The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือที่ระลึกที่รวบรวมเรื่องเล่าของกลุ่มบุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นปกครองในสังคมจารีต (เจ้า-นาย) แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นบรรพบุรุษของผู้คนจำนวนหนึ่งภายในพื้นที่ (ปู่-หม่อม) ที่ลูกคนหนึ่งอยากทำให้พ่อ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by teresio.natthawat, 2023-06-26 12:09:10

อนุสรณ์คุณพ่อชีวิต อินทรีย์สังวรณ์

หนังสือที่ระลึกที่รวบรวมเรื่องเล่าของกลุ่มบุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นปกครองในสังคมจารีต (เจ้า-นาย) แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นบรรพบุรุษของผู้คนจำนวนหนึ่งภายในพื้นที่ (ปู่-หม่อม) ที่ลูกคนหนึ่งอยากทำให้พ่อ

Keywords: ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น,เชียงราย,เทิง

47 หากพิจารณาข้อเสนอปวีณาจะพบว่า ปวีณามองว่าความเคลื่อนไหว ของกลุ ่มทายาทเจ้านายเมืองอุบลราชธานีในช ่วงเวลาร ่วมสมัย คือ ความ พยายามรักษาพื้นที่ทางสังคมของกลุ่มเจ้านายไว้ด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยที่มีปัจจัย ที ่เอื้อให้บรรดาทายาทเจ้านายสามารถท าแบบนั้นได้ คือ นโยบายอนุรักษ์ ท้องถิ่น การส่งเสริม สนับสนุนท้องถิ่นในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะสิทธิของคน และช ุมชนในท้องถิ ่น ที ่ได้รับการเปิดโอกาสให้โดยรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย56 แต่ในกรณีของการผลิตเอกสารสาแหรกทายาทเจ้านาย เมืองเทิง ในทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ผู้ศึกษามีความเห็นว่า ค าอธิบายดังกล่าว ที ่ปวีณาได้เสนอในกรณีของทายาทเจ้านายเมืองอุบลราชธานีไม ่สามารถใช้ อธิบายในกรณีของทายาทเจ้านายเมืองเทิงในอย่างครอบคลุม ในขณะที ่ปวีณามองว ่าความเคลื ่อนไหวของกลุ ่มทายาทเจ้านาย ท้องถิ่นในช่วงเวลาร่วมสมัย คือ ความต้องการรักษาพื้นที่ในสังคมให้ธ ารงต่อไป หรือ การเมืองเรื่องพื้นที่ โดยใช้โอกาสของการเติบโตขึ้นของกระแสท้องถิ่นนิยม ในประเทศไทย ผู้ศึกษากลับมองว่าค าอธิบายดังกล่าวไม่อาจใช้อธิบายกรณีของ กลุ่มทายาทเจ้านายเมืองเทิง ที่ลุกขึ้นมาผลิตเอกสารสาแหรก ซึ่งไม่ปรากฏใน กรณีของทายาทเจ้านายเมืองอุบลราชธานีได้เสียทั้งหมด เนื่องจากระยะเวลา ของการสูญเสียอ านาจที่มากถึง 90 ปี ความจ าเป็นในการด ารงพื้นที่ทางสังคม ส าหรับทายาทเจ้านายท้องถิ่นก็ไม่ได้มีอีกต ่อไป และการที ่เอกสารสาแหรก จ านวนสามในสี่ฉบับนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ในที่สาธารณะอย่าง เจาะจง คือ เครื่องยืนยันว่าความต้องการรักษาพื้นที ่ในสังคมตามค าอธิบาย 56 ปวีณา ป้องกัน, “การเมืองเรื่องพื้นที่และการสร้างตัวตนของสายตระกูล อดีตเจ้านายเมืองอุบลราชธานี”, 98.


48 ของปวีณาจึงไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างครอบคลุม ดังนั้นเหตุผล ในการผลิตเอกสารสาแหรกในกรณีนี้ น ่าจะมีความแตกต ่างและควา ม หลากหลายมากกว่านั้น นอกจากถกเถียงกับงานศึกษาของปวีณาในเรื ่องค าอธิบายเกี่ยวกับ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเจ้านายท้องถิ่นในช่วงเวลาร่วมสมัย งานศึกษาชิ้นนี้ยัง มีข้อถกเถียงในประเด็นเรื่องส านึกความเป็นเจ้าในภาคเหนือกับงานศึกษาของ ของวศิน ปัญญาวุธตระกูล เรื่อง “การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในล้านนา กับ การก่อตัวของส านึกท้องถิ่น พ.ศ. 2459-2480” (พ.ศ. 2542) ซึ่งศึกษาการก่อ ตัวขึ้นของส านึกความเป็นท้องถิ ่นประเทศไทยในภาคเหนือ จากผลของ ก า รเปลี ่ยนแปลงท างเศ รษ ฐกิจ ได้เสนอ ว ่ า ภ ายหลัง พ .ศ. 2442 กลุ่มเจ้านายท้องถิ่นในภาคเหนือได้ปรับเปลี่ยนอุดมการณ์และการด าเนินชีวิต เพื่อยอมรับสถานะของตนที่เป็นเพียงประชาชนส่วนหนึ่งของสังคมเมืองแบบ ใหม่เท่านั้น57 เนื่องจากเอกสารสาแหรกสามในสี่ชิ้นของกลุ่มทายาทเจ้านาย เมืองเทิง ต่างมีการใช้ค าว่า เจ้า อยู่ภายในเอกสาร ปรากฏการณ์นี้ย่อมแสดงให้ เห็นว่า แท้จริงกลุ่มเจ้านายพื้นเมืองภาคเหนือจ านวนหนึ่ง ไม่ได้ปรับเปลี่ยน อุดมการณ์และแสดงตนเป็นเพียงประชาชนคนหนึ ่งภายในสังคมสมัยใหม่ ทั้งหมด แต่ยังมีกลุ่มเจ้านายจ านวนหนึ่งที่ยังรักษาสถานภาพที่แตกต่างของตน ผ่านค าเรียกบรรพบุรุษไว้อยู่มาจนถึงทศวรรษ 2530 และจงใจเลือกที่จะเรียก 57 วศิน ปัญญาวุธตระกูล, “การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในล้านนา กับ การก่อตัวของส านึกท้องถิ่น พ.ศ. 2459-2480” (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหา บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2542), 309.


49 บรรพบุรุษของตนจ านวนหนึ่งว่าเป็นเจ้าดังเดิม แม้จะมีการยกเลิกระบบเจ้านาย ลงไปแล้วตั้งแต่ทศวรรษ 2440 ดังกรณีของกลุ่มเจ้านายเมืองเทิง ดังนั้นงานชิ้นนี้จึงมีข้อเสนอ คือ ภายใต้กระแสของการเติบโตของ แนวคิดท้องถิ่นนิยม และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในสังคมไทย ความเคลื่อนไหว ของทายาทเจ้านายท้องถิ่นไม่มีเพียงความต้องการรักษาพื้นที่ทางสังคมดังที่ ปวีณา ป้องกันได้เสนอไว้ผ่านกรณีทายาทเจ้านายเมืองอุบลราชธานี แต่ยังมี ความหลากหลายมากกว ่านั้น คือ เป็นเพียงการหันกลับมาทบทวนว่า ตนเป็นใครและสัมพันธ์อย่างไรกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของตนภายใต้กระแส ของการเติบโตของแนวคิดท้องถิ่นนิยม และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในสังคมไทย และการพัฒนาของท้องถิ่น ดังเห็นได้จากกรณีการผลิตเอกสารสาแหรกของกลุ่ม ทายาทเจ้านายเมืองเทิง นอกจากนี้กรณีนี้ยังได้แสดงให้เห็นว่าส านึกความเป็น เจ้านายท้องถิ่นภาคเหนือ ที่ยังคงด ารงอยู่ในสังคมร่วมสมัยไม่ได้เลือนหายไป เสียทีเดียวอย่างที่วศิน ปัญญาวุธตระกูลได้เสนอ เพื ่อบรรลุถึงข้อเสนอข้างต้น งานชิ้นนี้จึงมุ ่งชี้ให้เห็นข้อมูลทั ่วไป ลักษณะ และข้อสังเกตของผู้ศึกษาต่อเอกสารสาแหรกทายาทเจ้านายเมืองเทิง ทั้งสี่ฉบับ เพื ่อค้นหาจุดร ่วม ลักษณะพิเศษ และวัตถุประสงค์ของเอกสาร เหล่านั้น จากนั้นจึงวางเอกสารทั้งสี่ฉบับลงในบริบททางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะท า ให้เห็นกระแสทางความคิดที่มีผลต่อการผลิตเอกสารเหล่านี้


50 เอกสารสาแหรกเจ้านายเมืองเทิงสี่ฉบับ ในการศึกษาและเก็บข้อมูลในพื้นที ่ ต าบลเวียง อ าเภอเทิง (พ.ศ. 2565) พบเอกสารสาแหรกทั้งสิ้นสี่ฉบับ ได้แก่ เอกสารสาแหรกทายาท พระยาไชยสารและผู้เกี่ยวข้อง เอกสารสาแหรกเจ้าต้นตระกูล เอกสารลายมือ สาแหรกทายาทพ ่อพรหมแม ่บัวค า มหาวงศนันท์ และเอกสารสาแหรกต้น ตระกูลวงศ์วุฒิ ซึ่งแต่ละเอกสารมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. เอกสารสาแหรก ‘ทายาทพระยาไชยสารและผู้เกี่ยวข้อง’ เอกสารฉบับนี้ถูกตีพิมพ์รวมอยู ่ในหนังสือ เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ ในระหว ่างหน้า 43 – 63 ของหนังสือ เผยครั้งแรกใน พ.ศ. 2539 จ านวน 1,000 เล ่ม เพื ่อเป็นหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทาน เพลิงศพพระครูนิวิษฐ์สัทธาคุณ (บุญเป็ง ฐิตสาโร) อดีตเจ้าคณะอ าเภอเทิง โดยมีส ุธี จันทร์สว ่าง ทายาทสายตรงของพระยาไชยสาร ศิษย์เก่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาสาสมัครพิทักษ์วัฒนธรรม ส านักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการหลักในการด าเนินการ และได้ มีการตีพิมพ์เพื่อแจกจ่ายและจ าหน่ายเป็นครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2543 อีกจ านวน 500 เล่ม ในการจัดพิมพ์ครั้งแรกคณะกรรมการจัดท าหนังสือได้ระบุที่มาของ หนังสือเล ่มนี้ว ่า “ความรัก หวงแหน ความส านึกในบุญคุณของแผ ่นดินเกิด ท าให้เกิดหนังสือชุดนี้ขึ้น” 58 และในการพิมพ์ครั้งที่ 2 คณะกรรมการฯ ก็ได้มี 58 หนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์, พิมพ์ครั้งที่ 2 (เชียงราย : คณะกรรมการจัดท าหนังสือนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพระครูนิวิษฐ์สัทธา คุณ (บุญเป็ง ฐิตสาโร) , 2543), ค าน า.


51 การเพิ่มเติมค าน าใหม่ ที่ระบุเพิ่มว่า “ส าหรับชาวเทิงทุกหลังคาเรือน น่าจะมี หนังสือเล่มนี้ไว้เป็นที่ระลึกถึงความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ นับแต่อดีตกาล ก่อให้เกิด ความภาคภูมิใจในถิ่นก าเนิดหรือได้มาอยู่ยังแผ่นดินนี้ รวมทั้งเป็นที่ชื่นชมแก่ แขกไปใครมาผู้พบเห็น” 59 จากข้อความทั้งสองจากค าน าในการจัดพิมพ์ทั้ง 2 ครั้ง แสดงให้เห็นหนังสือเล ่มนี้ได้ผลิตขึ้นภายใต้ส านึกความเป็นท้องถิ ่นที่มี ประวัติศาสตร์เป็นของตัวเองมาอย่างยาวนาน ทั้งแง่ของเจตนารมณ์ที่ผลักดันให้ เกิดการท าจากค าน าครั้งแรก และความคาดหวังที่คณะผู้จัดท าหวังให้เกิดขึ้น จากการเผยแพร่หนังสือเล่มนี้จากค าน าครั้งที่ 2 ส่วนวัตถุประสงค์ของการผลิตเอกสารสาแหรกทายาทพระยาไชยสาร และผู้เกี่ยวข้อง ที่ปรากฏในหนังสือเล่มดังกล่าว สุธี จันทร์สว่าง ซึ่งเป็นผู้เรียบ เรียงเอกสารชิ้นนี้ขึ้นมา ได้เขียนอธิบายไว้ในส่วนค าน าของเอกสารนี้ว่า “ด้วยเหตุผล 1. ความส าคัญของเวียงเทิง ในฐานะเป็นชุมชนที ่รุ ่งเรือง นับเนื ่องยาวนานมาแต ่โบราณกาลย้อนไปถึงสมัยหิน ซึ ่งเป็น การด ารงชีวิตของมนุษย์ในยุคแรก พัฒนามาเป็นระบอบเจ้าผู้ครอง นคร เป็นระบอบมณฑลเทศาภิบาล และระบอบประชาธิปไตย เช่น ใน ปัจจุบัน 2. ยังไม่มีมีการรวบรวมเป็นเอกสารที่เข้าใจง่าย ซึ่งค าบอก เล่านั้นยิ่งนานวันก็ย่อมผิดเพี้ยน หรือสูญหายไปถ้าไม่บันทึกไว้ กับทั้ง การบันทึกนั้นควรที่จะให้สาระมีหลักฐานอ้างอิง และง่ายต่อการเรียนรู้ 59 หนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์,, ค าน า (พิมพ์ครั้งที่ 2).


52 3. ความผูกผัน ในฐานะเป็นถิ่นก าเนิด 4. ความผูกพัน เป็นลูกหลาน ผู้สืบเชื้อสายโดยตรง ผู้หนึ่ง ของเจ้าผู้ครองนคร นครรัฐเวียงเทิงแห่งนี้ เอกสารต่าง ๆ จึงถือก าเนิดขึ้น” 60 จากค าน าดังกล ่าว สุธีได้ชี้ให้เห็นความส าคัญของการเขียนเอกสารชิ้นนี้ว่า เกิดจากม ุมมองที ่ว ่าเรื ่องราวของเจ้าผู้ครองนครบรรพบ ุร ุษของตน เป็นส ่วนหนึ ่งของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของอ าเภอเทิง ซึ ่งยังขาด การศึกษาและเผยแพร ่เป็นลายลักษณ์อักษรอย ่างเป็นระเบียบ และนับวัน จะผิดเพี้ยนรวมถึงสูญหายไปจากพื้นที่ จึงเป็นความจ าเป็นของตนที่เป็นทั้งคน ในท้องถิ่นและลูกหลานสายตรงจ าต้องเรียบเรียงเอกสารนี้ขึ้น เอกสารชิ้นนี้ให้รายละเอียดของเชื้อสายของพระยาไชยสาร เจ้าหลวงเทิงองค์สุดท้าย นับตั้งแต่เจ้าหลวงติ๋น ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หลวงติ๋น แห ่งรัฐน ่านมาถึงทายาทในชั้นหลานของพระยาไชยสารโดยยังคงใช้ค าเรียก น าหน้าว ่าเจ้าโดยตลอด แม้ในชั้นหลานของเจ้าหลวงก็ตาม เอกสารนี้ยังให้ ข้อมูลอีกว ่า พระยาไชยสารเป็นโอรสเจ้ามหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครน ่าน (ใน เอกสารมีการขีดแก้ด้วยปากกาเป็น “เจ้าหนานมะโน น้องชายเจ้ามหาวงศ์” 61) ได้เดินทางมาปกครองเมืองเทิงตามค าสั่งแทนพี่ชายที่ชรา และได้เป็นเจ้าหลวง องค์สุดท้าย นอกจากเรื่องเล่าที่มา เอกสารดังกล่าวยังได้เขียนเรื่องเล่ามุขปาฐะ ภายในกลุ่มที่เกี่ยวกับเจ้าหลวงไชยสาร อาทิ เรื่องส่วนตัว ต าแหน่งโฮงเจ้าหลวง 60 หนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์, 55. 61 เรื่องเดียวกัน, 57.


53 เครือญาติที่เกี่ยวข้อง ธรรมเนียมในโฮงเจ้าหลวง ฯลฯ ซึ่งได้จากการสัมภาษณ์ ทายาทและญาติของพระยาไชยสาร จากการสัมภาษณ์สุรชา จันทร์สว่าง น้องชายของสุธีได้เล่าว่า ความ สนใจในเรื่องที่มาของตระกูลไม่ได้เริ่มต้นในยุคของสุธี (เสียชีวิตแล้ว) แต่มีมา ตั้งแต่ในสมัยมารดาของตน คือ นางศรีบุ จันทร์สว่าง ซึ่งเคยรับราชการเป็นครู ในช่วงต้น พ.ศ. 2500 ที่ได้เริ่มติดตามหาที่มาของตระกูลตนเอง รวมถึงออกตาม หาเครือญาติของตนที่อยู่นอกพื้นที่ และมีระเบียบแบบแผนในเรื่องการนับล าดับ ญาติที่ชัดเจนกล่าวคือ หากมีไม่ได้มีศักดิ์เป็นหลานในชั้นยายหลาน จะมาเรียก นางศรีบุว ่าย ่า/ยายไม ่ได้ นางศรีบุจะซักถามว ่าเป็นลูกใครแล้วจะให้เรียก ตามล าดับให้ถูก62 ดังนั้นอาจกล่าวได้เอกสารชิ้นนี้ผลิตขึ้นภายใต้ส านึกความเป็นท้องถิ่น นิยมที่ก่อตัวขึ้นในพื้นที่ อ าเภอเทิง โดยเฉพาะในกลุ่มปัญญาชนท้องถิ่น และ จากการเผยแพร ่ต่อสาธารณะ แง ่หนึ ่งจึงอาจตั้งข้อสังเกตได้ว่าเอกสารชิ้นนี้ แสดงให้เห็นความพยายามในการสร้างพื้นที่ทางสังคมของกลุ่มเจ้านายท้องถิ่น เมืองเทิง โดยเฉพาะกลุ่มของพระยาไชยสารและทายาท โดยใช้พื้นที่ของหนังสือ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ได้รับการเผยแพร่ และการนิยามกลุ่มของตัวเองว่าเป็น ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนานของพื้นที่ เพราะหากอ่านใน ตอนท้ายของเอกสารซึ ่งเป็นส ่วนของการอ้างอิง ด้านหลังรายชื ่อของผู้ให้ สัมภาษณ์จะปรากฏการวงเล็บความสัมพันธ์ของบุคคลนั้นกับพระยาไชยสารไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นการยึดโยงระหว่างบุคคลในประวัติศาสตร์กับบุคคลร่วมสมัยที่ 62 สัมภาษณ์ สุรชา จันทร์สว่าง, ชาวบ้านเวียง อายุ 60 ปี, 16 ธันวาคม 2564.


54 หนังสือได้ถูกผลิตขึ้น ตัวอย่างเช่น แม่ศรีบุ จันทร์สว่าง (ศรีบุ มหาวงศนันท์) – เหลนโดยตรงเจ้าหลวงเทิง และก านันทวน ณ น ่าน – เหลนโดยตรงเจ้าหลวง เทิง63 เป็นต้น 2. เอกสารสาแหรก ‘เจ้าต้นตระกูล’ เอกสารฉบับนี้ไม ่ทราบปีที ่ถูกเขียนขึ้นมาเมื ่อใด มีลักษณะเป็น เอกสารปริ้นลงบนกระดาษขนาดเอสี่ สภาพลบเลือนความยาว 2 หน้ากระดาษ เอสี่ เอกสารชิ้นนี้ไม่มีชื่อเรียกเป็นทางการ แต่ผู้ศึกษาได้ตั้งชื่อเอกสารนี้ตาม ข้อความแรกที่ปรากฏในเอกสารว่า “รายชื่อเจ้าต้นตระกูล ควรกล่าวถึง มีนาม ดังต่อไปนี้” 64 เอกสารชิ้นนี้ถูกผลิตขึ้นเพื่อให้ผู้น าท าพิธีเลี้ยงผีปู่ย่าใช้กล่าวเชิญผี บรรพบุรุษให้ลงมารับเครื่องเซ่นไหว้ประจ าปีของทายาทพระยาไชยสารและ ญาติสนิท65 หรือที่เรียกกันว่าพิธีเลี้ยงเจ้าปู่เจ้าหม่อน66 เอกสารชิ้นนี้จึงรับรู้กัน เพียงภายในกลุ่มตระกูลที่ท าพิธีดังกล่าวเท่านั้น โดยภายในเอกสารประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนของรายชื่อบรรพบุรุษต้นตระกูล ส่วนของล าดับขั้นตอน และ ส่วนของรายนามของครอบครัวที่ร่วมลงเงินท าพิธี จากการสัมภาษณ์บานเชย เมืองมูล หนึ ่งในครอบครัวที ่ไปร ่วมพิธี ดังกล่าวได้เล่าว่า ผู้น าในการเลี้ยงและการกล่าวได้สืบต่อมาจากเจ้าแม่พรหม 63 หนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์, 63. 64 “รายชื่อเจ้าต้นตระกูล.” เอกสารตัวพิมพ์บนกระดาษเอสี่. 65 สัมภาษณ์สุริยนต์ สุเดชมารค, ผู้น ากล่าวในพิธีเลี้ยงเจ้าหลวงเทิง อายุ 71, 9 กันยายน 2564. 66 สัมภาษณ์ บานเชย เมืองมูล, ชาวบ้านเวียง อายุ 91 ปี, 8 กันยายน 2564.


55 มหาวงศนันท์ (มารดาของบานเชย) ลงมาที่เจ้าแม่ค าปวน สุเดชมารค (น้องสาว เจ้าแม่พรหม) ลงมาที่นางบัวเขียว สุเมธะ (ธิดาเจ้าแม่แว่นแก้ว น้องสาวเจ้าแม่ พรหมและพี่สาวเจ้าแม่ค าปวน) และสืบมาที่ตนก่อนที่ตนจะท าไม่ไหว67 ในขณะ ที่สุริยนต์ สุเดชมารค ผู้น าในพิธีในการเลี้ยงและการกล่าวคนปัจจุบันได้ให้ข้อมูล ว่าตนสืบต่อมาจากนางบัวเขียว สุเมธะ จากข้อมูลดังกล่าวผู้ศึกษาสันนิษฐานว่า เนื้อหาของเอกสารชิ้นนี้ได้ตกทอด โดยได้มีการจัดพิมพ์ในภายหลังเป็นฉบับ ปัจจุบันที ่ผู้ศึกษาได้พบ โดยการดัดแปลงแก้ไขครั้งหลังสุดที ่เป็นไปได้ คือ สมัยนางบัวเขียว สุเมธะรับผิดชอบเป็นผู้ดูแลพิธีดังกล ่าว ดังเห็นได้ว ่าใน ตอนท้ายของเอกสารปรากฏรายชื่อครอบครัวที่รับผิดชอบ มีชื่อของครอบครัว นางบัวเขียว เอกสารชิ้นนี้ให้รายละเอียดของเชื้อสายของพระยาไชยสาร เจ้าหลวง เทิงองค์สุดท้าย โดยเริ่มที่เจ้าหลวงพระมะโน ธรรมปัญญากับเจ้าแม่แปงเมือง เป็นเจ้าต้นตระกูล สืบมาเป็นเจ้าหลวงขัติยะ ธรรมปัญญา และเจ้าหลวงธรรมสาร วงค์ษา เจ้าหลวงธรรมสารฯ มีชายาคือเจ้าเขียวธรรมสารวงค์ษา มีลูกสะใภ้ คือเจ้าศรีวรรณา ข้อมูลของเอกสารดังกล ่าวแม้จะให้รายละเอียดของ กลุ่มตระกูลเจ้าหลวงไชยสารและญาติสนิท แต่ก็มีข้อมูลที่แตกต่างไปบ้างจาก เอกสารสาแหรกทายาทพระยาไชยสารและผู้เกี่ยวข้อง ในหนังสือ เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ อาทิเช่น เจ้าหลวงไชยสารเอกสารชิ้นนี้ออกนามเป็น ‘เจ้าหลวงธรรมสาร วงค์ษา’ มารดาเจ้าหลวงไชยสารที่ไม่ปรากฏชื่อ เอกสาร ชิ้นนี้ระบุว ่าเป็น ‘เจ้าแม ่แปงเมือง’ และเจ้าหลวงเทิงมีลูกสะใภ้ คือ 67 สัมภาษณ์ บานเชย เมืองมูล, ชาวบ้านเวียง อายุ 91 ปี, 8 กันยายน 2564.


56 ‘เจ้าศรีวรรณา’ (เป็นพี ่สาวเจ้าแม ่แว ่นแก้ว เจ้าแม ่พรหม เจ้าแม ่ค าปวน) ในขณะที่หนังสือระบุเป็น ‘แม่เจ้าบุญน า’ เป็นต้น โดยสรุปเอกสารชิ้นนี้ได้ถูกผลิตขึ้นภายใต้บริบทของพิธีกรรมเลี้ยงผี ปู ่ย ่าภายในตระกูล และเป็นที ่รับรู้กันเฉพาะภายในครอบครัว ไม ่ได้มีการ เผยแพร่สู่สาธารณะ ดังนั้นจึงไม่อาจใช้ค าอธิบายเรื่องการเมืองเรื่องพื้นที่มาใช้ได้ แต่กระนั้นก็ตามเมื่อพิจารณาถึงข้อสันนิษฐานที่ว่าเนื้อหาในเอกสารชุดนี้ได้รับ การแก้ไขครั้งหลังส ุด คือ สมัยของนางบัวเขียว ส ุเมธะรับผิดชอบ และนางบัวเขียว มีศักดิ์เป็นหลานเจ้าศรีวรรณา รวมถึงผู้ท าพิธีก ่อนหน้า นางบัวเขียวต่างมีศักดิ์เป็นน้องสาวของเจ้าศรีวรรณา ก็อาจสันนิษฐานได้ว่า ทายาทของเจ้านายกลุ่มดังกล่าว ได้ใช้ค ากล่างถึงสาแหรกที่ต้องถูกพูดถึงในพิธี เลี้ยงเจ้าปู่เจ้าหม่อนสร้างพื้นที่อธิบายความสัมพันธ์ของตนกับกลุ่มทายาทสาย ตรงของพระยาไชยสารขึ้น ฉะนั้นเอกสารชุดนี้ในมุมหนึ ่งจึงอาจสนทนาและ ถกเถียงกับข้อมูลในหนังสือ เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ ที่ไม่ปรากฏ ชื่อเจ้าศรีวรรณาและอธิบายความสัมพันธ์ของเจ้าแม่พรหม เจ้าแม่แว่นแก้ว และ เจ้าแม ่ค าปวนเป็นเพียงญาติผู้ใกล้ชิด และเป็นการเมืองเรื ่องพื้นที ่ในระดับ ครอบครัวขนาดใหญ่ก็เป็นได้ 3. เอกสารสาแหรก ‘ทายาทพ่อพรหมแม่บัวค า มหาวงศนันท์’ เอกสารฉบับนี้ไม่ทราบปีที่ถูกเขียนขึ้นอย่างแน่ชัด แต่จากข้อความใน วงเล็บท้ายชื่อ ดร. เรือง เจริญชัย บุตรของนางบุญปั๋น (สกุลเดิมมหาวงศนันท์) ว่าเสียชีวิต ท าให้ทราบเอกสารชิ้นนี้ถูกผลิตขึ้นในช่วงทศวรรษ 2540 (ดร. เรือง


57 เสียชีวิตในวันที ่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2540)68 เอกสารดังกล ่าวมีลักษณะ เป็นเอกสารลายมือเขียนบนกระดาษลายงานมีเส้นจ านวน หนึ ่งแผ่น ฉบับที ่ผู้ศึกษาใช้เป็นฉบับที ่ถ ่ายส าเนามาจากฉบับจริงอีกที นายก ่า มหาวงศนันท์ ผู้มอบเอกสารชิ้นนี้ให้กับผู้ศึกษาได้ระบุว่าเอกสารชิ้นนี้เป็นฝีมือ ของนายสุ่น หน่อสุวรรณ บุตรนางยอดหล้า (สกุลเดิมมหาวงศนันท์)69 ผู้ศึกษา ยังพบส าเนาเอกสารนี้ในกลุ ่มเครือญาติของสายนี้อีก 1 ชิ้นอยู ่กับเรวัตร จันทรธิการ (อดีตข้าราชการครู หลานนางบุญปั๋น เจริญชัย) แต่จากข้อความที่ปรากฏในตอนท้ายของกระดาษที่ว่า “พ่อท าไมถึง ญาติเยอะ ๆ จริง” 70 ท าให้ผู้ศึกษาตั้งข้อสังเกตุว่า เอกสารชิ้นนี้อาจไม่ได้เขียน โดยนายสุ ่นโดยตรง เพราะล าดับญาติที ่ปรากฏในเอกสารล้วนเป็นญาติ สายมารดาของนายสุ่นทั้งสิ้น จึงอาจตีความได้เป็นเอกสารที่เขียนขึ้นโดยกลุ่ม ทายาทในสายนี้ในชั้นเหลน ที่สัมภาษณ์นายสุ่นอีกที นอกจากนี้เมื่อสัมภาษณ์ นายก ่าเพิ ่มเติม นายก ่าได้เล่าเพิ่มว่าเอกสารนี้มีคนได้ไปขอให้นายสุ่นเขียน “เปิ้นเขียนหื้อป้าจิ๊ดก๋า” 71 (ท่านน่าจะเขียนให้ป้าจิ๊ด - อดีตข้าราชการครู ลูก สาวนายเปลี ่ยน มหาวงศนันท์ มีศักดิ์เป็นหลานนายสุ ่น เพราะพ ่อนาย เปลี ่ยนเป็นพี ่ชายแม ่นายสุ ่น) ซึ ่งหากเป็นดังนี้จริงลายมือที ่พบอาจเป็นของ 68 เจริญ เจริญชัย, เรือง เจริญชัย, เข้าถึงเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2565, เข้าถึงได้จาก https://drcharoen.wordpress.com/ruangcharoenchai/. 69 สัมภาษณ์ก ่า มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียง อายุ 60 ปี, 4 กันยายน 2564. 70 “ล าดับญาติ.” เอกสารถ่ายส าเนาตัวเขียนบนกระดาษมีเส้น. 71 สัมภาษณ์ก ่า มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียง อายุ 60 ปี, 4 ธัวาคม 2565.


58 บุตรสาวนายเปลี่ยน ที่เขียนจากการสอบถามนายสุ่น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมี ข้อความที่ “พ่อท าไมถึงญาติเยอะ ๆ จริง” วัตถุประสงค์ของการผลิตเอกสารชิ้นนี้ขึ้น ปรากฏในตอนท้ายของ กระดาษจ านวน 2 บรรทัดว่า “(ไม่สามารถอ่านได้อาจเป็นชื่อผู้เขียน) บันทึกให้ คนได้รับรู้ไว้ว่าพ่อท าไมถึงญาติเยอะจริง ๆ ถ้าจะให้ย่อยอีกกว่านี้(ไม่สามารถ อ่านได้)” 72 แม้จะไม่สามารถอ่านบริเวณตอนต้น และตอนท้ายได้ของข้อความ ดังกล่าวได้อย่างชัดเจน แต่ก็สามารถเห็นได้ว่าเอกสารดังกล่าวเขียนขึ้นภายใต้ ค าถามที่ว่า บิดาของผู้เขียนเอกสารท าไมถึงมีญาติเป็นจ านวนมาก จึงมีลักษณะ ที่จ าเพาะและแสดงความเป็นปัจเจกมากกว่าเอกสารสาแหรกชิ้นอื่น ๆ แม้จะมี ประโยคว่า “บันทึกให้คนได้รับรู้” ค าว่า คน ในประโยคดังกล่าวก็ดูจะเน้นไปที่ กลุ่มคนที่สนใจในเรื่องดังกล่าว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าน ่าจะคือกลุมเครือญาติกัน มากกว่าคนภายนอก นอกจากนี้ลักษณะการใช้ค าเรียกบุคคลภายในเอกสารที่มีเพียงแต่ค า ว่า พ่อ แม่ นาย นาง ดาบต ารวจ และ ดร. ไม่ปรากฏการใช้ค าว่า เจ้า น าหน้า เหมือนเอกสารสาแหรกฉบับอื่น ๆ ที่พบ ทั้ง ๆ ที่จากการสัมภาษณ์บุคคลใน ท้องถิ่นจ านวนหนึ่งได้เรียกชื่อของบุคคลที่ปรากฏในเอกสารฉบับนี้จ านวนหนึ่ง ด้วยค าว่า เจ้า น าหน้าได้แก่ นายสาร มหาวงศนันท์ (เจ้าหนานสาร ขาบิด73 / 72 “ล าดับญาติ.” เอกสารถ่ายส าเนาตัวเขียนบนกระดาษมีเส้น. 73 สัมภาษณ์ บานเชย เมืองมูล, ชาวบ้านเวียง อายุ 91 ปี, 8 กันยายน 2564.


59 เจ้าลุงหนานสาร74) นางบุญปั๋น เจริญชัย (เจ้าแม่บุญปั๋น75 / เจ้าย่าบุญปั๋น76) และนางยอดหล้า ธรรมปัญญา (เจ้ายอดหล้า77) เอกสารชิ้นนี้ให้รายละเอียดสายตระกูลในสายของพ่อพรหมแม ่บัวค า มหาวงศนันท์ ในสามรุ ่นเริ ่มจากพ ่อพรหมแม ่บัวค า รุ ่นลูกของทั้งสอง คือ นายสาร มหาวงศนันท์ นางบุญปั๋น เจริญชัย และนางยอดหล้า ธรรมปัญญา และรุ่นหลาน โดยระบุเพียงชื่อ คู่สมรส (ในชั้นลูก) และสถานะมีชีวิต/เสียชีวิต (ในชั้นหลาน) โดยไม่ได้บอกที่มาของตระกูล หรือความสัมพันธ์ในชั้นที่สูงขึ้นไป กว่านี้ ดังนั้นเอกสารสาแหรกชิ้นนี้จึงผลิตขึ้นด้วยลักษณะที ่เป็นปัจเจก มากกว ่าเอกสารสาแหรกทั้ง 3 ฉบับของกลุ ่มทายาทเจ้านายเมืองเทิง คือ มุ่งตอบค าถามส่วนบุคคลของผู้ผลิตเอกสารเพียงให้ทราบว่าบิดาของตนมีญาติ พี่น้องกี่คน และสัมพันธ์กันอย่างไร โดยได้มีการเผยแพร่เพียงในกลุ่มเครือญาติ ที่สนใจ ดังพบส าเนาอยู่ 2 ครอบครัว ไม่เพียงเท่านั้นเอกสารชิ้นนี้ไม่ปรากฏ การชี้น าให้ผู้อ่านให้เห็นว่าบรรพบุรุษของคนกลุ่มนี้มีสถานภาพที่แตกต่างจาก คนทั่วไป แม้แต่มีการให้นามสกุลไว้ แต่ก็ไม่ได้ขยายว่านามสกุลดังกล่าวสัมพันธ์ 74 สัมภาษณ์ จก สุยะราช, ชาวบ้านเวียง อายุ 86 ปี , 9 กันยนยน 2564. 75 สัมภาษณ์ก ่า มหาวงศนันท์, ชาวบ้านเวียง อายุ 60 ปี, 4 กันยายน 2564. 76 สัมภาษณ์ เรวัตร จันทรธิการ, ชาวบ้านเวียง อายุ 66 ปี, 23 มกราคม 2565. 77 สัมภาษณ์ บรรเลง สืบจากศิลป์, ชาวบ้านเวียง อายุ 76 ปี, 7 กันยายน 2564.


60 กับกลุ่มทายาทพระยาไชยสารและญาติใกล้ชิด หรือเจ้านายเมืองน่านแต่อย่างไร ดังนั้นค าอธิบายในเรื่องการเมืองเรื่องพื้นที่จึงไม่สามารถอธิบายได้ในกรณีอย่าง เห็นได้ชัด 4. เอกสารสาแหรก ‘ต้นตระกูลวงศ์วุฒิ’ เอกสารฉบับนี้ไม่ทราบปีที่เขียนขึ้นอย่างแน่ชัด แต่จากการสัมภาษณ์ ไพฑูรณ์ เจียตระกูล ผู้เก็บรักษาต้นฉบับเอกสารดังกล่าวได้ให้ข้อมูลว่า เอกสาร ดังกล ่าวผลิตขึ้นในเวลาไล ่เลี ่ยกับหนังสือ เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์78 จึงสันนิษฐานว ่าเอกสารดังกล ่าวถูกผลิตในช ่วงปลาย ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา เอกสารดังกล่าวเป็นฝีมือของครูอุบลศรี ก าเนิดสวัสดิ์ 79 มีลักษณะเป็นเอกสารเขียนด้วยปากกาน ้าเงิน ความยาว 17 หน้ากระดาษเอ สี่ ยังเขียนไม่แล้วเสร็จ และคาดว่าเอกสารชุดนี้น่าจะเป็นเพียงโครงร่างส าหรับ การจัดท าเป็นหนังสือต่อไป ดังปรากฏว่าครูอุบลศรีได้เขียนที่ค าน าเอกสารว่า “จุดประสงค์ของการเขียนหนังสือฉบับนี้” 80 วัตถุประสงค์ของการผลิตเอกสารชิ้นนี้ ปรากฏในหน้าแรกของเอกสาร ซึ่งเป็นส่วนของค าน าว่า 78 สัมภาษณ์ ไพฑูรณ์ เจียตระกูล, อายุ 75 ปี ผู้เก็บต้นฉบับเอกสาร สาแหรกต้นตระกูลวงศ์วุฒิ, 23 มกราคม 2565. 79 เรื่องเดียวกัน. 80 “ต้นตระกูลวงศ์วุฒิ.” เอกสารตัวเขียนบนกระดาษเอสี่.


61 “ จุดประสงค์ของการเขียนหนังสือฉบับนี้ 1. เพื่อให้ลูกหลานได้ทราบถึงต้นตระกูลวงศ์วุฒิว่าเป็นมาอย่างไร 2.เพื ่อให้คนรุ ่นหลังได้ทราบว ่าใครบ้างที ่เกี ่ยวพันเป็นญาติกัน และก็มีผู้สนใจที ่จะรู้จึงขอให้ข้าฯ สืบเสาะหาข้อมูล พอดีกับข้าฯ ศึกษากับคุณแม่ ซึ่งท่านพอจะรู้รายละเอียดมาพอสมควร จากการที่ได้ คลุกคลีกับพ่อซึ่งก้เป็นเวลานานพอสมควร ชื่อ เจ้าไชยะสาร ท่านเป็น บุตรคนที่ 9 ของเจ้าราชวงศ์ และเจ้าแม่ปิมปา นอกจากนี้ข้าพเจ้าได้ ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือประชุมพงศาวดารเล่มที่ 10 หน้า 17 ว่าด้วย วงศ์เจ้าพระยาหลวงติ๋น ครองเมืองน่าน ข้าฯ คิดว่าถึงหนังสือเล่มนี้จะเป็นประวัติพอสังเขปถึงจะไม่ สมบูรณ์นัก แต่ก็พอเป็นหลักฐานที่พอที่จะเชื่อถือได้” 81 จากข้อความดังกล่าวอุบลศรีชี้ให้เห็นความตั้งใจในการผลิตเอกสารชิ้นนี้ว่า มาจากความต้องการให้เครือญาติของตนในชั้นต ่อ ๆ มาทราบถึงที ่มาของ ตระกูล รวมถึงทราบว่าใครบ้างที่เป็นญาติในกลุ่มของตน และเกิดจากการที่มี คนภายนอกครอบครัวมาสอบถามที่มาของตระกูล จึงเกิดเป็นความจ าเป็นที่ต้อง ผลิตเอกสารชิ้นนี้ อาศัยการรวบรวมค าสัมภาษณ์ของผู้สูงอายุภายในตระกูล เครือญาติรุ่นเดียวกัน และการศึกษาเพิ่มจากหนังสือประชุมพงศาวดารที่ว่าด้วย ประวัติศาสตร์เมืองน่าน เพื่อให้มีหลักฐานที่ใช้ศึกษาต่อไปได้ทั้งคนภายในและ ภายนอกตระกูล 81 “ต้นตระกูลวงศ์วุฒิ.” เอกสารตัวเขียนบนกระดาษเอสี่.


62 เอกสารชิ้นนี้ให้รายละเอียดถึงที่มาของนามสกุลวงวุฒิ และสมาชิก ภายในตระกูลมาจนถึงชั้นโหลน โดยยังคงใช้ค าน าหน้าว่า เจ้า จนถึงชั้นเหลน แต ่ไม ่สมบูรณ์เพราะปรากฏเพียง 6 สายจากทั้งหมด 12 สาย โดยเริ ่มจาก เจ้าราชวงศ์และเจ้าแม่ปิมปาเป็นต้นตระกูล เอกสารได้ระบุว่า เจ้าราชวงศ์เป็น ราชบุตรเจ้าเมืองเชียงแสน เมื่อพม่าได้ตีเมืองเชียงแสน เจ้าราชวงศ์ได้รับค าสั่ง ให้เป็นผู้น าทัพหลวงจากเมืองเชียงแสนไปยังเมืองน่าน ระหว่างทางได้หยุดพักที่ เมืองเทิงและหัวเมืองต ่าง ๆ กระทั ่งถึงเมืองน ่าน จึงได้อยู ่ที ่เมืองน ่านเป็น เวลานานและได้สมรสกับเจ้าแม่ปิมปา เจ้าราชวงศ์มีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น 12 คน คือ เจ้าจันทิมา เจ้าค่าย เจ้าเบาะ เจ้าวุฒินะ เจ้าขัตติยะ เจ้านุ่น เจ้าปวน เจ้า เต๊ม เจ้าไชยสาร เจ้าวงค์ เจ้าหมอก เจ้าเมืองแก้ว ความน่าสนใจของเอกสารชิ้น นี้ คือ การระบุว่านามสกุลวงศ์วุฒิเป็นนามสกุลพระราชทานจาก ร. 6 ทั้ง ๆ ที่ เมื่อสอบทานบัญชีนามสกุลพระราชทานไม่พบชื่อสกุลดังกล่าว โดยสรุปเมื่อพิจารณาถึงวัตถุการผลิตเอกสารดังกล่าวจะเห็นได้ว่าทั้ง สองข้อ ต่างเน้นความส าคัญของเครือญาติและชี้ให้เห็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ งานชิ้นนี้ คือ กลุ่มเครือญาติ กระนั้นก็ตามเมื่อพิจารณาว่า เอกสารนี้ถูกผลิตขึ้น ในช่วงเวลาไล่เลี่ย (หรืออาจหลังจากนั้น) กับหนังสือ เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ ก็อาจเป็นได้ว่างานชิ้นนี้ได้สร้าง บทสนทนากับงานชิ้นดังกล่าว ในแง ่ของการตอบค าถามที ่มาของวงศ์ตระกูลตัวเองที ่มีบรรพบุรุษของตน เป็นเจ้านายท้องถิ่นเช่นเดียวกับกลุ่มพระยาไชยสาร แต่กลับไม่ปรากฏเรื่องราว ของกลุ ่มตนภายในหนังสือดังกล ่าว ข้อสังเกตประการหนึ ่งที ่ท าให้เห็น บทสนทนาระหว ่างงานสองชิ้นนี้ คือ การกล ่าวถึงที ่มาของนามสกุลว ่าเป็น นามสกุลพระราชทาน เนื่องจากในเอกสารสาแรกทายาทพระยาไชยสารและ


63 ผู้เกี่ยวข้องได้กล่าวถึงที่มาของนามสกุลตน คือ มหาวงศนันท์ และ ณ น่าน เป็น นามสกุลพระราชทาน (ยืนยันได้จริง) นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงข้อความที ่ว่า “มีผู้สนใจที่จะรู้จึงขอให้ข้าฯ สืบเสาะหาข้อมูล” ก็สะท้อนให้เจตนารมณ์ที่จะมี การเผยแพร ่ออกไปสู ่ภายนอก หากมีโอกาส แต ่เนื ่องจากขาดหลักฐานที่ เพียงพอจึงไม่อาจกล่าวได้อย่างเต็มที่ว่า เอกสารชิ้นนี้ผลิตขึ้นภายใต้ความคิด เรื ่องการเมืองเรื ่องพื้นที ่ทั้งในระดับครอบครัว และสังคม (เนื ่องจากผู้เขียน เอกสารดังกล่าวได้เสียชีวิตลงแล้วด้วย) แต่กระนั้นก็ตามจากข้อความ “มีผู้สนใจที่จะรู้จึงขอให้ข้าฯ สืบเสาะหา ข้อมูล” ก็สะท้อนให้เห็นกระแสของความสนใจอดีต ที่เกิดขึ้นภายในท้องถิ่น ที่มองว่า กลุ่มเจ้านายท้องถิ่นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์พื้นที่ จึงได้มีความ พยายามในการสอบถามบรรดาทายาทในยุคร ่วมสมัยถึงที่มาของบรรพบุรุษ จนน าไปสู่การศึกษาและผลิตเอกสารสาแหรกของทายาท จึงอาจกล่าวได้ว่า กระแสความสนใจต่อประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้มีผลต ่อการผลิตเอกสารชิ้นนี้ อย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยสรุปจากการศึกษาเอกสารทั้งสี่ฉบับจะพบว่า เอกสารทั้งสี่ชิ้น สาม ในสี่สามารถยืนยันได้ว่าถูกผลิตขึ้นในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน คือ ตั้งแต่ช ่วง ปลายทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา และมีเพียงเอกสารชิ้นเดียวที่มีการเผยแพร่ไป ยังกลุ่มคนนอกตระกูลอย่างจริงจัง คือ เอกสารสาแหรกทายาทพระยาไชยสาร และผู้เกี ่ยวข้อง ที ่ถูกตีพิมพ์ภายในหนังสือ เทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ ในขณะที่เอกสารชิ้นอื่น ๆ ต่างถูกเก็บไว้ภายในกลุ่มตระกูลของ ตัวเอง และมีการส่งต่อเฉพาะคนในกลุ่มเดียวกัน


64 ในด้านของลักษณะ การศึกษาเอกสารสาแหรทั้งสี่ฉบับมีลักษณะร่วม คือ เป็นเอกสารที่ผลิตโดยทายาท ที่มีลักษณะเป็นปัญญาชนได้รับการศึกษาขั้น พื้นฐานไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย (ครู/ นักกฏหมาย) ซึ ่งพยายามอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว ่างบุคคลกลุ ่มหนึ ่งว ่า มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน อย่างไร ในระดับที่มากกว่าค าอธิบายว่า “เป็นญาติกัน” หรือ “เป็นลูกผู้พี ่ผู้ น้อง” โดยพยายามชี้ให้เห็นถึงต้นรากของสายตระกูล และยังคงใช้ค าเรียก น าหน้ารายชื ่อจ านวนหนึ ่งว ่า เจ้า แทนการใช้ค าว่า พ ่อ / แม ่ / นาย / นาง ยกเว้นเอกสารเอกสารสาแหรกทายาทพ่อพรหมแม่บัวค า มหาวงศนันท์ ที่ไม่ ปรากฏการใช้ค าน าหน้าว่า เจ้า ในเอกสาร ซึ่งเชื่อมโยงมายังกลุ่มคนร่วมสมัยที่ กลายมาเป็นต้นตระกูลของสายต่าง ๆ ภายในเครือข่ายเดียวกัน นอกเหนือจากความพยายามอธิบายดังกล่าวที่เป็นลักษณะร่วมของ เอกสารทั้งสี่ วัตถุประสงค์ในการเขียนเอกสารสาแหรกเหล่านี้ยังมีวัตถุประสงค์ อื่นแตกต่างกันไปในแต่ละฉบับ ทั้งเพื่อแสดงตัวตนในพื้นที่ทางสังคมร่วมสมัย อย ่างเช ่น เอกสารสาแหรกทายาทพระยาไชยสารและผู้เกี ่ยวข้อง เพื่อรวบเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ส าหรับให้ผู้สนได้ใช้ศึกษาค้นคว้า ต ่ออย ่างเช ่น เอกสารสาแหรกทายาทพระยาไชยสารและผู้เกี ่ยวข้อง และเอกสารสาแหรกต้นตระกูลวงศ์วุฒิ เพื่อใช้ประกอบในพิธีกรรมอย่างเช่น เอกสารสาแหรกเจ้าต้นตระกูล และเพียงเพื ่อตอบค าถามส ่วนบ ุคคล เช่น เอกสารสาแหรกทายาทพ่อพรหมแม่บัวค า มหาวงศนันท์ ทั้งนี้เมื ่อดูเนื้อหาที ่ถูกเขียนขึ้น ก็ดูเหมือนว ่าเอกสารสามฉบับ นั่นคือ เอกสารสาแหรกทายาทพระยาไชยสารและผู้เกี่ยวข้อง เอกสารสาแหรก เจ้าต้นตระกูล และเอกสารสาแหรกต้นตระกูลวงศ์วุฒิจะมีบทสนทนากันใน


65 ประเด็นถกเถียงว่าใครเป็นใครในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองเทิง ที่เริ่มมีเค้าลาง มาตั้งแต่ช ่วงทศวรรษ 2520 และเฟื ่องฟูมากขึ้นในช ่วงปลายทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา เอกสารสาแหลกภายในบริบทปลายทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา นับตั้งแต่ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมาจะเห็นได้บริบทประเทศไทยได้เอื้อ ให้เกิดการกลับมาสนใจความเป็นท้องถิ ่นมากขึ้น ดังปรากฏในแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520 – 2524) ได้กล่าวถึงแนวทาง ในการพัฒนาแหล ่งท ่องเที ่ยวในแต ่ละท้องถิ ่นข้อหนึ ่งว ่า “ให้ประชาชนใน ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวทั้งในด้านการลงทุน เพื่อจัดสร้าง สิ ่งอ านวยความสะดวกต ่าง ๆ การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม และประเพณีของ ท้องถิ ่น ตลอดจนผลิตผลที่เป็นสินค้าพื้นเมืองในท้องถิ ่นนั้น ๆ เพื ่อให้ได้รับ ผลประโยชน์จากการพัฒนาการท ่องเที ่ยวได้อย ่างทั ่วถึง” 82 จากข้อความ ดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า รัฐเริ่มให้ความสนใจ สนับสนุน และได้เปิดพื้นที่ให้ ท้องถิ ่นได้น าเสนอรากเหง้าของตัวเองเพื ่อเป็นจุดขายในการท ่องเที ่ยว และท้องถิ่นหลายที่ก็ได้ตอบสนองดังเช่นกรณีของชาวไทลื้อ ในเขตอ าเภอเชียงค า ไม่ไกลจากอ าเภอเทิง ซึ่งนิชธิมา บุญเฉลียว (2552) 83และ ณกานต์ อนุกูล82 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (กรุงเทพฯ: ม.ป.ป. , 2520), 244. 83 นิชธิมา บุญเฉลียว, “ความทรงจ าร่วมของคนลื้อพลัดถิ่นกับประเพณี ประดิษฐกรรม” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2552), 153.


66 วรรธกะ (2554) 84 ได้ศึกษาไว้ จึงอาจกล่าวได้ว่านี่อาจเป็นหมุดหมายส าคัญของ การก ่อตัวขึ้นของส านึกความเป็นท้องถิ ่น ที ่น าไปสู่การศึกษาประวัติศาสตร์ ท้องถิ่น ส านึกความเป็นท้องถิ่นที่ก่อตัวขึ้นจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที ่ยว จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 เติบโตยิ่งขึ้นในช่วงปลาย ทศวรรษ 2530 เมื่อมีการประกาศ ‘ปีรณรงค์วัฒนธรรมไทย’ ใน พ.ศ. 2537 โดยส านักคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะใน ภาคเหนือ ส านึกความเป็นท้องถิ่นเหนือหรือล้านนายิ่งได้รับการตอกย ้ามากขึ้น จากเหตุการณ์ครบรอบ 700 ปีเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ. 253985 ในอ าเภอเทิงความเคลื ่อนไหวของส านึกความเป็นท้องถิ ่นและ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเริ่มปรากฏมาตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เมื่อปรากฏมีการตีพิมพ์ หนังสือ ต านานเมืองเทิง จัดท าโดยพระมหาธัชพล กิตติวังโส พระมหาวิทยา วิชรวังโส นายอินทร์ สุใจ และนายโชติ พงษ์มณี เนื่องในโอกาสฉลองอายุครบ 60 ปีพระครูนิวิษฐ์สัทธาคุณ86 ต ่อมาใน พ.ศ. 2521 ก็ปรากฏมีการตีพิมพ์ 84 ณกานต์ อนุกูลวรรธกะ, “กระบวนการรื้อฟื้นส านึกทางประวัติศาสตร์ และการจัดตั้งวัฒนธรรมไทยลื้อชุมชนเชียงค า จังหวัดพะเยา ช่วงทศวรรษ 2520- 2550” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2554), 55 – 56. 85 ปราโมทย์ ภักดีณรงค์, “การเมืองของสุนทรียภาพผ้าซิ่นตีนจกกับ กระบวนการรื้อฟื้นวัฒนธรรมแม่แจ่ม” (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย เชียงใหม่, 2547). 86 หนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์, 63.


67 หนังสือ แลไปในอดีตของเมืองเทิง โดยพระภิกษุชวกร กรรณิกา พิมพ์แจกใน งานทอดกฐินวัดพระนาคแก้วในวันที ่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 ซึ ่งต ่อมา พระครูประจักษ์พัฒนคุณ (ถนอม ฐิตายุโก) ได้อ่านและคัดลอกมาบางตอนที่ เห็นว่าส าคัญมาตีพิมพ์ร่วมในต านานพระธาตุจอมจ้อ เพื่อแจกจ่ายให้ศาสนิกชน ที่ขึ้นไปร่วมพิธีสรงน ้าพระธาตุจอมจ้อ ตามค ามอบหมายของพระครูนิวิษฐ์สัทธา คุณ เจ้าคณะอ าเภอเทิง และคณะสงฆ์อ าเภอเทิง ใน พ.ศ. 253587 นอกจากนี้ ในช ่วงปลายทศวรรษ 2530 ยังเกิดโครงการยกระดับอ าเภอขึ้นเป็นจังหวัด และเกิดความพยายามสร้างอนุสาวรีย์พระยาไชยสาร เลียนแบบอนุสาวรีย์ พญามังรายของจังหวัดเชียงราย ไว้บริเวณกลางเมืองอีกด้วย88 ปัจจัยที ่เอื้อให้ส านึกความเป็นท้องถิ ่นและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ที ่ก ่อตัวขึ้นนี้เอง ได้ท าให้ทายาทเจ้านายเมืองเทิงที ่เป็นปัญญาชนกลับมา ทบทวนตัวตนของตัวเองในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของอ าเภอเทิง และรู้สึกภูมิใจ ที่ตนได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพื้นที่ โดยเริ่มจากกลุ่มทายาท พระยาไชยสารน าโดยนางศรีบุ จันทร์สว่าง ที่เคยรับราชการครู ในช ่วงก ่อน ทศวรรษ 2530 ได้เริ ่มติดตามหาญาติพี ่น้องและเริ ่มให้ความส าคัญกับ การอธิบายความสัมพันธ์ของกลุ่มคนต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้มีการผลิตเอกสารอย ่าง จริงจัง กระทั่งถึงช่วงปลายทศวรรษ 2530 นายสุธีจันทร์สว่าง ผู้เป็นบุตรชาย 87 ประจักษ์พัฒนคุณ, พระครู, ต านานพระธาตุจอมจ้อ ต านานเมืองเทิง (เมืองเถิง) คร่าวฮ ่าสร้างถนนเชียงราย – เถิง (เชียงใหม่: ธาราทองการพิมพ์, 2535), ก-ข. 88 สัมภาษณ์สุริยนต์ สุเดชมารค, ผู้น ากล่าวในพิธีเลี้ยงเจ้าหลวงเทิง อายุ 71, 9 กันยายน 2564.


68 ของนางศรีบุ และมีความสนใจท างานด้านวัฒนธรรม ได้ใช้โอกาสที่ตนได้เข้ามา เป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดท าหนังสือประวัติศาสตร์อ าเภอ ผลิตค าอธิบายถึง ความสัมพันธ์ของบุคคลร่วมสมัยและบุคคลในประวัติศาสตร์ (บรรพบุรุษ) ในรูป ของเอกสารสาแหรกทายาทพระยาไชยสารและผู้เกี่ยวข้องออกมาในหนังสือ หนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์ ใน พ.ศ. 2538 นัยหนึ่งเพื่อแสดง ให้เห็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เมืองเทิงในยุคเจ้านาย แต่ในนัยหนึ่งก็คือ การพยายามสร้างพื้นที่ทางสังคมของตนในท้องถิ่น โดยชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ ของตนในฐานะลูกหลานเจ้าหลวง ด้วยเอกสารที่มีการเผยแพร่เป็นสาธารณะ และมีการชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในประวัติศาสตร์และบุคคลที่มี ชีวิตร่วมสมัยในเวลาที่หนังสือตีพิมพ์ เป็นไปได้ว่าเมื่อเอกสารชุดนี้ตีพิมพ์ออกมา ด้วยจ านวนพิมพ์รวมกัน 2 ครั้งที ่มากถึง 1,500 เล ่ม โดยมีการแจกจ ่ายใปในกลุ ่มทายาทและห้องสมุด ภายในอ าเภอ ทั้งปัจจุบันก็เป็นหนังสือที่มีในหลายบ้านที่ผู้ศึกษาไปเก็บข้อมูล น ่าจะสร้างแรงกระเพื ่อมครั้งใหญ ่ให้กับกระแสท้องถิ ่นนิยมและความสนใจ ประวัติศาสตร์ท้องถิ ่นภายในพื้นที ่ เป็นผลให้คนกลุ ่มหนึ ่งพยายามศึกษา เรื ่องราวในอดีตของเมืองเทิง ที ่ปฏิเสธไม ่ได้ว ่าสัมพันธ์กับเรื ่องเจ้านาย จึงไปกระตุ้นให้บรรดาทายาทของเจ้านายท้องถิ่นกลุ่มอื่น ๆ ต้องหันกลับมา เขียนเรื่องราวของตระกูลตัวเอง ดังค าอธิบายที่ปรากฏในเอกสารสาแหรกต้น ตระกูลวงศ์วุฒิ ไม่เพียงเท่านั้นจากเนื้อหาที่ขัดแย้งกันระหว่างเอกสารสาแหรกเจ้าต้น ตระกูลและเอกสารสาแหรกทายาทพระยาไชยสารและผู้เกี่ยวข้อง และความ คล้ายกันระหว่างเอกสารสาแหรกต้นตระกูลวงศ์วุฒิและเอกสารสาแหรกทายาท


69 พระยาไชยสารและผู้เกี่ยวข้อง ก็อาจเป็นไปได้เช่นกันว่า กลุ่มทายาทเจ้านาย เมืองเทิงจ านวนหนึ ่ง เมื ่อได้อ ่านหนังสือดังกล ่าว ก็อาจเกิดความสงสัยใน ต าแหน ่งที่ทางของตัวเองในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จึงได้ผลิตเอกสารสาแหรก ของตนออกกมา เพื่ออธิบายทั้งในระดับครอบครัวญาติมิตร และคนภายนอกที่ สนใจว่าครอบครัวของตนที่มีที่ทางในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอ าเภอเทิงอย ่างไร ด้วยความรู้สึกเป็นส ่วนหนึ ่งของประวัติศาสตร์อ าเภอ และความภาคภูมิใจ จึงเกิดเป็นบทสนทนาระหว่างเอกสารขึ้น ทั้งนี้เมื่อพินิจถึงวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่และการใช้งาน โดยเฉพาะ เอกสารสาแหรกเจ้าต้นตระกูลและเอกสารสาแหรกต้นตระกูลวงศ์วุฒิ ที่มุ่งเน้น ไปยังกลุ ่มขนาดเล็ก คือ ‘กลุ ่มเครือญาติ’ เป็นหลัก จึงอาจอธิบายได้ว่า การผลิตเอกสารสาแหรกของทายาทเจ้านายเมืองเทิงจ านวนหนึ่ง เป็นความพยายามนิยามที่ทางของตน ภายในกลุ่มของตนเป็นหลักไม่ใช่ในระดับ สังคม ภายใต้ส านึกส านึกของความเป็นท้องถิ ่นและประวัติศาสตร์ท้องถิ ่นที่ เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่ส่งเสริมให้เกิดความภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง นอกจากนี้เมื่อทบทวนวัตถุประสงค์ของเอกสารสาแหลกกลุ่มเจ้านาย ทั้งสี่ชิ้น จะพบว่าเป้าหมายที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในการผลิตเอกสารเหล่านี้ คือ ความพยายามตอบค าถามที่ว่า ‘เราเป็นใคร’ และ ‘เราเป็นญาติกันอย่างไร’ ดังจะเห็นได้ว่าเอกสารทั้งสี่ต่างพยายามชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลร่วม สมัยที่เอกสารถูกเขียนขึ้น ผ่านล าดับในแต่ละรุ่น ซึ่งสืบย้อนขึ้นไปล้วนมาจาก ต้นสายเดียวกัน จะเห็นได้ว่าการอธิบายเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเน้นสร้างพื้นที่ทางสังคม เสียทีเดียว เพราะเอกสารเหล่านี้มีเพียงชิ้นเดียวที่ถูกตั้งใจเผยแพร่ ในขณะที่อีก สามชิ้นไม่มีความตั้งใจในการเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยเฉพาะกรณีเอกสาแหรก


70 ทายาทพ่อพรหมแม่บัวค า มหาวงศนันท์ ที่เห็นได้ชัดเจนว่าเกิดความต้องการ ส่วนของลูกหลานที่ต้องการทราบถึงที่มาของตนจึงได้เขียนขึ้น โดยไม่ได้มีการ เขียนสิ่งใดที่สื่อให้เห็นสถานภาพความเป็นเจ้า ก่อนจะมีการเผยแพร่ในหมู่ญาติ ที ่สนใจด้วยการยืมต้นฉบับไปท าส าเนา และอาจเห็นได้ในกรณีของเอกสาร สาแหรกเจ้าต้นตระกูล ที่ถูกใช้อ่านในพิธีกรรมภายใน และเอกสารสาแหรกต้น ตระกูลวงศ์วุฒิ ที่เหมือนความตั้งใจจะเป็นการผลิตและแจกจ่ายในหมู่เครือญาติ เป็นหลัก ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการผลิตเอกสารสาแหรกของทายาทเจ้านาย เมืองเทิง จึงไม่สามารถอธิบายได้ด้วยค าอธิบายแบบเดียวกับกรณีเจ้านายเมือง อุบลราชธานี ที่ปวีณาอธิบายว่า คือ ความต้องการรักษาพื้นที่ในสังคม ภายใต้ บริบทของการเติบโตขึ้นของแนวคิดท้องถิ่นนิยมได้เพียงประการเดียว และเมื่อ พิจารณาถึงองค์ประกอบของการเขียนเอกสารเหล่านี้ที่พยายามชี้ให้เห็นความ เป็นเครือญาติก็เป็นไปได้ว่าแนวคิดท้องถิ่นนิยมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ เติบโตขึ้น ได้ท าให้ทายาทเจ้านายเมืองเทิงกลับมามองที่รากเหง้าของตน และได้ เห็นประโยชน์จากรากเหงาเหล่านั้น ในการยึดโยงกลุ่มคนจ านวนหนึ่งให้มีส านึก ร่วมกันในฐานะ ‘ญาติ’ เพื่อประโยชน์บางประการซึ่งมากกว่าเพียงการได้รู้ว่า ‘ใครเป็นญาติเราบ้าง’ ในประเด็นนี้ภายในบริบทของสังคมอ าเภอเทิงที่เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ จ าเป็นต้องศึกษาต่อไปในอนาคต จะพบว่าในเวลาที่เอกสารถูกผลิตขึ้นพื้นที่ อ าเภอเทิง ได้มีการพัฒนาจากการเข้ามาของคนกลุ่มใหม่จากต่างพื้นที่ ในเวลา เดียวกันคนในพื้นเองจ านวนหนึ ่งก็ได้ย้ายจากพื้นที ่ไปจากการตัดถนนและ การศึกษา ท าให้ความสัมพันธ์เครือญาติในอดีตเสื่อมลง ผนวกกับการขยายตัว


71 ของตระกูลแต่ละตระกูลท าให้ความสัมพันธ์ในระดับเครือญาติยิ่งเบาบางลง ทายาทจ านวนหนึ ่งที ่เป็นปัญญาชน ที ่มีโอกาสได้รับการศึกษาและเห็น ความส าคัญของการจัดล าดับเครือญาติให้เป็นระบบระเบียบ จึงเริ่มลงมือสืบ สาแหรกของตัวเอง เพื ่อเชื ่อมโยงตัวเองกับผู้คนจ านวนหนึ ่ง ดังนั้นเอกสาร สาแหรกทายาทเจ้านายเมืองเทิง จึงตั้งต้นที่ต้นตระกูลเพียงหนึ่งเดียว และโยง เรื่อยมาจนถึงบุคคลร่วมสมัยที่เอกสารถูกผลิต ข้อสังเกตประการสุดท้ายเมื่อน าเอกสารสาแหลกทั้งสี่ฉบับวางลงใน บริบทปลายทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ยังพบอีกว่านอกจากค าอธิบายถึงความ เคลื่อนไหวของเจ้านายท้องถิ่นในช่วงเวลาร่วมสมัยที่หลากหลายมากขึ้น ผู้ศึกษา ยังพบว่าเอกสารเหล่านี้ได้สนับสนุนและถกเถียงในประเด็นเรื่องส านึกความเป็น เจ้าท้องถิ ่นของวศิน ปัญญาวุธตระกูล กล ่าวคือมีเอกสารเพียงชิ้นเดียว ที่ไม่ปรากฏค าว ่า เจ้า ภายในเอกสาร คือ เอกสารสาแหรกทายาทพ่อพรหม แม ่บัวค า มหาวงศนันท์ แต่เอกสารอีกสามชิ้น คือ เอกสารสาแหรกทายาท พระยาไชยสารและผู้เกี ่ยวข้อง เอกสารสาแหรกเจ้าต้นตระกูล และเอกสาร สาแหรกต้นตระกูลวงศ์วุฒิ ต ่างมีการใช้ค าว ่า เจ้า อยู ่ภายในเอกสาร ปรากฏการณ์นี้ย ่อมแสดงให้เห็นว ่า แท้จริงไม ่ใช ่กลุ ่มเจ้านายพื้นเมืองไม่ได้ ปรับเปลี่ยนอุดมการณ์และแสดงตนเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งภายในสังคม สมัยใหม่ทั้งหมด แต่ยังมีกลุ่มเจ้านายจ านวนหนึ่งที่ยังรักษาสถานภาพที่แตกต่าง ของตน ผ่านค าเรียกบรรพบุรุษไว้อยู่มาจนถึงทศวรรษ 2530 และจงใจเลือกที่ จะเรียกบรรพบุรุษของตน ที่จ านวนหนึ่งว่าเป็น เจ้า แม้จะมีการยกเลิกระบบ เจ้านายลงไปแล้วตั้งแต่ทศวรรษ 2440


72 บทสรุป จากการศึกษาเอกสารสาแหรกสี่ฉบับของกลุ่มทายาทเจ้านายเมืองเทิง ได้แสดงให้เห็นว่าค าอธิบายที่ว่า ในยุคร่วมสมัยกลุ่มทายาทเจ้านายท้องถิ่น ได้ ใช้ประโยชน์จากกระแสของการเติบโตของแนวคิดท้องถิ ่นนิยม และ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในสังคมไทย เพื่อรักษาพื้นที่ทางสังคมดังที่ปวีณา ป้องกัน ได้เสนอไว้ผ่านกรณีทายาทเจ้านายเมืองอุบลราชธานี ตรงกันข้ามเมื ่อศึกษา เอกสารสาแหรกทั้งสี่ฉบับ ได้แสดงให้ว่าปัจจัยในการผลิตเอกสาร ไม่ได้มุ่งเน้น ไปยังพื้นที่สาธารณะทั้งหมด แต ่ยังมีบางชิ้นที ่มุ ่งเน้นไปยังพื้นที ่ภายในกลุ่ม ตระกูล และบางชิ้นมุ ่งเน้นความเป็นปัจเจกเสียด้วยซ ้า โดยมีกระแสของ การเติบโตของแนวคิดท้องถิ ่นนิยม และประวัติศาสตร์ท้องถิ ่นในสังคมไทย เป็นตัวขับเคลื ่อน ที ่ท าให้เกิดการทบทวนตนเองด้วยค าถามตนเป็นใครและ สัมพันธ์อย่างไรกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของตน รวมถึงอาจปัจจัยบางประการ ที่ผู้ศึกษายังไม่สามารถเทียบเคียงได้ เนื่องจากขาดเอกสารที่มีลักษณะเดียวกัน จากพื้นที ่อื ่นมาเทียบเคียง89 มาประกอบร ่วมด้วย และระยะเวลาที ่จ ากัด แต่สันนิษฐานได้เบื้องต้นว่าอาจเกี่ยวกับการพัฒนาของอ าเภอเทิง ที่ท าให้ระบบ เครือญาติดังเดิมเสื่อมลง จากการย้ายถิ่นฐานออกไปนอกพื้นที่ ทายาทจ านวน หนึ ่งที ่เป็นปัญญาชน ซึ ่งเป็นผลจากการพัฒนาของพื้นที ่ จึงกลับมาให้ ความส าคัญในการสืบหาความสัมพันธ์และผลิตเป็นเอกสารสาแหรก 89 มีเอกสารคล้าย ๆ กัน ถูกผลิตขึ้นใน พ.ศ. 2526 คือเอกสารสาแหรก ทายาทเจ้านายเมืองเชียงของ (เขต จ. เชียงราย) ที่ท าขึ้นในโอกาสผ้าป่าสามัคคี “สี่ ตระกูล” แต่เนื่องจากผู้ศึกษาไม่สามารถติดตามเนื้อหาด้านในได้อย่างครบถ้วนจึงไม่ สามารถน ามาเปรียบเทียบได้งานชิ้นนี้


73 นอกจากนี้การปรากฏและไม่ปรากฏค าว่า เจ้า ในเอกสารสาแหลกทั้ง สี่ฉบับ ยังแสดงเห็นอีกว่าภายหลังการสิ้นสุดการปกครองในระบบเจ้านายเป็น ต้นมา ส านึกความเป็นเจ้านายท้องถิ่นภาคเหนือ ยังคงด ารงอยู่ในสังคมร่วมสมัย ไม่ได้เลือนหายไปเสียทีเดียวอย่างที่วศิน ปัญญาวุธตระกูลได้เสนอนั่นเอง. รายการอ้างอิง เอกสารชั้นต้นที่ไม่ตีพิมพ์เผยแพร่ “ต้นตระกูลวงศ์วุฒิ.” เอกสารตัวเขียนบนกระดาษเอสี่. “รายชื่อเจ้าต้นตระกูล.” เอกสารตัวพิมพ์บนกระดาษเอสี่. “ล าดับญาติ.” เอกสารถ่ายส าเนาตัวเขียนบนกระดาษมีเส้น. หนังสือ ประจักษ์พัฒนคุณ, พระครู. ต านานพระธาตุจอมจ้อ ต านานเมืองเทิง (เมืองเถิง) คร่าวฮ ่าสร้างถนนเชียงราย – เถิง. เชียงใหม่: ธาราทองการพิมพ์, 2535. ประชุมพงศาวดาร เล่ม 10. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, 2507. หนังสือเทิง ต านาน พงศาวดาร ประวัติศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. เชียงราย : คณะกรรมการจัดท าหนังสือนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพพระ ครูนิวิษฐ์สัทธาคุณ (บุญเป็ง ฐิตสาโร) , 2543. วิทยานิพนธ์ ณกานต์ อนุกูลวรรธกะ. “กระบวนการรื้อฟื้นส านึกทางประวัติศาสตร์และการ จัดตั้งวัฒนธรรมไทยลื้อชุมชนเชียงค า จังหวัดพะเยา ช่วงทศวรรษ 2520-2550.” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์


74 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2554. นิชธิมา บุญเฉลียว. “ความทรงจ าร่วมของคนลื้อพลัดถิ่นกับประเพณีประดิษฐ กรรม.” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2552. บริพัตร อินปาต๊ะ. “การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329- 2442.” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, 2560. ปราโมทย์ ภักดีณรงค์. “การเมืองของสุนทรียภาพผ้าซิ่นตีนจกกับกระบวนการ รื้อฟื้นวัฒนธรรมแม่แจ่ม.” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2547. ปวีณา ป้องกัน. “การเมืองเรื่องพื้นที่และการสร้างตัวตนของสายตระกูลอดีต เจ้านายเมืองอุบลราชธานี.” วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชา สังคมศาสตร์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2552. วศิน ปัญญาวุธตระกูล. “การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในล้านนา กับการก่อตัว ของส านึกท้องถิ่น พ.ศ. 2459-2480.” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2542. สัมภาษณ์ สัมภาษณ์ ก ่า มหาวงศนันท์. ชาวบ้านเวียง อายุ 60 ปี. 4 กันยายน 2564, 4 ธันวาคม 2565. สัมภาษณ์ จก สุยะราช. ชาวบ้านเวียง อายุ 86 ปี. 9 กันยนยน 2564. สัมภาษณ์ บานเชย เมืองมูล. ชาวบ้านเวียง อายุ 91 ปี. 8 กันยายน 2564. สัมภาษณ์ บรรเลง สืบจากศิลป์. ชาวบ้านเวียง อายุ 76 ปี. 7 กันยายน 2564.


75 สัมภาษณ์ ไพฑูรณ์ เจียตระกูล. อายุ 75 ปี ผู้เก็บต้นฉบับเอกสารสาแหรกต้น ตระกูลวงศ์วุฒิ. 23 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ เรวัตร จันทรธิการ. ชาวบ้านเวียง อายุ 66 ปี. 23 มกราคม 2565. สัมภาษณ์ สุรชา จันทร์สว่าง. ชาวบ้านเวียง อายุ 60 ปี. 16 ธันวาคม 2564. สัมภาษณ์ สุริยนต์ สุเดชมารค. ผู้น ากล่าวในพิธีเลี้ยงเจ้าหลวงเทิง อายุ 71. 9 กันยายน 2564. ออนไลน์ เจริญ เจริญชัย. เรือง เจริญชัย. เข้าถึงเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2565. เข้าถึงได้จาก https://drcharoen.wordpress.com/ruangcharoenchai/.


76 ขอให้ชีวิตคุณพ่อเป็น ‘Memento Mori’ (เมเมนโต โมรี) แปลว่า ‘เครื่องระลึกถึงความตาย’ ในภาษาละติน


Click to View FlipBook Version