาสนา และความเชื่อเรื่องผีสางนางฟ้า ชาวไทใหญ่ นิยมสร้างอุโบสถ วิหาร หอฉัน กุฏิสงฆ์ อยู่ติดกันใน ลักษณะเรือนหมู่แบบคนไทย แต่สร้างหลังคาของอาคารต่าง ๆ ทรงยอดปราสาทแบบพม่ามอญ เรียกว่า ทรง พญาธาตุ แต่ลดจำนวนชั้นและความซับซ้อนของโครงสร้างลงไป ส่วนเจดีย์มีลักษณะคล้ายกับสถูปเจดีย์แบบ มอญพม่า แต่มีการประยุกต์โดยขยายส่วนสูงเพิ่มขึ้น ทำให้เจดีย์ไทใหญ่มีรูปทรงสูงชะลูดมากกว่าเจดีย์พม่า การสร้างพระพุทธรูปปางต่าง ๆ นิยมแกะสลักจากหินหยก หรือเป็นพระพุทธไม้แกะสลักปิดทอง แล้วประดับด้วยกระจก สร้างเป็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ครบทั้ง 4 อิริยาบถ ได้แก่ นั่ง ยืน นอน เดิน มีรูปพระ พักตร์แบบพม่า และยังนิยมสร้างรูปพระอรหันต์อุปคุต รวมถึงรูปประติมากรรมต่าง ๆ ที่สร้างถวายเป็นพุทธ บูชา เช่น รูปสิงห์ รูปหงส์ รูปคนฟ้อนรำ เป็นต้น ส่วนงานจิตรกรรมมีลักษณะผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและ พม่า กล่าวคือ นิยมเขียนภาพจากพุทธประวัติ ภาพชาดก มีทั้งตัวละครที่แต่งกายแบบพม่า เขียนตัวละครที่ แต่งกายทรงมงกุฎยอดแหลม มีเครื่องแต่งกายเหมือนจิตรกรรมไทย ด้านงานประณีตศิลป์ ได้แก่ เครื่องเขิน เป็นเครื่องใช้สำหรับพระสงฆ์ บาตรพระ พานสำหรับใส่เครื่องบูชา ทำจากไม้ตกแต่งด้วยการลงเขิน หรือลงรัก ปิดทองและประดับด้วยกระจก งานประณีตศิลป์ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทใหญ่คือ ลายฉลุ เป็นการฉลุ ลายแบบที่ภาษาภาคกลางเรียกว่า งานทองแผ่ลวด แต่ชาวไทใหญ่เรียกว่า ลายไตร นำไปใช้ตกแต่งอาคาร ใน วัดวาอาราม ศาลา หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภาพที่ 59 ลักษณะซุ้มประตูและวัดชาวไทใหญ่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๖ ภาพที่ 60 – 63 ชาวไทใหญ่นิยมไปทำบุญที่วัดในวันพระ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๗ ❖ ความเชื่อเรื่องรอยสัก ชาวไทใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งดังความเชื่อในพุทธศาสนา ที่ส่งอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตในความนิยมทำบุญของชาวไทใหญ่ปรากฏเป็นพิธีกรรมสำคัญ เช่น ประเพณี ปอยส่างลอง ประเพณีจองพารา นอกจากนี้ยังพบความเชื่อร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทอื่นๆ เช่น การสักรูปสัตว์ เช่น สิงห์ มอม และลวดลายอักขระ คาถาอาคมเพื่อความคงกระพันและยังพบการสักในผู้หญิงเพื่อป้องกันภัย อีกด้วยและความเชื่ออีกอย่างหนึ่งนั้นมีความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับรอยสักหรือการสักยันต์โดยมีความเชื่อกันว่าจะ สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงหรือในเวลายามออกศึกสงครามอาวุธต่าง ๆ จะไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ให้กับผู้ที่สักยันต์ได้ เพราะในน้ำหมึกที่ใช้ในการสักยันต์นั้นจะมีตัวยาสมุนไพรผสมไว้ด้วย แต่เดิมนั้นจะสักยันต์ กันทั้งตัว แต่ในปัจจุบันนี้คนรุ่นใหม่แทบจะไม่มีใครนิยมสักยันต์แบบโบราณกันอีกแล้วยังคงเหลือแต่เพียงคน เฒ่าคนแก่ที่มีอายุโดยประมาณ 50 ปีขึ้นไปที่ยังหลงเหลือลอยสักยันต์อยู่ในร่างกาย ภาพที่ 64 การสักทั้งตัวของชายชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน ภาพที่ 65 ตัวอย่าง รอยสัก “สักข่าม” ภาพที่ 66 ลักษณะรอยสักตามความเชื่อชาวไทใหญ่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๘ ❖ หมอเป่า หมอเป่าเป็นหมอที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่าเวลาเจ็บป่วยที่มีอาการเป็นแผล หรือเป็นโรคผิวหนัง อักเสบที่เป็นหนองเรื้อรัง งูสวัด คางทูม ในสมัยที่ยังไม่มียารักษาโรคก็มักจะไปหาหมอเป่าในหมู่บ้าน เพื่อทำ การรักษาอาการที่เป็นอยู่ให้หาย แต่ปัจจุบันก็ยังมีชาวบ้านที่เวลาเจ็บตา ข้อเท้าเคล็ด หรือกระดูกหักก็จะไปให้ หมอเป่าเพื่อรักษาอาการแต่ก็ทำให้อาการที่เป็นอยู่หายได้ และหากหายจากอาการเจ็บป่วยดังกล่าวแล้วก็จะ นำดอกไม้ไปขอขมาคารวะ ดำหัวหมอเป่า การเป่าของหมอเป่านั้นจะมีวิธีการรักษาด้วยการเป่าต่าง ๆ กันไป ส่วนประกอบที่ใช้และพบบ่อยคือ ปูนกินหมาก เคี้ยวกระทียมแล้วเป่า เคี้ยวหมากเป่า เคี้ยวใบไม้บางชนิดเป่า เป็นต้น ภาพที่ 67 ความเชื่อเรื่องหมอเป่า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๕๙ กลองก้นยาว กลองมองเซิง ฟ้ อนกิงกะหร่า 7. ดนตรี / นาฏศิลป์ / การละเล่นพื้นบ้าน 7.1 ดนตรีพื้นบ้าน ❖ กลองก้นยาว กลองก้นยาวถือเป็นกลองที่มีความสำคัญที่สุดของชาวไทยเชื้อสายไทใหญ่ มีการเรียกชื่อกลอง ๒ ชื่อได้แก่กลองก้นยาวและกลองปูเจ่ ผลของการสืบค้นพบว่ากลองชนิดนี้ควรเรียกชื่อว่า “กลองก้นยาว” สำหรับชื่อ “ปูเจ่” พบที่จังหวัดเชียงใหม่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นชื่อที่ไม่ถูกต้องและมีที่มาอย่างไร ลักษณะทาง กายภาพของกลองก้นยาวพบว่ามีความสูงตั้งแต่ ๑.๒ เมตรไปจนถึง ๓ เมตร วิธีการประสมวงประกอบด้วย กลองก้นยาว ๑ ใบ “มอง” หรือโหม่งมากกว่า ๓ ใบ โดยเสียงจะต้องห่างกัน ๔ – ๕ เสียง ระเบียบวิธีการ บรรเลงวงกลองก้นยาวนิยมใช้โหม่งตีตั้งจังหวะก่อนเป็นส่วนใหญ่ กลองก้นยาวเป็นกลองที่ตีในงานบุญประเพณี ปอยส่างลอง ออกพรรษา ตีประกอบการแสดงฟ้อนนก ฟ้อนโต ฟ้อนมือ ฟ้อนดาบและตีในขบวนแห่ เสียงของ กลองประกอบด้วยเสียง “กะ” “ปี้” “ยุบ” “เป้ง” หรือเสียง “เป้” หรือเสียง “เปิ้ง” หรือเสียง “เทิ่ง” หรือ เสียง “เปิง” หรือเสียง “เป้ง” หรือเสียง “เพิ่ง” เสียง “ป๊ะ” “ตุ๊บ” หรือเสียง “ปุ๊บ” เสียง “ถึ่ง” หรือเสียง “ทึง” หรือ เสียง “อึ่ง” หรือเสียง “โฮง” กลองก้นยาวกับการฟ้อนนกกิ่งกะหล่ามีการแบ่งกระสวนทำนอง ขึ้นต้นให้มีความห่างในระยะเท่าๆกันมีการทอนกระสวนทำนองกลองเป็นชุดเรียกว่า “กลองปี่ยุบ” หรือ “เป้ ยุบ” กลองก้นยาวประกอบการฟ้อนโตพบว่าทุกพื้นที่มีการตีกระสวนทำนองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีการใช้ เสียง “ตุ๊บ” ช่วงโตส่ายหัวและใช้เสียง “เปิ้ง” ช่วงม้วนตัวและขยับร่างกายตามจังหวะเป็นส่วนใหญ่ การตี กลองก้นยาวสำหรับการฟ้อนโตมีการใช้ “ลูกส้น” หรือการทุบกลองเข้ามาประกอบด้วย การตีกลองก้นยาวกับ การฟ้อนดาบและฟ้อนมือ การขึ้นต้นจะมีกระสวนทำนองกลองแบบตั้งหลัก มีการตีลูกส้นหรือการทุบกลองใน ลักษณะ “การลักจังหวะ” มีการตีลูกส้นแบบ “ตรงจังหวะ” มีการเล่นหน้ากลองที่เรียกว่า “การยักหน้ากลอง” หรือการตีเสียง “ดิ๋ว ดิ้ว” กระสวนทำนองกลองก้น-ยาวตีประกอบการแห่ใช้กระสวนทำนองไม่ซับซ้อนใน ลักษณะลงตัวมีจำนวนห้องโน้ตเท่า ๆ กัน บรรเลงซํ้ากัน มีการทอนกระสวนทำนอง มีลักษณะการตีในรูปแบบ “การลักจังหวะ” ไปตลอดชุดทำนองและมีการตีสำนวนปิดท้ายชุดทำนอง อัตราความเร็วประกอบการฟ้อนนก กิ่งกะหล่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนจะตีแนวช้าแต่ถ้าฟ้อนโตจะตีแนวเร็ว ตรงข้ามกับชาวไทใหญ่แท้ ๆ ที่ตีประกอบ ฟ้อนนกแนวเร็วและตีประกอบฟ้อนโตแนวช้า สำหรับเชียงใหม่ในทุก ๆ การแสดงจะใช้แนวเร็วทั้งหมด แนวโน้มการคงอยู่ของกลองก้นยาวแม้ว่าจะมีแนวโน้มมีผู้ตีน้อยลงเนื่องด้วยความเจริญทางเทคโนโลยีที่เข้ามามี ดนตรี/นาฏศิลป์/การละเล่นพื้นบ้าน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๐ บทบาทกับวิถีชีวิตชุมชน ปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวัฒนธรรม ช่วยกันทำการอนุรักษ์และ พยายามสืบทอดต่อเยาวชนอย่างต่อเนื่อง พบได้จากการออกเก็บข้อมูลภาคสนามมีนักเรียนจำนวนมากเข้าร่วม กิจกรรมและมีความสามารถตีกลองก้นยาวและแสดงฟ้อนนก ฟ้อนโต ฟ้อนดาบและร่วมขบวนแห่ในงาน ประเพณีของชุมชนได้ ภาพที่ 68 – 70 กลองก้นยาว ❖ กลองมองเซิง มองเซิง เป็นวงกลองพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่ เป็นที่นิยมกันในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง คำว่า”มอง” หมายถึงฆ้อง และ”เซิง” หมายถึงชุด “มองเซิง” คือ”ฆ้องชุด” ซึ่งมักใช้ฆ้อง ตั้งแต่ 5-9 ใบ ใช้ฉาบขนาดใหญ่ตีประกอบ ส่วนกลองใช้กลองมองเซิง ซึ่งเป็นกลางสองหน้าไม่ติดถ่วง มี ลักษณะคล้ายตะโพนมอญ แต่น้ำหนักเบากว่า วงมองเซิง ใช้ประโคมในงานบุญของวัด ขบวนแห่นาคสามเณรที่ ล้านนาเรียก “ลูกแก้ว” ไทใหญ่เรียก”ส่างลอง”ขบวนแห่ครัวทานและประกอบการฟ้อนพื้นเมือง ภาพที่ 71 กลองมองเซิง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๑ ❖ มองแว็ง มองแว็งเป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกับฆ้องวงของไทยแต่วางเรียงเป็นแผงประกอบด้วย กัน 17 เสียง กลวิธีการบรรเลงเป็นการตีสลับมือซ้ายขวาและตีพร้อมกัน 2 มือ มองแว็ง เป็นเครื่องดนตรีชิ้น สำคัญในวงจ้าดไต ประกอบการแสดงลิเกจ้าดไต โดยในวงนี้จะวางมองเว็งอยู่ด้านซ้ายมือของวงและทำหน้าที่ ดำเนินทำนองให้กับวงจ้าดไต มีบทบาทสำคัญกับนางรำที่ต้องการเสียงดนตรีที่มีความสนุกสนานเข้ามา ประกอบการแสดง ภาพที่ 72 มองแว็ง ❖ ปาตยา ปาตยา เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี ดำเนินทำนอง มีลักษณะคล้ายระนาดเหล็กของไทย มีความยาวตั้งแต่หัวถึงท้ายราง 46 นิ้ว ประกอบด้วยลูกระนาดทำจากโลหะจำนวน 21 ลูก ถูกร้อยด้วยเชือก ติดกันเป็นผืน วางบนรางไม้ มีลักษณะคล้ายกล่อง ลูกระนาดแต่ละลูกมีความกว้าง 2 นิ้ว มีความหนา 0.1 นิ้ว และมีความยาวลดหลั่นกันไป ตั้งแต่ลูกที่ 1 (นับจากด้ายซ้าย) ภาพที่ 73 ปาตยา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๒ ❖ เช่าลงปั๊ด หรือ กลองชุด 6 ใบ คำว่า “เช่าลงปั๊ด” เป็นภาษาพม่า มีความหมายถึงกลอง 6 ใบ คำว่า “เช่า”แปลว่า เลข 6 คำ ว่า“ลง” แปลว่า ลูก คำว่า “ปั๊ด” แปลว่ากลอง เพราะฉะนั้น คำว่า เช่าลงปั๊ด จึงหมายถึงกลอง 6 ลูก ซึ่ง ประกอบด้วยปั๊ด 4 ใบ กลองจะคุ่น 1 ใบ กลองปั๊ดม่า 1 ใบ (กลองขนาดใหญ่) รวมเป็น 6 ใบ สำหรับลักษณะ ทางกายภาพของกลองชุด 6 ใบ พบว่ากลองดังกล่าวมีลักษณะเป็นกลองขึ้นหน้า 2 ด้าน หุ่นกลองทำจากไม้ ตองซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน มีดอกสีแดง มีหนามเหมือนต้นงิ้ว หนังเรียดทำจากหนังวัว กลองทั้ง 6 ใบนั้นมีขนาด ลดหลั่นกัน ช่างทำกลองจะอาศัยอยู่แถบเมืองมัณฑเลย์ มีการสืบทอดงานช่างแบบครอบครัว นอกจากนี้ยังใช้ ประกอบกับกลองซีโตและ จี ฮอก แส่ง ซึ่งเป็นเครื่องกำกับจังหวะอีกชุดหนึ่ง ภาพที่ 74 เช่าลงปั๊ด 7.2 นาฏศิลป์พื้นบ้าน ❖ ฟ้อนกิงกะหร่า / ร่ายระบำฟ้อนกิงกะหร่า ฟ้อนกิงกะหร่า เป็นศิลปะการแสดงอย่างหนึ่งของชาวไทใหญ่ โดยมีความเชื่อมาจากพุทธ ศาสนา กิงกะหร่า ในความหมายตามสารพจนานุกรม คือ ชื่อของ กินนร หรือ กินรี ใช้พูดในภาษาไทใหญ่ หมายถึงสัตว์หิมพานต์ ที่มีท่อนล่างเป็นนก ท่อนบนเป็นคน ได้รับอิทธิพลการฟ้อนมาจากประเทศพม่าโดยมีชื่อ ว่า ฟ้อนนกเก็งไนยา ประวัติความเป็นมาของการฟ้อนกิงกะหร่านั้น มีเรื่องเล่าว่า หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ จากจำพรรษาเพื่อโปรดพระมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขณะเสด็จลงสู่โลกมนุษย์นั้น พุทธศาสนิกชนได้พร้อม ใจกันนำอาหารไปทำบุญตักบาตร หรือที่รู้จักกันดีว่า "การตักบาตรเทโวโรหนะ" และเหล่าสัตว์ต่าง ๆ จากป่า หิมพานต์ คือ กินนรและกินนรี พากันออกมาฟ้อนร่ายรำเพื่อถวายการเคารพบูชา ในการแสดงฟ้อนกิงกะหร่า จะแสดงท่าทางอากัปกิริยาเลียนแบบนกกินรี ผู้แสดงมีได้ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ใส่ชุดที่ประกอบด้วย ๓ ส่วนคือ ลำตัว ปีก หาง ทำด้วยไม้ไผ่หรือหวาย แต่ละส่วนขึ้นโครงก่อนแล้ว จึงติดผ้าแพร ประดับเพิ่มด้วยกระดาษสีต่าง ๆ ตัดเป็นลวดลายให้ตัวนกงดงามมากขึ้น จากนั้นใช้เชือกปอหรือ หนังยางรัดให้แน่น อีกทั้งทำเชือกโยงดึงไปทั้งปีกและหาง เพื่อให้ขยับได้สมจริง ส่วนตัวผู้แสดงนั้นมักแต่งชุดสี เดียวกับส่วนหัวและส่วนหาง เครื่องดนตรีที่ใช้ในการฟ้อนนกกิงกะหร่านี้ มี กลองก้นยาว ๑ ลูก มอง (ฆ้อง) ๔ - ๕ ใบ (มัก เป็นฆ้องราว) และฉาบ (แส่ง) ๑ คู่ โดยจะใช้จังหวะของกลองประกอบการฟ้อน เมื่อนกทำท่าบิน คนจะตีกลอง เป็นทำนองหนึ่ง แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นท่านกกระโดดโลดเต้น จึงจะเปลี่ยนทำนองการตีกลอง เป็นต้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๓ การแสดงฟ้อนกิงกะหร่านี้ มักใช้แสดงในประเพณีเดือน ๑๑ ในเทศกาล "ออกหว่า" หรือ ออกพรรษา ของชาว ไทใหญ่ ซึ่งมักแสดงควบคู่กับฟ้อนโตหรือเต้นโต ภาพที่ 75 ฟ้อนกิงกะหร่า ❖ การรำโต หรือ ก้าโต การรำโต หรือ ก้าโต เป็นการแสดงโดยให้ผู้แสดงสองคนมุดเข้าไปอยู่ในหุ่นคล้ายกับกวาง ซึ่งไท ใหญ่เรียกว่า โต เป็นสัตว์ในนิยายในสมัยพระพุทธกาล จากนั้นก็จะเต้นรำไปตามจังหวะกลองก้นยาว อย่างน่าสนุกสนาน ซึ่งการฟ้อนนกและโตนี้ ส่วนใหญ่จะนิยมฟ้อนและรำในช่วงงานวันออกพรรษา เนื่องจาก ชาวไทใหญ่มีความเชื่อ ว่า นก โต เป็นสัตว์ที่ได้ร่วมถวายการฟ้อนรำแด่พระพุทธเจ้าในช่วงวันออกพรรษา กล่าวกันว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากการเทศนาธรรมให้แก่พระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาสู่โลก มนุษย์ หรือที่เรียกว่าวันพระเจ้าเปิดโลกซึ่งตรงกับวันออกพรรษานั้น ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้พากันถวายการ ต้อนรับ ขณะที่สัตว์น้อยใหญ่ เช่น เสือ สิงห์ ช้าง ลิง นก นกกิ่งนะหร่า กิ่งนะหรี่ โต ก็ได้พากันมาถวายการฟ้อน รำด้วย เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ชาวไทใหญ่ จึงได้ยึดถือเอาเหตุการณ์นั้นนำมาปฏิบัติสืบทอดกันมา ปัจจุบัน การฟ้อนรำ นก โต ได้เริ่มเผยแพร่เข้าสู่สังคมไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัด เชียงใหม่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน ซึ่งสามารถพบเห็นในงานหรือการเดินขบวนทั่วไป ทั้งนี้ เนื่องจากตลอด ช่วง 10 – 15 ปีมานี้ ในภาคเหนือของไทยมีชนชาวไทใหญ่อพยพเข้ามาอยู่มากขึ้น และการฟ้อนรำ นก โต ได้ มีการนำเข้าไปสอนตามโรงเรียนหลายแห่งของไทย รำนก – รำโต เป็นศิลปะการแสดงฟ้อนรำของชาวไทใหญ่ ที่มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา นาน รำนก-รำโตเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อสมัยพุทธกาลตามตำนาน ในวันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ หลังเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในวันนั้นสัตว์ทั้งสามโลก จะสามารถมองเห็นกันได้ ทั้งหมด มีเทวดา มนุษย์ และสัตว์ในป่าหิมพานต์ พากันมาเฝ้ารับเสด็จ เพื่อทำบุญใส่บาตร พระพุทธเจ้า ที่มี เป็นจำนวนมาก ในกาลครั้งนั้นมีนกกินรี (นางนก) หรือกิ่งกะหร่า เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์จำพวก หนึ่ง ที่มีรูปร่างลักษณะแปลกคือ ลักษณะครึ่งมนุษย์ ครึ่งสัตว์ปีก ได้ออกมารำแพนหรือฟ้อนรำ เพื่อถวาย พระพุทธเจ้า โตเป็นสัตว์อีกชนิดที่อยู่ในป่าหิมพานต์ โตมีรูปร่างลักษณะแปลกคือ มีลักษณะสัตว์หลายๆชนิด ร่วมอยู่ในร่างเดียว มีตัวเหมือนสิงโต มีหัวเหมือนกวาง มีหางเหมือนเยือง(เลียงผา) ได้ออกมาฟ้อน (ก้าโต) รับ เสด็จเพื่อถวายพระพุทธเจ้าเช่นกัน ปัจจุบันการรำนก-รำโต ถือได้ว่าเป็นการฟ้อนรำเอกลักษณ์วัฒนธรรมประ เพณึของชาวไทใหญ่ เมื่อมีงานประเพณีต่างๆของชาวไทใหญ่ก็จะนำนก-โต ออกมาร่ายรำ สร้างความ สนุกสนานในงานพิธีนั้นๆ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๔ ภาพที่ 76 รำนก – รำโต ❖ จากการต่อสู้อย่างไต ก้าในภาษาไทใหญ่ หรือ ไต แปลว่า "ฟ้อน" การ "ก้าลาย" เป็นการฟ้อนรำที่ประยุกต์มาจาก การต่อสู้ด้วยมือเปล่า ส่วน "ก้าแลว" ก็คือ การฟ้อนดาบ ในสมัยก่อนคนเฒ่าคนแก่เขาเรียก การก้าลายว่า “ก้าหมอกตีนหมอกมือ” ซึ่งท่านได้เล่า ตำนานที่เกี่ยวกับการก้าลายว่า องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงเสด็จกลับจากโปรดพุทธมารดาบนสรวงสวรรค์ เมื่อพระพุทธเจ้ากลับคืนสู่โลกมนุษย์ประชาชนต่างชื่นชมยินดีและจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลองต่าง ๆ และในงาน เทศกาล ซึ่งมีการ ก้าลาย ก้าแลว ก้าโต ฟ้อนรำนกกิ่งกะหล่า ใช้ดนตรีกลองมองเซิงและกองก้นยาว การก้าลายส่วนมากจะแสดงในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ปอยเหลินสิบเอ็ด ช่วงที่กำลังแห่จอง พารา ซึ่งเป็นการร่ายรำที่อ่อนช้อยสวยงาม สำหรับการก้าลายนี้สามารถก้า(ฟ้อน)ได้ทุกวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึง คนชรา การก้าลาย เป็นการแสดงที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและเป็นเอกลักษณ์ ของชาวไทใหญ่ในจังหวัด แม่ฮ่องสอน ซึ่งได้มีการประยุกต์ท่าทางของการต่อสู้มาเป็นศิลปะการร่ายรำที่สวยงามมาจนถึงปัจจุบัน ภาพที่ 77 ก้าลาย ภาพที่ 78 ก้าแลว ❖ ฟ้อนไต ฟ้อนไต เป็นศิลปะการฟ้อนของชาวพื้นเมืองเหนือที่ได้รับอิทธิพลมาจากชนชาติไทใหญ่ ฟ้อน กันทั่วไปแถบ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดเชียงใหม่ที่มีชาวพื้นเมืองที่สืบเชื้อสายมาจากชนชาติไทใหญ่มา แต่เดิม ซึ่งมีการฟ้อนโดยทั่วไปทั้งชายและหญิง ผู้แสดง ใช้ผู้หญิงแสดง ฟ้อนเป็นชุด ชุดหนึ่งประมาณ 12 คน หรือมากกว่านั้น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๕ การแต่งกาย นุ่งผ้าซิ่นไหมสีต่าง ๆ หรือนุ่งผ้าซิ่นที่มีดอกสดใส ยาวกรอมเท้า ใช้พับ ข้างหน้าแล้วขมวดเหน็บเอวข้างซ้ายหรือขวาตามถนัด เสื้อแขนยาวทรงกระบอก ตัวสั้นแค่เอวหรือสูงกว่าเอว เล็กน้อย ด้านหน้าป้ายข้างเป็นลักษณะเสื้อไต (หรือเสื้อพม่า) ติดกระดุม 3 เม็ด เกล้ามวยผมทรงสูงแล้วปล่อย ชายผมลงมาไว้ข้าง ๆ มีผ้าคล้องคอยาว ๆ ปล่อยชายไว้ทั้ง 2 ข้าง วิธีแสดงและการฟ้อน วิธีแสดงฟ้อนไตนั้น ผู้ฟ้อนจะยืนเรียงแถวแล้วฟ้อนเช่นเดียวกับ ฟ้อนเมืองของพื้นเมืองเหนือ ท่าที่ใช้ฟ้อนเป็นลักษณะของไทใหญ่ ต่อมานายแก้ว และนางละหยิ่น ทองเขียว ได้ใช้ท่าแม่บทของภาคกลางมาประกอบ และเรียงลำดับท่าการฟ้อนให้ต่อเนื่องกันเพื่อความสวยงาม ดนตรีประกอบ ดนตรีที่ใช้ประกอบการฟ้อน ถ้าเป็นการฟ้อนไตโดยทั่วไปจะใช้วงกลองมอง เซิงสำหรับการฟ้อนไตที่แม่ฮ่องสอนใช้วงดนตรีของไทใหญ่ และเพลงไทใหญ่ ประกอบการฟ้อน ไม่มีการขับร้อง เครื่องดนตรีมีดังนี้ 1. กลอง (กลองเมา) 2. ฆ้องแผง (มองวาย) 3. ระนาดเหล็ก (ป้าดเหล็ก) 4. แน (แนยี แนแวง แนแหง่) 5. ฉิ่ง ฉาบ กรับ 6. เป่าใบไม้ ฯลฯ โอกาสที่แสดง ใช้แสดงในงานมลคลโดยทั่วไป ฟ้อนไตในปัจจุบันใช้ผู้ฟ้อนเป็นหญิงล้วน นุ่งผ้าซิ่นไหมสีต่าง ๆ ที่มีดอกสดใส เสื้อแขนยาว ทรงกระบอก ตัวสั้น ด้านหน้าป้ายข้างเป็นลักษณะเสื้อไต (ไทใหญ่) ซึ่งมีลักษณะเหมือนเสื้อพม่า ดนตรีที่ใช้ ประกอบการฟ้อนนั้น โดยทั่วไปจะใช้วงมองเซิง แต่เฉพาะในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะใช้วงดนตรีของไทใหญ่และ ใช้เพลงไทใหญ่ ภาพที่ 79 ฟ้อนไต ❖ ลิเกจ้าดไต ประวัติความเป็นมา จ้าดไตเป็นการแสดงที่ สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ องค์ประกอบจ้าดไต คล้ายกับคณะลิเกของภาคกลาง ประกอบด้วยชุดนักแสดง ชุดดนตรี มีฉาก เวที มีการแต่ง กายตามท้องเรื่องที่แสดง การแสดงจะเริ่มด้วยพิธีไหว้ครู มีเครื่องเซ่นไหว้ตามประเพณีไต (ไทใหญ่)
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๖ ประกอบด้วยกล้วย มะพร้าว หมาก พลู บุหรี่ เมี่ยง ผ้าขาว เทียน ธูป บรรจุไว้ในสะตวง เมื่อหัวหน้าคณะหรือผู้ อาวุโสในคณะทำพิธีไหว้ระลึกถึงครูสุระคติ ( วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสดงเคารพนับถือ) เสร็จแล้วมีการร่ายรำ เป็นชุดเพื่อบูชาครู การแสดงหลังจากนั้นจะมีการร้องเพลงโดยนักร้องของคณะสับเปลี่ยนกันออกมาร้องเพลง ส่วนใหญ่จะเป็นการร้องแสดงความชื่นชมต่องานที่จัด ขอบคุณผู้ชม ต่อจากนั้นก็จะเป็นการแสดงตามเนื้อเรื่อง เรื่องที่ใช้แสดงส่วนใหญ่จะเป็นชาดกในพระพุทธศาสนา เช่น เวสสันดรชาดก ทศชาติหรือเรื่องในวรรณคดี หรือ เรื่องที่คิดขึ้นใหม่ให้ทันเหตุการณ์ปัจจุบัน มักพูดเรื่องให้มีคติสอนใจ การละเล่นจ้าดไต เริ่มแรกมาจากชนเผา พม่าและเป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวพม่า แต่ปัจจุบันไทใหญ่นำมาประยุกต์เข้ากับศีลปะของตนเอง ซึ่ง เรียกว่า “ลิเกไต หรือลิเกไทใหญ่” ลิเกไทใหญ่ ๑ คณะมีผู้คนเล่นลิเกถึง ๔๐ คน คนตีกลองมีทั้งหมด ๑๐ คน แต่ละคนจะแต่งชุด “อลอง” ไทใหญ่หรือบทบาทที่ได้รับในงาน จะเหมือนการแสดงลิเกทั่วไปคือ พระเอก นางเอก ตัวผู้ร้าย คนดี ต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับบทบาทและการเล่นจะเล่นเกี่ยวกับละครจากตำราต่าง ๆ เช่น เรื่อง ผีดอยเงิน, แม่หมามีลูกเป็นคน เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในชาติต่าง ๆ เป็นเรื่องๆ ไป ระยะเวลาในการฝึกจะ ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่บทบาทที่ได้รับคนที่เคยแสดงบ่อย ๆ ไม่ต้องฝึกการร้อง การแสดงหรือรำมาก สำหรับ คนที่ไม่เคยแสดงต้องมีการฝึกในการร้องรำมากกว่าคนเคยฝึกเป็นประจำ ภาพที่ 80 ลิเกจ้าดไต 7.3 การละเล่นพื้นบ้าน การละเล่นนันทนาการของไทใหญ่มีตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ การละเล่นของเด็ก เช่น ม้าโต้งต้าง ม้าก๊อบ แก็บ ตี่วิ่งไล่จับ ซ่อนหา ส่วนการละเล่นของผู้ใหญ่ เช่น การเล่นมะขี้ลุง (ตะกร้อ) หมากหนิม หมากข่าง หมาก นิมโท โดยเอาลูกสะบ้ามาทอยแข่งกัน ใครทอยหรือดีดให้ลูกสะบ้าออกนอกเขตเส้นมากเป็นผู้ชนะ อุปกรณ์และวิธีเล่น อุปกรณ์ สะบ้าจำนวนเท่ากับผู้เล่น ๑๐ – ๑๖ ลูก สถานที่ ลานดินกว้างขนาด ๕ x ๑๐ เมตร วิธีเล่น ๑. แบ่งผู้เล่นเป็น ๒ ข้าง ไม่ควรเกินข้างละ ๕ คน ผู้เล่นแต่ละข้างจะตั้งสะบ้าของตนเป็นแถวหน้า กระดานตามจำนวนผู้เล่น ๒. ก่อนลงมือเล่นจะต้องเสี่ยงทายหาผู้ชนะ เพื่อจะได้เล่นก่อน ฝ่ายแพ้จะต้องเป็นฝ่ายตั้งลูกห่างกัน ระหว่างลูก ๕ เซนติเมตร
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๗ ๓. ฝ่ายชนะเริ่มเล่นครั้งที่ ๑ จะเป็นการโยนหรือเรียกว่า เส (เส คือ การบังคับลูกสะบ้า โดยมือซ้าย จับลูกสะบ้า ใช้นิ้วมือขวาสอดบังคับดีดพร้อมโยนลูกสะบ้าไปข้างหน้า) โดยยืนให้ห่างจากแถวสะบ้าประมาณ ๔ – ๕ เมตร แล้วโยนสะบ้าของตนไปให้ถูกสะบ้าของฝ่ายตรงข้ามให้กระเด็นอย่างน้อย ๑ ศอก และจะต้องไม่ โดนลูกอื่นด้วย หากโดนลูกอื่นจะถูกปรับเป็นแพ้ แล้วให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายเล่นแทน ๔. ถ้าสามารถเอาชนะการเล่นครั้งที่ ๑ ได้การเล่นครั้งที่ ๒ จะเปลี่ยนจากการโยนไปสู่การเขี่ย เรียกว่า ปี๊ด โดยใช้เท้าส่วนนิ้วก้อยเขี่ยลูกจากอีกด้าน ๓ ครั้ง ให้ไปถูกสะบ้าที่ตั้งไว้ และให้กระเด็นเกินศอกให้ ได้ทั้งหมด ๕. การเล่นครั้งที่ ๓ เรียกว่า เล็ด จะเล่นโดยวางลูกสะบ้ากับพื้น แล้วใช้นิ้วมือนิ้วชี้จับปลายนิ้วดึง แล้วปล่อยให้ถูกลูกสะบ้าแล่นไปบนพื้น ๓ ครั้ง ให้ถูกลูกสะบ้าที่ตั้งและกระเด็นออกไปให้ไกลเกินกว่าจะเอา ศอกวัดได้ ถ้าลูกล้มและเอาศอกวัดได้ก็จะเป็นฝ่ายแพ้ หยุดการเล่นเปลี่ยนให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นต่อไป ๖. เมื่อผ่านการ เล็ด ได้แล้ว จะเป็นการเล่นครั้งที่ ๔ เรียกว่า เสออกวา คือ การเสโดยบอกว่าจะเส ลูกไหนให้กระเด็นให้เกินวาได้ ถ้าเสผิดก็จะต้องหยุดเล่น ๗. เมื่อเสออกวาจนครบแล้วก็จะถึงตาสุดท้าย คือ นำลูกใดลูกหนึ่งของอีกฝ่ายไปตั้งที่ไหนก็ได้ แล้ว ใช้สะบ้าของตนดีดลูกนั้นให้กระเด็นออกไปให้ไกลเกินกว่า ๑ วา ทำแบบตัวต่อตัว ฝ่ายใดทำผ่านทุกขั้นตอน ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะการเล่น โอกาสที่เล่น นิยมเล่นในเทศกาลสงกรานต์ ขึ้นปีใหม่ ภาพที่ 81 การเล่นสะบ้า
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๘ บรรณานุกรม โกศล ศรีมณี. ประเพณีไต. ม.ป.ท., ม.ป.ป. จันทกานต์ สิทธิราช, ธนพร หมูคำ, ศรีวิไล พลมณี, และ ประเทือง ทินรัตน์. (2564, มกราคม-มิถุนายน). การ เชียงใหม่: เจริญวัฒน์การพิมพ์ ดำรงอยู่ของอัตลักษณ ์ ชาติพันธุ์ไทใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน. วารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ 40(1). สืบค้นจาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/huru/article/view/252610 พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ. (2553). ไทยใหญ่. คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ภูเดช แสนสา(2565):การสักทั้งตัวของชายชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน:ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร(องค์การมหาชน): https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/371:1 กุมภาพันธ์ 2566 สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2558). ไทใหญ่ ความเป็นใหญ่ในชาติพันธุ์. เอกสารวิชาการ ศูนย์ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน. (2549). ประวัติวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน. (พิมพ์ครั้งที่ 1). สุณี เขื่อนแก้ว, ประสิทธิ์ วังภคพัฒนวงศ์ และ อรุโณทัย จำปีทอง. (2556). ความสัมพันธ์ของวิถีชีวิตชาว ไทใหญ่กับความหลากหลายทางชีวภาพสู่ภูมิปัญญาท้องถิ่น. วารสารวิทยาศาสตร์ มช. 41(2). 299- 308 สืบค้นจาก https://scijournal.kku.ac.th/files/Vol_41_No_2_P_298-308.pdf เสน่ห์เวียงแหง. (2566). สืบค้นจากhttps://sanaywienghang.wordpress.com/กุ๊บไต/
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๖๙ ภาคผนวก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๐
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๑
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๒
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๓
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๔
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๕
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๖
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๗
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๘
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๗๙
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๐
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๑
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต ๓ โครงการรักถิ่นฐานผูกพันบ้านเกิด ๘๒