ป ร� ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
THE HEART OF PRAJNA PARAMITA SUTRA
般若波羅蜜多心經
प्र�ापार�मताहृदयसतू ्रम ्
摩訶般若波羅蜜多心經
ป ร� ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
大乘二十頌論
[ ม ห า ย า น ว� ส ติ ค า ถ า ศ า ส ต ร ]
สรา งถวายโดย
คณุ พอ แตแต แซอว ง 黄俤俤 Huang Di Di + คุณแม ฉิวเอ้ยี ง แซเ อยี ะ 葉秋燕 Ye Qiu Yan
คุณปู อวงเต็กอ่ี 黄德挹 Huang De Yi + คณุ ยา ผางอาโหมย 彭亜妹 Peng A Mei
คณุ ตา เอียะฮิ่งล่ือ 葉興吕 Ye Xing Lv + คุณยาย เต้ืองเจียหลาง 張芝蘭 Zhang Zhi Lan
พรอมทง้ั ลกู หลานเหลน
คําอทุ ศิ สวนบญุ กศุ ล
ขอนอ มบุญกศุ ลครงั้ นี้ถวายพระสยามเทวาธิราช
พระมหากษตั รยิ ไทยทกุ ๆพระองค
ขอนอมถวายกศุ ลผลบญุ น้ี
เปน พทุ ธบชู าแดพระพทุ ธเจา ทุกๆพระองค
พรอ มทั้งพระปจเจกพุทธเจา ทุกๆพระองค
ถวายเปนธรรมบชู า แดค าํ สอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ
ถวายเปน สังฆบูชา แดพ ระอรยิ เจา ท้งั หลาย
พรอมทั้งบิดามารดา ครบู าอาจารย พรหมและเทวดา
เจากรรมนายเวร สมั ภเวสี ทง้ั หลายทัง้ ปวง
ขอทานทง้ั หลายโปรดอนโุ มทนาและอโหสกิ รรม
และขอใหขาพเจา ทงั้ หลายไดเขาถึงซึง่ พระนพิ พานดวยเทอญ
หนงั สืออนุสรณ
เน่อื งในงานทําบญุ อฐั � บรรพบรุ ษุ บพุ การ�
黄 Huang Family
[ รูปถา ย ปา ยฮวงซุย คุณพอ + คณุ แม ]
คุณพอ แตแต แซอวง 黄俤俤 Huang Di Di + คุณแม ฉวิ เอยี้ ง แซเอียะ 葉秋燕 Ye Qiu Yan
[ รูปถาย ปายฮวงซุย คุณปู + คุณยา ]
คณุ ปู อว งเตก็ อี่ 黄德挹 Huang De Yi + คณุ ยา ผางอาโหมย 彭亜妹 Peng A Mei
[ รูปถาย ปา ยฮวงซยุ คุณตา + คณุ ยาย ]
คณุ ตา เอียะฮิ่งลื่อ 葉興吕 Ye Xing Lv + คุณยาย เต้อื งเจียหลาง 張芝蘭 Zhang Zhi Lan
ประวัติโดยสังเขป ของ 黄 Huang Family
เสนทางชวี ติ 100 ป จากเมืองจีน มาสูเมอื งไทย
อุตสาหกรรมยานยนตที่ขยายตัวอยางรวดเร็วท่ัวโลกและเฟองฟูอยางมาก ตั้งแตคริสตทศวรรษ 1860
สง ผลใหค วามตอ งการใชย างพารา ซึง่ เปนสวนประกอบสําคัญในอุตสาหกรรมน้ีเพ่มิ ขึ้น โดยเฉพาะกลุมประเทศ
ผูผลิตรถยนตรายใหญของโลก เชน ประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ซ่ึงมีอัตราการผลิต
และกําลังซ้อื ท่ีสูง ลวนมีความตอ งการยางพารา เพ่ือปอนอุตสาหกรรมยานยนตภายในประเทศจํานวนมาก อปุ
สงคของการใชยางพาราที่เพ่มิ จํานวนมากขึ้นตามลําดบั ทําใหอังกฤษเรมิ่ สนใจหาพน้ื ทปี่ ลูกยางพารา และเลือก
อาณานคิ มมลายาเปน แหลง ปลกู ยางพาราที่สําคญั ต้ังแตครสิ ตท ศวรรษ 1880 - 1910
กลุมประเทศผูผลิตรถยนตรายใหญของโลก ท้ังประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี รัสเซีย
และฝรั่งเศส มีความตองการใชยางพาราในปริมาณท่ีสงู และมียอดการนาํ เขายางพาราเพม่ิ ขึน้ อยางตอเน่ืองทุก
ป ดวยเหตุดังกลาวอังกฤษจึงตองการใหมลายาเปนแหลงปลูกยางพาราที่สําคัญ ทําใหมีการเผยแพรพันธุ
ยางพาราและสงเสริมการปลูกยางพาราในมลายาอยางจริงจัง การเกณฑแรงงานชาวอินเดียและชาวจีนเปน
นโยบายสําคัญของอังกฤษท่ีสงเสริมการทําสวนยางพาราในมลายา เนื่องจากแรงงานเหลาน้ีเปนกําลังสําคัญใน
การทําสวนยางพาราขนาดใหญของกลมุ นายทนุ องั กฤษและนายทุนจนี
ในคริสตศตวรรษท่ี 19 ชาวจีนเปนแรงงานที่ถูกเกณฑเขาไปทําเหมืองแรในมลายาจํานวนมาก ตอมาใน
คริสตทศวรรษ 1910 เมื่อความนิยมของการทําสวนยางพาราในมลายาแพรหลายมากขึ้น จึงมีการจางแรงงาน
ชาวจีนเขาไปทําสวนยางพาราขนาดใหญข องนายทุนจนี และนายทุนองั กฤษ ชาวจีนทต่ี องการเขา ไปเปนแรงงาน
ในมลายาจะตอ งตดิ ตอ ผา นนายหนาในประเทศจีน และมกี ารทําสัญญารวมถึงจายคาเดินทาง ตลอดจนคา ดํารง
ชีพระหวางการเดินทางเขาไปในมลายาใหแกสํานักงานนายหนา เม่ือแรงงานชาวจีนเดินทางไปถึงมลายา
สํานักงานนายหนาจะจัดหาท่ีพักใหอาศัยอยูในสํานกั งานที่พํานักช่ัวคราว จนกวาชาวจีนที่อพยพมาจะมีงานทาํ
และชําระหน้ีครบตามสัญญา อน่ึงแรงงานชาวจีนจะมีอสิ ระในการเลอื กทํางานกบั นายจางไดตามความสมคั รใจ
และไมมีขอผูกมัดเหมือนแรงงานชาวอินเดีย แรงงานชาวอินเดียและชาวจีนนับเปนแรงงานที่มีความสําคัญตอ
การทาํ สวนยางพาราในมลายาอยางมาก โดยเฉพาะในปลายคริสตทศวรรษ 1900 ความตอ งการแรงงานในการ
ทาํ สวนยางพารามจี าํ นวนมาก เพอ่ื รองรับการขยายพืน้ ทก่ี ารทําสวนยางพาราในมลายาที่เพมิ่ ข้ึน
เวลากวา 100 ป ที่ชาวจีนฮกจิวท่ีมีถ่ินฐานเดิม ณ ตําบลกูเท้ียน เมืองฮกจิว (ฝูโจว) มณฑลฮกเก้ียน (ฝู
เจ้ียน) เดินทางอพยพจากประเทศจีนมารับจางทําเกษตรกรรมใน เมืองซิเทียวัน (Sitiawan) รัฐเประ (Perak)
ประเทศมาเลเซีย ในประมาณ พ.ศ. 2444 จนเม่ือประมาณป พ.ศ. 2468 มีชาวจีนฮกจิวจากรัฐเประกลุมหน่ึง
นําโดย ล่ิงจื้อปอ ลาวฮวาลิ่ง พางมิงอู กงกวางจ๊ัว โดยสารรถไฟจากมาเลเซียมาลงท่ีสถานีรถไฟทุงสง คางที่ทุง
สง 1 คืน จากนนั้ ตอ รถไฟมาลงทีส่ ถานรี ถไฟคลองจัง และเดนิ เทามาตั้งชุมชนท่แี ปด คอื สะพานรถไฟจากทุง สง
ถึงนาบอนเปน สะพานท่ีแปด และตอ มาไดเ รยี กชอ่ื ตามหมบู านนาบอนวา “ตลาดนาบอน” เมือ่ ชาวจนี ฮกจวิ เขา
มาในเมืองไทย ปลูกยางพารากันเปนสวนใหญ จึงไดสถิติเปนเมืองปลูกยางพารามากที่สุดในเมืองไทย ต้ังแตป
พ.ศ. 2508-2516 คําวา “นาบอน” จึงเปนที่รูจักของคนท่ัวโลก ซ่ึงอาจนับไดวาเปนชาวจีนกลมุ ทายๆ ท่ีเขามา
ต้ังถนิ่ ฐานชุมชนในประเทศไทย จากเส่อื ผืนหมอนใบ มาสคู วามย่งิ ใหญในปจจบุ นั
คุณพออวงแตแตและคุณแมเอียะฉิวเอี้ยง ไดเดินทางมาจากเมืองจีน เพ่ือแสวงหาแหลงทํามาหากินที่
ดีกวาที่บานเกิด โดยเดินทางจากเมืองจีน ไปยังเมืองมลายา แลวเขามายังภาคใตของเมืองไทย ตามคนจีนรุน
กอ นๆ ท่ีไดเ ดินทางมาลวงหนา แลว คุณพอไดจ ากเมอื งจนี มาตอนอายปุ ระมาณ 16 ป สว นคณุ แมม าถึงเมอื งไทย
ตอนอายุ 3 ขวบเทา น้นั ท้งั สองทา นไดต้งั รกรากทําอาชีพปลูกยางพาราท่ี ต.นาบอน อ.ทงุ สง จ.นครศรีธรรมราช
กอนจะเกดิ สงครามโลกครง้ั ที่ 2
ครอบครัวคุณพอมีพี่นองเปนชายจํานวน 4 คน ทานเปนลูกคนเล็กสุด พี่ชายคนโตอยูและตายท่ีเมืองจีน
ไมมีลูกหลานสืบสกุล พ่ีชายคนที่ 2 อยูมาเลเซีย มีลูกชายสืบสกุลและกลับไปอยูเมืองจีน และพี่ชายคนท่ี 3 ได
ตามทานมาอยูเมืองไทย มีลูกชาย 2 คน ติดมาดวย สวนครอบครัวของคุณแมมีพ่ีนอง 4 คน คุณตาคุณยายท้ัง
สองคนพาทา นมาจากเมืองมลายาตั้งแตอ ายุ 3 ขวบ แลว มีลูกชายหญงิ ตอ จากคุณแมเ พ่ิมอีก 3 คน โดยมคี ณุ แม
เปน คนโต มีลูกชาย 1 คน และลูกสาว 3 คน และคณุ ตาคุณยายกไ็ ดเสยี ชวี ิต ฝง รางไวบนผืนแผน ดนิ ไทย
คุณพออว งแตแตและคณุ แมเ อียะฉวิ เอย้ี ง ไดกําเนดิ ลูกทงั้ หมด 9 คน เปนลกู ชาย 6 คน และลกู สาว 3 คน
ทานทั้งสองไดเลี้ยงดูลูกดวยอาชีพทําสวนยางพารา และใหการศึกษาลูกท้ังหมดอยางดี ตามความตองการของ
ลกู แตล ะคน ลกู ชายคนท่ี 2 ไดดาํ เนนิ รอยตามทา น ไปบุกเบิกการทําสวนยางพาราที่ ต.มาบอาํ มฤต อ.ปะทิว จ.
ชุมพร พรอมกับลูกสาวคนโตและครอบครัว ไดยายจาก ต.จันดี มาบุกเบิกทําสวนยางพาราท่ี ต.มาบอํามฤต
ดวย ปจจุบันชาวฮกจิวที่เดินทางจากโพนทะเล มาตั้งรกรากท่ีเมืองไทย พรอมท้ังลูกหลานที่เกิดในเมืองไทย
สามารถขยายพื้นท่ีทําสวนยางพารา จากนาบอน จันดี ทุงสง ไปยัง นาสาร ละแม บานสอง มาบอํามฤต หลัง
สวน ระยอง กระจายออกไปทั่วท้ังเมืองไทย สรางรายไดใหกับเมืองไทยอยางมหาศาล น่ีคือ 100 ปของบรรพ
ชน ทล่ี งทนุ ดว ยชวี ติ เดนิ ทางดวยความยากลําบาก เพือ่ ชีวติ ท่ีมน่ั คงและอยูดีกินดี สาํ หรบั ลูกหลานในอนาคต
บรรพชนท่ีอาศัยต้ังรกรากท่ี ณ หมูบานตระกูลอวง ตําบลกูเท้ียน เมืองฮกจิว (ฝูโจว) มณฑลฮกเกี้ยน (ฝู
เจี้ยน) เปนเวลามากกวา 400 ป ปจจุบันยังคงมีประชากรอาศัยอยู จํานวนมากกวา 1,000 คน ท้ังหมดใช
แซอ วง 黄 (สําเหนียงแตจ ว๋ิ อึ้ง หมายถงึ สีเหลือง หรอื ฮอ งแต) เหมอื นกันหมด เพราะสืบเช้ือสายตอเนื่องมา
ยาวนาน ที่บานยังมีเก็บปายซุมประตูพระราชทานจากฮองแต ขอความวา สามารถสืบทอดทายาทไดอยาง
ตอเนื่อง 5 ชั่วคน และในตอนนี้สามารถสืบเช้ือสายลงมาจนถึงปจจุบัน นับเปน 18 ถึง 20 ช่ัวคนแลว ประวัติ
บรรพชนแตล ะรุน มีการจดบนั ทึกรายช่ือแตล ะชว่ั คน (Family Tree) เก็บไวทห่ี อบรรพชนจนถึงปจ จบุ ันน้ี
ในชั่วชีวิตหน่ึง บรรพชนสามารถอาศัยกายเน้ือ เดินทางฝาฟนอุปสรรคตางๆนาๆ อาบเหง่ือตางนํ้า เอา
ชีวิตเขาแลก ขามน้ําขามทะเลขามภูเขา ไปเปนระยะทางเปนพันเปนหม่ืนล้ี เอาเลือดเนื้อกระดูกฝงไวบนพื้น
แผน ดินเมอื งไทยนบั ไมถ วน แตส งั สารวัฏฏทต่ี องเวียนวา ยตายเกดิ เดินทางดวยกายทิพย มรี ะยะทางนบั ภพชาติ
ไมถวน มีความรักผูกพันในสายเลือดสายวงศตระกูล มีบาปและบุญเปนเคร่ืองนําทางไปเทาน้ัน จนกวาจะมี
ปญญา มองเห็นหนทางสูค วามพน ทกุ ขอ ยางถาวร ...นามอ ออนที อ ฮุก... นะโม อะมติ าภะ พทุ ธายะ.
จบ ประวตั ิโดยสงั เขป ของ 黄 Huang Family
1 of 11
2 of 11
3 of 11
4 of 11
5 of 11
6 of 11
7 of 11
8 of 11
9 of 11
10 of 11
11 of 11
รายช�อ่ -ปยู า-ตายาย-พอแม- ลูกหลาน-เหลน
黄 Huang Family
คณุ ปู อว งเต็กอี่ 黄德挹 Huang De Yi + คณุ ยา ผางอาโหมย 彭亜妹 Peng A Mei มลี กู 4 คน
คุณตา เอียะฮ่ิงลอ่ื 葉興吕 Ye Xing Lv + คุณยาย เตอื้ งเจียหลาง 張芝蘭 Zhang Zhi Lan มลี ูก 4 คน
คณุ พอ แตแต แซอว ง 黄俤俤 Huang Di Di + คุณแม ฉิวเอีย้ ง แซเ อียะ 葉秋燕 Ye Qiu Yan มีลูก 9 คน
1.นางไถม วย แซอ ว ง + นายอินทรยี ซ่ือธานุวงศ มลี ูก 6 คน
1.1.น.ส.ปยนันท ซ่อื ธานวุ งศ
1.2.น.ส.เกสนิ ี ซ่ือธานุวงศ
1.3.น.ส.ญาณนี ซ่ือธานุวงศ + นายประพฤติ วองสมบูรณส ิน มีลกู 2 คน
1.3.1.น.ส.นฤภร วอ งสมบูรณส นิ
1.3.2.นายศุภกร วองสมบูรณสนิ
1.4.นายกนกศกั ด์ิ ซ่อื ธานุวงศ + น.ส.ออยใจ เลิศลํ้า มีลูก 1 คน
1.4.1.ด.ช.ทอปราน ซอ่ื ธานุวงศ
1.5.น.ส.กลั ยรัตน ซ่อื ธานุวงศ + นายชยตุ กังวานธรรม มีลูก 2 คน
1.5.1.ด.ช.ชยนิ กงั วานธรรม
1.5.2.ด.ญ.ชลิดา กงั วานธรรม
1.6.น.ส.ดลฤดี ซอื่ ธานุวงศ + นายกนกศกั ด์ิ จิตติเรืองวิชัย มีลกู 2 คน
1.6.1.ด.ญ.พชิ ชานันท จติ ติเรืองวิชัย
1.6.2.ด.ญ.นันทรตั น จิตตเิ รืองวิชยั
2.นายดิฐ หวังพฒั นาพาณิชย + นางณฐั ยิ า ชูชวย มีลูก 3 คน
2.1.น.ส.สายดนยี หวงั พัฒนาพาณิชย (โบว)
2.2.น.ส.ปย าพร หวังพฒั นาพาณชิ ย (แอน)
2.3.น.ส.ภาสนิ ี หวงั พัฒนาพาณชิ ย (ออ น)
3.นายลงกรณ ปตภัทรวบิ ูลย + นางมกุ ดา แซผ า ง มีลกู 4 คน
3.1.นายอนันตฤทธิ์ เหลืองนิพัทธ (A 黄祖金)
3.2.น.ส.ธนันตณ ชั ปตภทั รวบิ ลู ย (B 黄素琳)
3.3.นายเทพฤทธ์ิ ชน่ื โชคสันต (M 黄祖贵) + น.ส.วรธกานต นริ ันดรส ขุ (แซหล่ี) มีลกู 1 คน
3.3.1.ด.ช.ณฐั วรรธน ชื่นโชคสันต (กาว 黄荣步)
3.4.นายไกรฤทธ์ิ ปต ภทั รวิบูลย (K 黄祖利) + น.ส.ชญานี บอจกั รพันธ มลี กู 2 คน
3.4.1.ด.ช.ดนยั วฒั น ปต ภทั รวิบูลย (ไท 黄荣泰)
3.4.2.ด.ญ.ภิญญาพัชญ ปตภทั รวบิ ลู ย (สยุ 黄水水)
4.นายปราการ ชืน่ โชคสนั ต + นางบษุ บง เพชรพุม มลี กู 2 คน
4.1.น.ส.อริสา ชน่ื โชคสันต + นายธนศิ ร รงั สิรักษ (แซโซว)
4.2.นายอดศิ ร ชน่ื โชคสนั ต
5.นางวรากลุ ชนื่ โชคสนั ต + นายธรี พล บุญกูล (แซเ ตื้อง) มลี กู 1 คน
5.1.นายพลวีรฺ บญุ กูล (กอลฺฟ)
6.นายวรี ะเทพ ชืน่ โชคสนั ต + นางนวรัตน เกยี รติพิมล (แซเลา) มีลูก 4 คน
6.1.น.ส.อัญชลุ ี ชืน่ โชคสันต (ลลี่ ี)่
6.2.นายเมษา ชนื่ โชคสนั ต (หนงึ่ ) + นางนฤมล สขุ ใส
6.3.น.ส.สายพิณ ช่นื โชคสนั ต (ปน )
6.4.น.ส.ผกาทิพย ชนื่ โชคสนั ต (แหวน)
6.นายวีระเทพ ชืน่ โชคสันต + นางชนัญชิดา ยอดสมุทร มีลกู 3 คน
6.5.นายศโิ รดม ช่นื โชคสันต (เซยี น)
6.6.นายเมธัส ชื่นโชคสนั ต (เซิน)
6.7.ด.ญ.พรหมพริ ยิ า ชน่ื โชคสนั ต (ซ)ี
7.นายศานต ช่ืนโชคสนั ต + นางสุภานนั ท วนิ ัยจรูญ มีลูก 2 คน
7.1.น.ส.ภชู ญา ช่ืนโชคสนั ต (ปลา)
7.2.นายพรี วัส ชื่นโชคสนั ต (เบิรด )
8.นายวรวรรธน ชนื่ โชคสันต
9.นางนวลจันทร ชนื่ โชคสันต + นายจรูญ ไพรัตน (แซภ )ู มีลูก 2 คน
9.1.น.ส.กลั ยารตั น ไพรัตน (ปอ)
9.2.นายธรี ภัทร ไพรัตน (บอล)
คณุ ป่ ู อ้วงเต็กอี คณุ ยา่ ผ่างอาโหมย่ คณุ ตา เอียะฮิงลอื คณุ ยาย เตอื งเจียหลาง
黄德挹 Huang De Yi 彭亜妹 Peng A Mei 葉興吕 Ye Xing Lv 張芝蘭 Zhang Zhi Lan
คุณพอ แตแต แซอ ว ง คณุ แม ฉิวเอย้ี ง แซเอยี ะ
黄俤俤 Huang Di Di 葉秋燕 Ye Qiu Yan
1.นางไถ่ม้วย 2.นายดฐิ 3.นายลงกรณ 4.นายปราการ 5.นางวรากุล 6.นายวีระเทพ 7.นายศานต 8.นายวรวรรธน 9.นางนวลจันทร
แซอ่ ้วง หวังพัฒนาพาณิชย ปตภัทรวิบลู ย ช่นื โชคสันต ชน่ื โชคสันต ช่ืนโชคสนั ต ชน่ื โชคสันต ชืน่ โชคสันต ช่นื โชคสันต
1.นายอนิ ทรีย 2.นางณฐั ิยา 3.นางมกุ ดา 4.นางบุษบง 5.นายธรี พล 6.นางนวรัตน 7.นางสุภานันท 9.นายจรูญ
ซื่อธานวุ งศ ชชู ่วย แซผ่ ่าง เพชรพุม บญุ กลู เกียรตพิ ิมล วินัยจรญู ไพรัตน
1.1.น.ส.ปยนันท 2.1.น.ส.สายดนีย 3.1.นายอนนั ตฤทธิ 4.1.น.ส.อรสิ า 5.1.นายพลวีรฺ 6.1.น.ส.อัญชุลี 7.1.น.ส.ภชู ญา 9.1.น.ส.กัลยารัตน
ซอ่ื ธานุวงศ หวังพัฒนาพาณชิ ย เหลอื งนพิ ทั ธ์ ชืน่ โชคสนั ต บญุ กูล ชน่ื โชคสนั ต ช่นื โชคสันต ไพรัตน
1.2.น.ส.เกสนิ ี 2.2.น.ส.ปย าพร 3.2.น.ส.ธนันตณัช 4.2.นายอดิศร 6.2.นายเมษา 7.2.นายพีรวัส 9.2.นายธีรภัทร
ซ่อื ธานวุ งศ หวังพฒั นาพาณชิ ย ปต ภทั รวิบูลย ชืน่ โชคสนั ต ชนื่ โชคสนั ต ช่ืนโชคสันต ไพรัตน
1.3.น.ส.ญาณนี 2.3.น.ส.ภาสินี 3.3.นายเทพฤทธิ์ 6.3.น.ส.สายพณิ
ซื่อธานุวงศ หวงั พัฒนาพาณิชย ช่นื โชคสันต ชน่ื โชคสนั ต
1.4.นายกนกศักดิ์ 3.4.นายไกรฤทธิ์ 6.4.น.ส.ผกาทิพย
ซือ่ ธานวุ งศ ปตภัทรวบิ ูลย ชน่ื โชคสันต
1.5.น.ส.กัลยรัตน รุน 6.นางชนญั ชิดา
ซอื่ ธานุวงศ ป+ู ยา ตา+ยาย ยอดสมุทร
1.6.น.ส.ดลฤดี พอ +แม 6.5.นายศโิ รดม
ซือ่ ธานุวงศ ลูกชายหญิง ช่ืนโชคสนั ต
Update @ 2561 B.E. 6.6.นายเมธัส 黄 Huang
ชนื่ โชคสันต Family Tree
6.7.ด.ญ.พรหมพิริยา
ช่ืนโชคสันต
Update @ 2561 B.E. 1.นางไถมวย
แซอ วง
黄 Huang Family Tree
1.นายอินทรีย
ซือ่ ธานุวงศ
1.3.น.ส.ญาณนี 1.3.นายประพฤติ 1.4.นายกนกศักดิ์ 1.4.น.ส.ออ ยใจ 1.5.น.ส.กลั ยรตั น 1.5.นายชยตุ 1.6.น.ส.ดลฤดี 1.6.นายกนกศักด์ิ
ซ่อื ธานุวงศ กังวานธรรม
ซอ่ื ธานุวงศ วอ งสมบูรณสิน ซอื่ ธานุวงศ เลศิ ลา้ํ ซื่อธานวุ งศ จติ ตเิ รืองวชิ ัย
1.3.1.น.ส.นฤภร 1.4.1.ด.ช.ทอปราน 1.5.1.ด.ช.ชยิน 1.6.1.ด.ญ.พิชชานันท
วอ งสมบรู ณสิน ซือธานวุ งศ์ กังวานธรรม จติ ติเรอื งวิชัย
1.3.2.นายศุภกร 1.5.2.ด.ญ.ชลดิ า 1.6.2.ด.ญ.นนั ทรัตน
วอ งสมบรู ณสนิ กังวานธรรม จติ ตเิ รืองวชิ ัย
3.นายลงกรณ์ 4.นายปราการ 6.นายวีระเทพ
ปีตภทั รวบิ ลู ย์ ชน่ื โชคสันต ชื่นโชคสนั ต
3.นางมกุ ดา 4.นางบษุ บง 6.นางนวรัตน
แซผ่ า่ ง เพชรพุม เกยี รตพิ มิ ล
3.3.นายเทพฤทธิ์ 3.3.น.ส.วรธกานต 3.4.นายไกรฤทธิ์ 3.4.น.ส.ชญานี 4.1.น.ส.อริสา 4.1.นายธนิศร 6.2.นายเมษา 6.2.นางนฤมล
ชื่นโชคสนั ต รังสริ ักษ ชื่นโชคสันต สุขใส
ช่นื โชคสันต นริ นั ดรสุข ปต ภัทรวบิ ูลย บอ จักรพนั ธ
3.3.1.ด.ช.ณัฐวรรธน 3.4.1.ด.ช.ดนัยวฒั น รุน
ชน่ื โชคสนั ต ปตภทั รวบิ ูลย พอ + แม
ลกู ชายหญงิ + ภรรยาสามี
3.4.2.ด.ญ.ภิญญาพชั ญ หลาน - เหลน
ปต ภัทรวิบูลย
ป ร ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
THE HEART OF PRAJNA PARAMITA SUTRA
般若波羅蜜多心經
The Heart Sutra Annotations
Sweet Dews of the Dharma
ป ร ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
ฉ บั บ สั ง ก ษ ป ต ะ ม า ต ฤ ก า [ ฉ บั บ ย อ ]
ापार मता दयसू म ् [सं तमातकृ ा]
ภ า ค แ ป ล ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร ฉ บั บ สั ง ก ษิ ป ต ะ ม า ต ฤ ก า
ป ร ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
ฉ บั บ ว ส ต ร ะ ม า ต ฤ ก า [ ฉ บั บ ใ ห ญ ]
ापार मता दयसू म ् [[ व तरमातकृ ा]
ภ า ค แ ป ล ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร ฉ บั บ วิ ส ต ร ะ ม า ต ฤ ก า
ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร จ า ก วิ กิ พี เ ดี ย ส า ร า นุ ก ร ม เ ส รี
摩訶般若波羅蜜多心經
ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
ภ า ค ข ย า ย ค ว า ม ป รั ช ญ า ป า ร า มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
大乘二十頌論
[ ม ห า ย า น ว ส ติ ค า ถ า ศ า ส ต ร ]
ป ร ะ วั ติ พ ร ะ น า ค า ร ชุ น แ ล ะ ค ว า ม เ ข า ใ จ เ ร่ื อ ง สุ ญ ญ ต า
ท า น น า ค า ร ชุ น ะ ป รั ช ญ า ม ห า ย า น นิ ก า ย ศู น ย ต ว า ทิ น
วั ช ร ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า สู ต ร ท า น น า ค า ร ชุ น ะ
สุ ญ ญ ต า ธ ร ร ม ( ฉ บั บ ย อ ) พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ
บ ท ค ว า ม เ รื่ อ ง สุ ญ ญ ต า แ ล ะ จิ ต ว า ง
บ ท ส ว ด พ ร ะ ค า ถ า ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
ลาํ นํา มู ล ฐ า น ท า ง ส า ย ก ล า ง ข อ ง น า ค า ร ชุ น
หั ว ใ จ คํา ส อ น ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ อ ง ค
ป ร ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
THE HEART OF PRAJNA PARAMITA SUTRA
般若波羅蜜多心經
Translated by the Chung Tai Translation Committee June 2002
From the Chinese translation by Tripitaka Master Xuan Zang, 7th Century
Sutra annotations: August 2008
Prior English translations of the sutra by many others were used as references. The Chung Tai
Translation Committee comprises of Dharma Masters and lay disciples and convenes regularly.
To view or download other sutra translations by CTTC, visit “Dharma Gems” on
http://sunnyvale.ctzen.org. Comments and suggestions may be sent to [email protected]
Namo Fundamental Teacher Shakyamuni Buddha
南無本師釋迦牟尼佛
SUTRA OPENING GATHA
開經偈
The Dharma, infinitely profound and subtle, is rarely encountered even in a million kalpas.
Now we are able to hear, study, and follow it, May we fully realize the Tathagata’s true
meaning.
無上甚深微妙法 百千萬劫難遭遇
我今見聞得受持 願解如來真實義
THE HEART OF PRAJNA PARAMITA SUTRA
Bodhisattva Avalokiteshvara, While deeply immersed in prajna paramita, Clearly
perceived the empty nature of the five skandhas, And transcended all suffering.
Shariputra! Form is not different from emptiness, Emptiness is not different from form.
Form is emptiness, emptiness is form. So it is with feeling, conception, volition, and
consciousness.
Shariputra! All dharmas are empty in character; Neither arising nor ceasing, Neither impure
nor pure, Neither increasing nor decreasing.
Therefore, in emptiness, there is no form; There is no feeling, conception, volition, or
consciousness; No eye, ear, nose, tongue, body, or mind; No form, sound, smell, taste, touch,
or dharmas; No realm of vision, and so forth, Up to no realm of mind-consciousness; No
ignorance or ending of ignorance, and so forth, Up to no aging and death or ending of aging
and death. There is no suffering, no cause, no extinction, no path. There is no wisdom and no
attainment. There is nothing to be attained.
1
By way of prajna paramita, The bodhisattva’s mind is free from hindrances. With no
hindrances, there is no fear; Freed from all distortion and delusion, Ultimate nirvana is reached.
By way of prajna paramita, Buddhas of the past, present, and future Attain anuttara-
samyak-sambodhi. Therefore, prajna paramita Is the great powerful mantra, The great
enlightening mantra, The supreme and peerless mantra. It can remove all suffering. This is the
truth beyond all doubt. And the prajna paramita mantra is spoken thus:
Gate gate paragate parasamgate bodhi svaha.
The Heart Sutra Annotations
THE HEART*1 OF PRAJNA*3 PARAMITA*4 SUTRA*2
般若波羅蜜多心經
Bodhisattva*5 Avalokiteshvara*6, While deeply immersed*7 in prajna paramita, Clearly
perceived the empty nature8 of the five Skandhas*9, And transcended all suffering.
Shariputra*10! Form is not different from emptiness, Emptiness is not different from form. Form
is emptiness, emptiness is form. So it is with feeling, conception, volition, and consciousness.
觀自在菩薩。行深般若波羅蜜多時。照見五蘊皆空。度一切苦厄。舍利子。色不異空。空不異色
。色即是空。空即是色。受想行識。亦復如是。
*1 Heart Sutra. The short title of this most popular and important sutra. It contains the very
essence of the vast body of wisdom teachings (prajna-paramita sutras) in Buddhism.
*2 sutra 佛經
A Buddhist scripture containing the dialogues or discourses of the Buddha.
*3 prajna 般若
Great transcendental wisdom; wisdom from understanding the truth; wisdom of understanding
the empty nature of the ‘self’ and all phenomena; wisdom that can overcome birth-and-death
and all suffering, and enlighten all beings.
*4 paramita 波羅蜜多
Perfection, the practice that can bring one to liberation. Literally, “to the other shore.” To
become a buddha, the bodhisattva practices the six paramitas: perfection of charity (dana),
moral conduct (sila), tolerance (ksanti), diligence (virya), meditation (dhyana), and, most
important of all, wisdom (prajna).
*5 bodhisattva 菩薩
One who, with infinite compassion, vows to become a buddha and to liberate countless
sentient beings. A bodhisattva practices all six paramitas (perfections), but it is the prajna
2
paramita that ultimately brings true liberation. Bodhi: enlightenment, to awaken. Sattva:
sentient beings, beings with consciousness.
*6 Avalokitesvara 觀自在,觀世音
This bodhisattva is considered the embodiment of the Buddhist virtue of compassion. Known
as Guanyin in Chinese, this is the most beloved bodhisattva in Asia. The name means
“perceiver of cries of the world” and “unhindered perceiver of the truth.” Thus this
bodhisattva is able to help all sentient beings.
*7 deeply immersed. Deep in the practice and understanding of the profound prajna paramita.
It is not enough to understand prajna intellectually; one must practice it with the whole body
and mind. Here ‘deeply’ means the understanding of not only the empty nature of the ‘self’
but also of all phenomena.
*8 empty nature 空
Both the self and all phenomena are without independent existence or inherent, fixed
characteristics. They are impermanent, mutable and mutually dependent; their individuality is
in appearance only. Buddhism provides us with several classifications of phenomena to help
us understand how ordinary people perceive the world. They are: the five skandhas, the twelve
bases, and the eighteen spheres (see below). However, our perceptions of the world are
founded on ignorance; therefore, these constructions are ultimately empty.
*9 five skandhas 五蘊
Five aggregates-form, feeling, conception, volition, and consciousness (色受想行識) Form refers
to our body or the physical world, the other four are of the mind. Ordinary beings see
themselves as composed of these aggregates. When we analyze them deeper, we find no real
substance.
*10 Sariputra 舍利子,舍利弗
(Pronounced Shariputra). A senior disciple of the Buddha, known for his wisdom.
Shariputra! All dharmas*11 are empty in character; Neither arising nor ceasing*12, Neither
impure nor pure, Neither increasing nor decreasing. Therefore, in emptiness, there is no form;
There is no feeling, conception, volition, or consciousness*13; No eye, ear, nose, tongue, body,
or mind; No form, sound, smell, taste, touch, or dharmas*14; No realm of vision, and so forth,
Up to no realm of mind-consciousness*15; No ignorance or ending of ignorance, and so forth,
Up to no aging and death or ending of aging and death*16. There is no suffering, no cause, no
extinction, no path*17.
3
舍利子。是諸法空相。不生不滅。不 垢不淨。不增不減。是故空中無色。 無受想行識。無眼耳
鼻舌身意。無色 聲香味觸法。無眼界。乃至無意識界。 無無明。亦無無明盡。乃至無老死。 亦
無老死盡。無苦集滅道。
*11 dharmas 法
“Dharma” (capitalized) means the Buddha’s teaching, the Law, the Truth; “dharmas” means
things, phenomena.
*12 neither arising … nor decreasing. By understanding the mutual dependencies and inter-
connections of all things, one realizes that all creation and destruction, birth-and-death, good
and bad, more and less, etc., exist in appearance only.
*13 no form, feeling … This negation of the five skandhas is to point out that the superficial
appearance and characters we are familiar with actually have no intrinsic substance. Form
(physical matter) is energy, its appearance is an illusion of the perceiver; feelings are subjective;
conceptions are mind-made; volition (will or intent which leads to action); and what we call
consciousness are streams of thought based on deluded understanding of reality. There is no
“self” to be found in form, feeling, conception, volition, or consciousness.
*14 no eye, ear…or dharmas. Negation of the twelve bases (of consciousness) (十二處) which
include six senses (六根) and six sense objects (六塵). The six senses are used to perceive the
six sense objects and the result is our conception of the world. The six sense objects are also
known as six dusts in Buddhism.
*15 no realm of vision … no realm of mind-consciousness. Negation ofthe eighteen spheres (
十八界), six senses, six sense objects, and six types of consciousness, that of vision, hearing,
olfaction, taste, touch, and mind-consciousness. The eighteen spheres represent the way the
deluded mind perceives and divides the world, and prevents us from seeing the unity and
equality of all things.
*16 no ignorance … no ending of aging and death. The twelve links of dependent origination (
十二因緣) explain the process of the rebirth cycle. They are ignorance −› intentional action −›
consciousness −› mind and form −› six senses −› contact −› feeling −› craving −› grasping −›
being −› birth −› old age and death. However, from the view of absolute reality, the twelve
links and their elimination (ending of …, which is needed to gain liberation from rebirth), are
also empty. In fact, what we perceive as birth-and-deaths are actually delusions, so suffering
is also empty.
4
*17 no suffering, no cause, no extinction, no path. Since suffering is produced by ignorance
and delusion, it is empty. The emptiness of suffering, cause of suffering, extinction of suffering,
and the path is a higher understanding of the Four Noble Truths.
There is no wisdom and no attainment*18. There is nothing to be attained. By way of
prajna paramita*19, The bodhisattva’s mind is free from hindrances. With no hindrances, there
is no fear*20; Freed from all distortion and delusion, Ultimate nirvana is reached.
By way of prajna paramita, Buddhas*21 of the past, present, and future Attain anuttara-
samyak-sambodhi*22. Therefore, prajna paramita is the great powerful mantra, The great
enlightening*23 mantra*24, The supreme and peerless mantra. It can remove all suffering. This
is the truth beyond all doubt. And the prajna paramita mantra is spoken thus:
Gate gate paragate parasamgate bodhi svaha*25.
無智亦無得。以無所得故。菩提薩埵。依般若波羅蜜多故。心無罣礙。無罣礙故。無有恐怖。遠
離顛倒夢想。究竟涅槃。三世諸佛。依般若波羅蜜多故。得阿耨多羅三藐三菩提。故知般若波羅
蜜多。是大神咒。是大明咒。是無上咒。是無等等咒。能除一切苦。真實不虛。故說般若波羅蜜
多咒。即說咒曰。揭諦揭諦。波羅揭諦。波羅僧揭諦。菩提薩婆訶。
*18 no wisdom and no attainment. Negation of the bodhisattva’s practice, in this specific case,
wisdom. Wisdom overcomes ignorance and delusion. Since delusions are empty, so is wisdom.
Nothing (which we do not already have) is gained by liberation. Buddha teaches that once we
get to the other shore, there is no need to carry around the raft (the teaching) that got us
there. The preceeding three annotations are about letting go of the “rafts” of the “Three
Vehicles”.
*19 by way of prajna paramita…. By the practice and profound understanding of the
empty/interconnected/equal nature of all dharmas, which is prajna wisdom, one’s mind
becomes freed from all delusions and abides in absolute peace and absolute bliss. This is
called attaining nirvana.
*20 there is no fear. Fear comes from misunderstanding and ignorance. With prajna wisdom,
all fear is removed.
*21 buddhas. “The enlightened one.” There are many buddhas in the past, present, and future;
all sentient beings can become buddhas by practicing prajna paramita.
*22 anuttara-samyak-sambodhi. Anuttara: unsurpassed. Samyak sambodhi: right and
comprehensive understanding (complete enlightenment). Unsurpassed complete
enlightenment is the state of a buddha.
5
*23 powerful, enlightening…. True wisdom liberates and empowers us. There is no higher
wisdom than prajna, nothing can compare to it. There is no higher bliss than what prajna can
bring.
*24 mantra. “True words”, also a short phrase that contains much meaning. Mantras are usually
left untranslated.
*25 gate gate paragate parasamgate bodhi svaha. This mantra basically means: go, go, go
beyond, go completely beyond to complete enlightenment.
Sweet Dews of the Dharma
THE FOUR NOBLE TRUTHS
1. Suffering exists in everyone’s life.
2. The causes of suffering are greed, anger, and ignorance.
3. Nirvana, the extinction of suffering, is possible for everyone.
4. Nirvana is achieved by following the Noble Eightfold Path.
四聖諦
苦﹐集﹐滅﹐道。
THE NOBLE EIGHTFOLD PATH
Right Understanding, Right Thought, Right Speech, Right Action, Right Livelihood, Right Effort,
Right Mindfulness, and Right Samadhi.
八正道
正見﹐ 正思惟﹐ 正語﹐ 正業﹐正命﹐ 正精進﹐ 正念﹐ 正定。
FOUR TENETS OF CHUNG TAI
To our elders be respectful,
To our juniors be kind,
With all humanity be harmonious,
In all endeavors be true.
中台四箴行 對下以慈﹐
對上以敬﹐ 對事以真。
對人以和﹐
ACTION AND NON-ACTION
When in action, perfect all actions.
When at rest, rest all thought.
Action and non-action are both illusory;
6
All we need in life are already present.
動則萬善圓彰 靜則一念不生
動靜原是虛妄 日用一切現成
THREE REFUGES
三皈依
I take refuge in the Buddha, may all sentient beings Understand the Great Way profoundly,
and bring forth the bodhi mind.
I take refuge in the Dharma, may all sentient beings Deeply enter the sutra treasury, and have
wisdom vast as the sea.
I take refuge in the Sangha, may all sentient beings Form together a great assembly, one and
all in harmony.
自皈依佛 當願眾生 體解大道 發無上心 自皈依法 當願眾生 深入經藏 智慧如海 自皈依僧 當願
眾生 統理大眾 一切無礙 自皈依僧 當願眾生 統理大眾 一切無礙 和南聖眾
FOUR GREAT VOWS
四弘誓願
Countless are sentient beings, I vow to liberate;
Endless are afflictions, I vow to eradicate;
Measureless are the Dharmas, I vow to master;
Supreme is the Buddha Way, I vow to attain.
眾生無邊誓願度 煩惱無盡誓願斷
法門無量誓願學 佛道無上誓願成
REPENTANCE
懺悔偈
All the harm I have ever done, since time immemorial,
Are caused by greed, anger, and ignorance,
And produced through my body, speech, and will,
Now I confess and amend all.
往昔所造諸惡業 皆由無始貪瞋痴
從身語意之所生 一切罪障皆懺悔
DEDICATION OF MERITS
回向偈
May the merits of our deeds; Reach every part of the world; Sentient beings large and small
all attain enlightenment. Maha-Prajna-Paramita
願以此功德 普及於一切 我等與眾生 皆共成佛道 摩訶般若波羅蜜 中台禪寺
7
ป ร ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
ฉ บั บ สั ง ก ษ ป ต ะ ม า ต ฤ ก า [ ฉ บั บ ย อ ]
ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ฉบับสังกษิปตะมาตฤกา สํานวนในมหายานสูตรสังครหะ ปรัชญาปารมิตา
หฤทัยสูตร เปนพระสูตรขนาดเล็ก ในหมวดปรัชญาปารมิตาของพระไตรปฎกฝายมหายาน พระสูตรหมวดน้ี ท่ี
เนนการใชปญญาในการนําพาสูฝงขางโนน อันไดแกพระนิพพาน ประกาศหลักอนัตตาซ่ึงเปนหลักใหญของ
พระพทุ ธศาสนา
ตน ฉบบั อกั ษรเทวนาครี จากโครงการ Digital Sanskrit Buddhist Canon
ापार मता दयसू म ् [सं तमातकृ ा]
ปฺรชญฺ าปารมิตาหฤทยสูตฺรมฺ [สํกฺษปิ ฺตมาตฤกา]
ปรชั ญาปาระมติ าหฤทะยะสตู รัม [สงั กษปิ ตะมาตฤกา]
|| नमः सव ाय ||
๚ นมะ สรวฺ ชญฺ าย ๚
๚ นะมะห สรรวัชญายะ ๚
आयावलो कते वरबो धस वो ग भीरायां ापार मतायां चया चरमाणो यवलोकय त म |
อารยฺ าวโลกเิ ตศฺวรโพธิสตฺตโฺ ว คมภฺ รี ายํา ปฺรชฺญาปารมติ ายํา จรฺยํา จรมาโณ วฺยวโลกยติ สฺม ฯ
อารยาวะโลกิเตศวะระโพธิสัตตโว คัมภีรายาม ปรัชญาปาระมิตายาม จรรยาม จะระมาโณ วยะวะโลกะยะติ
สมะ ฯ
प च क धाः, तां च वभावशू यान ् प य त म ||
ปฺจ สกฺ นธฺ าะ, ตําศจฺ สฺวภาวศูนยฺ านฺ ปศยฺ ติ สมฺ ๚
ปญ จะ สกันธาห, ตามศจะ สวะภาวะศูนยาน ปศยะติ สมะ ๚
इह शा रपु पं शू यता, शू यतवै पम ् |
อหิ ศารปิ ุตฺร รปู ศนู ยฺ ตา, ศูนฺยไตว รปู มฺ ฯ
อหิ ะ ศารปิ ุตระ รูปม ศนู ยะตา, ศูนยะไตวะ รูปม ฯ
पा न पथृ क् शू यता, शू यताया न पथृ ग ् पम ् |
รปู านฺน ปฤถกฺ ศนู ฺยตา, ศนู ฺยตายา น ปฤถคฺ รูปมฺ ฯ
รูปานนะ ปฤถัก ศนู ยะตา, ศนู ยะตายา นะ ปฤถัค รปู ม ฯ
य पू ं सा शू यता, या शू यता त पू म ् ||
ยทรฺ ูป สา ศนู ยฺ ตา, ยา ศนู ยฺ ตา ตทฺรูปมฺ ๚
ยทั รูปม สา ศนู ยะตา, ยา ศูนยะตา ตัทรูปม ๚
एवमवे वेदनासं ासं कार व ाना न ||
เอวเมว เวทนาสํชญฺ าสํสกฺ ารวิชญฺ านานิ ๚
เอวะเมวะ เวทะนาสัญชญาสมั สการะวิชญานานิ ๚
8
इहं शा रपु सवधमाः शू यताल णा अनु प ना अ न ा अमला न वमला नोना न
प रपणू ाः |
อหิ ํ ศารปิ ตุ รฺ สรฺวธรฺมาะ ศูนฺยตาลกษฺ ณา อนตุ ฺปนฺนา อนิรทุ ฺธา อมลา น วิมลา โนนา น ปริปูรฺณาะ ฯ
อิหัม ศาริปุตระ สรรวะธรรมาห ศูนยะตาลักษะณา อะนุตปนนา อะนิรุทธา อะมะลา นะ วิมะลา โนนา นะ ปะ
ริปูรณาห ฯ
त मा छा रपु शू यतायां न पम,् न वदे ना, न सं ा, न सं काराः, न व ाना न |
ตสฺมาจฉฺ ารปิ ตุ รฺ ศนู ยฺ ตายํา น รปู ม,ฺ น เวทนา, น สํชญฺ า, น สสํ กฺ าราะ, น วชิ ฺญานานิ ฯ
ตสั มาจฉาริปตุ ระ ศนู ยะตายาม นะ รปู ม , นะ เวทะนา, นะ สัญชญา, นะ สัมสการาห, นะ วิชญานานิ ฯ
न च ःु ो ाणिज वाकायमनां स, न पश दग धरस ट यधमाः |
น จกษฺ ะุ โศฺรตฺรฆฺราณชหิ วฺ ากายมนําส,ิ น รปู ศพฺทคนฺธรสสฺปรฺ ษฺฏวยฺ ธรฺมาะ ฯ
นะ จักษุหโศรตระฆราณะชิหวากายะมะนามส,ิ นะ รูปะศัพทะคันธะระสสั ปรัษฏะวยะธรรมาห ฯ
न च धु ातयु ाव न मनोधातःु ||
น จกฺษรุ ธฺ าตรุ ฺยาวนนฺ มโนธาตุะ ๚
นะ จกั ษุรธาตรุ ยาวันนะ มะโนธาตุห ๚
न व या ना व या न व या यो ना व या यो याव न जरामरणं न जरामरण यो न
दःु खसमदु य नरोधमागा न ानं न ाि त वम ् ||
น วิทฺยา นาวิทฺยา น วิทฺยากฺษโย นาวิทฺยากฺษโย ยาวนฺน ชรามรณํ น ชรามรณกฺษโย น ทุะขสมุทยนิโรธมารฺคา
น ชฺญานํ น ปฺราปฺติตฺวม๚ฺ
นะ วิทยา นาวทิ ยา นะ วิทยากษะโย นาวิทยากษะโย ยาวันนะ ชะรามะระณมั นะ ชะรามะระณกั ษะโย นะ ทุห
ขะสะมทุ ะยะนโิ รธะมารคา นะ ชญานมั นะ ปราปติตวัม๚
बो धस व य( च ?) ापार मतामा य वहर त च तावरणः |
โพธิสตฺตวฺ สยฺ (ศจฺ ?) ปรฺ ชฺญาปารมติ ามาศฺริตฺย วิหรติ จติ ตฺ าวรณะ ฯ
โพธสิ ตั ตวัสยะ(ศจะ ?) ปรชั ญาปาระมติ ามาศรติ ยะ วหิ ะระติ จติ ตาวะระณะห ฯ
च तावरणनाि त वाद तो वपयासा त ा तो न ठ नवाणः |
จติ ฺตาวรณนาสตฺ ติ วฺ าทตฺรสฺโต วิปรยฺ าสาติกรฺ านฺโต นษิ ฺฐนริ วฺ าณะ ฯ
จิตตาวะระณะนาสตติ วาทะตรัสโต วิปรรยาสาติกรานโต นิษฐะนิรวาณะห ฯ
य व यवि थताः सवबु ाः ापार मतामा य अनु तरां स य सबं ो धम भसंबु ाः ||
ตฺรยฺ ธฺววยฺ วสถฺ ิตาะ สรฺวพทุ ฺธาะ ปฺรชญฺ าปารมติ ามาศรฺ ติ ฺย อนุตฺตรํา สมยฺ กสฺ ํโพธิมภสิ ํพุทฺธาะ ๚
ตรยัธวะวยะวัสถิตาห สรรวะพทุ ธาห ปรัชญาปาระมติ ามาศรติ ยะ อะนุตตะราม สมั ยกั สมั โพธมิ ะภิสมั พุทธาห ๚
त मा ात यः ापार मतामहाम ो महा व याम ोऽनु तरम ोऽसमसमम ः
सवदःु ख शमनः स यम म य वात ् ापार मतायामु तो म ः |
9
ตสฺมาชฺชฺญาตวฺยะ ปฺรชฺญาปารมิตามหามนฺโตฺร มหาวิทฺยามนฺโตฺร’นุตฺตรมนฺโตฺร’สมสมมนฺตฺระ สรฺวทุะขปฺรศม
นะ สตฺยมมถิ ฺยตวฺ าตฺ ปรฺ ชญฺ าปารมิตายามกุ ฺโต มนตฺ รฺ ะ ฯ
ตสั มาชชญาตะวยะห ปรชั ญาปาระมติ ามะหามนั โตร มะหาวิทยามนั โตรนตุ ตะระมนั โตรสะมะสะมะมันตระห
สรรวะทหุ ขะประศะมะนะห สตั ยะมะมิถยัตวาต ปรัชญาปาระมิตายามกุ โต มนั ตระห ฯ
[บทธารณ]ี
त यथा- गते गते पारगते पारसंगते बो ध वाहा ||
ตทฺยถา- คเต คเต ปารคเต ปารสคํ เต โพธิ สฺวาหา ๚
ตัทยะถา- คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา๚
इ त ापार मता दयसू ं समा तम ् ||
อติ ิ ปรฺ ชญฺ าปารมิตาหฤทยสตู รฺ ํ สมาปตฺ มฺ ๚
อติ ิ ปรัชญาปาระมติ าหฤทะยะสตู รัม สะมาปตมั ๚
ภ า ค แ ป ล ป ร ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
ฉ บั บ สั ง ก ษ ป ต ะ ม า ต ฤ ก า
พระอารยาวโลกิเตศวรโพธิสัตว เม่ือทรงไดบําเพ็ญปญญาบารมี จนบรรลุถึงโลกุตรธรรมอันลึกซ้ึงแลว
พิจารณาเล็งเหน็ วา ที่แทจรงิ แลวขันธ ๕ นัน้ เปน สูญ จึงไดกาวลว งจากสรรพทุกขท ั้งปวง
ดูกอนทานสารีบุตร รูปคือความสูญ ความสูญน่ันแหละคือรูป ความสูญไมอื่นไปจากรูป รูปไมอื่นไปจาก
ความสูญ รูปอันใด ความสูญก็อันนั้น ความสูญอันใด รูปก็อันนั้น อนึ่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เปน
สูญอยางเดยี วกนั
ทานสารบี ตุ ร กส็ รรพธรรมท้งั ปวง มคี วามสูญเปนลักษณะ ไมเกดิ ไมด บั ไมม วั หมอง ไมผ อ งแผว ไมหยอน
ไมเต็ม อยางน้ี เพราะฉะน้นั แหละ ทานสารีบุตร ในความสูญจึงไมมรี ูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไมมีตา
หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ไมมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรม ไมมีจักษุธาตุ จนถึงมโนธาตุ ในธรรมชาติน้ัน
วิญญาณธาตุ ไมมีวิชชา ไมมีอวิชชา ไมมีความส้ินไปแหงวิชชาและอวิชชา จนถึงไมมีความแกและความตาย ไม
มีความส้ินไปแหงความแกและความตาย ไมมีทุกข สมุหทัย นิโรธ มรรค ไมมีญาณ ไมมีการบรรลุ ไมมีการไม
บรรลุ
พระโพธิสัตวผ ูว างใจในปญ ญาบารมี จะมจี ิตที่เปน อิสระจากอุปสรรคส่งิ กดี กั้น เพราะจติ ของพระองคเปน
อิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดก้ัน พระองคจึงไมม ีความกลัวใดๆ กาวลวงพนไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา บรรลุถึงพระ
นพิ พานไดในที่สุด
อันพระสัมมาสัมพุทธเจาในตรีกาล (อดีต ปจจุบัน และอนาคต) ดวยเหตุที่ทรงอาศัยปญญาบารมี จึงได
ตรัสรูอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดวยเหตุฉะน้ี จึงสมควรทราบวาปญญาบารมีน้ี คือมหาศักดามนตร (เปนมหา
มนตอันศักด์ิสิทธ์ิ) คือมหาวิทยามนตร (เปนมนตแหงความรูอันยิ่งใหญ) คืออนุตรมนตร (เปนมนตอันไมมีมนต
อื่นย่ิงกวา) คืออสมสมมนตร (เปนมนตอันไมมีมนตอ่ืนใดมาเทียบได) สามารถขจัดสรรพทุกขท้ังปวง นี่เปน
สัจจะ เปน อสิ ระจากความเทจ็ ทง้ั มวล จงึ เปน เหตใุ หก ลา วมนตรแ หงปญญาบารมีวา
10
“คะเต คะเต ปารคะเต ปารสงั คะเต โพธิ สวาหา”*
*...ปกตินั้น บทธารณี นั้นมักจะไมแปล แตหากแปลจะแปลวา “จงไป จงไป ไปถึงฝงโนน ไปใหพนโดย
ส้ินเชิง บรรลุถงึ ความรูแจง”...*
เชงิ อรรถ
ศูนยตาหรือสุญญตา (บาลี: สฺุญตา, สันสกฤต: ศูนฺยตา) แปลวา ความวางเปลา ความเปนของสูญ มี
ความหมายวา ความไมม ตี ัวตน ถอื เอาเปนตวั ตนไมได
“สุญญตาอนั ใด อนตั ตากอ็ ันนัน้ อนัตตาอนั ใด สญุ ญตาก็อนั น้ัน”
คําวา สุญญตา เปนคําที่ฝายมหายานนิยมใชแพรหลายมากท่ีสุด สุญญตากับอนัตตาความจริงก็มี
ความหมายใกลเคียงกัน กลาวคือเปนคําปฏิเสธสภาวะซึ่งมีอยู เปนอยูดวยตัวมันเอง เพราะในทรรศนะของ
มหายาน สรรพส่ิงซึ่งปรากฏแกเรา ลวนเปนปฏิจจสมุปบาทธรรมทั้งส้ิน สุญญตามิไดหมายวา วางเปลาไมมี
อะไรเลยเหมือนอากาศ แตหมายเพียงวา ไมมีสภาวะท่ีดํารงอยูไดโดยตัวของมันเอง ชนิดที่ไมตองอาศัยปจจัย
แตปจจัยธรรมซึ่งอาศัยกันเปนภาพมายา มีอยูปรากฏอยูมิใชวา จะไมมีอะไรๆไปเสียทั้งหมด ฝายมหายาน
อธิบายวา โลกกับพระนิพพาน ความจริงไมใชอันเดียวกันหรือแตกตางกัน กลาวคือ โลกเปนปฏิจจสมุปบาท
ความดับปฏิจจสมุปบาทนั้นเสียได ก็คือพระนิพพาน ฉะนั้นทั้งโลกและพระนิพพาน จึงเปนสุญญตา คือไมใช
เปนสภาวะ และเม่ือสภาวะไมมีเสียแลว อภาวะก็พลอยไมมีไปดวย เพราะมีสภาวะ จึงมีอภาวะเปนของคูกัน
ผูใดเห็นวา โลกและพระนิพพานเปนสภาวะ ผูนั้นเปนสัสสตทิฏฐิ ผูใดเห็นวา โลกและพระนิพพานเปนอภาวะ
เลา ผูน้ันก็เปนอุจเฉททิฏฐิ ผูใดเห็นวา โดยสมมติสัจจะธรรมท้ังปวง เปนปฏิจจสมุปบาท และโดยปรมตั ถสัจจะ
ธรรมทั้งปวง เปน สญุ ญตาไซร ผนู น้ั แลไดชือ่ วา ผูม ีสมั มาทิฏฐโิ ดยแท ทวี่ า มานี้ เปน มติของพระนาครชุนผเู ปนตน
นกิ ายสญุ ญวาท”
เสถียร โพธินันทะ, ชุมนมุ พระสูตรมหายาน, สํานักพิพมพบรรณาคาร, 2516, ต-ถ
ดแู ละฟง เพ่ิมเติมหลกั ของสุญญตา อ.เสถยี ร โพธินันทะ
สุญญตาในลทั ธมิ หายาน อ.เสถยี ร โพธนิ ันทะ
ธรรมสงั คีต ปรัชญาปารมิตาหฤทยั สูตร
ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร น้ันมีหลากหลายภาษาและหลายสํานวน (แตเนื้อหาเหมือนกัน) นอกจากจะ
นิยมสาธยายเปนระหวางประกอบพิธีทางศาสนา ในประเทศที่นับถือพุทธศาสนาฝายมหายานแลว ในปจจุบัน
ยังพบในรูปแบบที่เปนธรรมสังคีต ประกอบกับดนตรีหลากหลายแนว และเวอรช่ันท่ีไดรับความสนใจ หลาย
ทานคงจะเคยไดยิน ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร หรือ The Heart Sutra ท่ีรองเปนภาษาสันสกฤตโดย Imee
Ooi ชาวมาเลเซีย เชื้อสายจีนเปนท่ีแพรหลายใน Youtube เวอรชั่นนี้เปนท่ีช่ืนชอบในไทยมาก ไมวาจะเปนใน
รูปแบบวีดีโอหรือแมแตบทปริวรรต ผูเรียบเรียงคิดวา ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ของ Imee Ooi นาจะเปน
ฉบับสังกษิปตะมาตฤกา [ฉบับยอ] แตสํานวนของใครไมทราบใด แตนาจะเปนคนละสํานวนกับสํานวนใน
มหายานสูตรสังครหะ
11
เน่ืองจากเปนพระสูตรที่เปนท่ีสนใจของคนไทยจํานวนมาก บทแปลไทยของ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
ฉบับสังกษิปตะมาตฤกา นี้ ก็มีหลากหลายสํานวนเชนกัน มีแพรหลายในอินเตอรเน็ตจํานวนมาก แตหาท่ีมาท่ี
ไปไมไ ด อนงึ่ ผูเ รยี บเรยี งเองไมใชผ ูเ ชย่ี วชาญภาษาสนั สฤต ดังนน้ั ผเู รยี บเรยี งจงึ เลือกสํานวนมาหนึ่งสาํ นวน แต
ณ ที่น้ี ผเู รยี บเรียงนํามาประกอบใสไวพอเปน ที่สงั เขปเทาน้นั
ป ร ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
ฉ บั บ ว ส ต ร ะ ม า ต ฤ ก า [ ฉ บั บ ใ ห ญ ]
ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร เปนพระสูตรขนาดเล็ก ในหมวดปรัชญาปารมิตาของพระไตรปฎกฝาย
มหายาน พระสูตรหมวดน้ี ท่ีเนนการใชปญญาในการนําพาสูฝงขางโนน อันไดแก พระนิพพาน ประกาศหลัก
อนัตตา ซึง่ เปน หลักใหญของพระพุทธศาสนา
ปรัชญาปารมิตาหฤทยั สูตรในมหายานสูตรสังครหะนั้น มสี องฉบบั คอื ฉบบั สังกษปิ ตะมาตฤกาและฉบับวิ
สตระมาตฤกา จากคราวท่ีแลวไดนําเสนอ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ฉบับสังกษิปตะมาตฤกา ไปแลว คราวน้ี
ขอเสนอ ฉบับวสิ ตระมาตฤกา
ตนฉบบั อักษรเทวนาครี จากโครงการ Digital Sanskrit Buddhist Canon
ापार मता दयसु म।्
ปรฺ ชฺญาปารมติ าหฤทยสตุ รฺ มฺฯ
ปรัชญาปาระมติ าหฤทะยะสตุ รัมฯ
ปรชั ญาปารมิตาหฤทัยสูตร
[ व तरमातकृ ा]
[วิสตฺ รมาตฤกา]
[วิสตะระมาตฤกา]
[ฉบบั ใหญ]
॥नमः सव ाय॥
๚นมะ สรวฺ ชฺญาย๚
๚นะมะห สรรวะชญายะ๚
ขอนอบนอ มแดพ ระผูสัพพัญู พระปรีชาญาณหยั่งรูส่ิงท้งั ปวง ทั้งท่เี ปนอดีต ปจ จบุ นั และอนาคต
एवं मया तु म।्
เอวํ มยา ศรฺ ตุ มฯฺ
เอวมั มะยา ศรตุ ัมฯ
ขา พเจาไดส ดบั มาแลวอยา งน้ี
एकि मन ् समये भगवान ् राजगहृ े वहर त म गृ कू टे पवतमे हता भ सु घं ेन साध महता
च बो धस वसघं ेन।
เอกสมฺ นิ ฺ สมเย ภควานฺ ราชคฤเห วิหรติ สฺม คฤธฺรกูเฏ
12
ปรฺวเต มหตา ภกิ ษฺ สุ เํ ฆน สารฺธํ มหตา จ โพธิสตตฺ วฺ สํเฆนฯ
เอกัสมนิ สะมะเย ภะคะวาน ราชะคฤเห วิหะระติ สมะ คฤธระกูเฏ
ปรรวะเต มะหะตา ภิกษุสงั เฆนะ สารธัม มะหะตา จะ โพธสิ ัตตวะสงั เฆนะฯ
สมัยหนึ่งพระผูมีพระภาคประทับอยูที่ภูเขาคิชกูฏใกลกรุงราชคฤห พรอมดวยพระภิกษุสงฆหมูใหญ พระ
โพธสิ ตั วหมูใหญ
तने खलु समयेन भगवान ् ग भीरावसंबोधं नाम समा धं समाप नः।
เตน ขลุ สมเยน ภควานฺ คมฺภรี าวสโํ พธํ นาม สมาธิ สมาปนฺนะฯ
เตนะ ขะลุ สะมะเยนะ ภะคะวาน คมั ภรี าวะสมั โพธัม นามะ สะมาธมิ สะมาปนนะหฯ
สมยั นั้นแล พระผูมีพระภาคทรงเขาสมาธชิ อ่ื วา คัมภรี าวสมั โพธะ
तेन च समयेन आयावलो कते वरो बो धस वो महास वो ग भीरायां ापार मतायां चया
चरमाणः एवं यवलोकय त म।
เตน จ สมเยน อารฺยาวโลกเิ ตศฺวโร โพธิสตตฺ ฺโว มหาสตตฺ ฺโว
คมฺภีรายํา ปฺรชฺญาปารมติ ายํา จรยฺ ํา จรมาณะ เอวํ วฺยวโลกยติ สฺมฯ
เตนะ จะ สะมะเยนะ อารยาวะโลกเิ ตศวะโร โพธิสตั ตโว มะหาสตั ตโว
คมั ภีรายาม ปรัชญาปาระมิตายาม จรรยาม จะระมาณะห เอวมั วยะวะโลกะยะติ สมะฯ
โดยสมยั เดยี วกนั น้ันแล พระอารยะอวโลกเิ ตศวรโพธิสัตวมหาสัตว ไดประพฤตจิ ริยาในปรชั ญาปารมิตาอนั ลึกซ้ึง
(ปญ ญาบารมี คณุ ชาติที่ทําใหบ รรลถุ ึงฝง แหง ปญ ญา)
प च क धां तां च वभावशू यं यवलोकय त॥
ปจฺ สกฺ นฺธาํ สฺตาํ ศฺจ สฺวภาวศนู ฺยํ วยฺ วโลกยต๚ิ
ปญ จะ สกันธามสตามศจะ สวะภาวะศูนยัม วยะวะโลกะยะต๚ิ
คอื ไดพ ิจารณาขนั ธ ๕ และความสญู โดยสภาพ
अथायु मान ् शा रपु ो बु ानभु ावेन आयावलो कते वरं बो धस वमते दवोचत-् यः
कि च कु लपु ो [वा कु लदु हता वा अ यां] ग भीरायां ापार मतायां चया चतकु ामः,कथं
श त यः ?
อถายุษฺมานฺ ศาริปุโตฺร พุทฺธานุภาเวน อารฺยาวโลกิเตศฺวรํ โพธิสตฺตฺวเมตทโวจตฺ- ยะ กศฺจิตฺ กุลปุโตฺร [วา กุลทุ
หิตา วา อสยฺ ํา] คมภฺ รี ายาํ ปรฺ ชฺญาปารมติ ายํา จรฺยาํ จรฺตุกามะ,กถํ ศกิ ษฺ ติ วยฺ ะ ?
อะถายุษมาน ศาริปุโตร พุทธานุภาเวนะ อารยาวะโลกิเตศวะรัม โพธิสัตตวะเมตะทะโวจัต- ยะห กัศจิต กุละปุ
โตร [วา กลุ ะทุหติ า วา อสั ยาม] คมั ภีรายาม ปรัชญาปาระมิตายาม จรรยาม จรรตุกามะห, กะถมั ศกิ ษิตะวยะห
?
ลําดับน้ันพระสารีบุตรผูมีอายุ ไดกลาวกับพระอารยะอวโลกิเตศวรโพธิสัตว ดวยพุทธานุภาพวา กุลบุตร (หรือ
กลุ ธิดาใดๆ) ใครจะประพฤติจริยาในปรชั ญาปารมิตาอันลกึ ซง้ึ นัน้ จะพงึ ศึกษาอยา งไร ?
13
एवमु ते आयावलो कते वरो बो धस वो महास वः आयु म तं शा रपु मते दवोचत-् यः
कि च छा रपु कु लपु ो व कु लदु हता वा [अ या]ं ग भीरायां ापार मतायां चया
चतुकामः,
เอวมุกฺเต อารยฺ าวโลกเิ ตศฺวโร โพธสิ ตตฺ โฺ ว มหาสตตฺ วฺ ะ อายุษมฺ นฺตํ ศารปิ ุตรฺ เมตทโวจตฺ- ยะ กศจฺ จิ ฺฉาริปตุ รฺ กุลปุ
โตฺร ว กุลทุหิตา วา [อสยฺ าํ ] คมฺภรี ายํา ปรฺ ชญฺ าปารมติ ายาํ จรยฺ ํา จรฺตกุ ามะ,
เอวะมกุ เต อารยาวะโลกเิ ตศวะโร โพธิสัตตโว มะหาสัตตวะห อายุษมันตมั ศารปิ ุตระเมตะทะโวจัต- ยะห กศั จิจ
ฉารปิ ุตระ กลุ ะปโุ ตร วะ กุละทุหิตา วา [อัสยาม] คัมภรี ายาม ปรชั ญาปาระมติ ายาม จรรยาม จรรตุกามะห,
พระอารยะอวโลกิเตศวรโพธสิ ัตวมหาสตั ว อันพระสารีบตุ รผมู ีอายุไดกลาวอยา งนแี้ ลว ไดก ลาวตอบวา ทา นสารี
บุตร กุลบุตรหรอื กลุ ธดิ าใดๆ ใครจ ะประพฤติจรยิ าในปรชั ญาปารมิตาอันลึกซึ้ง
तने वै ं यवलो कत यम-् प च क धां तां च वभावशू यान ् समनपु य त म।
เตไนวํ วยฺ วโลกติ วยฺ ม-ฺ ปจฺ สกฺ นฺธาํ สฺตําศจฺ สวฺ ภาวศนู ฺยานฺ สมนปุ ศยฺ ติ สมฺ ฯ
เตไนวัม วยะวะโลกติ ะวยัม-ปญจะ สกันธามสตามศจะ สวะภาวะศนู ยาน สะมะนุปศยะติ สมะฯ
เขาพงึ พิจารณาอยางนี้ คอื พจิ ารณาขนั ธ ๕ วา มีความสูญโดยสภาพ
पं शू यता, शू यतवै पम।्
รปู ศนู ยฺ ตา, ศูนฺยไตว รปู มฯฺ
รูปม ศนู ยะตา, ศนู ยะไตวะ รปู มฯ
รปู คอื ความสูญ ความสูญนั่นแหละคอื รูป
पा न पथृ क् शू यता, शू यताया न पथृ ग ् पम।्
รูปานนฺ ปฤถกฺ ศนู ยฺ ตา, ศนู ฺยตายา น ปฤถคฺ รูปมฺฯ
รปู านนะ ปฤถกั ศนู ยะตา, ศูนยะตายา นะ ปฤถัค รูปม ฯ
รปู ไมอ่ืนไปจากความสญู ความสญู ไมอนื่ ไปจากรูป
य पू ं सा शू यता, या शू यता त पू म।्
ยทรฺ ปู สา ศนู ยฺ ตา, ยา ศูนยฺ ตา ตทฺรูปมฯฺ
ยัทรูปม สา ศนู ยะตา, ยา ศนู ยะตา ตทั รูปม ฯ
รูปอันใดความสูญกอ็ นั นน้ั ความสญู อนั ใดรูปกอ็ ันน้ัน
एवं वेदनासं ासं कार व ाना न च शू यता।
เอวํ เวทนาสํชฺญาสํสกฺ ารวิชญฺ านานิ จ ศนู ยฺ ตาฯ
เอวมั เวทะนาสญั ชญาสัมสการะวิชญานานิ จะ ศนู ยะตาฯ
อนงึ่ เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ กม็ คี วามสูญเปนสภาพอยา งเดียวกัน
एवं शा रपु सवधमाः शू यताल णा
เอวํ ศาริปตุ รฺ สรวฺ ธรฺมาะ ศนู ยฺ ตาลกษฺ ณา
เอวัม ศาริปุตระ สรรวะธรรมาห ศนู ยะตาลกั ษะณา
14
ดกู อน ทานสารบี ตุ ร กส็ รรพธรรมทัง้ ปวงมคี วามสูญเปน ลกั ษณะ
अनु प ना अ न ा अमला वमला अननू ा असंपणू ाः।
อนุตฺปนฺนา อนิรทุ ฺธา อมลา วมิ ลา อนนู า อสํปรู ฺณาะฯ
อะนุตปนนา อะนริ ทุ ธา อะมะลา วิมะลา อะนนู า อะสมั ปูรณาหฯ
ไมเ กิด ไมดบั ไมม ัวหมอง ไมผ องแผว ไมห ยอ น ไมเต็ม อยางน้ี
त मा त ह शा रपु शू यतायां
ตสมฺ าตฺตรฺหิ ศาริปตุ ฺร ศูนฺยตายํา
ตสั มาตตรรหิ ศารปิ ุตระ ศนู ยะตายาม
เพราะฉะนนั้ แหละทานสารีบุตร ในความสูญน้นั จงึ
न पम,् न वदे ना, न सं ा, न सं काराः, न व ानम,्
น รูปมฺ, น เวทนา, น สํชฺญา, น สํสฺการาะ, น วิชฺญานมฺ, นะ รูปม, นะ เวทะนา, นะ สัญชญา, นะ สัมสการาห,
นะ วชิ ญานมั ,
ไมม รี ปู ไมม เี วทนา ไมมีสญั ญา ไมม สี งั ขาร ไมมวี ญิ ญาณ
न च ुन ो ं न ाणं न िज वा न कायो न मनो
น จกษฺ ุรฺน โศฺรตฺรํ น ฆฺราณํ น ชิหวฺ า น กาโย น มโน
นะ จกั ษุรนะ โศรตรัม นะ ฆราณัม นะ ชิหวา นะ กาโย นะ มะโน
ไมมีตา ไมมีหู ไมมจี มกู ไมมลี ้นิ ไมมีกาย ไมม ีใจ
न पं न श दो न ग धो न रसो न ट यं न धमः।
น รปู น ศพโฺ ท น คนฺโธ น รโส น สฺปรฺ ษฺฏวยฺ ํ น ธรมฺ ะฯ
นะ รูปม นะ ศพั โท นะ คันโธ นะ ระโส นะ สปรัษฏะวยมั นะ ธรรมะหฯ
ไมม รี ูป ไมม เี สียง ไมม กี ลิน่ ไมม ีรส ไมมีสัมผัส ไมมธี รรมารมณ
न च ुधातयु ाव न मनोधातनु धमधातुन मनो व ानधातःु ।
น จกษฺ รุ ฺธาตุรฺยาวนฺน มโนธาตรุ ฺน ธรมฺ ธาตรุ นฺ มโนวชิ ญฺ านธาตุะฯ
นะ จกั ษุรธาตรุ ยาวนั นะ มะโนธาตรุ นะ ธรรมะธาตรุ นะ มะโนวิชญานะธาตหุ ฯ
ไมมจี ักษธุ าตจุ นถึงมโนธาตุ ไมม ีธรรมธาตุและมโนวญิ ญาณธาตุ
न व या ना व या न यो याव न जरामरणं न जरामरण यः,
น วิทฺยา นาวิทฺยา น กฺษโย ยาวนนฺ ชรามรณํ น ชรามรณกษฺ ยะ,
นะ วิทยา นาวทิ ยา นะ กษะโย ยาวันนะ ชะรามะระณมั นะ ชะรามะระณักษะยะห,
ไมมีวชิ ชา และอวิชชา ไมม คี วามชรา ความมรณะ หรอื ความส้ินไปแหงความชรา ความมรณะ
न दःु खसमदु य नरोधमागा न ानं न ाि तना ाि तः।
น ทะุ ขสมุทยนโิ รธมารคฺ า น ชญฺ านํ น ปฺราปฺตริ ฺนาปรฺ าปตฺ ะิ ฯ
นะ ทหุ ข ะสะมุทะยะนิโรธะมารคา นะ ชญานมั นะ ปราปติรนาปราปติหฯ
15
ไมม ที ุกข สมุทัย นโิ รธ และมรรค ไมมีญาณ ไมม ีการบรรลุหรอื การไมบ รรลุ
त मा छा रपु अ ाि त वेन बो धस वानां ापार मतामा य वहर त च तावरणः।
ตสมฺ าจฉฺ าริปตุ รฺ อปฺราปฺตติ ฺเวน โพธสิ ตตฺ วฺ านํา ปรฺ ชญฺ าปารมติ ามาศฺริตฺย วหิ รติ จติ ตฺ าวรณะฯ
ตัสมาจฉาริปุตระ อปั ราปตติ เวนะ โพธสิ ัตตวานาม ปรัชญาปาระมติ ามาศริตยะ วิหะระติ จิตตาวะระณะหฯ
ทานสารบี ุตร เพราะฉะน้ันพระโพธิสัตวผ ูดําเนินตามปรชั ญาปาระมิตา มคี วามขดั ของ เพราะกิเลสหอหุมจิตเปน
อุปสรรคขวางก้ันอยู [ก็เพราะยงั มิไดบ รรล]ุ
च तावरणनाि त वाद तो वपयासा त ा तो न ठ नवाणः।
จติ ตฺ าวรณนาสตฺ ติ ฺวาทตฺรสฺโต วิปรยฺ าสาติกฺรานโฺ ต นิษฺฐนิรวฺ าณะฯ
จติ ตาวะระณะนาสตติ วาทะตรสั โต วิปรรยาสาตกิ รานโต นษิ ฐะนิรวาณะหฯ
เม่อื ไมม กี เิ ลสหุมหอ จิตแลว ยอ มปราศจากอุปสรรค จึงไมส ะดุงกลัว กาวลวงความขัดของ บรรลถุ งึ พระนิพพาน
ไดส ําเร็จ
य व यवि थताः सवबु ाः ापार मतामा य अनु तरां स य संबो धम भसंबु ाः।
ตฺรยฺ ธวฺ วฺยวสฺถติ าะ สรวฺ พทุ ฺธาะ ปรฺ ชญฺ าปารมิตามาศรฺ ิตยฺ อนุตตฺ รํา สมยฺ กฺสํโพธิมอฺ ภสิ ํพทุ ธฺ าะฯ
ตรยัธวะวยะวัสถิตาห สรรวะพุทธาห ปรชั ญาปาระมติ ามาศริตยะ อะนตุ ตะราม สมั ยกั สมั โพธมิ อะภสิ ัมพทุ ธาห
อันบรรดาพระพุทธเจาท้ังหลายในกาลทั้งสาม (อดีต ปจจุบัน และอนาคต) ทรงดําเนินตามปรัชญาปารมิตา จึง
ไดตรสั รูอนตุ รสัมมาสมั โพธญิ าณอนั ย่งิ แลว
त मा ात यः ापार मतामहाम ः
ตสมฺ าทฺ ชฺญาตวยฺ ะ ปรฺ ชญฺ าปารมติ ามหามนฺตรฺ ะ
ตัสมาท ชญาตะวยะห ปรชั ญาปาระมิตามะหามันตระห
ดว ยเหตุฉะน้ีจึงสมควรทราบ มหามนตในปรัชญาปารมติ านี้
अनु तरम ः
อนตุ ฺตรมนตฺ ฺระ
อะนตุ ตะระมนั ตระห
เปน มนตอันไมม มี นตอ น่ื ย่งิ กวา
असमसमम ः
อสมสมมนตฺ ฺระ
อะสะมะสะมะมันตระห
เปน มนตอ ันไมมมี นตอืน่ ใดมาเทียบได
सवदःु ख शमनम ः
สรวฺ ทุะขปฺรศมนมนฺตฺระ
สรรวะทุหข ะประศะมะนะมันตระห
เปน มนตอันประหารเสียซ่ึงสรรพทกุ ขทงั้ ปวง
16
स यम म य वात ् ापार मतायामु तो म ः।
สตยฺ มมถิ ฺยตฺวาตฺ ปฺรชฺญาปารมิตายามุกโฺ ต มนตฺ ฺระฯ
สัตยะมะมิถยัตวาต ปรัชญาปาระมิตายามกุ โต มันตระหฯ
นีเ่ ปนความสัตยจริงปราศจากความเทจ็ จึงเปนเหตุใหกลา วมนตรแ หง ปรชั ญาปารมติ า
त यथा- गते गते पारगते पारसंगते बो ध वाहा।
ตทยฺ ถา- คเต คเต ปารคเต ปารสํคเต โพธิ สวฺ าหาฯ
ตทั ยะถา- คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสงั คะเต โพธิ สวาหาฯ
จงกลาวเชนนี้ : คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา
(ปกตนิ ้นั บทธารณี นน้ั มักจะไมแ ปล แตห ากแปลจะแปลวา จงไป จงไป ไปถงึ ฝง โนน ไปใหพน โดยส้นิ เชงิ บรรลุ
ถงึ ความรูแจง)
एवं शा रपु ग भीरायां ापार मतायां चयायां श त यं बो धस वेन॥
เอวํ ศารปิ ตุ รฺ คมฺภีรายาํ ปรฺ ชญฺ าปารมติ ายาํ จรฺยายํา ศิกฺษติ วฺยํ โพธิสตฺตเฺ วน๚
เอวมั ศาริปุตระ คมั ภีรายาม ปรัชญาปาระมิตายาม จรรยายาม ศิกษติ ะวยมั โพธสิ ตั ตเวนะ๚
ในสมัยน้ันแล พระอารยะอวโลกเิ ตศวรโพธิสัตวม หาสตั วกลาวกบั พระสารีบุตรเถระวา “ทานสารีบุตร สัตวผูจะ
ตรสั รู พงึ ศกึ ษาประพฤติจรยิ าปรัชญาปารมติ าดวยประการฉะนี้”
अथ खलु भगवान ् त मा समाधे यु थाय आयावलो कते वर य बो धस व य
साधकु ारमदात-् साधु साधु कु लपु ।
อถ ขลุ ภควานฺ ตสฺมาตฺสมาเธรวฺ ฺยตุ ถฺ าย อารยฺ าวโลกิเตศฺวรสยฺ โพธสิ ตฺตฺวสฺย สาธกุ ารมทาตฺ- สาธุ สาธุ กุลปุตฺรฯ
อะถะ ขะลุ ภะคะวาน ตัสมาตสะมาเธรวยุตถายะ อารยาวะโลกิเตศวะรัสยะ โพธิสัตตวัสยะ สาธุการะมะทาต-
สาธุ สาธุ กลุ ะปตุ ระฯ
ในลําดับนั้นแล พระผูมีพระภาคทรงออกจากสมาธิน้ันแลว ไดประทานสาธุการแดพระอารยะอวโลกิเตศวร
โพธิสตั ว “เปนเชนนั้น ! เปนเชน น้นั ! กุลบุตร !
एवमेतत ् कु लपु , एवमते ग भीरायां ापार मतायां चय चत यं यथा वया न द टम।्
เอวเมตตฺ กุลปุตฺร, เอวเมตทฺ คมฺภีรายํา ปรฺ ชญฺ าปารมติ ายํา จรฺยํ จรฺตวยฺ ํ ยถา ตฺวยา นริ ทฺ ษิ ฏฺ มฯฺ
เอวะเมตัต กุละปุตระ, เอวะเมตัท คัมภีรายาม ปรัชญาปาระมิตายาม จรรยัม จรรตะวยัม ยะถา ตวะยา
นิรทษิ ฏมั ฯ
ขอน้ันเปนอยางน้ัน กุลบุตร ! ประพฤติจริยาในปรัชญาปารมิตาอันลึกซ้ึงน้ัน พึงประพฤติปฏิบัติอยางนี้ อยางท่ี
ทา นยกข้นึ แสดงแลว
अनमु ो यते तथागतरै ह ः॥
อนุโมทยฺ เต ตถาคไตรอรฺหทฺภะิ ๚
อะนุโมทยะเต ตะถาคะไตรอรั หัทภหิ ๚
พระตถาคตอรหันตเ จาทัง้ หลายในไตรโลกนาถยอ มทรงอนุโมทนา
17
इदमवोच गवान।्
อทิ มโวจทฺภควานฯฺ
อิทะมะโวจทั ภะคะวานฯ
พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสธรรมอนั นแ้ี ลว
आन दमना आयु मान ् शा रपु ः आयावलो कते वर च बो धस वः सा च सवावती प रषत ्
सदेवमानषु ासरु ग धव च लोको भगवतो भा षतम यन दन॥्
อานนฺทมนา อายุษฺมานฺ ศาริปุตฺระ อารฺยาวโลกิเตศฺวรศฺจ โพธิสตฺตฺวะ สา จ สรฺวาวตี ปริษตฺ สเทวมานุษา
สุรคนธฺ รวฺ ศฺจ โลโก ภควโต ภาษติ มภยฺ นนทฺ น๚ฺ
อานันทะมะนา อายุษมาน ศาริปุตระห อารยาวะโลกเิ ตศวะรัศจะ โพธิสัตตวะห สา จะ สรรวาวะตี ปะริษัต สะ
เทวะมานษุ าสรุ ะคันธรรวศั จะ โลโก ภะคะวะโต ภาษติ ะมภั ยะนันทัน๚
พระสารีบุตรผูมีอายุ พระอารยะอวโลกิเตศวรโพธิสัตว พุทธบริษัทอันมีในประชุมชนทุกเหลา และสัตวโลก
พรอมทั้งเทวา มนุษย อสรู คนธรรพ ก็มีใจเบิกบานชื่นชมภาษิตของพระผมู ีพระภาคดว ยประการฉะนี.้
इ त ापार मता दयसू ं समा तम।्
อิติ ปฺรชฺญาปารมิตาหฤทยสตู ฺรํ สมาปตฺ มฺฯ
อิติ ปรชั ญาปาระมิตาหฤทะยะสูตรัม สะมาปตมั ฯ
จบปรชั ญาปารมิตาหฤทยั สูตร กม็ ีดวยประการฉะนี้
หมายเหตุ
*...(อายตนะภายนอก ๖ อยาง) ไมมีวิญญาณ (ความรูสึกรับรูได) ในอายตนะภายในทั้ง ๖ ดวย (จักษุ
วิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ) ไมมีวิชา ไมมีอวิชา ไมมี
ความส้ินไปแหงวชิ ชาและอวิชชา จนถงึ ไมมคี วามแกความตาย และไมมีส้นิ ไปแหง ความแกความตาย...*
*...ไมมีทุกข สมัทัย นิโรธ มรรค ไมมีญาณ (ปญญา) ไมมีการบรรลุถงึ ซึง่ ปญญา และไมมีอะไรที่ตองบรรลุ
อยตู อไป...*
*...พระโพธิสัตตเ ม่ือไดทรงบําเพ็ญปญญาบารมีแลว เปนผูถึงความเปนผูมีจิตท่ีเหลืออยูตอ ไปแลว จึงเปน
ผูมีความเห็นถูกตองชอบธรรม (สัมมาทิฐิ) และกระทํากิจท้ังปวงอยางถูกตองโดยเสมอ ในที่สุดก็บรรลุถึงพระ
นิพพาน บรรดาปวงพระพุทธเจาทุกๆองคมีทั้งอดีตกาล ปจจุบันกาล และอนาคตกาล ลวนตางไดเคยบําเพ็ญ
ปญญาบารมีมาดวยกันแลวทุกๆพระองค และเม่ือไดบําเพ็ญคุณธรรมน้ีแลวจึงไดตรัสรูอนตุ รสัมมาสัมโพธิญาณ
...*
*...ดังน้ันควรไดทราบวาปญ ญาบารมีนี้เปน มนตท่ีศักดิ์สิทธ์ิ เปนมนตท ี่ไมอาจมีมนตบทใดมาเทียบเคียงได
เปนมนตท่ีสามารถขจัดทุกขภัยทั้งปวง และนําพาไปสูแดนนิพพานไดแนนอน จึงไมควรจะมีความกังขาใดๆ
ตอไปเลย...*
*...ดังนั้นควรหม่ันสวดภาวนามนตบทน้ี ดวยเหตุน้ีแล...จงไป ไป ไปยังฟากฝงโนน ไปใหพนอยางสิ้นเชิง
ไปสคู วามเปนผรู ู ไปสคู วามสงบสนั ตเิ บกิ บานเกษมศานตเ ถิด...*
18
ภ า ค แ ป ล ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร ฉ บั บ วิ ส ต ร ะ ม า ต ฤ ก า
พระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร ผูประกอบดวยโลกุตรปญญาอันลึกซึ้ง ไดมองเห็นวา โดยธรรมชาติแทแลว
ขันธท ัง้ หา น้ันวา งเปลา และดวยเหตุท่เี หน็ เชนนนั้ จงึ ไดก าวลวงพนจากความทุกขท ั้งปวงได
สารีบุตร รูปไมตางจากความวาง ความวางก็ไมตางไปจากรูป รูปคือความวางนั่นเอง และความวางก็คือ
รปู นน่ั เอง เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณ กเ็ ปน ดังนี้ดวย
สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแหงความวาง ไมไดเกิดขึ้นและไมไดดับลง ไมไดสะอาดและไมได
สกปรก ไมไดเพ่มิ ขึน้ ไมไ ดลดลง
ดังนั้น ในความวางจึงไมมีรูป ไมมีเวทนา หรือสัญญา ไมมีสังขาร หรือวิญญาณ ไมมีตาหรือหู ไมมีจมูก
หรือล้ิน ไมมีกายหรือจิต ไมมีรูปหรือเสียง ไมมีกลิ่นหรือรส ไมมีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ ไมมีโลกแหงผัสสะ
หรือวิญญาณ ไมมีอวิชชา และไมมีความดับลงแหงอวิชชา ไมมีความแกและความตาย และไมมีความดับลงซ่ึง
ความแกและความตาย ไมมีความทุกข และไมมีตนเหตแุ หงความทุกข ไมมีความดับลงแหงความทุกข และไมม ี
มรรคทางใหถึงซ่ึงความดับลงแหงความทุกข ไมมีการประจักษแจง และไมมีการบรรลุถึงเพราะไมมีอะไรท่ี
จะตอ งบรรลถุ ึง
พระโพธิสัตวผูวางใจในโลกุตรปญญา จะมีจิตที่เปนอิสระจากอุปสรรคส่ิงกีดกั้น เพราะจิตของพระองค
เปนอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น พระองคจึงไมมีความกลัวใดๆ กาวลวงพนไปจากมายาหรือส่ิงลวงตา บรรลุถึง
พระนพิ พานไดในที่สดุ พระพทุ ธในอดีต ปจจบุ ัน และอนาคต ผทู รงวางใจในโลกุตรปญญา ไดป ระจักษแ จงแลว
ซงึ่ ภาวะอันตืน่ ข้นึ อันเปนภาวะท่ีสมบูรณแ ละไมมีใดอ่ืนยิ่ง ดงั นัน้ จงรูไดเถดิ วา โลกุตรปญ ญา เปน มหามนตอัน
ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ เปน มนตแหงความรูอันย่งิ ใหญ เปน มนตอ นั ไมมีมนตอนื่ ยง่ิ กวา เปนมนตอนั ไมม มี นตอืน่ ใดมาเทียบได
ซ่งึ จะตัดเสียซงึ่ ความทุกขท ้ังปวง
นี่เปนสัจจะ เปน อสิ ระจากความเท็จทั้งมวล ดงั นน้ั จงทอ งมนตแ หงโลกุตรปญญา
คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสงั คะเต โพธิ สวาหา
ไป ไป ไปยงั ฟากฝง โนน ไปใหพ น อยางสิน้ เชงิ บรรลถุ ึงการรูแจง ความเบิกบาน
ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร จ า ก วิ กิ พี เ ดี ย ส า ร า นุ ก ร ม เ ส รี
ปรัชญาปารมติ าหฤทยั สตู ร (สนั สกฤต : ापार मता दय, สนั สกฤต-โรมาไนซ : Prajñāpāramitā Hṛdaya;
จีน : 摩訶般若波羅蜜多心經; ทิเบต: རིན་ཆེན་ ེ) คือพระสูตรท่ีสําคัญและเปนท่ีนิยมยิ่งในพุทธศาสนาฝาย
มหายาน ชอื่ "ปรชั ญาปารมิตาหฤทยั สูตร" มีความหมายตามตวั อักษรวา “พระสตู รอนั เปน หวั ใจแหง ปฏิปทาอัน
ยวดยิ่งแหงความรูแจง” ในภาษาอังกฤษมักแปลโดยสังเขปวา “หฤทัยสูตร” (The Heart Sūtra) พระสูตรน้ี มัก
ไดร บั การยอมรบั วา เปน พระสูตรทมี่ ีผูรจู ัก และนิยมท่ีสุดมากกวา พระสตู รใดของพทุ ธศาสนา
ปรชั ญาปารมติ าหฤทัยสูตรจัดอยใู นพระสตู รหมวดปรัชญาปารมติ าของพระไตรปฎ กฝา ยมหายาน และถอื
เปนพระสตู รฝายมหายานท่โี ดดเดนท่ีสุดในหมวดน้ี เชน เดยี วกบั วชั รเฉทิกปรชั ญาปารมติ าสูตร ปรัชญาปารมิตา
หฤทัยสูตรเปนออกเปนโศลกภาษาสันสกฤตจํานวน 14 โศลก แตละโศลกมี 32 อักขระ สวนพระสูตรที่ไดรับ
การแปลเปนภาษาจีนโดยพระเสวียนจั้ง (ถังซําจ๋ัง) มีทั้งหมด 260 ตัวอักษรจีน ในภาษาอังกฤษมักแปลออกมา
19
ไดจํานวน 16 บรรทัด จํานับเปนพระสูตรในหมวดปรัชญาปารมิตาที่มีขนาดกระชับท่ีสุด เนื่องจากพระสูตรใน
หมวดน้ีมักมีขนาดยาว ท่ียาวที่สุดมีจํานวนถึง 100,000 โศลก ท้ังน้ี เกเช เคลซัง กยัตโซ คณาจารยดานพุทธ
ศาสนาฝายทเิ บตไดใหอรรถกถาธบิ ายเกี่ยวกบั พระสูตรนี้ไวว า
“สารัตถะแหง ปรชั ญาปารมิตาสูตร (ปรชั าปารมติ าหฤทัยสูตร) มีขนาดส้ันมาก เม่ือเทียบกับปรัชญาปารมิ
ตาสูตรอ่ืนๆ แตพระสูตรนี้ไดบรรจุเอาไวซึ่งความหมายโดยนัยตรง และนัยประหวัดของพระสูตรขนาดยาวไว
ทง้ั หมด”
เอ็ดเวิรด คอนเซ (Edward Conze) ผูเช่ียวชาญดานศาสนาพุทธไดจัดลําดับพระสูตรนี้ ใหอยูในลําดับที่
3 ของท้ังหมด 4 ลําดับพัฒนาการของพระสูตรสายปรัชญาปารมิตา อยางไก็ตาม พระสูตรน้ีอาจมีชวงลําดับ
พัฒนาการคาบเก่ยี วกับยุคท่ี 4 เน่ืองจากตอนทายของพระสูตรปรากฏคาถา (ซึ่งบางคร้ังเรียกวาธารณี) อันเปน
ลักษณะของพัฒนาการของสายตันตระ ซ่ึงเปนพัฒนาการชวงหลังสุดของพุทธศาสนา นอกจากน้ี ในบางกรณี
พระสตู รดงั กลา วยงั ไดรับการจดั หมวดหมูเขาอยูในหมวดตนั ตระ ในพระไตรปฎ กสายทเิ บตบางสาย
คอนเซ ประเมินอายุของพระสูตรไววา นาจะมีจุดกําเนิดอยูในชวงป ค.ศ.350 แตนักวิชาการบางคนคาด
วา นาจะมีอายุเกากวาถึง 2 ศตวรรษ อยางไรก็ตาม จากการศึกษาเม่ือเร็วๆ น้ีพบวา ไมสามารถประเมินอายุ
ของพระสูตรไดเ กินศตวรรษที่ 7
พระสูตรฉบบั ภาษาจนี มักนํามาสาธยาย ระหวางประกอบพิธที างศาสนาโดยพระภิกษุนกิ ายฉาน (เซน) ใน
จีน ญี่ปุน เกาหลี และเวียดนาม นอกจากนี้ ยังมีความสําคัญกับนิกายชินงอน โดยทานคูไค ผูกอตั้งนิกายนี้ใน
ญ่ีปุนยังไดรจนาอรรถกถาไว รวมถึงอีกหลายนิกายในศาสนาพุทธแบบทิเบตก็ยังศึกษาพระสูตรนี้อยางยิ่งยวด
อกี ดว ย
พระสูตรน้ีจัดอยูในกลุมพระสูตรจํานวนหยิบมือท่ีมิไดเปนพุทธวจนะโดยตรง ในบางฉบับมีการเอยถึง
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ทรงชื่นชมและรับรองวจนะของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว อาทิเชนพระสูตรฉบับ
ฝา เยว ทม่ี อี ายุราวปค.ศ.735 อยา งไรกต็ าม การระบถุ งึ ในสวนน้ี ไมปรากฏในฉบับของพระถังซาํ จั๋ง ขณะทฉี่ บับ
ภาษาทิเบตมีขนาดยาวกวา กระนั้นก็ตาม ฉบับแปลภาษาทิเบตซ่ึงพบท่ีตุนหวงไมปรากฏอารัมภกถา สวนใน
พระไตรปฎกฉบบั ภาษาจีนเก็บรกั ษาทั้งฉบบั ยาวและฉบบั สน้ั ซงึ่ ยังคงพบตน ฉบบั ในภาษาสันสกฤตทั้ง 2 ฉบบั
ชื่อพระสูตร : พระสูตรฉบับจื่อเฉียน ใหช่ือไววา “ปวญั่วปวลัวมี เซินอีจวน” หรือ “ปรัชญาปารมิตา
ธารณี” ฉบับของพระกุมารชีพใหชื่อไววา “มัวฮัวปวญัวปวลัวมี เซินอีจวน” หรือ มหาปรัชญาปารมิตา มหา
วิทยาธารณี ฉบบั ของพระเสวยี นจัง้ (พระถงั ซาํ จงั๋ ) เปน ฉบบั แรกทม่ี คี าํ วา “หฤทยั ” แทรกไวใ นชือ่ พระสตู ร
แมวาโดยทั่วไปจะเรียกพระสูตรน้ีวา พระสูตรหัวใจ หรือ Heart Sutra แตคําวา “สูตร” มิไดปรากฏใน
ฉบับภาษาสันสกฤตแตอยางใด เพราะปรากฏเพียงวา “ปรัชญาปารมิตาหหฤทัย” ฉบับของพระเสวียนจ้ังเปน
ฉบับแรกที่มีการเติมคําวา พระสูตรเขาไป แมวาจะไมพบฉบับภาษาสันสกฤตฉบับใดท่ีพวงทายดวยคําวา
“สูตร” หรือ “พระสูตร” คําน้ีไดกลายเปนคําที่พบไดเปนปกติในฉบับภาษาจีน ภาษาทิเบต และภาษาอังกฤษ
ท้ังนี้ ฉบับภาษาทิเบตบางฉบับเติมคําวา “ภควตี” ตอทายช่ือพระสูตร ตามความเชื่อเชิงบุคคลาธิษฐานเทศนา
ท่ีวา หลักธรรมปรชั ญาปารมติ า หรือ ปญ ญาบารมี มีรูปลักษณเ ปน สตรี
20
ตัวบท : ผูเช่ียวชาญดานศาสนาพุทธหลายทาน แบงพระสูตรออกเปนสวนตางๆ แตกตางกันออกไปตาม
ทัศนะของทานเหลานั้น แตโดยสังเขปแลวพระสูตรน้ีพรรณนาถึงการบรรลุธรรมของพระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร
อนั เกดิ จากการเพงวิปสนาอยางลาํ้ ลกึ จนบงั เกดิ ปญ ญา (ปรัชญา) ในการพิจารณาเลง็ เหน็ วาสรรพสิ่งตางๆ ลวน
วางเปลา และประกอบดวยขนั ธ 5 (ปญจสกนั ธะ) อันไดแ ก รปู เวทนา สญั ญา (สังชญา) สังขาร (สงั สการ) และ
วญิ ญาณ (วชิ ญาน)
ทั้งน้ี หัวใจหลักของพระสูตร ดังที่ระบุวา “รูปคือความวางเปลา ความวางเปลาคือรูป รูปไมอื่นไปจาก
ความวางเปลา ความวางเปลาไมอื่นไปจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็วางเปลา” นับเปนแกนแทของ
พุทธศาสนา เห็นแจงในรูปเปนความวางเปลา เกิดมหาปญญา เห็นแจงในความวางเปลาเปนรูป เกิดมหากรุณา
เมื่อเห็นแจงในรูปเปนความวางเปลา ความยึดมั่นในอัตตายอมไมมี ความหลงในสรรพสิ่งยอมถูกทําลายไป
ธรรมชาติแทของสรรพส่ิง ก็บังเกิดข้ึนในจิต นั่นคือ มหาปญญา ไดบังเกิดขึ้น และเมื่อไดเห็นแจงถึงความวาง
เปลา ได กําเนิดรูป ความรกั ความเมตตากรุณาในสรรพสิ่งท่ีเปนธรรมชาตแิ ทย อมบังเกิดข้ึน ความเมตตากรุณา
ท่ีเกดิ จากปญญาจะไมมดื บอด หลงไหล ความรักของพอและแมท มี่ ีตอลูกเปน เชน เดยี วกนั
คาถา : จุดเดนสําคัญของปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร คือคาถาตอนทายพระสูตรท่ีวา “คะเต คะเต ปาร
คะเต ปารสังคะเต โพธิสวาหา” หรืออาจแปลโดยคราวๆ ไดวา “จงไป จงไป ไปถึงฝงโนน ไปใหพนโดยสิ้นเชิง
บรรลุถึงความรูแจง หะเหวย!” อยางไรก็ตาม ตนฉบับในภาษาตางๆ มักละไว ไมแปลคาถานี้ ตามตํานานฝาย
จนี ระบุวา คณาจารยชาวอินเดียที่เดินทางมาประกาศพระศาสนาในแผนดนิ จนี ไมแปลคาถานีเ้ พราะทานทราบ
ดีวา ไมมีทางที่จะทําได และเปนไปไมไดที่จะอธิบายความนัยอันล้ีลับของคาถาน้ี กลาวกันวา หากผูใดสาธยาย
คาถาในพระสตู รจนบงั เกดิ สมาธิขน้ึ บดั นัน้ ความนยั อนั ลึกซึง้ ของคาถาก็จะเปดเผยขึน้ มาเอง
ขณะที่คณาจารยทิเบตตีความไปในแนวทางพุทธตันตระ โดยบางทานตีความวา คาถาน้ีเปนการแสดงถึง
การเค่ียวกรําบาํ เพญ็ บารมีของพระโพธสิ ัตวผ านภพภมู ิตางๆ กลา ววคือ ภพภมู ิชัน้ มลู ฐาน หรอื สมั ภารมรรค (คะ
เต คะเต) ผานถงึ ภาคแรกของภพภูมแิ รก หรือประโยคะมรรค (ปารคะเต) ถึงภาคทส่ี องของภพภูมิแรกจนถึงภพ
ภูมิที่สิบ หรือประโยคะแหงสุญญตาจนถึงภาวนามรรค (ปารสังคะเต) กระทั่งจนถึงภูมิที่สิบเอ็ด หรืออไศกษะ
มรรค (โพธิสวาหา) ดังที่ เกเช เคลซัง กยัตโซ ไดอธิบายไวในหนังสือ The New Heart of Wisdom ความวา
“คาถาน้ี ซ่ึงอยูในพากยภาษาสันสกฤต อธิบายการปฏิบัติตามแนวทางมหายานไวอยางเขมขนที่สุด ซ่ึงเราจัก
บรรลแุ ละโดยสมบรู ณโ ดยผานปญ ญาบารมี (ปรัชญาปารมติ า)”
พระมหาคณาจารยโพธ์ิแจงและมหาวัชราจารยโซนัมรินโปเช กลาววา “คําสวดน้ีเปนคาถาหัวใจของ
ปรัชญาปารามิตาสูตร เลียนคํามาจากสันสฤตโบราณ ฉะนั้นจึงไมขอแปลความหมาย บทธารณีในภาษาจีนได
จบเพียงเทานี้ แตในสันสฤตไดมีอีกประโยควา ไดกลาวปรัชญาปารามิตาสูตรจบแลว ในภาษาทิเบตมีการ
บรรยายที่มาของพระสูตรและบทสรปุ ของพระสตู รนี้ ดังทีพ่ ระพทุ ธเจา ไดตรัสไวในสงั ยุตตนกิ ายวา
“ดูกรกัจจนะโลกน้ีติดอยูกบั ส่ิงสองประการ คอื “ความมี”และ “ความไมมี” ผูใดเหน็ ความเกดิ ขนึ้ ของส่ิง
ทั้งหลาย ในโลกตามความเปนจริงและดัวยปญญา “ความไมมี”อะไรในโลกจะไมมีแกผูน้ัน ดูกอนกัจจนะ ผูใด
เห็นความดบั ของส่งิ ท้ังหลายในโลกตามความเปน จริงและดวยปญญา “ความม”ี อะไรในโลกจะไมมีแกผ นู ัน้ ”
21
摩訶般若波羅蜜多心經
ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
ฉบับแปลนี้ แปลจากภาษจีนดว ยสาํ นวนทเี่ รียบงาย เปนการแปลเอาความ แปลศัพทท ่ยี ุงยากเปน ภาษา
สามญั แตยังความหมายเชนเดมิ พระสูตรแบงเปน ตนฉบับภาษาจนี และคําแปลภาษาไทย มีดังนี้
摩訶般若波羅蜜多心經。
พระสูตรหัวใจแหงปญ ญาและบารมี
觀自在菩薩,行深般若波羅蜜多時,
พระผูท อดสายตาคอยชวยเหลือสรรพสัตว ยามปฏิบัตลิ ึกซึง้ ซ่ึงปญญาและบารมี
照見五藴皆空,度一切苦厄。
เห็นแจง วาสงิ่ ทปี่ ระกอบขึ้นเปนมนุษย ลว นวางเปลา จึงขามพน ทกุ ขท้งั หลาย
舍利子,色不異空,空不異色,
สารบี ตุ ร รูปลกั ษณไ มตางจากความวางเปลา ความวางเปลาไมตา งจากรปู ลักษณ
色即是空,空即是色。
รปู ลักษณคือความวา งเปลาโดยแท ความวางเปลา โดยแทค ือรูปลักษณ
受、想、行、識:亦復如是。
ความรสู ึก ความจํา การปรงุ แตง และการรบั รู ก็เชน เดยี วกนั
舍利子,是諸法空相。
สารีบุตร ธรรมชาติทัง้ ปวงลว นแตม ีลักษณะทวี่ างเปลา
不生不滅,不垢不淨,不增不減。
ไมเ กดิ ไมด ับ ไมม วั หมอง ไมผ อ งแผว ไมเต็ม ไมพรอ ง
是故空中無色,
ดังนนั้ ภายในความวางเปลา จึงปราศจากรปู ลกั ษณ
無受、想、行、識;無眼、耳、鼻、舌、身、意,
ไรความรสู กึ ความจาํ การปรุงแตง และการรบั รู ไรต า หู จมกู ล้ิน กาย ใจ
無色、聲、香、味、觸、法,無眼界,乃至無意識界,
ไรรูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส และอารมณที่ใจคดิ ไรผัสสะแหง ดวงตา แมก ระท่ังไรผสั สะแหง ดวงใจ
無無明,亦無無明盡;乃至無老、死,亦無老、死盡。
ไรซ่ึงความไมรูแ จง และยังไรก ารสน้ิ สุดของความไมร ูแจง กระทง่ั ความไมแ กช ราและความตาย ยังรวมถึงการสิน้
ไปของความแกชราและความตาย
無苦、集、滅、道,無智亦無得。
ไมมที ุกข ไมม เี หตุแหง ทุกข ไมมีการส้นิ ไปแหง ทกุ ข และไมม กี ารส้ินไปในวถิ แี หง การส้ินทุกข ไมม คี วามรอบรู ไม
มีการไดมาซึ่งความรอบรู
以無所得故,菩提薩埵,依般若波羅蜜多故。
ดวยเหตทุ ่ีไรการจะไดมาซงึ่ ความรอบรู พระโพธสิ ัตวจึงดาํ เนินตามครรลองแหง ปญ ญาและบารมี ดังนี้
心無罣礙,無罣礙故,
จติ ใจจงึ ไรค วามกงั วล เมอ่ื จิตใจไรค วามกงั วล ดงั นี้
無有恐怖,遠離顛倒夢想,究竟涅槃。
22
จงึ ปราศจากความกลัว หา งไกลภาพฝนอันเปน มายา บรรลุความหลดุ พนเปนแนแท
三世諸佛,依般若波羅蜜多故,
พระพทุ ธเจาทงั้ อดตี ปจ จุบัน และอนาคต เน่อื งดวยปญ ญาและบารมี ดังน้ี
得阿耨多羅三藐三菩提
จงึ บรรลุถงึ ความรแู จงอนั สูงสดุ
故知般若波羅蜜多。
ดวยเหตนุ ้ี พงึ เขา ใจวาปญญาและบารมนี ั้น
是大神咒,是大明咒
คือคาํ ภาวนาอันทรงศักดาอานุภาพ คอื คาํ ภาวนาอันแจม แจง
是無上咒,是無等等咒。
คอื คําภาวนาที่สูงสุด คือคําภาวนาที่ไรเ ทยี มทาน
能除一切苦,真實不虛,
สามารถเยียวยาความทกุ ขทรมานท้งั หลาย เปน ความจริงแนแ ทไมแปรผัน
故說般若波羅蜜多咒。
จงึ พึงสาธยายคําภาวนาแหง ปญ ญาและบารมี ดังนี้
即說咒曰
เอยคาํ ภาวนา ดังนว้ี า
揭諦,揭諦,波羅揭諦,波羅僧揭諦, 菩提,薩婆訶。
คเต คเต ปารคเต ปารสงั คเต โพธิ สวาหา
(ไป ไป ขามไปใหพ น ใหพ นที่สดุ ถึงความรูแจง เทอญ)
摩訶般若波羅蜜多心經。
จบ มหาปรัชญาปารมติ าหฤทัยสูตร.
ภ า ค ข ย า ย ค ว า ม ป รั ช ญ า ป า ร า มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
หลักการส่ปี ระโยคทเ่ี ปนหวั ใจของมัธยมิก
สิ่ ง ที่ ใ ช - ไ ม ใ ช
ส่ิ ง ที่ ไ ม ใ ช - ไ ม ใ ช
ไ ม ใ ช สิ่ ง ท่ี ใ ช - ไ ม ใ ช
ไ ม ใ ช สิ่ ง ที่ ไ ม ใ ช - ก็ ไ ม ใ ช
น่ี คื อ ศู น ย ต า คื อ นิ พ พ า น คื อ ท า ง ส า ย ก ล า ง
ปรัชญาปารามิตาหฤทัยสูตร เปนพระสูตรดั้งเดิมท่ีสุด กับทั้งเปนมูลฐานของทฤษฎีศูนยตา เปนพระสูตร
สําคัญของทั้งมหายานและวัชรยาน คุรุนาคารชุนผูกอต้ังนิกายมาธยมิก ราว ค.ศ.1 เปนผูรวบรวม อยูในมาธ
ยมิกศาสตร ทานกุมารชีพไดแปลเปนพากษจีน ประมาณพุทธศตวรรษที่ 8 แพรหลายมากจนถึงปจจุบันท่ี
เรียกวา “ซมิ เก็ง”
บรรยายความปรัชญาปารามติ าหฤทยั สตู ร
ปรัชญา เปนคําสันสกตซึ่งตรงกับคําบาลี หรือที่คําไทยนํามาใชคือคําวา ปญญา ความหมายในที่นี้คือ
หลักแหงความรูชั้นสูงเพ่ือใหเกิดปญญา ปญญาน้ันแยกออกไดเปน 2 ทาง คือ สมมุติสัจจ หรือปญญาทางโลก
23
และปรมัตถสัจจ หรือปญญาทางธรรม สมมุติสัจจ คือ ความจริงที่เกิดขึ้นจากการรับรูของอายตนะ เปนความ
จริงจากการเปรียบเทียบ ปญญาทางโลกน้ันนําพาความสุขทางกายใจในระยะสั้นช่ัวครั้งชั่วคราว ทําใหมนุษย
หลงไหลในโลกียะสขุ สว นปรมัตถสัจจซ งึ่ โดยทว่ั ไปแลวเขา ใจวาคือความจริงแทดั้งเดิม ซง่ึ ลึกลงไปเปนธรรมชาติ
แท เปนความสุขทางจิต เปนความสุขอันนิรันดร ก็ยังหนีไมพนจากความเปนสมมุติสัจจ ซึ่งอาจจะกลาวไดวา
เปนสงิ่ สุดของความเขา ใจปรมัตถส จั จใ นโลกยี ะโลก ปรมัตถส ัจจ คอื ศนู ยตา หรือ ความวางเปลา
คําวา ปญ ญาดังที่เราเขาใจกันท่ัวไป คือปญ ญาของมนษุ ย ผศู กึ ษาเลา เรยี นจะสําเร็จปริญญาสูงทสี่ ุด เทาท่ี
จะมีการคิดคนวิชาการขน้ึ มาได ถงึ วาเปน ปญญาทเี่ ลิศสุด แตย งั คงเปนปญญาท่ีวนเวยี นอยคู วามโลภ โกรธ หลง
ยังคงว่ิงวนอยูในฟากฝงน้ี ปญญาของพระพุทธเจาเปนปญญาแหงอิสระ เห็นแจงในศูนยตา เปนความสุขอัน
นิรันดร ตามความหมายแหงพระสูตรนี้ เปนไปเพ่ือใหเกิดปญญาแหงพระพุทธเจา เพ่ือใหผูปฏิบัติไดเปนเชน
พระพุทธเจา ปารามิตา แปลวา ขามไปฝงโนน ในทางพุทธศาสนาไดแบงโลกออกเปน 2 ฝง โลกฝงน้ีคือโลกยี ะ
โลก โลกแหง ความหลงติดยดึ มน่ั ขาดอิสระ โลกอกี ฝง คือโลกตุ ระโลก คอื โลกท่ีประทับแหง พระพุทธเจาท้ังหลาย
โลกแหงความเห็นแจง อิสระ ศนู ยตา ( วา งเปลา ) หฤทยั ความหมายทางโลกยี ะ คือ ใจอันเปน แหลง เก็บปญญา
เพื่อแยงชิงความสุขทางโลก โดยยึดติดอยูกับความโลภ โกรธ หลง สวนหฤทัยตามความหมายแหงโลกุตระน้ัน
คือ จิตแหลงเก็บปญญา เพื่อไปสูพระนิพพาน อันจะทําใหเราไดเปนเชนพระพุทธเจาในที่สุด ปรัชญาปารามิตา
หฤทัยสูตร คอื คาํ สอนหวั ใจแหง ปญญานําพาขา มฝากฝง
พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว เมื่อปฏิบัติซ้ึงในปรัชญาปารามิตา เพงเห็นขันธ 5 เปนความวางเปลา จึงขาม
พนทุกข
การเห็นการไดยินของมนุษย เริ่มดวยการเห็นและไดยินในระดับต้ืน เห็นผิวเผินกอน หลังจากน้ัน ถาเรา
ไดดําเนินการตอไป ก็จะเห็นและไดยินดวยจิตตามมา เปนการเห็นและไดยินลึกซึ้งเขาไปอีกระดับหน่ึง นั่นคือ
การเพงตอจากการเห็น เม่ือเพงเห็นแลวไดปฏิบัติตอคือการพิจารณาผลที่ไดสมบูรณ คือเห็นลึกซ้ึงถึงธรรมชาติ
อันแทจริงของสรรพส่ิง การเพงมองเห็นดวยจิต คือ สมาธิ การพิจารณาตอมา คือ วิปสสนา ท้ัง 2 วิธีคือการ
เรียนรูแผนที่ เพ่ือใชในการเดินทางเขาสูประตูแหงความเปนพุทธะ การปฏิบัติท้ัง 2 วิธี เพ่ือใหเกิดปญญา
ปญญาที่วาคือปญญาในการอานแผนท่ีอยางชํานาญและไมหลงทาง ดังท่ีทานนาคารชุนโพธิสัตวไดกลาวไววา
“ปญญาคือตา ปฏิบัติคือเทา จะไปถึงดนิ แดนที่เย็นสบาย (พระนพิ พาน)” ปญญาจากตาคอื ทฤษฎี ทฤษฎีทไ่ี มมี
การปฏิบัติก็เปลาประโยชน การปฏิบัติที่ไมมที ฤษฎีกส็ ับสนหลงทางไดงาย ด่ังคนตาบอดคลําทาง ดังน้ันปญญา
จากการเพง(สมาธิ) ปญญาจากการคิด(วิปสสนา) จะใหผลสมบูรณคือปญญาที่ไดจากการปฏิบัติ เราเคยไดอาน
ไดยินเร่ืองศูนยตา เราเคยไดคิดถึงความหมายของศูนยตา สุดทายเราเคยไดเขาสูศูนยตา นั่นคือผลท่ีสมบูรณ
บรรลุความรูแจงแลว ความวางเปลาหรือศูนยตา คือความวางเปลา เอกภาพ สันติภาพอันนิรันดร ตามนัยแหง
พระสูตรน้ีความวางเปลา มิใชความวางเปลาซึ่งไมมีสิ่งใดเลย เปนความวาเปลาซ่ึงเกิดจาก สิ่งท่ีใช-ไมใช, ส่ิงที่
ไมใช-ไมใ ช, ไมใชสง่ิ ที่ใช- ไมใ ช, ไมใ ชส ง่ิ ท่ีไมใช-ก็ไมใ ช มฉิ ะน้ันความความวา งเปลาน้ัน จะเปนอุเฉกฑิกคอื ความ
สูญ (ซึ่งจัดเปนข้ัวหนง่ึ ของหนงึ่ ส่ปี ระโยคท่ไี มใ ช)
24