The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

210 เนื้อหาวิชาสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ปี2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Patiparn Potardee, 2020-09-20 09:31:35

8.วิชาสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ปี2

210 เนื้อหาวิชาสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ปี2

406 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย บทที่

สถาบันพระมหากษัตริยก์ ับประเทศไทย

พลตรี หม่อมราชวงศ์ศภุ วฒั ย์ เกษมศรี

สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยเป็นศูนย์รวมใจชาวไทย
ทส่ี บื ทอดมายาวนานหลายศตวรรษ เปน็ วฒั นธรรมการปกครองทม่ี คี วามสำ� คญั
บง่ บอกถงึ แนวคดิ ความเชอื่ และความหมายของสญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ ทห่ี ลอมรวม
จิตใจชาวไทยให้เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันและสร้างสรรค์ให้เกิดความผาสุก
ของสังคมโดยรวมได้ วัฒนธรรมการปกครองระบบกษัตริย์ของประเทศไทย
จึงมีความผกู พนั อย่างแนบแน่นต่อสงั คมไทยมาแต่อดตี จนปัจจบุ ัน

แนวคิดท่ีว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองที่มีคุณลักษณะพิเศษน้ัน
สืบเนื่องมาจากวัฒนธรรมความเชื่อทางศาสนา ซึ่งพัฒนาและผสมผสานมาจาก
แนวคิดหลกั ต่าง ๆ 3 ประการ คอื

ประการแรก เป็นแนวคดิ พราหมณ์ฮนิ ดู ซง่ึ ถอื ว่าผู้ทด่ี ำ� รงตำ� แหน่งกษตั รยิ ์
คอื องค์อวตารของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ซ่งึ มีหน้าทห่ี ลกั ในการธำ� รงไว้
ซงึ่ ความผาสกุ ของโลกมนษุ ย์ เปน็ แนวคดิ เบอ้ื งตน้ เมอื่ ชาวไทยรบั คตคิ วามเชอ่ื พราหมณ์
ฮินดูเข้ามา

ประการท่ีสอง เป็นแนวคิดของพระพุทธศาสนา ซึ่งนอกจากความเช่ือ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 407
เรอ่ื งบุญกรรมท่สี ่งให้เป็นผู้มบี ารมแี ล้ว ยงั มคี วามเชื่อว่าองค์พระมหากษตั รยิ ์ทรงมสี ถานะ
เป็นพระพุทธเจ้าและเป็นเทพ แนวคิดเร่ืองเทพทางพระพุทธศาสนานี้แตกต่างจากศาสนา
พราหมณ์ฮินดูในคัมภีร์จักรวาฬทีปนีซึ่งเขียนข้ึนเม่ือ พ.ศ. 2063 อธิบายว่า “พระราชา
พระเทวี พระกมุ าร ชอื่ วา่ สมมตเิ ทพ, เทพทอี่ ยู่ ณภาคพนื้ ดนิ และทส่ี งู กวา่ นนั้ ชอ่ื วา่ อปุ บตั เิ ทพ,
พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระขีณาสพช่ือว่าพระวิสุทธิเทพ” พระมหากษัตริย์
ในสังคมไทย ทรงมีลักษณะของเทพ 3 ประเภทนี้ คือ สมมตเิ ทพอุปบัตเิ ทพ และวสิ ทุ ธิเทพ
อยู่ในองค์เดยี ว ทงั้ น้ีได้รวมเอาเทพช้นั สูงในศาสนาพราหมณ์ฮนิ ดูเข้าไว้ด้วย

ดังท่ีสะท้อนให้เห็นจากแนวคิดเร่ืองสมมติเทพหรือสมมติเทวดา และในบริบท
แวดล้อมอน่ื ๆ

นอกจากนน้ั พระมหากษตั รยิ ์ไทยยังทรงเป็นมหาสมมตริ าช ขตั ตยิ ะ และราชา
ดังปรากฏค�ำอธิบายในหนังสือไตรภมู ิพระร่วงของพระเจ้าลิไทยซึ่งแต่งข้ึนในสมัยสุโขทัยว่า
“อันเรียกช่ือมหาสมมติราชนั้นไซร้ เพราะว่าคนท้ังหลายย่อมต้ังท่านเป็นใหญ่แล

อนั เรยี กชอ่ื ขตั ตยิ ะนน้ั ไซร้ เพราะวา่ คนทง้ั หลายใหแ้ บง่ ปนั ไรน่ าเขา้ นำ้� แกค่ นทง้ั หลายแล
อนั เรยี กชอ่ื วา่ ราชานนั้ เพราะทา่ นนนั้ ถกู เนอื้ พงึ ใจคนทงั้ หลายแล” สว่ นในโลกทปี สาร
แต่งโดยพระสังฆราชเมธังกรซ่ึงเป็นครูของพระเจ้าลิไทยกล่าวว่า “นามราชา เพราะ
ปกครองบุคคลอน่ื ๆ โดยธรรม โดยเท่ียงธรรม”

ประการทส่ี าม แนวคดิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบดิ า-บตุ ร อนั เปน็ แนวคดิ พน้ื เมอื ง
ด้ังเดิมท่ีเน้นความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง ซ่ึงต่างไปจากสังคม
ที่มีวรรณะ นับได้ว่าเป็นความเข้มแข็งของวัฒนธรรมการปกครองในระบบกษัตริย์ของไทย
ท่ีสามารถดำ� รงสบื ต่อมาได้จนปัจจบุ ัน

แนวคดิ ทงั้ 3 ประการนี้ แสดงคตคิ วามเชอ่ื เรอื่ งสถานะขององคพ์ ระมหากษตั รยิ ์
ทผ่ี สมผสานกนั พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยนบั แตอ่ ดตี มไิ ดท้ รงดำ� รงพระองคเ์ ปน็ เฉพาะองคอ์ วตาร
แห่งพระผู้เป็นเจ้าของศาสนาพราหมณ์ฮินดู หรือเป็นผู้บ�ำเพ็ญบุญบารมีเฉพาะพระองค์
แต่ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเช่นเดียวกับบิดาผู้ดูแลบุตรด้วย พระราชภาระหลัก
ของพระมหากษตั รยิ ์อนั เป็นพ้นื ฐานตามคติ

408 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พราหมณฮ์ นิ ดูมี 4 ประการ คอื

1. พระราชทานความยุติธรรมอันเป็นระเบียบสากลของผู้ปกครองหรือผู้น�ำ
ทจ่ี ะต้องสร้างหรอื ออกกฎหมายเพอ่ื ให้เกดิ ความยตุ ธิ รรม

2. ทรงรกั ษาความยตุ ธิ รรมน้นั ๆ อย่างเคร่งครัด
3. ทรงรักษาพระศาสนาและประชาชน
4. ทรงสร้างความผาสกุ แก่ประชาชน
นอกจากนน้ั พระมหากษตั รยิ ย์ งั ทรงดำ� รงหลกั ราชธรรมในพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่
ทศพิธราชธรรม 10 ประการ สังคหวัตถุ 4 ประการ และจักรวรรดิวัตร 12 ประการ
เมื่อประสานกับลักษณะวัฒนธรรมการปกครองแบบบิดา-บุตรแล้ว จึงเป็นเหตุให้
พระมหากษตั รยิ ์ในประเทศไทยมพี ระราชสถานะอันสงู ส่งควรแก่การยกย่องสรรเสริญยิ่ง
ในสมัยกรุงสุโขทัย ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน
มีความใกล้ชิดกันมาก พระมหากษัตริย์ทรงดูแลทุกข์สุขของประชาชนดังบิดาดูแลบุตร
ดังปรากฏบันทึกในศิลาจารึกหลักท่ี 1 ของพ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช ที่ส�ำคัญมากก็คือ
วฒั นธรรมการปกครองในระบบกษตั รยิ ์นัน้ เป็นการปกครองโดยมีมนุษยธรรม จารึกสโุ ขทัย
หลกั ท่ี 38 วดั พระมหาธาต-ุ วดั สระศรี พุทธศกั ราช 1940 ว่าพระมหากษตั รยิ ์แห่งกรุงสโุ ขทยั
“จักใคร่ขัดพระราชสีมานี้ดังมนุษยธรรม (อย่าง) พระยารามราช” คือกษัตริย์
ในกรงุ สโุ ขทยั ไดป้ กครองประชาชนอยา่ งมมี นษุ ยธรรมเชน่ เดยี วกบั พอ่ ขนุ รามคำ� แหง กษตั รยิ ์
แหง่ กรงุ สโุ ขทยั เอาพระราชหฤทยั ใสไ่ พรฟ่ า้ ขา้ แผน่ ดนิ ของพระองคด์ งั ปรากฏหลกั มนษุ ยธรรม
ในไตรภมู พิ ระรว่ งวา่ “รจู้ กั ผดิ แลชอบ แลรจู้ กั ทอ่ี นั เปน็ บาปแลบญุ แลรจู้ กั ประโยชนใ์ น
ชว่ั นชี้ วั่ หนา้ แลรจู้ กั กลวั แกบ่ าปแลละอายแกบ่ าป รจู้ กั วา่ ยากวา่ งา่ ย แลรรู้ กั พร่ี กั นอ้ ง

แลรเู้ อน็ ดกู รณุ าตอ่ ผเู้ ขญ็ ใจ แลรยู้ ำ� เกรงพอ่ แม่ ผเู้ ถา้ ผแู้ ก่ สมณพราหมณาจารยอ์ นั อยู่
ในสกิ ขาบทของพระพุทธิเจ้าทกุ เมอื่ และรูจ้ กั คณุ แกว้ 3 ประการ” อนั แสดงให้เห็น
ความผกู พนั ระหวา่ งกษตั รยิ ใ์ นฐานะของบดิ า-บตุ ร ในการสอนใหท้ �ำความดี ใหร้ จู้ กั บาปบญุ
และหลักธรรมต่าง ๆ

ในสมัยอยุธยา พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เมื่อ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 409
มีคติความคดิ เกี่ยวกบั สมมตเิ ทวราชมาผสมผสาน พระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นเสมือนเทพเจ้า
ดังปรากฏพระนามของพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยา เช่น สมเด็จพระรามาธิบดี สมเด็จ
พระรามราชา สมเดจ็ พระอนิ ทราชา สมเดจ็ พระเอกาทศรถ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เป็นต้น ซ่ึงล้วนแต่เป็นท้ังพระนามของเทพเจ้าของพราหมณ์ฮินดูและเทพเจ้าในความเชื่อ
พื้นถ่ินท้ังสิ้น นอกจากน้ันพระราชกรณียกิจทั้งปวงของพระเจ้าแผ่นดินดังท่ีปรากฏ
ในพระราชพิธี 12 เดือน หรือที่ตราไว้ในกฎมณเฑียรบาลก็ดีล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข
ของประชาชน อาจกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมการปกครองในระบบกษัตริย์ของอยุธยานั้น
ยังคงสืบทอดมาจากแบบฉบับของกรุงสุโขทัยที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างบิดา-บุตร แม้
บันทึกของชาวต่างชาติ เช่น ลาลูแบร์หรือแชร์แวสก็ยังระบุว่า การลงโทษขุนนางในราช
ส�ำนกั นั้น “เสมอด้วยบดิ ากระท�ำแก่บตุ ร และมิได้ทรงลงอาญาอยา่ งตระลาการท่ใี จ
เห้ยี มหรือเจา้ ขนุ มูลนายท่เี อาแตโ่ ทสจรติ ได้กระทำ� แกท่ าส”

ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ วัฒนธรรมการปกครองในระบบ
เดิมยังสืบทอดและธ�ำรงไว้ได้เป็นอย่างดีในการสร้างความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองและ
การสร้างขวัญก�ำลังใจให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ดังแนวพระราชด�ำริในพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชว่า “ตง้ั ใจจะอปุ ถมั ภก ยอยกวรพุทธศาสนา ปอ้ งกนั
ขอบขัณฑเสมา รักษาประชาชนแลมนตรี” หรือคติ “พระมหาสมมุติราช” ซ่ึงรวม
ความเป็นพระราชามหากษัตริย์ก็ได้ปรากฏชัดเจนในประกาศพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชใน พ.ศ. 2328 ว่า “พรรณพฤกษาชลธี
แลส่ิงของในแผ่นดินทั่วเขตพระนคร ซึ่งหาผู้หวงแหนมิได้นั้น ตามแต่สมณชี
พราหมณาจารยร์ าษฎรป์ รารถนาเถิด”

แนวคิดดังกล่าวยังได้สืบต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ส่วนที่ได้ปรับเปล่ียนเป็นสากลก็คือ พระมหากษัตริย์ทรงสังเกตเห็นความ
เปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ทรงเรียนรู้ศิลปวิทยาต่าง ๆ และทรงเข้าถึงประชาชนมากขึ้น
อน่งึ ตงั้ แต่ในรชั กาลท่ี 4 เริม่ มแี นวคดิ ในการเปลย่ี นแปลงและยอมรบั ฐานะแห่ง “มหาชน
นิกรสโมสรสมมติ” มากข้ึน และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์เป็นส่ิงจ�ำเป็น ดังเช่นความตอนหน่ึง
ในประกาศเรอ่ื งดาวหางปีระกาตรศี กว่า

410 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พระเจ้าแผ่นดินคนทั้งปวงยกย่องไว้เป็นที่พ่ึง ใครมีทุกข์ร้อนถ้อยความ
ประการใดกย็ ่อมมารอ้ งให้ช่วย ดังหนง่ึ ทารกเมือ่ มเี หตแุ ลว้ ก็มารอ้ งหาบดิ ามารดา
เพราะฉะนน้ั พระเจา้ แผน่ ดนิ ชอ่ื วา่ คนทง้ั ปวงยกยอ่ งใหเ้ ปน็ บดิ ามารดาของตวั แลว้ ก็
มีความกรณุ าแก่คนท้ังปวงดังหน่ึงบดิ ามารดากรุณาแก่บตุ รจริง ๆ โดยสุจริต

นอกจากนั้นการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช
ได้เสด็จธุดงค์ตามหัวเมืองต่าง ๆ ก็ยิ่งเป็นการสร้างความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์
กับประชาชนอีกด้วยเพราะได้ทรงรู้จักวิถีชีวิตของราษฎรอย่างแท้จริง ในรัชกาลต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงได้รับการยอมรับจากขุนนางทั้งปวง
อย่าง “อเนกนิกรสโมสรสมมติ” ที่ท้ังพระสงฆ์ พระราชวงศ์และขุนนางเห็นพ้องกัน
ให้พระองค์เสดจ็ ขึ้นครองราชย์

ตลอดเวลาท่ีผ่านมานับแต่สมัยสุโขทัยแม้จะมีการเปลี่ยนแผ่นดินหรือ
มกี ารเปลย่ี นราชวงศ์ แตแ่ นวคดิ ระบบการปกครองแบบกษตั รยิ ท์ เี่ คยมมี านน้ั หาไดเ้ ปลยี่ นไป
ด้วยไม่ ในระบอบประชาธิปไตยพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอ�ำนาจผ่านกระบวนการ
3 องคก์ ร คอื อำ� นาจนติ บิ ญั ญตั ิ บรหิ าร และตลุ าการ เสมอื นผแู้ บง่ เบาพระราชภาระของพระองค์
แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังทรงมีพระมหากรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทส่ังสอน
ชนี้ ำ� แนวทางการดำ� เนนิ ชวี ติ ทถี่ กู ทค่ี วร มศี ลี ธรรมกำ� กบั ทงั้ ทรงปฏบิ ตั พิ ระองคเ์ ปน็ แบบอยา่ ง
ดว้ ยพระมหากรณุ าธคิ ณุ นคี้ นไทยจงึ ยงั คงมคี วามผกู พนั กบั องคพ์ ระมหากษตั รยิ ม์ ากเชน่ เดมิ
คนไทยมีค�ำเอ่ยพระนามพระมหากษัตริย์อยู่หลายค�ำท่ีบ่งบอกความรู้สึกยกย่องเทิดทูน
และผูกพันต่อพระองค์ เช่น ค�ำว่าพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัว เจ้าชีวิต ทั้ง 3 ค�ำน้ี
มีนยั ส�ำคัญดงั น้ี

พระเจา้ แผน่ ดนิ ตามรปู ศพั ทห์ มายถงึ ผปู้ กครองทเี่ ปน็ เจา้ ของแผน่ ดนิ คอื ผนู้ ำ� ทมี่ ี
สทิ ธขิ์ าดในกจิ การของแผน่ ดนิ และสามารถพระราชทานทด่ี นิ ใหแ้ กผ่ ใู้ ดผหู้ นง่ึ ได้ แตใ่ นสงั คม
ไทยพระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงเปน็ เจา้ ของแผน่ ดนิ ผทู้ รงบำ� รงุ รกั ษาแผน่ ดนิ ใหม้ คี วามอดุ มสมบรู ณ์
เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ท่ีดินในพระราชอาณาเขตของพระองค์ให้เกิดประโยชน์ เช่น
ท�ำการเพาะปลูกให้ได้ผล ตลอดจนเอาพระราชหฤทัยใส่ในการบ�ำรุงแผ่นดินให้มีความ
อุดมสมบรู ณ์อยู่เป็นนจิ ดงั ทป่ี รากฏเป็นโครงการพระราชดำ� รติ ่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ และเป็น
ที่ประจักษ์ในสากลว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยทรงงานหนักท่ีสุดในโลก และทรงรักประชาชน
ของพระองค์อย่างแท้จรงิ

พระเจา้ อยหู่ วั เปน็ คำ� เรยี กพระเจา้ แผน่ ดนิ ทแ่ี สดงความเคารพเทดิ ทนู อยา่ งสงู สดุ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 411
และเป็นยอดของมงคลทั้งปวง พระเจ้าอยู่หัวหรือพระพุทธเจ้าอยู่หัวหมายถึงการยอมรับ
พระราชสถานะของพระเจ้าแผ่นดนิ ว่าทรงเป็นองค์พระพทุ ธเจ้า ดังนัน้ จงึ ทรงเป็นท่รี วมของ
ความเปน็ มงคล สงิ่ ของตา่ ง ๆ ทพี่ ระราชทาน เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์ พธิ กี รรมตา่ ง ๆ ทจี่ ดั ขน้ึ
โดยพระบรมราชโองการ และการได้เข้าเฝ้าทลู ละอองธลุ พี ระบาท หรอื ได้เหน็ พระเจา้ อยหู่ วั
จึงล้วนแต่เป็นมงคลทั้งส้ิน เจ้าชีวิต เป็นค�ำเรียกพระเจ้าแผ่นดินที่แสดงพระราชอ�ำนาจ
เหนอื ชวี ติ คนทง้ั ปวงทอี่ ยใู่ นพระราชอาณาเขต คำ� คำ� นอ้ี าจหมายถงึ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทที่ รงสทิ ธ์ิ
ในการปกป้องคุ้มครองชีวิตประชาชนให้พ้นภัยวิบัติทั้งปวง หรือลงทัณฑ์ผู้กระทำ� ผิดต่อ
พระราชกำ� หนดกฎหมาย ตลอดจนทรงชบุ ชวี ติ ข้าแผ่นดินให้มคี วามสุขล่วงความทุกข์ ทง้ั น้ี
สดุ แตพ่ ระเมตตาพระกรณุ าธคิ ณุ อนั เปน็ ลน้ พน้ ของพระองค์ แตใ่ นสงั คมไทยปจั จบุ นั นน้ั คำ� วา่
เจา้ ชวี ติ หมายถงึ พระเจา้ แผน่ ดนิ ผพู้ ระราชทานก�ำเนดิ แนวคดิ โครงการตา่ ง ๆ แกป่ ระชาชน
โดยมิได้ทรงใช้พระราชอ�ำนาจล่วงไปเกินขอบเขตแห่งราชนีติธรรม แต่ทรงด�ำรงธรรมะ
เป็นองค์ประกอบในการตดั สนิ วนิ ิจฉัยเรื่องทงั้ หลายทง้ั ปวงด้วย

นอกจากนน้ั ยงั ปรากฏในค�ำทปี่ ระชาชนเรยี กแทนตนเองวา่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ซงึ่ มี
ความหมายลกึ ซง้ึ วา่ พระมหากษตั รยิ ์ หรอื พระเจา้ แผน่ ดนิ หรอื พระเจา้ อยหู่ วั หรอื เจา้ ชวี ติ นนั้
เปน็ เสมอื นหนงึ่ พระพทุ ธเจา้ ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ประชาชนทกุ คนตา่ งไดพ้ ง่ึ พระบารมี
อยเู่ ปน็ นจิ เหมอื นอยใู่ ตพ้ ระบรมโพธสิ มภาร กลา่ วไดว้ า่ วฒั นธรรมการปกครองของสงั คมไทย
แม้จะมคี วามเปลย่ี นแปลงผ่านยคุ สมัยต่าง ๆ กย็ งั คงรักษาแนวคิดเดิมคอื ความสัมพนั ธ์อนั
ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนและศาสนาไว้ได้เป็นอย่างดี
เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด “พระราชากย็ งั เปน็ ก�ำลงั ของคนทกุ ข์ยาก” ซง่ึ ได้
ทรงสงเคราะหโ์ ดยทวั่ ทกุ ชนชนั้ วรรณะใหเ้ กดิ ความผาสกุ อยเู่ ปน็ นจิ ตรงตามหลกั มนษุ ยธรรม
ในไตรภมู พิ ระรว่ งดงั ได้กลา่ วมาแลว้ ข้างตน้ อยา่ งไมเ่ สอ่ื มคลาย และทรงเป็นศนู ยร์ วมความ
จงรกั ภักดขี องคนไทยตลอดไป

412 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย บทที่

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช

พระบรมสาทสิ ลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช

ประดิษฐาน ณ มุขกระสนั ตะวนั ออก
พระท่ีน่งั จกั รีมหาปราสาท

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมหากษัตริย์ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 413
รชั กาลท่ี 1 แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ มพี ระนามเดมิ ว่า ด้วงหรอื ทองด้วง เสด็จพระราชสมภพ
ท่กี รงุ ศรอี ยธุ ยา เมอ่ื วนั ท่ี 20 มนี าคม พ.ศ. 2279 ในรชั กาลสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั บรมโกศ
เป็นพระโอรสในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกซึ่งมีพระนามเดิมว่า ทองดี สืบเชื้อสาย
มาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รับราชการ
ในกรมอาลกั ษณเ์ ปน็ พระอกั ษรสนุ ทร พระราชชนนมี พี ระนามวา่ หยกหรอื ดาวเรอื ง เมอ่ื ทรง
เจริญพระชนมพรรษาได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรขณะดำ� รงพระยศ
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เม่ือทรงอุปสมบทและลาพระผนวชแล้วกลับเข้ารับราชการ
เป็นมหาดเลก็ หลวง เมอ่ื มพี ระชนมพรรษา 25 พรรษา สมเดจ็ พระเจ้าเอกทศั ทรงพระกรณุ า
โปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี และได้สมรสกับธิดาตระกูลคหปตนี
ที่ต�ำบลอมั พวา แขวงเมอื งสมทุ รสาคร ชื่อนาก (สมเดจ็ พระอมรินทราบรมราชิน)ี

เม่ือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชและสถาปนากรุงธนบุรี
เป็นราชธานีแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเข้ารับราชการ
ในกรงุ ธนบรุ เี ปน็ พระราชวรนิ ทร์ เจา้ กรมพระตำ� รวจนอกขวา ทรงเปน็ กำ� ลงั สำ� คญั ของสมเดจ็
พระเจา้ ตากสนิ มหาราช คกู่ บั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าช (สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท)
ทำ� ศึกสงครามกู้บ้านเมอื งหลายคร้งั และได้เลื่อนบรรดาศกั ด์โิ ดยล�ำดับ ดงั น้ี

พ.ศ. 2311 โดยเสด็จปราบชุมนุมเจ้าพิมาย ได้เล่ือนเป็นพระยาอภัยรณฤทธ์ิ
จางวางกรมพระตำ� รวจ พ.ศ. 2312 ทรงเปน็ แมท่ พั ไปตเี ขมรไดเ้ มอื งพระตะบองและเสยี มราฐ
พ.ศ. 2313 ได้เลอ่ื นเป็นพระยายมราชว่าที่สมหุ นายก พ.ศ. 2314 เล่อื นเป็นเจ้าพระยาจักรี
เป็นแม่ทพั ไปตเี ขมร พ.ศ. 2317 ทรงเป็นแม่ทพั หน้าไปตีเชยี งใหม่ และลงมาช่วยรบกับพม่า
ทเ่ี มอื งราชบรุ จี นชนะ พ.ศ. 2318 ทรงเปน็ แมท่ พั รบตา้ นทพั พมา่ ทเี่ มอื งพษิ ณโุ ลกเปน็ สามารถ
จนอะแซหวุ่นก้ีแม่ทัพพม่าขอดูตัวและกล่าวสรรเสริญ ดังบันทึกในพระราชพงศาวดาร
ฉบบั พระราชหตั ถเลขาว่า “รูปกง็ ามฝมี อื ก็เข้มแข็ง สูร้ บเราผ้เู ป็นผู้เฒ่าได้ จงอุตส่าห์
รักษาตัวไว้ ภายหนา้ จะได้เปน็ กษตั รยิ เ์ ปน็ แท้” สงครามครงั้ นน้ั เมอื งพษิ ณโุ ลกถูกล้อม
จนขาดเสบยี งอาหาร จำ� ต้องท้งิ เมือง ตหี ักไปตงั้ ม่นั ทีเ่ มอื งเพชรบูรณ์ แต่พอดอี ะแซหวุ่นก้ี
ถูกเรียกตัวกลับ พ.ศ. 2319 ทรงเป็นแม่ทัพไปตีหัวเมืองตะวันออกได้เมืองจ�ำปาศักดิ์

414 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย เมอื งโขง เมอื งอตั ปอื และเกลยี้ กลอ่ มไดเ้ มอื งตะลงุ เมอื งสรุ นิ ทร์ เมอื งสงั ขะ และเมอื งขขุ นั ธ์
ถึง พ.ศ. 2320 จึงทรงได้รับพระมหากรุณาปูนบ�ำเหน็จเป็น เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
พ.ศ. 2321 ทรงเป็นแม่ทัพไปตีเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และอัญเชิญพระแก้วมรกตกับ
พระบางลงมายังกรุงธนบุรี และใน พ.ศ. 2323 ทรงเป็นแม่ทัพไปปราบจลาจลเมืองเขมร
แตเ่ มอื่ ทรงทราบขา่ วจลาจลในกรงุ ธนบรุ ี จงึ ยกทพั กลบั มากรงุ ธนบรุ ี เสดจ็ กลบั ถงึ กรงุ ธนบรุ ี
เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ประทับบนศาลาลูกขุนมหาดไทย ตัดสินส�ำเร็จโทษ
สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช แล้วเหล่าขนุ นางและราษฎรทั้งหลายพร้อมกนั กราบบงั คม
ทูลเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ วันนี้ถือเป็นวันสถาปนา
มหาจกั รบี รมราชวงศ์ เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชทรงรบั อญั เชญิ
เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว โปรดให้ย้ายพระนครมาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้�ำ
เจ้าพระยาเย้ืองกับกรุงธนบุรีพระนครเดิมด้วยมีพระราชดำ� ริว่าฝั่งตะวันออกมีชัยภูมิดีกว่า
และสามารถป้องกันข้าศึกได้ดีกว่า โปรดให้ต้ังพิธียกเสาหลักเมืองเม่ือวันที่ 21 เมษายน
พ.ศ. 2325 และให้ก่อสร้างพระราชวงั ล้อมด้วยไม้ระเนียดไว้ก่อน พอให้ตงั้ การพระราชพิธี
ปราบดาภิเษกโดยสังเขป เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2325 จากน้ันจึงโปรดเกล้าฯ ให้
ก่อสร้างพระบรมมหาราชวงั พระราชวังบวรสถานมงคล และพระนครอย่างถาวรต่อไป

เม่ือก่อสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2327 จึงอัญเชิญ
พระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏมิ ากร (พระแกว้ มรกต) จากพระราชวงั เดมิ กรงุ ธนบรุ ี มาประดษิ ฐาน
ในพระอุโบสถ และเม่ือสร้างพระนครแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2328 โปรดให้กระทำ� พระราชพิธี
บรมราชาภิเษกครั้งท่ี 2 ให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี และให้มีการสมโภชพระนคร
ต่อเนื่องกัน พระราชทานนามพระนครว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์
มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน
อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธ์ิ” ต่อมาพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงแปลงสร้อย “บวรรัตนโกสนิ ทร์” เป็น “อมรรตั นโกสนิ ทร”์

ในเวลาเดียวกับการสร้างพระนคร ซึ่งล้อมด้วยกำ� แพง ป้อม และคูเมืองน้ัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงให้ตระเตรียมเสบียงอาหาร อาวุธ
ทั้งซื้อและหล่อเอง และต่อเรือรบไว้ต่อสู้ข้าศึกที่ส�ำคัญคือพม่า และใน พ.ศ. 2328
พม่าก็ยกกองทัพมาถึง 9 ทัพ ด้วยก�ำลังพลมากกว่าไทยถึงเท่าตัว แต่กลับมีข้อเสีย

เพราะไม่สามารถเข้าถึงกรุงพร้อมกัน ขณะที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 415
มหาราชทรงก�ำหนดยุทธศาสตร์โดยให้ออกไปสกัดทัพพม่าไม่ให้ถึงเมืองหลวงให้ต่อสู้ทัพ
ส�ำคัญก่อน ทพั ใดเสร็จศกึ ก็ให้หนนุ ไปช่วยด้านอ่นื ท�ำให้ตีทพั พม่าแตกพ่ายไปทกุ ทพั

ครนั้ พ.ศ. 2329 พระเจา้ ปดงุ กษตั รยิ พ์ มา่ ยกทพั มารบแกต้ วั เปลยี่ นยทุ ธวธิ กี ารรบ
โดยเตรียมยุ้งฉางมาพร้อม ตงั้ ค่ายใหญ่ที่ท่าดนิ แดงและสามสบ เมอื งกาญจนบุรี ต้งั ค่าย
ชักปีกกาถึงกัน ขุดสนามเพลาะปักขวากหนาแน่น และท�ำสะพานเช่ือมถึงกัน แต่เมื่อ
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชทรงเป็นแม่ทัพทรงตีค่ายท่าดนิ แดง และ
สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชทรงตคี า่ ยสามสบ ระดมก�ำลงั
เพียง 3 วนั พม่ากแ็ ตกพ่ายไปส้นิ

ในปตี อ่ มา พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชจงึ เสดจ็ นำ� ทพั ไปตี
เมอื งทวายของพมา่ เปน็ การตอบแทน แตไ่ มอ่ าจตหี กั ไดส้ ำ� เรจ็ เพราะเสน้ ทางทรุ กนั ดารและ
ขดั สนเสบยี งอาหารอยา่ งไรกต็ ามใน พ.ศ. 2334 ทวาย ตะนาวศรี และมะรดิ ไดข้ อสวามภิ กั ดิ์
ต่อไทย แต่พอพม่ายกลงมาทง้ั 3 เมอื งเกรงกลวั จงึ กลบั ไปขึ้นกับพม่าอีกใน พ.ศ. 2336

พมา่ ยงั พยายามจะชงิ หวั เมอื งทางเหนอื หรอื ดนิ แดนลา้ นนาตงั้ แต่ พ.ศ. 2330 จนถงึ
พ.ศ. 2348 กองทพั ไทยและล้านนาได้ร่วมกนั ต่อสู้จนขบั ไล่พม่าออกไปจากล้านนา และยัง
ได้เชียงตงุ แสนหวี เมอื งลื้อ สิบสองปันนาไว้ในราชอาณาจักรไทยด้วย

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังได้ทรงขยายพระราช
อาณาเขต โดยการท�ำสงครามและโดยการอุปถัมภ์ค�้ำจุนประเทศอ่ืน ๆ รอบพระราช
อาณาจกั ร ดงั น้ี

ลาว เป็นประเทศราชของไทยแล้วในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชจงึ ทรงแตง่ ตง้ั กษตั รยิ ล์ าวทที่ รงไวว้ างพระทยั ใหป้ กครองเวยี งจนั ทน์
ทงั้ เมอื่ กษตั รยิ ห์ ลวงพระบางคดิ จะเอาใจออกหา่ งไปพง่ึ พมา่ เจา้ อนแุ หง่ เวยี งจนั ทนย์ งั ชว่ ยไปตี
หลวงพระบาง จบั กษตั รยิ ์หลวงพระบางส่งมากรงุ เทพมหานคร

เขมร เปน็ ประเทศราชของไทยเชน่ กนั ภายในประเทศเกดิ จลาจล พระบาทสมเดจ็
พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชโปรดให้พระยายมราช (แบน) ไประงบั เหตุ รกั ษาราชการ
ในเมืองเขมร และพานักองเองเข้ามากรุงเทพมหานคร ทรงชุบเล้ียงคู่กับสมเด็จพระเจ้า

416 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอศิ รสนุ ทร (พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ถงึ 12 ปี
จึงทรงแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี ออกไปครองกรุงกัมพูชา และเมื่อ
สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีพิราลัย ก็โปรดให้สมเด็จฟ้าทะละหะเป็นผู้ส�ำเร็จราชการ
จนนักองจันท์พระราชโอรสสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีเจริญวัย จึงทรงแต่งตั้งเป็น
สมเด็จพระอทุ ัยราชาครองกรงุ กัมพูชา

ญวน พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชทรงเกอ้ื หนนุ องเชยี งสอื
ท่ีหนีภัยกบฏไกเซินมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจนกู้ชาติบ้านเมืองได้ ถวายต้นไม้เงินต้นไม้
ทองเป็นราชบรรณาการเม่ือต้ังตนเป็นจักรพรรดิ ทรงพระนามพระเจ้าเวียดนามยาลอง
จึงเลิกถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองแต่มีพระราชสาส์นและถวายสิ่งของมีค่าด้วยส�ำนึก
ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ และพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชโปรดให้เชญิ
พระราชสาส์นพร้อมเคร่อื งส�ำหรับกษัตริย์ไปพระราชทาน

มลายู ต้ังแต่ศึกสงคราม 9 ทัพ เม่ือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ทรงขับไล่พม่าออกไปจากภาคใต้แล้ว ได้เสด็จลงไปปราบหัวเมอื งใต้ได้เมอื งตานี (ปัตตาน)ี
แล้ว ไทรบุรี กลันตัน และตรังกานูก็ยอมอ่อนน้อม โปรดให้เมืองสงขลาและเมือง
นครศรธี รรมราชควบคมุ ดแู ล

นอกจากน้ี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังทรงรักษา
สมั พนั ธไมตรกี บั จนี ราชวงศช์ งิ สบื ตอ่ จากสมยั กรงุ ธนบรุ ี เพราะไดป้ ระโยชนจ์ ากการคา้ สำ� เภา
รวมทั้งเปิดรบั ชาวตะวนั ตก ทเ่ี ข้ามาค้าขาย มีโปรตุเกสและองั กฤษ เป็นต้น

พระราชกรณยี กจิ ดา้ นทะนบุ ำ� รงุ บา้ นเมอื ง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้
จฬุ าโลกมหาราชต้องทรงดำ� เนินการไปพร้อมกับการสงคราม เพราะเป็นเรื่องของการฟื้นฟู
ประเทศ ดว้ ยมพี ระราชประสงค์ “สรา้ งใหเ้ หมอื นสมยั บา้ นเมอื งด”ี ซงึ่ มผี ลดา้ นจติ วทิ ยา
ท�ำให้อาณาประชาราษฎร์มขี วญั และก�ำลงั ใจ และยงั มีผลท�ำให้ประเทศข้างเคยี งเกรงขาม
เม่ือเหน็ ว่าบ้านเมอื งไทยบรบิ ูรณ์รุ่งเรอื งดจุ เดิม

การจัดระเบยี บการปกครอง ทรงยดึ แบบอย่างครงั้ กรงุ ศรอี ยุธยา มอี ัครมหา
เสนาบดสี มหุ พระกลาโหมดแู ลหวั เมอื งฝา่ ยใต้ สมหุ นายกดแู ลหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื กรมทา่ ดแู ล
หวั เมอื งฝ่ายตะวนั ตก จดั การปกครองแบบจตสุ ดมภ์ คอื เวยี ง วงั คลงั นา หวั เมอื งแบ่งเป็น
หัวเมืองช้นั เอก ช้ันโท ชน้ั ตรี ชั้นจัตวา และหัวเมอื งประเทศราช

ด้านกฎหมายบ้านเมือง โปรดให้ช�ำระพระราชก�ำหนดกฎหมายให้ถูกต้อง ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 417
แลว้ ให้อาลกั ษณ์ ชบุ เสน้ หมกึ ไว้ ประทบั ตราพระราชสหี ์ พระคชสหี ์ และบวั แก้ว ซง่ึ เปน็ ตรา
ของสมหุ นายก สมหุ พระกลาโหม และพระคลงั แสดงวา่ ใชบ้ งั คบั ทวั่ ราชอาณาจกั ร กฎหมายน้ี
เรียกกันว่ากฎหมายตราสามดวง

ด้านศาสนา ใน พ.ศ. 2331 โปรดให้สงั คายนาพระไตรปิฎกท่วี ดั นิพพานาราม
ซึ่งได้พระราชทานนามใหม่ว่า วัดพระศรีสรรเพ็ชญดาราม ปัจจุบันคือวัดมหาธาตุยุวราช
รังสฤษฎ์ิ นับเป็นการสงั คายนาล�ำดับท่ี 9 ของโลก และยงั โปรดให้ตรากฎพระสงฆ์ควบคมุ
สมณปฏิบัติและข้อพึงปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนอีกหลายฉบับ รวมท้ังพระราชก�ำหนด
กวดขันศลี ธรรมข้าราชการและพลเมือง

ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวัฒนธรรม โปรดให้รื้อฟื้นและ
ทรงอปุ ถมั ภท์ กุ แขนง โปรดใหส้ รา้ งปราสาทพระราชวงั วดั วาอาราม เชน่ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดสระเกศ และวัดสุทัศนเทพวราราม โปรดให้รื้อฟื้น
พระราชพิธีส�ำคัญ ๆ คร้ังกรุงศรีอยุธยามาจัดทำ� อย่างถูกต้องตามแบบแผนราชประเพณี
ท้ังยังโปรดเกล้าฯ ให้มีประกาศ มีการจดจารบันทึกไว้เป็นแบบแผนสืบมา ตั้งแต่
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีสมโภชพระนคร พระราชพิธีพืชมงคล พระราชพิธี
ถอื น�้ำพระพพิ ัฒน์สตั ยา พธิ ที รงผนวชสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระราชพธิ ีโสกนั ต์ พระราช
พธิ สี มโภชพระเศวตกญุ ชร การออกพระเมรแุ ละพระราชพธิ ถี วายพระเพลงิ หรอื พระราชทาน
เพลงิ ทท่ี อ้ งสนามหลวง โปรดใหร้ วบรวมพระราชพงศาวดารและเอกสารส�ำคญั ของบา้ นเมอื ง
ท่ีกระจัดกระจายมาช�ำระเรียบเรียงขึ้นใหม่ ทรงส่งเสริมนักปราชญ์ราชกวี สร้างงาน
วรรณกรรมส�ำคัญ โดยทรงเป็นผู้น�ำทรงพระราชนิพนธ์บทละครเร่ืองรามเกียรติ์ฉบับยาว
ครบสมบูรณ์และเพลงยาวรบพม่าท่ที ่าดินแดง เป็นต้น

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตเม่ือวันที่ 7
กันยายน พ.ศ. 2352 พระชนมพรรษา 72 พรรษา ทรงดำ� รงสริ ริ าชสมบตั ิ 28 ปี

พระนาม “พระพุทธยอดฟ้า” เป็นพระนามจากการท่ีพระบาทสมเด็จพระ
นง่ั เกลา้ เจ้าอย่หู วั รชั กาลท่ี 3 ถวายพระนามพระพทุ ธรปู ทรงเครอื่ ง 2 พระองคห์ น้าฐานชกุ ชี
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งทรงสร้างเพ่ือเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลท่ี 1
และรชั กาลที่ 2 โดยถวายพระนามวา่ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกและพระพทุ ธเลศิ หลา้ สลุ าลยั

418 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย แลว้ โปรดใหเ้ รยี กพระนามแผน่ ดนิ ทเี่ รยี กกนั วา่ แผน่ ดนิ ตน้ เปน็ แผน่ ดนิ พระพทุ ธยอดฟา้ และ
แผน่ ดนิ กลางเปน็ แผน่ ดนิ พระพทุ ธเลศิ หลา้ สลุ าลยั (พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ทรงเปลี่ยนเป็นพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ส่วนพระราชสมัญญานาม “มหาราช” น้ัน
คณะรฐั มนตรไี ดม้ มี ตเิ มอื่ วนั ที่ 23 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2525 ใหถ้ วายพระราชสมญั ญานามเปน็
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช และใหเ้ ปลย่ี นชอ่ื วนั จกั รี วนั ที่ 6 เมษายน
เปน็ วนั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชและวนั ทร่ี ะลกึ มหาจกั รบี รมราชวงศ์

วีณา โรจนราธา

เอกสารอา้ งองิ
กรมศลิ ปากร. พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา เลม่ 2. กรงุ เทพฯ: ไอเดยี สแควร,์

2535.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. หนงั สอื อา้ งองิ วชิ าภาษาไทย ประวตั วิ รรณคด.ี พระนคร: โรงพมิ พ์

คุรุสภาพระสุเมรุ, 2511. คณะกรรมการจัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี.
ประวตั ศิ าสตรก์ รงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี 1 - รชั กาลท่ี 3 พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2394
เล่ม 1. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพมิ พ์, 2525.
จรรยา ประชิตโรมรัน, พลตรี. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช.
กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2542.
ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยธุ ยา. พระบรมราชจกั รีวงศ์. กรงุ เทพฯ: บพิธการพมิ พ์, 2547.
ทพิ ากรวงศ์ (ขำ� บนุ นาค), เจา้ พระยา. พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี 1.
กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา, 2531.
ทพิ ากรวงศมหาโกษาธบิ ด,ี เจา้ พระยา. พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลที่ 3.
กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพร้าว, 2547.
พทิ ยลาภพฤฒยิ ากร, พระวรวงศ์เธอ กรมหม่นื . เร่ืองพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้า
จุฬาโลกทรงฟื้นฟูวัฒนธรรม. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 2500. (นายสนั่น
บณุ ยศิรพิ นั ธ์ุ พมิ พ์ช่วยในงานคล้ายวนั ประสูติ พ.ศ. 2500)

บทที่ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 419

พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั

พระบรมสาทสิ ลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั

ประดษิ ฐาน ณ มุขกระสันตะวนั ออก
พระทน่ี ง่ั จกั รีมหาปราสาท

420 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นพระราชโอรสในพระบาท
สมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชกบั สมเดจ็ พระอมรนิ ทราบรมราชนิ ี พระนามเดมิ ฉมิ
ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันพธุ ท่ี 24 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2310 ณ นวิ าสสถานตำ� บลอัมพวา
สมุทรสงคราม ซึ่งขณะน้ันกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว ขณะที่ประสูติน้ันพระบาท
สมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชยงั ทรงรบั ราชการเปน็ หลวงยกกระบตั รเมอื งราชบรุ ี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โดยเสด็จพระบรมราชชนกในการศึกสงคราม
ตลอดมา ท้งั ก่อนและหลงั เสดจ็ ขนึ้ ครองราชสมบตั ิ

เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษก
ขน้ึ ครองราชสมบตั เิ ปน็ ปฐมกษตั รยิ แ์ หง่ พระบรมราชวงศจ์ กั รเี มอ่ื วนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325
จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาพระเกยี รตยิ ศเปน็ เจา้ ฟา้ ตา่ งกรม ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจา้
ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร และได้ทรงรับราชการใกล้ชิดพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ดแู ลงานต่างพระเนตรพระกรรณ เสมอมา ใน พ.ศ. 2349
ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ที่พระมหาอุปราช หลังจาก
ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสรุ สิงหนาทเสด็จสวรรคต

ใน พ.ศ. 2352 พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสดจ็ สวรรคต
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั จงึ ไดเ้ สดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั เิ ปน็ พระมหากษตั รยิ ์
รชั กาลที่ 2 แหง่ พระบรมราชวงศจ์ กั รี ทรงประกอบพระราชกรณยี กจิ ทส่ี รา้ งความเจรญิ รงุ่ เรอื ง
ให้แก่บ้านเมอื งเป็นอเนกประการ ท�ำให้บ้านเมอื งสงบและอดุ มสมบูรณ์

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยถือได้ว่า เป็นยุคทอง
ของวรรณคดีเพราะวรรณคดีของชาติรุ่งเรืองมาก ได้ทรงส่งเสริมงานศิลปะทุกประเภท
ทรงพระปรีชาสามารถในงานวรรณกรรมและบทละครเป็นอย่างย่ิง ทรงพระราชนิพนธ์
งานวรรณกรรมและบทละครตา่ ง ๆ ทที่ รงคณุ คา่ ไวจ้ ำ� นวนมาก เชน่ เสภาเรอื่ งขนุ ชา้ งขนุ แผน
(บางตอน) บทละครเรอ่ื งอเิ หนา รามเกยี รต์ิ คาวี ไกรทอง มณีพชิ ัย สงั ข์ทอง ไชยเชษฐ์
กาพยเ์ หเ่ รอื และบทพากยโ์ ขนตอนเอราวณั นาคบาศ และนางลอย พระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งอเิ หนา
ได้รบั การยกย่องจากวรรณคดสี โมสรเม่ือ พ.ศ. 2459 ว่าเป็นยอดของบทละครร�ำ พระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในคำ� น�ำบทละครเร่ืองรามเกียรติ์ว่า

“นักเลงหนังสือก็ดี นักเลงดูละครก็ดี ต้องยอมรับทั้งนั้นว่าเป็นหนังสืออันดี เป็น ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 421

บทกลอนไพเราะและถอ้ ยคำ� สำ� นวนดี เปน็ ตวั อยา่ งดยี งิ่ อนั หนง่ึ แหง่ จนิ ตกวนี พิ นธใ์ น
ภาษาไทยเรา สมควรแลว้ ทจ่ี ะเปน็ หนงั สอื ซง่ึ จะรกั ษาไวเ้ ปน็ แบบแผน” สมเดจ็ พระเจา้
บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ทรงยกยอ่ งวา่ “สว่ นบทละครนนั้ พระบาทสมเดจ็
พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย พระองคเ์ ป็นจนิ ตกวีอยา่ งวเิ ศษที่สดุ องค์ 1”

บทพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ นอกจากจะมีความไพเราะงดงามแล้ว ยังให้ความรู้
ด้านการศกึ ษาขนบธรรมเนยี มประเพณีและวฒั นธรรมด้วย เช่น ประเพณีโสกนั ต์ ประเพณี
งานพระเมรุ

นอกจากน้ีพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังสนพระราชหฤทัยด้าน
ศิลปะการดนตรเี ป็นอย่างย่งิ ทรงเช่ียวชาญและโปรดซอสามสาย พระองค์มซี อคู่พระหตั ถ์
อยคู่ นั หนง่ึ พระราชทานนามวา่ “ซอสายฟา้ ฟาด” ในรชั สมยั ของพระองคศ์ ลิ ปะดา้ นนาฏกรรม
เจรญิ รงุ่ เรอื งมาก ความงดงามไพเราะทง้ั บท และกระบวนการรำ� ไดป้ รบั ปรงุ และใชเ้ ปน็ แบบแผน
ทางนาฏศิลป์ของชาติมาจนปัจจุบัน และศิลปะด้านการดนตรีก็เจริญรุ่งเรืองท้ังทางมโหรี
ปี่พาทย์ และขับร้อง ท้ังยังทรงงานศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าย่ิงไว้อีกหลายประการ เช่น
หน้าหุ่นพระยารักใหญ่และพระยารักน้อย ลวดลายพระที่น่ังสนามจันทร์ ซ่ึงเป็นพระท่ีน่ัง
ไม้ขนาดเล็ก หุ่นพระพักตร์พระพุทธรูปประธานวัดอรุณราชวราราม บานประตูพระวิหาร
วดั สทุ ัศนเทพวราราม ทแ่ี กะเป็นรูปป่าเขาล�ำเนาไพรและสิงสาราสตั ว์นานาชนดิ เป็นต้น

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้ขยายอาณาเขต
พระบรมมหาราชวังและทรงสร้างสวนส�ำหรับประพาสไว้ในพระบรมมหาราชวังท่ีสร้าง
ไว้เดิมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เรียกว่า สวนขวา
ให้มีความงดงามบริบูรณ์ การสร้างสวนขวานี้มีนัยส�ำคัญเก่ียวกับราชการบ้านเมืองคือ
ท�ำให้ปรากฏพระเกียรติยศแสดงให้นานาประเทศเห็นว่าไทยมีก�ำลังสร้างราชธานีได้ใหม่
เหมือนดังราชธานีเดิมคร้ังกรุงศรีอยุธยา เม่ือชาวต่างประเทศและหัวเมืองประเทศราช
มาเฝ้าโปรดเกล้าฯ ให้พนักงานพาไปชมความงามของสวนขวา ซ่ึงเป็นท่ีสรรเสริญ
พระเกยี รตยิ ศไปนานาประเทศ

422 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั โปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ อกประกาศ
ยกเลิกธรรมเนียมการยิงกระสุนในระหว่างเสด็จพระราชด�ำเนิน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
แก่อาณาประชาราษฎร์ทรงได้ช้างเผือกเอกมาสู่พระบารมีถึง 3 ช้าง ถือว่าเป็นม่ิงมงคล
เพม่ิ พนู พระเกยี รตยิ ศ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหธ้ งทช่ี กั ในเรอื กำ� ปน่ั หลวงทไี่ ปคา้ ขายยงั นานาประเทศ
ท�ำรูปช้างสีขาวอยู่กลางวงจักรติดในธงพ้ืนแดงและใช้เป็นธงชาติไทย ต่อมาจนถึงรัชสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จงึ เปล่ียนมาเป็นธงไตรรงค์เช่นปัจจบุ ัน

ด้านการค้ากับต่างประเทศ ปรากฏว่าการค้ากับจีนและประเทศทางตะวันตก
เฟื่องฟมู าก ทรงส่งเสริมการค้ากบั ต่างประเทศ โดยทรงส่งเรอื สำ� เภาไปค้าขายกับจีน เขมร
ญวน มลายู มีเรือสนิ ค้าของหลวงเดินทางไปจีนเป็นประจำ� รวมทั้งประเทศตะวันตกต่าง ๆ
เช่น โปรตเุ กส องั กฤษ น�ำรายได้เข้าสู่ประเทศจำ� นวนมาก

ในด้านสงั คม ทรงพระราชดำ� ริว่าการสูบฝิ่นเป็นอนั ตรายแก่ผู้สบู ทั้งก่อให้เกดิ
คดอี าชญากรรมขน้ึ มาก แม้ฝิ่นจะนำ� รายได้จำ� นวนมากเข้าพระคลงั หลวง แต่ด้วยพระมหา
กรุณาธิคณุ ท่มี ตี ่อราษฎร ทรงตราพระราชก�ำหนดห้ามมิให้ซ้ือขายและสบู ฝิ่น ทรงก�ำหนด
บทลงโทษสำ� หรบั ผู้ฝ่าฝืนไว้อย่างหนัก

ในดา้ นปกครองนนั้ ทรงรเิ รมิ่ การแตง่ ตงั้ เจา้ นายใหก้ �ำกบั ราชการกระทรวงตา่ ง ๆ
หลายพระองค์ เช่น โปรดเกล้าฯ ให้สมเดจ็ พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์
ทรงก�ำกับราชการกรมมหาดไทย พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืนศักดิพลเสพสำ� เร็จราชการ
กรมพระกลาโหม และพระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหมน่ื เจษฎาบดนิ ทร์ (พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้
เจ้าอยู่หวั ) สำ� เรจ็ ราชการกรมพระคลัง (คือกรมท่า) การให้เจ้านายกำ� กับราชการกระทรวง
ต่าง ๆ นับเป็นพระราชด�ำริที่มีความส�ำคัญต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะเจ้านาย
จะได้ทรงเรยี นรู้การบรหิ ารงานซง่ึ เป็นประโยชน์ในเวลาต่อมาเป็นอย่างยิง่

ส่วนการพระศาสนา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ริเริ่มการประกอบพิธี
วิสาขบูชาขน้ึ ใน พ.ศ. 2360 เป็นครง้ั แรกในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ พระราชกรณียกจิ ในการฟื้นฟู
ประเพณีการจัดงานวันวิสาขบูชาได้เป็นประเพณีสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน และโปรดเกล้าฯ
ให้มกี ารแก้ไขวธิ สี อบพระปริยัตธิ รรมซง่ึ เดิมแบ่งเป็น 3 ขัน้ คอื เปรยี ญตรี เปรยี ญโท และ
เปรียญเอก โดยโปรดให้ก�ำหนดวิธีสอบเป็น 9 ประโยคผู้สอบได้ 3 ประโยคขึ้นไปนับว่า

เป็นเปรียญ นอกจากนีย้ งั โปรดเกล้าฯ ให้มกี ารสงั คายนาบทสวดมนต์และมพี ระราชดำ� รวิ ่า ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 423
พระสงฆใ์ นลงั กาทวปี เปน็ สมณวงศเ์ ดยี วกบั พระสงฆใ์ นสยามประเทศ และเคยมสี มณไมตรี
ติดต่อกันมาต้งั แต่คร้ังกรงุ ศรีอยุธยา แต่ขาดการตดิ ต่อไป จงึ โปรดเกล้าฯ ให้ส่งสมณทตู ไป
ลังกาเพอื่ ทราบการพระศาสนาและศาสนวงศ์ในลังกาทวปี ด้วย

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมือง
ทปี่ ากลดั ตอ่ จากทคี่ า้ งไวพ้ ระราชทานนามวา่ เมอื งนครเขอื่ นขนั ธ์ แลว้ โปรดใหย้ า้ ยครวั มอญ
เมอื งปทมุ ธานไี ปอยทู่ เี่ มอื งนครเขอ่ื นขนั ธ์ และใน พ.ศ. 2362 โปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระเจา้ ลกู ยาเธอ
กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงเป็นแม่กองสร้างเมืองสมุทรปราการ ให้เป็นเมืองป้อมปราการ
สำ� หรับป้องกนั ข้าศึกทีใ่ ช้เส้นทางเดนิ ทัพมาตีไทยทางทะเล

พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั ทรงครองสริ ิราชสมบตั เิ ป็นเวลา 15 ปี
เสด็จสวรรคต เมื่อวันท่ี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ขณะพระชนมพรรษา 56 พรรษา
พระองค์มพี ระราชโอรสและพระราชธดิ า รวม 73 พระองค์

องค์การการศกึ ษา วิทยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นบุคคล
สำ� คัญของโลกในอภลิ ักขติ สมยั ครบรอบ 200 ปี แห่งพระบรมราชสมภพ เมื่อ พ.ศ. 2511
นับว่าทรงเป็นคนไทยล�ำดับที่ 3 ท่ไี ด้รบั การประกาศเกยี รติคณุ น้ี

กฤษฎา บณุ ยสมิต
เอกสารอา้ งองิ
กนกวลี ชูชยั ยะ และกฤษฎา บุณยสมติ . บคุ คลสำ� คัญของไทยทโี่ ลกยกยอ่ ง. กรุงเทพฯ:
เมธที ปิ ส์, 2546.
คณะอนกุ รรมการประชาสมั พนั ธก์ ารจดั งานพระบรมราชานสุ รณป์ ี 2521. เฉลมิ พระเกยี รติ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ ฯ ในศภุ วาระครบ 200 ปี วนั พระบรมราช
สมภพ 2 กมุ ภาพันธ์ 2521. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ยันฮี, 2521.
ด�ำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. พระราชพงศาวดารกรุง
รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี 2. กรุงเทพฯ: ไอเดยี สแควร์, 2546.

ใตร้ ม่ พระบารมจี กั รนี ฤบดนิ ทร์ สยามนิ ทราธริ าช. กรงุ เทพฯ: ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ,์ 2547.
(ราชบัณฑิตยสถานจัดพิมพ์ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญ
พระชนมพรรษา 75 พรรษา)

ทพิ ากรวงศ,์ เจา้ พระยา. พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร:
องค์การค้าครุ ุสภา, 2504.

ปถพีรดี. “งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่อุทยาน
พระบรมราชานสุ รณ์ อำ� เภออมั พวา จงั หวดั สมทุ รสงคราม วนั ท่ี 8-9 กมุ ภาพนั ธ์ 2546.”
สกลุ ไทย. ปีที่ 49 ฉบับที่ 2521 (กมุ ภาพันธ์ 2546): หน้า 116-117.

มลู นธิ พิ ระบรมราชานสุ รณ์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ.์
จดหมายเหตรุ ชั กาลที่ 2 เลม่ 3 จลุ ศกั ราช 1171-1174. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรก์ ารพมิ พ,์
2528.

เร่ืองอิเหนาพระราชนิพนธร์ ัชกาลท่ี 2. กรงุ เทพฯ: บรรณาคาร, 2543.

424 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย

บทท่ี ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 425

พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจ้าอยูห่ วั

พระบรมสาทิสลักษณ์
พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ประดษิ ฐาน ณ มุขกระสนั ตะวันออก พระท่ีน่ังจกั รีมหาปราสาท

426 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หวั พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าทับ เป็น
พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ขณะทรงด�ำรงพระอิสริยยศ
เป็นสมเด็จพระเจ้าลกู ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอศิ รสุนทร) กับเจ้าจอมมารดาเรยี ม (ต่อมา
ภายหลังทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระศรีสุลาลัย) เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันจันทร์ท่ี
31 มนี าคม พ.ศ. 2330 ณ พระราชวงั เดิม กรงุ ธนบรุ ีในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ-
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครน้ั พ.ศ. 2349 สมเดจ็ พระราชบดิ าทรงได้รบั อุปราชาภิเษกเป็น
พระมหาอปุ ราช จึงทรงดำ� รงพระอสิ ริยยศเป็นพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทับ พระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ท�ำ
พธิ ีโสกนั ต์เป็นการพเิ ศษ และเมือ่ ครบปีท่จี ะทรงพระผนวช กโ็ ปรดเกล้าฯ ให้ทรงพระผนวช
ณ วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม แล้วเสด็จไปประทบั จ�ำพรรษา ณ วัดราชสิทธาราม

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จข้ึนครองราชสมบัติใน
พ.ศ. 2352 พระองคเ์ จา้ ทบั ทรงรบั ราชการสนองพระเดชพระคณุ จนเปน็ ทไ่ี วว้ างพระราชหฤทยั
ใน พ.ศ. 2356 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาทรงกรมเปน็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหมน่ื เจษฎาบดนิ ทร์
ทรงก�ำกับราชการกรมท่ากรมพระคลงั มหาสมบัติ และกรมพระตำ� รวจว่าความฎกี า ซ่งึ เป็น
ราชการส�ำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงความม่ังค่ังของชาติ และความสงบสุขของราษฎร
พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างย่ิง ทรงบำ� เพ็ญพระราชกุศลเลี้ยงพระ
มิได้ขาด ทรงต้ังโรงทานเล้ียงดูราษฎรท่ีอัตคัดขัดสน ณ บริเวณหน้าวังท่าพระ ซึ่งเป็น
ที่ประทับในขณะนั้น ด้านการค้าทรงแต่งส�ำเภาหลวงและส�ำเภาส่วนพระองค์ไปค้าขาย
ท่ีเมืองจีน สร้างความมั่งค่ังให้ชาติอย่างย่ิง ฐานะส่วนพระองค์ก็มั่นคงจนพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงเรยี กวา่ เจา้ สวั จอหน์ ครอวเ์ ฟดิ ทตู ของผสู้ �ำเรจ็ ราชการองั กฤษ
ที่อินเดียส่งมาเจรจาทางพระราชไมตรี แสดงความเห็นไว้ในเอกสารของจอห์น ครอว์เฟิด
สรปุ ไดว้ า่ กรมหมนื่ เจษฎาบดนิ ทรท์ รงวา่ ราชการสทิ ธข์ิ าดทงั้ ดา้ นการตา่ งประเทศและการคา้
ทรงเป็นเจ้านายท่ีฉลาดหลักแหลมที่สุดในบรรดาเจ้านายและขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ในราชส�ำนกั สยาม

ใน พ.ศ. 2363 พม่ายกก�ำลังมาต้ังยุ้งฉางสะสมเสบียงอาหารเตรียมท�ำศึก
ที่ปลายด่านเมืองกาญจนบุรี กรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ทรงได้รับพระบรมราชโองการให้คุม
ก�ำลังไปขัดตาทัพท่ีต�ำบลปากแพรก ริมแม่น�้ำน้อย เป็นเวลาประมาณปีเศษ พม่าเลิกทัพ
กลับไปโดยไม่ต้องรบกนั

พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลยั เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2367 โดยมิได้ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 427
ตรสั มอบการสบื พระราชสนั ตตวิ งศ์ พระสงั ฆราช พระราชาคณะผใู้ หญ่ พระบรมวงศานวุ งศ์
และเสนาบดีผู้ใหญ่ร่วมประชุมปรึกษาหารือกัน เห็นควรมอบสิริราชสมบัติให้กรมหมื่น
เจษฎาบดนิ ทร์รักษาแผ่นดนิ สบื ไป นับเป็นอเนกชนนกิ รสโมสรสมมตุ ิ

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันพุธที่ 21
กรกฎาคม พ.ศ. 2367 มพี ระปรมาภิไธยซงึ่ จารกึ ในพระสพุ รรณบัฏเหมือนรัชกาลท่ี 1 และ 2
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงท�ำพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏถวาย
พระปรมาภไิ ธยใหมใ่ น พ.ศ. 2394 วา่ “พระบาทสมเดจ็ พระปรมาทวิ รเสฏฐมหาเจษฎา
บดนิ ทร์ สยามมนิ ทรวโรดม บรมธรรมมกิ มหาราชาธริ าชบรมนารถบพติ ร พระนงั่ เกลา้

เจา้ อย่หู วั ”
พระราชกิจส�ำคัญของพระมหากษัตริย์คือ การบ�ำบัดทุกข์บ�ำรุงสุขของราษฎร

พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสืบทอดหลักการปกครองตามพระราชประเพณี
ด้วยความตง้ั พระทยั เป็นอย่างยง่ิ โปรดให้ขนุ นาง ข้าราชการผู้ใหญ่เข้าเฝ้าถวายข้อราชการ
วันละ 2 คร้งั ดงั จะเหน็ พระราชจริยวตั รจากพระราชานกุ จิ ท่ีบันทึกว่า เวลาเสดจ็ ออกจวน
4 โมง (10 นาฬิกา)...อคั รมหาเสนาบดนี ่งั ตรงช่องกลางระหว่างเสาที่ 2 และที่ 3 จตสุ ดมภ์
เจ้าประเทศราชนั่งเหนือเสาท่ี 2 ข้าราชการนอกนั้นเฝ้าหลามลงมาจนหน้าลับแล...อีกช่วง
หนงึ่ เสดจ็ ออกเวลา

...ยามหนง่ึ (21 นาฬิกา) เสดจ็ ออก...ถ้าอย่างเรว็ ไม่มีราชการเสด็จข้นึ 2 ยาม
(เท่ยี งคนื ) ถ้ามรี าชการขนึ้ 8 ทุ่ม (2 นาฬิกา) โดยมาก ถ้ามีราชการสำ� คัญทคี่ ับขันเสดจ็
ออกทุ่มหนง่ึ (19 นาฬิกา) เสวยในฉากแล้วขึ้นพระแท่น อยู่จนกระทงั่ เวลาตี 11 (5 นาฬิกา)
จงึ เสดจ็ ข้นึ

ในการปกครองบ้านเมอื ง โปรดให้ตง้ั บ้านเป็นเมือง 25 เมือง ส่วนใหญ่อยู่ทาง
ภาคอีสาน ทรงปลูกฝังให้ราษฎรร่วมรับผิดชอบต่อสังคมโดยการตราพระราชก�ำหนด
โจรห้าเส้น ซึ่งก�ำหนดให้ราษฎรช่วยกันดูแลระมัดระวังโจรผู้ร้ายภายในรัศมี 5 เส้นจาก
บา้ นเรอื นตน นอกจากน้ี ยงั มกี ารตง้ั กลองวนิ จิ ฉยั เภรใี หร้ าษฎรรอ้ งทกุ ขถ์ วายฎกี าไดท้ กุ เวลา

428 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย ตั้งแต่ต้นรัชกาล การศึกกับพม่าเร่ิมลดน้อยลงเน่ืองจากพม่ามีปัญหาภายใน
และเผชิญภัยภายนอกจากการคุกคามของอังกฤษ ในการน้ีอังกฤษชักชวนไทยให้ช่วยรบ
กับพม่าด้วยเหน็ เป็นศตั รกู นั มานาน ไทยไปช่วยองั กฤษตีได้เมอื งมะริด ทวาย เมาะตะมะ
และวางแผนจะขน้ึ ไปตหี งสาวดี ตองอตู ่อ แต่เกดิ บาดหมางกนั จงึ ยกทพั กลบั ต่อมาองั กฤษ
ได้ชัยชนะเหนือพม่าโดยเด็ดขาด ต้ังแต่น้ัน พม่าไม่สามารถยกทัพมารุกรานไทยได้อีก
คงเหลือภัยที่ไทยต้องระวัง คือ ญวน ลาว เขมร ทรงท�ำสงครามอานามสยามยุทธ
เป็นเวลาเกอื บ 15 ปี สงครามส้ินสุดลงโดยไม่มผี ู้แพ้ชนะ ท�ำสัญญาสงบศึกใน พ.ศ. 2390
นอกจากนที้ รงจดั การบา้ นเมอื งบรเิ วณชายแดนใหส้ งบทงั้ ดา้ นหวั เมอื งลาว หวั เมอื งตะวนั ตก
โดยเฉพาะอย่างย่ิงหัวเมืองปักษ์ใต้ในด้านการป้องกันประเทศ โปรดให้สร้างป้อมปราการ
เพิ่มข้ึนหลายแห่ง ต่อเรือรบส�ำหรับใช้ในแม่น�้ำ และเรือก�ำปั่นที่ออกทะเลได้จ�ำนวนมาก
โปรดให้ช่างช�ำนาญการหล่อเหลก็ จากจนี มาหล่อปืนใหญ่หลายกระบอก

ในช่วงปลายรชั กาล มหาอ�ำนาจตะวนั ตกเรมิ่ เข้ามามบี ทบาทด้วยการขอเจริญ
ทางพระราชไมตรี โดยมนี โยบายเรอื ปืนหนนุ หลงั เป็นปัญหาทป่ี ระเทศจะต้องเผชิญต่อไป
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นการณ์ไกล ดังกระแสพระราชด�ำรัสที่มี
ต่อสมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ทเ่ี ข้าเฝ้าในพระท่ตี อนปลายรัชกาลใน พ.ศ. 2393
ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรงุ รัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 ว่า “การศกึ สงครามข้างญวน
ขา้ งพมา่ กเ็ หน็ จะไมม่ แี ลว้ จะมอี ยกู่ แ็ ตข่ า้ งพวกฝรงั่ ใหร้ ะวงั ใหด้ อี ยา่ ใหเ้ สยี ทแี กเ่ ขาได้

การงานสง่ิ ใดของเขาทด่ี คี วรจะเรยี นรำ�่ เอาไว้ กเ็ อาอยา่ งเขา แตอ่ ยา่ ใหน้ บั ถอื เลอ่ื มใส
ไปทีเดียว” ซึ่งการณ์ต่อมาก็เป็นดังเช่นท่ีทรงคาดไว้ใน พ.ศ. 2436 เม่ือเกิดวิกฤตการณ์
ร.ศ. 112 ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั กไ็ ด้ใช้เงินพระราชทรพั ย์จาก
การค้าส�ำเภาของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวท่ีเรียกว่า เงินถุงแดง มาชดใช้ให้
ฝรงั่ เศส เท่ากบั ได้ใช้เพอ่ื กู้บ้านกู้เมอื งตามพระราชปณิธาน

รัชสมัยของพระองค์ได้รับยกย่องว่ามีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและ
การพระศาสนาเป็นอย่างย่ิง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระปรีชาสามารถ
ในการน�ำรายได้เข้าสู่ท้องพระคลังมาต้ังแต่ก่อนข้ึนครองราชย์ ครั้นเมื่อเสวยราชย์แล้ว
ทรงสรา้ งความเปน็ ปกึ แผน่ ทางเศรษฐกจิ ดว้ ยการประหยดั รายจา่ ยและเพมิ่ พนู รายไดแ้ ผน่ ดนิ

โดยการแก้ไขวธิ เี กบ็ ภาษีอากรแบบเดิม เช่น เปลีย่ นเกบ็ อากรค่านาจากหางข้าวมาเป็นเงิน ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 429
ทรงต้ังภาษีอากรใหม่อีก 38 ชนิด และทรงก�ำหนดระบบเจ้าภาษีนายอากรใหม่
โดยรัฐเก็บภาษีเองเฉพาะภาษีที่ส�ำคัญบางอย่าง นอกน้ันให้เจ้าภาษี นายอากรประมูล
รับเหมาผกู ขาดไป ท้งั 3 วิธีดงั กล่าว เพิ่มพูนรายได้ให้หลวงอย่างมาก

ส่วนการค้าส�ำเภาที่สร้างความมั่งคั่งอย่างมาก คร้ันปลายรัชกาลเร่ิมลด
ความสำ� คญั ลงเพราะชาวตะวนั ตกเรมิ่ ใชเ้ รอื กำ� ปน่ั ใบซงึ่ มปี ระสทิ ธภิ าพดกี วา่ เขา้ มาคา้ แทน
โดยเฉพาะอย่างย่ิง ภายหลังจากท่ีท�ำสนธิสัญญาเบอร์นีย์กับอังกฤษใน พ.ศ. 2369
ส่งผลให้การค้ากบั ต่างประเทศขยายตวั มากขน้ึ สนิ ค้าออกที่สำ� คญั ในขณะนั้น คือ นำ้� ตาล
และข้าว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการผลิตจากการเกษตรแบบพอมีพออยู่ มาเป็น
การผลิตเพื่อส่งเป็นสินค้าออก กล่าวคือ ท�ำนาเพื่อส่งออกข้าว และปลูกอ้อยเพื่อเป็น
วัตถุดิบในโรงงานน้�ำตาล ดังจะเห็นได้จากกรณีการขุดคลองแสนแสบเพ่ือประโยชน์ใน
ราชการสงคราม ตอ่ มาไดเ้ ปลย่ี นบทบาทมาเปน็ การเปดิ พนื้ ทสี่ ำ� หรบั ปลกู ขา้ วและออ้ ยแทน
ซ่ึงสร้างรายได้ให้หลวงมาก พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเอาพระทัยใส่ต่อปัญหา
ในการทำ� มาหากนิ ของราษฎร ดงั ปรากฏในพระบรมราชโองการทมี่ ไี ปถงึ เจ้าเมอื งตา่ ง ๆ ใน
พ.ศ. 2386 เมื่อเกิดภาวะฝนแล้งว่า “...สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว จะใคร่ทรงทราบ
การไรน่ า นำ�้ ฝน น�้ำท่าใหถ้ ้วนถแี่ น่นอน ให้พระยาไชยวิชติ พระปลัด กรมการวา่

กลา่ วตรวจดแู ลใหเ้ จา้ เมอื ง กรมการ ราษฎรทำ� ไรน่ าใหท้ ว่ั กนั ใหเ้ ตม็ ภมู ฐิ าน ใหไ้ ดผ้ ล

เมด็ ข้าวในปมี ะโรง ฉอศกใหจ้ งมาก...”
ในด้านพระศาสนา ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกตามพระราชประเพณี

มีพระราชศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธศาสนา พระองค์โปรดผู้ท่ีมีศรัทธาทะนุบำ� รุง
พระพทุ ธศาสนา ดงั พระด�ำรสั ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
“ในรัชกาลท่ี 3 ใครมีใจศรัทธาสร้างวัดก็เป็นคนโปรด” ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์
วดั วาอารามและพระพทุ ธรูปจ�ำนวนมาก ทรงประกอบพระราชกุศลทกุ วาระ และโดยส่วน
พระองคเ์ องทรงบาตรทกุ เชา้ ในพระราชานกุ จิ บนั ทกึ วา่ “แตถ่ งึ จะเสดจ็ ออกอยจู่ นดกึ เทา่ ไร
เวลาเช้าคงเสด็จลงทรงบาตรตามเวลา ไม่ได้เคลื่อนคลาด” ทรงนิมนต์พระสงฆ์
เข้ามาถวายพระธรรมเทศนาในพระบรมมหาราชวังเป็นประจำ� โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวม

430 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พระไตรปิฎก และประกอบพระราชกุศลในลักษณะเช่นนี้อีกหลายประการ แม้ภาษีอากร
บางอย่างทส่ี ร้างรายได้ให้มาก แต่เป็นบาปก็โปรดเกล้าฯ ให้งดเสีย ได้แก่ ภาษฝี ิ่นเพราะ
เปน็ ของชวั่ ทำ� ลายราษฎรใหอ้ อ่ นแอ อากร คา่ นำ้� และอากรคา่ รกั ษาเกาะ ซงึ่ เกบ็ จากผเู้ กบ็ ไข่
จะละเม็ดอันเป็นการส่งเสริมให้ราษฎรฆ่าสัตว์ มีพระราชศรัทธาบ�ำเพ็ญพระราชกุศล
ให้สัตว์ทง้ั หลายรอดชีวติ

นอกจากน้ี ยงั มพี ระทยั กวา้ ง ในรชั สมยั ของพระองค์ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวขณะทรงดำ� รงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ และยัง
ทรงพระผนวชอยู่ ทรงต้งั นกิ ายสงฆ์ใหม่คอื คณะธรรมยตุ กิ นกิ าย กท็ รงสนบั สนุน ดังจะเห็น
ได้จากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทาน
สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟ้ามหาวชริ ณุ หิศ สยามมกุฎราชกมุ าร ความว่า

...ส่วนทูลกระหม่อมทรงตั้งพระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกาย เป็นการต่อสู้
อย่างยิ่งมิใช่เล่น ท่านก็มิใช่แต่ไม่ออกพระโอษฐคัดค้านอันหนึ่งอันใด กลับ
พระราชทานทีว่ ัดบวรนิเวศฯ ใหเ้ ป็นทเ่ี สดจ็ มาประทับอยเู่ ป็นที่ต้ังธรรมยตุ ิกนิกาย
และยกย่องให้เป็นราชาคณะผู้ใหญ่ จนถึงเป็นผู้สอบไล่พระปริยัติธรรมจนจวน
สวรรคตทีเดียว จึงไดข้ อเลกิ เรอ่ื งหม่ ผา้ แหวกอกแต่อย่างเดียวเทา่ นน้ั ...

ผลอีกประการหน่ึงท่ีเกิดจากการท่ีทรงพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา คือ
ความเจรญิ รงุ่ เรอื งทางศลิ ปกรรมแขนงตา่ ง ๆ โดยเฉพาะสถาปตั ยกรรม ซง่ึ มลี กั ษณะเฉพาะ
เป็นพระราชนิยม เช่น การเปล่ียนแปลงส่วนหลังคาโบสถ์ ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์
หน้าบนั ประดบั กระเบอ้ื งเคลอื บจานชามจนี เช่นท่ีวดั ราชโอรสาราม จิตรกรรมกม็ ีลักษณะ
ผสมผสานแบบจนี

ปลายรัชกาล กระแสพระราชด�ำริเกี่ยวกับผู้สืบราชสมบัติ ก็แสดงให้เห็นถึง
นำ้� พระทัยท่ที รงรักและห่วงใยบ้านเมอื งย่ิง ทรงมอบให้เสนาบดผี ู้ใหญ่ประชุมปรึกษากันว่า
พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใด ท่ีมีวัยวุฒิปรีชารอบรู้ เป็นศาสนูปถัมภก ปกป้องไพร่ฟ้า
ประชาชน รักษาแผ่นดนิ ให้เป็นสขุ สวัสดิ์ เป็นทีย่ ินดแี ก่มหาชน กใ็ ห้พร้อมใจกันยกพระองค์
นน้ั ขนึ้ เสวยราชย์ การครงั้ นี้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเลา่ พระราชทาน
สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟ้ามหาวชริ ณุ หิศ สยามมกุฎราชกมุ าร ว่า

...มาจนชนั้ ปลายท่สี ดุ จวนจะสวรรคต ใชว่ า่ ทา่ นจะไมม่ พี ระราชประสงค์
จะให้พระราชโอรสสืบสันตติวงศ์เม่ือใด แต่หากท่านไม่มั่นพระทัยในพระราชโอรส

ของทา่ นวา่ องคใ์ ดอาจจะรกั ษาแผน่ ดนิ ได้ เพราะทา่ นรกั แผน่ ดนิ มากกวา่ พระราชโอรส ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 431
จึงได้มอบคืนแผ่นดินให้แก่เสนาบดี ก็เพื่อประสงค์จะให้เลือกเชิญทูลกระหม่อม
ซ่ึงเห็นปรากฏอยู่แล้วว่า ทรงพระสติปัญญาสามารถจะรักษาแผ่นดินได้ขึ้นรักษา
แผน่ ดินสืบไป นกี่ เ็ ป็นการแสดงให้เหน็ พระราชหฤทัยว่า ต้นพระบรมราชวงศข์ อง
เรายอ่ มรักแผ่นดนิ มากกวา่ ลกู หลานในส่วนตวั

แม้เมื่อทรงพระประชวรหนักก็โปรดให้ย้ายพระองค์ออกจากพระที่น่ังจักรพรรดิ
พิมานองค์ตะวันออกซ่ึงประทับอยู่ไปยังองค์ตะวันตก ซึ่งจะไม่เก่ียวข้องกับการจัดพระราช
พธิ บี รมราชาภเิ ษกของพระมหากษตั รยิ พ์ ระองคต์ อ่ ไป แสดงใหเ้ หน็ ถงึ น้�ำพระทยั ทท่ี รงนกึ ถงึ
ผู้อื่นและส่วนรวมก่อนพระองค์เอง พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
ณ พระทนี่ ง่ั จกั รพรรดพิ มิ านองคต์ ะวนั ตก เมอ่ื วนั พธุ ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 รวมพระชนมายุ
63 พรรษา มสี ายราชสกุลสบื เนื่องมา 13 มหาสาขา คือ ศริ ิวงศ์ โกเมน คเนจร งอนรถ
ลดาวลั ย์ ชมุ สาย ปิยากร อไุ รพงศ์ อรณพ ล�ำยอง สุบรรณ สงิ หรา และชมพูนทุ

ตอ่ มาใน พ.ศ. 2540 พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลปจั จบุ นั ทรงพระกรณุ า
โปรดเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญาพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “พระมหา-
เจษฎาราชเจ้า” ซ่ึงมีความหมายว่า “พระมหาราชเจ้าผู้มีพระทัยต้ังมั่นในการบ�ำเพ็ญ
พระราชกจิ ”

สุทธิพนั ธ์ ขทุ รานนท์

เอกสารอา้ งองิ
กรมศิลปากร. ต�ำนานวัตถุสถานต่างๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงสถาปนา และกรมสมเด็จพระศรีสุลาไลย พระบรมราชชนนพี นั ปีหลวง.
กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์พรน้ิ ตง้ิ กรุ๊พ, 2530.
____________. พระราชานุกจิ . กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์, 2526.
____________. เอกสารของครอว์ฟอร์ด. ไพโรจน์ เกษแม่นกิจ, แปล. นครหลวงกรุงเทพ
ธนบรุ ี: โรงพมิ พ์การศาสนา, 2515.
กระทรวงศึกษาธิการ. กรมวิชาการ. แนวพระราชด�ำริเก้ารัชกาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
คุรุสภาลาดพร้าว, 2527.

432 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย คณะกรรมการจดั งานสมโภชกรงุ รัตนโกสินทร์ 200 ปี. ประวตั ิศาสตรก์ รงุ รตั นโกสนิ ทร์
รชั กาลท่ี 1 - รัชกาลท่ี 3 เล่ม 1. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2525.

จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 เลม่ 1. กรุงเทพฯ: สหประชาพาณิชย์, 2530.
ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา. “พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว เจษฎาราชเจ้า.”

ใน สดดุ บี ุคคลส�ำคญั เล่ม 19. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท ที ฟิล์ม จ�ำกดั , 2549.
ทพิ ากรวงศมหาโกษาธบิ ด,ี เจา้ พระยา. พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลที่ 3.

กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์คุรสุ ภา ลาดพร้าว, 2547.
พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระมหาเจษฎาราชเจา้ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ภาพพิมพ์, 2549.
มูลนิธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว. วัดยานนาวา/รัชกาลที่ 3

พระบดิ าแหง่ การค้าไทย. กรุงเทพฯ: ประดพิ ัทธ์, 2547.
วอเตอร์ เอฟ. เวลลา. แผ่นดินพระน่ังเกล้าฯ. พ.อ. นิจ ทองโสภิต, แปล. กรุงเทพฯ:

อมรนิ ทร์พร้นิ ต้ิงกรุ๊พ, 2530.

บทท่ี ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 433

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว

พระบรมสาทิสลักษณ์
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
ประดษิ ฐาน ณ มุขกระสันตะวันออก พระท่ีนงั่ จกั รมี หาปราสาท

434 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระนามเดิมว่า สมเด็จ
พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย (เมือ่ คร้ังทรงดำ� รงพระยศเป็นสมเดจ็ พระเจ้าลกู ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอศิ รสนุ ทร)
กับ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (เม่ือทรงด�ำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าบุญรอด
พระธดิ าในสมเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟา้ กรมพระศรสี ดุ ารกั ษ์ พระภคนิ ใี นพระบาทสมเดจ็
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันพฤหัสบดีท่ี 18 ตุลาคม
พ.ศ. 2347

เม่ือทรงเจริญพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงเข้าสู่พระราชพิธีลงสรง ซึ่งจัดขึ้น
เป็นครงั้ แรกในกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เม่อื พ.ศ. 2355 แล้ว เฉลมิ พระนามตามพระสพุ รรณบฏั
ว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงศ์ พงศาอิศวร กระษัตริย์
ขัตตยิ ราชกมุ าร” คร้ันถงึ พ.ศ. 2367 พระชนมายุ 21 พรรษา ทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ
ตามราชประเพณี คร้ันทรงพระผนวชได้ 15 วัน สมเด็จพระบรมชนกนาถก็เสด็จสวรรคต
โดยไม่ได้มอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง พระบรมวงศานุวงศ์
ได้พร้อมกนั กราบบังคมทูลเชญิ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทบั กรมหมื่นเจษฎาบดนิ ทร์
พระราชโอรสองค์ใหญ่ ซงึ่ ทรงว่าการพระคลงั และการต่างประเทศ ต่างพระเนตรพระกรรณ
มาแต่เดมิ ให้เสดจ็ ข้นึ ครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจ้าอยู่หวั รชั กาลที่ 3

ในระหวา่ งทรงพระผนวช สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ มงกฎุ พระวชริ ญาณ
มหาเถระทรงมโี อกาสเสด็จออกธดุ งค์ไปยังปชู นยี สถานต่าง ๆ ตามหวั เมือง ทำ� ให้ทรงรู้จัก
ผืนแผ่นดินไทยและสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง และโอกาสส�ำคัญ
อีกประการคือ ได้ทรงศึกษาวิชาภาษาต่างประเทศ ทำ� ให้มีพระปรีชาญาณรู้เท่าทันสภาพ
เหตกุ ารณข์ องโลกตะวนั ตกเปน็ อยา่ งดี อนั มผี ลท�ำใหพ้ ระองคเ์ ปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทที่ นั สมยั
ในเวลาต่อมาทรงน�ำสยามผ่านพ้นจากภัยของลัทธิล่าอาณานิคมของชาติมหาอ�ำนาจ
ตะวนั ตกมาได้

เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ สวรรคต โดยทรงมอบใหพ้ ระบรม
วงศานวุ งศ์ และคณะเสนาบดปี ระชมุ สรรหาเจา้ นายทเี่ หน็ สมควรขน้ึ ดำ� รงสริ ริ าชสมบตั สิ บื ไป
ทปี่ ระชมุ จงึ มมี ตเิ ปน็ เอกฉนั ทใ์ หอ้ ญั เชญิ พระวชริ ญาณมหาเถระใหท้ รงลาสกิ ขาและขนึ้ เสวย
ราชสมบตั ิ เป็นพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั

พระราชกรณียกิจที่ส�ำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 435
การรกั ษาเอกราชของชาติ เพราะในรชั สมยั ของพระองคแ์ ละพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวน้ันตรงกับสมัย ลัทธิจักรวรรดินิยมท่ีชาติมหาอ�ำนาจตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษ
และฝรั่งเศสก�ำลังแข่งขันแสวงหาอาณานิคม เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จข้นึ ครองราชย์ใน พ.ศ. 2394 ทรงตระหนักว่าถึงเวลาท่ีสยามต้องยอมเปิดสมั พนั ธภาพ
กับประเทศตะวันตก โดยท�ำสนธิสัญญาในลักษณะใหม่ เพราะประเทศเพื่อนบ้านก็เร่ิม
ถูกอังกฤษและฝร่ังเศสเข้ายึดครองบ้างแล้ว ดังน้ันเม่ือสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่ง
องั กฤษทรงแตง่ ตงั้ เซอรจ์ อหน์ เบาวร์ งิ เปน็ อคั รราชทตู ผมู้ อี �ำนาจเตม็ เชญิ พระราชสาสน์ มา
เจรจาทำ� สนธสิ ญั ญาทางไมตรกี บั สยามใน พ.ศ. 2398 พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ทรงตอ้ นรบั อยา่ งสมเกยี รติ และยงั ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ซอรจ์ อหน์ เบาวร์ งิ เขา้ เฝา้ ฯ เพอ่ื เจรจากนั
เปน็ การภายในแบบมติ รภาพกอ่ น ซงึ่ เปน็ ทปี่ ระทบั ใจของอคั รราชทตู องั กฤษมาก การเจรจา
เป็นทางการใช้เวลาไม่นานก็ประสบความส�ำเร็จ อังกฤษและสยามได้ลงนามในสนธิ
สญั ญาไมตรแี ละพาณิชย์ต่อกนั ในวันท่ี 18 เมษายน พ.ศ. 2398 อนั เป็นทีร่ ู้จกั กันในนามว่า
สนธิสัญญาเบาว์รงิ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางรากฐานในการยอมรับความ
เจรญิ กา้ วหนา้ แบบอารยประเทศมาใชใ้ นสยาม เชน่ การรบั ชาวตา่ งประเทศเขา้ มารบั ราชการ
ด้วยการให้เป็นล่าม เป็นผู้แปลต�ำรา เป็นครูหัดทหารบกและโปลิศซ่ึงโปรดให้จัดตั้งข้ึน
ตามแบบยุโรป เป็นนายเรือและนายช่างกลไฟ เรือหลวง และเป็นผู้ท�ำการต่าง ๆ อีก
หลายอยา่ ง ทหารเกณฑห์ ดั อยา่ งฝรงั่ แบง่ ออกเปน็ 3 กอง คอื กองรกั ษาพระองคอ์ ยา่ งยโุ รป
กองทหารหน้าเป็นกองก�ำลังส�ำคัญในการรักษาประเทศ และกองปืนใหญ่อาสาญวน
ส่วนการทหารเรอื ทรงจดั ต้งั กรมเรอื กลไฟ มกี ารต่อเรอื กลไฟขึ้นใช้หลายล�ำ ส่วนการฝึกหดั
โปลศิ นนั้ ถอื ว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สถาปนากจิ การต�ำรวจไทยขึ้นเป็นพระองค์แรก

นอกจากกจิ การดงั กลา่ วยงั มงี านสมยั ใหมเ่ กดิ ขนึ้ อกี เปน็ อนั มาก เชน่ การสำ� รวจ
ท�ำแผนท่ชี ายแดนพระราชอาณาเขต การตงั้ โรงพมิ พ์อักษรพิมพการในพระบรมมหาราชวัง
เพื่อพิมพ์หนังสือราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎหมาย คำ� ส่ัง และข่าวราชการต่าง ๆ ให้
ข้าราชการและประชาชนรบั ทราบเป็นหลกั ฐาน สร้างโรงกษาปณ์เพอื่ ใช้ทำ� เงนิ เหรียญแทน
เงินพดด้วง ใช้อัฐทองแดงและดบี กุ แทนเบี้ยหอย จดั ต้ังศลุ กสถาน สถานทเ่ี กบ็ ภาษีอากร
มถี นนอย่างใหม่ส�ำหรับใช้รถม้า เกดิ ตึกแถวและอาคารแบบฝร่งั โรงสไี ฟ โรงเลือ่ ยจักร ฯลฯ

436 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ท่ีทรงบ�ำเพ็ญ
ทศพธิ ราชธรรมไดอ้ ยา่ งบรบิ รู ณ์ พระองคส์ นพระราชหฤทยั ทกุ ขส์ ขุ ของประชาชนเปน็ ส�ำคญั
ตลอดเวลา 27 ปีที่ทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ ได้ทรงรับทราบสภาพความเป็นอยู่
และทุกข์สขุ ของประชาชนเป็นอย่างดี ดังนน้ั เม่ือเสวยราชสมบตั ิแล้ว ทรงยกเลิกประเพณี
ท่ีให้ทหารในขบวนเสด็จพระราชด�ำเนินยิงธนูผู้ท่ีมาแอบดูระหว่างเสด็จประพาสทาง
ชลมารคและสถลมารค เลกิ ธรรมเนยี มบงั คบั ให้บ้านเรือนสองข้างทางเสด็จพระราชดำ� เนิน
ปิดประตูหน้าต่างอย่างเช่นเมอื งจีน ตรงกนั ข้ามกลับโปรดให้ราษฎรเข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิด และ
มักจะพระราชทานเงินหรือส่ิงของแก่ประชาชนด้วยพระองค์อยู่เสมอ ท้ังยังโปรดเสด็จ
ประพาสหัวเมืองต่าง ๆ เพ่ือเยี่ยมเยียนประชาชน และสร้างพระราชฐานที่ประทับแรมไว้
ในหัวเมืองหลายแห่ง นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็น
พระมหากษัตริย์ท่ีเอาพระทัยใส่ต่อทุกข์ของประชาชน เช่น มีพระราชด�ำรัสห้ามการทิ้ง
สตั วต์ ายลงในนำ�้ ทรงแนะนำ� การใชเ้ ตาไฟในครวั แบบใหมเ่ พอ่ื ปอ้ งกนั อคั คภี ยั ทรงตกั เตอื น
เรื่องการปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันโจรผู้ร้ายจะมาตัดช่องย่องเบา เมื่อ
เกดิ ดาวหางปีระกา พ.ศ. 2403 ก็ทรงมีประกาศอธิบายถึงธรรมชาตขิ องสรุ ิยจักรวาล ช้แี จง
มใิ ห้ประชาชนตน่ื กลวั และในเม่อื จิตใจของประชาชนยังหวน่ั เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายต่าง ๆ
กท็ รงแนะนำ� อบุ ายปอ้ งกนั เชน่ กลวั วา่ ปนี น้ั จะเกดิ ความแลง้ มที พุ ภกิ ขภยั กใ็ หร้ บี ปลกู ขา้ วเบา
แต่ต้นฤดู กลัวจะเกิดไข้ทรพษิ ระบาดกแ็ นะนำ� ให้ไปปลูกฝีเสยี ที่โรงหมอ และให้ระวงั รักษา
ความสะอาดของบ้านเรอื น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้เกดิ พลานามัยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้
ในส่วนของกฎหมายต่าง ๆ ทรงเป็นนกั นิติศาสตร์สำ� คญั พระองค์หน่ึงของชาตไิ ทย เพราะ
จ�ำนวนประกาศและกฎหมายต่าง ๆ ทต่ี ราออกใช้บังคบั ในรัชสมยั นับได้เกือบ 500 ฉบับ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นที่ยอมรับนับถือว่าเป็น
นกั ปราชญใ์ นพระพทุ ธศาสนา และไดท้ รงปฏริ ปู พระศาสนาใหท้ นั ตอ่ การแผเ่ ขา้ มาของศาสนา
ชาวตะวนั ตก เน่อื งมาจากการเผยแผ่ของศาสนาครสิ ต์เข้ามาสู่สยามโดยบรรดาบาทหลวง
ซงึ่ เปน็ นกั บวชนกิ ายโรมนั คาทอลกิ และมชิ ชนั นารซี งึ่ เปน็ ผเู้ ผยแผศ่ าสนานกิ ายโปรเตสแตนต์
ทน่ี ำ� ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ทางการแพทย์ และทางอกั ษรศาสตร์ เขา้ มาเผยแพรโ่ ดยอาศยั
เหตุผลในการชี้แจงประชาชนให้เข้าใจตามหลักเหตุผลและข้อเท็จจริง ท้ังยังมีเครื่องมือ
สมยั ใหมน่ ำ� มาใชใ้ นการประชาสมั พนั ธ์ เชน่ การพมิ พพ์ ระคมั ภรี อ์ อกแจกจา่ ย การใชบ้ ทบาท
ทางการแพทย์และสาธารณสขุ ออกสร้างความนิยม เป็นต้น

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นด�ำรงสิริราชสมบัติ เมื่อ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 437
พ.ศ. 2394 ไดท้ รงทะนบุ ำ� รงุ พระพทุ ธศาสนาให้เจรญิ รงุ่ เรอื งยง่ิ ขน้ึ ทรงก่อตงั้ คณะธรรมยตุ กิ
นิกาย ทรงบูรณะและปฏิสังขรณ์พระอารามที่สร้างค้างในรัชกาลก่อนให้ลุล่วงเรียบร้อย
ทส่ี ำ� คัญยิง่ คอื ได้ทรงปฏิสงั ขรณ์พระปฐมเจดยี ์เป็นงานใหญ่

พระเกียรติคุณในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากที่ปรากฏ
ในประเทศแล้วยังแผ่ไพศาลไปยังประมุขประเทศต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากพระราชสาส์น
ทเี่ ปน็ ลายพระราชหตั ถเลขาและพระบรมฉายาลกั ษณ์ ภาพถา่ ยพระบรมรปู พระราชหตั ถเลขา
และหนงั สอื ภาษาองั กฤษสว่ นพระองคซ์ ง่ึ ยงั ปรากฏอยใู่ นปจั จบุ นั พระองคส์ นพระราชหฤทยั
วิชาการความก้าวหน้าของตะวันตกกว้างขวางหลายแขนง ท้ังด้านการเมืองการปกครอง
ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ คณติ ศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ

วทิ ยาการของตะวนั ตกทส่ี นพระราชหฤทัยมากเป็นพเิ ศษ คอื วชิ าวทิ ยาศาสตร์
สาขาดาราศาสตร์โดยโปรดให้สร้างพระท่ีนั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมมหาราชวัง และ
ได้ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นใน พ.ศ. 2401 ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งว่าทรงใช้
เวลามาตรฐานโดยเทียบกับดวงดาวก่อนหน้าประเทศอังกฤษมหาอำ� นาจของโลกสมัยน้ัน
จะประกาศใช้เวลามาตรฐานด้วยวธิ ีเดยี วกนั ใน พ.ศ. 2423

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงค�ำนวณและพยากรณ์ล่วงหน้าไว้
2 ปีว่าในวันที่ 18 สงิ หาคม พ.ศ. 2411 จะเกดิ ปรากฏการณ์สุริยปุ ราคาเต็มดวง เหน็ ได้ท่ี
ต�ำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ด้วยพระราชประสงค์จะพิสูจน์ผลการค�ำนวณ
ของพระองค์ จงึ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ทางชลมารคไปยงั บา้ นหวา้ กอ โดยเชญิ แขกตา่ งประเทศ
คอื เซอร์แฮรี ออต เจ้าเมอื งสิงคโปร์ ทตู องั กฤษประจำ� ประเทศไทย ดร.บรดั เลย์ มิชชันนารี
ชาวอเมริกัน และคณะดาราศาสตร์ฝร่ังเศส ราว 10 คน พร้อมด้วยข้าราชบริพารท่ีตาม
เสด็จขบวนใหญ่ ปรากฏว่าผลการพยากรณ์ของพระองค์ ทุกขั้นตอนของสุริยคราส คือ
ดวงอาทติ ย์เริ่มมืด มืดเต็มดวง เริ่มสว่าง และสว่างเตม็ ดวง ทีเ่ รียกว่า โมกขบริสทุ ธ์ิ ตรงกับ
ที่ทรงค�ำนวณพยากรณ์ไว้ทุกวินาที พระปรีชาสามารถของพระองค์ในครั้งนั้นจึงเป็นท่ี
ยอมรบั ไปในหมู่นกั วิทยาศาสตร์นานาชาติ แต่เมอื่ เสดจ็ กลับมาแล้วก็ทรงพระประชวรด้วย
พระโรคไข้มาลาเรยี และเสดจ็ สวรรคตในวนั ท่ี 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2411 รวมพระชนมพรรษาได้
64 พรรษา ทรงด�ำรงสริ ริ าชสมบตั ิ 17 ปี มพี ระราชโอรสธดิ ารวม 84 พระองค์ มสี ายราชสกลุ
สบื เน่อื งมา 27 มหาสาขา

438 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย รัฐบาลไทยได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า
“พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” และก�ำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็น
“วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ” นอกจากน้ันในโอกาสวันพระบรมราชสมภพครบ 200 ปี
วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2547 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง
สหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณ ให้พระองค์ทรงเป็นบุคคล
สำ� คญั ของโลก สาขาการศกึ ษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ มานุษยวทิ ยา การพัฒนาสังคม
และการสอื่ สาร ประจำ� ปี 2546 - 2547

ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยธุ ยา

เอกสารอ้างองิ
กลั ยาณวิ ฒั นา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร,์ สมเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟา้ . มหามกฎุ -

ราชสันตตวิ งศ์. กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์พร้ินติ้งแอนด์พบั ลชิ ชิง่ , 2547.
ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยธุ ยา. เล่าเร่ืองพระจอมเกลา้ . กรุงเทพฯ: ทวิพัตร (2004), 2548.
พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์รชั กาลที่4ฉบบั เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์(ขำ� บนุ นาค).

พิมพ์ครั้งท่ี 6. กรงุ เทพฯ: ต้นฉบบั , 2547.
พพิ ัฒน์ พงศ์รพพี ร. สมดุ ภาพรชั กาลที่ 4. กรงุ เทพฯ: พพิ ธิ ภณั ฑ์ภาพมมุ กว้าง กรงุ เทพ

มหานคร, 2547.
รวมพระราชนพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เรอื่ ง ประชมุ ประกาศ

รัชกาลท่ี 4. กรงุ เทพฯ: ทวพิ ตั ร (2004), 2548.

บทที่ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 439

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว

พระบรมสาทิสลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว
ประดษิ ฐาน ณ มขุ กระสนั ตะวนั ออก พระท่นี ั่งจักรีมหาปราสาท

440 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสในพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพ
เมื่อวันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ในพระบรมมหาราชวัง มีพระนามเดิมว่า
สมเด็จเจ้าฟ้าจฬุ าลงกรณ์ บดนิ ทรเทพยมหามกฏุ บุรษุ ยรัตนราชรววิ งศ์ วรุตมพงศบรพิ ตั ร
สิริวัฒนราชกุมาร มีพระราชขนิษฐาและพระราชอนุชาร่วมสมเด็จพระบรมราชชนกชนนี
อกี 3 พระองคค์ อื สมเดจ็ เจา้ ฟา้ จนั ทรมณฑล โสภณภควดี สมเดจ็ เจา้ ฟา้ จาตรุ นตร์ ศั มี (สมเดจ็
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ ฯ กรมพระจกั รพรรดพิ งศ)์ และสมเดจ็ เจ้าฟ้าภาณรุ งั ษสี ว่างวงศ์
(จอมพล สมเดจ็ พระราชปิตุลาบรมพงศาภิมขุ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณพุ ันธุวงศ์วรเดช)

เมื่อทรงพระเยาว์ทรงได้รับการศึกษาทั้งด้านวิชาการและโบราณราชประเพณี
ตามธรรมเนียมเจ้าฟ้าพระราชกุมาร และมีครูสตรีชาวอังกฤษมาถวายพระอักษร
ภาษาอังกฤษเพิ่มเติมด้วย ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหม่ืนพิฆเนศวรสุรสังกาศ เมื่อ
พ.ศ. 2404 แล้วเลอ่ื นเป็นกรมขนุ พินิตประชานาถ เมื่อ พ.ศ. 2410 ตามลำ� ดบั เมอ่ื พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั เสดจ็ สวรรคตในวนั ท่ี 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซงึ่ ขณะนน้ั พระชนมพรรษาเพยี ง 15 พรรษา ทรงไดร้ บั ราชสมบตั ิ
ตามคำ� กราบบงั คมทลู อญั เชญิ ของเจา้ นายและเสนาบดผี ใู้ หญท่ ป่ี ระชมุ ปรกึ ษาเหน็ พรอ้ มกนั
และมพี ระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก เมอื่ วนั ท่ี 7 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2411 แตโ่ ดยทย่ี งั ทรงพระเยาว์
ในระยะเวลาห้าปีแรกในรัชกาล เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค ต่อมาคือ สมเด็จ
เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) จึงรับหน้าท่ีเป็นผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดิน ส่วนการใน
พระราชส�ำนักน้ัน สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำ� ราบปรปักษ์
ทรงรบั ก�ำกบั ดูแล ตราบจนกระทง่ั พระชนมพรรษาถึงเกณฑ์ทจ่ี ะทรงผนวช กไ็ ด้ทรงผนวช
ณ พระพทุ ธรตั นสถานในพระบรมมหาราชวงั ชวั่ ระยะเวลาสนั้ ๆ มสี มเดจ็ พระมหาสมณเจา้
กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ เป็นพระอปุ ัธยาจารย์ เม่อื ทรงลาสกิ ขาแล้ว ทรงประกอบ
พระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกเปน็ ครงั้ ท่ี 2 เมอ่ื วนั ท่ี 18 ตลุ าคม พ.ศ. 2416 และทรงรบั ราชภาระ
บริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองสืบมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงอยใู่ นสริ ริ าชสมบตั ยิ าวนานกวา่ พระมหากษตั รยิ ใ์ นอดตี กาล ไดท้ รงประกอบพระราชพธิ ี
รัชมงั คลาภเิ ษก เมือ่ พ.ศ. 2451 ในมงคลสมัยเมื่อทรงครองสริ ริ าชสมบัตไิ ด้ 40 ปีเสมอด้วย
สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี 2 แห่งกรงุ ศรอี ยธุ ยา อันเป็นรชั สมยั ท่ียนื ยาวทส่ี ุดเท่าท่เี คยปรากฏ
มาในพระราชพงศาวดาร

ตลอดเวลาในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411 - ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 441
พ.ศ. 2453) ประเทศสยามอยู่ในช่วงเวลาทอี่ าจเรยี กได้ว่าเป็นหัวเลย้ี วหวั ต่อระหว่างยคุ เก่า
และยคุ ใหม่ ภยั จากการล่าอาณานคิ มของประเทศมหาอำ� นาจทางตะวนั ตกปรากฏชดั เจน
โดยเฉพาะอังกฤษได้เข้าครอบครองอินเดีย พม่า และมลายูจนหมดส้ิน ในขณะเดียวกัน
กับท่ีฝรั่งเศสก็เข้ามายึดครองดินแดนในอินโดจีน ทั้งญวน ลาว และเขมร ต้ังแต่รัชสมัย
ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั แลว้ เหตกุ ระทบกระทงั่ ชายแดนระหวา่ งไทยกบั
ชาติมหาอ�ำนาจทั้งสองจึงมีอยู่เสมอ การภายในประเทศน้ันก็เป็นเวลาท่ีทรงพระราชด�ำริ
ปฏริ ูปบ้านเมอื งในทุก ๆ ด้าน เพ่ือให้ทนั ต่อความเปล่ียนแปลงของโลก และเกิดประโยชน์
ยั่งยืนแก่ประเทศและประชาชนโดยส่วนรวม กิจการทุกด้านท่ีได้ทรงวางรากฐานไว้ดีแล้ว
ในรชั กาล ได้เป็นคณุ านคุ ุณแก่การพัฒนาประเทศในเวลาต่อมาอย่างแจ้งชัด

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเปน็ พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยพระองค์
แรกที่ได้เสด็จพระราชด�ำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ เริ่มต้ังแต่ พ.ศ. 2413
เม่ือครองราชย์ได้เพียง 2 ปี ได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา ต่อจากนั้นไม่นานก็ได้
เสด็จเยือนประเทศอินเดียและพม่า ทรงได้พบเห็นและเป็นโอกาสที่ทรงได้ศึกษาแบบแผน
วิธีการปกครอง ตลอดถึงวิทยาการต่าง ๆ ของชาติตะวันตกด้วยพระองค์เอง การเสด็จฯ
ต่างประเทศครั้งส�ำคัญท่ีสุดในรัชกาลคือ การเสด็จพระราชด�ำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ
ในทวปี ยโุ รป 2 คราว ใน พ.ศ. 2440 และ พ.ศ. 2450 ซ่งึ เป็นการแผ่พระเกยี รติยศและ
เผยเกยี รตภิ มู ิของไทยในหมชู่ าตอิ ารยะ และเปน็ ปจั จยั เกอื้ กลู ประการหนงึ่ ทที่ �ำใหช้ าตติ า่ ง ๆ
เกดิ ความคุ้นเคย ยอมรับ และเคารพอธิปไตยของสยามประเทศ

ส่วนภายในประเทศนน้ั ได้ทรงพระราชอุตสาหะเสดจ็ เยย่ี มเยยี นท้องถ่นิ ต่าง ๆ
เพื่อทอดพระเนตรและสดับตรับฟังทุกข์สุขของพสกนิกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหัวเมือง
ท่ีราษฎรมิเคยมีโอกาสได้เฝ้ารับเสด็จพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อน เช่น ทางเหนือน้ัน
ได้เสด็จขึ้นไปจนถึงเมืองก�ำแพงเพชร ทางใต้เสด็จหัวเมืองท้ังฝั่งด้านอ่าวไทยและทะเล
อันดามันจนตลอด เป็นต้น บางคราวเสด็จประพาสโดยไม่เปิดเผยพระองค์ หากแต่เสด็จ
เป็นการล�ำลองดังท่ีเรียกว่า “เสด็จประพาสต้น” เพ่ือเป็นช่องทางให้ทรงได้ใกล้ชิด
และทราบความเป็นจริงในพระราชอาณาจักรด้วยพระองค์เอง พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ท่ีทรงรู้จักเมืองไทยและคนไทย
อย่างดยี ่งิ จากประสบการณ์ตรงท่ไี ด้เสด็จพระราชด�ำเนินไปยังท้องถน่ิ ต่าง ๆ

442 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีมากมาย
เปน็ อเนกประการ แต่ทอี่ ยใู่ นความทรงจำ� ของอาณาประชาราษฎร์ ไดแ้ ก่ พระราชกรณยี กจิ
ทที่ รงเลกิ ทาส อันเป็นประเพณบี ้านเมอื งมาช้านานแต่ไม่สมแก่สมัย เพราะเป็นการกดคน
ลงใช้แรงงานโดยปราศจากอิสรเสรี ด้วยพระปรีชาญาณย่ิงยวด ทรงเลิกทาสโดยใช้วิธี
ผ่อนปรนไปเป็นระยะ พอมีเวลาให้ทั้งผู้เป็นนายทาสและตัวทาสเองได้ปรับตัว ปรับใจ
พรอ้ มกนั นน้ั กท็ รงเลกิ ระบบไพร่ อนั เปน็ ระบบเกณฑแ์ รงงานชายวยั ฉกรรจ์ จากสามญั ชนมา
ช่วยราชการอันมีมาเก่าก่อน และเป็นอุปสรรคในการท�ำมาหาเลี้ยงชีพโดยเสรีของราษฎร
ทั้งหลายเสียด้วยเช่นกัน เม่ือทรงเลิกท้ังระบบทาสและระบบไพร่เช่นน้ีเพื่อพัฒนาคน
ทุกหมู่เหล่าให้มีความรู้เป็นก�ำลังของบ้านเมืองอย่างแท้จริง ได้ทรงพระราชด�ำริเริ่มจัดการ
ศึกษาในทุกระดับ จากเดิมที่ศึกษากันแต่เฉพาะในครอบครัวหรือตามวัดวาอารามในแบบ
ธรรมเนียมเก่า ทรงตั้งโรงเรียนของหลวงข้ึน เพื่อให้การศึกษาแก่คนทุกชั้น ต้ังแต่เจ้านาย
ในราชตระกลู เป็นต้นไปจนถงึ ราษฎรสามญั ในตอนกลางและตอนปลายรชั กาล การศกึ ษา
เจรญิ กา้ วหนา้ มากขน้ึ จนถงึ มโี รงเรยี นวชิ าชพี ชน้ั สงู หลายแหง่ เกดิ ขนึ้ เชน่ โรงเรยี นนายรอ้ ย
โรงเรยี นนายเรอื โรงเรยี นกฎหมาย โรงเรียนแพทยาลยั และโรงเรยี นยันตรศกึ ษา เป็นต้น
รวมทั้งโรงเรียนมหาดเล็กที่ทรงต้ังข้ึนฝึกหัดคนเข้ารับราชการก็ด�ำเนินงานก้าวหน้า
สมพระราชประสงค์ และเป็นรากฐานส�ำหรับการอุดมศึกษาของประเทศในเวลาต่อมา
พระราชกรณียกิจข้อสำ� คัญอีกประการหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คอื การปฏริ ปู ระบบการเงนิ การคลงั ของประเทศและการปฏริ ปู ระบบบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ
ด้านการเงนิ การคลงั น้นั ทรงต้ังหอรษั ฎากรพพิ ัฒน์ข้ึนเม่อื พ.ศ. 2416 เพอื่ จัดระบบรายรับ
ของประเทศให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้นกว่าแต่ก่อน ทดแทนวิธีการที่ใช้เจ้าภาษีนายอากร
เปน็ เครอ่ื งมอื และมหี นทางรวั่ ไหลมาก ทำ� ใหร้ าชการแผน่ ดนิ มรี ายรบั เพมิ่ พนู ขนึ้ เปน็ อนั มาก
พอใชจ้ า่ ยในการพฒั นาประเทศ สว่ นการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ นนั้ จากระบบเดมิ ทเ่ี รมิ่ ตน้ ขน้ึ
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถครั้งกรุงศรีอยุธยา มีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำ� แหน่ง
คือ สมหุ นายกและสมหุ กลาโหม มีเสนาบดีจตั ุสดมภ์ส่ี คอื เวยี ง วงั คลัง และนา ภายหลัง
มีการแก้ไขเพ่ิมเติมปรับเปลี่ยนมาบ้างตามล�ำดับเวลา แต่ก็เป็นการยุ่งยากทับซ้อน และ
มคี วามไมช่ ดั เจนในเรอื่ งอ�ำนาจหนา้ ทรี่ าชการอยเู่ ปน็ อนั มาก ประกอบกบั ราชการบา้ นเมอื ง
ผันแปรไปตามยุคสมัย จึงทรงพระราชด�ำริแก้ไขระบบบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่

เมื่อ พ.ศ. 2435 โดยทรงยกเลิกระบบเสนาบดีแบบเดิมเสีย แล้วทรงแบ่งราชการเป็น ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 443
กระทรวงจ�ำนวน 12 กระทรวง ทรงแบ่งปันหน้าทใ่ี ห้ชดั เจน และเหมาะกับความเป็นไปของ
บ้านเมืองในรชั สมยั ของพระองค์ พระราชกรณียกิจในส่วนน้ี พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้า
เจ้าอยู่หวั ทรงเห็นว่า

การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิม เปนต้ังกระทรวง 12 กระทรวงนี้
ต้องนับว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ซ่ึงเรียกได้อย่างพูดกันตามธรรมดาว่า
“พลิกแผ่นดิน” ถ้าจะใช้ค�ำอังกฤษก็ต้องเรียกว่า “Revolution” ไม่ใช่ “Evolution”
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเล็งเห็นการภายหน้าอย่างชัดเจน และทรงทราบ
การทลี่ ว่ งไปแลว้ เปน็ อยา่ งดี ไดท้ รงพระราชดำ� รหิ ต์ รติ รองโดยรอบคอบ ไดท้ รงเลอื กประเพณี
การปกครองทงั้ ของไทยเราและของตา่ งประเทศประกอบกนั ดว้ ยพระปรชี าญาณอนั ยง่ิ ยวด
ได้ทรงจัดการเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองเป็นล�ำดับมาล้วนเหมาะกับเหตุการณ์และ
เหมาะกบั เวลา ไม่ช้าเกนิ ไป ไม่เร็วเกนิ ไป

พระราชกรณยี กจิ ขอ้ ส�ำคญั ทสี่ ดุ ของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
คือ การที่ทรงรักษาอิสรภาพของชาติไว้ได้รอดปลอดภัย ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน
โดยรอบทุกทศิ ต้องตกเป็นอาณานคิ มของชาตติ ะวนั ตกดงั กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ชาตไิ ทย
สามารถด�ำรงอสิ ราธปิ ไตยอยู่ได้อย่างน่าอศั จรรย์ บางคราวเช่นเมอ่ื พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112)
ฝร่ังเศสมีเหตุกระทบกระท่ังกับไทยอย่างรุนแรง ถึงกับฝรั่งเศสส่งกองเรือมาปิดปาก
อ่าวสยาม แต่ด้วยพระปรีชาสามารถด้านวิเทโศบาย และทรงพระขันติธรรมอดทน
อย่างยอดย่ิง ทรงยอมสละประโยชน์ส่วนน้อยแม้จนถึงดินแดนในพระราชอาณาเขต
บางสว่ น เชน่ ดนิ แดนฝง่ั ซา้ ยของแมน่ ำ้� โขง ดนิ แดนสว่ นทเี่ รยี กวา่ เขมรตอนใน ประกอบดว้ ย
เมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ และเมืองศรีโสภณ และดินแดนตอนใต้ของประเทศ
ประกอบดว้ ยเมอื งไทรบรุ ี เมอื งกลนั ตนั และเมอื งตรงั กานู เปน็ ตน้ แลกกบั ประโยชนส์ ว่ นใหญ่
คอื ความเป็นเอกราชของชาติ กรงุ สยามจงึ รักษาความเป็นไทยมาได้โดยสวสั ดี

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมีพระราชกรณียกิจอีก
มากมายเกนิ จะพรรณนา ทรงพระราชนพิ นธห์ นงั สอื มากเรอื่ งหลายประเภท เชน่ พระราชพธิ ี
สบิ สองเดอื น ไกลบา้ น และเงาะปา่ เปน็ ตน้ ทรงรเิ รมิ่ กจิ การสาธารณปู โภคและบรกิ ารสาธารณะ
หลายชนดิ ไม่ว่าจะเป็นกจิ การประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ไปรษณีย์โทรเลข หรอื กจิ การรถไฟ

444 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย ก็ตาม ทรงท�ำนุบ�ำรงุ พระศาสนา ทรงสร้างพระอารามหลายแห่ง เช่น วัดเทพศริ ินทราวาส
วัดราชบพิธ และวัดนิเวศธรรมประวัติ เป็นต้น ทรงปรับปรุงระบบกฎหมายและระบบ
ศาลยตุ ิธรรมของประเทศ ทรงต้งั ศริ ริ าชพยาบาล ทรงพฒั นากองทัพ ทั้งทัพบก และทัพเรือ
ให้ทันสมัย ทรงปรับปรุงกิจการต�ำรวจเพ่ือรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน ทรงสร้าง
และปรับปรุงถนนหนทางการคมนาคมทั้งทางบกทางน้�ำ ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่าในแผ่นดิน
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองไทยเจริญข้ึนอย่างผิดหูผิดตา และ
เป็นความเปลย่ี นแปลงท่ีรวดเรว็ ทันแก่ความเปลย่ี นแปลงของโลกอย่างพอเหมาะพอดี

ดว้ ยความสำ� นกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ อยา่ งลน้ พน้ ในพระราชพธิ รี ชั มงั คลาภเิ ษก
อาณาประชาราษฎร์ได้พร้อมใจกันเร่ียไรสร้างพระบรมรูปโดยสั่งจากโรงหล่อที่กรุงปารีส
ประเทศฝรงั่ เศส นอ้ มเกลา้ นอ้ มกระหมอ่ มถวายเปน็ ของเฉลมิ พระขวญั ประดษิ ฐานพระบรมรปู
ทล่ี านพระราชวงั ดสุ ติ ดงั ทเี่ รียกกนั ในปัจจบุ นั ว่า “พระบรมรูปทรงม้า” ทฐ่ี านพระบรมรปู
มคี ำ� จารกึ ซงึ่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ทรงพระนพิ นธใ์ นนาม
ของพสกนกิ รทง้ั ปวง เฉลมิ พระสมญั ญาภไิ ธยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั วา่
“พระปยิ มหาราช” อนั แปลความว่า “พระมหากษตั ริยผ์ ูท้ รงเปน็ ที่รกั ยงิ่ ของมหาชน”
และตรงกับใจของไพร่ฟ้าในแผ่นดินท้ังปวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จพระราชด�ำเนินทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งน้ีด้วยพระองค์เอง เม่ือวันท่ี
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระอัครมเหสี พระบรมราชเทวี
พระราชเทวี พระอัครชายา และพระราชชายา อาทิ สมเดจ็ พระศรพี ัชรนิ ทราบรมราชนิ นี าถ
พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสา
อยั ยกิ าเจา้ สมเดจ็ พระนางเจา้ สนุ นั ทากมุ ารรี ตั น์ พระบรมราชเทวี และสมเดจ็ พระปติ จุ ฉาเจา้
สขุ มุ าลมารศรี พระอัครราชเทวี มพี ระราชโอรสธิดารวมท้งั สน้ิ 77 พระองค์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ที่
23 ตลุ าคม พ.ศ. 2453 ณ พระทนี่ ง่ั อมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ติ ดว้ ยพระโรคพระวกั กะพกิ าร
สริ พิ ระชนมพรรษา 58 พรรษา ทรงดำ� รงอยู่ในสิริราชสมบัติ 42 ปีเศษ

พ.ศ. 2546 องค์การการศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 445
(UNESCO) ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณเป็นบุคคลสำ� คัญของโลก ในฐานะท่ีทรงเป็น
พระมหากษตั ริย์ทท่ี รงอุทศิ พระองค์เพื่อความผาสกุ ของอาณาประชาราษฎร์

ธงทอง จนั ทรางศุ
เอกสารอา้ งองิ
กรมศลิ ปากร. ราชสกลุ วงศ์ (ฉบับแกไ้ ขเพ่ิมเติม). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพมิ พ์, 2536.
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชด�ำรัสในพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแถลง พระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครอง
แผ่นดิน. กรุงเทพฯ: เอส. ซี. พริ้นท์แอนด์แพค, 2546. (กระทรวงยุติธรรมพิมพ์
สนองพระเดชพระคณุ ในโอกาสท่วี นั พระบรมราชสมภพครบ 150 ปี)

446 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย บทที่

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั

พระบรมสาทิสลักษณ์
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
ประดษิ ฐาน ณ มขุ กระสนั ตะวันออก พระทนี่ ัง่ จกั รีมหาปราสาท

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลท่ี 6 ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 447
แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423
เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จ
พระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง มีพระเชษฐภคินีและ
พระอนุชาร่วมพระชนนี ดงั นี้

1. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหรุ ัดมณีมยั กรมพระเทพนารรี ตั น์
2. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
(พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั )
3. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรเี พช็ รตุ ม์ธ�ำรง
4. จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวง
พิษณโุ ลกประชานาถ
5. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศริ ริ าชกกธุ ภัณฑ์
6. พลเรือเอก สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอษั ฎางค์เดชาวธุ กรมหลวง
นครราชสมี า
7. สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ จฑุ าธชุ ธราดลิ ก กรมขนุ เพช็ รบรู ณอ์ นิ ทราชยั
8. พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะทรงด�ำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ
ไดท้ รงศกึ ษาเบอื้ งตน้ ในโรงเรยี นราชกมุ าร ซงึ่ อยใู่ นพระบรมมหาราชวงั โดยพระบาทสมเดจ็
พระบรมชนกนาถทรงเลอื กครไู ทย และครชู าวตา่ งประเทศ ถวายพระอกั ษรกอ่ นเขา้ โรงเรยี น
ราชกมุ าร จนกระทงั่ เสดจ็ ไปทรงศกึ ษายงั ประเทศองั กฤษ ใน พ.ศ. 2436 เมอ่ื สมเดจ็ พระบรม
โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสยามมกุฎราชกุมารทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต
ในเดอื นมกราคม พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจงึ ทรงพระกรณุ า
โปรดเกลา้ ฯ สถาปนาพระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ ขน้ึ เปน็ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช
สยามมกฎุ ราชกมุ าร เมื่อวนั ท่ี 17 มกราคม พ.ศ. 2437 ขณะมพี ระชนมายุ 13 พรรษา

448 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เสดจ็ เขา้ ทรงศกึ ษาในโรงเรยี นนายรอ้ ยแซนดเ์ ฮริ ส์ ต์
ทรงไดร้ บั ความรวู้ ชิ าทหารทที่ นั สมยั ทกุ ดา้ นในขณะนนั้ ตอ่ มาทรงเขา้ ศกึ ษาวชิ าประวตั ศิ าสตร์
กฎหมาย และการปกครอง ณ มหาวทิ ยาลยั ออ๊ กฟอรด์ ซงึ่ นายอาเธอร์ ฮซั ซลั (Arthur Hassal)
ผทู้ ไ่ี ดร้ บั มอบหมายใหเ้ ปน็ พระอาจารยเ์ ฉพาะพระองค์ กลา่ ววา่ พระองคท์ รงมคี วามสามารถ
สูงมาก ทรงค้นคว้าและทรงพระราชนิพนธ์หนังสือท�ำนองวิทยานิพนธ์เร่ือง “สงครามสืบ
ราชสมบตั โิ ปแลนด์ (The War of Polish Succession)” ซง่ึ ได้ตีพมิ พ์ใน พ.ศ. 2443
และมผี ้แู ปลเป็นภาษาฝรง่ั เศสและภาษาไทย ในสว่ นฉบบั ภาษาไทยนน้ั พระยาบรุ นี วราษฐ์
(ชวน สิงหเสนี) เป็นผู้แปลและบันทึกไว้ว่า “แปลยาก” แต่ก็ได้น�ำข้ึนทูลเกล้าฯ ถวาย
ให้พระองค์ทรงตรวจ

ขณะทรงด�ำรงต�ำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจ
แทนพระองค์ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั อยอู่ ยา่ งสม�่ำเสมอตลอดระยะเวลา
ท่ีทรงศึกษา เช่น เสด็จไปร่วมงานพระราชพิธีของพระราชวงศ์ต่าง ๆ ในยุโรป รวมทั้ง
เสด็จเยือนนานาประเทศเพื่อทรงกระชับความสัมพันธ์และทอดพระเนตรกิจการบ้านเมือง
และความก้าวหน้าทางวิทยาการ ขณะเดียวกันก็ทรงดำ� เนินกิจกรรมท่ีสนพระราชหฤทัย
เช่น โปรดอ่านผลงานของนกั ประพันธ์เอกทั้งชาวตะวันออกและตะวนั ตก เร่ิมทรงพระราช
นิพนธ์กวีนิพนธ์ และบทละครภาษาอังกฤษ โปรดเสด็จไปทอดพระเนตรละครและจัดการ
แสดงละครด้วยพระองค์เอง โปรดการตั้งสมาคมเพื่อท�ำกิจกรรมต่าง ๆ รวมท้ังการ
ออกหนังสือพิมพ์ด้วย กล่าวได้ว่าในช่วงเวลา 9 ปีที่ประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
พระองค์ได้ทรงส่ังสมประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับความเป็นไปของโลก
อย่างเต็มเปี่ยม ท้ังในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม
ท�ำให้มีพระวิสัยทัศน์ท่ีชัดเจนในอันที่จะทรงยกระดับประเทศสยามให้มีเกียรติและศักดิ์ศรี
มคี วามเทา่ เทยี มกบั ชาตอิ ารยะทง้ั หลาย และเป็นทยี่ อมรบั ในสงั คมโลก อนั เปน็ การสบื สาน
พระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมชนกนาถในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญ
ก้าวหน้าทันสมัยเพ่ือด�ำรงอยู่ได้อย่างมีเอกราชด้วย เห็นได้จากเม่ือพระองค์เสด็จนิวัต
พระนครใน พ.ศ. 2445 ทรงเลือกเส้นทางเสด็จพระราชด�ำเนินผ่านประเทศสหรัฐอเมริกา
และญี่ปุ่น ได้ทรงพบกับประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ (Theodore Roosevelt) และ
ทรงเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญ่ีปุ่น ท้ังยังเสด็จพระราชด�ำเนินเยี่ยมชมสถาบัน
การศึกษาชั้นน�ำและสถานที่ส�ำคัญทางศาสนา เศรษฐกิจ การศาล และการสาธารณสุข
ของท้ังสองประเทศ เพ่อื จะทรงน�ำมาเป็นแบบอย่างในการพฒั นาองค์กรต่าง ๆ

หลงั จากสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟ้ามหาวชริ าวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 449
สำ� เรจ็ การศกึ ษาจากตา่ งประเทศ ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปยงั ประเทศตา่ ง ๆ หลายประเทศ
เพอื่ ปฏบิ ตั พิ ระราชกรณยี กจิ แทนสมเดจ็ พระบรมชนกนาถและเจรญิ สมั พนั ธไมตรี ทรงศกึ ษา
งานทงั้ ประเทศในยโุ รป อเมริกา ญี่ปุ่นก่อนเสดจ็ กลบั ถงึ ประเทศสยามใน พ.ศ. 2445 ทำ� ให้
ต่างประเทศได้รู้จกั ประเทศสยามมากข้ึนอนั มผี ลดีต่อพสกนิกรชาวไทยเป็นอย่างมาก

เม่ือเสด็จกลับเมืองไทย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเข้ารับราชการทหาร และได้เสด็จออกผนวชเม่ือ พ.ศ. 2447
ต่อมา เม่ือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาหอพระสมุดส�ำหรับ
พระนครข้ึน โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์ทรงด�ำรงต�ำแหน่งสภานายกหอพระสมุด พระองค์
เอาพระทัยใส่ในพระราชกิจน้ีเป็นอย่างยิ่ง สนพระทัยค้นคว้า ด้านประวัติศาสตร์
โบราณคดี และวรรณคดีของชาติ และได้เสด็จประพาสหัวเมืองเพ่ือทรงศึกษา
โบราณวัตถุสถานและต�ำนานบ้านเมือง จนเป็นท่ีมาของพระราชนิพนธ์อันทรงคุณค่า
ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายเร่ือง ในช่วงเวลาเดียวกันน้ี ทรงริเริ่มออก
หนงั สือพมิ พ์หลายฉบบั เช่น ชวนหัว และทวีปัญญา ทำ� ให้กจิ การหนงั สือพมิ พ์ของสยาม
ขยายตวั มากขนึ้ และเปน็ เวทสี ำ� คญั ของวรรณกรรมไทยรปู แบบใหมม่ ากมายซง่ึ พระองคเ์ อง
ทรงเป็นผู้ริเร่ิมท่ีส�ำคัญพระองค์หน่ึง ต่อมาเม่ือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสดจ็ ประพาสยโุ รปครงั้ ที่ 2 ใน พ.ศ. 2450 พระองคท์ รงไดร้ บั พระมหากรณุ าธคิ ณุ โปรดเกลา้ ฯ
ให้เป็นผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดนิ ซ่งึ ทรงปฏิบตั หิ น้าทไ่ี ด้เป็นอย่างดี

นอกจากน้ัน ในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงได้รับมอบหมายให้ก�ำกับราชการกระทรวงยุติธรรมแทนพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหลวง
ราชบรุ ดี เิ รกฤทธ์ิ ซง่ึ กราบถวายบงั คมลาออกจากต�ำแหนง่ เสนาบดี จงึ นบั ไดว้ า่ ทรงมพี น้ื ฐาน
เก่ียวกับการบรหิ ารประเทศไม่น้อย

สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ สยามมกฎุ ราชกมุ าร เปน็ ทวี่ าง
พระราชหฤทัยทรงงานต่างพระเนตรพระกรรณและปฏิบัติราชการแทนสมเด็จพระบรม
ชนกนาถ ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ในการปฏบิ ัติพระราชกรณียกจิ ต่าง ๆ ทำ� ให้
เป็นท่ีรักและยอมรบั ทั่วไปในคณะข้าราชบรพิ ารและพสกนกิ ร

450 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคตในวนั อาทติ ยท์ ่ี 23 ตลุ าคม
พ.ศ. 2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
จึงเสดจ็ ขน้ึ เถลิงถวัลยราชสมบตั เิ ป็นพระมหากษตั รยิ ์พระองค์ท่ี 6 ในพระบรมราชจกั รีวงศ์
พระราชลญั จกรประจำ� รชั กาล คอื พระวชริ ะซงึ่ มาจากพระนามาภไิ ธย มหาวชริ าวธุ (หมายถงึ
สายฟ้าอันเป็นศัสตราวุธของพระอินทร์) เป็นตรางา รูปรี กว้าง 5.4 ซม. ยาว 6.8 ซม.
มีรูปวชิราวุธเปล่งรัศมีท่ียอด ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบ
ทั้ง 2 ข้าง ในวันมงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้มีพระบรมราชโองการพระราชทาน
แก่ประชาชนด้วยภาษามคธและภาษาไทยว่า “ดูกรพราหมณ์ บัดนี้เราทรงราชการ
ครองแผ่นดินโดยธรรมสม�่ำเสมอเพื่อประโยชน์เก้ือกูลและสุขแห่งมหาชน เราแผ่
ราชอาณา เหนือท่านทง้ั หลายกบั โภคสมบตั ิ เปน็ ท่พี งึ่ จัดการปกครองรักษาปอ้ งกัน
อันเป็นธรรมสืบไป ทา่ นท้งั หลายจงวางใจอยู่ตามสบายเทอญฯ”

หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระราชกรณียกิจ อันเป็นคุณูปการต่อประชาชนชาวสยามและประเทศมากมาย
ด้วยพระปรีชาสามารถดุจนักปราชญ์ของพระองค์ โดยทรงวางแผนการพัฒนาด้านต่าง ๆ
เร่ิมจากที่พระองค์มีพระราชด�ำริในการที่จะน�ำพาประเทศไปสู่ความเจริญให้ทัดเทียม
กับนานาอารยประเทศ ซ่ึงทรงเน้นการให้การศึกษาแก่พสกนิกรเป็นประการส�ำคัญ
ทรงสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงในพระบรมมหาราชวัง (ต่อมาพัฒนาเป็นวชิราวุธ
ราชวิทยาลัยในต้นรัชกาลท่ี 7) และโรงเรียนข้าราชการพลเรือน (ต่อมาเป็นจุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั ใน พ.ศ. 2458) จากนน้ั เพื่อให้การศกึ ษาขยายไปท่ัวประเทศ ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ปิ ระถมศกึ ษาให้เป็นการศกึ ษาภาคบงั คบั ใน พ.ศ. 2464

พระราชกรณียกิจการพัฒนาประเทศท่ีส�ำคัญคือ พระองค์ทรงเปล่ียนธงชาติ
ซ่ึงมีรูปช้างเดิมให้เป็น “ธงไตรรงค์” เช่นในปัจจุบัน ทรงพัฒนากองทัพบก กองทัพเรือ
กองทพั อากาศ โดยสง่ นายทหารไปฝกึ การทหารทต่ี า่ งประเทศ ซอ้ื เรอื รบทมี่ สี มรรถภาพทสี่ งู ขน้ึ
เชน่ เรอื เสอื คำ� รณสนิ ธุ เรอื รบหลวงพระรว่ ง เปน็ ตน้ ครน้ั เกดิ สงครามโลกครงั้ ท่ี 1 ใน พ.ศ. 2457
ทรงส่งทหารไปร่วมรบในสมรภูมิยุโรป โดยทรงประกาศร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอันเป็น
ฝ่ายชนะสงคราม ท�ำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศสยามขณะนั้น เพราะใน พ.ศ. 2468
พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ ดร.ฟรานซสี บี แซยร์ เจรจาตดิ ต่อกบั ประเทศต่าง ๆ 9 ประเทศ
ทำ� ใหม้ ผี ลประโยชนอ์ ยใู่ นประเทศ ไดส้ ทิ ธอิ ำ� นาจทางศาลและการเกบ็ ภาษี ในพระราชอาณาเขต
หลดุ พ้นจากการควบคมุ ของต่างชาตทิ ง้ั ทางตรงและทางอ้อม (แก้ไขสนธิสญั ญาเบาว์รงิ )

นอกจากนั้น ส่ิงส�ำคัญที่พระองค์ทรงเห็นว่า ประชาชนทุกคนก็สามารถมีส่วน ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 451
ช่วยประเทศชาติให้เกิดความม่ันคงได้เช่นเดียวกับทหาร จึงทรงจัดต้ังองค์การลูกเสือ
และเสือป่า โดยมีพระราชประสงค์ที่จะให้พสกนิกรของพระองค์รู้สึกว่า ความรักชาติ
ศาสนา พระมหากษตั ริย์ ความสามคั คใี นหมู่คณะไม่ทำ� ลายซึ่งกนั และกนั เป็นมลู ฐานแห่ง
ความม่ันคง จะท�ำให้ชาติบ้านเมืองด�ำรงความเป็นไทยอยู่ได้ ทั้งยังทรงส่งเสริมความเป็น
ประชาธปิ ไตยโดยทรงทดลองการจดั ตงั้ เมืองจ�ำลอง เมืองมงั เมืองทราย ซ่ึงเป็นต้นกำ� เนิด
ของดสุ ติ ธานี มกี ารปกครองตาม “ธรรมนญู ลกั ษณะการปกครองของคณะนคราภบิ าล
พ.ศ. 2461” ทรงทดลองการปกครอง การพัฒนาด้านต่าง ๆ ควบคู่กันไปตามหลัก
ประชาธิปไตย ผลการทดลองในดุสิตธานีน้ันได้ทรงน�ำมาปรับใช้ในการบริหารประเทศได้
อย่างเหมาะสมอย่างค่อยเป็นค่อยไป

พระราชกรณียกิจในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศอีกด้านหนึ่ง
คือพระราชกรณียกิจเพ่ือการพัฒนาเศรษฐกิจ ทรงจัดตั้งคลังออมสิน (ต่อมาคือ
ธนาคารออมสิน) เพื่อฝึกให้ราษฎรรู้จักเก็บสะสมทรัพย์ และโปรดเกล้าฯ ให้เลิกการพนัน
บ่อนเบ้ียซึ่งเป็นเหตุท�ำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ทรงมองการณ์ไกลว่า
เม่ือประเทศชาติรุ่งเรืองแล้ว จะต้องใช้ซีเมนต์จ�ำนวนมาก เพ่ือก่อสร้างอาคารบ้านเรือน
ตามแบบอารยประเทศ จึงทรงก่อตั้งบริษัทปูนซีเมนต์ไทยข้ึน นับเป็นการฝึกหัดคนไทย
ให้รู้จกั ประกอบธรุ กิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในด้านการเกษตรทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขยาย
การขุดคลองและคูนา รวมทั้งจัดสร้างเข่ือนพระราม 6 ซ่ึงเป็นเข่ือนทดและส่งน้�ำแห่งแรก
การพัฒนาระบบชลประทานของพระองค์ช่วยให้ผลิตผลทางการเกษตรของประเทศเพ่ิม
มากขึ้น เมื่อทรงพัฒนาด้านการเกษตรแล้วได้ทรงพัฒนาระบบการคมนาคมเพ่ือรองรับ
การขนส่งสนิ ค้าด้วย กล่าวคอื ทรงปรบั ปรงุ และขยายกิจการรถไฟทั้งสายเหนือ สายอีสาน
สายตะวนั ออก และสายใต้ และสร้างสะพานพระราม 6 เช่อื มทางรถไฟทัง้ หมดโยงเข้ามา
สู่สถานีหัวล�ำโพง แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนเชื่อมต่อจากแนวทางรถไฟออกไปยังท้องที่
ต่าง ๆ รวมท้ังสร้างสะพานจ�ำนวนมากในกรุงเทพฯ กิจการบินก็เป็นส่ิงที่ทรงริเร่ิมขึ้น
ในรัชสมยั ของพระองค์ด้วย

452 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย แม้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงพระปรีชาสามารถทาง
ด้านการปกครอง ทรงมีความเป็นประชาธิปไตย แต่ชาวไทยและชาวต่างประเทศก็รู้จัก
พระองคแ์ ละยกยอ่ งพระองคท์ างดา้ นอกั ษรศาสตรม์ ากกวา่ ดว้ ยพระอปุ นสิ ยั ทที่ รงเปน็ ศลิ ปนิ
มีพระราชนิพนธ์มากมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พระนามแฝงที่ทรงใช้ในการ
พระราชนพิ นธ์งานท้งั หนงั สอื พิมพ์ วรรณกรรม วรรณคดี เช่น พระขรรค์เพชร ศรอี ยธุ ยา
นายแก้วนายขวัญ อัศวพาหุ รามจิตติ นายราม ณ กรุงเทพฯ ราม วชิราวุธ ป.ร.ราม
Sri Ayudya Sri Ayoothya Phra Khan Bejra เป็นต้น คณะกรรมการรวบรวมและค้นคว้า
เก่ียวกับพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (กรว. พ.ศ. 2524)
ไดศ้ กึ ษารวบรวมไวแ้ บง่ เปน็ 7 หมวด คอื หมวดโขน-ละคร 187 เรอ่ื ง พระราชดำ� รสั เทศนา ฯลฯ
229 เรอ่ื ง นิทาน เรื่องชวนหวั 159 เรื่อง บทความท่ีลงหนงั สือพมิ พ์ 316 เรือ่ ง ร้อยกรอง
151 เร่อื ง สารคดี 194 เรอ่ื ง และอน่ื ๆ อีกเป็นจ�ำนวนมาก

ด้วยความท่ีทรงเป็นนักอักษรศาสตร์ พระองค์พระราชทานนามสกุลให้แก่
ขนุ นาง ขา้ ราชบรพิ าร ถงึ 6,460 สกลุ เมอ่ื ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหค้ นไทยมนี ามสกลุ ใช้
ทรงใช้ศัพท์บัญญัติท่ีเป็นค�ำไทยพระราชทานเป็นชื่อถนน ทรงตั้งวรรณคดีสโมสร เพื่อ
พจิ ารณางานวรรณกรรมตา่ ง ๆ ตงั้ แตส่ มยั สโุ ขทยั เปน็ ตน้ มา และพระราชนพิ นธข์ องพระองค์
ได้รบั การประกาศยกย่องถงึ 3 เรอ่ื งว่าเป็นเลศิ คอื หวั ใจนกั รบเป็นเลศิ ประเภทบทละครพดู
พระนลคำ� หลวงเป็นหนงั สอื ดีและแต่งดีในกวีนิพนธ์ มัทนะพาธา เป็นเลศิ ด้านบทละครพูด
คำ� ฉนั ท์ ตอ่ มาในภายหลงั องคก์ ารการศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ
(UNESCO) ไดย้ กยอ่ งพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ “ปราชญส์ ยามคนท่ี 5”
นอกจากนี้ ยังทรงได้รับพระสมัญญานามว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” ซ่ึงเป็น
พระสมัญญานามทพ่ี สกนิกรยอมรบั และเทดิ ทูนพระองค์ตลอดมา

พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัวมพี ระมเหสี พระสนม และพระคู่หมั้น
ตามล�ำดบั ดังน้ี

1. หมอ่ มเจา้ หญงิ วลั ลภาเทวี วรวรรณ พระคหู่ มนั้ ไดส้ ถาปนาเปน็ พระวรกญั ญา
ปทาน พระองคเ์ จา้ วลั ลภาเทวี แตภ่ ายหลงั ทรงถอนหมน้ั และโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ อกพระนามวา่
“พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ วัลลภาเทว”ี

2. หมอ่ มเจา้ หญงิ ลกั ษมลี าวณั พระขนษิ ฐาพระองคเ์ จา้ วลั ลภาเทวี หลงั อภเิ ษก ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 453
สมรสโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น “พระนางเธอลกั ษมลี าวัณ”

3. คุณเปรื่อง สุจริตกุล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นพระสนมเอกที่
“พระสจุ ริตสุดา”

4. คณุ ประไพ สจุ รติ กลุ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ เปน็ พระอนิ ทราณี พระสนมเอก
ต่อมา ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
พระวรราชชายา”

5. คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ ทรงได้รับสถาปนาเป็นเจ้าจอมสุวัทนา เม่ือทรง
พระครรภ์ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี”
ขณะท่ีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่ พระนางเจ้าสุวัทนา
พระวรราชเทวี มีพระประสตู ิกาลพระราชธดิ า คอื สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน
ราชสุดา สิรโิ สภาพณั ณวดี ในวันที่ 24 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2468 (สนิ้ พระชนม์วันพุธท่ี 27
กรกฎาคม พ.ศ. 2554)

พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั เสดจ็ สวรรคตในวันท่ี 26 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2468 เวลา 1.45 น. ด้วยพระโรคพระโลหิตเป็นพิษในอุทร พระชนมายุ 45 พรรษา
ทรงดำ� รงสริ ริ าชสมบตั ิ นาน 15 ปี

ใกล้รุ่ง อามระดษิ
สุวสั ดา ประสาทพรชยั

เอกสารอ้างอิง
กรมศลิ ปากร. สำ� นกั หอสมดุ แหง่ ชาต.ิ ประมวลภาพประวตั ศิ าสตรไ์ ทยพระราชพธิ บี รม

ราชาภิเษก สมัยรัตนโกสนิ ทร์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2550.
ธนาคารออมสนิ . สมเดจ็ พระมหาธรี ราชเจ้า: หนังสือเฉลิมพระเกยี รติพระบาทสมเดจ็

พระรามาธบิ ดศี รสี นิ ทรมหาวชริ าวธุ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระผพู้ ระราชทาน
ก�ำเนิดธนาคารออมสิน ในวโรกาสฉลองพระบรมราชสมภพครบ 120 ปี
(6 ตอน). กรงุ เทพฯ: สไตล์ครเี อทีฟเฮ้าส์, 2545.

ราม วชริ าวุธ. ประวตั ติ ้นรชั กาลที่ 6. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ: มตชิ น, 2552.
เสถียร พันธรังส.ี พระมงกุฎเกลา้ และเจ้าฟา้ เพชรรัตน์. พมิ พ์ครั้งท่ี 6. กรงุ เทพฯ: ศยาม,

2552.
องคก์ ารโทรศพั ทแ์ หง่ ประเทศไทย. พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั . กรงุ เทพฯ:

อมรินทร์พรน้ิ ติ้งแอนด์พบั ลิชช่งิ , 2543.
อภนิ นั ท์ โปษยานนท.์ จติ รกรรมและประตมิ ากรรมแบบตะวนั ตกในราชสำ� นกั เลม่ 1-2.

กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์พริ้นต้งิ กรุ๊พ, 2536.

454 วชิ าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ไทย

บทที่ ิวชาสถาบันพระมหากษัต ิรย์ไทย 455

พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยูห่ วั

พระบรมสาทสิ ลกั ษณ์
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั
ประดษิ ฐาน ณ มุขกระสนั ตะวันออก พระท่นี งั่ จกั รีมหาปราสาท


Click to View FlipBook Version