The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรวิทยาศาสตร์ ป.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by niramonchaiwong9, 2022-09-23 09:58:01

หลักสูตรวิทยาศาสตร์ ป.6

หลักสูตรวิทยาศาสตร์ ป.6

คำนำ

คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานโดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้
ดาเนนิ การทบทวนหลักสตู รการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2544 เพื่อพัฒนาไปสู่หลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 โดยนาข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาวิจัยดังกล่าวและข้อมูล
แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560–2564) มาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรให้มี
ความเหมาะสมชัดเจนย่ิงข้ึน ทั้งเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และกระบวนการนาไปสู่การ
ปฏิบตั ใิ นระดบั เขตพื้นทกี่ ารศกึ ษา และในระดบั สถานศกึ ษาพร้อมทั้งให้จัดทาสาระการเรียนรู้แกนกลาง
ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระในแต่ละระดับชั้นเพ่ือให้เขตพ้ืนท่ีการศึกษาหน่วยงานระดับ
ท้องถ่นิ และสถานศกึ ษาทจ่ี ัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐานได้นาไปใช้ในกรอบและทิศทางในการพัฒนาหลักสูตร
และการจดั การเรยี นการสอน

โรงเรียนสันติวนา ได้นาสาระการเรียนรู้แกนกลางของทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ในหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานและตัวชี้วัด กลุ่มสาระคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ.2560) มาเป็นกรอบและทิศทางในการพัฒนา
หลักสตู รและการจดั การเรยี นการสอน ตามเจตนารมณ์ของคณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน

ขอขอบคุณคณะผู้มีส่วนร่วมท้ังในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา คณะครู ผู้ปกครอง
ผู้ทรงคุณวฒุ ิ และผู้แทนชุมชน ซ่ึงช่วยให้การดาเนินการจัดทาเอกสารให้มีความสมบูรณ์และเหมาะสม
สาหรบั การจัดการเรยี นการสอนในแตล่ ะระดับชัน้ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการ
เรยี นรู้ และตัวชวี้ ดั ทกี่ าหนดในหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551

( นายวสันต์ หมืน่ สอน )
ผู้อานวยการโรงเรยี นสันติวนา

สารบญั หนา้

คานา 1
สารบัญ 2
ความนา 2
วิสัยทัศน์ 3
หลักการ 3
จุดหมาย 4
สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น 4
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 6
มาตรฐานการเรียนรู้ 7
โครงสรา้ งเวลาเรยี น โรงเรียนสันติวนา ระดบั ประถมศึกษา 8
โครงสรา้ งหลักสูตร โรงเรยี นสนั ตวิ นา ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 23
เกณฑ์การวดั และประเมินผลการเรยี น 26
คาอธบิ ายรายวิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 29
โครงสรา้ งรายวชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 49
ตวั ชีว้ ัดและสาระการเรยี นรู้ 52
ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวงั รายปี 57
อภิธานศัพท์
เอกสารอา้ งองิ

1

ความนา

กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดกลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ตามคาส่ังกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สพฐ. 1239/2560 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2560 และคาส่ังสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานที่ 30/2561 ลงวันที่ 5 มกราคม 2561 ให้เปลี่ยนแปลงมาตรฐาน
การเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ .2560)
โดยมีคาส่ังให้โรงเรียนดาเนินการใช้หลักสูตรในปีการศึกษา 2561 โดยให้ใช้ในช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1
และ 4 ตง้ั แต่ปกี ารศกึ ษา 2561 เป็นต้นมา ใหเ้ ปน็ หลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกาหนดจุดหมาย
และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรีย นมีพัฒนาการเต็ม
ตามศักยภาพ มีคุณภาพและมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและ
เป้าหมายของสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน

โรงเรียนสันติวนา จึงได้ทาการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระ
ภูมิศาสตรใ์ นกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และรวมถึงหลักสูตรในกลุ่มสาระ
อื่นๆ ไปพร้อมกันท้ังนี้เพื่อนาไปใช้ประโยชน์และเป็นกรอบในการวางแผนและพัฒนาหลักสูตรของ
สถานศกึ ษาและจดั การเรียนการสอน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ให้มีกระบวนการนา
หลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ โดยมีการกาหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะ
อนั พึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้ และตวั ช้วี ดั โครงสรา้ งเวลาเรยี น ตลอดจนเกณฑ์การวัดประเมินผล
ให้มีความสอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้โรงเรียนสามารถกาหนดทิศทางในการจัดทา
หลักสตู รการเรียนการสอนในแต่ละระดับตามความพร้อมและจดุ เนน้ ของโรงเรยี น โดยมกี รอบแกนกลาง
เป็นแนวทางท่ีชัดเจน มีความพร้อมในการก้าวสู่สังคมคุณภาพ มีความรู้อย่างแท้จริง และมีทักษะใน
ศตวรรษที่ 21

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดที่กาหนดไว้ในเอกสารนี้ ช่วยทาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุก
ระดบั เหน็ ผลคาดหวังท่ีตอ้ งการในการพัฒนาการเรยี นร้ขู องผเู้ รียนท่ีชัดเจนตลอดแนว ซึง่ จะสามารถช่วย
ใหห้ นว่ ยงานทเี่ กี่ยวข้องในระดับท้องถ่นิ และสถานศกึ ษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่างม่ันใจ ทาให้การ
จัดทาหลกั สตู รในระดับสถานศกึ ษามคี ณุ ภาพและมีความเปน็ เอกภาพยง่ิ ข้นึ ชว่ ยใหเ้ กิดความชัดเจนเร่ือง
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ช่วยแก้ปัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศึกษา ดังน้ันในการพัฒนา
หลกั สูตรในทกุ ระดับตั้งแตร่ ะดบั ชาติจนกระทงั่ ถึงสถานศกึ ษา จะต้องสะท้อนคุณภาพตามมาตรฐานการ
เรียนรู้และตัวช้ีวัด ที่กาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน รวมทั้งเป็นกรอบทิศทางใน
การจัดการศึกษาทกุ รปู แบบ และครอบคลมุ ผเู้ รียนทกุ กลุ่มเปา้ หมายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

2

การจัดหลกั สตู รการศึกษาขั้นพ้ืนฐานจะประสบความสาเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังได้ ทุกฝ่าย
ที่เก่ียวข้องท้ังระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทางานอย่างเป็น
ระบบ และต่อเน่ือง ในการวางแผน ดาเนินการ ส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข
เพ่อื พัฒนาเยาวชนของชาตไิ ปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรยี นร้ทู ก่ี าหนดไว้

วิสัยทศั น์

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสันติวนา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลทั้งด้าน
ร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มีจติ สานกึ ในความเปน็ พลเมอื งไทยและเป็นพลโลกยึดมั่นในการปกครองตาม
ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ังเจตคติท่ี
จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบน
พ้ืนฐานความเช่ือว่า “ทกุ คนสามารถเรียนรูแ้ ละพัฒนาตนเองได้เตม็ ตามศักยภาพ”

หลักการ

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสันติวนา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 มีหลักการทีส่ าคัญ ดงั น้ี

1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้
เป็นเป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณธรรม บนพื้นฐานของ
ความเป็นไทยควบค่กู บั ความเป็นสากล

2. เปน็ หลักสูตรการศกึ ษาเพ่ือปวงชน ทปี่ ระชาชนทุกคนมีโอกาสได้รบั การศกึ ษาอยา่ งเสมอภาค
และมคี ุณภาพ

3. เปน็ หลกั สูตรการศกึ ษาท่ีสนองการกระจายอานาจ ให้สงั คมมสี ่วนร่วมในการจดั การศึกษา ให้
สอดคลอ้ งกบั สภาพและความตอ้ งการของท้องถ่ิน

4. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีมีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ
เรยี นรู้

5. เป็นหลกั สูตรการศึกษาท่ีเน้นผ้เู รยี นเปน็ สาคญั
6. เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาสาหรบั การศกึ ษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัยครอบคลุมทุก
กล่มุ เปา้ หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรแู้ ละประสบการณ์

3

จดุ หมาย

หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนสันตวิ นา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนา
ผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็น
จุดหมายเพื่อให้เกดิ กบั ผู้เรียน เมื่อจบการศึกษา ดังนี้

1. มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน
ตามหลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ ยึดหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

2. มคี วามรู้ความสามารถในการสอ่ื สาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี มีทักษะชีวิต
3. มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ท่ีดี มสี ขุ นิสัยและรกั การออกกาลังกาย
4. มคี วามรกั ชาติ มจี ติ สานกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและพลเมืองโลก ยดึ มน่ั ในวิถีชีวิตและการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุข
5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และการพัฒนา
ส่ิงแวดล้อม มีจิตสาธารณะท่ีมุ่งทาประโยชน์และสร้างส่ิงที่ดีงามในสังคม และการอยู่ร่วมกันในสังคม
อย่างมีความสุข

สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสันติวนา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 มงุ่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการดงั นี้

1. ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้
ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปล่ียนข้อมูล
ขา่ วสารและประสบการณอ์ ันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ังการเจรจาต่อรอง
เพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสาร ด้วยหลักเหตุผล และ
ความถกู ตอ้ ง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการส่ือสาร ท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีมีต่อตนเอง
และสงั คม

2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด
อย่างสร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกย่ี วกับตนเองและสังคมไดอ้ ย่างเหมาะสม

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ญั หาและอุปสรรคต่างๆ ท่ีเผชิญ
ไดอ้ ย่างถูกต้องเหมาะสมบนพน้ื ฐานของหลกั เหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์
และการเปลย่ี นแปลงของเหตกุ ารณต์ ่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน
และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม
และสิ่งแวดล้อม

4

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่างๆ ไปใช้ใน
การดาเนินชีวติ ประจาวัน การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง การเรยี นรู้อยา่ งตอ่ เนื่อง การทางานและการอยู่ร่วมกัน
ในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ
อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จัก
หลกี เลี่ยงพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ทส่ี ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผ้อู ่นื

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลือก และใชเ้ ทคโนโลยีด้านต่างๆ
และมีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพอื่ การพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร
การทางาน การแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม

คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์

หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน มุง่ พัฒนาผเู้ รยี นให้มีคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ เพ่ือให้
สามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อื่นในสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสุข ในฐานะเปน็ พลเมอื งไทยและพลโลก ดงั นี้

1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
2. ซ่อื สตั ยส์ จุ ริต
3. มีวนิ ัย
4. ใฝเ่ รยี นรู้
5. อยอู่ ยา่ งพอเพียง
6. มงุ่ มั่นในการทางาน
7. รักความเป็นไทย
8. มจี ติ สาธารณะ

มาตรฐานการเรียนรู้

การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน จงึ กาหนดใหผ้ ้เู รียนเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ดังน้ี

1. ภาษาไทย
2. คณติ ศาสตร์
3. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
5. สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา
6. ศิลปะ
7. การงานอาชีพ
8. ภาษาตา่ งประเทศ

5

ในแตล่ ะกลมุ่ สาระการเรียนรู้ได้กาหนดมาตรฐานการเรยี นรเู้ ป็นเป้าหมายสาคัญของการพัฒนา
คุณภาพผูเ้ รยี น มาตรฐานการเรียนรู้ระบุส่ิงท่ีผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์
อย่างไร เมื่อจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสาคัญในการ
ขบั เคล่ือนพัฒนาการศกึ ษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะ
สอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพ่ือการประกันคุณภาพ
การศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซ่ึงรวมถึงการ
ทดสอบระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพ่ือประกันคุณภาพ
ดังกล่าวเป็นส่ิงสาคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่
มาตรฐานการเรียนรกู้ าหนดเพยี งใด

ระดบั การจัดการศึกษา
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นสนั ตวิ นา จัดระดบั การศกึ ษาภาคบงั คับ 2 ระดับ ดงั น้ี
1. ระดับประถมศึกษา (ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1–6) การศึกษาระดับนีเ้ ป็นช่วงแรกของการศึกษา
ภาคบังคับ มุ่งเน้นทักษะพื้นฐานด้านการอ่าน การเขียน การคิดคานวณ ทักษะการคิดพื้นฐาน การ
ตดิ ต่อสอ่ื สาร กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม และพ้ืนฐานความเป็นมนุษย์ การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่าง
สมบรู ณแ์ ละสมดลุ ทงั้ ในดา้ นร่างกาย สตปิ ัญญา อารมณ์ สงั คม โดยเน้นจดั การเรียนรแู้ บบบรู ณาการ
2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1–3) เป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาภาค
บงั คบั มุง่ เน้นให้ผเู้ รยี นไดส้ ารวจความถนดั และความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพส่วน
ตน มีทักษะในการคดิ วิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ และคิดแก้ปัญหา มีทักษะในการดาเนินชีวิต มีทักษะ
การใช้เทคโนโลยเี พื่อเปน็ เครื่องมอื ในการเรยี นรู้ มีความรับผิดชอบต่อสังคมมีความสมดุลท้ังด้านความรู้
ความคิด ความดีงาม และมีความภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนใช้เป็นพ้ืนฐานในการประกอบอาชีพ
หรอื การศกึ ษาต่อ

การจดั เวลาเรยี น
หลักสูตรสถานศกึ ษา โรงเรยี นสนั ตวิ นา กาหนดกรอบโครงสรา้ งเวลาเรยี นสาหรับกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ 8 กล่มุ และกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน ตามบริบทของสถานศึกษาและสภาพของผเู้ รียน ดังน้ี
1. ระดับช้ันประถมศึกษา (ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1–6) จัดเวลาเรียนเป็นรายปี โดยมีเวลาเรียน
วันละ 6 ชว่ั โมง
2. ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1–3) จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มีเวลา
เรยี นวันละ 6 ชัว่ โมง คิดน้าหนกั ของรายวิชาท่ีเรียนเป็นหน่วยกิต ใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมงต่อภาคเรียนมีค่า
นา้ หนกั วิชา เท่ากบั 1 หน่วยกติ (นก.)

6

โครงสรา้ งเวลาเรยี น โรงเรยี นสนั ตวิ นา พุทธศักราช 2565
ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ปรบั ปรงุ 2560)

โครงสรา้ งเวลาเรยี นระดบั ประถมศึกษา

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้/ กิจกรรม เวลาเรยี น ป. 6
ระดับประถมศึกษา
กลุม่ สาระการเรียนรู้ ป. 1 ป. 2 ป. 3 ป. 4 ป. 5
ภาษาไทย
คณิตศาสตร์ 200 200 200 160 160 160
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 200 200 200 160 160 160
สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม 80 80 80 80 80 80
ประวตั ิศาสตร์ 40 40 40 80 80 80
สุขศกึ ษาและพลศึกษา 40 40 40 40 40 40
ศิลปะ 40 40 40 80 80 80
การงานอาชีพ 40 40 40 80 80 80
ภาษาตา่ งประเทศ 40 40 40 80 80 80
รวมเวลาเรยี น(พนื้ ฐาน) 160 160 160 80 80 80
กจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น 840 840 840 840 840 840
1. กิจกรรมแนะแนว 120 120 120 120 120 120
2. ลกู เสอื – เนตรนารี 40 40 40 40 40 40
3. กิจกรรมสง่ เสรมิ 40 40 40 40 40 40
จรยิ ธรรม /ชุมนมุ
4. กิจกรรมเพ่ือสังคม 40 40 40 40 40 40
และสาธารณประโยชน์
รายวิชาเพ่ิมเติม --- - - -
1. หน้าที่พลเมอื ง
2. ภาษาอังกฤษเพิม่ เตมิ 80 ชั่วโมง
3. อาหารและโภชนาการ
รวมเวลาเรยี นท้งั หมด 40 40 40 40 40 40

40 40 40

40 40 40

1,000 ชว่ั โมง/ปี 1,040 ช่วั โมง/ปี

7

โครงสรา้ งหลักสตู รสถานศกึ ษา โรงเรยี นสนั ติวนา พุทธศักราช 2565
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรบั ปรงุ 2560)

ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6

รายวิชา/กิจกรรม เวลาเรียน (ช่วั โมง/ปี) จานวนหนว่ ยกติ
รายวิชาพ้ืนฐาน 840
ท 16101 ภาษาไทย 160 4.0
ค 16101 คณิตศาสตร์ 160 4.0
ว 16101 วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 80 2.0
ส 16101 สงั คมศกึ ษา 80 2.0
ส 16102 ประวตั ศิ าสตร์ 40 1.0
พ 16101 สุขศกึ ษาและพลศึกษา 80 2.0
ศ 16101 ศิลปะ 80 2.0
ง 16101 การงานอาชพี 80 2.0
อ 16101 ภาษาองั กฤษ 80 2.0
รายวิชาเพิ่มเตมิ 80
ง 16201 อาหารและโภชนาการ 80 2.0
ส 16201 หนา้ ท่พี ลเมือง 40 1.0
กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น 120
กจิ กรรมแนะแนว 40 -
กจิ กรรมลกู เสอื – เนตรนารี/ยุวกาชาด 40 -
กิจกรรมบาเพญ็ ประโยชน์ - -
กิจกรรมชุมนุม 40 -
1,040 24 หนว่ ยกติ
รวมเวลาทั้งส้ิน

*หมายเหตุ กจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์ โรงเรยี นจัดบรู ณาการในกิจกรรมของโรงเรยี น
ทัง้ ในและนอกเวลาเรียน

8

เกณฑก์ ารวัดและประเมินผลการเรยี นและการจบหลักสตู ร

หลกั การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนสันติวนา ตามหลักสูตร

แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2560) เป็นกระบวนการเก็บรวบรวม
ตรวจสอบ ตคี วามผลการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านต่างๆ ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
ของหลกั สูตร นาผลไปปรับปรงุ พัฒนาการจัดการเรียนรู้และใช้เป็นข้อมูลสาหรับการตัดสินผลการเรียน
โรงเรยี นสันตวิ นา มกี ระบวนการจัดการทีเ่ ป็นระบบ เพ่อื ให้การดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
เป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ ผลการประเมินตรงตามสภาพความรู้ ความสามารถที่แท้จริง
ของผู้เรียน ถกู ต้องตามหลกั การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ รวมท้งั สามารถรองรับการประเมินภายใน
และการประเมินภายนอก ตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาได้ โรงเรียนสันติวนา จึงได้กาหนด
หลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล
การเรียนรขู้ องสถานศึกษาดงั น้ี

1. สถานศกึ ษาเปน็ ผู้รับผดิ ชอบการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย
ท่ีเก่ยี วขอ้ งมสี ่วนรว่ ม

2. การวัดและประเมินผลการเรียนรตู้ อ้ งสอดคลอ้ งและครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด
ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีกาหนดในหลักสูตรและจัดให้มีการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตลอดจนกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น

3. การประเมนิ ผู้เรยี นพจิ ารณาจากพัฒนาการของผเู้ รยี น ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรม
การเรียนรู้ การรว่ มกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสม
ของแตล่ ะระดับและรปู แบบการศึกษา

4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนการสอนต้อง
ดาเนินการดว้ ยเทคนิควธิ ีการท่ีหลากหลาย เพือ่ ใหส้ ามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างรอบด้านท้ัง
ด้านความรู้ ความคิด กระบวนการ พฤติกรรมและเจตคติ เหมาะสมกับ ส่ิงท่ีต้องการวัด ธรรมชาติวิชา
และระดับชั้นของผเู้ รยี นโดยตั้งอย่บู นพ้นื ฐานความเท่ียงตรง ยุติธรรมและเชื่อถอื ได้

5. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ มจี ดุ ม่งุ หมายเพ่ือปรับปรงุ พัฒนาผู้เรียน พัฒนาการจัดการเรียนรู้
และตัดสินผลการเรียน

6. เปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นและผมู้ ีสว่ นเกย่ี วขอ้ งตรวจสอบผลการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
7. มีการเทียบโอนผลการเรยี นระหวา่ งสถานศกึ ษาและรปู แบบการศึกษาต่างๆ
8. มีการจดั ทาเอกสารหลักฐานการศึกษา เพ่ือเป็นหลักฐานการประเมินผลการเรียนรู้รายงาน
ผลการเรียน แสดงวฒุ กิ ารศกึ ษาและรับรองผลการเรยี นของผเู้ รยี น

9

การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพ้ืนฐานสองประการ คือ การ

ประเมินเพ่ือพัฒนาผู้เรียนและเพ่ือตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้
ประสบผลสาเร็จนน้ั ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวช้ีวัดเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐาน
การเรยี นรู้ สะทอ้ นสมรรถนะสาคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซ่ึงเป็นเป้าหมายหลักใน
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับช้ันเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขต
พน้ื ท่ีการศึกษา และระดับชาติ การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
โดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศท่ีแสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสาเร็จ
ทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา และ
เรยี นรอู้ ยา่ งเต็มตามศกั ยภาพการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้น
เรียน ระดับสถานศกึ ษา ระดับเขตพ้นื ที่การศกึ ษา และระดบั ชาติ มรี ายละเอียด ดังนี้

1. การประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้
ผู้สอนดาเนินการเป็นปกติและสม่าเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่าง
หลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/
ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเปน็ ผูป้ ระเมนิ เองหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
ประเมินตนเอง เพื่อนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีที่ไม่ผ่านตัวชี้วัดให้มีการสอนซ่อม
เสริมการประเมินระดบั ชนั้ เรยี นเป็นการตรวจสอบวา่ ผูเ้ รยี นมีพฒั นาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อัน
เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่และมากน้อยเพียงใด มีส่ิงที่จะต้องได้รับการ
พฒั นาปรบั ปรุงและส่งเสริมในดา้ นใด นอกจากนีย้ ังเป็นขอ้ มลู ใหผ้ ้สู อนใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนของ
ตนด้วย ทง้ั น้โี ดยสอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นร้แู ละตวั ชี้วดั

2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินที่สถานศึกษาดาเนินการเพ่ือตัดสินผลการ
เรยี นของผเู้ รยี นเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน นอกจากนเ้ี พ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมูลเก่ยี วกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
วา่ สง่ ผลตอ่ การเรียนร้ขู องผ้เู รยี นตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรยี นมีจุดพัฒนาในดา้ นใด รวมทั้งสามารถนาผล
การเรียนของผเู้ รยี นในสถานศึกษาเปรียบเทยี บกับเกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมนิ ระดับสถานศกึ ษา จะ
เปน็ ข้อมูลและสารสนเทศเพือ่ การปรบั ปรุงนโยบาย หลักสตู ร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน
ตลอดจนเพ่ือการจัดทาแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกันคุณภาพ
การศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษาสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษา สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน ผปู้ กครองและชมุ ชน

3. การประเมินระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่
การศกึ ษาตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน เพ่ือใชเ้ ปน็ ข้อมูลพื้นฐาน

10

ในการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดาเนินการ
โดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานที่จัดทาและดาเนินการโดยเขตพื้นที่
การศึกษา หรอื ด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัด ในการดาเนินการจัดสอบ นอกจากนี้ยังได้จาก
การตรวจสอบทบทวนขอ้ มูลจากการประเมินระดบั สถานศกึ ษาในเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษา

4. การประเมนิ ระดับชาติ เป็นการประเมินคณุ ภาพผเู้ รียนในระดบั ชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 3 ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการ
ประเมนิ ผลจากการประเมินใชเ้ ป็นข้อมูลในการเทียบเคยี งคุณภาพการศกึ ษาในระดับต่างๆ เพื่อนาไปใช้
ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในระดับ
นโยบายของประเทศ

เกณฑก์ ารวดั และประเมินผลการเรียนรู้
1. ระดบั ประถมศกึ ษา
1.1 การตัดสินผลการเรยี น
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ได้กาหนดโครงสร้าง เวลา

เรียน มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และ
กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียน ทส่ี ถานศึกษาตอ้ งจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีคุณภาพเต็มตามศักยภาพและให้
สถานศึกษากาหนดหลักเกณฑ์การวดั และประเมินผลการเรียนรเู้ พือ่ ตดั สินผลการเรยี นของผูเ้ รียน ดงั นี้

1) ผู้เรียนตอ้ งมีเวลาเรียนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรยี นทง้ั หมด
2) ผเู้ รยี นตอ้ งได้รบั การประเมนิ ทุกตวั ชีว้ ัด และผ่านตามเกณฑท์ ่ีสถานศึกษากาหนด
3) ผ้เู รียนตอ้ งได้รบั การตัดสินผลการเรียนทกุ รายวชิ า
4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา
กาหนด ในการอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขียน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
1.2 การให้ระดับผลการเรยี น
สถานศกึ ษาตอ้ งกาหนดเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน ซึ่งสามารถอธิบายผลการตัดสิน
ว่าผู้เรยี นต้องมีความรู้ ทกั ษะและคณุ ลักษณะโดยรวมอยู่ในระดบั ใด จึงจะยอมรับวา่ ผา่ นการประเมนิ
การตัดสินผลการเรยี นรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถให้ระดับ
ผลการเรียน 8 ระดบั ระดบั ผลการเรียนต้ังแต่ 1 ข้ึนไป ถือว่าผ่านเกณฑ์ โดยมีแนวการให้ระดับผลการ
เรียนดงั น้ี

11

คะแนนร้อยละ ระดับผลการเรียน ความหมาย
ของผลการประเมนิ

80-100 4 ดเี ยี่ยม

75-79 3.5 ดมี าก

70-74 3 ดี

65-69 2.5 คอ่ นขา้ งดี

60-64 2 ปานกลาง

55-59 1.5 พอใช้

50-54 1 ผา่ นเกณฑข์ ้นั ต่า

0-49 0 ตา่ กว่าเกณฑ์

การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น

ใหร้ ะดับผลการประเมินเปน็ ผ่านและไมผ่ า่ น กรณีทผี่ ่านใหร้ ะดับผลการเรียนเป็นดีเยยี่ ม ดี และผ่าน

สถานศึกษากาหนดความหมายของผลการประเมนิ คณุ ภาพดเี ยี่ยม ดี และผ่าน ไดด้ งั น้ี

1) การประเมินอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียน

ดีเยยี่ ม หมายถงึ สามารถจับใจความสาคัญได้ครบถ้วน เขียนวิพากษ์วิจารณ์เขียน

สร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นประกอบอย่างมีเหตุผลได้ถูกต้อง

และสมบูรณ์ ใชภ้ าษาสภุ าพและเรียบเรียงไดส้ ละสลวย

ดี หมายถึง สามารถจับใจความสาคัญได้ เขียนวิพากษ์วิจารณ์และเขียน

สรา้ งสรรคไ์ ดโ้ ดยใช้ภาษาสภุ าพ

ผ่าน หมายถงึ สามารถจับใจความสาคัญและเขียนวพิ ากษ์วิจารณไ์ ดบ้ ้าง

2) การประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
ดีเยี่ยม หมายถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติจนเป็นนิสัยและนาไปใช้ใน

ชวี ติ ประจาวันเพ่อื ประโยชนส์ ุขของตนเองและสงั คม
ดี หมายถงึ ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพ่ือให้เป็น

ท่ยี อมรับของสงั คม
ผา่ น หมายถงึ ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขท่ีสถานศึกษา

กาหนด
การประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การ
ปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียนตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากาหนด และให้ผลการประเมินเป็นผ่าน
และไมผ่ า่ น

12

1.3 การเล่อื นชน้ั
สถานศึกษาสามารถกาหนดเกณฑ์การเลื่อนชั้น โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับเกณฑ์
การตดั สินผลการเรยี น ตลอดจนกาหนดเกณฑ์เกี่ยวกับการผ่านตัวชี้วัดให้ชัดเจน และประกาศให้ทราบ
ท่ัวกัน สถานศึกษาสามารถกาหนดเกณฑก์ ารเลื่อนช้ันได้ดังน้ี
1) ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดปีการศึกษาไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียน
ทง้ั หมด
2) ผู้เรียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทกุ ตวั ชว้ี ัดและผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด
3) ผเู้ รียนต้องไดร้ บั การตัดสินผลการเรยี นทกุ รายวิชา
4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษา
กาหนดในการอา่ น คิดวเิ คราะห์ และเขยี น คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น
การพจิ ารณาเลือ่ นชนั้ ถ้าผเู้ รียนมขี ้อบกพรอ่ งเพียงบางตัวชีว้ ดั ซ่ึงสถานศึกษาพิจารณา
เห็นวา่ สามารถพัฒนาและสอนซอ่ มเสริมได้ ใหอ้ ยใู่ นดุลยพินจิ ของสถานศกึ ษาที่จะผ่อนผนั ให้เล่ือนช้นั ได้
ในกรณีที่ผู้เรียนมีสติปัญญาและความสามารถดีเลิศ สามารถเรียนรู้ได้เร็วเป็นพิเศษ
สถานศึกษาอาจให้โอกาสผู้เรียนเลื่อนชั้นระหว่างปีการศึกษา โดยสถานศึกษาแต่งตั้งคณะกรรมการ
ประกอบด้วยคณะกรรมการบรหิ ารหลกั สูตรและวิชาการและผูแ้ ทนของเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาหรือต้นสังกัด
อย่างน้อย 1 คน เมอ่ื ผ้เู รยี นมคี ุณสมบัตคิ รบถ้วนตามเงื่อนไขทงั้ 3 ประการ ตอ่ ไปน้ี
1) มีผลการเรียนปีการศกึ ษาที่ผ่านมาและมผี ลการเรยี นระหว่างปอี ยใู่ นเกณฑ์ดเี ย่ียม
2) มวี ุฒภิ าวะเหมาะสมทจี่ ะเรียนในช้นั ท่สี งู ขนึ้
3) ผา่ นการประเมนิ ผลความรู้ความสามารถตามตัวชี้วัดรายปีท้ังหมดในภาคเรียนที่ 2
ปีปจั จบุ นั และภาคเรียนที่ 1 ของปีการศกึ ษาถัดไป
การอนุมัติให้เล่ือนไปเรียนช้ันสูงได้ 1 ระดับช้ันน้ี ต้องได้รับการยินยอมจากนักเรียน
และผูป้ กครองและตอ้ งดาเนนิ การให้เสรจ็ สน้ิ ภายในวันที่ 1 กนั ยายนของปีการศกึ ษาน้ัน
สาหรับในกรณีท่ีพบว่ามีผู้เรียนกลุ่มพิเศษประเภทต่างๆ ท่ีมีปัญหาในการเรียนรู้ ให้
สถานศกึ ษาดาเนนิ งานรว่ มกับสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษา/ศูนย์การศึกษาพิเศษจังหวัด/ศูนย์การศึกษา
พเิ ศษเขตการศึกษาหาแนวทางการแกไ้ ขและพัฒนา
1.4 การเรยี นซา้ ช้ัน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดว่า หากผู้เรียน
ไม่ผา่ นรายวิชาจานวนมากและมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับช้ันที่สูงข้ึน สถานศึกษา
อาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้าชั้นได้ ท้ังน้ีให้คานึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ความสามารถของ
ผู้เรียนเป็นสาคัญ

13

ผู้เรียนที่ไม่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์การอนุมัติเลื่อนช้ันเรียน สถานศึกษาจะต้องจัดให้
เรยี นซา้ ชน้ั

ในกรณีท่ีผู้เรียนขาดคุณสมบัติข้อใดข้อหน่ึง สถานศึกษาอาจใช้ดุลพินิจให้เล่ือนช้ันได้
หากพิจารณาเหน็ วา่

1) ผเู้ รียนมเี วลาเรียนไม่ถึงร้อยละ 80 อันเนื่องจากสาเหตุจาเป็นหรือเหตุสุดวิสัยแต่มี
คุณสมบตั ิตามข้ออื่นๆ ครบถ้วน

2) ผู้เรียนผ่านมาตรฐานและตัวชี้วัดไม่ถึงเกณฑ์ตามท่ีสถานศึกษากาหนดในแต่ละ
รายวชิ าและเหน็ ว่าสามารถสอนซอ่ มเสรมิ ได้ในปกี ารศกึ ษาถัดไปและมีคณุ สมบัตขิ ้ออื่นๆ ครบถ้วน

3) ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 มีผลการประเมินกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
และคณติ ศาสตร์อยู่ในเกณฑ์พอใช้และผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 มีผลการประเมินกลุ่มสาระการ
เรียนรภู้ าษาไทย คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมอยู่ในเกณฑ์ผ่าน

1.5 การสอนซอ่ มเสรมิ
การสอนซอ่ มเสริม เปน็ สว่ นหน่ึงของกระบวนการจัดการเรียนรู้และเป็นการให้โอกาส
แก่ผู้เรยี นไดม้ ีเวลาเรียนรูส้ ่ิงตา่ งๆ เพิม่ ขึ้น จนสามารถบรรลตุ ามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัดท่ีกาหนดไว้
การสอนซ่อมเสริมเป็นการสอนกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากการสอนตามแผนจัดการเรียนรู้ปกติเพื่อ
แก้ไขข้อบกพร่องที่พบในผู้เรียน โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย และคานึงถึงความแตกต่าง
ระหวา่ งบุคคลของผู้เรยี น
การสอนซ่อมเสรมิ สามารถดาเนินการได้ในกรณีดงั ต่อไปนี้
1) ผู้เรียนมีความรู้/ทักษะพื้นฐานไม่เพียงพอท่ีจะศึกษาในแต่ละรายวิชาน้ันควรจัด
การสอนซ่อมเสรมิ ปรบั ความรู้/ทกั ษะพน้ื ฐาน
2) การประเมินระหว่างเรียน ผู้เรียนไม่สามารถแสดงความรู้ ทักษะกระบวนการ
หรือเจตคติ /คณุ ลักษณะทกี่ าหนดไวต้ ามมาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชว้ี ดั
3) ผลการเรียนไม่ถึงเกณฑ์และ/หรือต่ากว่าเกณฑ์การประเมิน ต้องจัดการสอนซ่อม
เสริมกอ่ นจะให้ผเู้ รียนสอบแก้ตัว
4) ผเู้ รียนมผี ลการเรยี นไมผ่ ่าน สามารถจัดสอนซ่อมเสริมในภาคฤดูร้อน ท้ังน้ีให้อยู่ใน
ดลุ ยพนิ จิ ของสถานศึกษา
1.6 การจบระดับประถมศึกษา
1) ผเู้ รียนเรียนรายวชิ าพืน้ ฐานและรายวชิ า/กิจกรรมเพม่ิ เติม ตามโครงสร้างเวลาเรียน
ท่หี ลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานกาหนด
2) ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินรายวิชาพ้ืนฐานผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามท่ี
สถานศึกษากาหนด

14

3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับผ่านเกณฑ์การ
ประเมินตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนด

4) ผ้เู รียนมีผลการประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน
ตามท่สี ถานศกึ ษากาหนด

5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน
ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด

2. ระดับมธั ยมศึกษา
2.1 การตดั สนิ ผลการเรยี น
การตดั สินผลการเรียนในระดับมัธยมศึกษามีการตัดสินในหลายลักษณะ คือ การผ่าน

รายวิชากาหนดเป็นภาคเรียน การเล่ือนช้ันปีกาหนดเป็นปีการศึกษาและการจบระดับช้ันกาหนดเป็น
ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้นและระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย หลกั เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
เพอื่ ตัดสนิ ผลการเรยี นของผเู้ รียนตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 มดี งั น้ี

1) ตดั สนิ ผลการเรียนเป็นรายวิชา ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมดในรายวิชาน้ันๆ

2) ผ้เู รียนต้องไดร้ ับการประเมนิ ทกุ ตวั ชี้วัดและผา่ นตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด
3) ผู้เรยี นต้องได้รับการตดั สินผลการเรียนทกุ รายวิชา
4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา
กาหนดในการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี น คุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน
การพิจารณาเล่ือนชนั้ ถ้าผ้เู รียนมขี อ้ บกพรอ่ งเพียงบางตวั ชีว้ ัด ซ่งึ สถานศึกษาพิจารณา
เห็นวา่ สามารถพฒั นาและสอนซอ่ มเสริมได้ ใหอ้ ยใู่ นดุลยพินิจของสถานศกึ ษาท่จี ะผ่อนผนั ใหเ้ ลอ่ื นช้ันได้
2.2 การใหร้ ะดับผลการเรียน
ในการตัดสินเพ่ือให้ระดับผลการเรียนรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ให้ใช้ตัวเลข
แสดงระดบั ผลการเรียนเป็น 8 ระดบั
รายวชิ าท่จี ะนบั หน่วยกติ ได้จะต้องได้ระดับผลการเรียนตั้งแต่ 1 ขึ้นไป โดยมีแนวการ
ใหร้ ะดับผลการเรียนดังนี้

15

คะแนนร้อยละ ระดบั ผลการเรียน ความหมาย
ของผลการประเมิน

80-100 4 ดีเยย่ี ม

75-79 3.5 ดมี าก

70-74 3 ดี

65-69 2.5 ค่อนข้างดี

60-64 2 ปานกลาง

55-59 1.5 พอใช้

50-54 1 ผา่ นเกณฑข์ น้ั ตา่

0-49 0 ตา่ กว่าเกณฑ์

การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น

ให้ระดับผลการประเมินเป็นผ่านและไม่ผ่าน กรณีท่ีผ่านให้ระดับผลการเรียนเป็นดีเยี่ยม ดี และผ่าน

สถานศึกษาสามารถกาหนดความหมายของผลการประเมินคุณภาพเป็นดีเยี่ยม ดีและ

ผา่ น ซ่งึ สามารถใชด้ ังนี้

1) การประเมนิ อ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขยี น

ดีเย่ียม หมายถึง สามารถจับใจความสาคัญได้ครบถ้วน เขียนวิพากษ์วิจารณ์เขียน

สร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นประกอบอย่างมีเหตุผลได้ถูกต้อง

และสมบรู ณ์ ใชภ้ าษาสภุ าพและเรียบเรียงไดส้ ละสลวย

ดี หมายถงึ สามารถจับใจความสาคัญได้ เขียนวิพากษ์วิจารณ์และเขียน

สรา้ งสรรคไ์ ดโ้ ดยใชภ้ าษาสุภาพ

ผ่าน หมายถงึ สามารถจบั ใจความสาคัญและเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไดบ้ ้าง

2) การประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

ดเี ยยี่ ม หมายถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติจนเป็นนิสัยและนาไปใช้ใน

ชีวิตประจาวันเพือ่ ประโยชนส์ ขุ ของตนเองและสังคม

ดี หมายถงึ ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็น

ทีย่ อมรบั ของสงั คม

ผา่ น หมายถงึ ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขท่ีสถานศึกษา

กาหนด

การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาท้ังเวลาการเข้าร่วมกิจกรรมการ

ปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนดและให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรม

เป็นผา่ นและไม่ผ่าน

16

2.3 การจบระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้
1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา
พนื้ ฐาน 66 หน่วยกิต และรายวชิ าเพิ่มเติมตามทสี่ ถานศกึ ษากาหนด
2) ผเู้ รียนตอ้ งได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา
พ้ืนฐาน 66 หนว่ ยกิต และรายวชิ าเพิ่มเติมไม่นอ้ ยกว่า 11 หน่วยกิต
3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ในระดับผ่านเกณฑ์การ
ประเมนิ ตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด
4) ผู้เรียนมผี ลการประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน
ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด
5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน
ตามทีส่ ถานศกึ ษากาหนด
2.4 ผลการเรียนท่มี เี งอื่ นไข
ผลการเรียนท่มี เี งื่อนไข ไดแ้ ก่ ไม่มีสทิ ธเ์ิ ข้ารับการประเมนิ ผลปลายภาคในรายวิชาและ
รอการตดั สิน ใหใ้ ช้ตัวอกั ษรระบุเงอื่ นไขแสดงผลการเรียน ประกอบดว้ ย
1) ตัวอกั ษรแสดงผลการเรียนแตล่ ะรายวิชาใน 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้
“มส” หมายถึง ไม่มีสิทธิเข้ารับการประเมินผลปลายภาคเรียน โดยผู้เรียนท่ีมีเวลา
เรยี นไม่ถงึ ร้อยละ 80 ของเวลาเรียนในแต่ละรายวิชาและไม่ได้รับการผ่อนผันให้เข้ารับการวัดผลปลาย
ภาคเรยี น
“ร” หมายถึง รอการตัดสินและยังตัดสินไม่ได้ โดยผู้เรียนไม่มีข้อมูลผลการเรียน
รายวชิ านั้นครบถ้วน เช่น ไม่ได้วัดผลกลางภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไม่ได้ส่งงานท่ีมอบหมายให้ทาซึ่ง
งานนัน้ เปน็ สว่ นหน่ึงของการตดั สนิ ผลการเรียนหรือมีเหตสุ ดุ วสิ ยั ท่ีทาให้ประเมนิ ผลการเรียนไมไ่ ด้
2) ตัวอกั ษรแสดงผลการเข้ารว่ มกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียน
“ผ” หมายถึง ผ่านเกณฑท์ ส่ี ถานศกึ ษากาหนด
“มผ” หมายถงึ ไมผ่ า่ นเกณฑท์ ส่ี ถานศกึ ษากาหนด
2.5 การเปลี่ยนผลการเรยี น “0”
สถานศกึ ษาจัดให้มีการสอนซ่อมเสริมในตัวชี้วัดที่ผู้เรียนสอบไม่ผ่านก่อน แล้วจึงสอบ
แกต้ วั ใหแ้ ละใหส้ อบแกต้ วั ไดไ้ ม่เกิน 2 ครั้ง ทั้งน้ีตอ้ งดาเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีการศกึ ษานั้น
ถ้าผู้เรียนไม่ดาเนินการสอบแก้ตัวตามระยะเวลาท่ีกาหนดไว้น้ี ให้อยู่ในดุลยพินิจของ
สถานศึกษาทจี่ ะพิจารณาขยายเวลาออกไปอกี ไมเ่ กิน 1 ภาคเรียน
ถ้าสอบแก้ตัว 2 คร้ังแล้ว ยังได้ระดับผลการเรียน “0” อีก ให้สถานศึกษาแต่งต้ัง
คณะกรรมการดาเนนิ การเกย่ี วกับการแก้ผลการเรียนของผูเ้ รียนโดยปฏบิ ัตดิ งั นี้

17

1) ใหเ้ รียนซ้ารายวชิ าถา้ เป็นรายวิชาพน้ื ฐาน
2) ให้เรียนซ้าหรือเปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติม โดยให้อ ยู่ใน
ดุลยพนิ จิ ของสถานศกึ ษา
ในกรณีที่เปล่ียนรายวิชาเรียนใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียนว่าเรียน
แทนรายวิชาใด
2.6 การเปล่ยี นผลการเรียน “ร”
การเปลยี่ นผลการเรยี น “ร” มี 2 กรณี ดงั น้ี
1. มเี หตสุ ดุ วิสยั ทาใหป้ ระเมินผลการเรียนไม่ได้ เช่น เจ็บป่วย เมื่อผู้เรียนได้เข้าสอบ
หรือส่งผลงานที่ติดค้างอยู่เสร็จเรียบร้อย หรือแก้ปัญหาเสร็จส้ินแล้ว ให้ได้ระดับผลการเรียนตามปกติ
(ตั้งแต่ 0-4)
2. ถ้าสถานศึกษาพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เมื่อผู้เรียนได้เข้าสอบ
หรอื ส่งผลงานท่ีตดิ ค้างอย่เู สร็จเรียบรอ้ ย หรอื แกป้ ญั หาเสรจ็ ส้ินแลว้ ให้ได้ระดบั ผลการเรยี นไม่เกิน “1”
การเปลี่ยนผลการเรียน “ร” ให้ดาเนินการแก้ไขตามสาเหตุให้เสร็จสิ้นภายใน
ปีการศึกษานั้น ถ้าผู้เรียนไม่มาดาเนนิ การแก้ “ร” ตามระยะเวลาท่ีกาหนดไว้ให้เรียนซ้ารายวิชา ยกเว้น
มีเหตุสุดวิสัย ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะขยายเวลาการแก้ “ร” ออกไปอีกไม่เกิน 1 ภาค
เรียนแตเ่ มือ่ พน้ กาหนดน้แี ลว้ ใหป้ ฏิบัตดิ งั น้ี
1) ใหเ้ รยี นซา้ รายวชิ า ถ้าเปน็ รายวชิ าพ้นื ฐาน
2) ให้เรียนซ้าหรือเปล่ียนรายวิชาเรียนใหม่ ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติม โดยให้อยู่ใน
ดลุ ยพินจิ ของสถานศกึ ษา
ในกรณีท่ีเปล่ียนรายวิชาเรียนใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียนว่า
เรยี นแทนรายวิชาใด
2.7 การเปลยี่ นผลการเรียน “มส”
การเปลย่ี นผลการเรยี น “มส” มี 2 กรณี ดังน้ี
1. กรณีผู้เรียนได้ผลการเรียน “มส” เพราะมีเวลาเรียนไม่ถึงร้อยละ 80 แต่มีเวลา
เรียนไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60 ของเวลาเรียนทั้งหมด ให้สถานศึกษาจัดให้เรียนเพ่ิมเติมโดยใช้ชั่วโมงสอน
ซ่อมเสริม หรือเวลาว่าง หรือวันหยุด หรือมอบหมายงานให้ทา จนมีเวลาเรียนครบตามที่กาหนดไว้
สาหรับรายวิชาน้ันแล้วจึงให้สอบเป็นกรณีพิเศษ ผลการสอบแก้ “มส” ให้ได้ระดับผลการเรียนไม่เกิน
“1” การแก้ “มส” กรณีนี้ให้กระทาให้เสร็จส้ินในปีการศึกษานั้น ถ้าผู้เรียนไม่มาดาเนินการแก้ “มส”
ตามระยะเวลาที่กาหนดไวน้ ้ใี หเ้ รียนซ้า ยกเว้นมีเหตสุ ดุ วสิ ัย ให้อยใู่ นดุลยพินจิ ของสถานศึกษาที่จะขยาย
เวลาการแก้ “มส” ออกไปอกี ไมเ่ กิน 1 ภาคเรยี นแตเ่ มอ่ื พ้นกาหนดนแ้ี ล้ว ให้ปฏิบตั ิดงั นี้
1) ให้เรยี นซ้ารายวิชา ถา้ เปน็ รายวิชาพ้นื ฐาน

18

2) ให้เรียนซ้าหรือเปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติมโดยให้อยู่ในดุลย
พนิ จิ ของสถานศกึ ษา

2. กรณีผู้เรียนได้ผลการเรียน “มส” และมีเวลาเรียนน้อยกว่าร้อยละ 60 ของเวลา
เรียนท้ังหมด ให้สถานศกึ ษาจดั ให้เรียนซา้ ในรายวชิ าพืน้ ฐานและรายวิชาเพิ่มเติมหรอื เปล่ียนรายวิชาใหม่
ได้ สาหรับรายวชิ าเพมิ่ เตมิ เทา่ นัน้

ในกรณีท่ีเปล่ียนรายวิชาเรียนใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียนว่าเรียน
แทนรายวชิ าใด

ในกรณีภาคเรียนท่ี 2 หากผ้เู รียนยงั มีผลการเรียน “0” “ร” “มส” ให้ดาเนินการให้เสร็จสิ้น
ก่อนเปิ ดเรียนปี การศึกษาถดั ไป สถานศึกษาอาจเปิ ดการเรียนการสอนในภาคฤดรู ้อนเพ่ือแก้ไขผลการเรียน
ของผู้เรียนได้ ท้ังนี้ โดยสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา/ต้นสังกัดควรเป็ นผู้พิจารณาประสานให้มีการ
ดาเนินการเรียนการสอนในภาคฤดรู ้อนเพ่ือแก้ไขผลการเรียนของผ้เู รียน

2.8 การเปลย่ี นผลการเรยี น “มผ”
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดให้ผู้เรียนเข้าร่วม
กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น 3 กจิ กรรมคอื 1)กจิ กรรมแนะแนว 2)กิจกรรมนักเรยี น ซงึ่ ประกอบด้วยกิจกรรม
ลกู เสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บาเพ็ญประโยชน์หรือนักศึกษาวิชาทหาร โดยผู้เรียนเลือกอย่างใดอย่าง
หนึ่ง 1 กิจกรรมและเลือกเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมหรือชมรมอีก 1 กิจกรรม 3)กิจกรรมเพ่ือสังคมและ
สาธารณประโยชน์
ในกรณีท่ีผู้เรียนได้ผลการเรียน “มผ” สถานศึกษาต้องจัดซ่อมเสริมให้ผู้เรียน
ทากจิ กรรมจนครบตามเวลาท่ีกาหนด หรือปฏิบัติกิจกรรมเพ่ือพัฒนาคุณลักษณะท่ีต้องปรับปรุง แก้ไข
แล้วจึงเปล่ียนผลการเรยี นจาก “มผ” เป็น “ผ” ทง้ั นี้ดาเนินการใหเ้ สร็จส้นิ ภายในปีการศกึ ษาน้ัน ยกเว้น
มเี หตุสดุ วิสัยให้อยใู่ นดุลยพินจิ ของสถานศกึ ษา
2.9 การเลอ่ื นชั้น
ผู้เรียนจะได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกภาคเรียนและได้รับการเลื่อนช้ันเม่ือส้ินปี
การศกึ ษาโดยมีคณุ สมบตั ิตามเกณฑ์ ดงั นี้
1) รายวชิ าพืน้ ฐาน ไดร้ ับการตดั สินผลการเรียนผา่ นทกุ รายวิชา
2) รายวิชาเพม่ิ เติม ไดร้ บั การตัดสินผลการเรยี นผ่านตามเกณฑ์ท่ีสถานศกึ ษากาหนด
3) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษา
กาหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ละกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน
4) ระดับผลการเรียนเฉล่ยี ในปกี ารศกึ ษาน้ันควรไดไ้ ม่ต่ากว่า 1.00

19

ทั้งนี้รายวิชาใดท่ีไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน สถานศึกษาสามารถซ่อมเสริมผู้เรียน
ให้ไดร้ บั การแกไ้ ขในภาคเรยี นถดั ไป

2.10 การเรยี นซ้า
สถานศกึ ษาจะจดั ให้ผเู้ รียนเรยี นซา้ ใน 2 กรณี ดงั นี้
กรณีที่ 1 เรียนซ้ารายวิชา หากผู้เรียนได้รับการสอนซ่อมเสริมและสอบแก้ตัว 2 คร้ัง
แล้วไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ให้เรียนซ้ารายวิชาน้ัน ท้ังน้ีให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาในการจัด
ให้เรียนซา้ ในชว่ งใดชว่ งหน่งึ ท่สี ถานศกึ ษาเหน็ วา่ เหมาะสม เชน่ พักกลางวัน วันหยุด ช่ัวโมงว่างหลังเลิก
เรียน ภาคฤดรู ้อน เปน็ ตน้
กรณีที่ 2 เรยี นซ้าช้ัน มี 2 ลักษณะ คอื
1) ผู้เรียนมีระดบั ผลการเรยี นเฉลย่ี ในปีการศกึ ษานัน้ ตา่ กว่า 1.00 และมีแนวโน้มว่าจะ
เป็นปญั หาต่อการเรยี นในระดับชน้ั ทสี่ งู ขน้ึ
2) ผู้เรียนมีผลการเรียน 0, ร, มส เกินคร่ึงหน่ึงของรายวิชาท่ีลงทะเบียนเรียนในปี
การศกึ ษานั้น
ทั้งน้ีหากเกิดลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรือท้ัง 2 ลักษณะให้สถานศึกษาแต่งต้ัง
คณะกรรมการพจิ ารณา หากเห็นว่าไมม่ ีเหตผุ ลอนั สมควรก็ใหซ้ า้ ชนั้ โดยยกเลิกผลการเรียนเดิมและให้ใช้
ผลการเรียนใหม่แทน หากพิจารณาแล้วไม่ต้องเรียนซ้าช้นั ใหอ้ ย่ใู นดลุ ยพินิจของสถานศึกษาในการแก้ไข
ผลการเรยี น
2.11 การสอนซ่อมเสรมิ
การสอนซ่อมเสรมิ เปน็ สว่ นหน่ึงของกระบวนการจัดการเรียนรู้และเป็นการให้โอกาส
แก่ผู้เรยี นไดม้ เี วลาเรียนรู้ส่ิงตา่ งๆ เพิ่มขึน้ จนสามารถบรรลุตามมาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้ีวัดที่กาหนดไว้
การสอนซ่อมเสริมเป็นการสอนกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากการสอนตามแผนจัดการเรียนรู้ปกติเพื่อ
แก้ไขข้อบกพร่องท่ีพบในผู้เรียน โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลายและคานึงถึงความแตกต่าง
ระหวา่ งบุคคลของผเู้ รียน
การสอนซอ่ มเสริมสามารถดาเนินการไดใ้ นกรณีดงั ตอ่ ไปน้ี
1) ผู้เรียนมีความรู้/ทักษะพื้นฐานไม่เพียงพอท่ีจะศึกษาในแต่ละรายวิชาน้ันควรจัด
การสอนซ่อมเสริม ปรับความร้/ู ทักษะพนื้ ฐาน
2) การประเมินระหว่างเรียน ผู้เรียนไม่สามารถแสดงความรู้ ทักษะกระบวนการ
หรือเจตคติ/คุณลักษณะทีก่ าหนดไว้ตามมาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชว้ี ดั
3) ผลการเรียนไมถ่ งึ เกณฑ์ และ/หรอื ต่ากว่าเกณฑ์การประเมินโดยผู้เรียนได้ระดับผล
การเรยี น “0” ตอ้ งจดั การสอนซ่อมเสรมิ กอ่ นจะให้ผู้เรียนสอบแก้ตัว

20

4) ผ้เู รียนมผี ลการเรยี นไม่ผ่าน สามารถจัดสอนซ่อมเสริมในภาคฤดูร้อน ทั้งนี้ให้อยู่ใน
ดลุ ยพนิ ิจของสถานศกึ ษา

เอกสารหลักฐานการศึกษา
เอกสารหลักฐานการศึกษา เป็นเอกสารสาคัญที่บันทึกผลการเรียน ข้อมูลและสารสนเทศที่

เกีย่ วข้องกบั พฒั นาการของผู้เรยี นในด้านตา่ งๆ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษาทก่ี ระทรวงศกึ ษาธิการกาหนด
1.1. ระเบยี นแสดงผลการเรียน เป็นเอกสารแสดงผลการเรียนและรับรองผลการเรียนของ

ผู้เรียนตามรายวิชา ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ของสถานศึกษา และผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สถานศึกษาบันทึกข้อมูลและออก
เอกสารน้ีให้ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เมื่อผู้เรียนจบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6)
จบการศกึ ษาภาคบงั คับ (ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3) จบการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6) หรือเม่ือ
ลาออกจากสถานศึกษาในทกุ กรณี

1.2. ประกาศนียบัตร เป็นเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาเพ่ือรับรองศักดิ์และสิทธ์ิของผู้จบ
การศึกษา ท่ีสถานศึกษาให้ไว้แก่ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ และผู้สาเร็จการศึกษาข้ันพื้นฐานตาม
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน

1.3. แบบรายงานผู้สาเร็จการศึกษา เป็นเอกสารอนุมัติการจบหลักสูตรโดยบันทึกรายชื่อ
และข้อมูลของผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6) ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ
(ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3) และผ้จู บการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน (ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6)

2. เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษาท่สี ถานศกึ ษากาหนด
2.1. แบบบนั ทกึ ผลการเรียนประจารายวชิ า (ปพ.5) เป็นเอกสารท่ีจัดทาข้ึนเพ่ือให้ครูผู้สอน

ใชบ้ ันทกึ พัฒนาการ ผลการเรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และการอ่าน คิด
วเิ คราะห์ และเขียน สาหรบั การพิจารณาตดั สินผลการเรียนแต่ละรายวชิ าเป็นรายหอ้ งเรียน

2.2. แบบรายงานประจาตัวนกั เรยี น (ปพ.6) เป็นเอกสารทีจ่ ัดทาขน้ึ เพ่ือบนั ทึกข้อมลู ผลการ
เรียนรายวชิ า และพฒั นาการด้านตา่ งๆ ของผู้เรยี นแตล่ ะคน ตามเกณฑ์การตัดสินการผ่านระดับชั้นของ
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน รวมท้ังข้อมูลด้านอ่ืนๆ ของผู้เรียนท่ีบ้านและสถานศึกษา โดย
จัดทาเปน็ เอกสารรายบุคคล เพ่ือใช้สาหรับส่ือสารให้ผู้ปกครองของผู้เรียน แต่ละคนได้รับทราบผลการ
เรยี นและพฒั นาการด้านตา่ งๆ ของผเู้ รียนอย่างต่อเนื่อง

2.3. ใบรบั รองผลการเรยี น (ปพ.7) เปน็ เอกสารทจี่ ัดทาข้ึนเพ่ือใชเ้ ป็นเอกสารสาหรับรับรอง
ความเปน็ นักเรยี นหรอื ผลการเรียนของผู้เรียนเปน็ การชว่ั คราวตามที่ผเู้ รียนร้องขอ ทั้งกรณีท่ีผู้เรียนกาลัง
ศึกษาอยใู่ นสถานศึกษาและเมอื่ จบการศกึ ษาไปแล้ว

21

2.4. ระเบยี นสะสม (ปพ.8) เปน็ เอกสารทจ่ี ดั ทาขนึ้ เพ่ือบันทกึ ขอ้ มลู เก่ียวกับพัฒนาการของ
ผู้เรียนในด้านต่างๆ เป็นรายบุคคล โดยจะบันทึกข้อมูลของผู้เรียนอย่างต่อเน่ือง ตลอดช่วงระยะเวลา
การศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน 12 ปี

การเทียบโอนผลการเรียน
สถานศกึ ษาสามารถเทียบโอนผลการเรยี นของนักเรยี นท่ีเรียนรู้จากสถานศึกษาได้ในกรณีต่างๆ

ได้แก่ การยา้ ยสถานศึกษา การเปล่ียนรูปแบบการศกึ ษา การย้ายหลักสตู ร การละท้ิงการศึกษาและขอก
ลบั เขา้ รับการศกึ ษาตอ่ การศึกษาจากตา่ งประเทศและขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ นอกจากน้ียังสามารถ
เทียบโอนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์จากแหล่งการเรียนรู้อ่ืนๆ เช่น สถานประกอบการ สถาบันทาง
ศาสนา สถาบนั การฝึกอบรมอาชีพ การศกึ ษาโดยครอบครัว

การเทียบโอนผลการเรียนควรดาเนินการในช่วงก่อนเปิดภาคเรียนแรกหรือต้นภาคเรียนแรก
ที่สถานศึกษารับผู้ขอเทียบโอนเป็นนักเรียน ทั้งน้ีนักเรียนท่ีได้รับการเทียบโอนผลการเรียนต้องศึกษา
ต่อเนื่อง ในสถานศึกษาท่ีรับเทียบโอนอย่างน้อย 1 ภาคเรียน โดยสถานศึกษาที่รับการเทียบโอนควร
กาหนดรายวิชา จานวนหน่วยกติ ทจี่ ะรบั เทียบโอนตามความเหมาะสม

การพจิ ารณาการเทียบโอน สามารถดาเนินการไดด้ งั น้ี
1. พิจารณาจากหลกั ฐานการศึกษา ซ่งึ จะให้ขอ้ มูลท่แี สดงความรู้ ความสามารถของนักเรียนใน
ด้านตา่ งๆ
2. พิจารณาจากความรู้ ประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติจริง การทดสอบ การสัมภาษณ์
เป็นตน้
3. พจิ ารณาจากความสามารถและการปฏบิ ตั ิจริง
4. ในกรณีมีเหตุผลจาเป็นระหว่างเรียน นักเรียนสามารถแจ้งความจานงขอไปศึกษา
บางรายวิชาในสถานศึกษา/สถานประกอบการอ่ืน แล้วนามาเทียบโอนได้ โดยความเห็นชอบ
ของคณะกรรมการบรหิ ารหลกั สตู รและวชิ าการของสถานศึกษา
5. การเทียบโอนผลการเรียนให้ดาเนินการในรูปของคณะกรรมการการเทียบโอนจานวน
ไมน่ อ้ ยกวา่ 3 คน แต่ไม่ควรเกิน 5 คน
6. การเทียบโอนใหด้ าเนนิ การดงั น้ี

6.1 กรณผี ้ขู อเทียบโอนมผี ลการเรยี นมาจากหลักสูตรอ่นื ใหน้ ารายวิชาหรือหน่วยกิตที่
มีตวั ช้วี ัด/มาตรฐานการเรียนรู้/ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวัง/จุดประสงค์/เนื้อหาที่สอดคล้องกัน ไม่น้อยกว่า
ร้อยละ 60 มาเทียบโอนผลการเรียนและพิจารณาให้ระดับผลการเรียนให้สอดคล้องกับหลักสูตรท่ีรับ
เทยี บโอน

22

6.2 กรณีการเทียบโอนความรู้ ทักษะและประสบการณ์ ให้พิจารณาจากเอกสาร
หลักฐาน (ถ้ามี) โดยให้มีการประเมินด้วยเคร่ืองมือที่หลากหลายและให้ระดับผลให้สอดคล้องกับ
หลักสูตรที่รับเทียบโอน

6.3 กรณีการเทียบโอนที่นักเรียนเข้าโครงการแลกเปล่ียนต่างประเทศให้ดาเนินการ
ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรอ่ื งหลักการและแนวปฏบิ ัติการเทียบช้ันการศึกษาสาหรับนักเรียนท่ี
เข้าร่วมโครงการแลกเปลยี่ น

ทง้ั นี้ วิธกี ารเทยี บโอนผลการเรียนให้เป็นไปตามประกาศขอกระทรวงศึกษาธิการและ
แนวปฏิบตั ิท่ีเกี่ยวขอ้ ง

23

คาอธบิ ายรายวชิ า
หลักสูตรสถานศกึ ษา โรงเรียนสนั ติวนา พทุ ธศักราช 2565
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ปรับปรงุ 2560)
กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

24

รายวชิ าพน้ื ฐาน ว 16101 วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เวลา 80 ชัว่ โมง

ศึกษาและเรียนรู้เก่ียวกับสารอาหารและประโยชน์ของสารอาหาร แนวทางในการเลือก
รับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสม ความสาคัญของสารอาหาร
แบบจาลองระบบยอ่ ยอาหาร หน้าท่ขี องอวยั วะในระบบยอ่ ย ความสาคญั ของระบบยอ่ ยอาหาร แนวทาง
ในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหาร การแยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้
แม่เหลก็ ดงึ ดูด การรนิ ออก การกรอง และการตกตะกอน การเกดิ และผลของแรงไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตถุท่ี
ผ่านการขดั ถู วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและ
แบบขนานและการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน การเกิดเงามืดเงามัว ปรากฏการณ์สุริยุปราคาและ
จนั ทรปุ ราคา เทคโนโลยีอวกาศ การนาเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน กระบวนการ
เกดิ หนิ อคั นี หนิ ตะกอน และหนิ แปร และวฏั จกั รหิน ประโยชนข์ องหนิ และแร่ในชีวิตประจาวัน การเกิด
ซากดึกดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีต การเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม ผลของมรสุม
ตอ่ การเกิดฤดูของประเทศไทย ผลกระทบของน้าท่วม การกัดเซาะชายฝ่ัง ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ
ภยั ธรรมชาตแิ ละธรณพี บิ ัติภัย การเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกและผลของปรากฏการณ์เรือนกระจก
ตอ่ ส่งิ มีชวี ิต แนวทางการปฏิบัติตนเพอ่ื ลดกิจกรรมท่ีกอ่ ให้เกิดแกส๊ เรือนกระจก

โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีสามารถนาไปใช้อธิบาย แก้ไขปัญหา หรือ
สร้างสรรค์พัฒนางานในชีวิตจริงได้ ซึ่งเน้นการเช่ือมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ
เทคโนโลยี กับกระบวนการทางวิศวกรรมศาสตร์ และให้มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์
ความรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้
ความเข้าใจ มีทักษะการคิด และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกข้ันตอน รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดจิต
วิทยาศาสตรแ์ ละมีเจตคตทิ ีด่ ตี ่อการเรียนวิทยาศาสตร์

ศึ ก ษ า ก า ร ใ ช้ เ ห ตุ ผ ล เ ชิ ง ต ร ร ก ะ ใ น ก า ร อ ธิ บ า ย แ ล ะ อ อ ก แ บ บ วิ ธี ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ท่ี พ บ ใ น
ชีวิตประจาวัน ตัวอย่างปัญหา เช่น การค้นหาเลขหน้าท่ีต้องการให้เร็วท่ีสุด ออกแบบและเขียน
โปรแกรมอย่างง่าย เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมและแก้ไข การ
ออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้โดยเขียนเปน็ ข้อความหรอื ผังงาน ตวั อย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม
โปรแกรมหาค่า ค.ร.น. เกมฝึกพิมพ์ ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo ใช้
อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางานร่วมกันอย่าง
ปลอดภยั อาชญากรรมทางอนิ เทอร์เน็ต แนวทางในการป้องกัน เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพใน
สิทธขิ องผู้อ่ืน แจง้ ผ้เู กยี่ วข้องเม่อื พบขอ้ มลู หรือบุคคลท่ีไมเ่ หมาะสม

25

โดยอาศัยกระบวนการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน (Problem-based Learning) เพ่ือเน้นให้
ผ้เุ รียนเกดิ การเรียนรู้ จากการฝึกแก้ปัญหาตา่ งๆ ผ่านกระบวนการคิด การปฏบิ ัติอย่างมีระบบ และสร้าง
องค์ความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจาวันได้ เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ มี
ทกั ษะการคดิ เชงิ คานวณ การคดิ วิเคราะห์ แกป้ ญั หาเปน็ ขั้นตอนและเป็นระบบ มีทกั ษะในการตั้งคาถาม
หรอื กาหนดปญั หาเก่ียวกับสิ่งท่ีจะเรียนรู้ตามท่ีกาหนดให้ หรือตามความสนใจ คาดคะเนคาตอบหลาย
แนวทาง สรา้ งสมมตฐิ านท่สี อดคลอ้ งกับคาถาม วางแผนและสารวจตรวจสอบโดยใช้เคร่ืองมือ อุปกรณ์
และเทคโนโลยีสารสนเทศท่เี หมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ค้นหาข้อมูล
อย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเช่ือถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูล ใช้เหตุผลเชิงตรร กะในการ
แก้ปัญหา ตลอดจนนาความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ
สังคม และการดารงชีวิต จนสามารพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการ
แก้ปญั หาและการจัดการทักษะในการส่ือสาร และความสามารถในการตัดสินใจ และเป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยา
ศาสตร์ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมในการใชว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอย่างสรา้ งสรรค์

ตัวชีว้ ดั
ว 1.2 ป.6/1 ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4 ป.6/5
ว 2.1 ป.6/1
ว 2.2 ป.6/1
ว 2.3 ป.6/1 ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4 ป.6/5 ป.6/6 ป.6/7 ป.6/8
ว 3.1 ป.6/1 ป.6/2
ว 3.2 ป.6/1 ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4 ป.6/5 ป.6/6 ป.6/7 ป.6/8 ป.6/9
ว 4.2 ป.6/1 ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4
รวมทัง้ หมด 30 ตัวชวี้ ัด

26

โครงสรา้ งรายวชิ า
หลกั สูตรสถานศกึ ษา โรงเรียนสันตวิ นา พุทธศกั ราช 2565
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ปรับปรงุ 2560)
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6

27

โครงสรา้ งรายวิชา
ว 16101 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

รายวิชาพ้นื ฐาน กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 เวลา 80 ชว่ั โมง

หนว่ ยการ ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด เวลา
เรียนรู้ที่ (ช่ัวโมง)

1 อาหารและการย่อยอาหาร ว 1.2 ป.6/1 12

บทท่ี 1 สารอาหารและระบบยอ่ ยอาหาร ป.6/2

เร่อื งท่ี 1 สารอาหาร ป.6/3

เรื่องท่ี 2 ระบบย่อยอาหาร ป.6/4

บทที่ 2 ระบบอวัยวะในร่างกายของเรา ป.6/5

เรอ่ื งท่ี 1 ระบบยอ่ ยอาหารของเรา

เรือ่ งท่ี 2 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งระบบอวยั วะตา่ งๆ

2 การแยกสารเนอื้ ผสม ว 2.1 ป.6/1 10

บทท่ี 1 การแยกสารเน้อื ผสมอยา่ งงา่ ย

เรื่องท่ี 1 วธิ กี ารแยกสารเนอ้ื ผสมอยา่ งงา่ ย

3 หินและซากดึกดาบรรพ์ ว 2.2 ป.6/1 18

บทท่ี 1 หิน วัฏจักรหิน และซากดกึ ดาบรรพ์ ว 2.3 ป.6/1

เรือ่ งท่ี 1 กระบวนการเกิดหิน วัฏจกั รหิน และ ป.6/2

การนาหนิ และแรไ่ ปใช้ประโยชน์ ป.6/3

เรื่องที่ 2 การเกิดซากดกึ ดาบรรพ์และ

การนาไปใชป้ ระโยชน์

บทที่ 2 พลงั งานในชีวิตประจาวนั

เรือ่ งที่ 1 วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย

เรอ่ื งที่ 2 การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบตา่ งๆ

เรอ่ื งที่ 3 การต่อเคร่ืองใช้ไฟฟ้าในบ้าน

บทที่ 3 การเกิดเงา

เรอ่ื งท่ี 1 การเกดิ เงามืด เงามวั

4 ปรากฏการณของโลกและภยั ธรรมชาติ ว 3.2 ป.6/4 13

บทที่ 1 ลมบก ลมทะเล และมรสุม ป.6/5

28

หนว่ ยการ ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ตวั ชี้วัด เวลา
เรียนรู้ที่ (ชั่วโมง)
เรื่องท่ี 1 การเกดิ ลมบก ลมทะเล และมรสุม
5 บทท่ี 2 ปรากฏการณเรอื นกระจก ป.6/6
เรื่องที่ 1 ปรากฏการณเรอื นกระจกและภาวะโลกรอน
6 บทที่ 3 ภัยธรรมชาติ ป.6/7
เรอ่ื งท่ี 1 ภัยธรรมชาติ
เงา อุปราคา และเทคโนโลยอี วกาศ ป.6/8
บทท่ี 1 เงาและอุปราคา
เรื่องที่ 1 การเกิดเงา ป.6/9
เรอ่ื งท่ี 2 การเกดิ สรุ ิยปุ ราคาและจันทรุปราคา
บทท่ี 2 เทคโนโลยอี วกาศ ว 2.3 ป.6/7 12
เรือ่ งท่ี 1 รจู กั เทคโนโลยอี วกาศ ป.6/8
แรงไฟฟ้าและพลงั งานไฟฟา
บทท่ี 1 แรงไฟฟา ว 3.1 ป.6/1
เรอ่ื งที่ 1 การเกิดและผลของแรงไฟฟา ป.6/2
บทที่ 2 วงจรไฟฟาอย่างง่าย
เรื่องที่ 1 วงจรไฟฟาใกล้ตวั ว 2.2 ป.6/1 15
เรอ่ื งท่ี 2 การตอเซลลไฟฟา ว 2.3 ป.6/1 80
เรื่องท่ี 3 การตอเคร่อื งใชไฟฟาในบาน
ป.6/2
รวม ป.6/3
ป.6/4
ป.6/5
ป.6/6

29

ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรู้
หลกั สูตรสถานศกึ ษา โรงเรยี นสนั ติวนา พุทธศักราช 2565
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ปรบั ปรุง 2560)
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6

30

กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

เป้าหมายของวทิ ยาศาสตร์
ในการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรม์ ่งุ เนน้ ใหผ้ ้เู รียนไดค้ น้ พบความรู้ด้วยตนเองมากท่ีสุด เพ่ือให้

ได้ท้ังกระบวนการและความรู้ จากวิธีการสังเกต การสารวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนาผลที่ได้มา
จัดระบบเป็นหลักการ แนวคิด และองค์ความรู้ การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมีเป้าหมายท่ี
สาคัญ ดังน้ี

1. เพ่อื ให้เขา้ ใจหลักการ ทฤษฎี และกฎท่เี ป็นพ้ืนฐานในวิชาวิทยาศาสตร์
2. เพ่ือให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจากัดในการศึกษาวิชา
วิทยาศาสตร์
3. เพื่อให้มีทกั ษะทีส่ าคัญในการศึกษาค้นควา้ และคิดคน้ ทางเทคโนโลยี
4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ
สภาพแวดลอ้ มในเชิงทม่ี ีอทิ ธพิ ลและผลกระทบซง่ึ กันและกนั
5. เพื่อนาความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ
สังคมและการดารงชวี ติ
6. เพอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ และจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจัดการ
ทักษะในการสอื่ สาร และความสามารถในการตดั สินใจ
7. เพอื่ ให้เปน็ ผู้ทมี่ ีจติ วทิ ยาศาสตร์ มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้ วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีอยา่ งสรา้ งสรรค์

เรียนร้อู ะไรในวิทยาศาสตร์
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการเชื่อมโยง

ความรู้กับกระบวนการ มีทกั ษะสาคัญในการคน้ คว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบ
เสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกข้ันตอน มีการทา
กจิ กรรมดว้ ยการลงมือปฏบิ ัติจรงิ อยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดับชนั้ โดยกาหนดสาระสาคัญ ดังนี้

 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เก่ียวกับชีวิตในส่ิงแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การ
ดารงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ การดารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และ
วิวฒั นาการของส่งิ มชี ีวิต

 วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เก่ียวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การ
เคลอื่ นที่ พลังงาน และคล่ืน

31

 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เก่ียวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์
ภายในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ
เปล่ียนแปลงลมฟา้ อากาศ และผลต่อสงิ่ มชี วี ิตและสิง่ แวดลอ้ ม

 เทคโนโลยี
 การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพ่ือการดารงชีวิต ในสังคมที่มี

การเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆ
เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม
เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม

 วิทยาการคานวณ เรียนรู้เก่ียวกับการคิดเชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา เป็น
ขั้นตอนและเปน็ ระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ดา้ นวทิ ยาการคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยีสารสนเทศ และการ
สือ่ สาร ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวติ จริงได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิง่ ไมม่ ีชีวติ กบั ส่ิงมีชีวิต

และความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอด
พลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหา
และผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปัญหาสิง่ แวดล้อม รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้า และออก
จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และ
มนุษย์ทีท่ างานสมั พันธก์ นั ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะต่างๆ
ของพืชท่ีทางานสัมพนั ธ์กัน รวมท้ังนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร
พันธกุ รรม การเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทาง
ชีวภาพและวิวัฒนาการของสงิ่ มีชวี ิต รวมท้ังนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร
กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการ
เปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิด ปฏกิ ริ ยิ าเคมี

32

มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ ลักษณะการ
เคล่อื นที่แบบตา่ งๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ มั พนั ธ์
ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของ ค ล่ืน
ปรากฏการณ์ท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั เสียง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ รวมท้ังนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์

สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี

ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ท่ีส่งผลต่อส่ิงมีชีวิต
และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง
ภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณีพบิ ตั ิภยั กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟา้ อากาศและ
ภูมอิ ากาศโลก รวมทัง้ ผลตอ่ สิง่ มชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์
อ่ืนๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคานึงถึงผลกระทบต่อ
ชีวิต สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอน
และเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในการเรยี นรู้ การทางาน และ
การแกป้ ญั หาไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ รเู้ ท่าทนั และมจี ริยธรรม

คณุ ภาพผ้เู รียน
จบชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3
 เข้าใจลกั ษณะทวั่ ไปของสิ่งมีชวี ติ และการดารงชวี ิตของสงิ่ มชี วี ิตรอบตัว
 เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทาวัตถุ และการ

เปลี่ยนแปลงของวสั ดรุ อบตัว
 เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปล่ียนแปลง การเคลื่อนท่ี

ของวัตถุ พลงั งานไฟฟา้ และการผลติ ไฟฟ้า การเกิดเสียง แสงและการมองเหน็

33

 เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตก ของดวง
อาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกาหนดทิศ ลักษณะของหิน การจาแนกชนิดดิน และการใช้
ประโยชน์ ลักษณะและความสาคญั ของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชนแ์ ละโทษของลม

 ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามท่ีกาหนดให้หรือตามความสนใจ
สังเกต สารวจตรวจสอบโดยใช้เคร่ืองมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสารวจ
ตรวจสอบดว้ ยการเขยี นหรือวาดภาพ และสอื่ สารสิง่ ที่เรยี นรู้ดว้ ยการเล่าเร่อื ง หรอื ดว้ ยการแสดง ท่าทาง
เพอื่ ใหผ้ ้อู ่ืนเข้าใจ

 แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ
และการส่อื สารเบอ้ื งตน้ รกั ษาขอ้ มลู ส่วนตวั

 แสดงความกระตือรือร้น สนใจท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเร่ืองท่ีจะศึกษา
ตามที่กาหนดให้หรือตามความสนใจ มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็น
ผู้อนื่

 แสดงความรับผิดชอบด้วยการทางานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด
ซ่อื สตั ย์ จนงานลลุ ่วงเปน็ ผลสาเรจ็ และทางานรว่ มกับผู้อนื่ อยา่ งมคี วามสุข

 ตระหนักถึงประโยชนข์ องการใช้ความรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการ ดารงชวี ิต
ศกึ ษาหาความรู้เพม่ิ เตมิ ทาโครงงานหรอื ชิ้นงานตามท่กี าหนดให้หรอื ตามความสนใจ

จบชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6
 เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของส่ิงมีชีวิต รวมท้ังความสัมพันธ์ของ
ส่ิงมีชีวิตในแหล่งที่อยู่ การทาหน้าท่ีของส่วนต่างๆ ของพืช และการทางานของระบบย่อยอาหาร ของ
มนุษย์
 เข้าใจสมบัติและการจาแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปล่ียนสถานะของสสาร การ
ละลาย การเปล่ียนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้และผันกลับไม่ได้ และการแยกสาร
อย่างงา่ ย
 เขา้ ใจลักษณะของแรงโนม้ ถว่ งของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและ ผลของแรง
ต่างๆ ผลทเ่ี กิดจากแรงกระทาต่อวตั ถุ ความดัน หลักการท่ีมีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์
เบอื้ งตน้ ของเสียง และแสง
 เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์
องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของ ดาวเคราะห์และดาว
ฤกษ์ การข้นึ และตกของกลมุ่ ดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของ
เทคโนโลยีอวกาศ

34

 เข้าใจลักษณะของแหล่งน้า วัฏจักรน้า กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง น้าค้างแข็ง
หยาดนา้ ฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิด ซากดึกดาบรรพ์ การ
เกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและ
ผลกระทบของปรากฏการณเ์ รือนกระจก

 ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเช่ือถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูล ใช้
เหตุผลเชงิ ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทางานร่วมกัน เข้าใจ
สิทธิและหน้าท่ีของตน เคารพสิทธขิ องผอู้ ่นื

 ต้ังคาถามหรือกาหนดปัญหาเก่ียวกับสิ่งท่ีจะเรียนรู้ตามท่ีกาหนดให้หรือตาม ความสนใจ
คาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานทีส่ อดคล้องกบั คาถามหรือปัญหา ที่จะสารวจตรวจสอบ
วางแผนและสารวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู ท้ังเชงิ ปริมาณและคุณภาพ

 วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลท่ีมาจากการ สารวจ
ตรวจสอบในรูปแบบท่ีเหมาะสม เพ่ือสื่อสารความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบได้อย่างมี เหตุผลและ
หลักฐานอ้างอิง

 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมัน่ ในสิง่ ทจ่ี ะเรยี นรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับ เร่ืองที่จะศึกษา
ตามความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลท่ีมี หลักฐานอ้างอิง และรับฟัง
ความคดิ เห็นผ้อู นื่

 แสดงความรับผิดชอบด้วยการทางานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด
ซือ่ สัตย์ จนงานลลุ ว่ งเปน็ ผลสาเรจ็ และทางานร่วมกบั ผูอ้ นื่ อยา่ งสรา้ งสรรค์

 ตระหนกั ในคณุ คา่ ของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้ และกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรใ์ นการดารงชวี ติ แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสทิ ธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษา
หาความรเู้ พมิ่ เตมิ ทาโครงงานหรือชิ้นงานตามที่กาหนดใหห้ รือตามความสนใจ

 แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเก่ียวกับการใช้ การดูแลรักษา
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมอย่างรู้คณุ คา่

จบช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3
 เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบท่ีสาคัญของเซลล์ส่ิงมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการ ทางาน
ของระบบต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ การดารงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การ
เปล่ียนแปลงของยนี หรือโครโมโซม และตัวอยา่ งโรคทเี่ กดิ จากการเปลย่ี นแปลงทางพนั ธกุ รรม ประโยชน์
และผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ของ
องคป์ ระกอบของระบบนิเวศและการถา่ ยทอดพลังงานในส่งิ มีชีวิต

35

 เขา้ ใจองคป์ ระกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธ์ิ สารผสม หลักการแยกสาร
การเปลี่ยนแปลงของสารในรปู แบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี
และสมบัตทิ างกายภาพ และการใชป้ ระโยชนข์ องวสั ดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ ส์ และวสั ดุผสม

 เข้าใจการเคลื่อนท่ี แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทาต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงที่
ปรากฏในชวี ติ ประจาวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง กฎ
การอนรุ กั ษพ์ ลังงาน การถ่ายโอนพลงั งาน สมดุลความรอ้ น ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า การต่อ
วงจรไฟฟ้าในบ้าน พลงั งานไฟฟา้ และหลักการเบือ้ งต้นของวงจรอเิ ล็กทรอนิกส์

 เข้าใจสมบตั ิของคลืน่ และลักษณะของคล่นื แบบต่างๆ แสง การสะท้อน การหักเหของแสง
และทศั นอุปกรณ์

 เขา้ ใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคล่ือนท่ี ปรากฏของดวง
อาทิตย์ การเกิดข้างข้ึนข้างแรม การข้ึนและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้าข้ึนน้าลง ประโยชน์ของ
เทคโนโลยีอวกาศ และความก้าวหน้าของโครงการสารวจอวกาศ

 เข้าใจลักษณะของช้ันบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิด
และผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายหุ มนุ เขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลง
ภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์และการใชป้ ระโยชน์ พลังงานทดแทนและการ
ใช้ประโยชน์ ลกั ษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลีย่ นแปลง ทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะ
ช้ันหน้าตดั ดนิ กระบวนการเกิดดนิ แหล่งน้าผิวดิน แหล่งน้าใต้ดิน กระบวนการเกิดและผลกระทบของ
ภยั ธรรมชาติ และธรณีพบิ ตั ิภัย

 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปล่ียนแปลง ของ
เทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อ่ืน โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์
วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และ
สิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพ่ือออกแบบและสร้าง ผลงานสาหรับการ
แก้ปัญหาในชีวิตประจาวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมท้ัง
เลอื กใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์และเครอ่ื งมอื ได้อย่างถกู ตอ้ งเหมาะสมปลอดภัย คานงึ ถึงทรพั ย์สินทางปัญญา

 นาข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นาเสนอข้อมูล และ
สารสนเทศได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริง และเขียน
โปรแกรมอยา่ งงา่ ยเพ่ือช่วยในการแกป้ ญั หา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร อย่างรู้เท่าทันและ
รับผิดชอบต่อสังคม

 ตั้งคาถามหรอื กาหนดปัญหาทีเ่ ชอื่ มโยงกบั พยานหลกั ฐาน หรือหลักการทาง วิทยาศาสตร์ท่ี
มกี ารกาหนดและควบคมุ ตัวแปร คิดคาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐาน ท่ีสามารถนาไปสู่
การสารวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมอื สารวจตรวจสอบโดยใช้วสั ดแุ ละเคร่ืองมือ ที่เหมาะสม เลือกใช้

36

เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศท่เี หมาะสมในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทง้ั ในเชิงปริมาณและคุณภาพที่
ได้ผลเทยี่ งตรงและปลอดภัย

 วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากการสารวจตรวจสอบ จาก
พยานหลกั ฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุป และ
สือ่ สารความคดิ ความรู้ จากผลการสารวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ
เพอ่ื ใหผ้ ู้อื่นเขา้ ใจได้อย่างเหมาะสม

 แสดงถงึ ความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิด
สร้างสรรค์เกี่ยวกับเร่ืองที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการท่ีให้ได้ผล
ถูกต้อง เช่ือถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟัง
ความคิดเห็นผู้อ่ืน และยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ท่ีค้นพบ เมื่อมีข้อมูลและประจักษ์พยานใหม่
เพ่มิ ข้นึ หรือโตแ้ ยง้ จากเดิม

 ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้
และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความ
ชน่ื ชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบท้ังด้านบวกและ ด้านลบของการ
พฒั นาทางวทิ ยาศาสตรต์ อ่ ส่ิงแวดลอ้ มและตอ่ บริบทอน่ื ๆ และศกึ ษาหาความรู้ เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือ
สร้างชิ้นงานตามความสนใจ

 แสดงถงึ ความซาบซ้ึง ห่วงใย มพี ฤตกิ รรมเก่ียวกับการดแู ลรกั ษาความสมดุลของระบบนิเวศ
และความหลากหลายทางชีวภาพ

จบช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 6
 เขา้ ใจการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ ภูมิคุ้มกัน
ในรา่ งกายของมนษุ ย์และความผิดปกตขิ องระบบภูมิคุ้มกนั การใชป้ ระโยชน์สารตา่ งๆ ที่พชื สรา้ งขึ้น การ
ถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม การเปลยี่ นแปลงทางพันธุกรรม วิวัฒนาการทาให้เกิดความหลากหลาย
ของส่งิ มชี ีวิต ความสาคัญและผลของเทคโนโลยีทางดีเอน็ เอตอ่ มนษุ ย์ ส่ิงมชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม
 เขา้ ใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่างๆ ของโลก การเปลี่ยนแปลงแทนที่
ในระบบนเิ วศ ปญั หาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติ และการแกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดล้อม
 เข้าใจชนิดของอนุภาคสาคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบัติบางประการ
ของธาตุ การจดั เรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนภุ าคและสมบตั ติ ่างๆ ของสารท่ี
มีความสัมพันธ์กับแรงยึดเหนี่ยว พันธะเคมี โครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์ การเกิดปฏิกิริยาเคมี
ปจั จัยท่ีมผี ลต่ออตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี และการเขียนสมการเคมี

37

 เข้าใจปรมิ าณท่เี กีย่ วกับการเคลื่อนท่ี ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเร่ง ผลของ
ความเร่งที่มีต่อการเคล่ือนที่แบบต่างๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ ระหว่าง
สนามแมเ่ หลก็ และกระแสไฟฟา้ และแรงภายในนิวเคลียส

 เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปลี่ยนพลังงาน
ทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน และการรวม
คลนื่ การได้ยนิ ปรากฏการณ์ที่เกย่ี วข้องกบั เสียง สีกับการมองเห็นสี คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า และประโยชน์
ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า

 เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคล่ือนท่ีของแผ่น
ธรณที ี่สมั พนั ธ์กบั การเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ ระเบิด สึ
นามิ ผลกระทบ แนวทางการเฝา้ ระวัง และการปฏบิ ตั ิตนให้ปลอดภยั

 เข้าใจผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส ที่มี ต่อการ
หมนุ เวยี นของอากาศ การหมนุ เวียนของอากาศตามเขตละติจูด และผลที่มีต่อภูมิอากาศ ความสัมพันธ์
ของการหมุนเวยี นของอากาศ และการหมนุ เวยี นของกระแสนา้ ผิวหน้าในมหาสมุทร และผลต่อลักษณะ
ลมฟ้าอากาศ สงิ่ มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก และแนว
ปฏิบตั ิเพอื่ ลดกิจกรรมของมนุษย์ทส่ี ง่ ผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก รวมทั้งการแปลความหมาย
สญั ลักษณ์ลมฟ้าอากาศท่สี าคญั จากแผนท่อี ากาศและข้อมูลสารสนเทศ

 เขา้ ใจการกาเนิดและการเปลยี่ นแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพ หลักฐาน
ทสี่ นบั สนุนทฤษฎบี ิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก
กระบวนการเกิดและการสรา้ งพลงั งาน ปัจจัยท่สี ง่ ผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์
ระหวา่ งความส่องสวา่ งกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธร์ ะหว่างสี อุณหภมู ผิ ิว และสเปกตรัมของ
ดาวฤกษ์ ววิ ัฒนาการและการเปลยี่ นแปลงสมบัติบางประการของ ดาวฤกษ์ กระบวนการเกดิ ระบบสุริยะ
การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ท่ี เอ้ือต่อการดารงชีวิต การเกิดลมสุริยะ
พายุสรุ ิยะและผลทมี่ ีตอ่ โลก รวมท้ังการสารวจอวกาศและการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ

 ระบปุ ญั หา ต้งั คาถามทจ่ี ะสารวจตรวจสอบ โดยมกี ารกาหนดความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ตัวแปร
ต่างๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือก ตรวจสอบ
สมมตฐิ านท่เี ป็นไปได้

 ต้งั คาถามหรอื กาหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทาง วิทยาศาสตร์
ท่ีแสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงท่ีสามารถสารวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้า ได้อย่าง
ครอบคลุมและเช่ือถือได้ สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งท่ีจะพบ เพื่อนาไปสู่การ
สารวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการสารวจตรวจสอบตามสมมติฐานที่กาหนดไว้ได้อย่างเหมาะสม มี

38

หลักฐานเชงิ ประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมท้ังวิธีการในการสารวจตรวจสอบอย่างถูกต้อง ทั้งในเชิง
ปริมาณและคณุ ภาพ และบันทึกผลการสารวจตรวจสอบอยา่ งเปน็ ระบบ

 วิเคราะห์ แปลความหมายขอ้ มลู และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพ่ือตรวจสอบกับ
สมมติฐานท่ีต้ังไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพ่ือปรับปรุงวิธีการสารวจตรวจสอบ จัดกระทาข้อมูล และนาเสนอ
ขอ้ มูลด้วยเทคนิควิธีท่ีเหมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบ โดยการพูด เขียน
จัดแสดงหรอื ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อใหผ้ ูอ้ ่ืนเข้าใจโดยมีหลกั ฐานอา้ งองิ หรือมที ฤษฎีรองรบั

 แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในการสืบเสาะ หาความรู้
โดยใช้เคร่ืองมือและวิธีการท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ ทาง
วทิ ยาศาสตรอ์ าจมกี ารเปลีย่ นแปลงได้

 แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคาตอบ หรือแก้ปัญหาได้
ทางานร่วมกับผู้อืน่ อยา่ งสร้างสรรค์ แสดงความคิดเหน็ โดยมีข้อมูลอ้างองิ และเหตผุ ลประกอบเกยี่ วกับผล
ของการพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคม และส่ิงแวดล้อม และ
ยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผอู้ ่นื

 เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ท่ีมีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี ประเภทต่างๆ
และการพัฒนาเทคโนโลยที สี่ ่งผลให้มกี ารคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยีต่อ
ชีวิต สังคม และส่ิงแวดลอ้ ม

 ตระหนักถึงความสาคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ใช้ใน
ชีวิตประจาวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต และการ
ประกอบอาชีพ แสดงความช่ืนชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ช้ินงานท่ีเป็นผลมาจาก ภูมิปัญญา
ทอ้ งถนิ่ และการพฒั นาเทคโนโลยที ี่ทนั สมัย ศกึ ษาหาความรเู้ พ่ิมเติม ทาโครงงาน หรือสร้างชิ้นงานตาม
ความสนใจ

 แสดงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากร ธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแล ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิง่ แวดล้อมของท้องถ่นิ

 วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีท่ีซับซ้อน การ
เปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี ความสมั พนั ธ์ระหว่างเทคโนโลยีกบั ศาสตร์อ่ืน โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือ
คณติ ศาสตร์ วิเคราะห์ เปรียบเทยี บ และตัดสินใจเพ่อื เลอื กใชเ้ ทคโนโลยี โดยคานึงถึงผลกระทบ ต่อชีวิต
สังคม เศรษฐกิจ และส่ิงแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ ทรัพยากรเพื่อออกแบบ สร้างหรือพัฒนา
ผลงาน สาหรบั แก้ปัญหาท่มี ีผลกระทบตอ่ สงั คม โดยใชก้ ระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม ใช้ซอฟต์แวร์
ช่วยในการออกแบบและนาเสนอผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม
ปลอดภัย รวมทั้งคานึงถึงทรัพยส์ นิ ทางปัญญา

39

 ใชค้ วามร้ทู างด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ส่ือดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่ือสาร
เพอื่ รวบรวมข้อมลู ในชีวติ จริงจากแหล่งตา่ งๆ และความรจู้ ากศาสตรอ์ น่ื มาประยุกต์ใช้ สร้างความรู้ใหม่
เข้าใจการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีท่ีมีผลต่อการดาเนินชีวิต อาชีพ สังคม วัฒนธรรม และใช้อย่าง
ปลอดภยั มีจรยิ ธรรม

ตัวชว้ี ัดและสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออก

จากเซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของระบบต่างๆ ของสตั ว์และมนุษย์

ท่ีทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ี ของอวัยวะต่างๆ ของ

พืชที่ทางานสัมพันธก์ นั รวมท้ังนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.6 1. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์  สารอาหารท่ีอยู่ในอาหารมี 6 ประเภท ได้แก่

ของสารอาหารแต่ละประเภทจาก คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน ไขมนั เกลอื แร่ วิตามนิ และนา้

อาหารทต่ี นเองรับประทาน  อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารที่

2. บอกแนวทางในการเลือก แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วยสารอาหาร

รับประทานอาหารให้ได้สารอาหาร ประเภทเดียว อาหารบางอยา่ งประกอบด้วยสารอาหาร

ครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับ มากกว่าหนึง่ ประเภท

เพศและวยั รวมทั้งความปลอดภัยต่อ  สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกาย

สุขภาพ แตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน เป็น

3. ตระหนักถึงความสาคัญของ สารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่

สารอาหาร โดยการเลือกรับประทาน วิตามินและน้าเปน็ สารอาหารที่ไม่ใหพ้ ลังงานแก่ร่างกาย

อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ใน แต่ช่วยใหร้ ่างกายทางานไดเ้ ปน็ ปกติ

สัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย  การรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต

รวมทง้ั ปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพ มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามเพศและวัย และมี

สุขภาพดี จาเป็นต้องรบั ประทานให้ได้พลังงานเพียงพอ

กั บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ขอ ง ร่ า ง ก าย แ ละ ใ ห้ไ ด้ สา ร อ า ห า ร

ครบถ้วน ในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ัง

ต้องคานงึ ถงึ ชนิดและปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหาร

เพ่ือความปลอดภัยตอ่ สุขภาพ

40

ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.6 4. สร้างแบบจาลองระบบยอ่ ยอาหาร  ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ได้แก่

และบรรยาย หน้าที่ของอวัยวะใน ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้

ระบบย่อยอาหาร รวมทั้งอธิบายการ ใหญ่ ทวารหนกั ตบั และตบั ออ่ น ซึ่งทาหน้าท่รี ่วมกันใน

ย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร การย่อยและดูดซึมสารอาหาร

5. ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของระบบ - ปากมีฟันช่วยบดเค้ียวอาหารให้มีขนาดเล็กลง และมี

ย่อยอาหาร โดยการบอกแนวทางใน ลน้ิ ชว่ ยคลุกเคล้าอาหารกับน้าลาย ในน้าลายมีเอนไซม์

การดูแลรักษาอวัยวะ ในระบบย่อย ยอ่ ยแปง้ ให้เป็นนา้ ตาล

อาหารให้ทางานเปน็ ปกติ - หลอดอาหารทาหน้าท่ีลาเลียงอาหารจากปาก ไปยัง

กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมีการย่อย

โปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ที่สรา้ งจากกระเพาะอาหาร

- ลาไส้เล็กมีเอนไซม์ท่ีสร้างจากผนังลาไส้เล็กเอง และ

จากตับอ่อนทีช่ ่วยย่อยโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน

โดยโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมนั ที่ผ่านการย่อยจน

เป็นสารอาหารขนาดเล็กพอที่จะดูดซึมได้ รวมถึงน้า

เกลือแร่และวิตามินจะถูกดูดซึมที่ผนังลาไส้เล็กเข้าสู่

กระแสเลือด เพื่อลาเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ซึง่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูกนาไปใช้เป็น

แหลง่ พลงั งานสาหรับใช้ในกิจกรรมต่างๆ ส่วนน้า เกลือ

แร่และวิตามนิ จะชว่ ยให้รา่ งกายทางานได้เป็นปกติ

- ตับสรา้ งนา้ ดีแล้วส่งมายงั ลาไสเ้ ลก็ ช่วยใหไ้ ขมนั แตกตวั

- ลาไสใ้ หญ่ทาหน้าท่ีดูดน้าและเกลือแร่ เป็นบริเวณท่ีมี

อาหารท่ีย่อยไม่ได้หรือย่อยไม่หมดเป็นกากอาหาร ซึ่ง

จะถูกกาจดั ออกทางทวารหนัก

 อวัยวะต่างๆ ในระบบย่อยอาหารมีความสาคัญ จึง

ควรปฏิบัตติ น ดูแลรกั ษาอวัยวะใหท้ างานเปน็ ปกติ

41

สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ

มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ ของ

สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการ

เปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี

ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป.6 1. อธิบายและเปรียบเทียบการแยก  สารผสมประกอบด้วยสารต้ังแต่ 2 ชนิดข้ึนไปผสม

สารผสม โดยการหยิบออก การร่อน กัน เชน่ นา้ มนั ผสมนา้ ขา้ วสารปนกรวดทราย วิธีการท่ี

การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก เหมาะสมในการแยกสารผสมข้ึนอยู่กับลักษณะ และ

การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้ สมบัติของสารที่ผสมกัน ถ้าองค์ประกอบของสารผสม

หลกั ฐานเชิงประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธี เป็นของแข็งกับของแข็งที่มีขนาดแตกต่างกันอย่าง

แก้ปัญหาในชีวิตประจาวันเก่ียวกับ ชัดเจน อาจใช้วิธีการหยิบออก หรือการร่อนผ่านวัสดุท่ี

การแยกสาร มีรู ถ้ามีสารใดสารหนึ่ง เป็นสารแม่เหล็กอาจใช้

วธิ ีการใช้แม่เหล็กดึงดูด ถ้าองค์ประกอบเป็นของแข็งที่

ไมล่ ะลายใน ของเหลว อาจใช้วิธีการรินออก การกรอง

หรือการตกตะกอน ซึ่งวิธีการแยกสารสามารถนาไปใช้

ประโยชน์ในชวี ิตประจาวันได้

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ

มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะการ

เคล่ือนทีแ่ บบตา่ งๆ ของวตั ถุ รวมทงั้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

ชัน้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ป.6 1. อธิบายการเกิดและผลของแรง  วัตถุ 2 ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนาเข้าใกล้กัน

ไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตถุที่ผ่านการขัดถู อาจดงึ ดูดหรือผลกั กัน แรงทเี่ กิดขึน้ น้ีเป็น แรงไฟฟ้า ซ่ึง

โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เปน็ แรงไมส่ ัมผสั เกดิ ขนึ้ ระหวา่ งวัตถุท่ีมีประจุไฟฟ้า ซ่ึง

ประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟ้าบวกและประจุ

ไฟฟ้าลบ วตั ถทุ ่ีมีประจุไฟฟา้ ชนิดเดียวกันผลักกัน ชนิด

ตรงขา้ มกันดึงดดู กัน

42

สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ

มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพ ลังงาน

ปฏิสมั พนั ธร์ ะหว่างสสารและพลังงาน พลงั งานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน

ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกบั เสียง แสง และคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมทง้ั นาความรู้ไปใช้

ประโยชน์

ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.6 1. ระบุส่วนประกอบและบรรยาย  วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหล่งกาเนิด

หน้าท่ีของแต่ละ ส่วนประกอบของ ไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า

วงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายจากหลักฐานเชิง แหลง่ กาเนดิ ไฟฟา้ เช่น ถ่านไฟฉาย หรือ แบตเตอร่ี ทา

ประจกั ษ์ หน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้า เป็นตัวนาไฟฟ้าทา

2. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้า หน้าที่เชื่อมต่อระหว่าง แหล่งกาเนิดไฟฟ้าและ

อยา่ งงา่ ย เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ เขา้ ดว้ ยกัน เครือ่ งใช้ไฟฟ้ามีหน้าท่ีเปล่ียน

พลังงานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานอื่น

3. ออกแบบการทดลองและทดลอง  เมื่อนาเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกัน โดยให้

ด้วยวิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบาย ข้ัวบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หนึ่งต่อกับข้ัวลบของอีก

วิธีการและผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้า เซลลห์ นึ่งเป็นการตอ่ แบบอนุกรม ทาให้มีพลังงานไฟฟ้า

แบบอนกุ รม เหมาะสมกับเคร่ืองใช้ไฟฟ้า ซ่ึงการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบ

4. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ อนุกรมสามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวัน เช่น

ของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม การต่อเซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย

โ ด ย บ อ ก ป ร ะ โ ย ช น์ แ ล ะ ก า ร

ประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจาวัน

5. ออกแบบการทดลองและทดลอง  การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเมื่อถอด หลอด

ด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบายการ ไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงออกทาให้หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือดับ

ต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบ ท้ังหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้า แบบขนาน เมื่อถอด

ขนาน หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนงึ่ ออก หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือก็ยัง

6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ สวา่ งได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถนาไปใช้

ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม ประโยชน์ได้ เช่น การต่อหลอดไฟฟ้าหลายดวงในบ้าน

และแบบขนาน โดยบอกประโยชน์ จึงต้อง ต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพ่ือเลือกใช้หลอด

ข้อจากัดและการประยุกต์ใช้ใน ไฟฟา้ ดวงใดดวงหนึง่ ได้ตามตอ้ งการ

ชวี ติ ประจาวัน

43

ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ป.6 7. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจาก  เมื่อนาวัตถุทึบแสงมาก้ันแสงจะเกิดเงาบนฉากรับ

หลักฐานเชิงประจักษ์ แสงท่ีอยดู่ ้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปรา่ งคล้ายวัตถุท่ีทาให้

8. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดง เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณที่มีแสงบางส่วนตกลงบนฉาก

การเกิดเงามืดเงามวั สว่ นเงามดื เป็นบรเิ วณท่ีไมม่ ีแสงตกลงบนฉากเลย

สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี

ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมทัง้ ปฏิสมั พันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อส่ิงมีชีวิต

และการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ

ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.6 1. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิด  เม่ือโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง

และเปรียบเทียบปรากฏการ ณ์ เดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทางท่ีเหมาะสม ทาให้

สุริยุปราคาและจนั ทรปุ ราคา ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของดวงจันทร์ ทอดมายัง

โลก ผู้สังเกตที่อยู่บริเวณเงาจะมองเห็นดวงอาทิตย์มืด

ไป เกิดปรากฏการณส์ รุ ยิ ุปราคา ซ่ึงมีทั้งสุริยุปราคาเต็ม

ดวง สรุ ิยปุ ราคาบางสว่ น และสรุ ิยุปราคาวงแหวน

 หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง

เดยี วกนั กบั ดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์เคล่ือนที่ผ่านเงา

ของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืดไป เกิดปรากฏการณ์

จันทรุปราคา ซ่ึงมีทั้งจันทรุปราคาเต็มดวง และ

จันทรุปราคาบางสว่ น

2. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยี  เทคโนโลยีอวกาศเร่ิมจากความต้องการของมนุษย์

อว ก าศและ ยก ตัว อย่าง การ น า ในการสารวจวัตถุท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่า กล้อง

เทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ ใน โทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่ง เพ่ือสารวจ

ชีวิตประจาวัน จากข้อมูลที่รวบรวม อวกาศด้วยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยังคง

ได้ พฒั นาอย่างต่อเนอ่ื ง ปัจจุบนั มีการนาเทคโนโลยีอวกาศ

บางประเภทมาประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจาวนั เช่น การใช้

ดาวเทียมเพือ่ การส่อื สาร การพยากรณ์อากาศ หรือการ

สารวจ ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้อุปกรณ์วัดชีพจร

และการเตน้ ของหัวใจ หมวกนริ ภัย ชดุ กฬี า

44

สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง

ภายในโลกและบนผิวโลกธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและ

ภมู ิอากาศโลก รวมทง้ั ผลตอ่ สิง่ มีชีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม

ชัน้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.6 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหิน  หินเป็นวัสดุแข็งเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ

อัคนี หินตะกอน และหินแปร และ ประกอบด้วย แร่ต้ังแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป สามารถจาแนก

อธิบายวัฏจักรหนิ จากแบบจาลอง หินตามกระบวนการเกิดได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หิน

อัคนี หนิ ตะกอน และหนิ แปร

 หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา เนื้อหินมี

ลักษณะเป็นผลกึ ทั้งผลึกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บาง

ชนดิ อาจเป็นเนือ้ แกว้ หรือมีรูพรนุ

 หินตะกอน เกิดจากการทับถมของตะกอนเมื่อถูก

แรงกดทับและมีสารเช่ือมประสานจึงเกิดเป็นหิน เนื้อ

หินกลุ่มน้ีส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ดตะกอน มีท้ังเนื้อ

หยาบและเน้อื ละเอียด บางชนิดเป็น เนื้อผลึกที่ยึดเกาะ

กันเกิดจากการตกผลึกหรือ ตกตะกอน จากน้า

โดยเฉพาะน้าทะเลบางชนิดมีลักษณะเป็นช้ันๆ จึงเรียก

อีกช่อื ว่าหินชั้น

 หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิม ซ่ึงอาจ

เป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปร โดยการกระทา

ของความร้อน ความดัน และปฏิกิริยาเคมี เน้ือหินของ

หินแปรบางชนิดผลึก ของแร่เรียงตัวขนานกันเป็นแถบ

บางชนดิ แซะออกเป็นแผน่ ได้ บางชนิดเป็นเนื้อผลึกท่ีมี

ความแขง็ มาก

 หินในธรรมชาติท้ัง 3 ประเภท มีการเปล่ียนแปลง

จากประเภทหนึ่งไปเป็นอีกประเภทหนึ่ง หรือประเภท

เดิมได้ โดยมีแบบรปู การเปล่ียนแปลง คงที่และต่อเนื่อง

เปน็ วัฏจกั ร

45

ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

ป.6 2. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้  หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติแตกต่าง

ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง หิ น แ ล ะ แ ร่ ใ น กัน มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ในชีวิตประจาวันใน

ชวี ิตประจาวันจากข้อมูลท่รี วบรวมได้ ลักษณะต่างๆ เช่น นาแร่มาทาเคร่ืองสาอาง ยาสีฟัน

เคร่ืองประดับ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และนาหินมาใช้

ในงานกอ่ สร้างต่างๆ เป็นต้น

3. สรา้ งแบบจาลองที่อธิบายการเกิด  ซากดกึ ดาบรรพเ์ กิดจากการทับถมหรือการ ประทับ

ซากดึกดาบรรพ์และคาดคะเน รอยของสง่ิ มชี ีวิตในอดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของซาก

สภาพแวดล้อมในอดีตของ ซากดกึ หรอื รอ่ งรอยของสิ่งมชี ีวติ ทป่ี รากฏอยู่ในหิน ในประเทศ

ดาบรรพ์ ไทยพบซากดึกดาบรรพท์ ห่ี ลากหลาย เช่น พืช ปะการัง

หอย ปลา เตา่ ไดโนเสาร์ และรอยตีนสตั ว์

 ซากดึกดาบรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐานหน่ึงท่ีช่วย

อธิบายสภาพแวดล้อมของพื้นที่ในอดีต ขณะเกิด

ส่ิงมีชีวิตน้ัน เช่น หากพบซากดึกดาบรรพ ของหอยน้า

จืด สภาพแวดล้อมบริเวณน้ันอาจเคย เป็นแหล่งน้าจืด

มาก่ อ น แ ละ ห าก พ บ ซ าก ดึก ด าบร ร พ์ ข อ ง พื ช

สภาพแวดล้อมบริเวณนั้น อาจเคยเป็นป่ามาก่อน

นอกจากน้ีซากดึกดาบรรพ์ ยังสามารถใช้ระบุอายุของ

หิน และเป็นขอ้ มลู ในการศึกษาวิวฒั นาการของสงิ่ มชี วี ิต

4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลม  ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพื้นดิน และพื้น

ทะเล และมรสุม รวมทั้งอธิบายผลที่ น้า ร้อนและเย็นไม่เท่ากันทาให้อุณหภูมิอากาศเหนือ

มีต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมจาก พ้ืนดินและพื้นน้าแตกต่างกัน จึงเกิดการเคลื่อนที่ของ

แบบจาลอง อากาศจากบริเวณที่มีอุณหภูมิต่าไปยังบริเวณท่ีมี

อุณหภมู สิ งู

 ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจาถิ่นท่ีพบบริเวณ

ชายฝ่ัง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคืน ทาให้มีลมพัด

จากชายฝ่ังไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกิดในเวลากลางวัน

ทาใหม้ ีลมพัดจากทะเลเขา้ สู่ชายฝ่งั

46

ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ป.6 5. อธบิ ายผลของมรสมุ ต่อการเกดิ ฤดู  มรสมุ เป็นลมประจาฤดเู กิดบรเิ วณเขตร้อน ของโลก

ของประเทศไทยจากข้อมูลที่รวบรวม ซ่ึงเป็นบริเวณกว้างระดับภูมิภาค ประเทศไทยได้รับผล

ได้ จากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงประมาณ

กลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ทาให้เกิดฤดู

หนาว และได้รับผลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในช่วง

ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคม

ทาให้เกิด ฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณกลางเ ดือน

กมุ ภาพันธ์ จนถึงกลางเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปล่ียน

มร สุม แ ละ ปร ะ เ ทศ ไ ท ยอ ยู่ใ ก ล้ เส้ น ศู น ย์ สูต ร

แสงอาทิตย์ เกือบต้ังตรงและตัง้ ตรงประเทศไทยในเวลา

เที่ยงวัน ทาให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ อย่าง

เตม็ ที่ อากาศจงึ รอ้ นอบอ้าวทาใหเ้ กดิ ฤดูร้อน

6. บรรยายลักษณะและผลกระทบ  น้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว

ของน้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดิน และสึนามิ มีผลกระทบต่อชีวิตและส่ิงแวดล้อม

ถล่ม แผน่ ดนิ ไหว สึนามิ แตกตา่ งกนั

7. ตระหนักถึงผลกระทบของภัย  มนุษย์ควรเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนให้ปลอดภัย เช่น

ธรรมชาติและ ธรณีพิบัติภัย โดย ติดตามข่าวสารอย่างสม่าเสมอ เตรียมถุงยังชีพ ให้

นาเสนอแนวทางในการ เฝ้าระวัง พร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏิบัติตามคาสั่งขอ ง

และปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัย ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดเมื่อเกิด ภัย

ธรรมชาติ และธรณีพิบัติภัยที่อาจ ธรรมชาติและธรณพี ิบัติภัย

เกิดในท้องถ่นิ

8. สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิด  ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกเกิดจากแก๊สเรือนกระจก

ปรากฏการณ์เรือนกระจกและผล ในชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บความร้อนแล้วคาย

ของปรากฏการณ์เรือนกระจกต่อ ความร้อนบางส่วนกลับสู่ผิวโลก ทาให้อากาศบนโลกมี

สิ่งมีชีวิต อณุ หภูมิเหมาะสมตอ่ การดารงชีวิต

9. ตระหนักถึงผลกระทบของ  หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงมากข้ึน จะมี

ปรากฏการณ์เรือนกระจก โดย ผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก มนุษย์จึงควร

นาเสนอแนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือ รว่ มกันลดกิจกรรมท่ีกอ่ ให้เกิดแก๊สเรอื นกระจก

ลดกิจกรรมท่ีก่อให้เกิดแก๊สเรือน

กระจก

47

สาระที่ 4 เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน

และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน

และการแก้ปญั หาได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ร้เู ท่าทนั และมีจริยธรรม

ช้ัน ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.6 1. ใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะในการอธิบาย  การแก้ปัญหาอย่างเป็นข้ันตอนจะช่วยให้แก้ปัญหา

และออกแบบวิธีการแก้ปัญหาที่พบ ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

ในชีวติ ประจาวนั  การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนากฎเกณฑ์หรือ

เ งื่ อ น ไ ข ที่ ค ร อ บ ค ลุ ม ทุ ก ก ร ณี ม า ใ ช้ พิ จ า ร ณ า ใ น ก า ร

แก้ปญั หา

 แนวคดิ ของการทางานแบบวนซา้ และเง่อื นไข

2. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอย่าง  การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้โดยเขียนเป็น

ง่าย เพ่ือแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ขอ้ ความหรือผงั งาน

ตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม  การออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีมีการใช้ตัวแปร

และแกไ้ ข การวนซ้า การตรวจสอบเงื่อนไข

 หากมขี อ้ ผดิ พลาดให้ตรวจสอบการทางานทลี ะ

คาสั่ง เมื่อพบจุดที่ทาให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้องให้ทาการ

แก้ไขจนกว่าจะไดผ้ ลลพั ธท์ ีถ่ ูกตอ้ ง

 การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของผู้อ่ืน

จะชว่ ยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปญั หาไดด้ ียิ่งขึ้น

 ตวั อย่างโปรแกรม เชน่ เกม โปรแกรมหาคา่ ค.ร.น.

 ซอฟตแ์ วรท์ ใ่ี ช้เขียนโปรแกรม เชน่ Scratch, logo

3. ใช้อินเทอรเ์ น็ตในการค้นหาข้อมูล  การค้นหาอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เปน็ การคน้ หาข้อมูล

อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ท่ี ไ ด้ ต ร ง ต า ม ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ใ น เ ว ล า ที่ ร ว ด เ ร็ ว จ า ก

แหล่งข้อมูลท่ีน่าเช่ือถือหลายแหล่งและข้อมูลมีความ

สอดคลอ้ งกนั

 การใช้เทคนิคการค้นหาข้ันสูง เช่น การใช้ตัว

ดาเนินการ การระบรุ ปู แบบของขอ้ มลู หรือชนิดของไฟล์

 การจดั ลาดับผลลัพธจ์ ากการค้นหาโปรแกรมคน้ หา

 การเรียบเรียง สรุปสาระสาคัญ (บูรณาการวิชา

ภาษาไทย)


Click to View FlipBook Version