46
บทท่ี 4
อาณา ักรพชื (Plant Kingdom)
พชื เป็นส่ิงมีชวี ิตท่ีมกี ำเนดิ ขน้ึ มาแลว้ ไมต่ ำ่ กว่า 400 ล้านปี มหี ลักฐานหลายอยา่ งทีท่ ำให้เชอ่ื วา่
พชื มวี วิ ัฒนาการมาจากสาหร่ายสีเขียว กลุ่ม Charophytes โดยมกี ารปรบั ตัวจากสภาพที่เคยอยู่ในนำ้
ขึน้ มาอยบู่ นบก ด้วยการสร้างคุณสมบตั ิตา่ ง ท่เี หมาะสมขึน้ มาเชน่ มกี ารสร้าง ควิ ตนิ (cutin)ข้ึนมา
ขึ้นมาปกคลุมผิวของลำต้นและใบเรยี กว่า คิวทเิ คลิ (cuticle) เพื่อป้องกันการสูญเสยี นำ้ และการเกดิ
สโทมาตา (stomata) เพ่ือทำหนา้ ท่รี ะบายนำ้ และแลกเปลยี่ นก๊าซ รงควัตถหุ ลักท่ีพบได้ในเซลล์พชื
จะเหมือนกบั พบในเซลล์ของสาหร่ายสีเขียว ได้แก่ คลอโรฟลิ ล์ เอ คลอโรฟิลล์ บี และแคโรทีนอยด์
วงชีวติ (life cycle) ของพืช
พืชมวี งชีวติ แบบสลบั (Alternation of Generation) ประกอบด้วยชว่ งชวี ติ ทเ่ี ป็น
สปอโรไฟต์ (sporophyte generation) ทำหน้าที่สรา้ งสปอร์ (spore) สลับกับชว่ งชีวติ ท่เี ป็น
แกมีโทไฟต์(gametophyte generation) ทำหน้าท่สี ร้างแกมมที (gamete) ได้แก่
เซลล์สบื พนั ธ์ุเพศผู้หรอื สเปริ ์ม(sperm) และเซลลส์ ืบพันธเุ์ พศเมยี หรอื ไข่ (egg)
ซึง่ จะมารวมกันเพือ่ ให้ไดเ้ ป็นเซลล์ใหมค่ อื ไซโกต (zygote)
ภาพที่ 4-1 วงชวี ติ ของพชื
47
อาณาจกั รพชื แบง่ เป็น 2 กลุม่ …….. ง ี
1. พืชไมม่ ีท่อลำเลียง ได้แก่ Division Bryophyta มีลักษณะสำคญั คือ ไม่มีระบบทอ่ ลำเลยี ง
น้ำและอาหาร ไม่มีราก ไมม่ ีลำต้นและใบทแ่ี ทจ้ ริง มีไรซอยด์ (Rhizoid) ทำหน้าท่ีแทนราก มกี าร
สืบพนั ธ์ุแบบสลบั sporophyte (2n = Diploid) อาศัยบน Gametophyte (n = haploid)
ตลอดชีวิต แบง่ เป็น 3 คลาส เรียงวิวฒั นาการจากต่ำสดุ ไปสูงสุด ดังนี้
1.1 Class Bryopsida ได้แก่ มอส (Moss) และขา้ วตอกฤาษี
1.2 Class Anthooeropsida ได้แก่ ฮอร์นเวิร์ด (Honwort) ภายในเซลล์มีหยดนำ้ มนั
1.3 Class Hepaticopsida ได้แก่ ลเิ วอร์เวิรต์ (Livewors)
2. พืชทม่ี ีท่อลำเลยี ง ได้แก่ Division Psilophyta Division Lycophyta Division
Sphenophyta Division Pterophyta Division Coniferophyta Division Cycadophyta
Division Ginkophyta Division Gnetophyta Division Anthophyta
ดวิ ชิ ั่นพชื
อาณาจกั รพืช แบ่งเปน็ 10 ดวิ ิชน่ั ดงั น้ี
1. ดวิ ิช่ัน ไบรโอไฟตา (Division Bryophyta) พืชท่ไี ม่มีระบบท่อลำเลยี ง ไม่มีราก
ไม่มลี ำตน้ และใบที่แท้จรงิ มขี นาดเล็ก มีไรซอยด์ (Rhizoid) แทนราก ได้แก่ มอส ลเิ วอรเ์ วิร์ต
ฮอร์นเวิร์ด และข้าวตอกฤาษี (Sphagnum moss)
ภาพที่ 4-2 ไบรโอไฟตา
48
มอส
สืบพนั ธแ์ุ บบ
ไมอ่ าศยั เพศ ไดอ้ ย่างไร
รหู้ รือไม่....?
....
มอส
มอส บางชนิด มโี ครงสร้างเรียกวา่ หนอ่ (gemmae) สรา้ งจากใบหรือก่ิงจะเจริญไปเป็นต้นใหม่
โดยไมต่ ้องปฏิสนธิ เป็นการสบื พนั ธุ์แบบไม่อาศยั เพศ และยังพบว่า มอส มีช่วงสปอร์โรไฟต์ (2n)
อาศยั อย่บู นแกมีโทไฟต์ (n)
2. ดิวิช่นั ฟิโลไฟตา (Division Psilophyta) พชื ทมี่ ีทอ่ ลำเลียงชนั้ ต่ำสุด ไมม่ เี มล็ด
ไมม่ ใี บและรากท่ีแท้จริง มไี รซอยด์ (Rhizoid) แทนราก มีการสืบพันธแ์ุ บบสลบั มีลำตน้ ใตด้ นิ
(Rhizome) สว่ นลำตน้ ทอ่ี ยเู่ หนือพื้นดิน (acrial stem) มสี เี ขียวทำหน้าที่สังเคราะหแ์ สง
ต้นทเ่ี ห็นเป็นชว่ งสปอโรไฟต์ มีอับสปอรท์ ่กี ิง่ ได้แก่ หวายทะนอย (Psilotum)
ภาพที่ 4-3 ฟโิ ลไฟตา
49
3. ดวิ ชิ น่ั ไลโคไฟตา (Division Lycophyta) พืชที่มที ่อลำเลียง ไมม่ ีเมล็ด มรี าก ลำตน้
และใบแท้จริง แตย่ ังมีใบขนาดเลก็ ลำต้นเลอ้ื ย (Eplphyte) ลำตน้ แตกเปน็ 2 แฉก ใบเป็นแบบ
Microphyll (มเี ส้นใบเส้นเดียว) เรยี งตัวเปน็ เกลยี วรอบกิ่งหรอื ลำต้น สปอรม์ ี 2 แบบคือ เมกะสปอร์
(megaspore) มีขนาดใหญ่เจริญเป็นแกมโี ตไฟตเ์ พศเมยี ส่วน ไมโครสปอร์ (microspore) มีขนาดเลก็
เจรญิ เป็นแกมีโตไฟต์เพศผู้ ไดแ้ ก่ ชอ้ งนางคล่ี (Lycopodium) ตีนตุ๊กแก (Sellaginella) หางสิงห์
สามรอ้ ยยอด กระเทยี มนำ้
ภาพที่ 4-4 ไลโคไฟตา
4. ดิวชิ ั่น สฟีโนไฟตา (Division Sphenophyta) พชื ทม่ี ที อ่ ลำเลียง ไม่มีเมล็ด มรี ากและ
ใบทแ่ี ทจ้ ริง ลำต้นลักษณะเปน็ ข้อและปลอ้ ง ลำตน้ กลวง มีซิลิกาเคลือบผวิ ลำตน้ ใบมลี ักษณะเป็น
เกล็ดเล็ก เรยี งเปน็ วงรอบข้อ (Whorled) สปอร์โรไฟตม์ ีขนาดใหญ่ ปลายลำต้นทีเ่ จรญิ เตม็ ท่ีจะมี
กลมุ่ อวยั วะทำหน้าทีส่ ร้างสปอร์รวมกนั อยเู่ ปน็ กลมุ่ เรยี กว่ามีสโตรบลิ ลัส (Strobilus) ทป่ี ลายยอด
มกี ารสบื พนั ธ์แุ บบสลบั แกมโี ตไฟต์มีขนาดเลก็ เจรญิ อยใู่ ต้ดิน สปอร์โรไฟต์มขี นาดใหญท่ ีส่ ่วน
ปลายยอด ไดแ้ ก่ สนหางมา้ หรือหญ้าถอดปล้อง (Equisetum)
ภาพท่ี 4-5 หญา้ ถอดปล้อง
50
5. ดวิ ชิ น่ั เทอโรไฟตา (Division Pterophyta) พืชท่ีมีท่อลำเลยี ง ไม่มดี อก ไมม่ เี มล็ด
มีลำต้นราก ใบเจรญิ ดี มีการสบื พันธ์ุแบบสลบั ที่มรี ะยะสปอโรไฟต์ (2n) และแกมีโทไฟต์ (n)
ทม่ี รี ปู รา่ งคลา้ ยรปู หวั ใจ ทำหน้าท่สี ร้างแกมมีท (Gamete) 2 ชนดิ คอื แอนเทอรเิ ดียม
(Antheridium) สรา้ งท่ีสร้างสเปริ ์มและอารค์ โี กเนยี ม (archeagonium) สรา้ งเซลล์ไข่ (Egg)
ใบประกอบ (Frond) เป็นส่วนสเี ขียวทใ่ี ช้ในการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ใบอ่อนปลายม้วน (crozier)
มีหลายชนิดแตกตา่ งกัน ไดแ้ ก่ เฟริ น์ (Fern) แหนแดง (Azolla) และจอกหหู นู (Salvinia)
ชายผ้าสดี า ขา้ หลวงหลงั ลาย แหนแดง จอกหูหนู ยา่ นลเิ ภา ผักแว่น ผักกดู
ภาพที่ 4-6 เทอโรไฟตา
ใบอ่อนของเฟิร์น
ตา่ งจากพชื ทว่ั ไป
อย่างไร…?
รหู้ รอื ไม่...?
เฟริ ์น
บอ่อนของเฟริ ์น จะมว้ นขดเข้าด้านในจากปลายใบเข้าหาโคนใบ คล้ายลานนาฬิกา และเมอื่ ใบแกเ่ ต็มที่บางใบจะ
ทำหน้าท่สี รา้ งอับสปอร์ทางด้านล่างของแผน่ ใบ นอกจากนี้ยงั พบวา่ เฟิรน์ ช่วงแกมโี ทไฟต์ จะมวี งชีวติ สน้ั กวา่ ชว่ ง
สปอรโ์ รไฟต์
51
6. ดิวชิ นั่ โคนเิ ฟอโรไฟตา (Division Coniferophyta) พชื มที ่อลำเลียง มเี มล็ดเปลือย
(Gymnosperm) ไมม่ ดี อก ส่วนใหญ่เป็นไมย้ ืนต้นขนาดใหญ่ มวี งชีวติ แบบสลบั ใบมขี นาดเล็ก
คล้ายเขม็ รวมกันเปน็ กลุ่ม มีโคน (Cone) สร้างสปอร์ โคนมี 2 แบบคือ โคนตวั เมยี (female cone)
สร้าง megaspore ซึ่งเจรญิ เป็น egg กับโคนตัวผู้ (male cone) สรา้ ง microspore ซึ่งเจรญิ เป็น
เกสรตวั ผู้ (pollen grain) มีเมลด็ ที่ไมม่ ผี นงั รังไขห่ ่อหุ้มจึงเรยี กว่า เมล็ดเปลือย (maked seed)
ได้แก่ พวกสน (Pinus) เช่น สนสองใบ สนสามใบ (สนเขา) สนฉัตร สนแผง
ภาพที่ 4-7 โคนเิ ฟอโรไฟตา
7. ดิวิชน่ั ไซแคโดไฟตา (Division Cycadophyta) พชื มที ่อลำเลียง มเี มลด็ เปลอื ย
(Gymnosperm) ไม่มีดอก ลำตน้ ใหญ่เตี้ย ลำต้นใต้ดินมีลกั ษณะเป็นหัว ใบขนาดใหญ่กระจกุ อยู่
บนยอดลำต้น รากเปน็ ระบบรากแกว้ และมรี ากแขนงขนาดเล็กออกจากรากแก้ว พืชกลมุ่ น้เี ป็น
ซากดกึ ดำบรรพท์ ี่มชี วี ิตเนือ่ งจากเกิดก่อนไดโนเสาร์ ใบมขี นาดใหญเ่ ป็นใบประกอบแบบขนนก
ชน้ั เดยี ว มกี ารสร้างโคนเพศผ้แู ละโคนเพศเมียแยกต้นกนั ปรงตน้ ตวั ผจู้ ะสรา้ งโคนตวั ผู้
(Staminate cone) สว่ นตน้ ปรงตัวเมียจะสร้างโคนตวั เมยี (Ovulate cone) การปฏิสนธิเป็น
การผสมครั้งเดยี ว ออวูลเจรญิ ไปเป็นเมล็ด ซง่ึ เป็นเมลด็ เปลือย จะงอกไดท้ ันทโี ดยไมต่ ้องมรี ะยะ
พักตัวได้แก่ ปรง (Cycad)
52
8. ดวิ ิช่นั กิงโกไฟตา (Division Ginkgophyta)
พชื มที อ่ ลำเลียง ไม่มดี อก มีเมลด็ เปลือย(Gymnosperm) ลำตน้ ขนาดใหญ่คล้ายพืชดอก
แผน่ ใบกว้างคลา้ ยพัดจีน ลำต้นสีนำ้ ตาล เม่ืออายุมากขึน้ จะเกิดการเจรญิ ขน้ั ท่ีสอง ใบเรียงตัวแบบสลบั
(alternate) ใบมีลักษณะเฉพาะคือเปน็ ร่องลกึ บริเวณกลางใบทำใหเ้ หน็ เป็นสองพู (two lobes) อย่าง
ชัดเจน ใบมีสีเขียวจะเปลยี่ นเป็นสที องในฤดูใบไม้รว่ งชอบข้ึนในเขตหนาว ต้นแป๊ะก๊วยท่ีพบทั่วไปเปน็ ตน้
สปอร์โรไฟต์ที่แยกเพศ ต้นผสู้ รา้ ง male cone ตน้ ตวั เมียสรา้ ง megasporangia เจรญิ เป็นเมล็ด ได้แก่
แปะก๊วย (Ginkgo biloba)
ภาพท่ี 4-9 กิงโกไฟตา
9. ดิวชิ ัน่ นีโทไฟตา (Division Gnetophyta)
พืชมที ่อลำเลยี ง มีเมลด็ เปลอื ย(Gymnosperm) มีลักษณะแตกตา่ งจากพืชเมลด็ เปลอื ย
กล่มุ อนื่ คือพบเวสเซลในท่อลำเลยี งนำ้ และมีลักษณะคลา้ ยพชื ดอกมาก คอื มีกลบี ดอก มใี บเล้ียง 2 ใบ
ใบเดี่ยวแผก่ วา้ ง มเี สน้ ใบเรียงตัวเป็นรา่ งแหคลา้ ยพชื ใบเลี้ยงคู่ แตเ่ มล็ดยงั ไม่มเี ปลือกหมุ้ จงึ จดั เปน็
Gymnosperm ทีม่ ีววิ ฒั นาการสูงสุด ส่วนใหญ่พบในเขตแหง้ แล้งหรอื ทะเลทราย พืชในกลุ่มนม้ี ที ั้ง
ไมพ้ ุ่ม ไม้เลอ้ื ย ใบเป็นใบเด่ียวตดิ กับลำตน้ แบบตรงขา้ มหรือเรยี งรอบข้อ เน้ือไม้มีการเจริญขนั้ ท่สี อง
และมีเวสเซล โดยท่ัวไปจะแยกเป็นต้นเพศผแู้ ละตน้ เพศเมยี มีการสร้างอวัยวะสร้างเซลล์สบื พนั ธ์ุ
เพศเมียบนชอ่ งสโตรบลิ ัสเพศเมยี และ สรา้ งเซลลส์ บื พันธ์ุเพศผู้สรา้ งบนชอ่ งสโตรบลิ ัสเพศผู้ ไดแ้ ก่
มะเม่ือย (Gnetum)
ภาพท่ี 4-10 มะเมื่อย
53
10. ดวิ ิชนั่ แอนโทไฟตา (Division Anthophyta)
พืชมดี อก ถือว่ามีววิ ฒั นาการสูงสดุ เมล็ดมรี ังไข่ (ovary) ห่อหมุ้ วงชีวิตแบบสลับ
Gametophyte อายสุ ้ัน มอี วยั วะสบื พันธุค์ อื ดอก (flower) หลังปฏสิ นธิ รังไขเ่ ปลย่ี นเปน็ ผล (fruit)
หอ่ หมุ้ ต้นออ่ น จงึ จัดเป็น เเองจโิ อสเปิรม์ (angiosperm) ท่อลำเลยี งน้ำหรือไซเลม ประกอบด้วยเซลล์
2 ชนิด คือ เทรคีด เละเวสเซลเมมเบอร์ มกี ารปฏสิ นธซิ อ้ (double fertilization) คือ การปฏิสนธิ
ของสเปริ ม์ นวิ เคลียสหนึ่งกับไข่ เกดิ ไซโกต (2n) เจริญเติบโตขึน้ เปน็ เอมบริโอ เเเละการปฏสิ นธขิ อง
สเปิร์มอกี หนงึ่ นวิ เครียส หนึง่ กบั โพลารน์ วิ คลีไอ 2 นวิ เคลยี สเกดิ เอนโดสเปริ ์ม (3n) ซ่งึ ทำหน้าทเ่ี ปน็
เน้อื เย่อื สะสมอาหาร หลังการปฏิสนธิโอวูลจะเจริญไปเปน็ เมลด็ รงั ไข่จะเจริญไปเป็นผล พบมากท่ีสดุ
ไดแ้ ก่ พืชดอก (Flowering plant) มี 2 คลาส ดงั นี้
1. Class Monocotyledones ไดแ้ ก่ พชื ใบเล้ียงเด่ยี ว
2. Class Dicotyledones ได้แก่ พชื ใบเลย้ี งคู่
ภาพที่ 4-11 พชื มีดอก
พชื ใบเลยี้ งคแู่ ละใบ 54
เลยี้ งเด่ยี วตา่ งกนั
อยา่ งไร…?
รหู้ รือไม่.....? ลี ง ี่
ลี งคู่ 1. มใี บเลยี้ ง 1 ใบ
2. เสน้ ใบเรยี งแบบขนาน
1. มใี บเลยี้ ง 2 ใบ 3. ใบเลี้ยงไม่ชูเหนือพ้ืนดนิ
2. เส้นใบเปน็ แบบรา่ งแห 4. ระบบรากฝอย
3. ใบเล้ียงชูเหนือพน้ื ดนิ 5. ระบบท่อลำเลยี งกระจดั กระจาย
4. ระบบรากแก้ว 6. กลบี เลี้ยง กลบี ดอกเกสรตัวผู้ 3
5. ระบบท่อลำเลยี งเปน็ วงรอบขอ้ 7. รากมีทอ่ ลำเลยี งน้ำและท่อลำเลียงอาหารมากว่า
6. กลบี เลี้ยง กลบี ดอกเกสรตัวผู้ 4-5
7. รากจะมที ่อลำเลียงน้ำและท่อลำเลียง 4 แฉก
8. ไมม่ ี Cambium และไม่มีการเจริญทางด้านขา้ ง
อาหาร 4 แฉก
8. มี Cambium และมีการเจรญิ ทางดา้ นข้าง
เม่อื เรยี นรจู้ น
เข้าใจดีแล้ว
มาลองฝึกทักษะ
กันเลย….
55
Guiz Yourself
คำชแี้ จง ให้นักเรียนทำเคร่ืองหมาย บอกลักษณะสำคัญของส่งิ มชี วี ติ ในอาณาจกั รพชื
โครงสร้าง / องค์ประกอบ มี ไม่มี
1. Prokaryotic cell
2. เยอ่ื หุ้มนวิ เคลียส
3. ออร์แกเนลล์ ท่มี เี ย่อื หุ้ม
4. ไรโบโซม
5. มี 1 เซลล์
6. มีมากกวา่ 1 เซลล์
7. ผนงั เซลล์
8. เซลลูโลส Cellulose
9. เพปทไิ ดโคเจน Peptidoglycan
10. คลอโรพลาสต์
ลองฝกึ ทกั ษะตอ่ ไป
ได้เลยค่ะ
56
ลบั สมอง (Brainstorm)
คำชีแ ง ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุม่ รว่ มกันจัดลำดับข้อความต่อไปน้ีใหส้ ัมพันธก์ นั
พชื ไมม่ ีทอ่ ลำเลยี ง พชื มีท่อลำเลยี งแต่ไม่มเี มลด็ พืชเมล็ดเปลอื ย พืชมดี อก
1. กุหลาบ 2. หญา้ ถอดปล้อง 3. มอส 4. สนสองใบ 5. ตนี ตแุ๊ ก
6. มะเม่อื ย 7. หวายทะนอย 8. ฮอร์นเวริ ์ด 9. เฟริ ์น 10. มะม่วง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………........
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
57
ประลองปญั ญา (Intelligence)
คำชีแ ง ใหน้ กั เรยี นในกลุ่มจับคู่กันแลว้ เปลี่ยนกนั ถามและตอบทลี ะข้อโดยใชต้ ัวเลือกต่อไปน้ี
1. sporophyte 2. gametophyte 3. Eucaryotic cell
4. Rhizoid 5. Rhizome 6. Fern
7. Cone 8. Strobilus 9. Gnetophyta
10. angiosperm 11. Ginkgophyta 12. Monocotyledones.
13. Gymnosperm
คาถาม
1) รปู แบบเซลล์ของพชื เปน็ กลุม่ ใด…………………………………………………………………………………………
2) ระยะของพชื ทีม่ จี ำนวนชดุ โครโมโซมเปน็ diploid (2n) คือ……………………………………………….
3) ช่วงวงชีวติ ทส่ี ัน้ กวา่ กว่าของเฟริ ์นคือระยะใด ……………………………………………………………………..
4) ลำต้นใตด้ นิ ของหวายทะนอย…………………………………………………………………………………………….
5) พืชเมลด็ เปลอื ยมีโครงสรา้ งใดทำหน้าท่ีสรา้ งสปอร์……………………………………………………………...
6) ทำหน้าที่แทนรากของพืชที่ไม่มีระบบท่อลำเลียง…………………………………………………………………
7) มใี บอ่อนมีลกั ษณะมว้ นปลายแบบลานนาฬิกาคือ……………………………..……..
8) โครงสรา้ งที่ทำหน้าท่ีสรา้ งสปอรข์ องหญา้ ถอดปล้อง………………………………………
9) เป็นพืชมที ่อลำเลยี ง เมล็ดเปลือย มลี ักษณะคลา้ ยพืชดอกแตไ่ ม่มีดอก………………
10) เมลด็ ไม่มผี นังรงั ไข่หอ่ หุ้ม หลังปฏิสนธิไขเ่ ป็นเมล็ด ไม่มีผล……………………………….
11) เปน็ พืชเมล็ดเปลือยที่พบเวสเซลในทอ่ ลำเลียงนำ้ ………………………………………
12) เมล็ดมรี งั ไขห่ ่อหุ้ม มดี อก หลังปฏสิ นธิ รงั ไข่เปลีย่ นเป็นผล………………………..
13) รากมที ่อลำเลียงนำ้ และอาหารมากกวา่ 4 แฉก………………………..………………..
58
บนั ทกองคค์ วามรู้
นักเรยี นร่วมกันสรปุ องค์ความรู้เรือ่ งอาณาจักรพืช ลงในบนั ทกึ องคค์ วามร้ตู ่อไปนี้
…………………………………………………………………………………………………………………………………..…..…..
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………
………………………………………………………………………………………………………………………………..….……..
…………………………………………………………………………………………………………………………………….…….
………………………………………………………………………………………………………………………………….……….
…………………………………………………………………………………………………………………………………….…….
…………………………………………………………………………………………………………………………………….…….
………………………………………………………………………………………………………………………………..…………
…………………………………………………………………………………………………...............................................
……………………………………………………………………………………………………………..……………..…………….
………………………………………………………………………………………………………………………….………..………
……………………………………………………………………………………………………………………….……………….…
………………………………………………………………………………………………………..…………………….………..…
……………………………………………………………………………………………………………………………….……….…
……………………………………………………………………………………………………………………………………….….
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………
………………………………………………………………………………………………………………………………..….……..
…………………………………………………………………………………………………………………………………….…….
………………………………………………………………………………………………………………………………….……….
…………………………………………………………………………………………………………………………………….…….
…………………………………………………………………………………………………………………………………….…….
………………………………………………………………………………………………………………………………..…………
…………………………………………………………………………………………………...............................................
……………………………………………………………………………………………………………..……………..…………….
………………………………………………………………………………………………………………………….………..………
59
แ น าพความคิด
คำช้ีแจง ให้นักเรยี นรว่ มกนั เขียนแผนผังความคดิ เกีย่ วกบั อาณาจักรพืช ลงในกรอบความร้ตู ่อไปนี้
60
แบบฝึกทา้ ยบทที่ 4
คำชีแ ง ให้นักเรียนเลือกคำตอบทีถ่ กู ต้องท่ีสุดเพียงคำตอบเดยี ว
1. ข้อใดเรยี งลำดบั พืชตามหมวดหมู่ (อนกุ รมวธิ าน) จากตำ่ ไปสูงได้อยา่ งถูกต้อง
1) มอส 2) ปรง 3) เฟิร์น 4) หวายทะนอย 5) หญ้าถอดปล้อง
ก. 1, 4, 5, 3, 2 ข. 1, 2, 3, 4, 5 ค. 2, 3, 4, 5, 1 ง. 5, 4 , 3 ,2, 1
2. ขอ้ ใดจดั เปน็ พืชไม่มีระบบท่อลำเลียงทั้งหมด
ก. มอส เฟิรน์ ข. ลเิ วอรเ์ วริ ์ต ฮอรน์ เวิรด์ ค. ขา้ วตอกฤาษี แหนแดง ง. ฮอร์นเวิร์ด ผักกูด
3. เหตุผลใดที่ไม่สนับสนุนให้ มะเม่อื ย เป็นพืชเมล็ดเปลอื ยท่ีมีวิวฒั นาการสูงสุด
ก. มกี ลบี ดอก ข. มเี สน้ ใบ ค. เมลด็ มเี ปลอื กหุ้ม ง. มีใบเลยี้ ง
4. พชื ชนิดใดเปน็ Gymnosperm ทเ่ี ป็นซากดึกดำบรรพท์ ่ีมชี ีวิต
ก. สนสองใบ ข. มะเมื่อย ค. แปะกว๊ ย ง. ปรง
5. จากข้อ 4 การเกดิ Progeny virus (การประกอบรา่ ง) จะเกิดข้ึนในระยะใด
ก. 2 ข. 3 ค. 4 ง. 5
6. โครงสรา้ งใดตอ่ ไปน้ีไม่เก่ยี วข้องกบั การสรา้ งเซลล์สบื พันธ์ุของพชื
ก. สโตรบลิ ลสั ข. โคน ค. แกมีโทไฟต์ ง. ไมโครฟลิ ล์
7. จากภาพ เป็นลักษณะของเฟริ ์นในชว่ งใด
ก. สปอรโ์ รไฟต์ ข. แกมีโทไฟต์ ค. จมิ โนสเปริ ์ม ง. แองจิโอสเปริ ม์
8. พืชใดอยู่ในกลุม่ ไม่ไมด้ อกทั้งหมด
ก. สร้อยสกุ รม แหน ผักแว่น ข. สาหร่ายหางกระรอก สาหรา่ ยขา้ วเหนยี ว ตะไคร้
ค. ชายผา้ สดี า กระเขา้ สดี า พลู ง. หญา้ รงั ไก่ หญ้าถอดปล้อง หญา้ แพรก
9. พชื กล่มุ ใดมชี ่วงสปอรโ์ รไฟต์อยบู่ นแกมีโตไฟต์ตลอดชวี ติ
ก. มอส ข. เฟริ ์น ค. หญา้ ถอดปล้อง ง. กุหลาบ
10. ถา้ นกั เรียนสงสัยวา่ พชื ต้นหนึ่งเป็นเฟิรน์ หรอื ไม่ ใหส้ ังเกตได้จากลกั ษณะใดต่อไปน้ี
ก. ดอกมหี ลายสี ข. สรา้ งโคน(cone) ค. ใบอ่อนม้วนแบบลานนาฬิกา ง. ลำตน้ เป็นข้อปล้อง
61
แหลง่ ขอมลู
https://www.google.com/search?q=
https://sites.google.com/site/kingdomplantaetaky/
https://th.wikipedia.org/wiki/เฟิรน์
https://sites.google.com/site/gfopjrtigdioitwoirnlkfgoi/xanacakr-sing-
https://www.google.com/search?q=ภาพมอส+การแตกหน่อ&tbm
https://sites.google.com/site/plantandfuntion/phuch-mi-thx-laleiyng-vascular/seedless
เรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาด
นำไปแก้ไขในครัง้ ต่อไป สู้
62
บทที่ 5
อาณา กั รสตั ว์ (Kingdom Animalia)
สตั วเ์ ปน็ สงิ่ มชี ีวิตหลายเซลล์ ประกอบดว้ ยเซลลย์ ูคารโิ อต ซง่ึ จำแนกเป็นไฟลัม ใช้ลกั ษณะ
สำคญั คือจำนวนชนั้ ของเนื้อเยอื่ ช่องภายในตวั ปลอ้ งขา ลำตัว ชนดิ ของท่อทางเดินอาหาร สมมาตร
ของลำตัว ชนดิ ของระบบไหลเวยี น และการพฒั นาของระบบประสาท ซึ่งแบ่งเปน็ 9 ไฟลัม ดงั น้ี
1. ไฟลมั พอรเิ ฟอรา (Phylum Porifera)
2. ไฟลมั ซีเลนเทอราตา (Phylun Coelenterata)
3. ไฟลมั แพลทิเฮลมินทีส (Phylum Platyhelminthes)
4. ไฟลมั เนมาโทดา (Nematoda)
5. ไฟลัมแอนเนลดิ า (Phylum Annelida)
6. ไฟลัมมอลลสั กา (Phylum Mollusca)
7. ไฟลมั อารโ์ ทรโพดา (Phylum Arthropoda)
8. ไฟลัมอไี คโนเดอร์มาตา (Phylum Echinodermata)
9. ไฟลมั คอรด์ าตา (Phylum Chordata)
1. ไฟลมั พอรเิ ฟอรา (Phylum Porifera)
สัตวท์ ี่ลำตัวเป็นรพู รุน ได้แก่ ฟองนำ้ เป็นสตั วห์ ลายเซลล์ มีสมมาตรแบบรศั มหี รอื ไมม่ สี มมาตร
ไมม่ เี น้ือเย่ือแทจ้ รงิ (Parazoa) ไมม่ รี ะบบไหลเวยี นเลือด ลำตวั เป็นรพู รนุ มชี ่องน้ำเข้าและชอ่ งนำ้ ออก
มโี ครงรา่ งแข็งค้ำจุน เรยี กวา่ สปิคลุ (Spicule) ทเ่ี ป็นหนิ หรือแก้ว เชน่ ฟองนำ้ แก้ว และ บางชนิดมีเส้น
ใยโปรตีนนุ่มเรียกว่า สปองจ้ิน (Spongin) เชน่ ฟองน้ำถตู วั
ภาพที่ 5-1 ฟองนำ้
63
2. ไฟลัมซีเลนเทอราตา (Phylum Coelenterata)
ไดแ้ ก่ แมงกะพรุน ดอกไมท้ ะเล ปะการัง กลั ปังหา และไฮดรา
เปน็ สัตวท์ ี่มีเนือเยื่อสองชัน มีสมมาตรแบบรศั มี (radial symmetry) มีท่อทางเดินอาหาร
แต่ไม่มชี ่องตวั ไมม่ รี ะบบหายใจ ระบบหมนุ เวียนเลือด มีเซลลไ์ นโดไซต์ (cnidocyte) สรา้ งเข็มพษิ
(nematocyst) แบ่งเปน็ 3 คลาส (Class) ดงั นี้
1. คลาสไฮโดรชวั (Class Hydrozoa) ได้แก่ ไฮดรา (Hydra) แมงกะพรุนไฟ (Physalia)
ลาต กลวงมีช่องเปดิ ชอ่ งเดยี วเรียกว่า แกสโทรวาสคูลา เควิต้ี (gastrovascula cavity) ทำหน้าทเ่ี ป็น
ทางเดนิ อาหารเขา้ เเละกากอาหารออกทางช่องเปิดเดียวกัน มหี นวดอยู่รอบปากเรยี กวา่ เทนทาเคลิ
(tentacle) ใชส้ ำหรับจับเหยือ่ หนวดมเี ขม็ สำหรับต่อยเรียกวา่ นมี าโทไซต์ (nematocyst)
มวี งจรชีพสลบั สืบพนั ธแุ์ บบไม่อาศยั เพศ โดยการแตกหน่อ มี 2 เพศในตัวเดยี วกนั
ภาพ 5-2 ไฮดรา
2. คลาสไซโฟซัว (Class Scyphozoa) ได้แก่ แมงกะพรุนหนัง (Aurelia) แมงกะพรนุ ไฟ
(Chironex) ร่างกายประกอบด้วย เน้อื เยือ่ 2 ชัน้ คือ Epidermis เเละ Gastrodermis ระหว่างชั้น
เนอื้ เย่อื มีสารคล้ายวนุ้ เรียกว่า มีโซเกลยี (Mesoglea) เเทรกอย่รู ะหวา่ งเน้ือเย่ือชนั้ นอกกบั เน้ือเยื่อ
ชัน้ ในเคล่อื นท่ีโดยการหดตวั ของเน้อื เยอ่ื ขอบกระดิง่ ในทิศทางตรงข้ามกบั ทิศทางนำ้ พน่ ออกด้านล่าง
ของลำตัว
ภาพท่ี 5-3 แมงกะพรุน
64
3. คลาสแอนโทซัว (Class Anthozoa) ได้แก่ ปะการงั (coral) ปะการังเขากวาง (Acrepora)
กลั ปังหา (sea fan)
ภาพที่ 5-4 ซีเลนเทอราตา
3. ไฟลมั แพลทเิ ฮลมินทิส (Phylum Platyhelminthes)
ได้แก่ พยาธิใบไม้ พยาธิตวั ตืดและพลานาเรยี
- มีสมมาตรเปน็ แบบครงึ่ ซีก (Bilateral symmetry)
- ไม่มีชอ่ งวา่ งในลำตวั (Acoelomate animal)
มีเนอื้ เยื่อ 3 ช้ัน เนื่องจากเน้ือเยือ่ ชน้ั กลาง
มีเน้ือเย่ือหยนุ่ บรรจอุ ยเู่ ต็มไปหมด
- ไมม่ ีระบบหมุนเวียนโลหิต ไม่มเี สน้ เลอื ด ไม่มีหวั ใจ
สารอาหารไปเล้ยี งเซลล์โดยการแพรจ่ าก
ทางเดินอาหารเขา้ สเู่ ซลล์โดยตรง
- มีระบบทางเดินอาหารเปน็ แบบไมส่ มบรู ณ์
มีปากแตไ่ ม่มีทวารหนัก และในพวกพยาธิตัวตืดไมม่ ีทางเดนิ อาหาร
- มีระบบประสาทอยู่ทางด้านหน้าและแตกแขนงออกไปทางดา้ นข้างของลำตวั
- มีท้ังสองเพศในตวั เดียวกนั สามารถผสมพนั ธุ์ไดภ้ ายในตัวเอง (Self fertilization)
และผสมพันธ์ขุ า้ มตัว (Cross fretilization)
ภาพที่ 5-6 แพลทิเฮลมนิ ทิส
65
4. ไฟลัมนมี าโทดา (Phylum Nemetoda)
ได้แก่ พยาธิตวั กลมต่าง เชน่ พยาธิไส้เดอื น
ไส้เดือนฝอยและหนอนในนำ้ ส้มสายชู
- ลำตวั กลมยาวหัวท้ายเเหลม ไม่มีรยางค์
- มเี ปลอื กเปน็ ควิ ตเิ คลิ หนาปกคลุม
- สมมาตรคร่ึงซีก (Bilateral symmetry)
- มที างเดินอาหารสมบูรณ์ มีทัง้ ปากเเละทวารหนกั
- มเี นื้อเย่ือ 3 ชน้ั
- มชี อ่ งลำตัวเทยี ม (pseudocoelom) อยู่ระหว่าง
มโี ซเดริ ม์ เเละเอนโดเดริ ม์ ซึง่ มขี องเหลวอย่เู ตม็
- ระบบประสาท เปน็ วงเเหวนรอบคอ
ตอ่ กบั เส้นประสาทท่ยี าวตลอดลำตัว
- ไม่มรี ะบบไหลเวยี นเลือด เเละ ไมม่ รี ะบบหายใจ
- การสืบพันธเุ์ เบบอาศัยเพศ มตี ัวผูต้ ัวเมยี คนละตวั กัน ไข่มสี ารไคตนิ หุม้ จึงทนทานต่อสภาพเเวดลอ้ ม
ภาพท่ี 5-8 นีมาโทดา
ได้แก่ ไสเ้ ดือนดิน แม่เพรียง ทากดูดเลือด และปลิงน้ำจืด มี 3 คลาส ดงั นี้
1. คลาสโพลีคีตา (Class Polychaeta) ได้แก่ แมเ่ พรยี ง (Nereis) หนอนฉตั ร (tube worm)
2. คลาสโอลโิ กคีตา (Class Oligochaeta) ได้แก่ ไสเ้ ดือนดิน (Pheretima)
3. คลาสไฮรดู ิเนยี (Class Hirudinea) ได้แก่ ปลงิ (leech) ทากดูดเลือด (landleech)
- มลี ำตวั กลมยาวเปน็ ปลอ้ ง มองเห็นภายนอกเปน็ วงเเละภายในมีเนอื้ เยื่อกน้ั ระหวา่ งปลอ้ ง
เรียกว่า เซปตา (septa) มีสมมาตรครงึ่ ซีก มเี น้ือเยื่อ 3 ช้ัน มชี ่องลำตวั เเท้จรงิ (coelom)
- เเต่ละปล้องมเี ดือย (saeta) 4 คู่ เนฟรเิ ดยี ม (อวยั วะขบั ถ่าย) 1 คู่ เสน้ ประสาท 3 คู่ ทางเดนิ
อาหารเเละช่องลำตัวส่วนหนง่ึ ยกเวน้ ปล้อง
- มรี ะบบไหลเวียนเลอื ดแบบปิดเเละระบบหายใจ ระบบประสาท มีปมสมองที่หวั 1 คู่ และ
เสน้ ประสาทใหญ่ดา้ นท้อง
66
ภาพที่ 5-9 โครงสร้างของไส อ ิ
ภาพท่ี 5-10 แอนนิลิดา
6. ไฟลัมอารโทรโปดา (Phylum Arthropoda)
มจี ำนวนชนิดมากที่สุดในอาณาจักรสัตว์ ได้แก่ ก้งุ
กั้ง ปู แมลง เหบ็ ไร ตะขาบ กิง้ กือ แมงมุม แมงดานา แมงดาทะเล
- มลี ำตวั เป็นปล้องและมรี ยางคเ์ ป็นข้อ ต่อกัน (jointed appendage) ย่ืนออกมาจาก
แต่ละปล้องของลำตัว มสี มมาตรครึง่ ซีก
มีชอ่ งตัวแทจ้ ริง มเี นอ้ื เย่ือสามชั้น
- มีโครงรา่ งภายนอก (Exoskeleton)
เปน็ สารจำพวกไคทิน(Chitin)
แขง็ หุ้มรอบตวั หลายชนิดจงึ ตอ้ ง
มีการลอกคราบ (Molting) ทางเดินอาหาร
เป็นแบบสมบูรณ์ มปี ากและทวารหนัก
- ระบบหมนุ เวยี นโลหิตเป็นระบบเปิด
โดยเลือดเม่ือออกจากหัว เทียม (Pseudoheart)
แล้วจะไหลไปตามเสน้ เลอื ด ต่อจากนน้ั จะไหลเข้าสู่ ภาพที่ 5-11 โครงสร้างของแมลง
สชู่ ่องวา่ งในลำตัว (Hemocoel) แล้วไหลกลับเข้าสู่หวั ใจอีก
67
- มีการแบ่งสดั ส่วนของรา่ งกายเปน็ ขอ้ ปล้องชัดเจน 3 ส่วน คอื หวั (Head) อก (Thorax)
และทอ้ ง (Abdomen)
- บางชนิดเลอื ดเปน็ สีฟา้ อ่อนหรอื ไม่มีสเี นื่องจากมสี ารเฮโมไซยานนิ (Hemocyanin)
- แมลงมี มลั พเี กียน ทูบูล (Malpighain tuble) เปน็ ท่อที่ทางเดินอาหารเปน็ อวยั วะขบั ถ่าย
กงุ้ มกี รีนแกลนด์ หรอื ต่อมเขียว (Green gland) ทโ่ี คนหนวดทำหน้าท่ีขบั ถ่าย
- พวกก้งุ ปู หายใจดว้ ยเหงือก (Gill) พวกแมลงหายใจได้ด้วยระบบท่อลม (Tracheal system)
ทแี่ ทรกอยทู่ ัง้ ตวั แมงมุมหายใจด้วยบคุ ลัง (Book lung) ทบ่ี ริเวณสว่ นท้อง
ห
คุ ลง กรี
ตอ่ ม ขี
สัตวใ์ นไฟลัมนีส้ ามารถแบ่งออกได้เปน็ 6 Class ไดแ้ ก่
1. Class Crustacea ส่วนมากจะอยใู่ นน้ำ มีตาประกอบ มหี นวด 2 คู่ มขี า 5 คู่ หรอื มากกวา่
มีรยางคเ์ ป็น 2 แขนง สว่ นของหวั เชอื่ มกับสว่ นอก (Cephalothorax) มีส่วนท้องเรยี ก แอบโดเมน
(Abdomen) สว่ นมากหายใจด้วยเหงือก มีอวยั วะขบั ถ่ายคือ ตอ่ มเขียว (Green gland)
สัตวใ์ นคลาสนี้ เช่น กุ้งน้ำจดื กุง้ ทะเล ปู กงั้ ไรนำ้
2. Class Merostoma มีสว่ นของหวั เชอ่ื มกับส่วนอก (Cephalothorax) มีขา 5 คู่ ไมม่ ีหนวด
ได้แก่ แมงดาทะเล แมงดาถ้วย แมงดาจาน
3. Class Archnida ส่วนมากจะอยูบ่ นบก สตั ว์ในคลาสนีไ้ ม่มหี นวด มขี า4 คู่ สว่ นของหัว
เชือ่ มกบั สว่ นอก (Cephalothorax) และส่วนท้องแอบโดเมน (Abdomen) แยกออกหายใจทาง
ชอ่ งลม (Trachea)หรือแ งปอด (Book lung) หรอื ทง้ั สองอย่าง สัตว์ในคลาสนี้แยกเพศกนั ได้แก่
แมงมุม แมงปอ่ ง บงึ้ เหบ็
4. Class Insecta เป็นคลาสทมี่ ีจำนวนชนดิ มากทส่ี ดุ ประมาณ 1 ล้าน 5 แสนชนดิ ได้แก่
พวกแมลงต่าง สตั วใ์ นคลาสน้ีมีหนวด 1 คู่ มขี า 3 คู่ ไมม่ ีปีกหรอื มีปีก 1-2 คู่ มตี าประกอบ
มีสว่ นของลำตัวแยกออกชดั เจนเป็น 3 สว่ น มที ่อลมเปน็ อวัยวะหายใจ มที ่อมัลฟเี กยี น
(Mulpigian tubules) ไวข้ ับถา่ ย มกี ารเจรญิ เติบโตของตัวอ่อนเป็น 4 แบบ ไดแ้ ก่ ตวั สามงา่ ม
ยุง แมลงวนั ผเี สอื้ แมลงปอ แมลงสาบปลวก มด จิ้งหรดี ตัก๊ แตน แมงดานา
68
5. Class Diplopoda สัตว์ในคลาสนเี้ รยี กวา่ มลิ ลิบิด มีขาจำนวนมาก
ลำตวั คอ่ นขา้ งกลมยาว ประกอบด้วยสว่ นหัว สว่ นอกส้นั มปี ล้องจำนวนมาก ไมม่ ตี อ่ มพิษ
มีหนวด 1 คู่ มีขาปล้องละ 2 คู่ มตี าเด่ยี ว ได้แก่ ก้ิงกอื กระสนุ พระอินทร์
6. Class Chilopoda สตั ว์ในคลาสนเ้ี รียกว่า เซนติบิด มขี าจำนวนมาก
ประมาณปลอ้ งละ 1 คู่ ลำตวั ประกอบดว้ ยส่วนหัว และลำตวั ยาวของอกติดกับทอ้ ง
มปี ล้องจำนวนมาก และปล้องที่หัวมรี ยางค์ ท่มี ีพษิ อยู่ 1 คู่ มีหนวด 1 คู่ มตี าเดี่ยว เรยี กว่า
โอเซลลัส (Ocelles) หายใจทางทอ่ ลม ได้แก่ ตะขาบ
ภาพท่ี 5-13 อาร์โทรโพดา
ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด
แบบเปดิ และระบบหมนุ เวียน
เลือดแบบปดิ เป็นอย่างไร?
ร้หู รอื ไม่...? ระบบการไหลเวยี นเลือดแบบเปิด
(opend circulatory system)
...
พบในสัตว์ไม่มี กระดูกสนั หลังโดยเฉพาะไฟลัมอาร์โทรโพดา
ระบบเลอื ดแบบปิด และไฟลัมมอลลัสกา ระบบนี้เลือดจะไม่ไดอ้ ยู่ในเสน้ เลอื ด
(close circulatory system) ตลอดเวลาแตจ่ ะออกจากเส้นเลอื ดเขา้ สู่ช่องวา่ ง
ภายในลำตัวทีเ่ รยี กว่า ฮโี มซลี (hemocoel)
พบในสตั ว์มกี ระดูกสันหลงั ทุกชนิด ระบบนี้เลอื ด
จะไม่ไหลออกไปนอกหลอดเลือด ซ่ึงประกอบไป
ด้วยอาเทอรี่ เวนและหลอดเลือดฝอย
69
7. ไฟลัมมอลลัสกา (Phylum Mollusca)
สัตวท์ ีม่ ีลำตัวออ่ นนุ่ม ไดแ้ ก่ หมึก และหอยชนิดต่าง
- ลำตัวนิ่มมกั มีเปลอื กหุ้ม เนอื้ เยือ่ สามชัน้ มสี มมาตรครง่ึ ซกี มชี ่องตวั ลดรูปจนมีขนาดเล็ก
มีระบบไหลเวียนโลหติ แบบเปิด และระบบประสาท
- รา่ งกายจะแบ่งเป็น 3 สว่ นหลัก ไดแ้ ก่ 1) หวั และขา (head and foot) 2) visceral mass
3) ลำตวั (mantle, palium) เกดิ mantle cavity มีเหงอื กภายใน
- สัตวใ์ นไฟลมั นี้มลี ำตวั ออ่ นนุ่ม บางชนดิ อาจมเี ปลือกแข็งหุ้มลำตวั เปน็ CaCO3 เชน่ หอย
- แยกเพศผู้ เพศเมยี ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำทั้งนำ้ จืดและทะเล บางชนิดอาศัยอยบู่ นบก เช่นหอยทาก
- อวยั วะในการแลกเปลยี่ นแกส๊ ประกอบด้วย
1. เหงือก (gill) อยู่ภายในชอ่ งแมนเตลิ พบในมอลลัสท่ัวไป
2. ผวิ ตัวในทากทะเล (sea slug, nudibranch) ผวิ ตวั จะเปลีย่ นรูปไปเปน็ แขนงอยบู่ นลำตวั
เรียกว่า เซอราตา (cerata) หรือบางชนดิ มีอยู่รอบทวารหนัก (anal gill)
3. ชอ่ งแมนเทลิ หรือปอด หอยฝาเดยี วทข่ี ึน้ มาอยบู่ นบกจะมชี ่องแมนเทิลที่มผี นังยื่นลงมาก้ัน
เป็นหอ้ ง มีของเหลวหล่อเล้ยี งในช่องน้ีทำใหส้ ามารถแลกเปล่ยี นแกส๊ ได้
ภาพที่ 5-14 โครงสร้างของหอยและหมกึ
- คลาสแอมฟินิวรา (Class Amphineura) ไดแ้ ก่ ลนิ่ ทะเล (chiton)
- คลาสแกสโทโพดา (Class Gastropoda) ได้แก่ หอยกาบเดี่ยว (snail) หอยทาก (slug)
ทากทะเล (nudibranch)
ภาพท่ี 5-15 ลิ่นทะเล ทากทะเล
70
8. ไฟลัมเอไคโนเดอรมาตา (Phylum Echinoderm)
เป็นสัตวท์ ี่ผวิ หนังมหี นามขรุขระ ได้แก่ ดาวทะเล เม่นทะเล เหรียญทะเล ปลิงทะเล ดาวเปราะ
- สมมาตรรา่ งกาย ตวั อ่อนเป็นแบบคร่ึงซีก ตัวเต็มวยั มีเมตามอรโ์ ฟซิสกลายเปน็ สมมาตรเเบบรัศมี
- ลำตวั เเบ่งเปน็ 5 สว่ น หรือ ทวีคูณของ 5 ย่นื ออกมาจากเเผน่ กลมท่เี ปน็ ศูนย์กลาง เช่น เม่นทะเล
- มโี ครงรา่ งเเขง็ ภายใน มีเเผ่นหนิ ปนู เลก็ ยดึ ติดกันด้วยกลา้ มเน้ือหรือผวิ หนัง
- มเี สน้ ประสาทเปน็ วงเเหวนรอบปาก เเละเเยกเเขนงไปตามเเขน
- การเคลือ่ นไหวใช้ระบบท่อน้ำ (water vascula system) ภายในรา่ งกาย เชน่ ดาวทะเล
- การสืบพนั ธ์ุ แบง่ เปน็ เเบบอาศัยเพศโดยมีการปฎิสนธภิ ายนอก และ เเบบไมอ่ าศัยเพศบางชนดิ
เชน่ การขาดของเเขนใดเเขนหน่ึง สว่ นที่ขาดกจ็ ะเจริญไปเป็นตวั เต็ม เชน่ ดาวทะเล
ภาพท่ี 5-16 ไคโนเดอร์มาตา
9. ไฟลมั คอรดาตา (Phylum Chordata)
สตั วม์ ีกระดกู สนั หลัง มสี มมาตรคร่งึ ซกี มีช่องตวั แท้จรงิ
มรี ะบบตา่ ง พฒั นาสูงสุด
1. พวกไม่มีกระดูกสนั หลัง (Protochordata)
- ซับไฟลมั ยโู รคอรด์ าตา (Sub- phylum Urochordata) สตั วไ์ มม่ กี ระดูกสนั หลงั ตวั อ่อนมี
โนโตคอรด์ (Notochord) เมื่อโตเตม็ วยั จะหลดุ ไปไม่มโี นโตคอรด์ ได้แก่ เพรยี งหัวหอม
ภาพท่ี 5-17 หวั หอม
71
- ซับไฟลัมเซปพาโลคอร์ดาตา (Sub- phylum Cephalochordata) มีโนโตคอร์ด (Notochord)
ยาวตลอดตัวและตลอดชวี ิตเป็นสตั วม์ ีแกนสนั หลงั ท่ีมีรูปร่างหวั ท้ายแหลมฝงั ตวั ตามพ้นื ทรายในทะเล
ไมม่ ีสมอง ลำตวั เปน็ ปล้องชดั เจน กนิ อาหารโดยกรองจากน้ำ ไดแ้ ก่ แอมฟิออกซสั (Amphioxus)
ภาพที่ 5-18 แอมฟิออกซัส
2. พวกท่ีมกี ระดูกสันหลงั (Chordata)
เปน็ สัตว์ชั้นสูง มโี นโตคอร์ดในระยะเอมบริโอต่อมามีกระดูกสนั หลังมาแทนท่ี แบง่ เป็น 7 คลาส ดังน้ี
1. ปลาปากกลม (class Cyclostomata) ลำตัวยาวคล้ายปลาไหล ปากกลม ขอบบนของปาก
และปลายลิน้ มฟี ันเลก็ แหลมคมมากมาย ลำตวั นิม่ ไม่มีเกลด็ ไม่มขี ากรรไกร ไม่มีครบี คู่ (เป็นสัตวม์ ี
กระดกู สนั หลังประเภทเดียวท่ียังมโี นโตคอรด์ เหลืออยู่ขณะเปน็ ตัวเตม็ วยั )
ภาพที่ 5-19 ปลาปากกลม
2. ปลากระดูกอ่อน (class Chondricthyes) มกี ระดูกอ่อน มีทั้งครบี คู่และครบี เดย่ี ว ปากมักอยู่
ปลายสดุ ของร่างกาย มเี กลด็ เล็กคล้ายฟัน ผสมพันธ์ุกนั ภายในร่างกาย ออกลกู เปน็ ตัว ไดแ้ ก่ ปลาฉลาม
ปลากระเบน ปลากระตา่ ย ปลาฉนาก ปลาโรนนั
ฉลาม กร ฉ าก
ภาพที่ 5-20 ปลากระดูกอ่อน
72
3. ปลากระดูกแขง็ (class Osteicthyes) มชี ่องเหงือก มีแกม้ ปดิ ชอ่ งเหงือก มกี ระดกู แขง็
มีครบี เดยี ว ครีบคู่ มีเกลด็ ผสมพนั ธุภ์ ายนอกร่างกาย เช่น มา้ นำ้ ปลาดุก ปลาหมอ ปลาสวาย
ภาพท่ี 5-16 ปลากระดูกแขง็
ภาพที่ 5-17 โครงสร้างปลากระดูกแข็ง
4. สัตวค์ ร่ึงบกครึ่งนำ้ (class Amphibia) ผิวหนงั เปียกช้ืน ไมม่ เี กล็ด แต่มตี ่อมเมือก มี 4 ขา
เปน็ สัตว์เลอื กเยน็ หายใจด้วยปอดหรอื ผวิ หนัง ตัวอย่างเชน่ จงิ้ จกนำ้ (ซาลามานเดอร์) กบ งูดิน
เขียด อึ่งอ่าง คางคก
ซาลามานเดอร์ งูดิน อ่ึงอา่ ง
ภาพที่ 5-18 สัตวค์ รึง่ บกครง่ึ นำ้
73
5. สตั ว์เล้อื ยคลาน (class Reptilia) ผวิ หนังแห้ง มีเกลด็ ปกคลุมท่าวไป มีขา 2 คู่ (ยกเวน้ งู)
ผสมพันธุก์ ันภายในร่างกาย ออกลูกเป็นไข่ ตัวอยา่ งเช่น งู ตะพาบนำ้ ก้งิ ก่า เต่า ตะกวด
ภาพท่ี 5-18 สตั ว์เลื้อยคลาน
7. สตั ว์เลีย้ งลูกด้วยนำ้ นม (class Mammalia) เปน็ สตั วเ์ ลอื ดอ่นุ ตวั เมยี มีต่อมนำ้ นมไวเ้ ล้ียง
ลกู ออ่ นรา่ งกายมขี นปกคลมุ มีขา 2 คู่ (น้ิวข้างละ 5 นิว้ ) ลูกอ่อนเจรญิ ภายในตัวแม่ ไขม่ ขี นาดเล็กไม่มี
เปลือกหุม้ มีสายสะดอื กับรกตดิ ต่อกบั ผนังมดลกู เพ่ือรบั อากาศและอาหารจากแม่ ปัจจุบนั แบ่งเปน็
3 กล่มุ ใหญ่ ดังนี้
7.1 กลุ่มมอโนทรีม (Monotremes) เชน่ ตุน่ ปากเป็ดและตวั กนิ มดมหี นาม เป็นสตั วเ์ ลย้ี งลูก
ดว้ ยน้ำนมท่มี ีลักษณะโบราณ ตวั ออกลูกเปน็ ไข่ แตม่ ีขนและต่อมนำ้ นม ตวั อ่อนฝักออกจากไขแ่ ล้วจะเลีย
น้ำนมบริเวณหนา้ ท้องของแมก่ นิ
7.2 กล่มุ มาร์ซเู พยี ล (Marsupials) เช่น จง้ิ โจ้และโคอาลา สตั ว์กลมุ่ น้จี ะตั้งท้องในระยะเวลา
ทีส่ ั้นมาก ทำให้ลกู ออ่ นท่ีคลอดออกมามีขนาดเล็กและจะคลานเขา้ ไปในถุงหนา้ ท้องของแม่ซ่ึงภายในจะมี
ตอ่ มน้ำนมที่มีหวั นมสำหรับเลยี้ งลูกอ่อน ลูกจะอย่ใู นถุงหน้าท้องจนกวา่ จะเจรญิ เตบิ โตเต็มทจ่ี ึงจะออกจาก
ถุงหน้าทอ้ งของแม่
7.3 กลมุ่ ยูเทเรียน (Eutherians) เปน็ สัตวเ์ ล้ียงลกู ดว้ ยนำ้ นมทีม่ ีรก ตัวออ่ นจะมีการเจริญ
เติบโตท่ีสมบูรณ์ภายในมดลกู ของแม่และได้รบั สารอาหารจากแมผ่ ่านทากรก ได้แก่ สตั ว์เลีย้ งลูกด้วย
น้ำนมส่วนใหญ่ เชน่ ลิง คน วาฬ โลมา
ต่นุ ปากเป็ด จงิ โจ้ โคอาลา วาฬ
ภาพที่ 5-19 สตั วเ์ ลีย้ งลกู ด้วยนม
74
รูหรอไม.่ ..? ปลากระดูกอ่อน
และปลากระดูกแขง็
แตกต่างกนั อย่างไร
?
ปลากระดูกออ่ น ปลากระดูกแขง็
เหงอื กมีเยอ่ื ก้ัน มชี ่องเปดิ เหงือก 5-7 คู่ เหงือกไมม่ ีเยื่อกัน้ มชี ่องเปิดเหงือก 1 คู่
ไมม่ ีกระดูกปดิ เหงือก มกี ระดูกปิดเหงือก
เพศผมู้ เี ดือย 1 คู่ เพศผู้ไมม่ ีเดือย
ไมม่ ีกระเพาะลม ตับขนาดใหญ่ มกี ระเพาะลม มีปอด
มีทวารรว่ ม แยกช่องทวารกับชอ่ งสืบพนั ธ์ุ
เกล็ดเรียงเป็นแผน่ แบบพลาคอยด์ เกลด็ มีหลายแบบ บางชนดิ ไม่มเี กล็ด
สว่ นมากออกลูกเป็นตวั สว่ นมากออกลกู เป็นไข่
หางเป็นแบบเฮเทอโรเวอคอล หางเป็นแบบโฮโมเซอคอ
อยา่ เพ่งิ ท้อนะคะ
ใกลถ้ ึงเป้าหมายแลว้
คะ
75
Guiz Yourself
คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นทำเคร่ืองหมาย บอกลักษณะสำคัญของสิ่งมีชวี ติ ในอาณาจักรสัตว์
โครงสร้าง / องคป์ ระกอบ มี ไม่มี
1. Prokaryotic cell
2. เยือ่ หุม้ นิวเคลียส
3. ออร์แกเนลล์ ที่มีเยอื่ หุ้ม
4. ไรโบโซม
5. มี 1 เซลล์
6. มีมากกวา่ 1 เซลล์
7. ผนังเซลล์
8. เซลลูโลส Cellulose
9. เพปทไิ ดโคเจน Peptidoglycan
10. คลอโรพลาสต์
Go……
76
ลับสมอง (Brainstorm)
คำชีแ ง ให้นกั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกนั จดั ลำดับข้อความตอ่ ไปนี้ให้สมั พันธก์ นั
ไสเ้ ดือนดิน ไมม่ สี มมาตร ปะการงั สมมาตรแบบรศั มี
พยาธิตวั ตืด แมงดานา สมมาตรคร่งซกี ไส้เดอื นฝอย เนือเย่ือสองชัน หมก
เนือเยื่อสามชนั ปลิงทะเล ระบบหมนุ เวียนแบบเปดิ ฟองนำ
ระบบหมนุ เวียนเลือดแบบปิด ปลิงนำ ดื แมงดาทะเล
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
77
ประลองปญั ญา (Intelligence)
คำชแี ง ใหน้ ักเรยี นในกลมุ่ จบั คู่กันแลว้ เปลย่ี นกันถามและตอบทีละขอ้ โดยใชต้ ัวเลือกต่อไปนี้
1. Nemetoda 2. Arthropoda 3. Eucaryotic cell
4. gastrovascula cavity 5. Phylum Porifera 6. Mollusca
7. Echinoderm 8. Chondrichthyes 9. Class Mammalia
10. Spicule 11. Annilida 12. Amphioxus
13. Chordata
คาถาม
1) สัตว์ จัดเปน็ ส่ิงมีชวี ิตในกล่มุ ใด………………………………………………………………………………………..
2) ไม่มสี มมาตร ไมม่ เี น้ือเยอ่ื แทจ้ ริง ลำตัวพรนุ …………………………………………………………………….
3) โครงสร้างค้ำจุนรา่ งกายของฟองน้ำ…………………………………………………………………………………
4) ลำตัวกลวงมีช่องเปดิ ชอ่ งเดียวเป็นทางเขา้ ออกของอาหารและของเสีย………………………………..
5) ลำตวั กลม มสี มมาตรแบบคร่ึงซกี มีชอ่ งลำตวั ทียม……………………………………………………………
6) มรี ะบบไหลเวยี นเลอื ดแบบปิด มีลำตวั กลมยาวเปน็ ปล้อง มีชอ่ งลำตวั เเท้จริง………………………
7) มีลำตัวเป็นปลอ้ งและมรี ยางค์เปน็ ขอ้ ต่อกนั …..
8) ลำตัวอ่อนนมุ่ มีสมมาตรแบบคร่ึงซีก มรี ะบบหมนุ เวียนเลือดแบบเปดิ ……
9) ผวิ หนังมหี นามขรุขระ ตัวออ่ นเป็นเเบบคร่ึงซีก ตัวเตม็ วัยสมมาตรเเบบรศั ม…ี .
10) มกี ระดูกสันหลัง สมมาตรครึง่ ซกี ชอ่ งตวั แท้จริง ระบบต่าง พฒั นาสูงสุด……..
11) มโี นโตคอรด์ และไขสนั หลงั ตลอดชีวติ รปู ร่างหวั ทา้ ยแหลม…………………………..
12) สัตว์เลี้ยงลกู ด้วยน้ำนมจะมชี อ่ งเหงือกระยะตัวอ่อนเท่าน้นั …………………..
13) เหงือกมีเยอื่ ก้นั มีช่องเปิดเหงือก 5-7 ค…ู่ ………………………………………….
78
บนั ทกองคค์ วามรู้
นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั สรปุ องคค์ วามรู้เรอ่ื งอาณาจักรสตั ว์ ลงในบนั ทึกองคค์ วามรู้ต่อไปน้ี
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………
79
แ น งั ความคิด
คำชแี ง ให้นกั เรยี นร่วมกนั เขยี นแผนผงั ความคิด สรุปเกี่ยวกบั อาณาจักรสตั ว์ ลงในกรอบความรู้ต่อไปน้ี
80
แบบฝกึ ทา้ ยบทท่ี 5
คำชแี ง ให้นกั เรยี นเลอื กคำตอบท่ีถกู ต้องที่สดุ เพียงคำตอบเดยี ว
1. สตั ว์ไมม่ กี ระดูกสันหลงั พวกใดที่ขณะเป็นตวั อ่อนมีสมมาตรครึ่งซกี แต่เมอ่ื ใดเต็มวัยจะเปลี่ยนเปน็
สมมาตรรัศมี
ก. หมกึ ข. แมงกะพรนุ ค. ฟองน้ำ ง. ปลงิ ทะเล
2. สตั วใ์ นกลุ่มใดท่ีมสี มมาตรแบบรศั มี
ก. ดอกไมท้ ะเล แมงกะพรุน ข. ปะการงั ดาวทะเล ค. ไสเ้ ดอื นดนิ หมกึ ง. ซีแอนีโมนี หอย
3. สตั ว์พวกแรกที่มีระบบหมุนเวียนเลือดคือกลุ่มใด
ก. หอย ข. พยาธติ ัวตดื ค. ไส้เดอื นดิน ง. ไส้เดือนฝอย
4. สตั ว์ในข้อใดไม่มีเนื้อเยื่อแทจ้ รงิ
ก. ฟองนำ้ ข. พลานาเรีย ค. ไฮดรา ง. ทากดดู เลอื ด
5. สัตวช์ นิดใดอยใู่ นไฟลมั เดยี วกนั
ก. แมเ่ พรยี ง เพรียงทะเล ข. แมลงดานา แมงดาทะเล
ค. ปลิงน้ำจดื ปลิงทะเล ง. ไสเ้ ดอื นดิน ไสเ้ ดือนฝอย
6. ขอ้ ใดเป็นลักษณะใดสำคญั ท่ีสดุ ที่อารค์ ีออปเทอรกิ ซ์ (Archeopteryx) วา่ เป็นนก
ก. มีฟัน ปลายปกี มนี ว้ิ ข. มีขนเป็นแผงแบบนก
ค. มีปกี ใช้บินหรือร่อนได้ ง. ขามีเกลด็ เทา้ มีนิ้วและเล็บ
7. ขอ้ ใดไมใ่ ชล่ ักษณะของสง่ิ มชี ีวิตน้ี
ก. มีโนโตคอร์ดตลอดชวี ติ ข. ไม่มสี มอง ค. ลำตวั เป็นปล้อง ง. มสี มมาตรแบบครง่ึ ซีก
8. สตั วใ์ นขอ้ ใดต่อไปนีเ้ ปน็ Living Fossil
ก. ปูนา ต่อเสือ ข. แมงดานา แมงดาทะเล ค. แมลงสาบ แมงดาทะเล ง. กุ้ง กงิ้ กอื
9. อวยั วะใดไมเ่ กยี่ วข้องกับระบบขับถ่ายหรือการหายใจของสตั ว์
ก. เนฟรเิ ดียม ข. นมี าโทไซต์ ค. มัลพีเกยี น ทูบลู ง. ตอ่ มเขยี ว
10. นกั เรียนพบสิ่งมชี วี ติ ชนิดหน่งึ ที่สามารถลอกคราบได้ สันนษิ ฐานวา่ น่าจะเป็นสตั วใ์ นไฟลมั ใด
ก. Arthropoda ข. Mollusca ค. Chordata ง. Porifera
81
แหลง่ ขอมลู
https://sites.google.com/site/khwamhlakhlaythangchiwphaph/home/5--kingdom-animalia.
http://www.thaigoodview.com/node/97406?page=0,1.
https://www.google.com/search?q=ปลาปากกลม&tbm=isch&tbs=rimg:
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei= q= เพรียงหัวหอม
https://suwanneefai.wordpress.com
http://tc.mengrai.ac.th/rungrat/page5/-%20kingdom%20animal%20-_files/animal1.htm
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&ei =ปลากระเบน
https://www.google.com/search?q=ภาพฉนาก&source=lnms&tbm=isch&sa
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei =มา้ นำ้
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei= ปลาดกุ
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei =ปลาหมอ
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei =ซาลามานเดอร์
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa =งูดนิ
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=อึ่งอ่าง
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei= ก้ิงก่า
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei= ตะพาบน้ำ
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei= งู
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei= = จงิ โจ้
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei= ต่นุ ปากเป็ด
https://www.google.com/search?q=ภาพฉลาม&source=lnms&tbm=isch&sa
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei= โคอาลา
https://www.google.com/search?biw=1280&bih=634&tbm=isch&sa=1&ei =วาฬ
https://www.google.com/search?q=การ์ตนู +แมลง
82
บทที่ 6
อาณา ักรไวรา (Kingdom Vira)
ไวรัส (Virus) เปน็ ส่ิงมีชวี ติ ทแ่ี ตกตา่ งจากสิ่งมชี ีวติ อืน่ ทั่วไปตรงท่ีไวรสั ไม่มสี ว่ นทเี่ ป็น
เยอ่ื หมุ้ เซลล์ของตัวเองและไม่มีไซโทพลาซมึ จงึ ถือว่าไวรสั เปน็ เพยี ง “อนุ าคทีม่ ีชีวติ ”
(Living particle หรือ Virion)เทา่ น้นั แต่ละไวริออนของไวรัส ประกอบดว้ ยกรดนวิ คลีอกิ ชนดิ DNA
หรอื RNA ชนิดใดชนิดหนง่ึ เทา่ นน้ั และอาจเปน็ ชนิดสายคู่ (double strand) หรือสายเดย่ี วก็ได้
และมโี ปรตนี เรยี กว่า แคปสิด (capsid) ห่อหุ้มโดยรอบกรดนวิ คลีอกิ แคปสิด ประกอบด้วย
หนว่ ยยอ่ ยท่ีเรียกว่า แคปโซเมอร์ (capsomer) ส่วนของกรดนวิ คลีอกิ และโปรตีนนร้ี วมเรียกว่า
นวิ คลโี อแคปสิด (nucleocapsid) ไวริออนของไวรัสบางชนดิ พบว่ามสี ารพวกไลปิคหรอื
ไลโปโปรตนี หุ้มอยรู่ อบนอกของแคปสิดอกี ชนั้ หน่งึ บางชนิดไม่มีเปลอื กหุ้ม
ภาพที่ 6-1 ไวรสั ไม่มีเปลือกหุ้มและมเี ปลอื กหุ้ม
ไวรสั ไมม่ เี มตาบอลซิ มึ เมอ่ื อยู่นอกเซลล์เ ้าบ้าน (host cell) แตไ่ วรสั ยงั มีคณุ สมบัตขิ องสงิ่ มชี ีวติ ท่ี
สามารถแพร่พนั ธุ์เพ่มิ จาํ นวน และเม่ืออยู่ในเจ้าบา้ นไวรัสหลาย ชนิดสามารถสร้างเอนไซม์และ
เกิดเมตาบอลซิ ึมบางอย่างได้
ภาพท่ี 6-2 องค์ประกอบของไวรสั
83
รปู รา่ งของไวรสั
ไวรสั มีรูปรา่ ง 3 แบบ คือ
1. helical symmetry รปู ร่างเป็นแท่งส่ีเหลี่ยมผนื ผ้าตรงหรอื โค้งงอ
2. cuboidal symmetry เปน็ รูปสเ่ี หลี่ยมลูกบาศก์หรือหลายเหล่ียม
3. binal symmetry เป็นรปู รา่ งทม่ี ี 2 สว่ น คือ สว่ นหวั และสว่ นหาง
ภาพที่ 6-3 รูปร่างของไวรสั แบบต่าง
สว่ นประกอบของไวรัส
ไวรัส จัดเปน็ ปรสติ าย นเซลล์อย่างแท้ ริง (Obligatory intracellular parasite)
จึงจาํ เปน็ ตอ้ งอาศัยเซลลเ์ จา้ บา้ นในการดำรงเผ่าพันธุ์ การสืบพนั ธุ์เพ่มิ จาํ นวนของไวรสั เกิดขน้ึ
ภายในเซลลท์ ่ีมชี ีวติ เสมอ และยังสามารถถา่ ยทอดสารพันธกุ รรมนี้ไปยงั เซลล์อื่น ไดอ้ ย่างมี
ประสทิ ธิภาพ นอกจากน้ีไวรสั ยงั สามารถควบคุมกลไกของเซลล์เจ้าบ้านใหท้ ำการสร้างสว่ น
ประกอบของไวรัสใหมไ่ ด้ส่วนประกอบของไวรัส มดี งั น้ี
1.ส่วนทที่ าํ หน้าท่ีเป็นสารพันธกุ รรมหรอื ีโนม (genome) อาจอยใู่ นสภาพท่เี ป็น
วงแหวนหรอื เสน้ ตรง อาจมีขนาดใหญ่เพยี ง 1 ชิ้น หรือมีลกั ษณะเปน็ ทอ่ น หลายชน้ิ นอก
จากความแตกต่างในรปู ร่างของจีโนม ยงั มคี วามแตกตา่ งในระดบั องคป์ ระกอบของจโี นมดว้ ย
จโี นมของไวรสั บางชนดิ มีลักษณะเป็น DNA สายคู่ (double stranded DNA) บางชนดิ เปน็
DNA สายเด่ยี ว (single stranded DNA) บางชนิดเปน็ RNA สายคู่ (double stranded RNA)
และบางชนดิ เป็น RNA สายเดี่ยว (single stranded RNA)
84
2. สว่ นทีท่ ําหนา้ ท่ีเปน็ โปรตนี ห่อหุ้ม (Protein coat หรอื Capsid) ซ่งึ มลี กั ษณะเป็นกอ้ นโปรตนี
ทม่ี ลี ักษณะแบบเดยี วกันหลาย กอ้ นมาประกอบกัน แตล่ ะก้อนโปรตีนประกอบขน้ึ จากสาย
โพลีเปปไทด์ท่ีขดพับจนดคู ลา้ ยเป็นกอ้ น เรยี กว่า แคปโซเมียร์ (Capsomere) ทําหนา้ ท่ีเปน็
โปรตีนห่อหุ้ม และเป็นส่วนยึดเกาะของสารพันธุกรรม
ภาพท่ี 6-4 รูปร่างของไวรัส
3. ส่วนประกอบอื่น ได้แก่ ไขมัน คารโ์ บไฮเดรต รวมถึงโปรตีนอน่ื ทท่ี าํ หน้าที่เป็นเอนไซม์ตา่ ง ซง่ึ
มมี าตงั้ แตต่ อนท่ไี วรสั ประกอบตัวใหม่ในเซลล์เจ้าบ้าน ไขมนั ทพ่ี บในไวรัสเป็นสารพวกฟอสโฟลพิ ดิ
ไกลโคลิพดิ และโคเลสเตอรอล ซึ่งโดยทวั่ ไป มีลกั ษณะแบบเดียวกบั เยือ่ หุ้มเซลลของเซลล์เจ้าบา้ น
สําหรบั คารโ์ บไฮเดรตนอกจากจะพบว่าเป็นส่วนหน่งึ ใน กรดนวิ คลิอกิ ยังพบคารโ์ บไฮเดรตในรปู
ไกลโคโปรตนี ท่ีทําหนา้ ทเ่ี ป็น แอนติเ น (antigen) ท่สี ําคญั ของไวรสั
การเพ่มิ ำนวนของไวรสั
การเพ่มิ จํานวนของไวรสั ตอ้ งอาศัยเอนไซมแ์ ละเมตาลซิ ึมทัง้ หมดจากเซลล์โฮทตท์ ี่อาศยั อยู่
ท่มี คี วามจำเพาะกับมนั เทา่ น้นั เพอื่ ใชจ้ าํ ลองกรดนวิ คลีอกิ ของตวั ไวรัสเองและเพื่อสร้างโปรตนี มาเป็น
แคปสิด จากนน้ั โปรตนี ทสี่ รา้ งขนึ้ จะไปหุม้ กรดนิวคลอี กิ ที่สรา้ งใหม่เปน็ ไวรอิ อนใหมท่ เ่ี พมิ่ ขึน้ จากเดมิ
มากมายอยู่ภายในเซลล์โฮสตท์ ่ีอาศัยอยู่ กลไกในการเพิม่ จำนวนของไวรสั แต่ละชนดิ มีความแตกต่าง
กนั ไป แตโ่ ดยภาพรวมแลว้ มีกระบวนการดงั ต่อไปนี้
1. การเกาะจับกับเซลล์เจา้ บ้าน (Attachment หรอื Adsorption) หนว่ ยไวรัสเคลอ่ื นท่ี
มายึดเกาะกับผวิ ของเซลลเ์ จา้ บา้ นตรงตำแหนง่ ทเ่ี หมาะสม (receptor site) หรือไวรสั บางชนดิ อาจ
มสี ว่ นประกอบพิเศษในการเกาะ เชน่ Tail fiber ของ T-even
85
2. การเข้าสูเ่ ซลล์เจ้าบา้ น (Penetration หรอื Entry) มหี ลายลักษณะ ไวรสั บางชนดิ จะส่ง
เฉพาะสารพันธุกรรมเขา้ ไปในเซลล์ แตไ่ วรสั บางชนดิ หลงั จากไวรสั เกาะติดกับเซลลเ์ จ้าบา้ น
ไวแ้ ล้ว เยอ่ื หมุ้ เซลล์จะโอบล้อมหนว่ ยไวรสั ไว้ ไวรัสจงึ เขา้ สภู่ ายในเซลลไ์ ดท้ ง้ั อนภุ าคคล้าย
กับกระบวนการ phagocytosis ในกรณขี องไวรัสสตั ว์ ทสี่ ่งทงั้ ตัวอนุภาคไวรัสเขา้ เซลล์
เจ้าบ้านจะมขี ้นั ตอนการสลายแคปซดิ (Uncoating) โดยเซลล์เจ้าบา้ นจะปลอ่ ย
เอนไซมไ์ ลโซไซม์ มาย่อยสลายส่วนของแคปซิด
ภาพท่ี 6-5 การเขา้ สเู่ ซลลเ์ จ้าบ้านของไ รส
3. การสงั เคราะหส์ ว่ นประกอบของไวรัส (Biosynthesisis) จีโนมของไวรัสจะเข้าควบคมุ กลไก
ของเซลล์ใหส้ รา้ งส่วนประกอบของไวรสั ไม่ว่าจะเปน็ capsomere สารพนั ธกุ รรม และ
เอนไซม์ทส่ี ำคญั ต่อการประกอบเป็นตวั ไวรัส
4. ระยะเปน็ ไวรัสโดยสมบรู ณ์ (Assembly หรอื Maturation) เปน็ ระยะที่สว่ นประกอบตา่ ง
ของไวรัสทสี่ ร้างขนึ้ จะประกอบตัวเอง (self assembly) เปน็ nucleocapsid จำนวนมากและ
ยงั อยูภ่ ายในเซลล์เจา้ บ้าน ไวรัสในระยะ นอ้ี าจเรียกว่าเปน็ Progeny virus การประกอบร่าง
ของ DNA virus ส่วนใหญ่ (ยกเว้น Poxvirus) จะประกอบร่างในนวิ เคลียสของเซลลเ์ จา้ บ้าน
แต่ RNA virus ส่วนใหญ่จะประกอบตวั ในไซโทพลาซึมของเซลล์เจ้าบา้ น
5. ระยะปลดปล่อยออกจากเซลล์ (Release) ไวรสั บางชนดิ จะปล่อยเอนไซม์มาย่อยผนงั เซลลข์ อง
เซลลเ์ จา้ บ้านทำให้เซลลแ์ ตกและปลอ่ ยไวรสั รุ่นใหม่ออกมาจากเซลลแ์ ล้วเข้าสูเ่ ซลลข์ ้างเคยี ง
ตอ่ ไป แต่ไวรัสบางชนิด โดยเฉพาะพวก envelope จะออกจากเซลลโ์ ดยวิธกี าร budding
ผ่านเยอื่ หุ้มนิวเคลยี สหรอื เย่ือหมุ้ เซลล์ และดึงเอาสว่ นเย่อื หุ้มของเซลลเ์ จ้าบ้านไปเป็น
envelope ของตนเอง
86
ภาพท่ี 6-6 การเขา้ สเู่ ซลล์เจา้ บา้ นของไวรสั
การเกิดโรค ากไวรสั
- ไวรัสในพืช เช่น โรคใบด่างของยาสบู โรคใบหงิกของพริก โรคแคระแกรนในต้นข้าว
- ไวรสั ในสัตว์ เช่น โรคปากและเทา้ เป่ือย โรค MBV ในกุง้ กุลาดำ
- ไวรสั ในคน เช่น ไข้เลอื ดออก ไขห้ วัด ไข้หวดั ใหญ่ โปลโิ อ ตับอักเสบบี โรคพิษสนุ ัขบา้ เอดส์
- ไวรสั Nuclear polyhediosis virus ก่อโรคในหนอนกระทู้ สามารถนำไปใช้ในการ
ควบคมุ พืชโดยวิธชี วี ภาพ HIV มีสารพันธกุ รรม
เป็นอย่างไร…?
รู้หรอื ไม.่ .....?
โควดิ 19 คืออะไร…? HIV มีสารพนั ธุกรรมเปน็ RNA
เม่อื เขา้ ส่เู ซลล์ ะสรา้ ง
โรคตดิ ตอ่ ซงึ่ เกิดจากไวรัสโคโรนาชนดิ ท่ีมกี าร คน้ พบล่าสุด
มกี ารระบาดใน เมอื งอู่ฮั่น ประเทศจนี ในเดือนธนั วาคมปี2019 สารพนั ธกุ รรม เปน็ DNA
องคก์ ารอนามยั โลก จึงไดต้ ้ังชอื่ วา่ COVID-19 มสี ารพนั ธุกรรม
เปน็ RNA มีเปลอื กหุ้มด้านนอกทป่ี ระกอบไปด้วยโปรตนี คลมุ
ด้วยกลุ่มคารโ์ บไฮเดรต ไขมนั เป็นปมุ่ (หนามรอบตวั ) ย่นื
ออกไปจากอนุภาคไวรสั สามารถเกาะตวั อยู่ในอวัยวะท่เี ป็น
เปา้ หมายของเชื้อไวรสั ได้
87
ประโยชน์ของไวรัส
1. สามารถผลติ วคั ซนี หรือกระตุน้ ภูมคิ ุม้ กนั ของส่งิ มชี ีวิต
2. สามารถใชเ้ ปน็ พาหนะในการนำ DNA แปลกปลอมเข้าเพิ่มจำนวนในแบคทเี รีย
ตวั ในการตัดตอ่ พนั ธกุ รรม
3. สามารถควบคมุ หรือต้านทานการกอ่ โรคโดยใช้ไวรสั พืชหลายชนิด เช่น มะละกอ
ยาสบู พริก โดยเทคนิคพันธวุ ศิ วกรรม
สงิ่ กอ่ โรคท่ีเล็กกวา่ ไวรัส
คอื อะไร…?
รหู้ รือไม่....?
พริออนส์ (Prions)
็ สิ่งก่อโรคทเี่ ล็กกวา่ ไวรสั ถูกคน้ พบในชว่ งทศวรรษ 1960 ทีม่ ีลกั ษณะคาบเกย่ี วระหว่าง
การมแี ละการไม่มีชีวติ และบางครั้งเพิม่ จำนวนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เชน่ สามารถอยใู่ นฟอร์มาลิน
(ซึ่งทำลายไวรสั ได้) ได้นานกว่า 2 ปี ทนตอ่ การอยู่ภายใต้แสงอุลตรา้ ไวโอเลต (UV) ซง่ึ สามารถในการ
ทำลายสารพันธกุ รรมได้นานถึง 45 นาที พรอิ อน (Prions) เปน็ โปรตีนท่ีประกอบข้นึ จาก กรดอะมโิ น
ราว 250 หน่วย โครงสร้างปกตขิ องมนั จะไมเ่ ป็นอันตรายต่อใคร แต่ถ้าโครงสรา้ งมนั “เปลีย่ น”
ไปจากปกติ มันจะเปน็ แม่แบบและชักนำใหโ้ ปรตนี ที่ “ปกติ” เกดิ การเปลี่ยนแปลงเปน็ โครงสร้างท่ี
ผดิ ปกตไิ ด้ พริออน จึงสามารถเพิ่มจำนวนโดยท่ีไมต่ ้องพง่ึ ยนี และมคี วามสามารถในการก่อโรคได้ทันที
อยา่ เพ่ิงท้อนะคะ
ใกลถ้ ึงเป้าหมายแลว้
คะ
88
ไวรอยด์ (viroid)
ไวรอยด์ มลี กั ษณะแตกตา่ ง จากพวกโพรคาริโอตและยูคาริโอต ในส่วนท่โี ครงสร้างยัง
ไมเ่ ป็นเซลล์ ไม่มีทังเยื่อหุ้มเซลล์และไซโทพลาซม จงึ เป็นพียงอนุ าค (virion) ทโี่ ครงสร้าง ประกอบ
ดว้ ยกรดนวิ คลิอิกชนดิ RNA ขดเป็นวงแหวนสายเด่ยี วหรือเป็นเส้นตรงสายเด่ียว ไมม่ โี ปรตีนหมุ้ ไม่มี
เอนไซม์ อาจกลา่ วไดว้ า่ เป็นสิ่งก่อโรค (infectious agent) ที่มีขนาดเล็กทีส่ ดุ ในพชื เทา่ น้ันอยา่ งไรก็ตาม
กลไกในการทำใหเ้ กิดโรคของไวรอยดย์ ังไม่ชดั เจนแต่คาดว่าไวรอยด์นา่ จะเป็นตัวขดั ขวางกระบวนการ
ควบคมุ ยีน (gene regulation) ของเซลลเ์ จ้าบ้าน
ภาพที่ 6-7 ไวรอยด์
ไวรสั กับไวรอยด์
เหมอื นและแตกตา่ งกนั
อยา่ งไรบ้าง…?
ร้หู รือไม่...?
ลักษณะเหมือนกัน ลักษณะตา่ งกนั
โครงสรา้ งยังไมเ่ ป็นเซลล์ ไวรสั (Virus) ไวรอยด์ (viroid)
ไม่มีท้ังเย่อื หุ้มเซลล์ - มี DNA และ RNA - มี เฉพาะRNA
ไมม่ ีไซโทพลาซมึ - มโี ปรตีน (capsid) หอ่ หมุ้ - ไมม่ ีโปรตนี (capsid) ห่อหุม้
เปน็ พียงอนุภาค (virion) - มีเอนไซมใ์ นเมแทบอลิซมึ - ไม่มเี อนไซมใ์ นเมแทบอลซิ ึม
89
Guiz Yourself
คำช้ีแจง ให้นักเรยี นทำเคร่ืองหมาย บอกลักษณะสำคัญของสง่ิ มชี วี ิตในอาณาจกั รไวรา
โครงสร้าง / องค์ประกอบ มี ไม่มี
1. Prokaryotic cell
2. เยอ่ื หมุ้ นวิ เคลียส
3. ออรแ์ กเนลล์ ท่มี ีเยอ่ื หุ้ม
4. ไรโบโซม
5. มี 1 เซลล์
6. มีมากกว่า 1 เซลล์
7. ผนังเซลล์
8. เซลลูโลส Cellulose
9. เพปทิไดโคเจน Peptidoglycan
10. คลอโรพลาสต์
ลองฝึกทักษะต่อไป
ไดเ้ ลยค่ะ…….
Go…
90
ลบั สมอง (Brainstorm)
คำชแี ง ให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มรว่ มกนั จดั ลำดับข้อความต่อไปนีใ้ ห้สมั พนั ธ์กัน
ลักษณะสำคัญ ไม่มเี ยือ่ หุ้มเซลล์ RNA ไวรอยด์ วงแหวนสายเด่ยี ว
ไวรอิ อน สายค่หู รือเดยี่ ว เซลลเ์ า้ บ้าน เ ริญเติบโต นโฮสต์
แคปซิด ไม่มเี อนไซม์ อนุ าคที่มชี ีวิต ไม่มีเปลือกโปรตนี หุม้ เซลล์ DNA
ขัดขวางการทำงานของยนี เ ้าบ้าน ไวรัส ไม่มีไซโทพลาสซม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
91
ประลองปัญญา (Intelligence)
คำชีแ ง ให้นกั เรยี นในกลุ่มจับคู่กนั แล้วเปลยี่ นกันถามและตอบทีละขอ้ โดยใชต้ ัวเลอื กต่อไปน้ี
1. capsid 2. DNA หรือ RNA 3. Virion
4. host cell
7. RNA virus 5. genome 6. Enzyme lysosome
10. antigen
8. binal symmetry 9. Progeny virus
11. viroid 12. Obligatory intracellular parasite
คาถาม
1) ไวรัส จดั เป็นสิ่งมีชีวิตในกลุ่มใด……………………………………………………………………………………….
2) เป็นโปรตีนหอ่ หุ้มกรดนวิ คลอิ ิก ………………………………………………………………………………………
3) สารพันธุกรรมของไวรัส ………………………………………………………………………………………………...
4) ไวรัสจะเพิ่มจำนวนเซลลไ์ ด้เมือ่ อย่ใู นสิ่งใด………………………………………………………………………..
5) รปู รา่ งของไวรัส…………………………………………………………………………………………………………….
6) เปน็ หนว่ ยสารพนั ธกุ รรม ……………………………………………………………………………………………….
7) เป็นปีนปรสิตภายในอย่างแท้จริง ………………………………………………………………..………………….
8) หนา้ ทขี่ องคาร์โบไฮเดรตในรูปไกลโคโปรตนี ……………………………………………………………………..
9) เอนไซม์ท่ีเจ้าบา้ นปล่อยมายอ่ ยสลายแคปซดิ …………………………………………………..………………..
10) สว่ นใหญจ่ ะประกอบตวั ในไซโทพลาซึมของเซลล์เจา้ บ้าน………………………………………………..
11) ระยะเปน็ ไวรัสโดยสมบรู ณ์ จะประกอบตัวเองและยงั อยภู่ ายในเซลล์………………………………….
12) เปน็ ส่งิ ก่อโรค ทีม่ ีขนาดเลก็ ท่ีสดุ ในพืชเท่าน้ัน………………………………………………………………….
13) มเี ฉพาะ RNA ไมม่ ีโปรตีน……………………………………………………………………………..……………..
92
บนั ทกองคค์ วามรู้
นักเรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้เรอ่ื งอาณาจักรไวรา ลงในบนั ทึกองคค์ วามรู้ตอ่ ไปนี้
…………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
………………………………………………………………………………………………………………………………….…………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
…………………………………………………………………………………………………..................................................
……………………………………………………………………………………………………………..……………..……………….
………………………………………………………………………………………………………………………….………..………..
……………………………………………………………………………………………………………………….……………….……
………………………………………………………………………………………………………..…………………….………..…..
……………………………………………………………………………………………………………………………….……….……
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…….
………………………………………………………………………………………………………………………………….….………
…………………………………………………………………………………………………………………………….………….……
…………………………………………………………………………………………………………………….……………….………
……………………………………………………………………………………………………………….……………………….……
…………………………………………………………………………………………………………….………………………….…..
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…..
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…..
……………………………………………………………………………………………………………….……………………….……
…………………………………………………………………………………………………………….………………………….…..
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…..
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…..
……………………………………………………………………………………………………………….……………………….……
…………………………………………………………………………………………………………….………………………….…..
………………………………………………………………………………………………………………………………………..…..
93
แ น งั ความคิด
คำชแี้ จง ให้นกั เรยี นรว่ มกันเขียนแผนผังความคดิ สรปุ เกย่ี วกับอาณาจักรไวรา ลงในกรอบความรู้
ต่อไปนี้
94
แบบฝึกทา้ ยบทท่ี 6
คำชีแ ง ให้นักเรียนเลอื กคำตอบที่ถกู ต้องที่สุดเพยี งคำตอบเดียว
1. ข้อใดเป็นลักษณะสำคญั ของไวรัส
ก. ไม่มเี ยอื่ หุ้มเซลล์ ข. ไม่มไี ซโทพลาซมึ ค. มี DNA หรือ RNA ง. ถูกทุกข้อ
2. ไวรสั แตกตา่ งจากแบคทเี รียในข้อใด
1. ไวรัสไมม่ เี ย่ือหุ้มเซลล์ 2. ไวรสั มกี ารเพิ่มจำนวนในเซลลโ์ ฮทตเ์ ทา่ นน้ั
3. ไวรัสทกุ ชนิดมีการดำรงชีพในภาวะปรสิตเทา่ นั้น
ก. ขอ้ 1 และ 2 ข. ขอ้ 1 ,2 และ 3 ค. ข้อ 1 และ 3 ง. ขอ้ 2 และ 3
3. ไวรัสและไวรอยดเ์ หมือนกนั ในขอ้ ใด
ก. มี RNA เป็นสารพันธุกรรม ข. มี DNA และ RNA เป็นสารพันธุกรรม
ค. มี DNA เปน็ สารพนั ธุกรรม ง. ไม่มีเยอื่ ห้มุ เซลล์ มกี รดนิวคลอี ิกเป็นสารพันธุกรรม
4. ขั้นตอนของการเพิ่มจำนวนของไวรสั เป็นอย่างไร
1. การเกาะจับกบั เซลลเ์ จา้ บา้ น 2. การเข้าสู่เซลล์เจ้าบ้าน 3. การสังเคราะห์ส่วนประกอบของ
ไวรสั 4. ระยะเป็นไวรสั โดยสมบรู ณ์ 5. ระยะปลดปลอ่ ยออกจากเซลล์
ก. ขอ้ 1,2,3,4,5 ข. ขอ้ 1,3,2,5 ,4 ค. ข้อ2,3,1,5 ,4 ง. ขอ้ 3,4,2,1 ,5
5. จากขอ้ 4 การเกดิ Progeny virus (การประกอบร่าง) จะเกดิ ขึน้ ในระยะใด
ก. 2 ข. 3 ค. 4 ง. 5
6. ขอ้ ใดเปน็ เหตุผลทเี่ ป็นจรงิ ทีส่ ุดในการจัดไวรสั จดั เป็นสงิ่ มชี ีวิตท้งั ทไี่ วรัสไมเ่ ป็นเซลล์
ก. สืบพนั ธไ์ุ ด้ ข. กินอาหารได้ ค. ปรับตัวได้ ง. สรา้ งอาหารได้
7.
ก. RNA (1) สัตว์ (2) ข. DNA (1) พืช (2) ค. RNA (1) แบคทเี รยี (2) ง. DNA (1) คน (2)
8. ขอ้ ใดกลา่ วผดิ
ก. RNA เป็นสารพันธุกรรมของไวรอยด์ ข. ทงั้ ไวรอยดแ์ ละไวรสั เปน็ ไวริออน
ค. HIV มี DNA เม่อื เข้าสู่โฮสต์สร้าง RNA ง. ไวรสั เปน็ ปรสิตภายใน
9. ความผิดปกตใิ นข้อใดน่าจะเกิดจาก ไวรอยด์
ก. ไขห้ วดั ใหญ่ ข. เรมิ ค. มนั ฝรงั่ ยดื ยาวเปน็ เกลยี ว ง. ใบดา่ งในยาสบู
10. ข้อใดเป็นโรคทเี่ กดิ จากไวรัส ค. ท้องรว่ ง ง. มะเร็งเรตินา
ก. มะเร็งเมด็ เลอื ด ข. ไขจ้ บั ส่ัน
95
แหล่งข้อมลู
https://www.google.com/search?q=ไวรอยด์&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=
0ahUKEwj9gcO5mK_bAhURVysKHXI3CIEQ_AUICigB&biw=1280&bih.
https://www.biologie uni-hamburg. de/bzf/mppg/agviroid.htm.
https://universe-review.ca/11-45-viroid.
https://www.google.com/search?biw=1280&bih.
http://biology.crru.ac.th/biology/images/PDF/LacMicro/LacMicro11.pdf
https://www.google.com/Kahoot.
เรยี นรู้ เขา้ ใจ
ยอมรับ….. าไ