ก ความน า เมื่อทราบข่าวว่าคุณพ่อได้จากไปอย่างสงบ และได้แจ้งข่าวให้คนรอบ ข้างทราบแล้ว ความคิดหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาในหัว คือ อยากท าหนังสืออนุสรณ์งาน ศพให้คุณพ่อ แต่เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ รวมถึงระยะเวลาจัดงานที่สั้น จึงไม่ สามารถลงมือท าได้ กระนั้นก็ตามด้วยความตั้งใจที่จะท า จึงตัดสินใจท าหนังสือ เล่มนี้ออกมาในรูปของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้บอกกับใครก่อน เพื่ออุทิศ ให้คุณพ่อผู้จากไปตามความสามารถ และขอบเขตของผู้เขียน เพราะเล็งเห็น ประโยชน์ของ ‘พื้นที่’ หน้าอนุสรณ์ ที่หลายครั้งยังประโยชน์ให้ผู้คนที่สนใจ ศึกษาเรื่องราวในอดีต นี่จึงเป็นทานรูปแบบหนึ่งที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทานที่เป็น เงินตราหรือข้าวของ โดยผู้เขียนได้เลือกงานเขียนสองชิ้น ที่ได้ลงมือเขียนส่งอาจารย์ในช่วง ปีที ่ผ ่านมาของชีวิตในระดับปริญญาโท คือ “เรื ่องเล ่าที่มาของกลุ่มเจ้านาย เมืองเทิงก่อนทศวรรษ 2500” และ “ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเจ้านายพื้นเมือง ในยุคร ่วมสมัย กรณีศึกษากลุ ่มทายาทเจ้านายเมืองเทิงกับการผลิตเอกสาร สาแหรก” มารวมเป็นรวมบทความเรื่อง ‘เจ้า-ปู่-นาย-หม่อน’ ไม่ใช่เพราะความ ดีเด่นของงาน หรือต้องการสร้างพื้นที่ทางสังคม แต่เพราะงานทั้งสองชิ้นต่าง ใช้ข้อมูลที่ผู้เขียนได้ลงมือรวบรวมในช่วงที่มาอยู่กับคุณพ่อตลอดหนึ่งปี หลังจบ การศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึ ่งเป็นช ่วงเวลาสุดท้ายที ่ผู้เขียนได้ใช้ชีวิต กับคุณพ่อ ก่อนจะลงมากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และเป็น เรื่องราวของเมืองเทิง เมืองที่คุณพ่อเกิดและจากไป. ณัฐวัชร์ อินทรีย์สังวรณ์
ข สารบัญ เรื่อง หน้า ความน า ก สารบัญ ข ประวัติคุณพ่อชีวิต อินทรีย์สังวรณ์ 1 รวมบทความเรื่อง “เจ้า-ปู่-นาย-หม่อน” 7 1 เรื่องเล่าที่มาของกลุ่มเจ้านายเมืองเทิง ก่อนทศวรรษ 2500 9 2 ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเจ้านายพื้นเมืองใน ยุคร่วมสมัย กรณีศึกษากลุ่มทายาทเจ้านายเมืองเทิง กับการผลิตเอกสารสาแหรก 41
1 ประวัติของคุณพ่อชีวิต อินทรีย์สังวรณ์ ดาบต ารวจชม แซ ่จัน พื้นเพเดิมเป็นคนอ าเภอเถิน จังหวัดล าปาง เป็นบุตรของนายหล่า แซ่จัน ชาวจีนไหหล าจากสกุลโต่วเถ้าจัน1 ซึ่งได้เดินทาง มาท ามาหากินที่บริเวณอ าเภอเถิน และนางจันทร์ฟอง ธิดาของพ่อค้าชาวพม่า (สันนิษฐานว่าคงเป็นในอ าเถอเถิน) เข้าใจว่าในเวลาต่อมาในนายดาบต ารวจชม ได้เดินทางมาราชการในอ าเภอเทิง จึงได้พบและสมรสกับครูบัวหลี มหาวงศนันท์ ธิดาของนายสาร มหาวงศนันท์2 ช ่างทองเมืองเทิง และ นางแสงอิ่น ชาวบ้านเอียน ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2487 ภายหลังสมรสนอกจากเปลี ่ยนนามสกุลเป็น ‘อินทรีย์สังวรณ์’ นายดาบชมได้ผันตัวมาท าธุรกิจค้าไม้ ในขณะที่ครูบัวหลีได้ลาออกมายึดอาชีพ ท ากับข้าวขายที่ตลาด ทั้งสองมีบุตรธิดาด้วยกันทั้งสิ้น 8 คน ได้แก่ 1. นางบรรเลง สืบจากสิงห์ 2. นายเชวง อินทรีย์สังวรณ์ (เสียชีวิตแล้ว) 3. นายสว่าง อินทรีย์สังวรณ์ 4. นางเรียงไร แช่มชัย 1 น่าสนใจว่า ‘โต่วเถ้าจัน’ หรือ คนแซ่จันจากหมู่บ้านโต่วเถ้าในประเทศ ไทยส่วนใหญ่กลับเป็นคนจีนแต้จิ๋ว ผู้เขียนได้พยายามลองสอบถามกลับไปทางญาติที่ อ าเภอเถิน ก็ได้รับการยืนยันว่าผู้ใหญ่ได้เล่าว่า นายหล ่าเป็นชาวจีนไหหล า และมี ความสงสัยในประเด็นนี้เช่นกัน 2 หนานสารแข้งบิด/หนานสารแข้งเด้ว
2 คุณพ่อขณะเป็นนักเรียนที่โรงเรียนเทิงท านุประชา
3 5. นายชัยวัฒน์ อินทรีย์สังวรณ์ 6. นายชัยวาล อินทรีย์สังวรณ์ (เสียชีวิตแล้ว) 7. นางรัญจวนจิต วงษา 8. นายชีวิต อินทรีย์สังวรณ์ (ผู้วายชนม์) คุณพ่อเกิดในครอบครัวนี้ คุณพ่อเป็นลูกคนที่ 8 ของครอบครัว เกิดเมื่อวันจันทร์ ที ่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ที ่บ้านเลขที ่ 39 หมู ่ 1 ต าบาลเวียง อ าเภอเทิง จังหวัดเชียงราย พี ่สาวของคุณพ่อเล ่าให้ฟังอย่างติดตลกว ่า เมื ่อคุณพ ่อเกิด คุณย่าบัวหลีต้องเข้าโรงพยาบาลถึงหนึ่งเดือน คุณพ่อจึงได้ชื่อว่า ‘ชีวิต’ เพราะ คุณพ่อเหมือนจะเอาชีวิตคุณย่าไปด้วย คุณพ่อได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนเทิงท านุประชา และชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเทิงวิทยาคม ก ่อนจะเข้าศึกษาต ่อในระดับ อน ุปริญญาจากวิทยาลัยเกษตรกรรมตาก และระดับปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย คุณพ ่อเริ ่มท างานที ่ธนาคารเพื ่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาเทิง ใน พ.ศ. 2529 และได้สอบเลื่อนต าแหน่งเป็นหัวหน้าธุรการระดับ 4 ใน พ .ศ . 2540 ใน ธน าค า รเพื ่อก า รเกษต รแล ะสหก รณ ์ ส าข าเทิง และได้ปฏิบัติงานในต าแหน ่งดังกล ่าวในสาขาขุนตาล เทิง บุญเรือง และ เวียงแก ่น ก ่อนจะเกษียรอายุงานที ่สาขาเวียงแก ่น ในวันที ่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564 ในต าแหน่งหัวหน้าธุรการระดับ 7
4 แต่ก่อนคุณพ่อจะมาท างานอย่างเต็มตัวกับธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร คุณพ่อได้คอยช่วยงานคุณปู่ที่ท าธุรกิจค้าไม้ บางเวลาคุณพ่อ จึงมักเล ่าถึงเรื ่องนี้อยู ่เนือง ๆ เวลาผ ่านไปในสถานที ่ที ่คุณปู ่เคยท าไม้เช่น คราวหนึ่งเมื่อขับรถไปทางเส้นอ าเภอภูซางขึ้นภูชี้ฟ้า คุณพ่อก็ได้เล่าว่า เมื่อได้ สัมปทานป ่าที่จะเข้าไปตัดได้บริเวณแนวชายแดนไทยและลาวบริเวณอ าเภอ ภูซาง สิ่งแรกที่ต้องท าคือการปล่อยวัวฝูงหนึ่งให้เดินเข้าไปก่อน เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีกับระเบิดฝังอยู่ในบริเวณดังกล่าว หรือเมื่อขับรถไปทางเขตอ าเภอปงเพื่อมุ่ง สู่น่าน คุณพ่อก็ชี้ต าแหน่งที่คุณปู่มาท าไม้ และเล่าว่าตนมีหน้าที่ขับรถเอาพวก กับข้าวของแห้งที่คุณย่าเตรียมมาให้คุณปู่สัปดาห์ละครั้ง คุณพ่อสมรสมกับคุณแม่อมราลักษณ์ สกุลเดิม พูนประพันธ์คุณพ่อมี บุตรชาย 3 คน คือ 1. นายณัฐพัชร์ พูนประพันธ์ เจ้าของธุรกิจส่วนตัว 2. นายภานุพงษ์ อินทรีย์สังวรณ์ วิศวกรช านาญการ บริษัทซิโนไทย 3. นายณัฐวัชร์ อินทรีย์สังวรณ์ ก าลังศึกษาระดับปริญญาโท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค ากล่าวสรุปชีวิตของคุณพ่อได้ดีที่สุด คือ ถ้อยวลีในภาษาละตินของ นักบุญออกัสติน นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกตะวันตกที่ว่า ‘Patienter vivit, et delectabiliter moritur.’ (ปาตีเอนแตร์ วีวิต, แอ็ต เดเลกตาบีลีแตร์ โมริตูร์) แปลว่า ‘อยู่อย่างอดทน และจากไปอย่างเป็นสุข’
5 คุณพ่อเป็น ‘Priyagana’ (ปรียาคณะ) ภาษาสันสกฤตแปลว่า ผู้เป็นที่ รักของคนทั้งหลาย เพราะคุณพ่อเป็นคนโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอย่าง เต็มที่ มีความเมตตาห่วงใยคนรอบข้างเสมอ จนเป็นที่เคารพรักของทุกคน ทั้งใน ครอบครัว ญาติสนิท มิตรสหาย และเพื่อนร่วมงาน ส ่วนในด้านครอบครัว คุณพ ่อเป็น ‘Fortissime’ (ฟอร์ติสสิเม) เป็นภาษาละตินแปลว่า ผู้อดทน3 คุณพ่อได้เป็นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้น าของ ครอบครัวอย่างดียิ่ง เป็นคู่ชีวิตที่ดีต่อกันและกันให้คุณแม่ รวมถึงให้ความรัก และห ่วงใยบุตร พร้อมส ่งเสริมให้บุตรได้รับการศึกษาอย ่างเต็มก าลัง ความสามารถตามแขนงที่ตนสนใจ คุณพ ่อได้จากไปอย ่างสงบในวันบ ่ายของพฤหัสบดี ที ่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ณ บ้านเลขที่ 72 หมู่ 12 ต าบลเวียง อ าเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นความตายที่สงบราบคาบและเป็นสุขดั่งค า ที่ว่า ‘เดเลกตาบีลีแตร์ โมริตูร์’ เหมือนมรณกรรมของนักบุญยอแซฟ. 3 ค าดังกล่าวถูกใช้อธิบายคุณลักษณะของนักบุญยอแซฟในบทเร้าวิงวอน ของท่านนักบุญในภาษาละติน
6 คุณพ่อ (เสื้อขาว) เลือกรูปครอบครัวรูปนี้ใส่กรอบไว้ที่บ้าน รูปนี้ถ่ายในเย็น วันรับปริญญาตรีของผู้เขียนในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2565 นี่เป็นครั้งสุดท้าย ที่ผู้เขียนได้พบคุณพ่อ
7 รวมบทความเรื่อง ‘เจ้า-ปู่-นาย-หม่อน’ ‘เจ้าปู ่นายหม ่อน’ เป็นค าเรียกผีบรรพบุรุษของเกษร อักษรดิษฐ์ ทายาทสายตรงเจ้าพญาอินทรจักร อดีตเจ้านายโบราณ ในเขตอ าเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ผู้ศึกษาตัดสินใจเลือกค าว่า เจ้าปู่นายหม่อน มาใช้เป็นชื่อของหัวข้อใหญ่ครั้งนี้ เพราะบุคคลที่ จะได้รับการกล ่าวถึงต ่อไป มีฐานะที ่สอดคล้องกับค าดังกล ่าว นั ่นคือบุคคเหล ่านี้ได้รับการยกย ่องว ่า เป็นกลุ ่มที่สืบเชื้อสายมา จากชนชั้นปกครองในสังคมจารีต (เจ้า-นาย) แต่ในเวลาเดียวกันก็ เป็นบรรพบุรุษของผู้คนจ านวนหนึ ่งภายในพื้นที ่ (ปู่-หม ่อม) หนึ่งในนั้นคือ หม่อนหรือทวดของผู้วายชนม์ผู้ ซึ่งได้รับการเรียก ภายในครอบครัวว ่า อุ๊ยหนานสาร มหาวงศนันท์ (อยู ่ในสาย พ่อพรหม-แม่บัวค า มหาวงศนันท์) และในเวลาเดียวกันถูกเรียกว่า เจ้าหนานสาร / เจ้าลุงหนานสาร โดยญาติอีกสายหนึ่ง
8 ภาพที่ 1 พระยาไชยสารและเจ้าแม่สุตินา เจ้าเมืองเทิงองค์สุดท้าย (ที่มา: Nubkao Kiatchaweephan)
9 เรื่องเล่าที่มาของกลุ่มเจ้านายเมืองเทิง ก่อนทศวรรษ 2500 ณัฐวัชร์ อินทรีย์สังวรณ์ บทน า ในอดีตมีค ากล ่าวภายในต าบลเวียง อ าเภอเทิง ซึ ่งสะท้อนให้เห็น ค่านิยมของท้องถิ่น ในการยกย่องบุคคลจ านวนหนึ่งที่มีเชื้อสายสืบต่อมาจาก กลุ ่มชนชั้นปกครองในสังคมจารีต ด้วยการเรียกค าน าหน้าว ่า เจ้า อยู ่เป็น จ านวนมากในยุคทศวรรษ 2500 เป็นต้นมาว่า “ใคร่เป็นคุณหื้ออยู่เจียงฮาย ใคร่เป็นนายหื้ออยู่เวียงป่าเป้า ใคร่เป็นเจ้าหื้ออยู่เมืองเทิง” 4 (อยากเป็นคุณให้อยู่เชียงราย อยากเป็นนายให้อยู่เวียงป่าเป้า อยากเป็นเจ้าให้อยู่เมืองเทิง) ค าดังกล่าวไม่ได้มีความหมายอยากตรงตัวเสียทีเดียว แต่มีความหมายในท านอง สื่อถึงรูปแบบการยกย่องบุคคลที่มี ‘ฐานะสูง’ ที่แตกต่างกันไปในพื้นที่ จังหวัด เชียงราย นั่นคือในตัวอ าเภอเมือง นิยมเรียกผู้มีฐานะด้วยค าหน้าว่า คุณ ตาม อิทธิพลของภาคกลาง ในขณะที่อ าเภอเวียงป่าเป้า นิยมเรียกผู้มีฐานะด้วยค า น าหน้าว่า นาย (พ่อนาย/แม่นาย) ตามแบบสังคมล้านนาทั่วไป ในขณะที่อ าเภอ 4 สัมภาษณ์เกี๋ยงค า แว่นพรหม, ชาวบ้านเวียง อายุ 95 ปี, 4 กันยนยน 2564.
10 เทิง นิยมเรียกผู้มีฐานะด้วยค าน าหน้าว่า เจ้า เพราะส่วนใหญ่ผู้มีฐานะในอ าเภอ เทิง ล้วนเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชนชั้นปกครองในระบบจารีตเจ้าหลวง งานศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเรื่องเล่าถึงที่มากลุ่มบุคคลที่มีฐานะที่ สอดคล้องกับค ากล่าวดังกล่าว นั่นคือกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกย่องภายในเขต อ าเภอเทิงในช ่วงเวลาหนึ่ง ว่าเป็นกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นปกครองใน สังคมจารีต ด้วยการเรียกน าหน้าชื่อว่า เจ้า และมีสถานภาพเป็นบรรพบุรุษของ ผู้คนจ านวนหนึ่งภายในพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือ หม่อนหรือทวดฝั่งย่าของผู้วายชนม์ ซึ่งได้รับการเรียกภายในครอบครัวว่า อุ๊ยหนานสาร มหาวงศนันท์5 (อยู่ในสาย พ่อพรหม-แม่บัวค า มหาวงศนันท์) และในเวลาเดียวกันถูกเรียกว่า เจ้าหนาน สาร ขาบิด6 / เจ้าลุงหนานสาร7 โดยญาติอีกสายหนึ่ง โดยมีค าถามอยู่ว่า บุคคล ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้านายเมืองเทิง ซึ่งกลายมาเป็นบรรพบุรุษของคน จ านวนหนึ่ง ในพื้นอ าเภอเทิง และเป็นผู้ที่มีส่วนส าคัญที่ท าให้เกิดค ากล่าวทั้ง สองที่ยกมา นั้นเป็นใครมาจากไหน 5 สัมภาษณ์บรรเลง สืบจากศิลป์, ชาวบ้านเวียง อายุ 76 ปี, 7 กันยายน 2564. 6 สัมภาษณ์บานเชย เมืองมูล, ชาวบ้านเวียง อายุ 91 ปี, 8 กันยายน 2564 , บานเชยอธิบายว่า เจ้าหนานสารผู้นี้มีลักษณะขาที่พิการข้างหนึ่ง (ขาบิด) ท างาน เดินเหินไม่สะดวก ในขณะที่ปทุมมา ธิการ อธิบายอาการนี้ว่า ‘แข้งเด้ว’ (ขาไม่ดี). 7 สัมภาษณ์จก สุยะราช, ชาวบ้านเวียง อายุ 86 ปี , 9 กันยนยน 2564.
11 ในงานศึกษาแรกสุดเกี่ยวกับเจ้านายเมืองเทิง คือ หนังสือ เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์โดย สุธี จันทร์สว ่าง (2543) ซึ ่งได้ท าการศึกษา ประวัติศาสตร์ของ อ าเภอเทิง และประวัติของพระยาไชยสาร เจ้าหลวงองค์ สุดท้ายของนครรัฐเทิง สุธีได้ชี้ให้เห็นว่าเจ้าหลวงเมืองเทิง เป็นผู้ที่ได้รับการส่ง มาจากเมืองน ่านเพื ่อปกครองเมืองเทิง8 และเนื ่องจากสุธี เลือกศึกษาเพียง เจ้าหลวงเทิง ซึ่งเป็นต้นตระกูลฝั่งมารดาของเขา และญาติใกล้ชิดอย่างผิวเผิน ท าให้การอธิบายถึงที่มาของเจ้านายเมืองเทิงนั้นไม่ครอบคลุม และชี้กลาย ๆ ว่า เจ้านายเมืองเทิงนั้นมาจากเมืองน่าน ข้อเสนอในท านองเดียวกันยังปรากฏ และได้รับการอธิบายความมาก ขึ้นในเรื่องของประเภทเจ้านายเมืองเทิง ในงานศึกษาเรื่อง “การฟื้นฟูรัฐน่านใน สมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329 – 2442” โดยบริพัตร อินปาต๊ะ (2560) ซึ่งศึกษาการด าเนินนโยบายของรัฐน ่านภายใต้ราชวงศ์ติ๋นหลวง ในช ่วงคาบ เกี่ยวระหว่างการเป็นเมืองขึ้นของพม่าถึงการเป็นเมืองขึ้นของสยาม ได้เสนอถึง ที ่มาของกลุ ่มเจ้านายเมืองเทิงไว้ว ่า ภายหลังการย้ายเมืองหลวงน ่านของ เจ้าอัตถวรปัญโญไปยังเขตจังหวัดน่านในปัจจุบัน เมืองเทิง เมืองเชียงของ และ เมืองแก ่นท้าว รวมถึงเมืองทางตอนเหนือขึ้นไปของเมืองน ่าน ได้กลายเป็น เมืองร้างไปชั่วระยะหนึ่ง จนภายหลังเหตุการณ์เชียงแสนแตก ใน พ.ศ. 2347 เจ้าเมืองน่านจึงได้กลับมาอ้างสิทธิ์ในพื้นที่เหล่านี้ และได้เริ่มท าการฟื้นฟูเมือง 8 สุธี จันทร์สว่าง, เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ 2 (เชียงราย : คณะกรรมการจัดท าหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระครูนิ วิษฐ์สัทธาคุณ (บุญเป็ง ฐิตสาโร) , 2543), 59.
12 เหล ่านี้ขึ้น โดยการอพยพผู้คนจากเมืองน ่านกลับมาสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ พร้อมตั้งเจ้านายเชื้อสายราชวงศ์หลวงติ๋นระดับรองให้ปกครองเมืองนั้น ๆ9 ในขณะที่หนังสือ 100 ปีเมืองเทิงร าลึก โดยสืบศักดิ์ พรหมแย้ม และ วิภาวดี สิขรวัฒน์ (2557) ซึ่งจัดท าขึ้นในโอกาสครบรอบ 100 ปี การยกฐานะ เป็นอ าเภอเทิง มีเนื้อหาหลักของงานกล่าวถึงพัฒนการทางประวัติศาสตร์ของ อ าเภอเทิง ตั้งแต่ยุคจารีตถึงปัจจุบัน ได้เสนอว่ากลุ่มเจ้านายที่ปกครองเมืองเทิง ในรุ่นสุดท้าย คือกลุ่มของพระยาไชยสาร เจ้าหลวงองค์สุดท้าย เป็นกลุ่มเจ้านาย ที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้านายท้องถิ ่นของเมืองเทิง ที่ได้อพยพไปยังเมืองน ่าน ภายใต้การน าของเจ้ามหาพรหมเมืองเทิง ในสมัยเจ้าอัตถวรปัญโญย้าย เมืองหลวงกลับไปยังจังหวัดน ่านในปัจจุบัน และกลุ ่มเจ้านายดังกล ่าวเริ ่มมี บทบาทในการปกครองเมืองเทิงใน พ.ศ. 2440 เป็นต้นมา10 ดังนั้นเจ้านาย เมืองเทิงรวมถึงประชาการเมืองเทิงจ านวนหนึ ่งก็ดี จึงไม ่ใช ่คนน ่าน แต ่เป็น คนเทิงที่ย้ายไปอยู่น่านและทะยอยกลับมายังเทิงอีกครั้ง11 9 บริพัตร อินปาต๊ะ, “การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329- 2442” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560), 115. 10 สืบศักดิ์ พรหมแย้ม และวิภาวดี สิขรวัฒน์, 100 ปีเมืองเทิงร าลึก (เชียงราย: สภาวัฒนธรรมอ าเภอเทิง, 2557), 16. 11 สัมภาษณ์ สืบศักดิ์ พรหมแย้ม, ผู้ร่วมเขียนหนังสือ 100 ปีเมืองเทิงร าลึก, 21 มกราคม 2565,
13 แต่ในงานศึกษาครั้งนี้จากการพบเอกสารลายมือเรื่องต้นตระกูลวงวุฒิ และค าบอกเล่าของกลุ่มทายาทเจ้านายจ านวนหนึ ่งที ่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ท าให้ผู้ ศึกษามีข้อเสนอที่แตกต่างออกไปจากทั้งสาม คือ กลุ่มเจ้านายเมืองเทิงเป็นกลุ่ม เจ้านายผสม ที ่มีที ่มาสองแหล ่งใหญ ่ คือ เจ้านายในราชวงศ์หลวงติ๋น และ เจ้านายเมืองเชียงแสน ซึ่งได้อพยพมาพึ่งบารมีราชวงศ์หลวงติ๋น ไม่ได้เป็นกลุ่ม เจ้านายในราชวงศ์หลวงติ๋นทั้งหมดดังที่ สุธี จันทร์สว่าง และบริพัตร อินปาต๊ะ ได้เสนอ และไม่ได้เป็นเจ้านายเมืองเทิงเดิมที่เข้าร่วมกับน่านทั้งหมดตามที่สืบ ศักดิ์ พรหมแย้ม และวิภาวดี สิขรวัฒน์ ได้เสนอเช่นกัน ดังนั้นเพื่อบรรลุข้อเสนอนี้ งานชิ้นนี้จะเริ่มจากการอธิบายบริบททาง ประวัติศาสตร์ของพื้นที ่อ าเภอเทิง เพื ่อชี้ให้เห็นประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ซึ ่งมีส ่วนในการเกิดขึ้นของกลุ ่มเจ้านายที่ผู้ศึกษาสนใจ ก ่อนจะอธิบายกลุ่ม เจ้านายภายในพื้นที่ โดยใช้หลักหลักฐานเอกสารและค าบอกเล่า เพื่อน าไปสู่ ข้อเสนอที่ได้ตั้งไว้ โดยมีขอบเขตเวลาอยู่ในช ่วงก ่อนทศวรรษ 2500 อันเป็น ช ่วงเวลาที่ค ากล่าวเรื ่องการเรียกขานบุคคลที่ได้รับการยกย่องในอ าเภอเทิง เป็นที่รับรู้กัน และบุคคลที่เดินทางย้ายมาจากเมืองน่านที่ถูกระบุถึงยังมีชีวิตอยู่ เมืองเทิงในบริบทประวัติศาสตร์ เมืองเทิงนับเป็นเมืองโบราณ ที่มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ ราบลุ่มแม่น ้าอิง เชิงดอยจอมจ้อ โดยในอดีตก่อนการสถาปนาอาณาจักรล้านนา โดยพญามังราย (พ.ศ. 1782 – พ.ศ. 1854) ในช่วงก่อนต้นพุทธศตวรรษที่ 19 เมืองเทิงมีสถานะเป็นหนึ ่งในหน ่วยการปกครองของเมืองภูกามยาว อันมี ศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณจังหวัดพะเยาในปัจจุบัน กระทั่งต่อมาเมื่อพญามังรายทรง
14 เริ ่มรวบรวมอ านาจมายังเมืองหิรัญนครเงินยาง (อ าเภอเชียงแสน จังหวัด เชียงราย) เมืองเทิงจึงได้ถูกผนวกเข้ามาอยู่ในปริมณฑลอ านาจของเมืองหิรัญ นครเงินยาง และกลายเป็นส่วนหนึ่งในปริมณฑลของอาณาจักรล้านนา อันมี เมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง และอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์มังรายใน เวลาต่อมา จวบจนอาณาจักรล้านนาได้ถูกกองทัพของพระเจ้าบุเรงนองตีแตก และผนวกเข้าเป็นส ่วนหนึ่งของอาณาจักรตองอู ใน พ.ศ. 2101 เมืองเทิงจึง กลายเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่ขึ้นตรงกับเมืองเชียงแสน (อ าเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ตองอู ราชวงศ์ยองยาน และ ราชวงศ์คองบองตามล าดับ เมืองเทิงได้กลายเป็นส่วนหนึ ่งของเมืองภายใต้อ านาจของราชวงศ์ หลวงติ๋น ซึ่งปกครองเมืองน่านมาตั้งแต่ พ.ศ. 226912 สันนิษฐานได้ว่าในช ่วง ปลายพุทธศตวรรษที ่ 23 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 (ปลายการปกครองของ ราชวงศ์คองบองในล้านนา) ดังปรากฏว่าแม่เจ้านางเลิศ ธิดาในแม่เจ้านางเทพ พระธิดาในเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หลวงติ๋นได้เสกสมรสมกับ เจ้ามหาพรหมเมืองเทิง13 และใน พ.ศ. 2325 ในประชุมพงศาวดารเล ่ม 10 ก็ปรากฏว่าในตอนที่เจ้าเมืองเชียงแสน (พม่า) ได้มีค าสั่งให้เจ้ามโน โอรสแม่เจ้า นางเลิศน าไพร ่พลที ่อยู ่ยังเมืองเชียงแสน มาตั้งเมืองอยู ่ยังเมืองเทิง มีการ 12 บริพัตร อินปาต๊ะ, “การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329-2442” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560), 29. 13 ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10 (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2507), 73.
15 กล่าวถึง ‘ไพร่พลชาวน่านชาวเทิง’ รวมกันว่า “ม่านก็หื้ออาญชญาเจ้ามโนยก เอาครอบครัวไพร่ไทยชาวน่านชาวเทิงทั้งมวล ลงมาตั้งอยู่ในเมืองเทิงที่นั้น…”14 จากข้อความดังกล่าวที่ระบุเวลาอย่างชัดเจน จึงสันนิษฐานได้ว่าในช่วงต้นพุทธ ศวตรรษที่ 24 เมืองเทิงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปริมณฑลอ านาจของราชวงศ์ หลวงติ๋นโดยสมบูรณ์ และหลักฐานที่แสดงข้อสันนิษฐานนี้ คือ ใน พ.ศ. 2327 เจ้าเมืองเชียงแสนได้แต่งตั้งให้เจ้าอัตถวรปัญโญ หลานเจ้ามโนเป็นพระยาน่าน โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ ณ เมืองเทิง15 เจ้าอัตถวรปัญโญประทับอยู่เมืองเทิงถึง พ.ศ. 2329 เนื่องจากความไม่ สงบภายในเมืองเชียงแสนจากความพยายามของเจ้าเมืองท้องถิ่นอื่น ๆ อาทิ เมืองแพร่และเมืองยอง ที่พยายามลุกขึ้นมาต่อต้านอ านาจของราชวงศ์คองบอง อันมีฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองเชียงแสน พระองค์จึงได้ตัดสินใจน าไพร่พลย้ายกลับมา ฟื้นฟูศูนย์กลางเดิม คือ บริเวณเชิงดอยพระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่านในปัจจุบัน และได้ตัดสินใจสวามิภักดิ์กับทางสยามในที่สุด (พ.ศ. 2331) เป็นผลให้เมืองเทิง กลายเป็นเมืองร้างอยู ่ระยะหนึ ่ง กระทั ่งเมื ่อเกิดเหตุการณ์เชียงแสนแตก ใน พ.ศ. 2347 อันเป็นจุดสิ้นสุดอ านาจของพม่าในล้านนา เมืองเทิงจึงได้รับการ ฟื้นฟูขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งของรัฐน่าน โดยกษัตริย์น่านได้เริ่มให้มีการอพยพผู้คน จากเมืองน่านกลับมาสร้างบ้านแปงเมืองใหม่พร้อมตั้งเจ้านายเชื้อสายราชวงศ์ หลวงติ๋นระดับรองให้ปกครองเมือง16 14 ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10, 13. 15 เรื่องเดียวกัน, 14. 16 บริพัตร อินปาต๊ะ, “การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329-2442” , 115.
16 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นความเป็นเมืองของเทิงที่ได้รับ การฟื้นฟูขึ้นภายใต้อ านาจของราชวงศ์หลวงติ๋น ภายหลังเหตุการณ์เชียงแสน แตก คือ รายนามศาสนสถานที่เจ้าอนันตวรฤทธิเดช ทรงโปรดให้ท านุบ ารุงขึ้น ภายหลังทรงย้ายเมืองน ่านจากเวียงเหนือกลับมายังเวียงใต้ (ตัวเมืองน ่านใน ปัจจุบัน) และโปรดให้มีการสร้างหอค าหลังใหม่ ใน พ.ศ. 2400 ได้ปราฏมีชื่อ พระธาตุจอมจ้อเมืองเทิง อยู่ในรายการตามความว่า “ลุนแต่นั้นท่านก็ได้สร้าง พระธาตุเจ้าจอมจ๊อเมืองเทิงเป็นถ้วน ๑๑” 17 และในเอกสารอาณาจักรหลักค า ซึ่งเป็นกฏหมายของรัฐน่าน ที่ตราขึ้นในสมัยของเจ้าอนันตวรฤทธิเดช ใน พ.ศ. 2395 ก็ปรากฏรายนามเจ้าเมืองที ่มารวบในการตรากฏหมายครั้งนั้นว ่ามี “เจ้าพระยาเธิง” 18 และในส ่วนของศักดินาเจ้านายเมืองน ่านในเอกสารชุด เดียวกัน ก็ได้ปรากฏต าแหน่งเจ้าเมืองเทิง เจ้าหอหน้าเทิง และเจ้าราชวงศ์ มี จ านวนศักดินาลดหลั่นกันไป คือ 500 400 และ 300 เทียบเท่าเจ้านายเมือง เชียงของ แต ่น้อยกว ่าเรื ่องของต าแหน ่ง และเมื ่อเทียบเฉพาะของผู้ได้รับ ต าแหน่งเจ้าเมืองจะพบว่า จ านวนศักดินาของเจ้าเมืองเทิงเทียบเท่าเจ้าวังซ้าย และเจ้าพระยาวังขวา ซึ่งเป็นต าแหน่งเจ้านายส าคัญอีกหนึ่งภายในเมืองน่าน19 (ดูตารางที่ 1) 17 ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10, 81. 18 สรัสวดี อ๋องสกุล [ปริวรรต], “อาณาจักรหลักค า: กฏหมายเมืองน่าน,” ใน พินิจหลักฐานประวัติศาสตร์ล้านนา (เชียงใหม่: ศูนย์ล้านนาศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2559): 130 – 197, 149. 19 เรื่องเดียวกัน, 182.
17 ตารางที่ 1 ตารางแสดงตัวอย่างต าแหน่งและจ านวนนาศักดิ์ในอาณาจักรหลักค า ดอก นางเอก นาง โท บุตรชาย บุตรญิง หลาน เขย ใน สมเด็จเจ้า มหาชีวิต 1200 600 300 400 200 150 100 เจ้าวังซ้าย 500 250 122 162 81 150 100 เจ้าพระยา วังขวา 500 250 122 162 81 150 100 เ จ้ า เ มื อง เชียงของ 500 250 172 เจ้าหอหน้า ของ 400 200 132 เจ้าราชวงส์ ของ 300 150 100 เจ้าซ้ายของ 200 100 62 เจ้าขวาของ 200 100 62 เ จ้ า เ มื อง เทิง 500 250 172 เจ้าหอหน้า เทิง 400 200 132 เจ้าราชวงส์ เทิง 300 150 100 (ปรับปรุงจากสรัสวดี อ๋องสกุล [ปริวรรต], “อาณาจักรหลักค า: กฏหมายเมืองน่าน,” ใน พินิจหลักฐานประวัติศาสตร์ล้านนา (เชียงใหม่: ศูนย์ล้านนาศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2559): 130 – 197, 180 - 182.)
18 ในบันทึกของปีแอร์ โอร์ต ที่ปรึกษากฏหมายชาวเบลเยี่ยม ที่เข้ามารับ ราชการในสยามสมัย ร. 5 ซึ ่งเดินทางจากเมืองเชียงรายไปยังเมืองน ่านได้ บรรยายถึงเมืองเทิง เมื่อเขาเดินทางถึงในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2440 ว่า “คนส่วนใหญ่ของเมืองเทิงอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น ้า … เมืองเทิงนี้อยู่ใน เขตเมืองน่าน ข้าพเจ้าได้ทราบว่าพรุ่งนี้ลูกหาบ ๑๕๐ คนพร้อมที่จะ ออกเดินทางได้แต่ไม่มีช้างต่าง ทั่วทั้งเมืองเทิงมีช้างอยู่เพียง ๒ เชือก แต่ขณะนั้นช้างทั้งสองไม่อาจใช้ได้เพราเหตุผลต่าง ๆ” 20 จากข้อความดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าภายใต้อิทธิพลราชวงศ์หลวงติ๋น ผู้คนที่ เดินทางมาจากเมืองน่านได้เลือกอาศัยกระจุกตัวอยู่บริเวณฝั่งซ้ายของล าน ้าอิง ซึ่งเข้าใจว่าคือบริเวณบ้านเวียงสองในปัจจุบัน โดยคงมีขนาดชุมชนที่ใหญ่ใน ระดับหนึ่ง เพราะสามารถจัดหาจ านวนลูกหาบให้ได้ถึง 150 คน แต่ก็น่าสนใจ ว่าในบันทึกดังกล่าวปีแอร์ โอร์ต ไม่ได้กล่าวถึงการมีเจ้าเมืองปกครอง ซึ่งขัดกับ หลักฐานท้องถิ่นที่กล่าวว่าในยุคดังกล่าวเมืองเทิงยังคงปกครองด้วยระบบเจ้า หลวง ในที่นี้อาจสันนิษฐานได้ว่า เจ้าหลวงเทิงในขณะนั้นไม่ได้ประทับอยู่เมือง เทิง โดยน่าจะเดินทางไปยังเมืองน่านเพื่อท าพิธีถือน ้าพิพิฒน์สัตยา ดังที่ปรากฏ ในบันทึกของปีแอร์ โอร์ต ว่าเจ้าเมืองเชียงของได้เดินทางมาร่วมพิธีดังกล ่าว21 และน่าจะเป็นผู้น าช้างจ านวนหนึ่งเดินทางมาเมืองน่าน 20 พิษณุ จันทร์วิทัน, ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง (กรุงเทพฯ : พิมพ์ค า, 2555), 186. 21 เรื่องเดียวกัน, 196.
19 เมืองเทิงปกครองภายใต้ระบบเจ้านาย ใต้อ านาจของราชวงศ์หลวงติ๋น จนถึงราวทศวรรษ 2440 เมื่อพระยาไชยสารเสียชีวิตลง ใน พ.ศ. 244322 หรือ ช ่วงต้นของการประกาศใช้ระบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองเทิงจึงถูกลดสถานะ เป็นกิ ่งแขวงเมืองเทิง ภายใต้เขตที ่เรียกว ่า บริเวณน ่านเหนือ จนล ่วงถึง พ.ศ. 2447 กิ่งแขวงเมืองเทิง ที่ไกลจากศูนย์กลางปกครองของเมืองน่าน จึงถูก โอนความดูแลให้ไปขึ้นกับเมืองเชียงราย และได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นอ าเภอใน ความดูแลของจังหวัดเชียงราย ใน พ.ศ. 245723 กลุ่มเจ้านายเมืองเทิงก่อนทศวรรษ 2500 ในการรวบรวมข้อมูลผ ่านการสัมภาษณ์ทายาทเจ้านายเมืองเทิง จ านวนหนึ่ง และการรวบรวมเอกสารที่ตีพิมพ์เผยแพร่ และไม่ตีพิมพ์เผยแพร่ ผู้ศึกษาสามารถจ าแนกกลุ่มเจ้านายเมืองเทิงออกมาได้ 4 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มพระยา ไชยสารและญาติ กลุ่มเจ้าราชวงศ์-เจ้าแม่ปิมปา เมืองเชียงแสน กลุ่มเจ้าปู่นวลเจ้าย่าติ๊บ มหาวงศนันท์ และกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีรายละเอียดของที่ตั้ง บ้านเรือนดั้งเดิมและที่มา ดังนี้ 22 สุธี จันทร์สว่าง, เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์, 62. 23 สืบศักดิ์ พรหมแย้ม และวิภาวดี สิขรวัฒน์, 100 ปีเมืองเทิงร าลึก, 24 – 28.
20 1. กลุ่มพระยาไชยสารและญาติ กลุ่มพระยาไชยสารและญาติเป็นกลุ่มที่มีการตั้งถิ ่นฐานอยู ่บริเวณ บ้านเวียง หรือตัวอ าเภอปัจจุบัน โดยภายในกลุ่มนี้ประกอบด้วยกลุ่มตระกูลย่อย ลงไปอีก 4 สาย คือ สายพระยาไชยสาร โอรสเจ้ามหาวงศ์ สายแม ่เจ้านะพ่ออุ๊ยกั๋นไชย/แสนไชย สายเจ้าหนานนันทะชัย-เจ้าแม่บัวค า มหาวงศนันท์ และ สายพ ่อพรหม-แม ่บัวค า มหาวงศนันท์ ในระหว ่างการเก็บข้อมูลสัมภาษณ์ เมื่อสอบถามถึงความสัมพันธ์ของบุคคลในกลุ่มดังกล่าวจะปรากฏการอธิบายว่า เป็นญาติกัน อย่างเจ้าแม่พรหม กิติลือ (ธิดาเจ้าหนานนันทะชัย-เจ้าแม่บัวค า) และเจ้าแม ่บุญปั๋น เจริญชัย (ธิดาพ ่อพรหม-แม่บัวค า) อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างทั้งสองว่าเป็น ‘เจ้าปี้เจ้าน้องกัน’ (เจ้าพี่เจ้าน้องกัน)24 และเมื่อพิจารณา ถึงการตั้งบ้านเรือนเดิมของกลุ่มตระกูล 4 สายนี้จะพบว่าต่างมีที่ดินตั้งอยู่ใน ละแวกเดียวกัน คือ บริเวณพื้นที่โฮงหลวงของเจ้าหลวงในอดีต นั่นคือ บริเวณ ตลาดสดอ าเภอเทิง เรื่อยมาจนถึงบริเวณที่ว่าการอ าเภอในปัจจุบัน จึงจัดได้ว่า กลุ่มเจ้านายเหล่านี้น่าจะเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กันในเชิงเครือญาติ ภายในกลุ่มเจ้านายนี้ นอกจากค าบอกเล่าที่มาของเจ้าหลวงไชยสาร ในหนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ของ สุธี จันทร์สว่าง ผู้เป็น ทายาทสายตรงของเจ้าหลวงไชยสาร ยังปรากฏค าบอกเล ่าของบานเชย เมืองมูล ทายาทในกลุ ่มเจ้าหนานนันทะชัย-เจ้าแม ่บัวค า มหาวงศนันท์ว่า เจ้าหนานนันทะชัยและเจ้าแม่บัวค าได้ย้ายมาจากเมืองน ่าน โดยได้พาธิดาทั้ง 24 สัมภาษณ์ เรวัตร จันทรธิการ, ชาวบ้านเวียง อายุ 66 ปี, 23 มกราคม 2565.
21 สามที่เกิดที่เมืองน ่านติดตามมา คือ เจ้าแม่ศรีวรรณาได้ให้นั่งช้างมา เจ้าแม่ พรหมให้ขี้ม้ามา ส่วนเจ้าแว่นแก้วนั้นป๊ก (อุ้มใส่ผ้า) มา25 และค าบอกเล่าของ ให้เรวัตร จันทรธิการ ถึงที่มาของเจ้าแม่บุญปั๋น (มีศักดิ์เป็นน้องสาวของทวดของ ผู้วายชนม์– อุ๊ยหนานสาร/เจ้าหนานสาร ขาบิด) ในสายพ่อพรหม-แม่บัวค า มหาวงศนันท์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นย่าของตนว่า “เปิ้นเดินมาจากเมืองน่านมากับหมู่ปี้ หมู่น้อง” (ท่านเดินทางมาจากเมืองน่านมากับพี่น้อง) เรวัตรได้เล่าเพิ่มว่าสายนี้ เดินทางมาจากแถบอ าเภอเวียงสา จังหวัดน่านในปัจจุบัน26 ดังนั้นจากหลักฐานที่ปรากฏในเอกสาร ค าสัมภาษณ์ และที่ตั้งของบ้าน สายตระกูลทั้ง 4 จึงสันนิษฐานว่าเมื่อพระยาไชยสารได้รับต าแหน่งเป็นเจ้าหลวง เทิง ในช่วงเวลาอย่างช้าที่สุดคือ พ.ศ. 2440 พระยาไชยสารได้น าครอบครัวของ ตน พร้อมญาติจ านวนหนึ่งจากเมืองน่านเดินทางมายังเมืองเทิง โดยได้จัดสรร ที่ดินและที่พักให้กลุ่มญาติอีก 3 สายกระจายอยู่ภายในบริเวณใกล้กับอาณาเขต ของโฮงเจ้าหลวง กลุ่มนี้จึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นในฐานะเครือญาติ และมีนามสกุลต้นสายร่วมกัน คือ มหาวงศนันท์ 25 สัมภาษณ์ บานเชย เมืองมูล, ชาวบ้านเวียง อายุ 91 ปี, 8 กันยายน 2564. 26 สัมภาษณ์เรวัตร จันทรธิการ, ชาวบ้านเวียง อายุ 66 ปี, 23 มกราคม 2565
22 แผนที่ 1 บริเวณที่ตั้งบ้านของกลุ่มพระยาไชยสารและญาติอยู่บริเวณกลางตัว อ าเภอในปัจจุบัน ค่อนไปทางทิศเหนือ
23 ภาพที่ 2 พระยาไชยสารและคนโฮง (ที่มา: Nubkao Kiatchaweephan)
24 2. กลุ่มเจ้าราชวงศ์-เจ้าแม่ปิมปา เมืองเชียงแสน กลุ ่มเจ้าราชวงศ์-เจ้าแม ่ปิมปา เมืองเชียงแสนเป็นกลุ ่มที ่มีการตั้ง ถิ่นฐานกระจายมาทางตะวันออกของพื้นที่โฮงเจ้าหลวง ตั้งแต่บริเวณตะวันออก ของบ้านเวียง เรื่อยมาไปถึงบ้านทุ่งขันไชย บ้านใหม่ บ้านสันป่าบง และบ้าน ร่องแช ่ กลุ่มย่อยภายในกลุ่มดังกล่าวเท่าที่สืบค้นได้ในมี 2 สาย คือ สายสกุล วงวุฒิ และสายเจ้าพญาอินทรจักร (มีศักดิ์เป็นเขยเจ้าราชวงศ์) โดยสายสกุล วงค์วุฒิเป็นสายหลักของในกลุ ่มนี้และปรากฏการแต ่งงานกับกลุ ่มเจ้านาย ท้องถิ ่นอื ่น ๆ อีกจ านวนมาก เช ่น สายธรรมปัญญา สาย ณ น ่าน สาย มหาวงศนันท์ ฯลฯ ในขณะที ่สายเจ้าพญาอินทรจักรมีถิ ่นฐานส าคัญ คือ บ้านสันป่าบง ต าบลหงาว เพราะมีมุขปาฐะในกลุ่มทายาทว่า เจ้าหลวงเทิงได้ให้ เจ้าพญาอินทรจักรน าไพร่พลมาตั้งบ้านสันป่าบง และปกครองบริเวณแถวนี้27 ภายในกลุ่มนี้ได้ปรากฏเอกสารลายมือเรื่องต้นตระกูลวงศ์วุฒิ เขียน โดยคุณครูอุบลศรี ก าเนิดสวัสดิ์28 ได้ให้รายละเอียดว่า เจ้าราชวงศ์เป็นราชบุตร เจ้าเมืองเชียงแสน เมื่อพม่าได้ตีเมืองเชียงแสน เจ้าราชวงศ์ได้รับค าสั่งให้เป็น ผู้น าทัพหลวงจากเมืองเชียงแสนไปยังเมืองน ่าน ระหว ่างทางได้หยุดพักที่ เมืองเทิงและหัวเมืองต ่าง ๆ กระทั ่งถึงเมืองน ่าน จึงได้อยู ่ที ่เมืองน ่านเป็น เวลานานและได้สมรสกับเจ้าแม่ปิมปา เจ้าราชวงศ์มีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น 12 คน 27 สัมภาษณ์เกษร อักษรดิษฐ์, ชาวบ้านสันป่าบง อายุ 56 ปี, 22 มกราคม 2565. 28 สัมภาษณ์ ไพฑูรณ์ เจียตระกูล, อายุ 75 ปี ผู้เก็บต้นฉบับเอกสาร สาแหรกต้นตระกูลวงศ์วุฒิ, 23 มกราคม 2565.
25 คือ เจ้าจันทิมา (สมรสกับเจ้าพญาจักร/เจ้าพญาอินทรจักร) เจ้าค่าย เจ้าเบาะ เจ้าวุฒินะ เจ้าขัตติยะ เจ้านุ่น เจ้าปวน เจ้าเต๊ม เจ้าไชยสาร เจ้าวงค์ เจ้าหมอก เจ้าเมืองแก้ว29 เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ปรากฏในพงศาวดารเมืองน่าน แต่ก็ปรากฏ เหตุการณ์ในท านองเดียวกัน คือ พระยาเชียงของยกเอาครัวเมืองเชียงของ จ านวน 505 ครัวจากเมืองแก่นท้าวมายังเมืองน่าน ใน พ.ศ. 233430 ดังนั้นจากหลักฐานที ่ปรากฏในเอกสารลายมือ จึงสันนิษฐานได้ว่า ระยะต ่อมา เมื ่ออิทธิพลของพม ่าได้หมดลงไปแล้วจากบริเวณเมืองเทิง ด้วยความคุ้นชินจากการเคยพักอยู ่บริเวณดังกล่าว เชื้อสายและอาจรวมถึง ตัวเจ้าราชวงศ์-เจ้าแม่ปิมปา เมืองเชียงแสนเอง ที่อาศัยอยู่ยังเมืองน ่านจึงได้ เคลื่อนย้ายลงมาลงหลักปักฐานบริเวณเมืองเทิง โดยยึดเอาพื้นที่ฟากตะวันออก ของเมืองที่ยังไม่มีการบุกเบิก และจากการตั้งบ้านเรือนที่ไม่ได้กระจุกตัวบริเวณ ตัวเมือง จึงสันนิษฐานได้ว่ากลุ่มดังกล่าวอาจมาพร้อมกับกลุ่มพระยาไชยสาร และญาติ หรือหลังจากนั้นไม่นาน โดยส่วนหนึ่งอาจได้เข้ารับราชการดังกรณี ของเจ้าพญาอินทรจักร (หากเชื่อว่าเจ้าหลวงที่ถูกกล่าวถึงคือพระยาไชยสาร) 29 “ต้นตระกูลวงศ์วุฒิ,” เอกสารตัวเขียนบนกระดาษเอสี่. น่าเสียดายที่ เอกสารดังกล่าวเขียนไม่แล้วเสร็จ คือ เขียนถึงเพียงบุตรธิดาล าดับที่ 6 และผู้เขียนก็ ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว จึงท าให้สายอีก 6 สายยังไม่มีข้อมูลในขณะนี้ (2565) 30 ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10, 27.
26 แผนที่ 2 บริเวณที่ตั้งบ้านของกลุ่มเจ้าราชวงศ์-เจ้าแม่ปิมปา เมืองเชียงแสน อยู่ค่อนมาทางทิศใต้ของตัวอ าเภอ และกระจายไปทางตะวันออดของอ าเภอ
27 ภาพที่ 3 เจ้าย่าศรีย่น และเจ้าย่าขอดแก้ว ธิดาเจ้าพญาอินทรจักร (ที่มา: เกษร อักษรดิษฐ์) 3. กลุ่มเจ้าปู่นวล-เจ้าย่าติ๊บ มหาวงศนันท์ กลุ่มเจ้าปู่นวล-เจ้าย่าติ๊บ เป็นกลุ่มที่มีการตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านเวียง สอง (ฟากตะวันตกของตัว อ าเภอเทิง, ฝังซ้ายล าน ้าอิง) สันนิษฐานจากการ กระจายตัวของทายาทชั้นลูกของทั้งสองอยู่บริเวณบ้านเวียงสอง ทายาทของ กลุ่มนี้ที่ส าคัญ คือ เจ้าหนานสาร มหาวงศนันท์ (คนละคนกับทวดของผู้วาย ชนม์) ภายหลังได้สมรสกับเจ้าแม่ต่อมค า หลานสาวพระยาไชยสาร สาเหตุที่ แยกกลุ่มนี้ออกมาจากกลุ่มพระยาไชยสารและญาติ เนื่องจากการตั้งถิ่นฐานที่ แตกต่างจากกลุ่มดังกล่าว คือ คนละฟากของล าน ้าอิง
28 ในการสัมภาษณ์นางบุญปั๋น อุดใจ ธิดาคนโตของเจ้าโนชและแม่อุ๊ยปา ได้เล่าว่า “เจ้าปู่นวลเจ้าย่าติ๊บ เปิ้นโตยกันกับเจ้าหลวงเทิง” (เจ้าปู่นวลและ เจ้าย่าติ๊บเขาตามมากับเจ้าหลวงเทิง) ด้วยเหตุผลเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของ เมืองเทิง โดยเดิมทั้งสองมีถิ่นฐาน คือ บ้านถืมตอง เมืองน่าน31 (ต าบลถืมตอง อ าเภอเมือง จังหวัด น่าน) ฉวีวรรณ มหาวงศนันท์ สะใภ้ของเจ้าโนชก็ได้ยืนยัน ถึงบ้านเดิมของเจ้าโนชว ่า คือ บ้านถืมตอง เช ่นเดียวกัน32 น ่าสนใจบริเวณ บ้านถืมตองก็ปรากฏกลุ่มตระกูลมหาวงศนันท์เป็นเจ้าที่ดินใหญ่ นั่นคือ ขุนกิตติ ภักดี (เจ้าติ มหาวงศนันท์) และเจ้าแม่บัวค า มหาวงศนันท์33 ดังนั้นจากหลักฐานสัมภาษณ์จึงสันนิษฐานได้ว่ากลุ ่มเจ้าปู่นวล-เจ้า ย่าติ๊บ เป็นกลุ่มเจ้านายอีกกลุ่มที่ได้อพยพจากเมืองน่านเข้ามายังเมืองเทิงอย่าง ช้าที่สุดพร้อมกับพระยาไชยสาร เนื่องจากการไม่สามารถระบุได้ถึงเจ้าหลวงเทิง ที่ถูกกล่าวถึงอย่างชัดเจน กลุ่มดังกล่าวก็อาจเข้ามาก่อนหน้านั้น และได้เลือกจับ จองพื้นที ่บริเวณเมืองเก ่าของเมืองเทิง (ฝั ่งซ้ายของล าน ้าอิง) โดยมีปัจจัย ประการส าคัญในการย้ายมายังเมืองเทิง คือ การต้องการแสวงหาพื้นที่ท ากิน 31 สัมภาษณ์ บุญปั๋น อุดใจ, ชาวบ้านเวียงสอง อายุประมาณ 90 ปี, 19 มกราคม 2565. 32 สัมภาษณ์ ฉวีวรรณ มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียงสอง อายุประมาณ 60 ปี, 19 มกราคม 2565. 33 สิทธิศักดิ์ ธงเงิน, เสน่ห์เจ้านาง (น่าน: ม.ป.พ. , 2558), 52.
29 แผนที่ 3 บริเวณที่ตั้งบ้านของกลุ่มเจ้าปู่นวล-เจ้าย่าติ๊บ มหาวงศนันท์อยู่ทาง ตะวันตกของตัวอ าเภอ บริเวณบ้านหล่ายน่า / บ้านเวียงเทิงสอง
30 ภาพที่ 4 เจ้าปู่โนช มหาวงศนันท์ บุตรคนสุดท้องของเจ้าปู่นวล-เจ้าย่าติ๊บ (ที่มา: บุญปั๋น อุดใจ)
31 4. กลุ่มอื่น ๆ กลุ ่มอื ่น ๆ เป็นกลุ ่มเจ้านายอีกจ านวนหนึ ่งในเขต อ าเภอเทิง ที่ตั้งบ้านเรือนกระจายตัวอยู่ทั่ว อ าเภอเทิง ซึ่งไม่สามารถนับรวมกับกลุ่มก่อน หน้านี้ได้ เนื่องจากส่วนหนึ่งยังไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่ามีต้นสายได้อย่างชัดเจน แต่ถูกกล่าวถึงในระหว่างการสัมภาษณ์ รวมถึงมีความคลุมเครือเรื่องระยะเวลา ที่เข้ามา ตัวอย่างเช ่น สายเจ้าปวน-เจ้าภา-เจ้ากูด บ้านเอียน34 สายเจ้าเขียว บ้านทุ่งขันไชย มารดาแม่อุ๊ยไหล วงวุฒิ35 สายเจ้าแม่กาบแก้ว-เจ้าแม่เค็กแก้ว36 สายเจ้าแม ่กุยค า37 สายเจ้าแม ่ศรีเมฆะ38 สายเจ้าย ่าตุมมา บ้านหล ่ายน่า (บ้ านเ วี ยงสอง)39 ส า ยเ จ้ าอ ุ๊ยม ว ล คนง าม 40 ส า ยเ จ้ าย ่ าศ รีค า41 34 สัมภาษณ์ ปทุมมา ธิการ, ชาวบ้านเอียน อายุ 90 ปี, 25 มกราคม 2565. 35 สัมภาษณ์ ศรี โนราช, ชาวบ้านทุ่งขันไชย อายุ 92 ปี, 26 มกราคม 2565. 36 สัมภาษณ์ บุญปั๋น อุดใจ, ชาวบ้านเวียงสอง อายุประมาณ 90 ปี, 19 มกราคม 2565. 37 สัมภาษณ์ พระวรรธคม กตธมฺโม, ประธานที่พักสงฆ์วัดพระธาตุเจ้าหลวง เทิง, 15 มกราคม 2565. 38 เรื่องเดียวกัน. 39 สัมภาษณ์ พิกุล มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียง อายุ 80 ปี, 24 มกราคม 2565. 40 เรื่องเดียวกัน. 41 เรื่องเดียวกัน.
32 สายเจ้าปู่หนานทอง วรยศ-เจ้าย่าจั๋นฟอง42 ฯลฯ และอีกส่วนเป็นกลุ่มที่ทะยอย อพยพเข้ามาใหม่จากเมืองน ่าน ภายหลังการสิ้นสุดลงของระบบเจ้าหลวงเทิง อาทิเช่น กลุ่มสองพี่น้องก านันบุญผายตุ้มและเจ้าน้อยยศมูล มหาวงศนันท์43 จากการสัมภาษณ์ทายาทบางส่วนของเจ้านายในกลุ่มนี้ คือ ปทุมมา ธิการ ธิดาเพียงคนเดียวของเจ้ากูด พี่น้องของเจ้าภาเจ้าปวน ได้เล่าว่าครอบครัว ของตนนั้นเดินทางมาจากเมืองน ่านมาอยู่แถวบริเวณตะวันออกของบ้านเวียง ในปัจจุบัน ก่อนที่ในเวลาต่อมาบิดาของตนจะติดตามพี่สาวคือเจ้าภา ที่แต่งงาน กับเจ้านนย้ายขึ้นมาอยู่ที่บ้านเอียน ต าบลหงาว อ าเภอเทิง44 ในขณะที่พิกุล มหาวงศนันท์ ซึ่งเป็นทายาทเจ้านายในกลุ่มพระยาไชยสารและญาติ ได้ขยาย ความเรื่องเจ้าปู่หนานทอง วรยศ-เจ้าย่าจั๋นฟอง ว่าเจ้าปู่หนานทองมาจากเมือง น่าน45 นอกจากนี้ในส่วนของกลุ่มสองพี่น้องก านันบุญผายตุ้มและเจ้าน้อยยศ มูล มหาวงศนันท์ ญาณ สองเมืองแก่น เชื้อสายเจ้าเมืองเวียงสา ที่มีศักดิ์เป็น หลานทั้งสอง ได้ให้ข้อมูลว่า ในช่วงภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมืองน่าน 42 สัมภาษณ์ พิกุล มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียง อายุ 80 ปี, 24 มกราคม 2565. 43 สัมภาษณ์ ญาณ สองเมืองแก่น, ชาวบ้านเวียงสา จ. น่าน อายุ 56 ปี, 19 ธันวาคม 2564. 44 สัมภาษณ์ ปทุมมา ธิการ, ชาวบ้านเอียน อายุ 90 ปี, 25 มกราคม 2565. 45 สัมภาษณ์ พิกุล มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียง อายุ 80 ปี, 24 มกราคม 2565.
33 ได้ประสบปัญหาภัยแล้งและปัญหาที ่ท ากิน เจ้าน้อยยศมูล มหาวงศนันท์ จากบ้านมิ ่งเมือง / บ้านพันต้น อ าเภอเมือง จังหวัดน ่าน ได้เดินทางมารับ ราชการเป็นศึกษาธิการประจ าอ าเภอเทิงได้เล็งเห็นว่า เมืองเทิงมีความอุดม สมบูรณ์ยังไม่มีการบุกเบิกที่นามาก จึงได้กลับมาชักชวนญาติพี่น้องจ านวนหนึ่ง เดินทางมาลงหลักปักฐานที่บริเวณตะวันออกของบ้านเวียง โดยบุคคลในกลุ่มนี้ ที่เดินทางมาประกอบด้วยก านันบุญผายตุ้ม พี่ชายเจ้าน้อยยศ (ภายหลังได้สมรส กับเจ้าต ่อมค า ธิดาของพญาอินทรจักร) เจ้าน้อยยศมูล และแม ่ผ ่อง มหาวงศนันท์ แม่บัวหอม รัตนวงไชย และแม่บัวเกี๋ยง รัตนวังซ้าย (สองคนหลัง เป็นพี่สาวของแม่ผ่อง ทั้งสามเป็นพี่สาวบิดาของญาณ สองเมืองแก่น ซึ่งมิได้ย้าย ติดตามมาด้วย)46 ดังนั้นโดยสรุปจากเรื่องเล่าภายในกลุ่มทายาทและญาติของเจ้านายใน กลุ่มนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่านอกจากกลุ่มเจ้านายทั้ง 3 กลุ่มก่อนหน้า สันนิษฐานได้ว่า นับตั้งแต่ช่วงยุคปกครองด้วยระบบเจ้าหลวง ภายหลังเหตุการณ์เมืองเชียงแสน แตก เรื ่อยมาถึงช ่วงหลังการยกเลิกระบบเจ้าหลวงลง มีการย้ายของกลุ่ม เจ้านายอื่น ๆ จากทางเมืองน่านมาเป็นระยะ โดยเหตุผลที่น่าสนใจที่พบในกลุ่ม นี้เพิ ่มเติมจากการติดตามเจ้าหลวงเทิงมา คือ การเคลื ่อนย้ายในยุคหลัง มีเหตุผลส าคัญจากเรื่องปัญหาภัยแล้งและที่ท ากินภายในจังหวัดน่าน 46 สัมภาษณ์ ญาณ สองเมืองแก่น, ชาวบ้านเวียงสา จ. น่าน อายุ 56 ปี, 19 ธันวาคม 2564.
34 แผนที่ 4 บริเวณที่ตั้งบ้านของกลุ่มอื่น ๆ อยู่ทางกระจายตัวรอบอ าเภอเทิง
35 ภาพที่ 5 บุตรธิดาของเจ้ากูด (ที่มา: ปทุมมา ธิการ) บทสรุปการเคลื่อนย้ายของเจ้านายจากน่านสู่เทิงก่อนทศวรรษ 2500 จากเรื่องเล่าและเอกสารภายในกลุ่มเจ้านายทั้งสี่ได้แสดงให้เห็นว่า เมื่ออ านาจของพม่าในล้านนาหมดไปโดยสมบูรณ์จากเหตุการณ์เชียงแสนแตก กลุ่มเจ้านายจากเมืองน่านได้เริ่มมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งรกรากในบริเวณ อ. เทิง โดยการเคลื่อนย้ายดังกล่าวเกินขึ้นบนพื้นฐานความสัมพันธ์ของเมืองเทิงใน ฐานะส ่วนหนึ ่งของรัฐน ่าน และมีปัจจัยสันนิษฐานได้ 2 ประการ คือ
36 1) การติดตามเจ้านายในราชวงศ์หลวงติ๋นมาปกครองเมืองเทิง อย่างกรณีกลุ่ม พระยาไชยสารและญาติ และกลุ่มเจ้าปู่นวล-เจ้าย่าติ๊บ มหาวงศนันท์ และ 2) การแสวงหาที่ท ากินจากปัญหาที่ท ากินภายในเมืองน่านไม่เพียงพอ อย่างกลุ่ม สองพี ่น้องก านันบุญผายตุ้มและเจ้าน้อยยศมูล มหาวงศนันท์ (และอาจเป็น เหตุผลของกลุ่มเจ้านายอีกจ านวนหนึ่งในยุคก่อนหน้าได้) การเคลื่อนย้ายดังกล่าวที่ไม่สามารถก าหนดปีได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ ก าหนดปีได้อย่างกว้าง ๆ ว ่าส ่วนใหญ ่เกิดก ่อนทศวรรษ 2500 จากอายุของ บรรดาลูกหลานที่ต่างมาเกิดที่เมืองเทิง ในขณะที่พ่อแม่หรือปู่ย่าตาทวดของตน ล้วนเกิดที่เมืองน ่าน การเคลื่อนย้ายจากเมืองน ่านสู่เมืองเทิงเป็นระยะนี้อาจ สัมพันธ์ถึงกฏหมายของรัฐน่าน หรือ อาณาจักรหลักค า ที่ได้ให้อิสระคนใต้บังคับ บัญชาในการเคลื่อนย้ายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ยกเว้นเสียแต่กลุ่ม ไพร่จากเมืองเลน เมืองเชียงแขง เมืองหลวง เมืองพูคา เมืองเชียงลาบ และเมือง ล้า47 โดยกลุ่มเจ้านายที่เคลื่อนย้ายมาจากการศึกษาพบว่า ภายใต้ค าอธิบาย ว่า ‘มาจากเมืองน่าน’ นั้นมีความหลากหลายในแง่ของที่มา กล่าวคือไม่ได้มีแต่ เจ้านายในราชวงศ์หลวงติ๋น (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายมหาวงศนันท์ อันสืบมาจาก เจ้ามหาวงศ์ กษัตริย์ล้านนาที่เป็นโอรสแม่เจ้านางเลิศ ธิดาในแม่เจ้านางเทพ พระธิดาในเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ กับเจ้ามหาพรหมเมืองเทิง จึงอาจจะกล่าวได้ ว่าเจ้านายกลุ่มนี้มีเชื้อสายของเจ้านายท้องถิ่นของเมืองเทิง ก่อนยุคเป็นส่วน 47 สรัสวดี อ๋องสกุล [ปริวรรต], “อาณาจักรหลักค า: กฏหมายเมืองน่าน,” ใน พินิจหลักฐานประวัติศาสตร์ล้านนา, 166
37 หนึ่งของรัฐน ่าน) ดังที่ได้รับการอธิบายมาก่อนในงานศึกษาก่อนหน้า แต่ยังมี กลุ่มเจ้านายเมืองเชียงแสน ซึ่งได้อพยพไปพึ่งบารมีราชวงศ์หลวงติ๋นยังเมืองน่าน เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานอีกด้วย และกลุ่มเจ้านายเหล่านี้ต่างได้จับจองพื้นที่ต่าง ๆ ในบริเวณเมืองเทิง และได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของผู้คนจ านวนมากในที่สุด สืบเนื่องจากงานชิ้นนี้ยังไม่สามารถเก็บข้อมูลกลุ่มเจ้านายอีกจ านวน หนึ่งได้ จนต้องจ าแนกไว้ในกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นในอนาคตหากมีการศึกษาและ เก็บข้อมูลสัมภาษณ์มากขึ้น อาจจะท าให้พบว่าภายใต้ค าอธิบายว่า ‘มาจาก เมืองน ่าน’ อาจจะมีความหลากหลายและสลับซับซ้อนมากกว่านั้น ดังเช ่นใน กรณีกลุ่มเจ้าราชวงศ์-เจ้าแม่ปิมปา เมืองเชียงแสน ที่แม้จะเดินทางมาจากน่านก็ จริง แต ่ต้นสายที ่แท้จริงกับเป็นเมืองเชียงแสน นี ่ยังไม ่นับรวมค าบอกเล่า พระวรรธคม กตธมฺโม ที ่กล ่าวว ่ากลุ ่มเจ้านายบริเวณบ้านเวียงสองเป็นกลุ่ม ดั้งเดิมก่อนพระยาไชยสาร ก็มีความน ่าสนใจว่ากลุ่มเจ้านายที่บ้านเวียงสอง อาจเป็นกลุ ่มเจ้านายเชื้อสายเทิงที ่อพยพกลับมาจากเมืองน ่าน ภายหลัง เหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างสยามและพม่าสิ้นสุดลงก็เป็นได้.
38 รายการอ้างอิง ก. เอกสารชั้นต้น “ต้นตระกูลวงศ์วุฒิ.” เอกสารตัวเขียนบนกระดาษเอสี่. “ล าดับญาติ.” เอกสารตัวเขียนบนกระดาษมีเส้น. ข. เอกสาร หนังสือ วิทยานิพนธ์ บริพัตร อินปาต๊ะ. “การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329- 2442.” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2560. ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2507. พิษณุ จันทร์วิทัน. ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง. กรุงเทพฯ : พิมพ์ค า, 2555. สรัสวดี อ๋องสกุล [ปริวรรต]. “อาณาจักรหลักค า: กฏหมายเมืองน่าน,” ใน พินิจ หลักฐานประวัติศาสตร์ล้านนา. เชียงใหม่: ศูนย์ล้านนาศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2559 : 130 – 197. สิทธิศักดิ์ ธงเงิน. เสน่ห์เจ้านาง. น่าน: ม.ป.พ. , 2558. สุธี จันทร์สว่าง. เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. เชียงราย: คณะกรรมการจัดท าหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทาน เพลิงศพพระครูนิวิษฐ์สัทธาคุณ (บุญเป็ง ฐิตสาโร) , 2543. สืบศักดิ์ พรหมแย้ม และวิภาวดี สิขรวัฒน์. 100 ปีเมืองเทิงร าลึก. เชียงราย: สภาวัฒนธรรมอ าเภอเทิง, 2557.
39 ค. สัมภาษณ์ สัมภาษณ์ เกี๋ยงค า แว่นพรหม, ชาวบ้านเวียง อายุ 95 ปี, 4 กันยนยน 2564. สัมภาษณ์ เกษร อักษรดิษฐ์, ชาวบ้านสันป่าบง อายุ 56 ปี, 22 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ จก สุยะราช, ชาวบ้านเวียง อายุ 86 ปี , 9 กันยนยน 2564. สัมภาษณ์ ฉวีวรรณ มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียงสอง อายุประมาณ 60 ปี, 19 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ ญาณ สองเมืองแก่น, ชาวบ้านเวียงสา จ. น่าน อายุ 56 ปี, 19 ธันวาคม 2564. สัมภาษณ์ บรรเลง สืบจากศิลป์, ชาวบ้านเวียง อายุ 76 ปี, 7 กันยายน 2564. สัมภาษณ์ บานเชย เมืองมูล, ชาวบ้านเวียง อายุ 91 ปี, 8 กันยายน 2564. สัมภาษณ์ บุญปั๋น อุดใจ, ชาวบ้านเวียงสอง อายุประมาณ 90 ปี, 19 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ ปทุมมา ธิการ, ชาวบ้านเอียน อายุ 90 ปี, 25 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ พระวรรธคม กตธมฺโม, ประธานที่พักสงฆ์วัดพระธาตุเจ้าหลวงเทิง, 15 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ พิกุล มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียง อายุ 80 ปี, 24 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ ไพฑูรณ์ เจียตระกูล, ชาวบ้านใหม่ อายุ 75 ปี, 23 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ เรวัตร จันทรธิการ, ชาวบ้านเวียง อายุ 66 ปี, 23 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ ศรี โนราช, ชาวบ้านทุ่งขันไชย อายุ 92 ปี, 26 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ สืบศักดิ์ พรหมแย้ม, ผู้ร่วมเขียนหนังสือ 100 ปีเมืองเทิงร าลึก, 21 มกราคม 2565.
40 ภาพที่ 6 เอกสารสาแหรกทายาทเจ้านายเมืองเทิง (ณัฐวัชร์ อินทรีย์สังวรณ์)
41 ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเจ้านายพื้นเมืองในยุคร่วมสมัย กรณีศึกษากลุ่มทายาทเจ้านายเมืองเทิงกับการผลิต เอกสารสาแหรก ณัฐวัชร์ อินทรีย์สังวรณ์ บทน า “เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบว่าใครบ้างที่เกี่ยวพันเป็นญาติกัน และก็มีผู้สนใจที ่จะรู้จึงขอให้ข้าฯ สืบเสาะหาข้อมูล พอดีกับข้าฯ ศึกษากับคุณแม่ ซึ่งท่านพอจะรู้รายละเอียดมาพอสมควร จากการที่ได้ คลุกคลีกับพ่อซึ่งก้เป็นเวลานานพอสมควร ชื่อ เจ้าไชยะสาร ท่านเป็น บุตรคนที่ 9 ของเจ้าราชวงศ์ และเจ้าแม่ปิมปา นอกจากนี้ข้าพเจ้าได้ ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือประชุมพงศาวดารเล่มที่ 10 หน้า 17 ว่าด้วย วงศ์เจ้าพระยาหลวงติ๋น ครองเมืองน่าน” 48 ข้อความข้างต้นเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของการเขียนเอกสาร สาแหลกนามสกุล ‘วงวุฒิ’ โดยครูอุบลศรี ก าเนิดสวัสดิ์49 เอกสารสาแหรกชิ้น ดังกล ่าวไม ่เพียงเป็นเอกสา รสาแหรกเดียวที ่พบในเขตอ าเภอเทิง 48 “ต้นตระกูลวงศ์วุฒิ,” เอกสารตัวเขียนบนกระดาษเอสี่. 49 สัมภาษณ์ ไพฑูรณ์ เจียตระกูล, อายุ 75 ปี ผู้เก็บต้นฉบับเอกสาร สาแหรกต้นตระกูลวงศ์วุฒิ, 23 มกราคม 2565.
42 จังหวัดเชียงราย เพราะจากการรวบรวมพบว่าในพื้นที่เดียวกันยังพบเอกสาร สาแหรกอีกสามฉบับ (ที ่ค้นพบ ณ พ.ศ. 2565) คือ เอกสารสาแหรกทายาท พระยาไชยสารและผู้เกี ่ยวข้อง ตีพิมพ์ในหนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์เอกสารสาแหรกเจ้าต้นตระกูล ในค ากล ่าวไหว้ผีเจ้าหลวง ประจ าปี และเอกสารลายมือสาแหรกทายาทพ่อพรหมแม่บัวค า มหาวงศนันท์ เอกสารทั้งสี่ชิ้นนอกเหนือจากเนื้อหาภายในที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ของบุคคล ต่าง ๆ ที่มีต้นรากเดียวกันแล้ว เอกสารเหล่านี้ยังล้วนเป็นเอกสารที่ผลิตขึ้นโดย กลุ่มทายาทของบุคคล ที่ในอดีตได้รับการยกย่องในท้องถิ่นว่าเป็น เจ้า หรือ ชนชั้นสูง ภายในเขต อ าเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ก่อนจะกลายมาเป็นอ าเภอเทิงในปัจจุบัน เมืองเทิงนับเป็นเมืองโบราณ ที ่มีพัฒนาการมาอย ่างต ่อเนื ่องในพื้นที ่ราบลุ ่มแม ่น ้าอิง เชิงดอยจอมจ้อ โดยในอดีตก่อนการสถาปนาอาณาจักรล้านนาโดยพญามังราย (พ.ศ. 1782 – พ.ศ. 1854) ในช ่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 เมืองเทิงมีสถานะเป็นหนึ่งในหน่วย การปกครองของเมืองภูกามยาว อันมีศูนย์กลางอยู ่ที่บริเวณ จังหวัดพะเยา ในปัจจุบัน กระทั ่งต ่อมาเมื ่อพญามังรายทรงเริ ่มรวบรวมอ านาจมายังเมือง หิรัญนครเงินยาง (อ าเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) เมืองเทิงจึงได้ถูกผนวกเข้า มาอยู่ในปริมณฑลอ านาจของเมืองหิรัญนครเงินยาง และกลายเป็นส่วนหนึ่ง ในปริมณฑลของอาณาจักรล้านนา อันมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง และอยู่ ภายใต้การปกครองของราชวงศ์มังรายในเวลาต่อมา กระทั่งอาณาจักรล้านนาได้ ถูกกองทัพของพระเจ้าบุเรงนองตีแตก และผนวกเข้าเป็นส ่วนหนึ ่งของ อาณาจักรตองอู ใน พ.ศ. 2101 เมืองเทิงจึงกลายเป็นหน่วยการปกครองหนึ่ง ที ่ขึ้นตรงกับเมืองเชียงแสน (อ าเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) ภายใต้การ
43 ปกครองของราชวงศ์ตองอู ราชวงศ์ยองยาน และราชวงศ์คองบองตามล าดับ ก่อนที่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยการปกครองของเมืองน่าน ภายใต้การ ปกครองของสยามเรื่อยมา เมืองเทิงได้กลายเป็นส ่วนหนึ ่งของเมืองภายใต้ราชวงศ์หลวงติ๋น ซึ ่งปกครองเมืองน ่านมาตั้งแต ่ พ.ศ. 226950 สันนิษฐานได้ว ่าในช ่วงปลาย พุทธศตวรรษที่ 23 ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 (ปลายการปกครองของราชวงศ์ คองบองในล้านนา) ดังปรากฏว ่า แม ่เจ้านางเลิศพระธิดาในแม ่เจ้านางเทพ พระธิดาในเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หลวงติ๋น ได้เสกสมรสมกับ เจ้ามหาพรหมเมืองเทิง51 และใน พ.ศ. 2325 ในประชุมพงศาวดารเล ่ม 10 ก็ปรากฏว่าในตอนที่เจ้าเมืองเชียงแสน (พม่า) ได้มีค าสั่งให้เจ้ามโน โอรสแม่เจ้า นางเลิศน าไพร ่พลที ่อยู ่ยังเมืองเชียงแสน มาตั้งเมืองอยู ่ยังเมืองเทิง มีการ กล่าวถึง ‘ไพร่พลชาวน่านชาวเทิง’ รวมกันว่า “ม่านก็หื้ออาญชญาเจ้ามโนยก เอาครอบครัวไพร่ไทยชาวน ่านชาวเทิงทั้งมวล ลงมาตั้งอยู่ในเมืองเทิงที่นั้น” 52 จากข้อความดังกล ่าวที ่ระบุเวลาอย ่างชัดเจน จึงสันนิษฐานได้ว ่าในช ่วงต้น พุทธศวตรรษที ่ 24 เมืองเทิงได้กลายเป็นส่วนหนึ ่งของปริมณฑลอ านาจของ ราชวงศ์หลวงติ๋นโดยสมบูรณ์ และหลักฐานที ่แสดงข้อสันนิษฐานนี้ คือ ใน 50 บริพัตร อินปาต๊ะ , “การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329-.2442” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560), 29 51 ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10 (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2507), 73. 52 เรื่องเดียวกัน, 13.
44 พ.ศ. 2327 เจ้าเมืองเชียงแสนได้แต่งตั้งให้เจ้าอัตถวรปัญโญ หลานเจ้ามโนเป็น พระยาน่าน โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ ณ เมืองเทิง53 เจ้าอัตถวรปัญโญประทับอยู่เมืองเทิงถึง พ.ศ. 2329 เนื่องจากความไม่ สงบภายในเมืองเชียงแสนจากความพยายามของเจ้าเมืองท้องถิ ่นอื่น ๆ เช่น เมืองแพร่และเมืองยอง ที่พยายามลุกขึ้นมาต่อต้านอ านาจของราชวงศ์คองบอง อันมีฐานที่มั่นอยู่ที่เมืองเชียงแสน พระองค์จึงได้ตัดสินใจน าไพร่พลย้ายกลับมา ฟื้นฟูศูนย์กลางเดิม คือ บริเวณเชิงดอยพระธาตุแช ่แห้ง จังหวัดน ่าน และได้ ตัดสินใจสวามิภักดิ์กับทางสยามในที่สุด (พ.ศ. 2331) ซึ่งภายใต้สถานการณ์ เช ่นนี้ บริพัตร อินปาต๊ะ (2560) ได้เสนอว ่าเมืองเทิง เมืองเชียงของ และ เมืองแก ่นท้าว รวมถึงเมืองทางตอนเหนือขึ้นไปของเมืองน ่าน ได้กลายเป็น เมืองร้างไปชั่วระยะหนึ่ง จนภายหลังเหตุการณ์เชียงแสนแตก ใน พ.ศ. 2347 ซึ ่งเป็นจุดจบของอ านาจพม ่าในดินแดนล้านนา เจ้าเมืองน ่านจึงได้กลับมา อ้างสิทธิ์ในพื้นที่เหล่านี้ และได้เริ่มท าการฟื้นฟูเมืองเหล่านี้ขึ้น โดยการอพยพ ผู้คนจากเมืองน ่านกลับมาสร้างบ้านแปงเมืองใหม ่พร้อมตั้งเจ้านายเชื้อสาย ราชวงศ์หลวงติ๋นระดับรองให้ปกครองเมืองนั้น ๆ 54 ตั้งแต่ช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 25 เป็นต้นมา เมืองเทิงจึงกลับมาเป็น ชุมชนที่ปกครองด้วยระบบเจ้านาย ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์หลวงติ๋นอีก ครั้ง และในระยะหลังกลุ่มเชื้อสายเจ้านายเมืองน่านจ านวนหนึ่ง รวมถึงเชื้อสาย เจ้านายเมืองเชียงแสนที่ได้อพยพไปอาศัยอยู่ยังเมืองน่านในช่วงความไม่สงบใน 53 ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10, 14. 54 บริพัตร อินปาต๊ะ , “การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329-2442” , 115.
45 เมืองเชียงแสน ก็ได้ทะยอยย้ายมาลงหลักปักหลักฐานเพิ ่มเติมในพื้นที ่อีก จากทั้งการได้รับค าสั่งให้มาปกครองเมือง และปัญหาเรื่องการท ากินที่เมืองน่าน ก่อเกิดเป็นกลุ่มเจ้านายภายในเมืองเทิง ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้ปกครองท้องถิ่น ภายใต้การก ากับของเมืองน่าน จนถึง พ.ศ. 2443 เมื่อพระยาไชยสาร (เจ้าหลวง สาร) เจ้าหลวงเมืองเทิงในเวลานั้นเสียชีวิตลง สยามจึงได้ยกเลิกระบบ การปกครองแบบเจ้าหลวงในเมืองเทิง และเปลี่ยนแปลงการปกครองเมืองเทิง ให้เป็นไปตามแนวทาง การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เป็นผลให้กลุ่ม ทายาทเจ้านายเมืองเทิงถูกลดบทบาทในทางนิตินัยลง และค่อย ๆ ถูกท าให้ กลายเป็นเพียงราษฏรภายใต้การก ากับของรัฐสยาม ซึ่งคนในท้องถิ่นจ านวน หนึ่งยังคงให้ความย าเกรง และความเคารพด้วยการเรียกค าน าหน้าว่า เจ้า อยู่ ล่วงถึงปลายทศวรรษ 2530 ทายาทของกลุ่มเจ้านายเหล่านี้ ที่ไม่ได้รับ การเรียกน าหน้าว ่า ‘เจ้า’ เหมือนบิดามารดาของตน และเป็นเพียงราษฏร ประกอบสัมมาอาชีพต่าง ๆ ภายใน อ าเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เมืองน่าน เหมือนแต่ก่อน ก็ได้ลุกขึ้นมาผลิตเอกสารสาแหรกบอกถึงที่มา แลความสัมพันธ์ ของบุคคลภายในวงศ์ตระกูลของตัวเองขึ้น ซึ่งมีทั้งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ ให้กับสาธารณะชน และเผยแพร่กันเฉพาะในกลุ่มเครือญาติ จนเกิดเป็นเอกสาร สาแหรกทั้งสี่ฉบับที ่ได้กล ่าวไว้แล้วในตอนต้น ซึ ่งเป็นสิ ่งที ่น ่าสนใจว่า ท าไมภายหลังจากล ่มสลายลงของระบบเจ้านายในอ าเภอเทิง กว ่า 90 ปี ท าไมในทศวรรษดังกล่าวกลุ่มทายาทเจ้านายจ านวนหนึ่ง ถึงตัดสินใจที่จะสืบค้น รวบรวม และบันทึกถึงที่มาของตัวเองโดยพร้อมเพรียงกันถึงสามสาย ได้แก่ สายพระยาไชยสาร (เอกสารสาแหรกทายาทเจ้าหลวงไชยสารและผู้เกี่ยวข้อง
46 และเอกสารสาแหรกเจ้าต้นตระกูล) สายพ่อพรหมแม่บัวค า มหาวงศนันท์และ สายเจ้าราชวงศ์ เมืองเชียงแสน (เอกสารสาแหรกทายาทสกุลวงศ์วุฒิ) ความเคลื ่อนไหวของทายาทกลุ ่มเจ้านายท้องถิ ่นในยุคร ่วมสมัย ในท านองที่คล้ายกันได้รับการศึกษาโดยปวีณา ป้องกัน ในงานวิทยานิพนธ์เรื่อง “การเมืองเรื ่องพื้นที ่และการสร้างตัวตนของสายตระกูลอดีตเจ้านายเมือง อุบลราชธานี” (พ.ศ. 2552) งานชิ้นดังกล ่าวปวีณาได้ศึกษาการปรับตัวของ เจ้านายเมืองอุบลราชธานีและทายาทในชั้นหลัง ที ่เผชิญกับการปฏิรูป การปกครองในสมัย ร. 5 เป็นต้นมา และได้ให้ข้อเสนอถึงความเคลื่อนไหวในยุค ร ่วมสมัย (ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา) ว ่าเป็นปรากฏการณ์ท้องถิ ่นนิยม ที่มีวัตถุประสงค์คือการสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่น ภายใต้สภาวะของการ ครอบง าจากส่วนกลาง โดยการค้นหารากเหง้า และอัตลักษณ์ของตนเองเพื่อ เรียกความมั ่นใจที ่เสียไปให้กลับมา แล้วผลิตเป็นกิจกรรมที ่เชื ่อมโยงถึง อัตลักษณ์ความเป็นเชื้อสาย อันได้แก่การสร้างอนุสาวรีย์พระประทุมวรราชสุริ- ยวงศ์ (ค าผง) ในกลางทศวรรษ 2520 ซึ่งน ามาสู่การสร้างพิธีบวงสรวงเจ้าค าผง ขึ้นในทุกปี การร่วมในขบวนแห่เทียนพรรษาในฐานะสัญลักษณ์การปกครอง ดั้งเดิมของเมืองอุบลราชธานีตั้งแต่ พ.ศ. 2521 การสร้างเครือข่ายในหมู่เครือ ญาติในฐานะกลุ่มสืบสานน าฮอยหม่อมเจียงค า เพื่อเชิดชูความเสียสละของ เจ้านายในอดีตและการประกอบพิธีบูชามเหศักดิ์ประจ าเมือง ซึ่งผู้ทรงจ านวน หนึ่งจ าเป็นต้องมีเชื้อสายเจ้านายเมืองอุบลราชธานี55 55 ปวีณา ป้องกัน, “การเมืองเรื่องพื้นที่และการสร้างตัวตนของสายตระกูล อดีตเจ้านายเมืองอุบลราชธานี” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศาสตร์และ การพัฒนา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2552).