The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วัฒนธรรมและภูมิปัญญาจังหวัดนครราชสีมา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pattama Prathoomkham, 2023-07-16 06:50:36

วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา

วัฒนธรรมและภูมิปัญญาจังหวัดนครราชสีมา

รวบรวมและเรียบเรียงโดย นางสาวปัทมา ประทุมคำ ตำแหน่งครู กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนสีดาวิทยา อำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา


ประวัติความเป็นมาของจังหวัด จังหวัดนครราชสีมา เดิมเป็นเมืองโบราณในอาณาจักรไทย ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอ สูงเนิน ห่างจากตัวเมืองปัจจุบัน 31 กิโลเมตร เรียกว่า "เมืองโคราฆะปุระ" หรือ "โคราช" กับ "เมืองเสมา" ซึ่งทั้ง 2 เมือง เคยเจริญรุ่งเรือง ในสมัยขอม แต่ในปัจจุบัน เป็นเมืองร้างตั้งอยู่ริมลำตะคอง


สมัยกรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199 - 2231) ได้โปรดให้สร้าง เมืองใหม่ขึ้นใน พื้นที่ตัวเมืองปัจจุบัน โดยเอาชื่อ "เมืองโคราฆะปุระ"กับ "เมืองเสมา" มาผูกเป็นนามเมืองใหม่เรียกว่า "เมืองนครราชสีมา" แต่คนทั่วไป เรียกว่า "เมืองโคราช" สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะเป็นเมืองชั้นเอก ผู้สำเร็จราชการเมืองมียศ เป็นเจ้าพระยา โดย เจ้าพระยานครราชสีมาคนแรกชื่อ ปิ่น ณ ราชสีมา และในรัชกาล นี้เมืองนครราชสีมา ได้นำช้างเผือก 2 เชือก ขึ้นน้อมเกล้าถวาย ต่อมา ในปี พ.ศ.2369 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ ผู้ครองเมืองเวียงจันทน์ก่อการกบฏ ยกกองทัพ มาตี เมืองนครราชสีมาและกวาดต้อน พลเมือง ไปเป็นเชลย คุณหญิงโม (ภรรยาปลัดเมือง นครราชสีมา(พระสุริยเดชวิเศษ ฤทธิ์ทศทิศวิชัย)) ผู้รักษาเมืองแสร้งทำกลัวเกรงและ ประจบเอาใจ ทหารลาว เมื่อถูกกวาดต้อนมาถึงทุ่งสัมฤทธิ์ใน เขตอำเภอพิมาย ก็หยุด พักกลางทางพอได้โอกาส คุณหญิงโม ก็จัดกองทัพโจมตีกองทัพเวียงจันทน์ แตกพ่ายไป วีรกรรมที่คุณหญิงโมได้ประกอบขึ้นนี้ รัชกาลที่ 3 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา คุณหญิงโม ดำรงฐานันดรศักดิ์เป็น "ท้าวสุรนารี" ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรด เกล้า ฯ ให้รวบรวมหัวเมืองในเขตที่ราบสูงให้ นครราชสีมาเป็นที่ว่าการมณฑล ลาวกลาง ในปี พ.ศ. 2434 ( ร.ศ. 110 )


ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดนครราชสีมา ขนาดที่ตั้งและอาณาเขต จังหวัดนครราชสีมาตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บนที่ราบสูงโคราช ละติจูด 15 องศาเหนือ ลองติจูด 102 องศาตะวันออก สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 187 เมตร ตัวจังหวัดอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ 255 กิโลเมตร และ โดยทางรถไฟ 264 กิโลเมตร มีพื้นที่ 20,493.964 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 12,808,728 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 12.12 ของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาณาเขต ติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดขอนแก่น ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก และจังหวัดสระแก้ว ทิศตะวันออก ติดต่อกับ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดขอนแก่น ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี ลักษณะภูมิประเทศ สภาพภูมิประเทศของจังหวัดมีทั้งที่เป็นภูเขาสูง ที่ราบลุ่ม พื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้น และพื้นที่ ลูกคลื่นลอนลึก ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 บริเวณ คือ 1) บริเวณเทือกเขาและที่สูงทางตอนใต้ของจังหวัดมีความสูงจากระดับน้ำทะเล มากกว่า 250 เมตร อยู่ในบริเวณอำเภอปากช่อง อำเภอปักธงชัย อำเภอวังน้ำเขียว อำเภอครบุรีและอำเภอเสิงสาง เทือกเขานี้เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำลำธารหลายสายที่ ไหลไปทางตะวันออกของภาค ได้แก่ แม่น้ำมูล ลำแชะ ลำพระเพลิง และลำปลายมาศ พื้นที่ระหว่างเทือกเขาส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลูกคลื่นลอนลึกและ ลูกคลื่นลอนตื้น


ตอนล่างของหุบเขามีความลาดชันค่อนข้างมาก ทำให้มีการ ชะล้างพังทลายของหน้า ดินในบริเวณนี้ค่อนข้างสูง 2) บริเวณที่สูงทางตอนกลางของจังหวัดมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 200 -250 เมตร อยู่ในเขตอำเภอด่านขุนทด อำเภอสีคิ้ว อำเภอเทพารักษ์ อำเภอพระทองคำ ตอนล่างของอำเภอโนนไทย อำเภอขามทะเลสอ อำเภอเมือง อำเภอสูงเนิน ตอนบน ของอำเภอปักธงชัยและอำเภอครบุรี อำเภอโชคชัย อำเภอหนองบุญมาก อำเภอจัก ราช และอำเภอเสิงสาง ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นลูกคลื่นลอนตื้นยกเว้นบริเวณใกล้ เชิงเขามีลักษณะเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลอนลึก พื้นที่บางส่วนเป็นที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำไหล ผ่านหลายสาย ได้แก่ ลำแชะ ลำพระเพลิง ลำตะคอง ลำน้ำมูลและลำจักราช 3) พื้นที่ลูกคลื่นทางตอนเหนือของจังหวัด มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 200 เมตร อยู่ในเขตอำเภอขามสะแกแสง ตอนบนของอำเภอโนนไทย อำเภอคง ทาง ทิศตะวันตกของอำเภอบัวใหญ่ อำเภอบ้านเหลื่อม อำเภอห้วยแถลง และอำเภอชุม พวง อำเภอลำทะเมนชัย มีลักษณะเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้นที่สูงสลับที่นา บางตอน เป็นพื้นที่ราบลุ่มบริเวณริมฝั่งแม่น้ำลำเชียงไกร และลำปลายมาศ 4) บริเวณที่ราบลุ่มทางตอนเหนือของจังหวัด มีความสูงจากระดับน้ำทะเลน้อย กว่า 200เมตร อยู่ในเขตอำเภอบัวใหญ่ อำเภอคง อำเภอโนนสูง อำเภอประทาย อำเภอพิมาย อำเภอสีดา อำเภอบัวลาย และอำเภอเมืองยาง มีลักษณะเป็นพื้นที่ลูก คลื่นลอนตื้น และมีที่ราบลุ่มบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ที่มา : https://www2.nakhonratchasima.go.th/content/history_office


ประวัติศาสตร์จังหวัดนครราชสีมา สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ภาพเขียนสีเขาจันทร์งามที่วัดเขาจันทร์งามอำเภอสีคิ้วเป็นภาพเขียนสีของมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่ามีชุมชนโบราณยุคก่อน ประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคหินใหม่ต่อเนื่องมาถึงยุคสำริดและยุคเหล็กอยู่ที่อำเภอโนนสูง ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดีบ้านปราสาทและแหล่งโบราณคดีบ้านโนนวัด ซึ่งเป็น ชุมชนที่มีการอาศัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ประมาณ 3000 ปีก่อนตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุค ประวัติศาสตร์ ในยุคสำริดมีการค้นพบเครื่องประดับสำริดต่างๆและเครื่องปั้นดินเผา แหล่งโบราณคดีบ้านโนนวัดเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดใน ประเทศไทย[4] มีพบการฝังศพผู้ใหญ่ไว้ในภาชนะดินเผา[4] ที่อำเภอพิมายพบภาชนะ ดินเผาแบบพิมายดำ (Phimai Black Ware) เมื่อเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เขมรอินเดียและพระพุทธศาสนาเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ชุมชนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ถูกแทนที่ด้วยชุมชนในยุคประวัติศาสตร์ซึ่งได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากภายนอก สมัยโบราณ อาณาจักรศรีจนาศะ ในยุคทวารวดีปรากฏมีอาณาจักรศรีจนาศะ หรือ "จนาศะปุระ" ขึ้นซึ่งสันนิษฐาน ว่ามีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโบราณเสมา ในตำบลเสมาอำเภอสูงเนินในปัจจุบัน พบ หลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรศรีจนาศะจากจารึกสองชิ้นได้แก่ จารึกบ่ออีกาพบที่บ้าน อีกาอำเภอสูงเนิน กำหนดอายุที่พ.ศ. 1411 ใช้อักษรหลังปัลลวะและจารึกด้วยภาษา สันสกฤตและภาษาเขมร กล่าวถึงพระราชาแห่งศรีจนาศะประทานสัตว์และทาสแก่ พระสงฆ์และสรรเสริญอังศเทพผู้สร้างศิวลึงค์ และจารึกศรีจนาศะซึ่งพบที่อยุธยาเป็น


อักษรขอมโบราณในภาษาสันกฤตและเขมรกล่าวถึงรายพระนามกษัตริย์แห่งศรีจนาศะ จารึกขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 1480 เมืองเสมาเป็นเมืองมีคูน้ำคันดินล้อมรอบเป็นรูปวงกลมรีพบ โบราณสถานจำนวนเก้าแห่ง นอกจากนี้ยังมีพระนอนหินทรายที่วัดธรรมจักรเสมาราม ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในยุคศรีจนาศะ หลักฐานที่พบแสดงว่าถึงพระพุทธศาสนาใน ศรีจนาศะซึ่งได้รับอิทธิพลจากทวารวดีอยู่คู่กับศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย เมืองศรีจ นาศะมีความสัมพันธ์กับเมืองศรีเทพจังหวัดเพชรบูรณ์และเมืองละโว้ซึ่งอยู่ภายใต้มัณฑ ละเดียวกัน เมื่อจักรวรรดิเขมรแผ่ขยายอำนาจมาในพื้นที่เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ทำ ให้อาณาจักรศรีจนาศะสิ้นสุดลง จารึกเมืองเสมา พ.ศ. 1514 กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 5 เมือง "โคราฆะปุระ" ถือกำเนิดขึ้นที่ตำบลโคราชริมแม่น้ำลำตะคองมีปราสาทเมือง แขกและปราสาทโนนกู่ซึ่งเป็นศิลปะแบบเกาะแกร์ ปราสาทพิมายและอาณาจักรขอมโบราณ ปราสาทหินพิมาย สร้างขึ้นราวราวพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นโบราณสถานทรงขอม แบบบาปวนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สันนิษฐานว่าปราสาทหินพิมายถูกสร้างขึ้นใน สมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1[5] เนื่องจากรูปแบบศิลปะของซุ้มและมุขหน้าปราสาท ประธานเป็นศิลปะแบบบาปวนซึ่งเป็นศิลปะในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 นอกจากปราสาทหินพิมายยังมีปราสาทหินพนมวันที่ตำบลบ้านโพธิ์ซึ่งสร้างขึ้นในยุค เดียวกัน พบจารึกที่ปราสาทพิมายทั้งหมดหกหลัก กล่าวถึงการบูชาและถวายของแด่ พระพุทธเจ้า การกล่าวสรรเสริญพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 และการสร้างรูปเคารพรวมทั้ง พิธีกรรมต่างๆ จารึกปราสาทหินพิมาย 2 พ.ศ. 1579 กล่าวถึงพระนาม“ศรีสูรยวรมะ” ปราสาทหินพิมายเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาวัชรยาน[6] ทับหลังของปราสาท ประธานสลักเป็นรูปของพระชินพุทธะและพบสัญลักษณ์และรูปเคารพของวัชรยาน


อื่นๆ เมืองพิมายหรือ "วิมายปุระ" เป็นฐานที่มั่นของราชวงศ์มหิธรปุระซึ่งเริ่มต้นขึ้นที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 และต่อมาได้ครองจักรวรรดิเขมร จารึกปราสาทหินพิมาย 3 พ.ศ. 1651 ซึ่งตรงกับสมัยพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1 กล่าวว่า “...กมรเตงอัญศรีวิเรน ทราธิบดีวรมะเมืองโฉกวะกุลสถาปนากมรเตงชคตเสนาบดีไตรโลกยวิชัย ซึ่งเป็น เสนาบดีแห่งกมรเตงชคตวิมายะ" ในยุคนี้มีการสร้างปราสาทพิมายเพิ่มเติมในศิลปะยุค นครวัดซึ่งเป็นศิลปะในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ปราสาทหินพิมายจึงเป็นการ รวมกันของศิลปะยุคบาปวนและศิลปะยุคนครวัด เมื่อราชวงศ์มหิธรปุระได้ขึ้นครองจักรวรรดิเขมรเมืองวิมายประทวีความสำคัญ ขึ้นในฐานะศูนย์กลางการปกครองของขอมโบราณในลุ่มแม่น้ำมูลตอนบน ในสมัยของ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บูรณะปราสาทพิมายเนื่องจากเป็นเมืองเกิดของพระมารดา จาก ที่ปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์พ.ศ. 1734 ที่นครธมซึ่งกล่าวถึงเส้นทางการ คมนาคมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กล่าวว่า“จากเมืองหลวงไปยังเมืองวิมาย (มี) ที่ พักพร้อมด้วยไฟ 17 แห่ง” แสดงให้เห็นว่าเมืองวิมายเป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่ สำคัญ พบรูปประติมากรรมเหมือน[7]ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ปราสาทพิมาย ต่อมา เมื่อจักรวรรดิเขมรเสื่อมอำนาจลงและอาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายอำนาจเข้ามาเมืองพิ มายจึงลดความสำคัญลง สมัยอยุธยา พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีก เลขทะเบียน ๒๒๒ ๒/ก ๑๐๔ กล่าวถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) “อยู่ปีหนึ่ง ท่านให้ก็ตกแต่ง ช้างม้ารี้พล ทั้งปวงจะยกไปเมืองพิมายพนมรุ้งไซร้ พอเจ้าเมืองทั้งหลายถวายบังคม พระบาทผู้เป็นเจ้าๆก็ให้พระราชทานรางวัลแล้วคืนไปอยู่ตามภูมิลำเนา”[8] ซึ่งตรงกับ ศิลาจารึกขุนศรีไชยราชมงคลเทพซึ่งจารึกขึ้นเมื่อพ.ศ. 1974 และพบที่อำเภอลำสนธิ


จังหวัดลพบุรี กล่าวถึงสมเด็จพระอินทราบรมจักรพรรดิธรรมิกราชโปรดฯให้ขุนศรีไชย ราชมงคลเทพ "เอาจตุรงค์ช้างม้ารี้พลไปโจมจับพระนครพิมายพนมรุ้ง"[8] แสดงให้เห็น ว่าอาณาจักรอยุธยาแผ่ขยายอำนาจเข้ามาในเขตลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนและที่ราบสูง โคราชด้านตะวันตกในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าสามพระยาฯ ในสมัยอยุธยาเมืองนครราชสีมาคือ "เมืองโคราฆะ" ริมแม่น้ำลำตะคองในตำบล โคราชอำเภอสูงเนินในปัจจุบันซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเมืองเสมา เมืองนครราชสีมามี ความสำคัญในฐานะเป็นฐานการปกครองของอยุธยาในลุ่มแม่น้ำมูลตอนบนและเป็น รอยต่ออาณาเขตของอยุธยากับอาณาจักรล้านช้างและเขมรป่าดง ในรัชสมัยสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถจากกฎมณเฑียรบาลเมืองนครราชสีมาเป็นหนึ่งในเมืองพระยาม หานครแปดเมืองซึ่งเจ้าเมืองต้องถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ในพระไอยการตำแหน่งนาพล เรือน นาทหารหัวเมือง ปรากฏราชทินนามของเจ้าเมืองนครราชสีมาว่า ออกญากำแหง สงครามรามภักดีอภัยพิรียบรากรมภาหุ ศักดินา 10,000 ไร่ พงศาวดารเขมรระบุว่าใน พ.ศ. 2113 เมื่อสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 แห่งอาณาจักรเขมรละแวกเข้าตีกรุงศรี อยุธยาไม่สำเร็จจึงยกทัพเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้สำเร็จ[ สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงจัดการปกครองหัวเมืองขึ้นใหม่โดยเมืองนครราชสีมามีฐานะเป็นเมืองชั้นโท นอกจากนี้พงศาวดารเขมรยังระบุอีกว่าในพ.ศ. 2173 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาท ทอง พระศรีธรรมราชาที่ 2 แห่งอาณาจักรเขมรอุดงยกทัพมากวาดต้อนผู้คนในเขต เมืองนครราชสีมา เมืองโคราชสีมาในแผนที่ของ ลา ลูแบร์ พ.ศ. 2236 ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเห็นว่า นครราชสีมามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านของอยุธยาติด กับพรมแดนลาวล้านช้าง จึงโปรดฯให้ย้ายเมืองนครราชสีมาจากเมืองโคราฆะเดิมและ


เมืองเสมามาสร้างเมืองใหม่ที่อำเภอเมืองนครราชสีมาในปัจจุบัน วางผังเมืองโดยเดอลา มาร์ (De la Mare) วิศวกรชาวฝรั่งเศส[9] เป็นตารางรูปสีเหลี่ยมกว้าง 1,000 เมตร ความยาว 1,700 เมตร มีกำแพงเมืองขนาดใหญ่ตามแบบตะวันตกมีป้อมค่ายหอรบ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรวมชื่อเมืองโคราฆะและเมืองเสมา[10]แล้ว พระราชทานนามเมืองใหม่ว่า "เมืองนครราชสีมา" เมื่อจุลศักราช 1036 (พุทธศักราช 2217) และทรงแต่งตั้งให้พระยายมราช (สังข์)เป็นเจ้าเมือง ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ บันทึก ไว้ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ว่า เมืองโคราชสีมา (Corazema) เป็นหัวเมืองใหญ่หนึ่งใน เจ็ดมณฑล ตั้งอยู่ติดชายแดนของราชอาณาจักรสยามกับเมืองลาว มีเมืองบริวาร 5 เมืองได้แก่ เมืองนครจันทึก (อำเภอสีคิ้ว) เมืองชัยภูมิ เมืองพิมาย เมืองบุรีรัมย์ และ เมืองนางรอง เมื่อสมเด็จพระเพทราชาทรงยึดอำนาจในพ.ศ. 2231 พระยายมราช (สังข์) เจ้า เมืองนครราชสีมาที่แต่งตั้งโดยสมเด็จพระนารายณ์ฯแข็งเมืองไม่ไปถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระเพทราชาทรงส่งทัพเข้าล้อมเมืองนครราชสีมาในพ.ศ. 2232 แต่ไม่สำเร็จและถอย กลับไป พระเพทราชาจึงทรงส่งทัพมาอีกครั้งในปีถัดมาสามารถยึดเมืองนครราชสีมาได้ ในที่สุด พระยายมราช (สังข์) หลบหนีไปยังเมืองนครศรีธรรมราช จากนั้นปีพ.ศ. 2241 ชาวบ้านในเมืองนครราชสีมาชื่อบุญกว้างพร้อมพรรคพวกอีกยี่สิบแปดคน[11]สามารถ ยึดอำนาจในเมืองนครราชสีมาจากเจ้าเมืองคนใหม่ได้ นำไปสู่กบฏบุญกว้าง พระเพท ราชาทรงส่งทัพเข้าล้อมเมืองนครราชสีมาอีกครั้งกินเวลายืดเยื้ออยู่นานถึงสามปี ฝ่าย อยุธยาใช้อุบายผูกหม้อดินระเบิดกับว่าวจุฬาแล้วชักให้ลอยไปตกในเมืองนครราชสีมา เพื่อให้เกิดเพลิงไหม้ จนกระทั่งเจ้าเมืองนครราชสีมาออกอุบายให้บุญกว้างและพรรค พวกยกทัพไปตั้งที่ลพบุรีทัพหลวงจึงเข้าตีทัพบุญกว้างพ่ายแพ้ไป ในขณะที่พงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศกล่าวว่าหลังจากถูกล้อมบุญกว้างและพรรคพวกหลบหนีออกจาก เมืองนครราชสีมาไปได้


เมื่อทัพพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2309 กรมหมื่นเทพพิพิธพระโอรสใน พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จจากหัวเมืองชายทะเลตะวันออกมาเกลี้ยกล่อมให้พระยา นครราชสีมาเจ้าเมืองนครราชสีมาให้การสนับสนุนแด่พระองค์ในการกอบกู้อยุธยาจาก การล้อมของพม่า แต่พระยานครราชสีมาไม่ยินยอมด้วย กรมหมื่นเทพพิพิธจึงทรงส่ง หม่อมเจ้าประยงพระโอรสและหลวงมหาพิชัยลักลอบนำกองกำลังเข้าเมือง นครราชสีมาและทำการลอบสังหารพระยานครราชสีมา[12] กรมหมื่นเทพพิพิธจึงทรง สามารถยึดเมืองนครราชสีมาได้แต่เพียงไม่นานน้องชายของพระยานครราชสีมาที่ถูก สังหารไปนั้นคือหลวงแพ่งหลบหนีไปยังเมืองพิมายขอความช่วยเหลือจากพระพิมายผู้ เป็นเจ้าเมืองพิมายในการยึดเมืองนครราชสีมาคืนจากกรมหมื่นเทพพิพิธ พระพิมาย และหลวงแพ่งยกทัพจากเมืองพิมายเข้ามายึดเมืองนครราชสีมาได้สำเร็จและจับกุม กรมหมื่นเทพพิพิธ พระพิมายไว้พระชนม์ชีพกรมหมื่นเทพพิพิธและเชิญกรมหมื่นเทพ พิพิธไปประทับที่เมืองพิมาย หลวงแพ่งได้เป็นพระยานครราชสีมา สมัยกรุงธนบุรี หลังกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในพ.ศ. 2310 เจ้าเมืองพิมายจึงยกให้กรมหมื่นเทพ พิพิธขึ้นเป็น"เจ้าพิมาย" เกิดชุมนุมเจ้าพิมายขึ้น เจ้าพิมายกรมหมื่นเทพพิพิธทรงแต่งตั้ง เจ้าเมืองพิมายเดิมเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (พระพิมาย) ยก ทัพเข้าลอบสังหารพระยานครราชสีมา (หลวงแพ่ง) ชุมนุมเจ้าพิมายมีเขตอำนาจตั้งแต่ สระบุรี[12]ขึ้นไปจรดเขตแดนของอาณาจักรล้านช้าง เป็นหนึ่งในชุมนุมต่างๆที่เกิดขึ้น หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาโดยมีกรมหมื่นเทพพิพิธหรือเจ้าพิมายป็นผู้นำ ในพ.ศ. 2311 หลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตีค่ายโพธิ์สามต้นแตกแล้ว มองย่าปลัดทัพฝ่าย พม่าหลบหนีมาเข้าพวกกับชุมนุมพิมาย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงยกทัพติดตาม ขึ้นมาตีชุมนุมเจ้าพิมาย เจ้าพิมายให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (พระพิมาย) ตั้งรับอยู่ที่ด่าน


จอหอ (ตำบลจอหอ อำเภอเมือง) และให้พระยาวรวงษาธิราชบุตรชายของเจ้าพระศรีสุ ริยวงษ์ตั้งทัพอยู่ที่ด่านขุนทด[12] ทัพหลวงของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพเข้า ยึดค่ายของเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (เจ้าพิมาย) ที่จอหอได้สำเร็จ เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ (พระพิมาย) ถูกจับกุมและประหารชีวิต พระราชวรินทร์ (ทองด้วง) ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระมหามนตรี (บุญมา) ต่อมาคือกรม พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เข้ายึดค่ายของพระยาวรวงษาธิราชที่ด่านขุนทดได้ สำเร็จ เมื่อทัพทั้งสองพ่ายแพ้แก่ธนบุรีเจ้าพิมายจึงหลบหนีจากเมืองพิมายไปยังลาว ล้านช้างแต่ขุนชนะจับเจ้าพิมายมาถวายแด่พระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีฯทรง สำเร็จโทษเจ้าพิมายและแต่งตั้งให้ขุนชนะเป็นพระยากำแหงสงครามครองเมือง นครราชสีมา[12] ชุมนุมเจ้าพิมายจึงสิ้นสุดลงและนครราชสีมาจึงเข้ามาอยู่ภายใต้การ ปกครองของธนบุรี ในสมัยธนบุรีปรากฏมีนามเจ้าเมืองนครราชสีมาได้แก่ พระยากำแหงสงคราม (ขุนชนะ) และ"เจ้าพระยานครราชสีมา"[13] (ปิ่น) เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ทรงยกทัพไปอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ปีพ.ศ. 2321 นั้น เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) ได้เป็นทัพหน้า ในพ.ศ. 2323 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงให้พระยากำแหง สงคราม (ขุนชนะ) ย้ายไปรับราชการที่ธนบุรีและแต่งตั้งให้หลวงนายฤทธิ์ (ทองอิน) เป็นพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) เป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา (ต่อมาคือเจ้าฟ้ากรมพระ อนุรักษ์เทเวศร์) และพระอภัยสุริยา (บุญเมือง) เป็นปลัดเมืองนครราชสีมา (ต่อมาคือ เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์) ในช่วงปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีฯเมื่อเกิดการ กบฏพระยาสรรค์ขึ้น พระยาสุริยอภัยเจ้าเมืองนครราชสีมาได้นำกำลังทหารของ นครราชสีมาเข้าควบคุมสถานการณ์ที่กรุงธนบุรีไว้ก่อนที่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยา สุรสีห์จะยกทัพกลับมาจากกัมพูชาและเกิดการเปลี่ยนแผ่นดิน


สมัยรัตนโกสินทร์ ท้าวสุรนารี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงแต่งตั้งให้พระยา นครราชสีมา (เที่ยง) บุตรของเจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) เป็นเจ้าเมืองนครราชสีมา เมื่อสยามมีอำนาจเหนือหัวเมืองประเทศราชลาวล้านช้างทำให้เมืองนครราชสีมามี ความสำคัญในฐานะเป็นช่องทางและสื่อกลางระหว่างส่วนกลางที่กรุงเทพฯและ ประเทศราชลาว เมืองนครราชสีมาจึงถูกยกฐานะขึ้นมาเป็นเมืองชั้นเอก เจ้าเมือง นครราชสีมามีอำนาจในการสอดส่องดูแลประเทศราช ๓ เมือง คือ เวียงจันทน์ นครพนม จำปาศักดิ์ รวมทั้งหัวเมืองเขมรป่าดง ในสมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ. 2362 เกิด กบฏอ้ายสาเกียดโง้งที่อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ มีรับสั่งให้พระยานครราชสีมา (เที่ยง) นำกองทัพไปปราบ ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครราชสีมาต่อจากพระยา นครราชสีมา (เที่ยง) คือเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เป็นบุตรบุญธรรมของ เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น) ในสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2369 ขณะที่เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) กับพระ ปลัดเมืองนครราชสีมากำลังอยู่ในราชการที่เมืองขุขันธ์อยู่นั้น เจ้าอนุวงศ์ยกทัพลาวมา ยึดครองเมืองนครราชสีมาได้และสั่งให้กวาดต้อนชาวเมืองนครราชสีมาไปยัง เวียงจันทน์ พระยาพรหมยกกระบัตรเมืองนครราชสีมาจำต้องยอมจำนนต่อเจ้าอนุวงศ์ ฝ่ายพระปลัดเมืองนครราชสีมาเมื่อทราบว่าฝ่ายลาวเข้ายึดเมืองนครราชสีมาแล้วจึงรีบ เดินทางกลับมายังนครราชสีมาแสร้งทำทีว่าเข้าสวามิภักดิ์ต่อเจ้าอนุวงศ์ พระปลัดเมือง พระยาพรหมยกกระบัตร จึงนำชาวเมืองนครราชสีมาติดตามเจ้าอนุวงศ์ไปจนกระทั่งถึง ทุ่งสัมฤทธิ์ (ตำบลสัมฤทธิ์ อำเภอพิมาย) พระปลัดเมืองและพระยาพรหมจึงนำกอง กำลังชาวเมืองนครราชสีมาเข้าโจมตีฝ่ายลาว ในขณะที่คุณหญิงโมภริยาของพระปลัด


เมืองฯนำทัพของผู้หญิงถืออาวุธเป็นกระบองและหลาวทำจากไม้[14]เข้าต่อสู้กับฝ่าย ลาว นำไปสู่วีรกรรมที่ทุ่งสัมฤทธิ์ นางสาวบุญเหลือบุตรีของหลวงเจริญกรมการเมือง ผู้น้อยฯวิ่งนำคบเพลิงไปจุดชนวนเกวียนบรรทุกกระสุนดินดำทำให้เกิดระเบิดอย่าง รุนแรง นางสาวบุญเหลือสละชีพเสียชีวิตไปพร้อมกับเพี้ยรามพิชัยขุนพลฝ่ายลาว เหตุการณ์วีรกรรมที่ทุ่งสัมฤทธิ์ทำให้เจ้าอนุวงศ์ต้องถอยทัพกลับไปโดยให้เจ้าโถงผู้เป็น หลานตั้งมั่นอยู่ที่เมืองพิมาย ต่อมาในพ.ศ. 2370 คุณหญิงโมจึงได้รับการปูนบำเหน็จ แต่งตั้งให้เป็น "ท้าวสุรนารี" กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงยกทัพมาตั้งมั่นที่ นครราชสีมา เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ กรม พระราชวังบวรฯมีพระบัณฑูรให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) อยู่ฟื้นฟูเมือง นครราชสีมาให้กลับขึ้นมาดังเดิม[14] พระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ต่อมาคือเจ้าพระยาบ ดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สามารถตีทัพของเจ้าโถงแตกพ่ายไปแล้วยึดเมืองพิมายคืน มาได้ เมื่อ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ถึงแก่กรรม พระพรหมบริรักษ์ (เกษ) บุตรชายคนโตของเจ้าพระยาบดินทรเดชาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าเมือง นครราชสีมาคนต่อมา เมื่อว่างเว้นจากสงคราม เมืองโคราชได้ฟื้นตัวขึ้นใหม่กลายเป็นชุมทาง การค้าที่ สำคัญ ในการติดต่อระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคกลาง มีกองเกวียน กอง คาราวานการค้า ขนาดใหญ่ผ่าน และ หยุดพักอยู่เสมอ ในสมัยรัชกาลที่ 4 บาทหลวงปาลเลกัวซ์ ได้เขียนว่า ตัวเมืองโคราชล้อมรอบด้วย กำแพงตั้งอยู่บนที่ราบสูง เดินทางจากบางกอกใช้เวลา 6 วันโดยไต่ระดับสูงขึ้นไปตาม เส้นทาง ดงพญาไฟ ประชากรโคราชมีประมาณ 60,000 คน ครึ่งหนึ่งเป็นคนสยาม อีก ครึ่งหนึ่งเป็นคนเขมร ในตัวเมืองมีประชากร 7,000 คน มีคนจีนประมาณ 700 คน มี


เหมืองแร่ทองแดง มีโรงหีบอ้อย สินค้า คือ ข้าว งาช้าง หนังสัตว์ เขาสัตว์ ไม้เต็ง อบเชย ในรัชกาลนี้ เจ้าพระยานครราชสีมา (เกษ) ได้เลื่อนเป็น เจ้าพระยามุขมนตรี (เกษ) และ เจ้าเมืองนครราชสีมาคนต่อมาคือ พระยานครราชสีมา (แก้ว) บุตรชายคน รองของเจ้าพระยาบดินทรเดชา หลังจากนั้น พระยานครราชสีมา (แก้ว) ได้เลื่อนเป็น เจ้าพระยายมราช (แก้ว) และ เจ้าเมืองคนต่อมาคือ พระยานครราชสีมา (เมฆ) บุตรชายคนโตของ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระยานครราชสีมา (เมฆ) บุตรของ เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ได้เป็นแม่ทัพบกไปปราบจีนฮ่อที่เมืองหนองคาย ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งมณฑล นครราชสีมาเพื่อควบคุมดูแลหัวเมืองในบริเวณใกล้เคียง เป็นมณฑลแรกของประเทศ มีพระยานครราชสีมา (กาจ สิงหเสนี) บุตรเขยของพระยานครราชสีมา (เมฆ) เป็นผู้ว่า ราชการคนแรก มีการจัดตั้งกองทหารประจำมณฑลตามหลักสากล มีการตั้งโรงเรียน นายร้อยตำรวจที่นครราชสีมา มีการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ผ่านอยุธยา สระบุรี ดงพญาไฟ ไปสู่นครราชสีมา จนเปิดการเดินรถไฟหลวง สายกรุงเทพ - นครราชสีมา ได้สำเร็จ การคมนาคมติดต่อสะดวกขึ้นเป็นอย่างมาก ในช่วงเดียวกันฝรั่งเศสได้เข้ามา มีอำนาจเหนือคาบสมุทรอินโดจีน ทำให้สยามจำต้องเร่งการปรับปรุงพัฒนา ราชอาณาจักรโดยเฉพาะในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการจัดตั้งการขนส่งปรษณียภัณฑ์ทางอากาศ และ สายการ บินระหว่าง กรุงเทพ - นครราชสีมา มีการขยายเส้นทางรถไฟสายอีสาน จนสามารถ ขยายเส้นทางการเดินรถไฟจาก นครราชสีมา ถึง ขอนแก่น และ นครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี ได้สำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 7


ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์เจ้าบวรเดช ได้รวบรวมกองกำลัง ทหารจากมณฑลนครราชสีมาเป็นหลัก ร่วมกับ พันเอกพระยาศรีสิทธิ์สงคราม เพื่อทำ การต่อสู้กับคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะผู้ก่อการได้ยกกองกำลังเข้ามาล้อม กรุงเทพฯ แต่เมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อในที่สุดก็ต้องถอยทัพและประสบความพ่ายแพ้ เนื่องจากมีกำลังที่น้อยกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ พันโทหลวงพิบูลสงครามผู้บัญชาการ กองกำลังผสมฝ่ายรัฐบาล มีอำนาจในการควบคุมกำลังทหารมากขึ้นส่งผลให้ได้อำนาจ ทางการเมืองและจัดตั้งรัฐบาลทหารได้ในเวลาต่อมา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทหารในสังกัด มณฑลทหารบกที่ 3 นครราชสีมา ได้ทำการร่วมรบในกรณีพิพาทอินโดจีน กองทัพไทยสามารถยึดดินแดน กลับคืนมาบางส่วน เป็นการชั่วคราว หลังสงครามยุติสหรัฐอเมริกาได้ให้ความ ช่วยเหลือสร้างถนนมิตรภาพ จาก สระบุรี ถึง นครราชสีมา ซึ่งเป็นทางหลวงที่ได้ มาตรฐานดีที่สุดของประเทศในขณะนั้น ในช่วงสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาได้ขอใช้นครราชสีมาเป็นฐานบัญชาการ การรบ มีการสร้างฐานบินโคราช และต่อมาไทยได้เปลี่ยนให้เป็น กองบิน 1 ซึ่งเป็นฐาน กำลังรบทางอากาศหลักของกองทัพอากาศไทยในปัจจุบัน โดยมีมีเครื่องบิน F-16 ประจำการอยู่สองฝูงบิน ในปี พ.ศ. 2523 มีความพยายามรัฐประหารโดยกลุ่มทหารของ พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา แต่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ทรงแปรพระราชฐานไปประทับที่ นครราชสีมา กองกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 2 นำโดยพลตรี อาทิตย์ กำลังเอกได้


เป็นกองกำลังหลักในการปราบกบฏลงได้ในที่สุด หลังจากนั้น อดีตผู้บัญชาการกองทัพ ภาคที่ 2 หลายท่านได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในเวลาต่อมา เนื่องจากความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ปัจจุบัน นครราชสีมา จึงได้กลายเป็นเมือง ศูนย์กลางการปกครองที่สำคัญรองจากกรุงเทพมหานคร เป็นประตูสู่อิสาน เป็น ศูนย์กลางการคมนาคมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของกองฐาน กำลังรบหลักของกองทัพบก และกองทัพอากาศในปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2553 ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากฝนช่วง ปลายฤดูตกหนักในบริเวณต้นแม่น้ำมูล นับเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ที่มา :https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวัดนครราชสีมา ประชากรศาสตร์ ปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมามีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และมากเป็นอันดับสองของประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยประชากรหลากหลายเชื้อชาติหรือหลายชาติพันธุ์ แต่กลุ่มชาติพันธุ์ใน จังหวัดนครราชสีมาที่มีจำนวนมากมีอยู่สองกลุ่มใหญ่คือ ไทย (หรือเรียกอีกอย่างว่า ไท โคราช) และอีกกลุ่มคือชาวลาว และ ชาวอีสาน(ตอนบนและด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ของเขตจังหวัด) และมีชนกลุ่มน้อยอีกได้แก่ มอญ กุย (หรือส่วย) ชาวบน จีน ไทยวน ญวน และแขก ไทโคราช ชาวไทยสยามเก็บน้ำตาล กลุ่มชาติพันธุ์ไทยที่อยู่ในนครราชสีมาเรียกอีกอย่างว่า ไทโคราช เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุด ในจังหวัดนครราชสีมา คนกลุ่มนี้ใช้ภาษาคล้ายคนไทยภาคกลาง เพียงแต่เสียง


วรรณยุกต์เพี้ยนไปบ้าง และมีคำศัพท์สำนวนบางอย่างที่มีลักษณะเป็นของตนเอง เดิม ถิ่นนี้ชาวพื้นเมืองเป็นละว้า ชาวไทยภาคกลางได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัย สมัยกรุงศรี อยุธยา พระเจ้าอู่ทองให้ขุนหลวงพะงั่วยกกองทัพมารวบรวมดินแดนแถบนี้เข้ากับกรุง ศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองโปรดฯให้กองทหารอยุธยาตั้งด่านอยู่ประจำ และส่งช่างชาว อยุธยามาก่อสร้างบ้านเรือนและวัดวาอารามเป็นอันมาก ชาวไทยอยุธยาได้อพยพเข้า มาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และได้อพยพมาอยู่ นครราชสีมาอีกระลอกหนึ่งคือ คราวเสียกรุงครั้งที่ 2 โดยมีชาวไทยชายฝั่งทะเลภาค ตะวันออกได้อพยพเข้ามาเพิ่มด้วย ชาวไทยกลุ่มนี้และชาวไทยพื้นเมืองเดิม (เข้าใจว่า เป็นชาวสยามลุ่มน้ำมูล) สืบเชื้อสายเป็นชาวไทยโคราชและรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีสืบทอดกันมา กลุ่มไทโคราชเป็นกลุ่มที่แสดงเอกลักษณ์ของเมืองนครราชสีมา เพราะสำเนียงแตกต่าง จากกลุ่มอื่น เป็นกลุ่มที่พูดภาษาไทยโคราชซึ่งคล้ายคลึงภาษาไทยกลางแต่สำเนียง เพี้ยน เหน่อ ห้วนสั้น เกิ่นเสียง มีคำไทยลาว (อีสาน) ปะปนบ้างเล็กน้อย ชาวไทย โคราชแต่งกายแบบไทยภาคกลาง รับประทานข้าวเจ้า อาหารทั่วไปคล้ายคลึงภาค กลาง ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมคล้ายไทยภาคกลาง ปัจจุบัน กลุ่มไทย โคราชอาศัยอยู่หนาแน่นในอำเภอต่อไปนี้ เช่น อำเภอเมืองนครราชสีมา อำเภอโนนสูง อำเภอโนนไทย อำเภอด่านขุนทด อำเภอพระทองคำ อำเภอเทพารักษ์ อำเภอเฉลิม พระเกียรติ อำเภอขามทะเลสอ อำเภอขามสะแกแสง อำเภอโชคชัย อำเภอหนองบุญ มาก อำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง อำเภอวังน้ำเขียว อำเภอสีคิ้ว อำเภอปากช่อง อำเภอ สูงเนิน และ อำเภอพิมาย และยังพบชาวไทยโคราชในบางส่วนของจังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยภูมิ (อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอเทพสถิต และ อำเภอซับ ใหญ่)และจังหวัดบุรีรัมย์ (อำเภอเมืองบุรีรัมย์ นางรอง และหนองกี่)


ชาวไทอีสาน ชาวไทอีสานเป็นกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนประชากรมากรองจากกลุ่มไทโคราช อาศัยอยู่มาก ในอำเภอต่อไปนี้ของจังหวัดนครราชสีมา เช่น อำเภอบัวใหญ่ อำเภอบัวลาย อำเภอสี ดา อำเภอแก้งสนามนาง อำเภอประทาย อำเภอโนนแดง อำเภอบ้านเหลื่อม อำเภอ เมืองยาง อำเภอลำทะเมนชัย อำเภอปักธงชัย อำเภอสูงเนิน อำเภอคง อำเภอห้วย แถลง อำเภอชุมพวง อำเภอจักราชและบางส่วนของ อำเภอพิมาย อำเภอครบุรี อำเภอ เสิงสาง อำเภอวังน้ำเขียว และ อำเภอสีคิ้ว เป็นต้น ชาวไทยอีสานพูดภาษาอีสาน ท้องถิ่นคล้ายกับจังหวัดอื่นๆในภาคอีสาน และมีขนบธรรมเนียมประเพณีเหมือนชาว อีสานทั่วไป ชาวไทยเชื้อสายลาว อพยพเข้ามาอยู่สมัยสงครามปราบปรามเมืองเวียงจันทน์ในสมัยกรุงธนบุรี และสมัย ปราบเจ้าอนุวงศ์ในรัชกาลที่3 มีการกวาดต้อนครอบครัวลาวเข้ามาอยู่ในหัวเมืองชั้นใน หลายครั้ง และมีการอพยพเข้ามาโดยสมัครใจเพิ่มขึ้นในระยะหลัง คนกลุ่มที่นี้มักเรียก กันว่า "ลาวเวียง" มีการใช้ภาษาลาวสำเนียงเวียงจันทน์ซึ่งต่างกับภาษาอีสานสำเนียง ท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง กระจายอาศัยกันอยู่ทั่วไปในจังหวัดนครราชสีมา โดยส่วนมากมัก พบที่อำเภอสูงเนินและอำเภอปักธงชัย ปัจจุบันสืบหาแทบไม่ได้แล้วเนื่องจากการเท ครัวมีมานับ200ปีและมีการแต่งงานกับคนพื้นเมือง มีจำนวนน้อยที่สืบหาได้ว่ามีเชื้อ สาวลาวเวียงจันทน์ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ เช่น การเก็บรักษาผ้าซิ่นแต่เดิมไว้ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เนื่องจากชาวลาวเวียงจันทน์อพยพมาจากเมืองที่มี วัฒนธรรมสูง มักจะมีของมีค่าติดตัวมาด้วย เช่น ผ้าซิ่น ข้าวของเครื่องใช้ รวมถึง วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบชาวเวียงจันทน์ที่ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ชาวลาว เวียงจันทน์อพยพมากที่สุดในสมัยรัชกาลที่3 เนื่องจากมีการทำสงครามกับเวียงจันทน์


หลายครั้ง และเป็นครั้งใหญ่ที่ทำลายนครเวียงจันทน์อย่างราบคราบ จึงทำให้ชาวลาว เวียงจันทน์ถูกเกณฑ์เป็นเชลยจำนวนมาก โดยหัวเมืองใหญ่อย่างนครราชสีมารับชาว เชลยไว้เป็นจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือกระจายไปตามหัวเมืองต่างๆในภาคกลาง มอญ จากการสำรวจสำมะโนประชากรของจังหวัดนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ. 2446 ในสมัย รัชกาลที่ 5 พบว่า มีชาวมอญอยู่จำนวน 2,249 คน จากจำนวนประชากรของ นครราชสีมา 402,668 คน ชาวมอญอพยพเข้ามาอยู่บริเวณเมืองนครราชสีมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2318 ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชทานครัวมอญที่อพยพ เข้ามาสวามิภักดิ์ มีเจ้าพระยามหาโยธา (พญาเจ่ง) ต้นสกุล "คชเสนี" เป็นหัวหน้า แบ่ง ให้พระยานครราชสีมานำขึ้นมาอยู่ที่เมืองนครราชสีมา ตั้งครัวมอญที่ลำพระเพลิง เขต อำเภอปักธงชัยที่บ้านพลับพลา อำเภอโชคชัย พระยาศรีราชรามัญผู้เป็นหัวหน้าพา ญาติพี่น้องมาอยู่ในเมืองเป็นสายกองส่วยทอง ตั้งบ้านเรือนเรียกว่าบ้านมอญ เมื่อเกิด กบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อ พ.ศ. 2336 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ คชเสนี) คุมกองมอญมาสมทบมาร่วมรบกับกำลังฝ่าย ไทย เมื่อเสร็จศึกแล้วพวกมอญเห็นเมืองปักธงชัยอุดมสมบูรณ์จึงมาตั้งถิ่นฐาน ปัจจุบัน ชาวมอญในนครราชสีมายังรักษาวัฒนธรรมประเพณีมอญไว้ เช่น ภาษา การไหว้ผี การ เล่นสะบ้าในเขตบ้านท่าโพธิ บ้านสำราญเพลิง ตำบลนกออก อำเภอปักธงชัย ประกอบ อาชีพทำนา ทำสวน ทำเครื่องปั้นดินเผา ภาษามอญจะใช้พูดในชาวไทยมอญที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป คนรุ่นหลังจากนี้จะพูดภาษาไทยโคราชทั้งสิ้น ส่วย ส่วย หรือ ข่า เป็นชนพื้นเมืองของหัวเมืองเขมรป่าดงและเมืองนครราชสีมา พูดภาษา ตระกูลมอญ-เขมร ได้อยู่ในพื้นที่นี้ก่อนที่คนไทยจะเข้ามามีอิทธิพลเหนือดินแดนบริเวณ


ลุ่มแม่น้ำมูลตอนบน เมื่อ พ.ศ. 2362 เจ้าเมืองนครราชสีมา (ทองอินทร์) ตีข่าได้ แล้ว นำมายังเมืองนครราชสีมา ภาษาส่วย เป็นภาษาของชาวส่วยที่อพยพมาจากจังหวัด สุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดบุรีรัมย์ ที่มาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ ตำบลห้วยแถลง อำเภอห้วยแถลง ปัจจุบันมีเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ที่ยังคงใช้ภาษาส่วยในกลุ่ม ของตนเอง นอกจากนั้นจะใช้ภาษาไทยโคราชเป็นพื้น ญัฮกุร ญัฮกุร หรือ เนียะกุล เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ตามไหล่เขาหรือเนินเขาเตี้ย ๆ บริเวณด้านในของที่ราบสูงโคราช ชาวบนอาจสืบเชื้อสายมาจากคนในสมัยทวารวดี อยู่ ในบางหมู่บ้านของอำเภอปักธงชัย อำเภอครบุรี และอำเภอหนองบุญมาก ภาษาชาว บน เป็นภาษาตระกูลมอญ-เขมร ปัจจุบันชาวบนพูดภาษาชาวบนเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นใช้ภาษาไทยโคราช ไทยวน ไทยวน หรือ ไทยโยนก เป็นเผ่าไทยในภาคเหนือของไทย ได้อพยพเข้ามาอยู่ที่ อำเภอสีคิ้วสองทางด้วยกันคือ พวกแรกอพยพจากทางเหนือมาอยู่ที่อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ต่อมาเจ้าเมืองสระบุรีต้องการตั้งกองเลี้ยงโคนมที่เมืองนครจันทึก จึงได้ แบ่งครอบครัวชาวไทยวนจากอำเภอเสาไห้ไปอยู่ที่อำเภอสีคิ้ว ส่วนอีกพวกหนึ่งอพยพ มาจากเวียงจันทน์ ชาวไทยวนยังรักษาประเพณีและวัฒนธรรมแบบโยนกไว้ได้ดีมาก ภาษาไทยวน ใช้พูดในหมู่ไทยวนด้วยกันเองซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000 คน ในเขตอำเภอสี คิ้ว ในท้องที่ตำบลลาดบัวขาว ตำบลสีคิ้ว และตำบลบ้านหัน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเชื้อ สาย ชาวจีน, ชาวเวียดนาม, และแขก (อินเดีย, บังคลาเทศ, ปากีสถาน ฯลฯ) ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/นครราชสีม


โบราณสถานและวัตถุ ปราสาทหินพิมาย (19 ต.ค. 2564) ปราสาทหินพิมาย ตั้งอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โดยสร้างขึ้นในราว ปลายพุทธศตวรรษที่ 16 และได้ถูกต่อเติมอีกครั้งในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งมี จุดเด่นที่แตกต่างไปจากปราสาทหินแห่งอื่น ๆ ในประเทศ ไทย ปราสาทเมืองเสมา (19 ต.ค. 2564) ปราสาทเมืองเสมา ตั้งอยู่ที่ตำบลเสมา มีระยะทางห่างจาก นครราชสีมาประมาณ 37 กิโลเมตร และเป็นโบราณสถาน เมืองโบราณที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัด นครราชสีมา เชื่อกันว่าบริเวณนี้เป็นชุมชนเก่าก่อนที่จะย้าย มาที่ตัวเมืองนครราชสีมาในปัจจุบัน ปราสาทเมืองเก่า (18 ต.ค. 2564) ปราสาทเมืองเก่า สร้างขึ้นในช่วงปี 1724 - 1758 ตรงกับ สมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่โปรดเกล้าฯ ทั่ว ราชอาณาจักรขอมให้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอโรคยาศาล หรือ


โรงพยาบาล จำนวน 102 โดยสร้างขึ้นจากศิลาแลง และหิน ทราย ปราสาทพนมวัน (18 ต.ค. 2564) ปราสาทหินพนมวัน ปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ที่บ้านมะค่า ตำบลโพธิ์ ถนนสายโคราชขอนแก่น จังหวัดนครราชสีมา สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เพื่อเป็นเทวสถานตามคติความเชื่อในเรื่องสถาปัตกรรม ของเขมรโบราณ ปราสาทเมืองแขก (19 มิ.ย. 2560) เป็นศาสนสถานแบบศิลปะขอมที่มีขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของ โคราช ตั้งอยู่ห่างจากปราสาทโนนกู่ไปประมาณ 500 เมตร ปราสาทเมืองแขกตั้งอยู่ที่ บ้านกกกอก หมู่ที่ 7 ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน ห่างจากแยกวัดญาณโศภิตวนาราม 3.5 กิโลเมตร ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคมของทุกปีจะมีการจัดงาน “กิน เข่าค่ำ” ของดีเมืองสูงเนินขึ้นบริเวณปราสาทเมืองแขก และ ปราสาทโนนกู่ อีกด้วย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์(19 มิ.ย. 2560)


ปราสาทโนนกู่ (30 ก.ย. 2558) ปราสาทองค์ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในเมืองโคราฆปุระ ก่อด้วยอิฐ ปนทราย สร้างเป็นปราสาทหลังเดี่ยวตั้งบนฐานสูง ด้านหน้า มีวิหารหันหน้าเข้าหาปราสาทประธานอันเป็นที่สถิตของ พระศิวะมหาเทพ ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูในราว พุทธศตวรรษที่ 16 มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญา : ผ้าหางกระรอก (18 ต.ค. 2564) ผ้าทอโบราณแห่งเมืองโคราช ที่สืบทอดกรรมวิธีและภูมิ ปัญญา อันงดงาม ความประณีตในการทอผ้ามากว่าร้อยปี เป็นผ้าประจำจังหวัดนครราชสีมา ตามคำขวัญเดิมของ จังหวัด - "นกเขาคารม อ้อยคันร่ม ส้มขี้ม้า ผ้าหางกระรอก ดอกสายทอง แมวสีสวาท" มรดกภูมิปัญญา : ผ้าทอไท-ยวน (18 ต.ค. 2564) การทอผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อน และบ่งบอกถึงอัต ลักษณ์ของชาวไท-ยวนผ่านเรื่องราวของผ้า ที่ผูกพันกับการ ดำรงชีวิตของชาวไท – ยวน อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา มาเกือบ ๒๐๐ ปี


มรดกทางภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม : เรือนโคราช (24 พ.ย. 2560) สถาปัตยกรรม ที่เกิดจากภูมิปัญญาของาบรรพชนที่ได้สั่งสม กลั่นกรอง และพัฒนาจนก่อรูปเป็น เรือนโคราชอันทรงคุณค่า ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม : เพลงโคราช (23 พ.ย. 2560) ศิลปะการแสดงพื้นบ้านประจำถิ่นของชาวไทยโคราช ที่ใช้ ภาษาโคราชร่วมกับท่วงทำนองเป็นเพลงปฏิพากษ์ตอบโต้กัน เพื่อความบันเทิงสนุกสนาน อีกทั้ง ยังสอดแทรกแง่คิดคติธรรม สะท้อนมุมมอง การดำรงชีวิตของคนในท้องถิ่นในจังหวัด นครราชสีมา ด้วยลีลาการร้อง และการรำที่เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะของเพลงโคราช


ประเพณีท้องถิ่น งานกินเข่าค่ำ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา (19 ต.ค. 2564) กิจกรรมการรับประทานอาหารให้เป็นแบบขันโตก ที่จัดขึ้นใน สัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคมของทุกปี ณ บริเวณปราสาท เมืองแขก บ้านกกกอก ตำบลโคราช อำเภอสูงเนิน จังหวัด นครราชสีมา งานวันพริก อำเภอขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา (19 ต.ค. 2564) "แหล่งพริกพันธุ์ดี หมี่เส้นสวย กล้วยลูกใหญ่ แตงไทยหวาน สืบสานวัฒนธรรม" – คำขวัญประจำอำเภอขามสะแกแสง ประเพณีแข่งเรือพิมาย (24 ส.ค. 2561) ประเพณีแข่งเรือพิมาย (ชื่อเดิม) เป็นงานประเพณีที่สืบทอด ต่อกันมายาวนาน มากกว่า 100 ปี ประเพณีแข่งว่าว (3 ก.ค. 2560) การแข่งว่าว เป็นแนวคิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่ยังมีอยู่ใน พื้นที่อำเภอสูงเนิน ประเพณีตานก๋วยสลาก คนไท-ยวน (3 ก.ค. 2560) ประเพณีตานก๋วยสลาก คือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ ผู้ล่วงลับ หรือสังฆทาน


งานวันข้าวใหม่ปลามัน (20 มิ.ย. 2560) จัดงานวันข้าวใหม่ปลามัน อำเภอโนนแดง เป็นประจำทุกปี ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอโนนแดง งานผ้าไหมปักธงชัยและของดีเมืองโคราช จังหวัด นครราชสีมา (10 มี.ค. 2560) อำเภอปักธงชัย เป็นอำเภอที่มีชื่อเสียงในด้านการทอผ้าไหม คุณภาพดีมาช้านาน ที่แต่ละปีชาวบ้านสามารถสร้างรายได้จาก การทอผ้าไหมเพื่อส่งจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวน มาก งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี(10 มี.ค. 2560) งานฉลองวันแห่งชัยชนะท้าวสุรนารี หรือ "งานย่าโม” เป็น งานประจำปีของจังหวัดนครราชสีมา อาหารพื้นเมือง ขนมเทียนฟักทอง บ้านโพนสูง (19 ต.ค. 2564) ขนมเทียน ขนมไทยที่มีมาแต่โบราณ ชุมชนมีการนำเอาผลผลิตที่มีอยู่แล้วใน ชุมชน เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบ


ขนมต้มห่อใบเตย ปักธงชัย (19 ต.ค. 2564) ขนมต้มหัวหงอกมีลักษณะคล้ายข้าวต้มมัด เพราะใช้ข้าวสาร เหนียว, กล้วย, ใบตอง ต่างกันตรงที่ข้าวต้มหัวหงอกไม่ใส่กะทิ ไม่ใส่น้ำตาล ข้าวต้มหัวหงอกเป็นของโบราณ ส้มตำโคราช (19 มิ.ย. 2560) ส้มตำโคราชเป็นส้มตำที่เป็นลูกผสมระหว่างตำไทยและตำ ลาว คือรสชาติจะเปรี้ยว หวาน เค็มซึ่งความเค็มจะมาจาก น้ำปลาร้า ไก่ย่างท่าช้าง (19 มิ.ย. 2560) ไก่ย่างท่าช้างมีประวัติยาวนานถึง 60 ปี ไก่ย่างท่าช้างมี เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร อร่อย รสชาติดี ขนมจีนประโดก (30 ก.ย. 2558) ขนมจีนที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันมากคือ ขนมจีนของ "บ้าน ประโดก” ซึ่งอยุ่ในตัวเมืองโคราช คนในหมู่บ้านนี้มีอาชีพ ทำขนมจีนมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ผัดหมี่โคราช (30 ก.ย. 2558) ผัดหมี่โคราช หรือ คั่วหมี่ [ขั่ว-หมี่] โคราช อาหารท้องถิ่นขึ้น ชื่อของจังหวัดนครราชสีมา ความพิเศษ "เส้นหมี่โคราช" มี ความเหนียวนุ่ม ผัดกับเครื่องสูตรลับเฉพาะของชาวโคราช


ข้าวแผะ (30 ก.ย. 2558) ข้าวแผะ หรือ ที่ชาวโคราชเรียกว่า เข่าแพะ เป็นอาหารที่เป็น เอกลักษณ์ ของชาวโคราชที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ศิลปะการแสดง การรำเซิ้งกลองยาว (18 ต.ค. 2564) การรำเซิ้งกลองยาว เป็นศิลปะการแสดงของชาว อำเภอลำทะเมนชัย การเซิ้งบั้งไฟ (18 ต.ค. 2564) การแสดงเซิ้งบั้งไฟของชาวบ้านในงานประเพณีบุญบั้งไฟที่ ตำบลดอนยาวใหญ่ อำเภอโนนแดง จังหวัดนครราชสีมา รำพั่ดตะปั๊ดเข่า (18 ต.ค. 2564) รำพั่ดตะปั๊ดเข่า เป็นการแสดงวิธีการทำนาหลังการเกี่ยวซึ่งมี ลีลาท่ารำประดิษ์มาจากท่าของการตะปัดข้าว เพลงโคราช (30 ก.ย. 2558) เพลงโคราช เป็นการร้องเพลงโต้ตอบที่พัฒนาไป เป็นการแสดง พื้นบ้านของชาวจังหวัดนครราชสีมาหรือ โคราช ซึ่งได้สืบทอดกัน มาเป็นเวลายาวนาน มีเอกลักษณ์ อยู่ที่การร้องรำเป็นภาษา โคราช


ที่มา : https://mocbackend.mculture.go.th/province/ewt/nakhonratchasima /main.php?filename=index


ตัวอย่างมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม 1. ภาษาถิ่นโคราช เอกลักษณ์และความเป็นมาของภาษาถิ่นโคราช “ไทโคราช” เป็นกลุ่มวัฒนธรรมที่โดดเด่นมากมีภาษาโคราชเป็นภาษาพูดของ ตนเอง มีลักษณะของการผสมผสานระหว่างภาษาไทยกลาง ภาษาอีสานและภาษา เขมรเข้าด้วยกัน คำศัพท์พื้นฐานส่วนใหญ่จะเป็นภาษาไทยกลางที่มีสำเนียงเพี้ยนไป จากเดิม เช่นหน้า สำเนียงเพี้ยนเป็น หน่า ม้า สำเนียงเพี้ยนเป็น ม่า ช้า สำเนียงเพี้ยนเป็น ช่า ค้า สำเนียงเพี้ยนเป็น ค่า ไป สำเนียงเพี้ยนเป็น ไป๋ อาย สำเนียงเพี้ยนเป็น อ๋าย คำศัพท์ภาษาโคราช เป็นคำศัพท์ที่ผสมผสานระหว่างภาษาไทยกลาง ภาษา อีสาน และ ภาษาเขมร เกิดเป็นคำศัพท์ใหม่ที่ค่อนข้างจะเฉพาะ มีใช้กันเฉพาะในภาษา โคราช อาทิ เช่น ตะลุก(หลุมเล็กๆ) , ฝนละลึม(ฝนตกปรอยๆ) ซึ่งคำศัพท์เหล่านี้มาจาก ศัพท์ในภาษาเขมร อีกตัวอย่างที่เป็นการนำเอาคำมาจากมาภาษาอีสาน เช่น เก๊บมั่กเก๊บเมี่ยน หรือ เอา ของไปเมี่ยน(เขาของไปเก็บ) คำว่าเมี่ยน มาจากภาษาอีสานเป็นต้น


ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของ ภาษาโคราช ถ้าจะเล่าประวัติศาสตร์และอธิบายความเป็นมาของภาษาโคราช หรือสำเนียง โคราชนั้น ต้องย้อนกลับไปช่วงก่อนปีพ.ศ. 2000 โดยเริ่มจากรัฐสุพรรณภูมิ (บริเวณ จังหวัดสุพรรณบุรีในปัจจุบัน) ใช้ภาษาไทย (มีสำเนียงเหน่อลาวลุ่มน้ำโขง) ในตระกูล ไต-ไท เป็นภาษากลางในการค้าขายทางบกกับดินแดนภายใน สถาปนาภาษาไทยและ ความเป็นไทยในรัฐอยุธยา สำเนียงเหน่อสุพรรณ คนในรัฐสุพรรณภูมิพูดภาษาไทย (ตระกูลตระกูลไต-ไท) เคลื่อนย้ายไปอยู่ใน อยุธยาเป็นเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ พลไพร่และประสมประสานเข้ากับกลุ่มคน ดั้งเดิมที่อยู่มาก่อน ซึ่งอยุธยาแต่เดิมใช้ภาษาเขมรเป็นหลักสืบต่อมาจากรัฐละโว้ (บริเวณจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน) อยุธยาใช้ภาษาเขมรทั้งในราชสำนักและในคนทั่วไป นอกนั้นใช้ภาษามอญ ภาษามลายู และอื่น ๆ เช่น ภาษาตระกูลมอญ-เขมร, ชวา-มลายู ฯลฯ สำเนียงหลวงอยุธยา เมื่อเวลาผ่านไป สำเนียงเหน่อจากสุพรรณก็กลายเป็นสำเนียงหลวงอยุธยา มี พยานสำคัญได้แก่ เจรจาโขนด้วยลีลายานคางสำเนียงเหน่อ หลัง พ.ศ. 2000 อยุธยา สถาปนาเมืองนครราชสีมา และสร้างกำแพงอิฐ กว่าจะสำเร็จมั่นคงลงหลักปักฐานต้อง มีกำลังคนของอยุธยาจำนวนไม่น้อยถูกเกณฑ์ให้เคลื่อนย้ายมาตั้งหลักแหล่ง เป็นคน หลากหลายต่างชาติพันธุ์ เช่น มอญ เขมร มลายู แต่ต้องสื่อสารด้วยภาษาไทย (ใน ตระกูลภาษาไทย-ลาว) ซึ่งเรียกว่าสำเนียงสองฝั่งโขงจนมากลายเป็นสำเนียงโคราช


สำเนียงสองฝั่งโขงนี้แพร่กระจายอยู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามาก่อนนานแล้ว ซึ่งในปัจจุบัน เรียกสำเนียงเหน่อ และสำเนียงเหน่อเดียวกันนี้ทางลุ่มน้ำมูลจะเรียกภายหลังว่า สำเนียงโคราช หากลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าสำเนียงโคราชจะมีความใกล้เคียงกับ สำเนียงระยองและจันทบุรีทางชายทะเลฝั่งตะวันออก นั่นก็เพราะว่าทั้งสำเนียงโคราช สำเนียงระยองและสำเนียงจันทรบุรี ทั้งหมดมีรากมาจากสำเนียงเหน่อ สรุปได้ว่า ภาษาโคราช ภาษาถิ่นโคราชหรือสำเนียงโคราช มีรากเหง้าจาก สำเนียงหลวงของคนลุ่มน้ำเจ้าพระยายุคต้นอยุธยาที่พูดเหน่อ คนภาคกลางยุคต้น อยุธยาถูกโยกย้ายขึ้นไปตั้งหลักแหล่งที่โคราช ในช่วงที่อยุธยาสถาปนาเมือง นครราชสีมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีการสร้างกำแพงอิฐ ประมาณหลังปีพ.ศ. 2000 เป็นต้นมา จนกลายเป็นภาษาโคราชหรือสำเนียงโคราชอย่างที่ได้ยินในปัจจุบัน ที่มา : สุจิตต์ วงษ์เทศ สำเนียงหลวงยุคอยุธยา ปัจจุบันเรียกเหน่อ ตกค้างตามท้องถิ่น ต่างๆ – https://www.matichon.co.th/columnists/news_825278 ไทเบิ้ง ไทเดิ้ง หรือ ไทดา ในบางบทความมีการระบุโดยมีใจความว่า “คนโคราชไม่ค่อยพอใจนักที่ถูก เรียกว่า ไทเบิ้ง หรือ ไทดา” ทางเว็บไซต์อีสานร้อยแปดจึงได้สอบถามข้อมูลจากคน โคราชหลากหลายช่วงอายุ ก็ไม่พบข้อเท็จจริงข้างต้น คำว่า เบิ้ง เดิ้ง แปลว่า หน่อย แสดงความขอร้อง เช่น ช่วยเบิ้ง ช่วยเดิ้ง แปลว่า ช่วยหน่อย, บอกเบิ้ง บอกเดิ้ง แปลว่า บอกหน่อย ส่วนคำว่า ดา แปลว่า ด้วย เป็นคำแสดงกริยาร่วมกันหรือในทำนองเดียวกัน เช่น กิน ดา แปลว่า กินด้วย


เนื่องจากทั้งคำว่า ไทเดิ้ง ไทเบิ้ง หรือ ไทดา ไม่ได้เป็นคำด่าหรือคำหยาบคายแต่ อย่างใด นอกจากนั้นคนโคราชก็เรียกแทนตัวเองว่าเป็นคนไทเดิ้ง ไทเบิ้ง หรือ ไทดา ด้วยซ้ำไป ดังนั้นคำเรียก ไทเบิ้ง ไทเดิ้ง หรือ ไทดา จึงอาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่บาง บทความได้ระบุไว้ ที่มา : https://esan108.com/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B 2%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A.html


2. เพลงโคราช เพลงโคราชเป็นการแสดงพื้นเมืองของจังหวัดนครราชสีมาเป็นมรดกทาง วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่สะท้อนถึงคติชนวิทยา วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวจังหวัดนครราชสีมา สันนิษฐานว่าเพลงโคราชมี มาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เพลงโคราชมีลักษณะเป็นเพลงปฏิพากษ์ที่ไม่มี ดนตรีประกอบการขับร้อง เน้นความคมคายและโวหารของเนื้อหาบทเพลงที่ใช้ในการ ขับร้องเป็นสำคัญ จารีตและความเชื่อในกระบวนการเรียนรู้เพลงโคราช ในอดีตการเรียนรู้การแสดงเพลงโคราช ผู้ที่สนใจจะเป็นหมอเพลงหรือผู้แสดง เพลงโคราชจะไปฝากตัวเป็นศิษย์กับครูเพลง เพื่อให้ครูเพลงพิจารณาน้ำเสียง บุคลิก และปฏิภาณไหวพริบซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเป็นหมอเพลงโคราช หากครูเพลง เห็นควรรับเป็นศิษย์ก็จะให้มาพำนักที่บ้านครูเพลงเพื่อฝึกหัดเป็นหมอเพลง ทั้งนี้ เริ่ม ด้วยการยกครูหรือทำพิธีบูชาครู เครื่องบูชาครูประกอบด้วย กรวยครู ๖ กรวย ดอกไม้ ขาว ๖ คู่ เทียน ๖ เล่ม ธูป ๑๒ ดอก ผ้าขาว ๑ ผืน เงินบูชาครู ๖ บาท (บางแห่งใช้ ๑๒ หรือ ๒๔ บาท) เหล้าขาว ๑ ขวด บุหรี่ ๑๒ มวน โดยศิษย์จะถือพานยกครูมาบูชา ครูเพลงเพื่อขอเป็นศิษย์ แล้วครูเพลงกล่าวนำให้ศิษย์ว่าตาม ครูจะทำน้ำมนต์ ประสระ (ครูเทน้ำมนต์รดศีรษะศิษย์) เพื่อเป็นสิริมงคล เมื่อศิษย์ทำการยกครูหรือบูชาครูแล้วครู


เพลงมักจะให้ศิษย์เข้ามาพำนักอยู่ที่บ้านครูเพลง โดยช่วงเวลากลางวันศิษย์ก็จะช่วยครู เพลงทำงานบ้านหรืองานในเรือกสวนไร่นา ในช่วงเวลากลางคืน ศิษย์จะฝึกหัดเพลง โคราชด้วยการต่อเพลงกับครูเพลงแบบปากต่อปาก คืนละ ๑ กลอน ศิษย์ต้องท่องจำ ให้ขึ้นใจและว่าให้ครูฟังในตอนเช้า หากจำไม่ได้ก็ต้องต่อใหม่ในคืนถัดไปจนกว่าจำได้ ในขั้นตอนการฝึกหัดนี้นอกจากฝึกการต่อเพลงแล้วครูจะฝึกการเอื้อนทำนอง การออก เสียง และการด้นกลอนสดจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เชี่ยวชาญ ครูบางท่านเสกคาถามุต โตลงบนใบไม้แล้วให้ศิษย์กิน หรือเสกน้ำมนต์ล้างหน้า เสกข้าว ๓ ปั้น ให้ศิษย์นั่งกินบน จอมปลวกช่วงตะวันขึ้น เชื่อกันว่าจอมปลวกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้ศิษย์มีสติปัญญาและ ปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม เรียกกันว่า “องค์สี่” คือ ปัญญาดี เสียงดี ชั้นเชิงดี และ ใจเย็น จารีตและความเชื่อในการแสดงเพลงโคราช เพลงโคราช เป็นการร้องเพลงโต้ตอบที่พัฒนามาเป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวจังหวัด นครราชสีมา หรือ โคราช ซึ่งได้สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน มีเอกลักษณ์อยู่ที่การ ร้องรำเป็นภาษาโคราช ในสมัยก่อนเพลงโคราชเป็นที่นิยมมาก การแสดงมหรสพต่างๆ มีเพลงโคราชเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันค่านิยมของผู้ฟังเพลงโคราชเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งด้านเนื้อหา รูปแบบการแสดง และความนิยมของคนโคราชเอง เนื้อหาของเพลงโคราชขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะเล่น ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่อง นิทาน ชาดก และเคร่งครัดมากในเรื่องสอนศีลธรรม หมอเพลงโคราชในอดีต ทำหน้าที่เป็นผู้ แพร่ข่าวสาร เพราะเป็นผู้มีประสบการณ์กว้างไกล พบเห็นเหตุการณ์และผู้คน หลากหลาย เพลงโคราชและคนฟังเพลงโคราชในอดีต จึงมีความเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน เพราะเป็นคนในสังคมเดียวกันจึงเข้าใจปัญหาของกันและกัน แต่เพลงโคราช รุ่นใหม่ มักเล่นตามคำเรียกร้องของผู้ฟังเพื่อความเพลิดเพลิน และสนุกสนาน


ด้วยเหตุนี้ เพลงโคราชค่อยๆเสื่อมความนิยมลง แต่ในปัจจุบันยังมีความเชื่อว่า ท้าวสุรนารีในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่(พ.ศ. ๒๓๑๓-๒๓๙๕) ท่านชอบเพลงโคราชมาก จึงมีผู้ หาเพลงโคราชไปเล่นแก้บน ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีในตอนกลางคืนและ กลางวันเป็นประจำ และยังมีอีกที่คือวัดศาลาลอย จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หมอเพลง โคราช ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ยังคงสามารถประกอบอาชีพ อยู่ได้ ตัวอย่างคณะเพลงโคราชที่โดดเด่นอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมาคือคณะ กำปั่นบ้านแท่น นั้นเองหมอเพลงโคราชจะมีคติความเชื่อ และจารีต ข้อห้ามในการแสดงหลายประการด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. จารีตและความเชื่อในลำดับการแสดง ในการแสดงเพลงโคราชก่อนที่จะขึ้นแสดงบนเวที หมอเพลงจะต้องทำการยกครู (ไหว้ครู) โดยเจ้าภาพจะต้องเตรียมขันครู (เครื่องไหว้ครู) ให้กับหมอเพลง ประกอบด้วย กรวยพระ ๖ กรวย เทียน ๖ เล่ม ธูป ๑๘ ดอก (กรวยละ ๓ ดอก) เงิน ๒๔ บาท ผ้าขาว ๑ ผืน ดอกไม้ ๑๒ ดอก สุราขาว ๑ ขวด บุหรี่ ๑ ซอง[๒] อนึ่ง หมอเพลงแต่ละท่านจะมีรูปแบบของการไหว้ครูตามความเชื่อของแต่ละสายตระกูล แตกต่างกันไป ตัวอย่างคำกล่าวยกครู สำนวนครูบุญสม กำปัง (นายบุญสม สังข์สุข) “อิติปิโส ภะคะวา มือข้าพเจ้าสิบนิ้ว ยกขึ้นหว่างคิ้ว ข้าพเจ้าจะขอพนมกรนมัสการ สรรเสริญคุณพระพุทธคุณณัง พระธรรมคุณณัง พระสังฆคุณณัง คุณบิดรมารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณอุปัชฌาย์อาจารย์ คุณพระอินทร์เจ้าฟ้า ขอเชิญท่านเสด็จลง มา รักษาดวงจิตดวงใจของข้าพเจ้า ให้เป็นสุขทุกราตรี ขอเชิญ พระเสื้อเมือง พระ


ทรงเมืองผู้เริงราชย์ ขอเชิญท่านเสด็จลงมา รักษาดวงจิตดวงใจของข้าพเจ้าให้มั่นคง ข้าพเจ้าประสงค์สิ่งใด ขอให้ข้าพเจ้าได้สิ่งนั้น เทอญ” นอกจากนี้ ในการยกครูนี้ หมอเพลงก็จะว่าคาถามหานิยม หรือคาถาทรงปัญญา เพื่อ เป็น การเรียกผู้ชมให้นิยมหลงใหลในการแสดงของตน ในที่นี้ขอยกตัวอย่างคาถา มหานิยม สำนวนของครูบุญสม กำปัง (นายบุญสม สังข์สุข) ดังนี้ คาถามหานิยม “สะสะนะมุโม โปร่งปรุปราดเปรื่อง ข้าฉลาดยะเอ็นดู นะโมพุทธา ยะ” คาถาทรงปัญญา “โอมปุรุ ทะลุปัญญา” คาถาสาลิกาลิ้นทอง “กะระวิเว วิเนอะ” คาถาเสกแป้ง “นะเอยโมโม นะเอยซ่อนเมตตา นะเอยคนทั้งหลายดูกู นะ” คาถาพุทธโอวาท “พุทธะ โอวาทะ” ๒. จารีตและความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่แสดง การสร้างโรงเพลง การแสดงเพลงโคราชจะแสดงบนเวทีการแสดงหรือที่เรียกกันว่า “โรงเพลง” มีลักษณะเป็นศาลายกใต้ถุนสูง มีเสา ๔ เสา แต่เดิมหลังคามุงด้วย ทางมะพร้าว หรือหญ้า หรือแฝก ตามวัสดุที่มีมากในแต่ละท้องถิ่น สำหรับการตั้งโรง เพลงนี้จะมีจารีตในการสร้างอยู่หลายประการด้วยกัน เชื่อว่าหากไม่ปฏิบัติตามจะทำ ให้มีอุปสรรคในการแสดง ด้นเพลงไม่ออก หรืออาจทำให้หมอเพลงล้มป่วย สำหรับ จารีตและความเชื่อเกี่ยวกับสถานที่แสดงที่สำคัญ มีดังนี้ (๑) ห้ามสร้างโรงเพลงคร่อมจอมปลวก (๒) ห้ามใช้ต้นไม้เป็นเสาของโรงเพลงด้านใดด้านหนึ่ง


(๓) ห้ามสร้างโรงเพลงต่อจากยุ้งข้าว (๔) ห้ามสร้างโรงเพลงใกล้ บดบัง หรือเสมอศาลพระภูมิ หลังจากที่ทำการปลูกสร้างโรงเพลงเสร็จแล้ว ในอดีตจะมีการมัดตอกและ บริกรรมคาถา เป็นการทำคุณไสยให้คู่แข่งมีอุปสรรค ไม่ประสบความสำเร็จในการ แสดง ทั้งนี้ หากโรงเพลงถูดมัดด้วยตอกก็จะต้อง แก้ตอกเพื่อเป็นการแก้เคล็ด การขึ้นโรงเพลง การจะขึ้นโรงเพลงของหมอเพลงนั้นมีจารีตในการปฏิบัติเช่นกัน โดยหมอเพลงจะต้องดูทิศและวันที่เป็นมงคลในการขึ้นโรงเพลง เช่น หากแสดงตรงกับ วันเสาร์ หมอเพลงจะต้องขึ้น โรงเพลงจากทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ถ้าการแสดงตรงกับวันอาทิตย์ หมอเพลงจะต้องขึ้น โรงเพลงจากทิศเหนือ หันหน้าไป ทางทิศใต้ หากฝ่าฝืนจะโดนผีหลวงหลาวเหล็ก ทำให้หมอเพลงด้นเพลงไม่ออก การ แสดงมีอุปสรรค นอกจากการดูทิศแล้ว การจะก้าวขึ้นโรงเพลง หมอเพลงจะต้องก้าว เท้าตามลมหายใจข้างขวาหรือซ้าย ในก้าวแรกที่ขึ้นโรงเพลง เมื่อขึ้นโรงเพลงแล้วหมอ เพลงก็จะว่าคาถามหานิยม คาถาทรงปัญญา เป็นต้น ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ที่มา : https://www.finearts.go.th/literatureandhistory/view/23527-เพลง โคราช-ว่าด้วยคติความเชื่อ


3. ผ้าหางกระรอก "ผ้าหางกระรอก" เป็นผ้าทอโบราณที่มีลักษณะลวดลายเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความ ประณีตและงดงาม โดยใช้เทคนิคการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าไทคือ "การควบเส้น" หรือคนไทยเรียกว่า "ผ้าหางกระรอก" ผ้าหางกระรอกถือเป็นผ้าโบราณที่พบมากในแถบอีสานใต้คือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และพบในภาคใต้ที่นครศรีธรรมราช ตรัง “โฮลเปราะห์” และ สตรีใช้นุ่งทอเปลงเป็นลายริ้ว เรียกว่า “โฮลแสร็ย” จังหวัดนครราชสีมา ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งทอผ้าหางกระรอก ที่สามารถทอผ้าได้งดงาม ที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะสำคัญของผ้าหางกระรอกคือ เป็นผ้าพื้นเรียบที่ใช้เทคนิคการทอ พิเศษ ที่นำเส้นพุ่งพิเศษโดยใช้เส้นไหม หรือเส้นฝ้าย 2 เส้น 2 สี มาตีเกลียวควบเข้าด้วยกันให้ เป็นเส้นเดียว ที่เรียกว่า เส้นลูกลาย หรือ ไหมลูกลาย หรือ เส้นหางกระรอก ใช้อุปกรณ์ในการ ตีคือ ไน และโบก ซึ่งต้องอาศัยทักษะความชำนาญของผู้ตีเกลียวที่จะทำให้ได้เกลียวถี่ หรือ เกลียวห่างตามต้องการ ส่วนเส้นไหมที่จะนำมาตีเกลียวนั้นควรเป็น เส้นไหมน้อยที่คัดเป็น พิเศษให้ได้เส้นไหมที่สม่ำเสมอกัน จากนั้นจึงนำไปเป็นเส้นพุ่งทอผ้า และผ้าที่ได้จะมีลักษณะ ลวดลายเล็กๆ ในตัวมีสีเหลือบมันวาวระยับดูคล้ายเส้นขนของหางกระรอก ครั้งหนึ่ง ผ้าหางกระรอกเคยเป็นผ้าประจำจังหวัดนครราชสีมา ตามคำขวัญเดิมของจังหวัดที่ว่า "นกเขา


คารม อ้อยคันร่ม ส้มขี้ม้า ผ้าหางกระรอก ดอกสายทอง แมวสีสวาท" เพราะโคราชมีการทอ ผ้าหางกระรอกมานานกว่าร้อยปี จังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ชาวกูยนิยมใช้และทอผ้าไหมควบ สตรีชาวกูยมีความชำนาญ ในการตีเกลียวเส้นไหม เรียกว่า ละวี หรือ ระวี ตามความเชื่อ เรื่องความกลมเกลียวสามัคคีกันในครอบครัวและสายตระกูลที่นับถือ ผีด้วยกัน การนำไหมสองสีมาควบกันเรียกว่า “กะนีว” หรือ “ผ้าหางกระรอก” เมื่อนำมาใช้ เป็นเส้นพุ่งทอกับเส้นยืน สีพื้นจะทำให้เกิดลายเหลื่อมกันเป็นสีเหลืองคล้ายหางกระรอก ลักษณะของผ้ากะนีวนี้ผิวสัมผัสจะมีความมันระยิบระยับ เมื่อนำไปส่องกับแดดจะแยกสีได้ ชัดเจน ผู้ชายไทยกูย นิยมนุ่งผ้าไหมควบ (หะจิกกะน้อบ) สำหรับนุ่งโจงกระเบน ชื่อที่เรียกว่า "ผ้าหางกระรอก" อาจเป็นเพราะลวดลายของผ้าทอที่มีลักษณะเนื้อผ้าที่มี ความเหลือบสี เห็นเป็นลายเส้นเล็กๆ ในตัว ซึ่งมองดูแล้วคล้ายกับขนของหางกระรอก จึงเป็น ที่มาของชื่อเรียกดังกล่าว นอกจากนี้ ชื่อเรียกผ้าชนิดนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ตาม รูปลักษณ์ที่มุ่งเน้นเช่น บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าวา ผ้ายาว ซึ่งเป็นการเรียกตามลักษณะความยาว ของผืนผ้าที่ยาวกว่าผ้าถุงเท่าตัว บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าควบ เพราะถือเอาวิธีการทอแบบตีเกลียว ควบมาใช้เป็นชื่อเรียก แต่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกว่าผ้าหางกระรอกมากกว่า ที่มา : https://qsds.go.th/silkcotton/k_2.php


4.“ด่านเกวียน” แหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาอันเลื่องชื่อ หมู่บ้านทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนในอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา มีการ ถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่นมานานกว่าร้อยปี ปัจจุบันนอกจากเป็นทั้งแหล่งผลิต และจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผาแล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านงานหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาที่ สำคัญแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ที่มาของการทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน แต่เดิมพื้นที่บริเวณด่านเกวียนนั้นเป็นเมืองหน้าด่านที่เรียกว่า “ด่านกระโทก” ซึ่งเป็น เส้นทางการค้าทางบกระหว่างนครราชสีมากับชายแดนกัมพูชา ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำมูล ซึ่ง มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างมากคนท้องถิ่นส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ทำนา และค้าขาย พืชผลทางการเกษตร และด้วยความที่ในสมัยก่อนมีพ่อค้าเกวียนจำนวนมาก มาหยุดพักกอง คาราวานในบริเวณนี้ ชุมชนดังกล่าวจึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า “ด่านเกวียน” แต่ก่อนที่จะมีคนไทยอพยพเข้าไปตั้งรกรากบริเวณชุมชนด่านเกวียน พื้นที่ดังกล่าวเป็น ถิ่นอาศัยของชาวข่า ซึ่งเป็นคนเชื้อสายมอญ ดังนั้น เมื่อมาอยู่รวมกันจึงเกิดการถ่ายทอด กรรมวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผาขึ้น ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนด่านเกวียนมักจะใช้เวลาในช่วงที่ว่าง จากการทำเกษตรกรรมมาผลิตเครื่องปั้นดินเผาชนิดต่างๆ ไว้ใช้ในครัวเรือน อาทิ โอ่ง กระถาง


ไห ครก รอฝนยา ฯลฯ รวมทั้งนำบางส่วนที่ผลิตได้ขนขึ้นเกวียนไปค้าขาย หรือแลกเปลี่ยน สินค้ากับประเทศกัมพูชาด้วย ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2485 ผลจากนโยบายชาตินิยมของ จอมพล ป.พิบูลสงครามที่มุ่งเน้นให้เกิดการสร้างรายได้จากสินค้าท้องถิ่น อันมีส่วนสำคัญใน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้แพร่เข้ามาในชุมชนด่านเกวียน จึงทำให้การผลิตมี วัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายมากยิ่งขึ้นจนชุมชนด่านเกวียนกลายเป็นแหล่งค้าเครื่องปั้นดินเผาที่มี ชื่อเสียงในวงกว้าง ปัจจุบันชุมชนเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายประเภท อาทิ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องใช้ทางการเกษตร ของตกแต่งบ้านและสวน รวมทั้ง เครื่องประดับ โดยรูปแบบการผลิตยังคงเอกลักษณ์ทางภูมิปัญญาท้องถิ่นของด่านเกวียนเอาไว้ อย่างชัดเจน ทั้งวัตถุดิบที่นำมาใช้ผลิต การปั้น การตกแต่งลวดลาย และการเผาให้ได้ ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี แต่ถึงกระนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อาทิ วัตถุดิบที่ใช้เป็น เชื้อเพลิงในการเผาหาได้ยากและมีราคาสูงขึ้น อีกทั้งปัญหาด้านจำนวนช่างที่ลดน้อยลง และ ขาดการพัฒนารูปแบบของสินค้าให้มีลวดลายที่แปลกใหม่ไปจากของเดิม ก็ทำให้การผลิต เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนไม่ถูกพัฒนาไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการสูญ หายไปตามกาลเวลา คุณสมบัติพิเศษของเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน การทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนต้องอาศัยความพิถีพิถันมาตั้งแต่การเลือกสรรวัตถุดิบ ซึ่ง ต้องใช้ดินในพื้นที่เท่านั้น เพราะเป็นดินเหนียวเนื้อละเอียดคุณภาพดี มีสีแดงและสีน้ำตาลดำ โดยมักขุดขึ้นมาจากบริเวณที่เรียกว่า “กุด” ซึ่งเป็นบริเวณแนวกัดเซาะของริมฝั่งแม่น้ำ มีแร่ ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะแร่เหล็กสะสมอยู่ในเนื้อดินค่อนข้างมาก และด้วยความละเอียดของเนื้อ ดินจึงทำให้ง่ายต่อการปั้นขึ้นรูป ไม่บิดเบี้ยวและทนทานต่อการเผาในอุณหภูมิสูง เมื่อนำดิน


ด่านเกวียนมาเผาในอุณหภูมิสูง พบว่าแร่เหล็กที่สะสมอยู่ในเนื้อดินจะเกิดการหลอมละลาย แล้วมาเคลือบชั้นผิวจนทำให้เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมีเอกลักษณ์พิเศษเป็นสีต่างๆ ทั้งสีดำ สีน้ำตาลแดง หรือ สีสัมฤทธิ์ ที่มีความมันวาว และคงทนต่อการนำมาใช้งาน เมื่อเคาะจะมีเสียง ดังกังวาน ทั้งนี้ การที่จะเผาผลิตภัณฑ์ให้ได้เป็นสีต่างๆ นั้น ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่ใช้ในการเผา โดยหากเผาที่อุณหภูมิ 900-1,100 องศาเซลเซียส เนื้อดินจะให้สีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาล เข้ม และถ้าใช้อุณหภูมิมากกว่า 1,200 องศาเซลเซียส ก็จะให้สีน้ำตาลแดงเข้มคล้ายกับเลือด ปลาไหล ซึ่งการเผาด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้น จะยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มีสีเข้ม มีความมันวาว และเนื้อ ผิวราบเรียบมากกว่าการเผาด้วยอุณหภูมิที่ต่ำกว่า เครื่องประดับดินเผาด่านเกวียน การผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนในปัจจุบัน ส่วนมากจะเป็นงานปั้นเครื่องใช้ หรือ ของตกแต่งต่าง ๆ มีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายที่ผลิตเครื่องประดับจากดินเผา ประเภท สร้อยคอ ต่างหู เข็มกลัด และกำไลข้อมือในลักษณะของการร้อยลูกปัดแบบต่างๆ อาทิ สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ทรงกลม ทรงกระบอก ครึ่งวงกลม ธรรมจักร และสี่เหลี่ยมคางหมู เข้า ไว้ด้วยกัน โดยใช้ดีไซน์ผสมผสานตามจินตนาการของช่าง สนนราคาของเครื่องประดับจะอยู่ที่ 20-400 บาท ซึ่งถือว่าราคาขายนี้ค่อนข้างถูก แต่การจำหน่ายออกกลับไม่ค่อยดีเท่าที่ควร สินค้านี้จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมผลิตในบรรดาผู้ประกอบการเท่าใดนัก


ย่านการค้าเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ปัจจุบันการค้าเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนกว่าร้อยละ 90 เป็นการขายส่งผ่านพ่อค้าคน กลางไปจำหน่ายยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยพ่อค้าคนกลางจะเดินทางมารับซื้อสินค้าถึงหน้า โรงผลิต ซึ่งผู้ประกอบการส่วนมากเป็นชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่ และใช้ครัวเรือนของตนเองเป็น แหล่งผลิตสินค้า ขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการบางรายที่เปิดเป็นหน้าร้านจำหน่ายสินค้า ให้แก่นักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจทั่วไป โดยย่านการค้านั้น กระจุกตัวอยู่บริเวณลานด่านเกวียน ด่านเกวียนพลาซ่า และตั้งเรียงกันริมฝั่งถนน สายนครราชสีมา-โชคชัย ที่มา : https://thaitextile.org/th/insign/detail.180.1.0.html


5. งานประเพณีแข่งเรือพิมาย ความสำคัญ ประเพณีการแข่งเรือเป็นรูปแบบของการเล่นในฤดูน้ำหลากที่สร้าง ความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน และคนต่างหมู่บ้านได้พบปะกัน เป็นการสร้างความ สมานสามัคคีของสังคมได้ทางหนึ่ง ประวัติความเป็นมา แต่เดิมแข่งที่ท่าน้ำบ้านวังหิน ต่อมาย้ายมาแข่งที่ลำตลาด ที่อำเภอพิมาย โดยจัด ต่อเนื่องกันทุกปีจนถึงปัจจุบัน แต่เดิมเมื่อแต่ละหมู่บ้านทราบกำหนดการแข่งเรือ ล่วงหน้าก็จะฝึกซ้อมฝีพาย ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านจนชำนาญ เมื่อใกล้ถึงวันแข่ง เรือจะนำขึ้นมาขัดท้องเรือด้วยใบตองแห้ง เสร็จแล้วทาสีและลวดลายที่เรือและใบพาย แล้วทำพิธีไหว้เซ่นแม่ย่านางเรือเสร็จแล้วลากเรือลงน้ำฝีพายลงเรือโห่เอา ฤกษ์เอาชัย


เรือแข่งของแต่ละหมู่บ้านจะมาพร้อมกันที่บริเวณสถานที่แข่งขันเมื่อพระฉัน จังหันแล้ว เมื่อได้เวลาเจ้าหน้าที่จะให้เรือแต่ละลำพาย แสดงตัวตามลำดับ ซึ่งจะเรียกชื่อตามที่ มาถึงก่อนหลังตามชื่อเรือ เช่น มุนีจอมขวัญ เสมียนเสนาะเพราะสนั่นหมื่นสะท้าน แผ่นดินไหว เป็นต้น เมื่อครบจำนวนแล้วจับสลากคู่แข่งกันในแต่ละประเภท โดย กำหนดที่ฝีพายเป็นเรือขนาดใหญ่ กลาง เล็ก แข่งขันจนกว่าจะได้เรือที่ชนะเลิศของแต่ ละรุ่น ซึ่งขณะแข่งขันผู้ชมการแข่งขันสองฟากฝั่งจะโห่ร้องเมื่อเรือหมู่บ้านของตน ได้รับชัยชนะเป็นที่สนุกสนาน ปัจจุบันประเพณีการแข่งเรือพิมาย นั้นได้พัฒนาการแข่งเรือแบบพื้นบ้านมาเป็น การแข่งเรือแห่งประเทศไทย และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลเที่ยว พิมายในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี งานดังกล่าวถือเป็นหน้าตาของจังหวัด นครราชสีมา และนักท่องเที่ยวก็ให้ความสนใจมาเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก กล่าวคือ เมื่อพูดถึงโคราชก็ต้องนึกถึงปราสาทหินพิมาย อีกทั้งอำเภอพิมายยังมีจุดเด่นอีกอย่าง คือ เทศกาลแข่งเรือ เพราะที่อำเภอพิมายมีลำน้ำจักราช ซึ่งเป็นลำน้ำกว้าง มีสายทาง น้ำที่ยาว เป็นทางลำน้ำที่มีลักษณะตรงที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และน้ำไม่ไหลเชี่ยว ผู้ชมสามารถนั่งชมการแข่งเรือได้ทั้งสองฟากฝั่ง ทำให้การแข่งเรือพิมายเป็นแบบอย่าง การจัดการแข่งขันเรือ ที่มา : https://www.hoteldirect.in.th/เทศกาล/นครราชสีมา/งานประเพณีแข่ง เรือพิมาย.html


6. ผัดหมี่โคราช ความเป็นมา หมี่โคราช ทำจากข้าวเจ้า ซึ่งจังหวัดนครราชสีมามีการปลูกข้าวเจ้ามาก เพื่อเพิ่ม ความหลากหลายของอาหาร และเป็นการแปรรูปการถนอมอาหารอีกรูปแบบหนึ่ง จึงมี การดัดแปลงข้าวเจ้ามาเป็นเส้นหมี่ ด้วยการนำเส้นหมี่ไปตากแห้ง แล้วเก็บไว้ รับประทาน เอกลักษณ์เส้นหมี่โคราช เส้นแบน สีขาว ขนาดเล็ก ยาว มีความเหนียว นุ่ม และน่ารับประทาน


การผลิต หมี่โคราชผลิตในหมู่บ้านทั่วไป และเรียกชื่อตามแหล่งผลิตหมี่ เช่น หมี่ตะคุ จาก บ้านตะคุ อ. ปักธงชัย หมี่กระโทก จาก บ้านกระโทก อ. โชคชัย หมี่พิมาย จาก อ. พิมาย หมี่กุดจิก จาก บ้านกุดจิก อ. สูงเนิน หมี่น้ำฉ่า จากบ้านน้ำฉ่า อ. ขามทะเล สอ และหมี่หนองหัวฟาน บ้านดอนทะยิง ต.หนองหัวฟาน อ.ขามสะแกแสง เป็นต้น โดยหมี่โคราชทำจากข้าวเก่า ข้าวใหม่จะทำให้เส้นหมี่ เส้นไม่สวย เส้นติดกัน เหนียว เกินไป หมี่โคราช มีการผลิต 2 รูปแบบ - แบบผลิตในครัวเรือน ผลิตเป็น หมี่สด และหมี่ตากแห้ง ใช้การตากแดดให้เส้นหมี่ แห้ง - แบบผลิตจากโรงงาน ใช้การอบแห้ง การทำหมี่โคราช แบบผลิตในครัวเรือน 1. การแช่ข้าว นำข้าวสารหักเป็นข้าวเจ้าเก่ามาแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชม. หรือ 1 คืน (ข้าวสารเจ้าที่ใช้จะเป็นข้าวแข็ง หรือ ข้าวตาแห้ง หรือ ข้าวเสาไห้ หากเป็นข้าวเจ้าใหม่ หรือ ข้าวหอมมะลิ เส้นหมี่จะเละ) 2. การโม่แป้ง จากนั้นนำข้าวที่แช่จนนิ่มแล้ว มาโม่ให้ละเอียดเป็นแป้ง โดยใช้เครื่องโม่ แป้ง (บางท้องถิ่นจะใส่ข้าวเหนียวปนด้วย รสชาติของหมี่โคราชอาจจะแตกต่างกันไป ตามแต่ละท้องถิ่น น่าจะมาจากชนิดของข้าวที่มาทำหมี่ เพราะอาจจะให้ข้าวคนละพันธ์ุ กัน)


3. การนึ่งแป้ง นำแป้งมาเทลงบนผ้าที่ขึงบนปากหม้อทรงสูงปากกว้างที่ตั้งบนเตาหมี่ ให้เป็นแผ่นกลม ๆ แล้วปิดฝาไว้สักพักเพื่อนึ่งให้แป้งสุก (ถูให้เรียบเนียนเสมอกัน แผ่น หมี่จะได้สุกเท่ากัน) (เตาหมี่ทำจากดินผสมแกลบ แล้วเอามาปั้นให้เป็นเตา ด้านบนจะ ใส่กะทะหรือหม้อปากกว้าง ด้านข้างจะเอาไว้ใส่ฝืนเพื่อเป็นเชื้อเพลิง) 4. การตากหมี่ พอนึ่งแผ่นหมี่สุก ใช้ไม้ไผ่ที่ชโลมน้ำค่อย ๆ แซะแผ่นหมี่ขึ้นจากปาก หม้อ (ขั้นตอนนี้ต้องระวังเป็นอย่างมากด้วยความร้อนและแผ่นหมี่จะขาด) 5. การทาน้ำมัน เมื่อปิดทิ้งไว้จนได้ที่แล้ว ก่อนการซอยจะต้องมีการทาน้ำมัน ซึ่งใช้ได้ ทั้งน้ำมันพืช และน้ำมันหมู น้ำมันพืชใช้ในการทำหมี่แห้ง น้ำมันหมูใช้ทำหมี่สด การทา จะทาโดยด้านหนึ่งทาน้ำมันเพื่อให้เส้นมีความเหนียวนุ่ม ไม่ติดกันเป็นก้อน อีกด้านใช้ น้ำเปล่าลูบขอบแผ่นหมี่ เพื่อให้ขอบนุ่ม ใช้ผ้าปิดทิ้งไว้อีกครั้งประมาณ 30 นาที 6. การตากแผ่นหมี่ นำแผ่นหมี่ที่ได้ไปตากบนแผงหมี่ (แผงหมี่สานจากไม้ไผ่ แผงนึงจะ ตากได้ 5 แผ่น) เพื่อให้แผ่นหมี่แห้งหมาด ๆ จะได้หั่นเป็นหมี่เส้นเล็ก ๆ ใช้เวลาตาก ประมาณ 1-2 ช.ม. 6.1 ในขั้นตอนนี้จะเรียกว่า หมี่อ่อน (สามารถทำเป็นขนมได้ คือ หมี่อ่อนใบเตยไส้ มะพร้าวอ่อน) 7. การกู้หมี่ คือ การนำหมี่ที่ทาน้ำมันแล้วมาเรียงซ้อนกันเป็นแผ่น ๆ เพื่อเตรียมซอย เป็นเส้น ๆ ในขั้นตอนต่อไป


Click to View FlipBook Version