สรรพส่ิงในโลกมิมีส่ิงใดเกิดข้ึนลอยๆ ทุกส่ิงเกิดข้ึนและสัมพันธกับส่ิงอื่นเปนปรตีตยสมุตปาท ความวาง
เปลาเปนท่ีเกิดของสรรพสิ่ง สรรรพส่ิงก็เปนท่ีเกิดของความวางเปลา วินาทีนี้เกิดมาจากการดับของวินาทีกอน
และการดับของวินาทีน้ีจึงไดเกิดวินาทีหนา เกิดดับ ดับเกิด วนเวียนตลอดไป คลายดังมีและคลายดังไมมี
ความสัมพันธที่เกี่ยวเนื่องกันนั้นมีในทุกสรรพสิ่งไมมียกเวน ความสัมพันธของเวลา อดีต ปจจุบัน อนาคต
ความสัมพันธของโลก ธรรมชาติ สังคม สรรพสัตว มนุษย ความวางเปลาเกิดในจิตของมนุษย และก็มีแตมนุษย
ท่ีเขาถึงความวางเปลาได สิทธิพิเศษน้ีมิใชมีไวเพ่ือใหมนุษยอยูเหนือสรรพส่ิงท้ังมวล มนุษยไมใชผูไดรับสิทธิ์ใน
การทําลายลางธรรมชาติ ในการทําลายชีวิตสัตวเพื่อความสนุกสนาน เพราะความหลงในอํานาจของความเปน
มนุษย ใชความเปนมนุษยไปในทางท่ีไมถูกตอง ธรรมชาติโลกก็ถูกทําลาย คนก็ตองรับภัยพิบัติตางๆของ
ธรรมชาติ ปฏกิ ิรยิ าเรือนกระจก วาตะภัย อทุ กภยั ภยั จากเพลิงไหม
คนทําลายสังคม เพียงเพ่ือความโลภของตน เหลา บุหร่ี ยาเสพติด ประเทศที่รํ่ารวยดวยการสง ออกอาวธุ
และสารเคมใี นการผลติ ยาเสพตดิ สดุ ทายเยาวชนในประเทศของตนเองก็เปนผูเสพยาเสพติดมากที่สุด สงคราม
ไมวาดวยวิธีใด สงครามดวยกําลังพล สงครามเศรษฐกิจดวยกําลังเงิน สงครามทางเทคโนโลยี่ ลวนกอทุกขให
ชาวโลก เพียงเพื่อสนองกิเลสแสวงหาอํานาจความเปนใหญแหงตน หรือความชอบธรรมในการจัดการกับผูอ่ืน
ตามแตตนพอใจ การเอารัดเอาเปรียบของสังคมที่เข็มแข็ง ที่มีกําลังและความคิดท่ีดีกวา เพียงเพ่ือความเหลือ
กินเหลือใชของตน สิ่งซึ่งผูออนแอกวาไดรับ ก็คือความทุกขยากลําบาก แตส่ิงซึ่งผูแข็งแกรงไดรับก็คือความ
เยอหยิ่งลําพอง ความลม สลายของความสขุ พน้ื ฐาน ความกา วรา ว ความกระเสอื กกระสน เพอ่ื หาทางเอาเปรียบ
ผูอื่นอยตู ลอดเวลา
ถาชาวโลกไดเขาสูหนทางแหงปรัชญาความวางเปลา สิ่งเลวรายทั้งหลายก็จะไมเกิด การกินเพื่ออยูสราง
ความสมดุลของสรรพสิ่ง การอยูเพื่อกินไดทําลายความสมดุลของสรรพสิ่ง ผลของความเขาใจในศูนยตาภาวะ
หรือความวางเปลา ท่ีสังคมโลกไดรับคือสันติภาพอันนิรันดร ผลความวางเปลาที่ปจเจกบุคคลไดรับ คือความ
หลุดพนจากทกุ ขทั้งมวล มีแตผ ูท ี่เห็นแจง และเขา ถึง ซ่ึงธรรมชาติแทของความวางเปลา เทา นน้ั ท่อี ยูเหนอื ความ
เลวรายทั้งมวล สามารถอยูกับความเลวรายได โดยไมเลวรายตามสภาพแวดลอมรอบตัว ดังเชนบัวแมเกิดใน
โคลนตม แตบัวก็ไมไดปนเปอนดวยโคลนตมเลย ทรัพยสิน เงินทอง ถาเราไมสามารถเห็นถึงธรรมชาติแทของ
มัน แทนที่เราจะเปนผูใช ทรัพยสิน เงินทอง เรากลับเปนผูถูกทรัพยสินใช เราตองตกเปนทาสของมัน ตองทน
ทุกข ตองใชความโลภ โกรธ หลง อยางท่ีสุด เพ่ือปฏิบัติตามคําส่ังของมัน รักษามัน สรรพสัตวและสรรพส่ิง
ประกอบกันขึ้นมาจากขนั ธ 5 รูป และ จิตวญิ ญาณรูป (รา งลักษณะ) เวทนา (อารมณ) สญั ญา (ความจํา) สังขาร
(ความรูสึก) วิญญาณ (จติ ) กรรม (การกระทาํ ) ตางๆท้งั หลายทง้ั ปวง เกดิ จากขนั ธ 5 เปนตัวควบคมุ ดงั เชน การ
ไดเห็นภาพอันสวยสดงดงาม ความชอบความตองการเปนเจาของก็บังเกิดขึ้น ตางกันในขณะที่เห็นภาพที่นา
เกลียดนากลัว ความชอบความอยากไดเปนเจาของก็ไมเกิด ปรากฏการณทั้ง 2 เกิดจากขันธท้ัง 5 เปน
ตัวกําหนด เม่ือใดเราเพงเห็นขันธ 5 คือความวางเปลา สิ่งปรุงแตงทั้งหลายไมเกิด ภาพท่ีเห็นดวยตาจะมี
ลักษณะใดก็ตาม จะสวยสดงดงามในจิตเสมอ ดังเชนภาพพระพุทธองคในรูปดุรายนาเกลียดนากลัวของชาว
พุทธวัชระยาน การดําเนินการกับขันธ 5 ดังขอความเดิมขางบน เปนการทําใหขันธ 5 บริสุทธ์ิ และใชขันธ 5
25
อนั บริสุทธิ์เพอื่ ตอสกู ารเปน ขันธ 5 เปนมายา ซงึ่ กเ็ พยี งพอใหเกิดความหลุดพนแลว แตย ังคงมใิ ชเขา สูพทุ ธภาวะ
ดังพระอวโลติเกศวรโพธิสัตว พระองคทานเห็นแจงและเขาถึงซ่ึงศูนยตา ขันธ 5 ของทานเปนอยางไรก็ไดดังที่
มันจะเปน แตก็เปนศูนยตาเมื่อทานตองการใหเปน ดังน้ัน ทานจึงอยูเหนือความควบคุมของขนั ธ 5 สามารถใช
ขันธ 5 ตามความปารถนาของตน จงึ ขามพนสรรพทกุ ข ตัวเรากเ็ ชน กนั เหน็ แจง ในความวา งเปลาของขนั ธ 5 เรา
กเ็ ปน เชน ดงั องคพ ระอวโลติเกศวรโพธสิ ัตว
รูปคือความวางเปลา ความวางเปลาคือรูป รูปไมอ่ืนไปจากความวา งเปลา ความวางเปลาไมอน่ื ไปจากรูป
เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณกว็ า งเปลา
ประโยคท้งั 2 นี้เปนแกน แทของพทุ ธศาสนา เหน็ แจงในรูปเปนความวา งเปลา เกดิ มหาปญญา เห็นแจง ใน
ความวา งเปลาเปน รูป เกิดมหากรุณา เมือ่ เหน็ แจงในรปู เปนความวางเปลา ความยดึ มน่ั ในอตั ตายอมไมมี ความ
หลงในสรรพส่ิงยอมถูกทําลายไป ธรรมชาติแทของสรรพส่ิงก็บังเกิดข้ึนในจิต น่ันคือ มหาปญญา ไดบังเกิดข้ึน
และเมอ่ื ไดเหน็ แจง ถึงความวางเปลาไดกําเนดิ รูป ความรักความเมตตากรุณาในสรรพส่งิ ท่ีเปนธรรมชาตแิ ทยอม
บังเกิดขึ้น ความเมตตากรุณาที่เกิดจากปญญาจะไมมืดบอดหลงไหล ความรักของพอและแมที่มีตอลูกเปน
เชน เดียวกัน แตพ ้ืนฐานของการปฏบิ ตั นิ ้ันตางกัน โดยพนื้ ฐานของผูชายจะแขง็ กรา ว การแสดงออกในความรักก็
แข็งแกรงขาดความออนโยน ดุดาเฆี่ยนตี จนบางคร้ังผูเปนลูกก็เขาใจผิดวา สิ่งที่พอปฏิบัติกับตนเปนความ
เกลียดชัง สวนผูเปนแมรักลูกดวยความออนโยน ทะนุถนอม ลูกสวนใหญเขาใจวาแมรักตนเองมากกวาพอ น่ัน
คือความคิดของปุถุชน ที่ยังยึดติดในอัตตาในขันธ 5 ความทุกขทรมานใจก็เกิดขึ้น พรหมวิหารธรรมเปนบอเกดิ
อันสําคัญของมหาเมตตา เมตตา (ปารถนาใหผูอื่นพนทุกข) กรุณา (ปารถนาใหผูอื่นเปนสุข) มุทิตา (ยินดีใน
ความสุขของผอู ่ืน) อเุ บกขา (ความมใี จเปน กลาง วางเฉยในสงิ่ ทค่ี วรจะเฉย)
การมองสภาพของสรรพสัตวท้ังหลายท่ีเกิดมาในปจจุบัน ดวยอุปทานในปจจุบันวาผูน้ีเปนพอ เปนแม
เปนญาติ เปนคนในครอบครัว เปนคนในชาติเดียวกัน คนน้ีเปนมิตร คนน้ีเปนศัตรู แตความเปนจริงเราไมรูเลย
วา ผูท่ีเปนศัตรูของเราในอดีตชาติหลายกัปปหลายกัลปเคยเปนพอเปนแมของเรามากอนหรือไม ดวยการมอง
โดยโพธิจิตใหมองวา ทุกสรรพชีวิตที่เกิดมาในปจจุบันชาติ ไดเคยเปนบุรพการีของเรามากอน ความรักความ
เมตตาตอสังคมชาวโลกก็เกิดข้ึน สันติภาพเกิดข้ึนทันที เพียงแตเรารักชาวโลกท่ีอายุนอยกวาเหมือนนอง
เหมอื นลูกของตน รักผสู ูงวยั กวา ดังพ่ี ดงั พอ แม ปู ยา ตา ยาย ความสขุ สนั ติในสังคมเกิดขน้ึ ความขัดแยง ถงึ แม
จะเกิดขึ้นก็เปนความขัดแยงที่เกิดขึ้นดวยความรัก มิใชเกิดข้ึนดวยความเกลียดชัง ความเอารัดเอาเปรียบกัน
ความมุงแตจะทําลายลางกันก็ไมบังเกิดขึ้น สําหรับอุเบกขาธรรมนั้น ความวางเฉยความมีใจเปนกลาง ชนสวน
ใหญแปลความเพื่อเขาขางตนเอง เพียงใชความหมายวางความวางเฉย ดังเชนคําวาสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม
2 ประโยคนี้มีไวเพื่อใชบีบบังคับสังคมท่ีออนแอกวาเทาน้ัน ทิเบตถูกจีนยึดครองมาหลายสิบป ไมเคยมี
มหาอํานาจใดในโลกนี้ใชคําวา สิทธิมนุษยชนกันชาวทิเบต สิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมจะใชก็ตอเมื่อตนเอง
ไดประโยชน และเมื่อตนเองอาจจะตองเสียประโยชน ก็ไมยอมพูดถึงคําวาสิทธิมนุษยชนเลย ไมวาใครจะ
เรียกรองอยางไร สนั ตภิ าพอนั นริ ันดรของโลกจงึ เปน แตเพียงความฝน เทานัน้
26
ในความเปน จริงสนั ติภาพอันนริ นั ดรของโลกเกดิ ข้ึนได ถา ชาวพทุ ธทัว่ โลกเขา สหู วั ใจของพุทธศาสนาอยาง
แทจริง น่ันคือเขาสูปรัชญาแหงความวางเปลา เผยแพรและชักชวนชาวโลกใหเขาสูหัวใจของพุทธศาสนาและ
ปฏบิ ัติกันอยางจริงจัง ชาวพทุ ธในบางสว นกม็ งุ เนนไปทางปจเจกพทุ ธะ ถือเร่อื งการหลุดพน เปนเรอื่ งสวนตน ไม
เกี่ยวของกับสังคมโลก ถึงแมพระพุทธเจาไดสอนทางเดินใหชาวพุทธเดินไปสูนิพพานมากมาย แตเสนทางที่
พระพุทธเจาไดปฏิบัติเองเปนตัวอยาง คือเสนทางเหงมหาเมตตาและมหาปญญา การมุงแตมหาปญญาอยาง
เดียว โดยละทิ้งเสนทางแหงมหาเมตตา ความสุขสวนตนบังเกิด แตความสุขโดยรวมจากสันติภาพอันนิรันดรก็
ไมสามารถบังเกิดข้ึนได พระนิพพานท่ีบังเกิดขึ้นก็เอนเอียง ดังน้ัน พระปญญาและพระเมตตาตองควบคูกันไป
คนอยู สังคมตองอยู ธรรมชาติตองอยู และโลกก็ตองอยู คําสอนของพุทธศาสนาวัชระยาน พระพุทธเจาโปรด
สรรพสัตวตามสภาพของสรรพสัตวนั้นๆ บางครั้งออนโยนนุมนวล บางครั้งแข็งกราว บางครั้งดุรายนากลัว
บางครง้ั มาในรูปของสตรีเพศ การแสดงปาฏหิ ารยิ ปราบชฎิลดาบสก็ดวยเหตผุ ลนี้ แตท ง้ั ปวงเกดิ จากมหาปญญา
ท่ีเห็นซ้ึงในธรรมชาติของสรรพสัตวน้ันๆ และความรักเมตตาในสรรพสัตวท้ังหลาย พระพุทธเจาท้ังหลายทรง
มอบพระมหาปญญาไวใหชาวโลก ดวยพระมหากรุณาหัวใจของพระพุทธศาสนา หัวใจของการตรัสรูก็คือ พระ
มหาปญ ญาธิคณุ และพระมหากรุณาธิคณุ ของพระพุทธองคนั่นเอง
รูปและความวางเปลานั้นคือสิ่งใดกันแน ทําไมรูปคือความวางเปลา และความวางเปลาจึงคือรูป รูปคือ
โลกคอื สงั สารวฏั ความวางเปลาคือพุทธะภาวะ สังสารวฏั เนอื้ แทกําเนิดมาพรอมกันและสง่ิ เดยี วกับพุทธสภาวะ
อันกลาวไดเลยวาพุทธคือสังสารวัฏ หรือสังสารวัฏก็คือพุทธะก็ได เม่ือสองสิ่งเปนสิ่งเดียวกัน แลวทําไมจึง
แบง เปน สองอยา ง ส่ิงทมี่ ากนั้ กลางแบง มันออกก็คือความสมมุติ เมือ่ เราทบุ ความสมมตุ ิท้ิง ทุกสิง่ ก็กลบั เปนหนึ่ง
เดียวกัน ความสมมุติคืออะไร จึงมีพลังมหาศาลมาแยกพุทธะและวัฏออกจากกันได เม่ือไดเห็น ไดยิน ไดกล่ิน
ไดรส ไดสัมผัส ในขณะท่ีจิตยังดํารงอยูอวิชชา (ความไมรู) จิตก็เสกสรรคปนแตงใหส่ิงตางๆเกิดข้ึนตามอารมณ
เปรยี บดงั คนตาบอดแตกําเนดิ คลําชาง นีแ่ หละคือตวั สมมุติ ตัวสมมุติกค็ ือขวั้ หนึ่งข้ัวข้ัวใดในในสี่ประโยคนี้ ส่งิ ท่ี
ใช- ไมใ ช, สงิ่ ท่ีไมใ ช-ไมใ ช, ไมใ ชสิ่งที่ใช- ไมใช, ไมใ ชสง่ิ ทไ่ี มใช- ก็ไมใช
โอ สารีบุตร ธรรมท้ังปวงวางเปลา ไมมีรูป ไมเกิด ไมดับ ไมมัวหมอง ไมผองแผว ไมเพ่ิม ไมลด ในความ
วางเปลาไมม รี ูป
ธรรมในความหมายแรก คือ องครวมขันธ 5 เปนสรรพสิ่งท้ังหลายท้ังปวง และเปนความวางเปลาดังได
กลา วไวแลว ธรรมในอกี ความหมายหนึ่ง คอื คาํ สอนของพระพุทธเจา อนั เปนแนวทางในการบรรลคุ วามหลุดพน
ธรรมในความหมายท้ัง 2 เกาะเกี่ยวสัมพันธอิงซึ่งกันและกันอยูตลอด เมื่อเราเห็นแจงธรรมแรกเปนความวาง
เปลา ธรรมที่ 2 กว็ างเปลาดวย เมือ่ สรรพสิ่งวา งเปลา เคร่อื งมอื ในการจดั การสรรพส่ิง ก็ไมจ ําเปน ตองมแี ละวาง
เปลาดวย ขณะที่ความวางเปลาบังเกิด สรรพสิ่งธรรมทั้งปวงก็บังเกิดดวย เพื่อจัดการควบคุมสรรพส่ิง เกิด แก
เจ็บ ตาย เปนธรรมชาติแทของสรรพสัตว ในสายตาของผูที่ยังวนเวียนอยูในขันธ 5 การเกิด เปนความปติยินดี
เปนความบริสุทธิ์ ดังคําพูดที่วา เดก็ เกดิ ใหมบ รสิ ุทธ์ปิ ราศจากมลทนิ ใดๆ การเกิดเปน ความทคี่ วรปต ิจริงๆ แตจ ะ
มีสักก่ีคนท่ีรูคาของการเกิดท่ีแทจริง คาท่ีแทจริงของการเกิดคือมีแตมนุษยเทาน้ัน ท่ีมีโอกาสไดตรัสรูหลุดพน
จากบว งของวฏั ฏะ
27
ความตายที่คนท่ัวไปวาเปนความหมองมัวโศกเศรา การตายโดยท่ีเรายังไมไดพัฒนาจิตเลยนั้นจึงเปน
ความเศราเสียใจ เมื่อมีชีวิตอยูเราไดใหอะไรแกโลกแกส ังคมโลกบาง เราไดตักตวงโอกาสท่ีไดเกิดมาโดยพัฒนา
จติ วิญญาณของเรามาไดเทาไร และเราไดม อบสิง่ ซึง่ เราไดต ักตวงไวคืนใหแกชาวโลกเปนจํานวนเทาไร การเขาสู
ภูเขาศักดส์ิ ิทธแ์ิ ลวกลบั ออกไปดวยมือเปลา เปนเรอื่ งท่ีนาเศรามาก เชนกันการเขา ภเู ขาศกั ด์ิสิทธิ์แลว ไมไดอะไร
เลย แถมยงั รวมกนั ทาํ ลายภเู ขาศกั ดส์ิ ทิ ธอ์ิ ีก นน่ั ยิ่งนา เศรามากกวา
ภูเขาศักด์ิสิทธิ์คือโลก การเกิดมาคือการเขาสูภูเขาศักดสิ์ ิทธิ์ ทุกๆวันเราไดเขารวมขบวนการทําลายภูเขา
อยูตลอดเวลาทั้งรูตัวและไมรูตัว การใชทรัพยากรอยางไมรูคุณคา การสรางมลภาวะตางๆ การกอบโกยหา
ประโยชนเขาตน โดยไมคํานึงถึงผลเสียท่ีสังคมชาวโลกจะตองรับ นั่นคือการเขารวมขบวนการทําลายภูเขา
ศักดิส์ ทิ ธ์ิ ขณะเดียวกันเราไดใ หอะไรแกภเู ขาศกั ด์ิสิทธบ์ิ าง เราเคยรักษาสภาวะแวดลอมของโลกหรอื ไม เราเคย
รว มสรางสนั ตใิ นสังคมบาน สงั คมประเทศ สงั คมโลกหรอื ไม เราเคยชักชวนชาวโลกใหเขาสูหนทางแหงความสุข
อนั นิรนั ดร ตามแนวแหง พระศาสนาหรือไม
ภูเขาศักด์ิสัทธ์ิแมวันหน่ึงขางหนาจะตองสูญสลายไปดวยกฎแหงอนิจจัง แตภูเขาศักด์ิสิทธิ์ไมควรตองถูก
ทําลายลงดวยมือของเรา หนทางท่ีจะยืดเวลาแหงกฎอนิจจังของโลก คือการนํามนุษยเขาสูพระนิพพานใหมาก
ที่สุด กอนท่ีความตายจะมาเยือนเรา สรรพสัตวตนใดที่เกิดแลวไมตองตาย เมื่อสรรพสัตวเกิดแลวตองตาย
ทําไมการเกดิ จึงบริสทุ ธิ์ แลว การตายตอ งหมองมัว ความบรสิ ุทธ์ทิ ีค่ นชอบเปรียบเทยี บวาเปน ดงั เชน กระจกเงาที่
ไมมีฝุนละอองจับ สามารถมองภาพของตัวเราไดชัดเจนทุกชอกทุกมุม สภาพน้ันเราตองม่ันคอยเช็ดคอยถู และ
คอยดูตัวเองอยูตลอดเวลา ถากระจกเงาไมมี ตัวเราก็ไมมี เราก็ไมตองเช็ดถู เราก็ไมตองคอยสองดูตัว สภาพ
เชนนไ้ี มดกี วาหรือ
ดังนั้น เม่ือขามพนสิ่งปรุงแตงเขาสูความวางเปลา เห็นแจงในธรรมชาติแทแลว ส่ิงท้ังหลายท้ังปวงก็ไม
บริสุทธิ์และไมไมบริสุทธิ์ ไมมัวหมองและไมไมมัวหมอง ความไมเพิ่มไมลด เม่ือเราเขาสูความวางเปลาแลว
สรรพส่ิงก็ไมปรากฏในจิต เราก็ไมจําเปนตองเพิ่มหรือลดสิ่งใด ขณะที่เราอยูในสถานท่ีที่วางเปลาสักแหง เรา
พอใจและเปนสุขในสภาพนั้น เราก็ไมจําเปนตองดิ้นรนหาส่ิงใดมาเพิ่มหรือร้ือทิ้งสิ่งใด แตถาเราไมพอใจไมเปน
สุขในสภาพน้นั เรากต็ องเหน่ือยดนิ้ รนเพอ่ื เพม่ิ หรอื ลดเปลี่ยนแปลงสภาพน้นั เม่ือเราอยูเหนอื สภาพความพอใจ
และไมพอใจแลว เรากไ็ มจาํ เปน ตอ งเสาะหาธรรมวิเศษใดๆมาเพมิ่ หรอื ตดั ทอนธรรมใดๆ พุทธสภุ าษิตท่ีวา รจู ัก
พอกอสุขทุกสถาน แมเลยลวงมามากกวา 2,500 ป ยังคงความศักด์ิสิทธ์ิเสมอ ความเดอื ดรอนของมนุษยท่ัวทัง้
โลกก็มาจากคําวา “ไมรจู กั พอ” ประเทศใหญไมพอในอาํ นาจ จึงพยายามทอดเงาของตนออกไป เพอื่ ทบั เพอ่ื ปก
คลุมประเทศทีเ่ ลก็ กวา คนในประเทศเล็กไมพ อใจในส่งิ ทต่ี นเองมอี ยู ก็รับทกุ ส่ิงท่ปี ระเทศอนั ไดชือ่ วา พฒั นาแลว
สง มาให ไมวาส่งิ ทไี่ ดร ับจะเปน พษิ หรอื ไม จะเหมาะสมกบั ตนหรือไม ดวยความดอ ยความรแู หงตน เหน็ ชา งขี้ ข้ี
ตามชาง สุดทายจึงถูกชางเหยียบตาย ดังนั้นพุทธสุภาษิตท่ีวา การเปนหน้ีเปนทุกขในโลกจึงบังเกิดข้ึน จึงเปน
การเพมิ่ ทกุ ขใ นทกุ ข พระพุทธเจาไมเ ปนทุกขใดเลย เพราะพระองคอยดู ว ยธรรมเดียวคอื วางเปลา
พ้ืนฐานของพุทธศาสนา คือศีล สมาธิ ปญญา ดํารงศีลเพื่อเตรียมตัวใหพรอม ดํารงสมาธิเพ่ือรับธรรม
ปฏิบัติ และก็เดินไปที่ละกาวเพ่ือสูปญญา แตก็มีอีกหนทางหน่ึงซงึ่ ผูมีสตเิ ปนเลิศไดป ฏิบัติเพ่อื ใหเกิดผลในทนั ที
28
คอื เขาใจรแู จงวา พุทธะ ธรรมะ และวัฏฏ เปนสงิ่ เดียวกนั น่นั คอื การสรา งทรรศนะมรรคทถี่ กู ตองใหเกิดขึ้นกอ น
และจึงดําเนินภาวนามรรค เพ่ือใหทรรศนะมรรคเปล่ียนจากทรรศนะเปนความจริงที่ดํารงทุกขณะ น่ันคือคุณ
พุทธะ เมื่อดํารงอยูในความเปนพุทธะแลว ศีลก็คือหนวดหรือเครา ซึ่งเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติโดยมิตอ งบงั คับ
ในกรณีเชนน้ี ความเปนพุทธะเกิดข้ึนไดในทันที เพียงแตคุณรูแจงเห็นจริงวา ศูนยตา ธรรม และวัฏฏ เปนส่ิง
เดยี วกัน เมอ่ื ทัง้ สรรพส่ิงเปนสิง่ เดียวกนั จึงไมใชข ัว้ ใดขวั้ หน่ึงในส่ปี ระโยค ส่ิงทเ่ี กดิ ดับ เพิม่ ลด บรสิ ุทธ์ิ สกปรก
เปน สิง่ ทเี่ กิดขน้ึ เฉพาะสิ่งทอ่ี ยูใ นขว้ั ทั้งสเี่ ทา นนั้ เมือ่ ไมม ีข้ัวก็ไมม ที ี่ใหก ระทาํ จนเกิดปฏิกรยิ าตา งๆ
ไมมีเวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ไมม ีตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ไมมรี ูป รส กลนิ่ เสียง สัมผสั ธรรมารมณ
ไมมจี กั ษุธาตุ ไมมีมโนธาตุ
ตา หู จมูก สิ้น กาย ใจ เปนอายตนะภายใน รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส ธรรมารมณ เปนอายตนะ
ภายนอกท่ีตอเช่ือมกัน ตาเห็น หูไดยิน ลิ้นไดรส กายรับความรูสึก ใจในที่นี้ในทางวิทยาศาสตร คือสมองแหลง
รวมของสรรพส่ิงที่อายตนะรับเขามาทุกสวนท่ีประกอบข้ึนเปนกายเนื้อ เกิดจากเซลลไขของแมและเซลลอสุจิ
ของพอ เซลลไดแบงตัวเปนอวัยวะตางๆ และเปนตัวมนุษยในท่ีสุด ในทุกขณะที่เราคงสภาพเปนมนุษยอยูนั้น
เซลลในรางกายตายไป และเกิดใหมข้ึนทดแทนตลอดเวลา การตายการเกิดของเซลลเมื่ออยูในสภาพที่สมดุล
ตามธรรมชาติของมัน ก็เกิดความสมบูรณแข็งแรง แตถาเซลลตายมากกวาเกิด หรือเกิดมากกวาตาย ความ
สมดุลไมมี เราก็เจ็บไขไดปวยทรมาน อะไรเปนสาเหตุหลักของการขาดสมดุลของเซลล อาหาร นํ้า อากาศ ยา
อารมณ
อุตสาหกรรมท่ีขาดความรู ขาดการควบคุม เห็นแกได ปลอยสารพิษลงในน้ํา ปลอยควันพิษข้ึนไปใน
อากาศ การใชสารเคมีอยางมหาศาลในการผลิตอาหาร การใชยาเคมีอยางฟมุ เฟอยในการรักษาโรค การแยง ชิง
กันกนิ ชิงกันอยู ชงิ กันมี ทาํ ใหเกิด ความเครยี ดอารมณเสยี เกอื บตลอดชวี ิต เรากนิ นํ้าทเี่ ปนพิษ กินอาหารท่ีเปน
พิษ หายใจเอาอากาศพิษ แถมดว ยอารมณที่เกิดขึ้นก็เปนพิษอกี ทุกสิง่ เกดิ ขน้ึ จากการกระทําของคน ฉะน้นั คน
จงึ ไดรับสิ่งเหลานน้ั ปลูกถัว่ ไดถัว่ ปลูกแตงไดแตง กฎแหง กรรมท่หี นีไมพ น เซลลตายมากกวาเกิด หรือเซลลเ กดิ
มากกวาตาย เปนสว นทเ่ี กดิ กับกาย แตความรูสกึ เจ็บปวดทรมาน เกิดในจิต ถา เรายังคงไมเขา ใจในธรรมชาติแท
ของเซลล เราก็จะตอ งประสพกบั ความเจบ็ ปวดทรมานครั้งแลวคร้งั เลา
เม่ือเรารูซ้ึงถึงธรรมชาติแทของเซลล เราก็ปฏิบัติตอมันไดอยางถูกตอง ความสมดุลก็เกิดตลอดเวลา
ความรูความไมรูท้ังหลายท้ังปวงเกิดขึ้นในจิตเทานั้น มีเพียงจิตเทาน้ันที่เห็นหรือไมเห็นธรรมชาติของเซลล
(ความวางเปลา) และจิตก็เปน ผูส่งั การใหส ูการปฏบิ ตั ิ ดังน้ัน ความสุขจากความสมบูรณแข็งแรง หรือความทุกข
จากการเจ็บปวด จิตจึงเปนผูรับผลน้ัน ในผูมีปญญาเม่ือพูดถึงขันธ 5 เปนศูนย ความบรรลุก็บังเกิดขึ้นทันที ใน
ระดับรอง เมื่อยังไมเห็นถึงความวางเปลาของสรรพสิ่ง ก็ตองพูดใหแคบเขามาอีก ชี้ใหเห็นถึงรางกายเปนศูนย
เม่ือซ้ึงแลวสรรพสิ่งก็คือศูนย จักษุธาตุ (ธรรมชาติแทของการเห็น) มโนธาตุ (ธรรมชาติแทของการรับรู) การรู
เห็นในธรรมชาติแทของสรรพสิ่ง รูเห็นในความวางเปลา ก็วางเปลาเชนกัน ไมมีอวิชชา ไมมีความสิ้นไปแหง
อวิชชา ไมมีความแก ความตาย ไมมีความสิ้นไปแหงความแก ความตาย อวิชชาความหมายตามพจนานุกรม
หมายถึงความไมรู เฉพาะความไมรูทางแหงนิพพาน ไมรูอดีต อนาคต ไมรูแจงดวยปญญา มิใชการเรียนรู
29
อวิชชาเปนหัวใจของวงลอ แหงวฏั ฏะสงสาร เปนกงกรรมกงเกวียนท่ีเราตองเวียนวาย ใครบางที่ตองอยูในวงลอ
แหง วัฏฏะน้ี คําตอบคือสรรพสตั วใ น 3 ภพ 6 ภูมิ มนุษยกค็ อื หน่ึงในสรรพสัตวน ั้น
คําถามตอมา ทําไมจึงเกิดขึ้น หรือทําไมเราตองเวียนวายในวัฏฏะสงสาร เนื่องจากมิจฉาทิฐิ ความสับสน
อนั เกดิ จากอวชิ ชา อวชิ ชาทาํ ใหเ รามองโลกตามโลกียะวิสยั และยดึ ถอื วา สง่ิ เหลา น้นั เปน ตัวตน เปน ความจริงจัง
แตถ าพิจารณาใหดีแลว สง่ิ เหลานีเ้ ปน เหมือนความฝน เปน อนจิ จัง เปนสิ่งทีจ่ บั ตอ งไมไ ด เวลาเราฝนดีเราก็มีสุข
อารมณของเราก็คลอยตามส่ิงท่ีเราฝน ถาเราฝนรายเราก็จะเกิดความกลัวหรือกังวล เราไดใหความรูสึกน้ันใน
ภาคความฝน แตเม่ือเราตื่นขึ้นมา เราก็จะรูวาส่ิงเหลาน้ันไมไดเปนจริง วัฏฏะสงสารก็เหมือนกับตัวเราอยูใน
ภาคฝน สําหรับสรรพสัตวที่มีปญญาอยูในโลกียะวิสัย จึงยังคงตองเวียนวายอยูในกงลอของวัฏฏะตอ ไป เพราะ
ยังคงยึดถือความฝนวาเปนจริงอยู นั้นคือหลงอยูในมิจฉาทิฐิ ไมวาภาคของความฝน หรือภาคของการตื่นน้ัน
เกิดข้ึนท่ีจิต ฉะนั้นผูปฏิบัติธรรม คือผูท่ีพยายามปลุกจิตใหต่ืนน่ันเอง พระพุทธเจาไดทรงตรัสไววา ใจเปนเอก
ในชวงท่ีมีการตั้งครรภ ธาตุของพอและธาตุของแมผสมกัน เปนชวงที่จิตกําลังจะเขาสูกาย เริ่มประกอบธาตุ
รวมกัน จิตของทารกยังเฉยอยู และตอมาจิตก็เริ่มส่ังการใหมีการเคล่ือนไหว นั่นคือจิตไดเร่ิมปฏิบัติหนาท่ีของ
มันแลว กาย วาจา ใจ แมจะตองเก่ียวเนื่องสัมพันธกัน แตกายวาจาจะไมสามารถทําการใดๆไดถาใจไมส่ัง
กายกรรมวจีกรรมจะไมเกิดถามโนกรรมไมเกิด ดังนั้นสภาพและภพภูมิตางๆ จึงเกิดขึ้นจากปริมาณอวิชชาของ
จิต โดยธรรมชาติแลว จติ ทกุ ดวงมคี วามเปน พทุ ธะอยู แตพ ุทธะในจติ ไมสามารถสองแสงเปลง ประกายออกมาได
เนือ่ งดวยเจาของดวงจิตยังคงไมเห็นถึงธรรมชาติแทของอวิชชา เมอื่ ใดทส่ี ามารถเห็นถึงธรรมชาตแิ ทข องอวิชชา
วา วา งเปลา เมอื่ นนั้ ประกายแสงแหงพทุ ธะกส็ อ งสวางออกมาทนั ที
บทความของ Heinrich Dumoulin ในชื่อ Buddhism in the World ท่ีนิวยอรค เม่ือป พ.ศ. 2519 ได
กลาวไววา
“การเปนพุทธะหมายถึงการดํารงอยูท่ีใดก็ได ดวยชีวิตท่ีรื่นเริงเบิกบาน นับต้ังแตช่ัวโมงเชาที่คุณตื่นขึ้น
จนถึงชั่วโมงสุดทายท่ีเขานอน แตการจะเรียกชีวิตท่ีรื่นเริงยินดีในขณะที่ไมมีเส้ือผาจะใส ไมมีเงินจะใช หรือมี
ความเจบ็ ปว ยในบา นเรือน และเจาหนี้มาเคาะประตูบานทวงหนี้ เปน สิง่ ทไี่ รสาระ”
โดยความเห็นของขาพเจาแลว พุทธภาวะหมายถึงการดํารงอยูที่ใดก็ไดดวยชีวิตท่ีร่ืนเริงเบิกบาน
ตลอดเวลา แตเพิม่ คําวาโดยปราศจากทุกข การไมใ สเสื้อผาเพราะไมยอมใส หรอื ไมหามาใส หรือไมม ที างหามา
ใส มันเปนประเด็นที่ตางกัน การไมมีเงินใชก็เชนกัน หาไมไดกับไมไดหา หรือหาไดนอยแตใชมาก มันสัมพันธ
กับการที่เจาหนี้มาทวงหน้ี การเปนหนี้เปนทุกขในโลก พระพุทธเจาทรงตรัสไว เปนหนี้อยู แนนอนพุทธะภาวะ
ไมเกิด และเชนกันสภาวะการเปนหน้ีเกิดข้ึนจากการปฏิบัติตัวเกินพอดี พุทธภาวะเกิดขึ้นไดในสภาพท่ีกาย
เจ็บปว ย กายปว ยจิตปวยไปดว ย พุทธะภาวะยอ มไมบังเกิด แตถ า กายปวยจติ ไมป วย พุทธะภาวะก็บังเกดิ การมี
หรือไมมีของเส้ือผา เงินทอง ไมไดแตกตางกันเลยในพุทธภาวะ พระพุทธเจาอยูในพุทธะภาวะตลอดเวลา แต
พระพทุ ธเจา กอ็ ยูในเพศภิกขาจารตลอดเวลาเชน กัน เมือ่ อวชิ ชาวา งเปลา หนทางแหง ความสนิ้ อวิชชากว็ างเปลา
ดว ย เมือ่ อวิชชาวางเปลา เราก็อยูเหนือความเปนไปของวงลอแหง วฏั ฏะสงสาร เม่อื เราอยูเ หนอื วงลอ แหงวัฏฏะ
30
สงสาร ความแกความตายก็ไมมี และไมจําเปนตองมีหนทางแหงความส้ินไปของความแกความตาย เพราะเม่ือ
พุทธะจิตบงั เกิด อวิชชาวา ง การเกิดก็วาง การแกก ารตายกว็ า ง
ไมมีสรรพสัตวใดที่ไมมีอายตนะภายนอก 6 อายตนะภายใน 6 ก็มันตองมีแลวทําไมจึงบอกวาใหมันไมมี
พระพทุ ธเจาไมเคยสอนผดิ ดังนนั้ พระสตู รจงึ ไมต กทอดมาผดิ ในความมตี อ งดาํ รงอยูอยางไมมี นั่นคอื มีกไ็ มใช
ไมใชไมมีก็ไมใช และก็ไมใชการไปทําลายมันทิ้ง เพราะมันตองมีอยูและมีอยูอยางไมมี น่ันคือ ไมมีก็ไมใช, ไมใช
ไมมีก็ไมใ ช น่ีจึงเปนพุทธะภาวะท่เี ปนหนึง่ เดียวกบั สังสารวฏั ฏ
ไมท กุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ไมมฌี าน ไมม ีการบรรลุ เพราะไมม อี ะไรใหบ รรลุ
พระพุทธเจาไดทรงแสดงธรรมคร้ังแรกแกปจจวัคคีย ที่เรียกวาธรรมจักรกัปปวัตนสูตร คือไดแสดง
ธรรมชาติแทของทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อไดเห็นธรรมชาติแทของอริยสัจ 4 แลว ปจจวัคคียก็บรรลุความ
เปนพระอรหันต อริยสัจขอแรก ทุกข พระพุทธเจาทรงชี้ใหเห็นวา สรรพสัตวทั้งหลายไมวาจะอยูในภพภูมิใดก็
หนีไมพนทุกข ไมวาจะเปนภูมิท่ีต่ํา เปนสัตวในนรกภูมิ ตองทนทุกขกับสภาพรอนหนาว เปรตตองทุกขที่มีการ
หิวโหยอยูตลอดเวลา สัตวเดรัจฉานมีแตการเอารัดเอาตัวรอดมีความโงเปนหลัก ในอีก 3 ภูมิท่ีเปนภูมิท่ีสูง ก็
ยังคงไมพนจากทุกข เทพแมจะไมตองรับรูถึงความหิวโหย เจ็บปวด การแก แตเทพก็ยังคงมีทุกขถึงการหมด
อายุขัยของเทพ เมื่อบุญกุศลของเทพหมด ก็จะตายจากภูมิของความเปนเทพไปเกิดใหม ถึงแมเทพทานจะรู
หรือไมรูวา จะตองไปเกิดใหมที่ไหนเวลาใด แตก็ไมสามารถควบคมุ หรือหยุดส่ิงที่จะเกดิ ข้นึ ได น่ันคือ ทุกขของ
เทพ อสูรก็มีทุกข มีความอิจฉาริษยา กราวราว การใชความรุนแรง สวนทุกขของมนุษย เกิดจากการเกิด แก
เจ็บ ตาย การไดยศเส่ือมยศ การเกิดเปนมนุษยโดยมีอาการครบ 32 ประการถือเปนโชคดี เพราะมีแตมนุษย
เทา นนั้ ที่มโี อกาสปฏบิ ตั ิไปสูความหลุดพนได สวรรคส ะดวกสบายทกุ ประการ หลงติดจงึ ไมแ สวงหาทางหลุดพน
อสูรเอาแตรบราฆาฟน วางแผนการรบจนไมมีเวลานึกถึงความหลุดพน เดรัจฉานโงจนไมมีความคิดใดๆ เปรต
ดิ้นรนหาแตกินไมนึกถึงเร่ืองการหลุดพน นรกทุกขทรมานมากเกินไปจนไมนึกถึงการหลุดพนเชนกัน ถาแบง
ประเภททุกขแ ลวจะไดประเภทใหญๆ 3 ประเภท คอื
1 ทุกขเ กดิ จากทกุ ข ดังตวั อยา งทุกขทเ่ี กิดจากความเจบ็ ปวด ความเจ็บปวดเปน ทุกขอยูแลว ความกระวน
กระวาย ความกังวล ความเศรา โศก ความกลวั เปน ทกุ ขท ีเ่ กิดขึน้ เน่อื งจากความเจบ็ ปวด เปนทกุ ขใ นทุกข
2 ทกุ ขเ กดิ จากความไมเ ที่ยงแท เมื่อไมกป่ี ทผ่ี า นมาทุกคนยินดีปรีดา เปนสขุ อยางมากมเี งนิ ทองจับจายใช
สอยกันตามแตตัวเองพอใจ แตมาในปน้ีเงินทองทรัพยสินที่เคยมีไดอันตรธานหายไปหมด ความเสียใจ ความ
เศราโศก ความทุกขไดเกิดขึ้น เหตุการณเชนน้ีมิใชจะเกิดข้ึนในหวงเวลาที่นานเปนป แตมันเกิดขึ้นตลอดเวลา
ในวนั หนง่ึ ๆเกดิ ขน้ึ ไดน ับครง้ั ไมถวน
3 ทุกขจากผลแหงกรรม ปลูกถ่ัวไดถั่ว ปลูกงาไดงา ปลูกถ่ัวเปนกรรม ผลของกรรมคือถ่ัว เชนกัน สภาพ
ความเส่อื มของรางกายกอนเวลาอันควร เปนผลของกรรมที่เราไดรบั มลพิษทงั้ หลาย กรรมคือเราสรางมลพิษให
รา งกาย ผลคือรางกายเส่ือมกอนเวลา สมทุ ยั เหตุแหงทุกข 1 ความอยากได 2 ความอยากเปน 3 ความไมอ ยาก
ไดอยากเปน 4 ความอิจฉาริษยา 5 ความเยอหย่ิงถือตัว นิโรธ ผลของการดับทุกข คือพระนิพพาน อันเปนผล
ของการปฏิบัติอริยสัจขอที่ 4 มรรค วิธีดับทุกข พระพุทธเจาไดทรงสอนวิธีดับทุกขไวถึง 84,000 วิธี หรือ
31
84,000 พระธรรมขนั ธ พระพุทธองคมิใชใหพ ทุ ธสาวกท้งั หลายปฏบิ ัตทิ ั้ง 84,000 วธิ ใี นคนเดียว แตใหเ ลอื กวธิ ีท่ี
เหมาะสาํ หรบั ตนเองท่ีสุด แมเ พยี งวิธเี ดียวกร็ ูแจงเห็นจรงิ
ดังเชน พระอรหันตจุลปาฎก กอนการบรรลุทา นเปนผูทม่ี คี วามจํานอยที่สดุ ทา นไมสามารถจาํ คําสอนของ
พระพุทธเจาไดเลยแมแ ตขอเดยี ว วันหนึง่ ทานไดเขา เฝาพระพทุ ธองค ไดกราบทูลตอ พระพุทธองคว า ทานน้นั โง
มากจําคําสอนของพระองคไมไดเลย พระพุทธเจาทรงตอบวา คนท่ีรูวาตนเองโงไมใชคนโง แตคําสอนท้ังหลาย
ไมเหมาะตอทาน พระพุทธเจาไดใหทานปฏิบตั ิเพียงอยางเดียว ใหทานกวาดบริเวณอาราม ในขณะท่ีกวาดกใ็ ห
ทองวา กวาดขยะออกใหหมด ทานไดเพียรปฏิบัติตามคําสอนเพียงขอเดียว จนในท่ีสุดความรูแจงก็บังเกิด
กวาดขยะออกจากจิตจนหมด จิตทานก็วางเปลา ความสวางในจิตก็เกิด ทานไดเปนพุทธสาวกที่สําคัญ ในการ
เผยแพรพระธรรมของพระพุทธเจา (พระพุทธเจาไดยกยองพระอรหันตจุลปาฎกอยางมาก ที่รูตนเองวาโง
ความจําไมดี) คนโงท่ีรูตัวเองวาโงไมเปน พิษเปนภัยตอสังคม แตคนท่ีฉลาดและยกตัวเองวาฉลาดตลอดเวลาน้ัน
เปน พิษเปนภยั อยางมหันตต อสงั คมโลก คนฉลาดทีเ่ ยอหย่ิงจะไมพอใจตอทุกสง่ิ และตอ งการไดใ นทุกส่ิง สว นคน
โงท่ีอวดฉลาดเปนอนั ตรายตอตนเองและคนรอบขา ง ดว ยคนโงแตอ วดฉลาดตองการกระทาํ ในทุกสิง่
ดงั ทอ่ี ดตี เจา คณะใหญสงฆจ นี นกิ ายรูปท่ี 6 พระมหาคณาจารยธรรมสมาธวิ ตั รฯ พระอาจารยข องขาพเจา
ไดส อนขาพเจา ไวว า เจ็กฮวบทง บว นฮวบทง แจง ธรรมหนึง่ ธรรมทง้ั หมน่ื กแ็ จง พระอรยิ สจั 4 ประการสัมพันธ
ตอเนื่องกันไปสูความหลุดพน และเชนกัน ธรรมชาติแทอันวางเปลาของสรรพส่ิง ไมยกเวนแมความหลุดพนก็
วา งเปลา ดังนน้ั พระอริยสัจ 4 กว็ างเปลา เมือ่ เหน็ ในความวา งเปลาของอรยิ สจั แลว ยังจะมอี ะไรใหบรรลอุ ีก
พระอริยสัจ 4 คือหนทางแหงการหลุดพน จริงหรือไม ตอบวา จริง ไมมีส่ิงใดที่พระพุทธเจาสอนผิด แลว
ทําไมพระพุทธเจาจึงสอนในอีกกาลหนึ่งวา อริยสัจ 4 อันมีทุกข สมุทัย นิโรจ มรรค เปนศูนยตา เปนความวาง
เปลา มิขัดกันหรือ เรามาพิจารณากัน เม่ือพระพุทธเจาสอนอริยสัจ 4 เพื่อใหหลุดพน น่ันคือ การหลุดพนเปน
พระอรหันต ซ่ึงก็คือการดับหายไปเฉยๆ สูญส้ินไปหมดไมเหล่ือใยใดไวเลย ตอมาพระพุทธเจาทานก็สอนทาง
สายกลาง เพ่ือใหสานุศิษยไดดาํ รงความเปนพุทธะเชนพระองคมิตองสูญหายไปเฉยๆ อันใดคือทางสายกลาง ก็
คือใหพิจารณาอริยสัจ 4 ใหเ ปน ปรตีตยสมุทปาท ใหเ ปนศนู ยตา อยาพจิ ารณาอยางแยกสว น เมือ่ พิจารณาแยก
สวน แตละขอพระอริยสัจ 4 ก็จะอยูในข้ัวใดขั้วหน่ึงในส่ีประโยค การพิจารณาพระอริจสัจ 4 ใหเปน
ความสัมพันธอิงอาศัยกัน เพราะมเี หตุจึงมีทุกข เพราะมีทกุ ขจ งึ ตองหาทางแก เพราะหาทางแกจึงมีทางแก เมอื่
ดําเนินทางแก ทุกขก็สามารถเกิดอีก เมื่อพระอริยสัจเปนปรตีตยสมุทปาทกเ็ ปนศนู ยตาดวย และก็เปนทางสาย
กลางดัวย เพราะทางสายกลางคอื ภาวะทเี่ ปนเชนนัน้ โดยไมถูกจํากดั ดวยข้วั ใดข้ัวหน่ึงในสี่ประโยค นัน่ คอื เม่อื ใด
ทีพ่ จิ ารณาพระอรยิ สจั 4 เปนศนู ยตา เมอื่ นนั้ ความเปน พุทธะกเ็ กดิ
พระโพธิสัตวดวยเหตุดําเนินตาม “ปรัชญาปารามิตา” จิตยอมไมสับสนมืดมัว เพราะจิตไมสับสนมืดมัว
จึงไมมคี วามกลัว อยเู หนือความหลอกลวง มีพระนิพพานเปนทสี่ ดุ
พระโพธิสัตว คือ ผูท่ีจะตรัสรูเปนพระพทุ ธเจาในอนาคต พระโพธิสัตว คือ ผูท่ีทรงไวซึ่งมหาเมตตากรุณา
ในวิมลเกรียติสูตรไดกลาวไววา “โรคของสัตวโลกเกิดจากกิเลส โรคของพระโพธิสัตวเกิดจากมหาเมตตา” พระ
โพธิสัตวมุงรักษาโรคทั้งหลายท้ังปวง ทั้งทางกายและใจแกสรรพสัตว เหตุใดเราจึงเรียกพอแมวาเปนพระ
32
โพธิสัตวของลูก เมื่อลูกเจ็บปวย ความเจ็บปวยของลูกคือความเจ็บปวยของพอแม และถาพอแมลูกเจ็บปวย
พรอมกัน พอแมจะไมรักษาตนเองกอนที่จะรักษาลูก ความเจ็บปวยของพระโพธิสัตวเกิดจากตองการชวยสัตว
โลก ตองการใหสัตวโลกไดรับความสุข พระโพธิสัตวอยูเหนือความทุกขท้ังมวล ท่ีเปนทุกขอยูไมใชทุกขของตน
แตเปนทุกขของสัตวโลก เพราะสัตวโลกเจ็บปวย ตนจึงเจ็บปวย ในบรรดาธรรมของพระพุทธเจาท่ีทรงสอนแก
ชาวโลก ศาสตรแหงการแพทยถือวาเปนสุดยอด ศาสตรแหงการแพทย คือศาสตรท่ีพระโพธิสัตวทุกพระองค
ทรงใชอยูตลอดเวลา
ทศบารมี 10 ประการ ทาน ศลี ขนั ติ วิริยะ สมาธิ ปญญา อบุ าย ปณธิ าน พละ ฌาน เกดิ ข้ึนพรอ มกันทัน
ที่ เม่อื ไดม กี ารปฏิบตั ศิ าสตรแหงการแพทย ดังนน้ั บคุ คลทมี่ งุ บําบัดทกุ ขทั้งทางกาย และใจของชาวโลก โดยหวงั
ส่ิงตอบแทนเพียงความสุขของชาวโลกบุคคลน้ัน จึงเปนพระโพธิสัตวที่จริงแท พระโพธิสัตวท่ีปฏิบัติตนเชนนั้น
ได ก็ดวยเห็นแจงถึงธรรมชาติของสรรพส่ิงท่ีเปนความวางเปลา แพทยในโลกียะวิสัยเม่ือเจ็บปวยตองรักษา
ตนเองใหหายกอน จึงจะรักษาผูอื่นตอไป แตแพทยโพธิสัตวถึงแมตนจะเจ็บปวยอยู ก็จะรักษาผูอื่นไปเรื่อยๆ
เพราะทานทรงเห็นแจงในธรรมชาติ ความวางเปลา ของความเจ็บปวยนั้น และดวยมหาเมตตาท่ีทานมีอยู
โดยปรกติแลวคนท่ัวโลกกลัวความมดื ในความมืดไมสามารถเห็นสิ่งใด ใจก็คอยระแวงวาจะมีภยั อันตรายอยาง
น้อี ยางนัน้ เกิดขน้ึ คนทีไ่ มกลวั ความมืดคอื คนที่นอนหลับ ในชว งที่นอนหลบั คอื ชว งทใี่ จวางท่ีสุด จงึ ไมกลวั ความ
มืด เชน กนั เมื่อใจวา งแมอยูใ นทีม่ ืดใจก็สวา ง พระโพธิสัตวจ ติ ของทานวางเปลา ทา นจงึ ไมม คี วามมืดความสวาง
จิตของพระโพธิสัตววางเปลา ทานจึงไมมีสิ่งใดตองกลัว อยูเหนือความหลอกลวง ความหวาดระแวง มายาภาพ
เกิดจากการปรุงแตง ของจิต น่นั คือเทจ็ และจรงิ เก่ียวพนั กนั อยูต ลอดเวลา และนัน่ ก็คือธรรมชาตแิ ทของสรรพสิ่ง
อันวางเปลา
ดังในประวัติปรมาจารยนิกายเซ็นองคที่ 6 ของประเทศจีน ทานฮุยเลง มีพระอาจารยทานหนึ่ง ไดกลาว
วา รางกายคือตนโพธิ์ จิตใจคือกระจกเงา ตองหมั่นเช็ดถูทุกเวลา อยาใหฝุนละออง มาเกาะติด น่ันคืออภิญญา
จิต แตมใิ ชสดุ ยอดแหงนิพพาน ทานฮุยเลงไดแกบ ทขางบนวา ตน โพธนิ์ ้นั มิใชโ พธิ์ อกี ทง้ั กระจกเงาก็ไมมี จะตอง
เช็ดถูอะไร มีอะไรใหฝุนละอองเกาะ พระนิพพานบังเกิดข้ึนในจิตนี้ ทานฮุยเลงไดบรรลุเห็นแจง และไดเปน
ปรมาจารย นิกายเซ็นองคท่ี 6 ไดทําคุณประโยชนแกพุทธศาสนาอยางมากมาย พระนิพพานมีผูนําไปแปล
ความหมายวา การดบั สญู เปน ความเขา ใจความหมายท่ีแคบเกินไป การดบั สญู กเิ ลสของปจ เจกบคุ คล เปน พระ
นพิ พานในความหมายน้ี การสญู สิน้ ของกิเลสพรอมกบั การจรรโลงโลก ธรรมชาติ สังคม ใหคงอยู เพ่อื สรรพสัตว
ไดพ บบรมสุข อยใู นสันติภาพอันนริ ันดร มีโอกาสเขา สูพทุ ธเกษตรนัน่ จึงเปน พระนพิ พานอนั แทจ ริง
การมองโลกเปนมายา แลวพยายามหลีกหนีมัน ดวยความกลัววา มันจะสงผลกระทบมาถึงเราน้ัน เปน
เร่ืองไมถูกตอง อีกทั้งการพยายามทําลายความมายาทั้งปวงทิ้ง ก็ไมใชส่ิงถูกตองเชนกัน เม่ือใดท่ีเราเห็นวา โลก
เปนเชนน้ีน่ีเอง เปนดังท่ีมันเปน เปนศุนยตา เมื่อน้ันพระนิพพานในความหมายที่แทจริงก็ปรากฎ พระนิพพาน
ในความความหมายท่แี ทจริงไมใชความดบั สญู แตเ ปนโลกแหง ปรากฏการณพุทธเกษตร ทไี่ มม ีมา ไมมไี ป ดํารง
อยูอ ยา งอิสระเบ้อื งหนาตนทกุ ขณะจติ
พระพทุ ธเจา ทัง้ 3 กาลดวยเหตดุ าํ เนินตาม ปรัชญาปารามิตา จึงไดบรรลุอนตุ รสมั มาสัมโพธญิ าน
33
พระพุทธเจาทั้ง 3 กาล ดวยความหมายตามตัวอักษร 3 กาล คือ อดีต ปจจุบัน อนาคต แตความหมาย
ในทางพระสูตรนี้ หมายถงึ กาลไมส ้นิ สดุ พระพทุ ธเจา ในความหมายนี้ มิใชห มายถึงพระศากยะมนุ ีพทุ ธเจาเพียง
พระองคเ ดียว ในจํานวนสตั วโ ลกทนี่ ับไมถว น ต้งั แตกอนมีประวัตศิ าสตรนานนับไมถวน พระพทุ ธเจา ก็ไดบังเกิด
ขน้ึ มานับไมถวนแลวเชน กัน ดว ยสรรพสัตวท ัง้ หลายทมี่ ีอยู และเคยมอี ยใู นโลกน้ี ลว นมีความเปน พทุ ธะอยูในตัว
และพรอ มท่จี ะบรรลุมรรคผลไดต ลอดเวลา พระทีปงกรพุทธเจาในอดีต พระศากยะมุนีพุทธเจาในปจจุบนั และ
ศรีอริยเมตตรัยพุทธเจาในอนาคต พระอรหันตทั้งปวง พระปจเจกพุทธเจาอีกมากมาย มนุษยโลกในปจจุบันใน
จาํ นวนหลายพันลานคน ยอมมผี สู ําเร็จมรรคผลเกิดข้ึนอยตู ลอดเวลา ดงั นน้ั การปฏิบตั ติ นของชาวพุทธทงั้ หลาย
ควรวางตนใหถ ูกตองเหมาะสม และมีทัศนะคตทิ ่ีถกู ตองตอ ชาวโลก ปฏิบัติตอ ผูอ่ืนดังผอู ืน่ เปนพุทธะ และปฏบิ ตั ิ
ตอตนเอง ดังตนเองเปนพุทธะเชนเดียวกัน เราเชื่อมั่นในพระธรรมเชนไร เราก็เชื่อมั่นวาชาวโลกทุกผูคนเปน
ผูใหธรรมะแกเราเชนกัน อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือความรูแจงอันสูงสุด ไมมีความรูใดสูงกวา พระพุทธเจา
ทานหยิบก็ข้ึน ปลอยก็วาง ไมมีสิ่งใดสัมผัสไมไ ด และก็ไมมีส่งิ ใดยึดตดิ ได พรอมท้ังมอบหนทางความเปนพุทธะ
ใหชาวโลกท้ังหลาย จึงสาํ เรจ็ อนตุ รสัมมาสมั โพธิญาณ
จึงทราบวา “ปรัชญาปารามิตา”เปนมหาศักดาธารณี เปนมหาวิทยาธารณี เปนอนุตรธารณี เปนอสม
ธารณี สามารถดับสรรพทกุ ข
ธารณี หรือมนตร หรือคาถา คอื คําศกั ดิ์สิทธิ์ คําสวด คําสอน ของพระพทุ ธเจา ทกุ คาํ ถอื เปนคําศักดิ์สิทธิ์
มหาศักดาธารณี คือคําศักด์ิสิทธิท์ รงฤทธอิ์ ํานาจ ในการทําลายอวิชชาท้ังมวลเขา สูสภาวะสูงสดุ คือพระนพิ พาน
มหาวิทยาธารณี คือวิชาการอันจริงแทแนนอน ไมมีกาลเวลา เพราะทันสมัยอยูเสมอ ไมวาวิทยาศาสตรจะ
นําไปสูดาวอังคารแลว วิทยาการน้ีก็ยังคงเปนยานพาหนะสําคัญ นําพาเราไปสูฝงนิพพานตลอดเวลาตลอดกาล
ไมเคยเส่ือมสภาพหรือชํารุดใชการไมได อนุตรธารณี คือธารณีนี้ทรงความศักด์ิสิทธ์ิสูงสุด ไมมีธารณีใดสูงกวา
อสมธารณี คือ ไมมีธารณใี ดเทียบเทา
สัจจะธรรมไมผดิ พลาด ฉะนั้นจงึ ประกาศ “ปรัชญาปารามิตาธารณ”ี ดงั นี้
ตายาถา โอม คะเต คะเต ปารา คะเต ปารา สัง คะเต โพ ธิ โซ ฮา
คําสวดนี้เปน คาถาหัวใจของปรัชญาปารามิตาสูตร เลียนคํามาจากสันสฤตโบราณ ฉะนั้นจึงไมขอแปล
ความหมาย บทธารณีในภาษาจีนไดจบเพียงเทานี้ แตในสันสฤตไดมีอีกประโยควา ไดกลาวปรัชญาปารามิตา
สูตรจบแลว ในภาษาทิเบตมกี ารบรรยายท่ีมาของพระสตู ร และบท สรุปของพระสูตรน้ี ดงั ท่ีพระพทุ ธเจา ไดต รัส
ไวในสังยุตตนิกายวา “ดูกรกัจจนะ โลกนี้ติดอยูกับสิ่งสองประการ คือ “ความมี”และ “ความไมมี” ผูใดเห็น
ความเกิดขึ้น ของส่ิงท้ังหลายในโลก ตามความเปนจริง และดัวยปญญา “ความไมมี” อะไรในโลก จะไมมีแกผ ู
น้ัน ดูกอนกัจจนะ ผูใดเห็นความดบั ของส่ิงท้ังหลาย ในโลกตามความเปนจริง และดวยปญญา “ความมี” อะไร
ในโลก จะไมมีแกผูนั้น” เม่ือพระอัสสชิ ไดรับคําขอรองจากพระสารีบุตร ใหยอคําสอนของพระพุทธเจาลงใน
คาถาเดียว ทา นไมกลาวถงึ อริยสัจ 4 หรือ มรรคมีองค 8 แตทา นกลา วถงึ ความวางเปลาของปฎจิ จสมุปบาท ซ่ึง
เปนธรรมที่ลึกซึ้งที่สุด เชนกันทานนาคารชุนโพธิสัตวก็ไดใชธรรมน้ี ฟนฟูพุทธศาสนาข้ึนมาอีกครั้ง หลังจากถูก
ศาสนาอื่นโจมตีจนแทบสูญสลายไปจากโลก การรูศูนยตาเปนปญญาสูงสุด การบรรลุศูนยตานี้ คือ ตรัสรู
34
ปญญา คือ พอ เมตตากรุณา คือ แม โดยความรักของพอและแม บุคคลก็จะบรรลุความเปนพุทธะโดยสมบูรณ
ปญญาท่ีปราศจากความศรัทธา ความรูที่ปราศจากความรัก เหตุผลท่ีปราศจากความกรุณา นําไปสูความสูญ
เปลา ศรทั ธาที่ปราศจากเหตุผล ความรักที่ปราศจากความรู ความกรณุ าท่ีปราศจากปญญา นาํ ไปสูค วามยงุ ยาก
เสื่อมสลาย แตในท่ีใดท่ีปญญา กรุณา และความรัก อันลึกซ้ึงรวมตัวกัน ในท่ีน้ันยอมมีความสมบูรณและบรรลุ
ความตรัสรูอันสูงสุด การบําเพ็ญเพียรตามปรัชญาปารามิตาน้ี มิใชใหแกลงเห็นธรรมชาติแทคือความวางเปลา
เพ่ือเปนขออางใหไมทําอะไรเลย เกียจครานตอหนาที่การงาน โดยคิดวาเมื่อวางแลว จะตองทําอะไรอีก ทําไป
ทําไม ทุกส่ิงทุกอยางวางหมด การคิดเชนน้ันผิดอยางมหันต การรูแจงในปรัชญาปารามิตา เพื่อใหเกิดปญญารู
สภาพท่ีแทจริงของสรรพสิ่ง เม่ือเรารูธาตุแทของเพื่อนเรา ยอมยินดีรักใครสุขใจในความเปนเพ่ือนกัน และเตม็
ใจทจ่ี ะกระทําการเพ่ือเพ่ือน เชนกันการรแู จงในธรรมชาตขิ องสรรพสิ่ง เพ่ือใหเ กดิ ความรักตอสรรพสิ่ง ยินดีและ
เตม็ ใจประกอบการใดๆ เพื่อสรรพส่ิงใหยนื ยงคงอยู สรรพส่งิ อยูที่ใจ ความรแู จง อยูที่ใจ การทําการงานดวยใจท่ี
รูแจง ความเบอื่ หนายความรสู ึกถูกบงั คบั ใหท าํ ยอ มไมเกดิ ข้ึน เราจะทํางานดว ยความเปน สุข
พระพุทธเจาหลังจากตรัสรูแลว ก็ทํางานของพระองคอยางขยันขันแข็ง ไมยอมหยุดจนถึงวาระสุดทาย
กอ นปรินพิ พานก็ยงั ปฏิบัตงิ านอยู โดยสอนบรรดาสาวกทช่ี มุ นุมกันอยูว า
“ความเสื่อมมีอยูในสังขารท้ังหลาย จงยังประโยชนตนและประโยชนทาน ใหถึงพรอมดวยความไม
ประมาทเถดิ ”
แลวจึงเขาสูปรินิพพาน การหลอกตัวเองวา ไดเห็นแจงในความวางเปลาแลว ไมทําอะไรเลย นั่นเปน
เดรัจฉานจิต อยูรอความตาย มิใชรูแจงในนิพพานจิต ศูนยตาสภาวะ หรือ สภาวะแหงความวางเปลา จึงเปน
สภาวะแหงเอกภาพของสังคมโลก สันติภาพอันนิรันดร บรมสุขของมนุษย ในสภาพท่ีจิตและกายยังคงยึด
เหน่ยี วกันอยู และเปนผคู วบคุมวงลอแหง วัฏฏะของตน เมือ่ จติ และกายแยกจากกันแลว
เมื่อจิตมองเห็น เขาใจแจงใน สิ่งท่ีใช-ไมใช, สิ่งที่ไมใช-ไมใช, ไมใชสิ่งที่ใช-ไมใช, ไมใชส่ิงที่ไมใช-ก็ไมใช
ดํารงจิตในตรงกลางของความไมใชท้ังส่ีข้ัว ภาวะน้ีคือการรูแจงในพระอริยสัจ 4 รูแจงในทางสายกลาง รูแจง
ในปรตีตยสมุทปาท น่ีคือ ศูนยตา เมื่อน้ันพุทธภาวะบังเกิด เม่ือภาวะน้ันตั้งม่ันในจิตเปนนิสัย เปนสันดาน คน
ธรรมดาเชนทา น กค็ ือพระพุทธเจา
จากคําสอนของ พระมหาคณาจารยโพธแ์ิ จง และ มหาวชั ราจารยโ ซนมั รนิ โปเช
หนงั สือ การพนทุกขข องมหายาน
หนังสอื พุทธประวตั ิระหวาง 2,500 ป
หนังสอื พุทธสนั ติวธิ ีทฤษฎีเชงิ โครงสราง
ฤทธิชัย เอกสนิ ทิ ธก ลุ เขยี น ชาญชัย คูณทวีลาภ ตรวจทาน 28 กุมภาพนั ธ 2541
35
大乘二十頌論
ม ห า ย า น ว ส ติ ค า ถ า ศ า ส ต ร
คุรนุ าครชนุ รจนา
พระตรปี ฏ กธราจารย ทานปาละ แปลพากษจนี
สามเณรศุภโชค ตีรถะ แปลพากษไทย
ปณามคาถา
“พระมหาสมณะอันบังเกิดในภัทรกัลปน้ี พระองคใดนามวา โคตม ผูทรงแสดงธรรม ดุจกระทําส่ิงท่ีควํ่า
ใหหงาย แลเปนผูประเสริฐแหงหมูศากยราช ดวยคุณอันเปนจริงนั้น ขาพเจานอบนอม ซึ่งพระมหาสมณะ
พระองคน ั้น ดวยเศียรเกลา ”
“ธรรมเหลาใด อันบังเกิดแลว แตพระมหาสมณะนั้น ยอมยงั จิตแหง ชนท้ังหลายเหลาใดใหเกษม ดวยคุณ
นนั้ ขอความเปนผมู จี ติ อันเกษม จงบังเกิดแกขา พเจา ในบัดดล”
“สงฆสาวกแหงพระมหาสมณะนั้นเหลาใด ประพฤติการอันสมควรแกการดับทุกขแลวไซร ขาพเจาจัก
บชู าองคแ หงคณุ นนั้ ดว ยมโนทวาร”
“คุรุใดบังเกิดในบวรพระพุทธศาสนาน้ีแลวไซร มีนามวา นาคารชุน ผูถึงพรอมดวยองคคุณ มีทาน ศีล
เปนตน ดวยการกลาวองคคุณแหงความเปนจริงในพระรัตนตรัยน้ัน ขอความสวัสดีจงบังเกิดมี แลขอขาพเจา
ปริวรรตคัมภีรอันมีนามวา มหายานวีสติศาสตร อัน คุรุนาคารชุน รจนาไวดีแลวน้ัน จงสําเร็จลุลวงไปดวย เพ่ือ
ประโยชนส ขุ แหงมหาชนท้ังหลาย”
歸命不可思議性 諸佛無著真實智
諸法非言非無言 佛悲愍故善宣說
“อนั วาความเคารพนอบนอ มทม่ี ิไดค าํ นึงในภาวะ เหลาพุทธะผูไ มข ดั ขอ งในปรมัตถสจั จะโดยปญญา
ธรรมทง้ั หลายมิใชมิกลาวไมใ ชไรก ารกลาว ดว ยความเมตตาแหง พทุ ธะจักกลาวคําอันเปน กุศล”
第一義無生 隨轉而無性
佛眾生一相 如虛空平等
“ปรมัตถส ัจจะไรการเกดิ ตามการเปลี่ยนแปลงแลอภาวะ
พทุ ธะแลสรรพสตั วเ ปน เอกลกั ษณะ ประดจุ สูญญตาอนั สมภาพ”
此彼岸無生 自性緣所生
彼諸行皆空 一切智智行
“น้นั แลคอื ฝง แหง นิพพาน สวภาวะเปนปจ จัยแหง การเกดิ
มรรคาทงั้ หลายนั้นลวนเปน ศนู ยตา รวมถงึ มรรคาแหง สพั พัญู”
無染真如性 無二等寂靜
諸法性自性 如影像無異
“ไรป รารถนาในภตู ตถตาภาวะ แลทไ่ี มเ ปนสองนน้ั คอื นิพพาน
สภาวธรรมทงั้ หลายท่ีมีอยูในตวั ของมันเอง ประดจุ ดังภาพสะทอนอนั ไรแ ตกตา ง”
凡夫分別心 無實我計我
故起諸煩性
及苦樂捨等
36
“ปุถุชนผแู บงแยกจิต ไรภ ูตตถตาหาตรรกในตวั ตน”
ยอ มยังใหบ ังเกิดบรรดากกุ กจุ จะภาวะ แลทุกขภาวะ สุขภาวะ อเุ บกขาภาวะเปน อาทิ
世間老病死 為苦不可愛
隨諸業墜墮 此實無有樂
“โลกนคี้ วามชราความเจ็บไขแลมรณา เปน ทกุ ขอนั มินา ปรารถนา
คลอ ยตามลงสกู รรมท้ังหลาย น้นั คือความจรงิ อันไรสุข”
天趣勝妙樂 地獄極大苦
皆不實境界 六趣常輪轉
“สวรรคค ตอิ นั วิจติ รตระการตาแลสขุ อนั เปนเลศิ นรกอันเปน ยอดแหง ทกุ ขอันย่ิงใหญ”
เพราะตางกม็ ิเขา ใจในสัจจะ จึงยงั หมนุ เวียนในคตทิ ง้ั หกน้เี ปน นิจ
眾生妄分別 煩惱火燒燃
墮地獄等趣 如野火燒林
“สัตวท ้ังหลายผเู ห็นผดิ ยอ มแบงแยก กิเลศคือไฟอนั รอนแรง
เมือ่ คลอ ยตามยอมตกสูนรกคติเปนอาทิ อุปมาดังไฟท่แี ผดเผดปาไมฉ นั นัน้ ”
眾生本如幻 復取幻境界
履幻所成道 不了從緣生
“มลู เดมิ แหง สรรพสตั วนั้นดังมายา ยอ นคนื สูอุปทานมายาเขต
ประพฤตใิ นมายาสสู าํ เร็จมรรค ยอมไมยอนกลับเปนปจ จยั ใหบ ังเกดิ ”
如世間畫師 畫作夜叉相
自畫己自怖 此名無智者
“อปุ มาดง่ั ศิลปาจารยใ นโลกนี้ รงั สรรคย กั ษลกั ษณะ
คอื ตนแสดงความหวน่ั กลัวแหง ตน จึงไดซอื่ ผูไรป ญ ญานัก”
眾生自起染 造彼輪迴因
造已怖墜墮 無智不解脫
“สรรพสัตวใดทบ่ี ังเกิดความดา งพรอ ยในตน กลาววา น้ันคอื เหตุของสังสารวัฏ
แลกลา ววาหากนอ มลงสคู วามกลัวแหง ตน คือไรป ญ ญาหาใชว มิ ตุ ติไม”
眾生虛妄心 起疑惑垢染
無性計有性 受苦中極苦
“สัตวหมูใ ดลวงหลอกเขาใจผดิ ในจิต ยอ มบงั เกิดวจิ กิ ิฉากิเลศเครอื่ งเศรา หมองอนั เปนมลทนิ แลดางพรอย
ไรส ภาวะแตกับคดิ หาสภาวะ ยอ มไดรบั ทุกขเ วทนาแลมีเวทนานั้นแลเปนท่สี ดุ รอบ”
佛見彼無救 乃起悲愍意
故發菩提心 廣修菩提行
“พุทธทัศนะนน้ั ไรก ารออ นวอน แตถ ึงกระน้นั บังเกดิ ความเมตตากรณุ าดว ยเจตนา
ยอมกระทําการต้งั โพธจิ ิต อันเปน แบบประพฤตใิ นโพธมิ รรค”
得無上智果 即觀察世間
分別所纏縛 故為作利益
“ยอมสาํ เร็จในอนตุ ริยะปญ ญาผล จกั บังเกดิ เจโตปริญญาญาณบนโลก
การแบง แยกในกุศลพันธะ กระทาํ ไซรนั้นเพ่ือการแหง ประโยชน”
從生及生已 悉示正真義
37
後觀世間空 離初中後際
“จากการบงั เกิดแลบังเกดิ แลว ยอ มแสดงความถกู ตองแหง ปรมตั ถสัจจะ
หลงั การพิจารณาโลกนค้ี ือความวา ง ยอ มละจดุ กาํ เนิดทีเ่ ร่มิ ตน ”
觀生死涅盤 是二俱無我
無染亦無壞 本清淨常寂
“หากพิจารณาการเกดิ ตายแลนิพพาน ก็แคส องคาํ คอื ไรต น
มิดางพรอ ยอีกทง้ั มแิ ปรปรวน มลู เดิมบรสิ ุทธิแ์ ลสงบเปนนิจ”
夢中諸境界 覺已悉無見
智者寤癡睡 亦不見生死
“ในขอบเขตก่ึงกลางแหงความฝน ทงั้ หลายนน้ั โพธอิ ันบรบิ รู ณแลว ยอ มไรทศั นะ
ปญ ญานั้นมลี กั ษณะคลายจากถีนมิทธะ อกี ท้ังมิพานพบการเกิดแลการตาย”
愚癡闇蔽者 墜墮生死海
無生計有生 起世間分別
“อันโมหะวิจกิ ฉิ าแลความหลอกลวงปดบังนนั้ หากคลอยตามก็ยอ มลงสทู ะเลแหงทะเลแหง ความเกดิ ตาย
ไรบ งั เกดิ แตกลับคิดหาความบังเกดิ ยอมบังเกิดความแบง แยกใหโ ลกน”ี้
若分別有生 眾生不如理
於生死法中 起常樂我想
“หากแบงแยกในภาวะ สรรพสัตวน ัน้ ไมส มดงั เหตุผล
ในการเกิดดับในธรรมนนั้ บงั เกดิ สญั ญาในความสุขของตน”
此一切唯心 安立幻化相
作善不善業 感善不善生
“สิง่ ท้งั หลายน้นั สกั แตวา จติ ความสงบสขุ นนั้ บังเกิดเปน มายาแลมีการเปล่ยี นแปลงเปนลกั ษณะ
กระทํากุศลมใิ ชก ศุ ลกรรม สัมผัสกศุ ลกศุ ลไมบ ังเกิด”
若滅於心輪 即滅一切法
是諸法無我 諸法悉清淨
“หากนิโรธในจิตอนั เปล่ยี นแปลง กบ็ งั เกิดนิโรธในธรรมท้ังหลาย
คอื สรรพธรรมน้ันเปนอนตั ตา ธรรมทง้ั หลายนัน้ ยอมบรสิ ทุ ธ์ิ”
佛廣宣說世間法 當知即是無明緣
若能不起分別心 一切眾生何所生
“พระพทุ ธเจาผูประกาศธรรมธรรมในโลกนี้ ยอ มทราบเหตุปจจยั ในการบงั เกดิ ของอวิชชา
หากสามารถบงั เกิดการไมแ บง แยกแหงจิต สรรพสัตวจักเกดิ ไดแ ตทไ่ี หน”
於彼諸法法性中 實求少法不可得
如世幻師作幻事 智者應當如是知
“ในธรรมท้งั หลายนนั้ ธรรมภาวะอนั เปน กลาง ดวยสัจจะน้ันหากจะขอใหธ รรมนั้นมีนอยยอ มเปนบมไิ ด
ประดจุ ดังมายาจารยใ นโลกกระทาํ มายากิจ ปญ ญาน้นั พงึ ทราบดงั เชนน”ี้
生死輪迴大海中 眾生煩惱水充滿
若不運載以大乘 畢竟何能到彼岸
“ในสังสารวัฏอันมีเกิดตายท่มี ากมาย สรรพสตั วม คี วามราํ คาญฟุงซานดังนา้ํ ที่อดั แนน
หากมิขับเคลอื่ นในมหายาน ทายทส่ี ดุ น้นั อะไรสามารถถึงฝง แหงนพิ พาน”
38
ประวัติพระนาคารชุน และ ความเขาใจเร่ืองสุญญตา
ประวตั พิ ระนาคารชนุ
ผูกอต้ังพุทธปรัชญาสายนี้ คือ พระนาคารชุน เนื่องจากประวัติของทานมักมีการกลาวถึงในแงปาฏิหาริย
เปนสวนมาก สําหรับประวัติของทานในฐานะท่ีเปนบุคคลจริงๆ ตามประวัติศาสตร ระบุวา ทานถือกําเนิดท่ี
เมืองวิทารภะ ในแควน โกศลภาคใต ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจายชั ญศรี เคาตมีบุตร แหง ราชวงศอ ันธระ ราว
พุทธศักราช ๖๐๐–๗๐๐ ป ทานนาคารชุนนาจะเกิดในชวงน้ี ดังเชนที่อาจารยมุซาชิ ตาชิกาวะ ผูเขียน An
Troduction to the Philosophy of Ngrjuna ไดกําหนดชวงสมัยของพระนาคารชุนวา นาจะอยูราวๆป พ.ศ.
๖๔๓–๗๔๓ ไมเ กนิ น้ี
เลากันวา เพราะมารดาของทา นไดใหก ําเนิดทานท่ีใตต นไมชอ่ื วา อรชุน ทา นจงึ ไดชอื่ วา อรชุน สว นคําวา
นาคารชุน น้ัน เปนช่ือที่ไดมาเม่ือทานไดไปพบกับพวกนาค ซ่ึงคอยดูแลคัมภีรมหายานที่ช่ือ มหาปรัชญาปารมิ
ตาสตู ร ที่เมืองนาคพิภพ
ทานนาคารชุนเม่ือไดบรรพชาเปนสามเณรแลว ไดมาเขาศึกษาท่ีมหาวิทยาลัยนาลันทากับพระอาจารยส
ราหภัทร หลังจากนั้นจึงไดศกึ ษาธรรมกับพระอาจารยราหุลภทั รผูเปน อธิการบดขี องนาลันทา จนกระท่ังเมือ่ ได
บวชเปนพระภิกษุ ก็ไดรับความไววางใจจากพระอาจารยใหเปนพระผูดูแลนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และเปน
อธกิ ารบดแี หงนาลนั ทาองคต อมา
มีตํานานเลาวา เนื่องจากทานมีความแตกฉานในพระสัทธรรมและนานาลัทธิ ทานจึงใชเวลาไปกับการ
สอนธรรมะแกพระนักศกึ ษา และโตว าทกี ับพวกพราหมณแ ละเจา ลัทธิในสมยั นนั้ จนคร้ังหน่งึ พวกนาคไดม าฟง
ธรรมจากทานแลวเกิดความเล่ือมใส จึงไดนิมนตทานไปยังนาคพิภพ แลวพาไปชมหองมหาสมบัติ แลวมอบ
ถวายพระคัมภีร “มหาปรัชญาปารมิตาสูตร” ซึ่งเปนพระสูตรสําคัญที่เก็บรักษาท่ีเมืองนาคไวชานานแลว ทาน
พระนาคารชุน (อรชุน-ผูยิ่งใหญของพวกนาค) ทานไดศึกษาคัมภีรดังกลาวจนถ่ีถวนและทะลุปรุโปรง เม่ือ
กลับมาเมืองมนุษยก็ไดนําคัมภีรดังกลาวติดตัวมาดวย และทานก็ไดต้ังหลักปรัชญามาธยมิกะวาท โดยใชฐาน
จากพระสูตรนี้เอง
อาจารย เค. สัตจิทานันทะ มูรติ (K. Satchidananda Murty) ไดใหขอสังเกตวา สาเหตุที่ตองมีตํานาน
การไดคัมภีรดังกลาวมาจากพวกนาค อาจเปนเพราะวาทานไดต้ังหลักปรัชญาขึ้นบนพ้ืนฐานของคัมภีรนี้ และ
เพื่อใหคัมภีรน้ี ซึ่งเปนคัมภีรมหายานที่เกิดข้ึนใหม (ตามที่ทราบกันดีวา ฝายมหายานไดแตงคัมภีรพระสูตรข้ึน
เองมากมาย) ไดรับการยอมรับ จึงตองมีตํานานวา ทานไดรับคัมภีรนี้มา ซึ่งเปนพระพุทธพจนโดยแท แตเก็บ
รกั ษาไวทเ่ี มืองนาค
ทา นไดใ ชเวลาตลอดท้ังชีวติ ในการตัง้ หลกั ปรัชญาศนู ยวาท หรือมาธยมกิ วาท ดว ยเหตุทีห่ ลักปรัชญาของ
ทา นนั้นลกึ ซ้งึ ยง่ิ ใหญ ทา นจึงไดรับการขนานนามวา เปน Second Buddha (พระพทุ ธเจา องคทสี่ อง)
สําหรับบ้ันปลายชีวิตของทาน เหตุการณหรือประวัติการมรณภาพของทานนั้น สวนมากมีกลาวไวเปน
ตํานานมากกวา จะเปนประวัติศาสตร ท่พี อจะกลาวถึงเปนหลักฐานไดบา งกค็ ือ ทานมรณภาพเม่ืออายุได ๖๐ ป
39
ตลอดในชวงชีวิต ทานมีกษัตริยพระองคหนึ่งเปนผูอุปฏฐากและเปนเหมือนสหายธรรม คือ พระเจายัชญศรี
เคาตมบี ตุ ร ทา นไดเ คยเขียนจดหมายสอนธรรมถึงเพ่อื นของทานหลายฉบบั
ผลงานของพระนาคารชุน
คัมภีรที่ทานไดรจนาไวน้ันมีหลายเลมดวยกัน หากจะนํามาแสดงไวท้ังหมด ก็จะเปนการทําใหรายงาน
ฉบับนี้ยาวเกินไป จงึ ขอนํามากลาวถึงเฉพาะบางเลม
๑. คมั ภรี ห มวดศาสนา-ปรัชญา
๑).มูลมาธยมิกการิกา หรือ มาธยมิกศาสตร หรือ โศลกมูลฐานวาดวยทางสายกลาง เปนคัมภีรที่มีคาถา
๔๐๐ การิกา แบงเนื้อหาออกเปน ๒๗ บท เนื้อความไดกลาวถึงการใชวิภาษวิธี (ซ่ึงจะกลาวถึงตอไป) เพ่ือ
ช้ีใหเหน็ ถงึ ความเปน ศูนยตาของสรรพสงิ่ สิ่งทีน่ า สนใจของคมั ภรี นคี้ อื ทา นนาคารชนุ ไดก ลาวถึงพระสูตรในฝาย
เถรวาทสูตรหนึง่ คอื กัจจานโคตตสตู ร ซึ่งในพระสูตรดังกลา ว ไดกลา วถงึ “ความเปน” และ “ความไมเปน” วา
“การบอกวา สงิ่ นมี้ ี เปน สุดโตง” การบอกวา “สงิ่ นี้ไมม ี ก็เปนสดุ โตง”
๒).ศนู ยตาสัปตติ เปน คมั ภีรที่แตงเปนคาถา ๗๐ คาถา อธบิ ายเรอื่ งศูนยตาและความวางเปลา
๓).มหาปรชั ญาปารมติ าศาสตร เปนคัมภรี ท ่ีแตง อธบิ าย มหาปรชั ญาปารมติ าสูตร เปนตน
๒. คมั ภรี ห มวดศิลปะการโตว าที
๑).วิครหวยาวรตนี เปนคัมภีรวาดวยเรื่องการปฏิเสธขอโตแยงตางๆ เปนคาถา ๗๐ คาถา พรอมดวย
อรรถกถาอธิบายโดยพระนาคารชุนเอง
๒).ไวทัลยสูตร / ไวทัลยปกรณะ เปนคัมภีรวาดวยการแยกแยะขอวินิจฉัยตางๆ ออกเปนสวนๆ แบบ
วิภาษวธิ ี
๓. ผลงานประเภทจดหมายถึงเพื่อน
๑).สุหฤลเลขะ เปนคัมภีรที่มีลักษณะเปนจดหมาย หรือการเขียนสนทนาของทานไปถึงเพื่อน คือ พระ
เจายัชญศรี เคาตมีบุตร แตงเปนคาถาจํานวน ๑๒๓ คาถา เนื้อความพูดถึงการประกอบกรรมดี หลักศีลธรรมท่ี
ควรกระทํา ซ่ึงเปนการยืนยันวา พระนาคารชุนทานไมไดกลาวถึงแตเ ร่ืองศูนยวาทเพียงอยางเดยี วเทาน้ัน หลัก
ศีลธรรมอนื่ ๆ กส็ าํ คญั เชนกัน
๒).รตั นาวลี เปน หนังสือสอนธรรมท่ีทา นสง ไปถึงเพอ่ื นของทา น คือพระเจายัชศรี เคาตมบี ตุ ร เชนกัน
นอกจากคัมภีรที่ทานพระนาคารชุนแตง เพื่ออธิบายปรัชญาธรรมของทานแลว ก็มีลูกศิษยของทาน เชน
พระอารยะเทพ ซึง่ ไดแตง คมั ภีรอ ธิบายหลกั มาธยมกิ วาทเหมอื นกนั เชน คัมภรี ศตศาสตรก าริกา
หลกั ปรัชญาศนู ยวาท หรอื หลักสญุ ญตา
การจะอธิบายใหเ ขา ใจถึงหลกั ปรัชญาศูนยวาท หรอื หลกั สุญญตาน้ัน เปนเรื่องทไ่ี มงา ย หรอื กค็ อื เปน เร่ือง
ยากเอามากๆ เพราะเปนปรชั ญาทลี่ กึ ซงึ้ และยากจะทาํ ความเขา ใจไดง า ยๆดว ยตัวอกั ษร อน่งึ หลักศูนยวาทนั้น
เปนหลักธรรมท่ีเปนดาบสองคม ดังคํากลาวที่วา “ผูใดพูดคําวาสุญญตา โดยไมมสี ัมมาทิฏฐิเปนเครือ่ งรองรับ ผู
นัน้ ยอ มเปนอจุ เฉททิฏฐิโดยถายเดียว”
40
ขอนี้หมายความวา หลักปรัชญาสุญญวาท เปนหลักเพ่ือทําความเขาใจเร่ืองการไมไปสูส่ิงสุดโตงสองดาน
ท้งั ความมแี ละความไมม ี แตเพราะคาํ วา “สญุ ญตา” หมายถงึ ความเปนสูญ คอื ความไมมีอะไร จึงเสีย่ งมากที่จะ
เขา ใจไปวา “หมายถงึ การไมม อี ะไรๆเลย”
ถาผูศึกษาเขาใจคําวา สุญญตา โดยความเปนสุญญตาจริงๆ ก็จะประหัตประหารกิเลส แตถาพูดคําวา
สญุ ญตา โดยไมร ูจกั วา สุญญตาคืออะไร ผนู นั้ ก็เปน อุจเฉททฏิ ฐิ มีท่ีไปทเี่ ดยี วคอื โลกันตนรก
ดังน้ัน คําวา สุญญตา ตองทําความเขาใจกอนวา ไมไดหมายถึงปรัชญาแหงความศูนยเปลาแตอยางใด
เพราะถา เปน เชน นัน้ ศนู ยวาท หรอื มาธยมกิ วาทะ ก็จะกลายเปน อุจเฉทวาท อนั เปน มจิ ฉาทิฏฐชิ นดิ รา ยแรง
การจะทําความเขาใจเร่ืองศูนยวาทนั้น จึงตองทําความเขาใจไปทีละข้ันๆ และตองรูจักหลักการอธิบาย
สุญญวาท โดยวิธีการท่ีพระนาคารชุนและสํานักปรัชญาสุญญวาท (ซึ่งตอไปจะขอเรียกวา มาธยมิก) ไดเสนอ
เอาไว ซึ่งจะไดก ลา วตอไป
๑) ความหมายของคาํ วา สญุ ญตา
คาํ วา สุญญตา ไมไดห มายถงึ ความไมม ีอะไรเลย คําๆนี้ หมายถงึ การปฏิเสธคําบัญญตั ิ หรือความยึดถือใน
ส่ิงตา งๆวา เปนสิ่งนั้น เปน สงิ่ น้ี เชน
เชือกยาว / เชอื กส้นั
ใหญ / เล็ก
ดี / ชั่ว
มี / ไมม ี
อวชิ ชา / วชิ ชา ฯลฯ
การยึดถือในบัญญัติเหลานี้ หลักปรัชญามาธยมิก ถือวาเปนความสุดโตง เพราะเม่ือใดที่บอกวา “เปน
น่ัน” หรือ “เปนนี”่ ก็จะมีความรสู กึ กบั ส่งิ น้ันในแบบหน่ึง ซง่ึ ความรสู กึ นั้น คอื “ความยึดตดิ ”
ดังน้ัน คําวา สุญญตา คือความวางเปลาจากการบอกวา มีส่ิงน้ันอยู หรือ มีสิ่งน้ีอยู หากจะอธิบายให
เห็นชัด ยกตัวอยางเชน เราบอกวา “นรกสวรรคน้ันมี” สุญญตาก็จะบอกวา “นรกสวรรคไมมี” แตคําวา “ไม
ม”ี ในท่ีนี้ ไมไดห มายถึงการเปนอุจเฉททิฏฐิ แตห มายถึง คําบัญญตั ิอยางน้ันนะ “ไมมี” มันมแี ตสภาพท่ีเปน ไป
ตามเหตุปจจัยของกันและกันเทานั้น เชน คนทําชั่ว-ก็ไปตกนรก คนทําดี-ก็ไปสวรรค ท้ังนรกและสวรรค ลวน
แตไ มมีทั้งนน้ั มันมีแตความเปนเหตเุ ปน ปจ จัยซ่ึงกนั และกนั
อธิบายใหเห็นชัดข้นึ ไปอกี ก็คือ นรก-สวรรค เปนสภาพธรรมที่เปนไปตามเหตปุ จจัย การไปนรกสวรรค ก็
เปนไปตามเหตปุ จจัย เราจะบอกวา “มี ก็ไมถ กู ” แตจะบอกวา “ไมม ี ก็ไมไ ด” เชน กนั
สุญญตา จึงเปน คํา ปฏเิ สธ ในการบอกวา สิ่งนนั้ เปน อยางนั้น สิ่งน้ีเปนอยางน้ี เพราะทุกสงิ่ เปน ไปตามเหตุ
ปจจัย เม่ือสิ่งใดอาศัยเหตุปจจัย สิ่งน้ันก็ไมไดมีอยู-เปนอยูโดยตัวมันเอง และเมื่อส่ิงใดตองอาศัยเหตุปจจัย สิ่ง
นั้นกบ็ อกไมไ ดว า มนั เปน หรือมันไมเ ปนอะไร เพราะเหตนุ ้นั มันจงึ เปนสุญญตา
หากจะเปรียบเทียบไปแลว เม่ือกับเราบอกวา “มีเชือกยาว” และบอกวา “มีเชือกสั้น” แตแทจริง เชือก
ยาวเชือกส้ันน้ัน ไมมีอยูเลย เพราะเราจะพูดวา “ยาว” ก็ตองอาศัย “สั้น” เทียบ จะพูดวา “ส้ัน” ก็ตองอาศัย
41
“ยาว” เทยี บ หากนําเอาเชือกขนาดประมาณ ๓ เซน มาลองดู อาจจะมีผูบ อกวา “เชือกเสนน้สี ้นั ” แตถามผี ูนาํ
เอาเชือกขนาด ๑ เซน มาวางเทียบ เชือกยาว ๓ เซนที่มีผูบอกวา “สั้น” ก็จะกลายเปนเชือก “ยาว” ขึ้นมา
ทันที การบอกวา “ยาว” และ “สัน้ ” จึงเปนเพียงการเทยี บกันเทานน้ั
ดังนั้น หลักสุญญตา จึงถูกเรียกโดยพระนาคารชุนวา “มาธยมิก” คือ เปนทางสายกลาง เพราะไมอยูใน
ขายของอะไรเลย จงึ เปน ทางสายกลาง ไมใ ชท้งั สง่ิ น้ันและสิง่ น้ี
๒) ความเขา ใจผิดเก่ยี วกบั คําวาสุญญตา
มีผูเขาใจผิดวา “สุญญตา” ที่ทานนาคารชุนนําเสนอข้ึนมาน้ัน เปนการกลาวถึงความไมมีอะไรเลย อยาง
อุจเฉททฏิ ฐิ คือทกุ อยา งขาดสญู ไปหมด ซ่ึงการเขา ใจอยา งน้ี ถอื วาเขาใจผดิ เพราะคําวา “ไมมอี ะไรเลย” กเ็ ปน
ทางสุดโตงทางหน่ึงเหมือนกัน สุญญตาเปนการปฏิเสธแมแตจะบอกวา “มี” หรือ “ไมมี” อะไร เพราะส่ิงน้ันก็
เปน ความ “ม”ี อยางหน่งึ เหมือนกัน (มใี นความมีอะไร มีในความไมม ีอะไร)
ความเขาใจผิดอีกแบบหนึ่งเก่ียวกับคําวา “สุญญตา” คือมีผูเขาใจวา สุญญตาเปนสภาพสูงสุด หรือ
สภาพสัมบูรณ หรือ ความดีงามสูงสุด อยางใดอยางหนึ่ง เชนเขาใจกันวา มีการเขาถึงอะไรสักอยา งหนึง่ ที่ชอ่ื วา
“สุญญตา” ซึ่งเปนความจริงสูงสุดบางอยาง ความเขาใจอยางน้ีก็ผิดเชนกัน เพราะมาธยมิกถือวา “สุญญตา”
ไมใชการเขาถึงอะไรทั้งน้ัน แตเปนการปฏิเสธความยึดถอื ในบัญญตั ทิ ั้งปวง หรือในการบอกวา สิ่งน้ันเปนสิง่ นน้ั
สิง่ น้เี ปนสิ่งนี้
เนื่องจากการทําความเขาใจในความหมายของคําวา “สุญญตา” นั้น ยังคลุมเครืออยูมาก เพราะสุญญตา
ไมอ าจเปนไดแมแ ตวา “ม”ี หรอื “ไมม ีอะไร” แตเปน สิ่งทอี่ ยูตรงกลาง ระหวา งสองส่ิง หรอื ก็คือ ไมเขาไปเกาะ
เกยี่ วกับทฏิ ฐทิ ้งั สองประการ
อยางไรกต็ าม เราอาจจะสรุปความหมายของคําวา “สญุ ญตา” ทีแ่ ปลวา “ความวาง” ไดว า มีความหมาย
เดียวกับคําวา “อนัตตา” ในพระพุทธศาสนาเถรวาท เพราะอยางนอยที่สุด สุญญตาก็ไมไดหมายถึงความมี
ตวั ตน หรือความปราศจากตัวตนอยางแนนอน ดังน้ัน เราอาจใชคาํ และความหมายของคําวา “อนัตตา” เพื่อใช
อธบิ ายสญุ ญตาใหชัดเจนขึ้นกไ็ ด เพราะเหตทุ ่ีสญุ ญตาเปนคาํ ปฏเิ สธความมอี ยูของตวั ตนทง้ั ปวงน่นั เอง
ดงั ทที่ า นนาคารชุน กลา วถึงสุญญตา ในลัทธปิ รัชญาของทา นวา
“สรวมฺ อนาตมํ” – ส่ิงทั้งปวงไมเปนอตั ตา
“สรวมฺ สุญญํ” – เพราะเหตนุ ้นั ส่ิงทง้ั ปวงจงึ วา งเปลา
๓) การใชหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท เพ่อื ใหห ย่งั เหน็ สญุ ญตาหรอื ทางสายกลาง
สําหรบั พทุ ธปรัชญามาธมกิ แลว “ปฏจิ จสมปุ บาท” เปนหลกั คาํ สอนท่ใี ชอ ธิบายความเปน “สุญญตา” ได
ดีที่สุด เพราะปฏจิ จสมุปบาทท่พี ระพุทธเจา ทรงแสดงนั้น ทรงแสดงไวท ง้ั สายเกดิ และสายดับ
มาธยมิกใชหลักปฏิจจสมุปบาท เพ่ือทําความเขาใจในสภาวะทุกสิ่งท่ีปรากฏแกเราวา “ไมมีแกนสารใน
ตัวเอง” บางครั้งใชคําวา “ปรากฏการณ” หรือบางคร้ังก็ใชคําวา “มายา” แทน สรรพส่ิงลวนเกิดจากเงื่อนไข
ตางๆ ประกอบกันข้ึนมา เชนเดียวกับหลักการของปฏิจจสมุปบาท ถึงแมส่ิงน้ันๆจะมีอยูก็มีอยูแบบอิงอาศยั กนั
42
และกนั เกิดขน้ึ (สมั พทั ธ) ดังน้นั จงึ ไมสามารถยดึ ถอื อะไรไดเ ลย เพราะวา งเปลาจากตัวตนและวา งเปลาจากการ
ยดึ ถือใดๆ
ตามทัศนะของนิกายมาธยมิกะ สิ่งทั้งหลายเกิดข้ึนและเปนไปตามกระบวนการของเหตุและปจจัย เหตุ
และผลลัพธจะตองเกิดข้ึนรวม และเปนไปควบคูกันไปอยางไมขาดสาย ไมมีส่ิงใดพิเศษแยกตางหากจากสิ่งอ่ืน
เม่ือบุคคลเขาใจกระบวนการปฏจิ จสมุปบาท ก็เทากับเขาใจกระบวนการเกิดและการดับของความทุกข เพราะ
การเขาใจหลักปฏิจจสมุปบาท ก็คือการหย่ังรูอริยสัจ 4 โดยตรง ดังคํากลาวท่ีวา “บุคคลใดหย่ังเห็นการอิง
อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เทากับวาบุคคลน้ันหยั่งเห็นความทุกข การเกิดขึ้นของความทุกข การดับไปของความ
ทุกข และหนทางทีจ่ ะนําไปสูค วามทกุ ข”
ดังนั้น ทางสายกลาง (มาธยมกิ ะ) กค็ ือ การหยั่งรูปฏิจจสมุปบาท กลา วคอื การองิ อาศยั กนั และกันเกดิ ข้ึน
และเปนไปของสรรพส่ิง เพราะสรรพส่ิงปราศจากการมีอยูดวยตัวเอง (สวภาวะ) ซึ่งเรียกวา “วางจากสิ่งที่เปน
แกนแท” นั่นคือทางสายกลาง คือความวางจากแกนแท หรือการยึดถือเอาแกนสารไมได ซึ่งก็คือกระบวนการ
ของปฏิจจสมุปบาท ดังนั้น ทางสายกลาง ความวาง (สุญญตา) และกระบวนการอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
(ปฏิจจสมปุ บาท) จงึ เปน สิ่งท่ีแสดงใหเห็นถึงอริยสจั 4 เชนเดียวกัน จงึ มีฐานะเปน ความจริงอนั เดยี วกัน
กลา วโดยสรปุ นิกายมาธยมกิ ะยอมรับหลกั การเรอ่ื งปฏจิ จสมุปบาท เชน เดยี วกนั กับพุทธศาสนานิกายเถร
วาท โดยใชในการอธิบายลักษณะทไี่ มม แี กน แทท่ีแทจริง (สวภาวะ) ของสรรพส่งิ เพราะทกุ สิง่ ลวนตองอิงอาศัย
กันและกันเกิดขึ้นเปนไปทั้งส้ิน จึงวางเปลาจากความมีอยูในตนเองอยางแทจริงท่ีเรียกวา “สุญญตา” ดังน้ัน
หลักการเร่ืองปฏิจจสมุปบาทและสุญญตา จึงเปนหลักการท่ีอธิบายถึงความปราศจากลักษณะท่ีไรแกนสารท่ี
แทจ รงิ ของสรรพสงิ่ เชน เดียวกัน ปฏิจจสมุปบาทและสุญญตาจึงอาจเรยี กไดวา “ทางสายกลางของมาธยมกิ ะ”
ดังนั้น คําวา “มาธยมิก” ท่ีแปลวา “ทางสายกลาง” นั้น จึงเปนคนละความหมายท่ีเขาใจกันใน
พระพุทธศาสนาเถรวาท หรือท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงไวในธัมมจักกัปปวตนสูตร เพราะทางสายกลางในพุทธ
ศาสนาเถรวาทเปน หลักปฏิบตั ิ แตค าํ วา “มาธยมิก” ทแี่ ปลวาทางสายกลาง เพราะไมต กอยใู นขายของการบอก
วา ความมี และ ความไมมี หรอื การบอกวาอะไรเปนอะไร
๔) การใชว ิภาษวธิ เี พ่ือหยง่ั เหน็ ความจรงิ
เนื่องดวยปรัชญามาธยมิก เปนปรัชญาท่ีกลาวถึงทางสายกลาง คือการไมไปอยูในระหวางการบอกวา
“อะไรเปนอะไร” หรือ “อะไรไมเปนอะไร” ดังนั้น การท่ีจะช้ีใหเห็นถึงความเขาใจผิดในทฤษฎี หรือความคิด
ความเชื่อใดก็ตาม จึงตองใชการหาความจริงโดยการโตตอบ ใหผูท่ีเชื่อในความคิดใดความคิดหน่ึง หรือเช่ือใน
ความคิดของตนเอง จะไดยืนยันใหแนชัดวา สิ่งที่ตนเองเชื่อเปนจริงหรือไม หรือสิ่งที่ตนเองเช่ือน้ัน ม่ันใจขนาด
ไหน วิธีการสนทนาโตตอบน้ี ไดกลายมาเปนวิธีการหลักของพระพุทธศาสนาฝายมหายาน โดยเฉพาะมาธยมกิ
และเปนวิธีการที่แพรหลายท่ัวไปในพระพุทธศาสนามหายานสายตางๆ เพ่ือใชในการเผยแผหลักปรัชญาของ
นิกายตนเองอยางหน่ึง รวมถึงเพื่อท่ีจะแกไขขอเขาใจผิดของบุคคลในลัทธิอ่ืนๆอีกอยางหน่ึง หลักวิธีการ
ดงั กลาวน้ี เรยี กวา วิภาษวธิ ี (Dialectic) หรอื ตรรกวภิ าษ
43
วิภาษวิธีเปนวิธีการที่พระนาคารชุนไดนํามาใช โดยใชกับบุคคลสองจําพวก คือ พวกท่ียึดถือคัมภีรหรือมี
ศรัทธาตอส่ิงใดส่ิงหนึ่ง โดยไมตองอาศัยการพิสูจน หรือพวกท่ียืนยันทัศนะบางอยางอยางแนนอนเกี่ยวกับสัจ
ภาวะ หรือเช่อื ในภาวะของสงิ่ ใดสง่ิ หน่งึ วา เปน อยา งนน้ั อยางน้ีอยางแนน อน
โดยปกติ การโตเถียงหรือการกลาวถึงวาทะธรรมประการใดประการหนง่ึ จะมีลักษณะอยู ๔ ดา น หรอื ๔
มมุ เรียกวา จตุกโกฏิ หรือ จตุกโกณะ (Tetralemma) ซึง่ จะมีโครงสรา ง คือ
วาทะท่ียืนยนั
วาทะที่ปฏิเสธ
วาทะท้งั ยนื ยนั และปฏเิ สธ
วาทะทั้งไมยืนยันและไมปฏิเสธ
ยกตัวอยา ง เชน วาทะวา “นิพพานเปน อตั ตาหรอื ไม? ” จตกุ โกฏกิ จ็ ะส่อื ออกมาวา
นพิ พานเปนอัตตา
นพิ พานไมเ ปนอตั ตา (เปนอนัตตา)
นิพพานเปน ทงั้ อตั ตาและอนตั ตา
นพิ พานไมเ ปน ทั้งอตั ตาและอนตั ตา
ถาหากวาทะทั้งส่ีแบบนี้เกิดขึ้น วิภาษวิธีก็จะใชวิธีการใหผูเห็นเชนน้ัน ไดยืนยันคําตอบ หรือความเห็น
ของตนเองใหแนชัด และจะถามกันจนกระท่ังผูตอบ จะยืนยันหรือไมยืนยัน ในสิ่งน้ันหรือไม ซ่ึงสุดทายก็จะทํา
ใหเห็นวา แทจริงผูตอบหรือผูยืนยันความเห็นของตนนั้น ไมไดม ีความม่ันใจในสิ่งที่ตนเองเชื่อ หรือบอกไมไดว า
ส่งิ ทต่ี นเช่ือน้ันเปน ความจริง
การใชว ภิ าษวธิ ขี องทา นนาคารชุน ไมใ ชว ธิ กี ารเพอ่ื เอาชนะหรอื เพ่อื จะบอกวา ความเห็นของฝา ยมาธยมิก
ถูกตองกวาฝายอ่ืน หรือจะบอกวาทุกอยางเปนสุญญตา ซึ่งเปนสภาวะแบบหนึ่งแตอยางใด วิภาษวิธีเปนแต
เพียงการช้ีใหเห็นถึงความยึดมั่นของผูยึดถือในวาทะหรือความเห็นของตนเองวา ไมมีแกนสารสาระแตอยางใด
หรอื ก็คอื เม่ือยังยึดม่นั ในสิ่งท่ีตนเองคดิ เหน็ หรือเชอื่ วาสง่ิ นั้นสิ่งน้ีเปน จรงิ กไ็ มม ีทางจะเขาถงึ ปรมัตถ หรอื การ
หลดุ จากความยึดมน่ั ถือมนั่ ใดๆได
ยกตัวอยางเชน การท่ีชาวพุทธเถรวาทบอกวา “นิพพานเปนอนัตตา” กับชาวพุทธอีกสํานักหน่ึงบอกวา
“นิพพานเปนอัตตา” เมื่อผูยึดถือวาทะเหลาน้ัน ตองถูกวิภาษวิธีมาจับ หรือมาโตตอบ หรือใหผูที่ยึดถือ
ความเห็นเชนน้ัน ไดยืนยันความเห็นของตนเอง โดยถูกถามไปเรื่อยๆ ผูยึดถือความเห็นเชนน้ัน ก็จะรูสึกเองวา
ความเช่ือของตนเองนั้นไมจ รงิ หรือไมส มเหตสุ มผลแตอ ยา งใด เมอ่ื ถึงจุดนั้นแหละ จึงเรียกวา “สุญญตา”
สุมาลี มหณรงคชยั ไดเ ขียนไวใ น พทุ ธศาสนามหายาน วา
การใชว ภิ าษวธิ ีโตแ ยงแนวคิดตางๆ ใหเ ห็นวาแนวคิดเหลานัน้ เอียงไปในขั้วใดข้ัวหน่ึง จากนั้นกป็ ระกาศวา
แนวคิดเหลา นี้เปนสญุ ญะ (คือวาง) สุญญตาไมใ ชเนื้อหาทางความคิดของมาธยมิกะ แตส ุญญตาเปนวิธกี ารท่ีถูก
นํามาใช เพ่ือชวยใหคนคลายความยึดมั่นถือม่ัน ดังนั้น ตอคําถามท่ีวา “เราจะตระหนักเห็นสุญญตา (ทางสาย
กลาง) ไดอยางไร” ก็คงจะตอบไดวา สุญญตาเปนการเปดเผยใหเหน็ “สิ่งท่ีไมมีอยู” มากกวา “ส่ิงท่ีมีอยู” การ
44
เผยใหเห็นสิ่งที่ไมมีอยูน้ี (ในรูปแบบของการปฏิเสธ) เปน “วิธีการ” ท่ีจะนําไปสูอิสรภาพ มากกวาเปน
“ความหมาย” ของอสิ รภาพ สว นสันตินาช้ีวา “สญุ ญตา” ไมใชอ ะไรบางอยางท่ีมเี น้อื หาในตัวเอง สญุ ญตาไมใช
ทัศนะ ไมใชจุดยืนทางทฤษฎีอะไร แตสุญญตาเปนทัศนคติวิพากษในเชิงปรัชญา (Philosophically Critical
Attitude)
อยางไรกต็ าม ปญหาอยางหน่ึงทีน่ ักปรชั ญาสายมาธยมิกมกั ประสบ กค็ ือการถกู โจมตจี ากพุทธนิกายอื่นๆ
วา มาธยมกิ ดีแตใ ชการโตเถียงเพ่ือวิพากษว ิจารณค วามเห็นอ่ืนวา ใชไ มได และถือวา ความเห็นของตนเองดีกวา
คนอ่ืน ซึ่งก็เทากับวามาธยมิกไดเสนอความเหน็ อกี อนั หน่ึงออกมาเชน เดียวกัน และความเห็นนัน้ ของมาธยมกิ ก็
ตองถือวาใชไมไดไ ปดวย เพราะเปนทัศนะอันหน่ึงท่ีมาธยมิกเองก็ปฏิเสธในทุกๆทัศนะอยูแลว หรือถูกตําหนิวา
มาธยมิกเห็นอะไรๆเปนสุญญตาไปเสียหมด ถาเปนเชนนั้น คําสอนของพระพุทธเจาก็เช่ือถือไมได คําสอนใน
พระพุทธศาสนาก็ไมจริงไปหมด เพราะอะไรๆก็เปนสุญญตา ดังที่นักพุทธปรัชญาสายอื่นๆวิพากษวิจารณพุทธ
ปรัชญามาธยมกิ อยา งรุนแรง อยางพทุ ธปรัชญาสายโยคาจาระ เปน ตน
สําหรับเรื่องนี้ ชาวมาธยมิกจะตอบวา แทจริงแลวมาธยมิกไมไดปฏิเสธทุกสิ่งทุกอยาง และถือวาทุกส่ิง
เปน สุญญตาไปเสียหมดแตอ ยา งใด เพียงแตมาธยมกิ ไมเหน็ วาคําสอนของพระพุทธเจา จะมีฐานะเปน “ตัวแกน
สารสาระ” หรือตวั แกนแทแ ตอ ยา งใด แตเปน “วิถี” หรือ “อุบาย”
เหมือนกับการท่ีเรารูวา “ตะเกียง” ใชทําใหเกิดแสงไฟ “แพ” ใชขามฟาก แตถาเราไมจุดไฟที่ตะเกียง
หรือนั่งแพขา มทะเลไป ของเหลานั้นกไ็ มเ กิดประโยชน เชนเดียวกับคาํ สอนของพระพุทธเจา ถาเราเอาแตเ ชดิ ชู
กันวา พระธรรมเปนของดีเลิศ นิพพานเปนเชนน้ันเชนน้ี แตไมเคยปฏิบัติ ก็ไมไดรับประโยชนจากธรรมะ
เหลา นน้ั แตอยา งใด
สําหรับเรื่องของวิภาษวิธีกับหลักสุญญตาน้ัน ถาผูศึกษาเขาใจหลักวิภาษวิธีอยางถองแทแลว ก็จะรูวา
แทจริงมาธยมิก เพียงแตปฏิเสธในความยึดถือของส่ิงทั้งปวง ดวยความยึดมั่นถือม่ันเองโดยไมประจักษถองแท
มาธยมิกเองก็มีหลักการเร่ืองของความจริงสองแบบ คือ แบบสมมติกับแบบปรมัตถ อยางที่ชาวพุทธเถรวาท
เขา ใจเชนเดียวกัน
สําหรับเรือ่ งการโตเ ถยี งในสภาวะตางๆนน้ั พระนาคารชุนไดช้ีใหเหน็ วา แทจริงแลวการที่บคุ คลท้ังหลายมี
วาทะเห็นเปนอยางน้ันอยางน้ี ก็มาจากความยึดถือสวนตัวท้ังนั้น โดยอาจไมมใี ครรูสภาวะท่ีแทจริงเลย (เพราะ
สภาวะนน้ั ไมอาจรูไดดว ยศพั ทบ ญั ญตั ิ)
ในมลู มัธยมกการกิ า (หรอื มูลมาธยมิกการกิ า) บทที่ ๑๘ โศลกท่ี ๗ – ๙ ทานนาคารชุนไดก ลาวไวว า
ส่ิงทีภ่ าษาระบุถกู ตัดท้ิงไป
ดินแดนของความคดิ กถ็ กู ตัดทิง้ ไป
ไมม กี ารเกิด ไมม กี ารดบั
ความเปน จรงิ กเ็ หมอื นกับนพิ พาน
ทกุ สง่ิ เปนจรงิ และกไ็ มเปนจรงิ
ทงั้ จรงิ และไมจริง
45
มไิ ดเ ปน จรงิ และมิไดไ มเ ปน จรงิ
น่คี อื คาํ สอนของพระพุทธเจา
มิไดอิงอาศยั ส่ิงอื่นสงบ
และมไิ ดป รุงแตงดว ยการคิดปรงุ แตง ใดๆ
มไิ ดมกี ารคดิ แยกแยะ มิไดม ีการแบงแยก
นค่ี อื ลักษณะของส่งิ ตามท่ีเปน จริง
จากโศลกดังกลาว จะทําใหเราเห็นไดวา “สุญญตา” เปนการกลาวถึง “ความวาง” จากการยึดมั่นถือม่ัน
ในศัพทบัญญัติ หรือในการยึดถือส่ิงใดๆทั้งส้ิน เพราะไมวาอะไร ก็ไมอาจบอกไดเลยวา ส่ิงน้ันคือสิ่งนั้น ส่ิงน้ีคือ
ส่ิงนี้ มันมเี พยี งแตการเกยี่ วเนอ่ื งของเหตุปจ จัย ทีท่ ําใหสิง่ ทัง้ หลายมกี ารบญั ญัตศิ ัพทเรียกเทาน้ัน โดยแทจ ริง ไม
มสี ภาวะใดเปน อยจู รงิ เลย
ดังนั้น การเขาถึงความหมายของสุญญตา ไมใชการเขาใจวาความวางคืออะไร แตใหเขาใจวา ทุกส่ิงทุก
อยางทั้งท่ีเปน “สวภาวะ” (ภาวะความมีอยู) และ “อภาวะ” (ความไมมีอยู) นั้น ลวนแตไมมีอะไรจริงแทสัก
อยางเดียว เพราะมันเกิดข้ึน ตั้งอยู ดับไป ตามเหตุปจจัยเทาน้ัน นี่คือความหมายของสุญญตา ปรัชญาวาดวย
“ความไมย ดึ ม่นั ถอื มน่ั ในบญั ญตั ิแหงสภาพธรรมทง้ั ปวง เพราะทกุ ส่ิงเกดิ ข้ึนตงั้ อยูดบั ไปดว ยเหตุปจจัย”
เมื่อกลาวถึงเรื่องความวางแหงศูนยตา การแสดงถึงขันธ ๕ เปนธรรมที่ไมมีสภาวะ เปนของวางเปลา
ตามที่พระศาสดาทรงตรัสสอนของทานนาคารชุน ถูกฝายโตแยงวาอยางนี้ก็เปนอุทเฉททิฏฐิ พระพุทธองคจะ
สอนใหบุคคลเจริญมรรคผลไปเพ่ือสิ่งใดเลา ในเมื่อทุกสิ่งทุกอยางวางเปลาเชนนี้ วาทะของทานเปนนัสติกะ
ทําลายกุศลธรรมทงั้ ปวง ทา นคุรุนาคารชนุ แสดงกลับไปวา
“วาทะของเรา แบงเปน 2 นัย คือโดยโลกียะนัย เรากลาววา ธรรมทั้งปวงมีอยูอยางมายา เชนเดียวกับ
ความฝน เราไมไดป ฏิเสธเหตกุ ารณในความวา “เปนของไมมีอย”ู เรากลาววาความฝน มอี ยแู ตม ีอยางไมจรงิ เรา
รับสมมติบัญญัติตามโลกโวหาร ไมไดปฏเิ สธกรรมกิรยิ า เหมือนกบั เราไมไ ดป ฏเิ สธความฝน วา ไมมี แตเม่ือวา โดย
ปรมัตถนัย ส่ิงทั้งปวงเปนศูนยตา เหมือนเรากลาววาความฝนไมใชความจริง เราจึงไมใชพวกนัสติกะ ตรงกัน
ขามกับพวกทานน่ันแหละ กลับจะเปนฝายปฏิเสธบุญกรรมกิริยาเสียเอง เพราะพวกทานยึดถือวา ส่ิงทั้งปวง
มสี วลกั ษณะ เมือ่ เปนเชนน้ี คนทาํ บาปกต็ องทําบาปวันยังค่ํา ไมมที างกลับตวั เปน คนดีได เพราะคนทาํ บาปมีสว
ลักษณะ การทําก็มสี วลักษณะ บาปกม็ สี วลักษณะ สิ่งใดเปน สวลักษณะ ส่ิงนัน้ เปลี่ยนแปลงไมได เปนอยูด ว ยตัว
มันเองไมอาศัยส่ิงอื่น เพราะฉะนั้น ฝายทานจึงปฏิเสธบุญกรรมกิริยา ฝายเราถือวาสวลักษณะไมมี เปนศูนยตา
คนชั่วจึงกลายเปนคนดีได ปุถุชนจึงเปนอรหันตได เด็กจึงเติบโตเปนผูใหญได ถาถืออยางมติทาน เด็กตองเปน
เด็กตลอดไป ถาเด็กเปล่ียนเปนผูใหญ ยอมแสดงวาเด็กคนน้ันไมมีสวลักษณะเปนศูนยตา เพราะฉะน้ัน เราจึง
กลา ววา เพราะมศี ูนยตานเี่ อง อบุ ตั ิกาลของโลก จงึ ไดเ ปน ไปตามระเบียบ”
ดวยการแสดงอรรถาธิบายในแงปรัชญาแหงปฏิจจสมุปบาทของทานคุรุนาคารชุน หากเรามีโอกาสได
โยนิโสมนสิการ จะเห็นถึงความลุมลึกแหงปญญาสามารถแสดงอรรถแหงธรรมไดอยางชัดแจง ในการพิจารณา
ในความวางแหงศูนยตาน้ัน การปฏิเสธการยึดถืออัตตาใดๆ มิใชความสูญเปลา หากแตเปนมัชฌิมปฏิปทา อัน
46
คือ สภาวะวางในหลักศูนยตา ปราศจากความยึดม่ันถือม่ัน เปนสักแตวาธรรม อันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา
ไดแ สดงไว
ขอความตอไปนี้ จากคัมภีรวิสุทธิมรรค อาจชวยเสริมความที่กลาวมาขางตนนี้ได จึงขอยกคําแปลมา
แสดงไว ณ ทีน่ ี้
“วาโดยความจริงแท (สัจจะ) ในโลกนี้มีแตนามและรูป (นามธรรมและรูปธรรม) ก็แลในนามและรูปน้ัน
สัตวหรือคนก็หามีไม นามและรูปนี้วางเปลา ถูก (ปจจัย) ปรุงแตงขึ้น เหมือนดังเคร่ืองยนต เปนกองแหงทุกข
(ส่งิ ไมคงตวั ) เชนกับหญา และฟน”
“ทกุ ขน น่ั แหละมอี ยู แตผ ูทุกขหามีไม, การกระทํามอี ยู แตผ ทู ําหามีไม, นิพพานมอี ยู แตค นผูนิพพานไมม ี,
ทางก็มอี ยู แตผ เู ดนิ ทางไมม ี”
“ผูทํากรรมก็ไมมี ผูเสวยผลก็ไมมี มีแตธรรมท้ังหลายลวนๆ เปนไป (กระบวนธรรม), อยางน้ี น่ีเปน
ความเห็นที่ถูกตอง เมื่อกรรมและวิบาก (ผลของกรรม) พรอมทั้งเหตุ เปนไปอยูอยางน้ี ตนปลายก็ไมเปนท่ีรูได
เหมือนด่ังกอนหรือหลังแหงเมลด็ พืชกับตนไมเปนตน แมในอนาคตเม่ือสงั สาระยังมีอยู ก็ยังมองไมเห็นการท่ีจะ
ไมเปนไป (ของกรรมและวบิ าก)”
“พวกเดียรถยี ไมรคู วามขอน้ี จึงไมเ ปน อสิ ระ (อสยวํ สี = ไมม ีอํานาจในตน หรือไมเ ปน ตัวของตนเอง ตอง
ข้ึนตอผูอื่นดวยการยึดถือผิด) ยึดเอาสัตตสัญญา (ความสําคัญหมายวาเปนสัตวบุคคล) แลว มีความเห็นไปวา
เท่ียงแทย่ังยืน (เปนสัสสตะ) บาง วาขาดสูญ (เปนอุจเฉทะ) บาง พากันถือทิฏฐิ ๖๒ อยาง ขัดแยงกันและกัน,
พวกเขาถกู มัดดว ยเคร่อื งพนั ธนาการคอื ทฏิ ฐิ ถูกกระแสตัณหาพดั พาไป, เมอ่ื ลองลอยไปตามกระแสตัณหา กพ็ น
จากทุกขไมได สวนภิกษุพุทธสาวก รูกระจางท่ีวามาอยางนี้ ยอมเขาใจปรุโปรง (แทงตลอด) ถึงปจจัยท่ีลึกซ้ึง
ละเอียดและวา ง”
“กรรมไมมีในวบิ าก วบิ ากไมม ีในกรรม ทั้งสองวางจากกันและกัน, แตป ราศจากกรรม ผลก็ไมมี เหมือนดัง
วา ไฟมิใชอยูในแสงแดด มิใชอยูในแวนแกว (อยางเลนสนูน) มิใชอยูในมูลโคแหง (ท่ีใชเปนเช้ือเพลิง) แตก็
มิใชอ ยูภายนอกจากวัตถุทงั้ สามน้ัน หากเกิดจากการประกอบพรอมเขาดว ยกัน ฉันใด, วบิ ากกห็ าไมไดทีภ่ ายใน
กรรม แตภายนอกกรรมก็หาไมได สวนกรรมเลาก็ไมมีในวิบากน้ัน กรรมวางจากผล ผลก็ไมมีในกรรม แตผลก็
อาศัยกรรมน่ันแหละเกิดข้ึนจากกรรมนั้น ฉันน้ัน แทจริงในกระบวนแหงสาระน้ี เทพก็ตาม พรหมก็ตาม
ผสู รางสงั สาระ หามีไม มีแตธ รรมทั้งหลายลว นๆเปน ไป ดวยอาศยั การประชุมพรอ มแหง เหตเุ ปน ปจจยั ”
“ธรรมชาติน้ี มีเหตุเกิดพร่ังพรอมแลวอยางนี้ เปนทุกข ไมเที่ยง คลอนแคลน เปนของชั่วคราวไมยั่งยืน,
ธรรมท้ังหลาย กเ็ กดิ จากธรรมทั้งหลาย โดยเปนเหตุกัน, ในกระบวนความเปน ไปนี้ จงึ ไมมที ัง้ ตัวตน (อัตตา) ไมม ี
ทั้งตวั อ่ืน”
“ธรรมทั้งหลายยังธรรมทั้งหลายใหเกดิ ข้นึ โดยความประกอบพรอ มแหงเหตุเปนปจจัย, พระพุทธเจาทรง
แสดงธรรมเพ่ือความดับแหงเหตุทั้งหลาย, เม่ือเหตุทั้งหลายระงับไป วงจร (วัฏฏะ ) ขาด ก็ไมหมุนตอไป, ชีวิต
ประเสรฐิ (พรหมจรรย) ยอมมเี พื่อการทาํ ความจบส้นิ แหงทุกขอ ยา งน,ี้ เมื่อหาตวั สตั วไมไ ด จึงไมมีท้ังขาดสญู ไม
มีทัง้ เทยี่ งแทย ัง่ ยนื ”
47
ทานนาคารชุนะ ปรัชญามหายาน นิกายศูนยตวาทิน
อาจารยนาคารชุนไดประกาศทฤษฎีศูนยตวาทิน ดวยอาศัยหลักปจจยการและอนัตตาของพระพุทธองค
เปนปทัฏฐาน ทานกลาววา สังขตธรรม อสังขตธรรม มีสภาพเทากันคือสูญ ไมมีอะไรที่เปนอยูมีดวยตัวของมัน
เองไดอยางปราศจากเหตุปจจัยปรุงแตง แมกระทั่งพระนิรวาณ เพราะฉะนั้นอยาวาแตสังขธรรมเปนมายาไร
แกนสารเลย พระนิรวาณก็เปนมายาดวย ส่ิงที่อาจารยนาคารชุนปฏิเสธคือ “ส่ิงที่มีอยูดวยตัวของมันเอง” ทุก
อยางไมวา จะเปน อยูโ ดยสมมตหิ รอื ปรมัตถ
ก็สิ่งที่มีอยูดวยตัวของมันเองนั้น กินความหมายรวมท้ังอาตมันหรืออัตตาดวย แตเรื่องอาตมันนั้น
พระพุทธศาสนาทุกนิกาย (ยกเวนนิกายวัชชีบุตรและพวกจิตสากล) ปฏิเสธอยางเด็ดขาดไมยอมใหเหลือเศษ
อะไรอยูแลว แตต ามทัศนะของอาจารยนาคารชนุ ทา นคณาจารยเหลาน้นั ถงึ แมปฏเิ สธความมีอยูดว ยตัวของมัน
เองเพยี งแตอาตมนั เทานั้น แทจริงยงั ไมเกดิ อุปาทานยึดสิ่งที่มอี ยูในตัวของมันเอง ในขันธ ธาตุ อายตนะ พระนิร
วาณวา มีอยูดวยตัวของตัวเองอีก เห็นวามีกิเลสตองละ และมีพระนิรวาณเปนท่ีบรรลุ ซ่ึงเปนความเขาใจผิด
นาคารชุนกลาววา สิ่งทเ่ี ราเขาใจวา มันเปน สงิ่ จดุ สดุ ทายทม่ี ีอยดู วยตัวของมนั เองนั้น แทจริงก็เกิดจากปจจัยอ่ืน
อกี มากหลายปรุงแตงขึ้น เมื่อส่ิงท้งั หลายไมม ีภาวะอนั ใดแนน อนของตวั เองเชน นี้ ส่งิ เหลา นัน้ ก็เปนประดุจมายา
ส่ิงใดเปนมายาสิง่ นน้ั ก็ไรค วามจรงิ จึงจัดวา สูญ
นาคารชุนอธิบายวา สิ่งท่ีมีอยูดวยตัวของมันเอง ยอมบงถึงความเปนอิสระ ไมขึ้นอยูกับส่ิงอื่น จะ
เปล่ียนแปลงมิได ซ่ึงถาหากเปนเชนน้ัน ก็เปนการขัดตอกฎปจจยาการของพระพุทธศาสนา เพราะตามกฎแหง
ปจจัย สิ่งท้ังปวงยอมอาศัยเหตุ ปจจัยจึงมีขึ้น ไมไดมีส่ิงหน่ึงส่ิงใดเปนอยูโดยโดดเดี่ยว เชนนี้ยอมจัดเปน*สัส
สตทฏิ ฐิไป อน่ึงถามคี วามเห็นวา ทงั้ ปวงขาดสญู ปฏเิ สธตอ บาปบุญคุณโทษเลา กเ็ ปน *อุจเฉททฏิ ฐิ
หลักธรรมฝายศูนยตวาทิน จึงไมเปนทั้งฝายสัสสตทิฏฐิ ก็เพราะแสดงถึงแกนความจริงวา สรวม ศูนยม
ดว ยความเปนที่ไรภาวะทโี่ ดดเด่ียวโดยตัวของมันเอง และไมเปน ทงั้ อจุ เฉททิฏฐิหรือนตั ถิกทิฏฐิ กเ็ พราะแสดงวา
สิง่ ท้ังปวงอาศัยเหตเุ ปน ปจ จัยดจุ มายา มอี ยูดว ยสมมติบญั ญัติ ดวยประการดงั นี้ อาจารยน าคารชนุ กลาววา การ
หลุดรอดจากบาปทั้งปวง ตองทําลายความตดิ อยใู นภาวะหรือสัสสต ความเปนอยู ซ่ึงจัดวาเปนสัสสตทิฏฐิ และ
ทําลายความติดในอภาวะหรืออสัสสต ความไมเปนอยู ซ่ึงเปนนัตถิกทิฏฐิเสียน่ันแหละ จึงบรรลุถึง
มชั ฌิมาปฏปิ ทา
เพือ่ สนับสนนุ ทฤษฎีน้ี อาจารยนาคารชุนยกพระพุทธภาษติ ทีต่ รัสแกพ ระกัจจายนะขน้ึ อา งวา “ดกู อนกจั
จายนะ ขอท่ีวาสิ่งทั้งปวงมีอยู เปนสวนสุดขางหนึ่ง ขอที่วาส่ิงทั้งปวงไมมีอยู ก็เปนสวนสุดอีกขางหนึ่ง ตถาคต
ยอมแสดงธรรมโดยทา มกลาง ไมเ กีย่ วของสว นสดุ ท้ังสองน้นั ”
เพราะฉะนั้น ศูนยตวาทินจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งวา มาธยามิกะ ซึ่งตอไปจะเรียกชื่อนี้แทนชื่อเดิม ตออสังข
ธรรม ฝายมาธยามิกะมที ัศนะวา อสงั ขธรรมน้ันยอ มไมม ีความเกดิ ปรากฏขนึ้ อนั ใดความเกดิ ไมม ี อนั นั้นจะมอี ยู
อยางไร อุปมาดังดอกฟาและเขากระตาย หรือนางหินมีครรภ ซ่ึงเปนส่ิงที่ไมเคยมีในโลก และไมเคยมีปรากฏ
ดวยอันดอกฟา น้ันใครบางเคยเห็น กระตายเกดิ มีเขางอก หรือรูปปน สตรีเกดิ มีครรภข้ึนไดนั้น ลวนเปนมายา
48
อนึ่ง ถาพระนิรวาณมีอยูไซร พระนิรวาณจักชื่อวามีการเกิดขนึ้ สิ่งใดมีการเกิดข้ึนส่ิงนั้นยอมไมเที่ยง เปน
การขัดกัน และหากสิ่งใดมีอยูโดยลําพังตัวเอง จะปราศจากการิยรูปหรือคุณภาพมิได สิ่งใดมีการิยรูปหรือ
คุณภาพยอมบงใหเห็นวา สิ่งนั้นมีการปรุงแตงอยู ดังนั้นจึงสรุปวานิรวาณก็เปนประดุจมายา เพราะไมมีการ
เกดิ ขึ้นเหมอื นดอกฟา เขากระตา ย หรอื นางหนิ มคี รรภ
อนึ่ง ถาพิจารณาใหลึกซ้ึงความเกิดความดับท่ีแท ก็ไมเปนอื่นไปนอกจากความไมเกิด-ไมดับนั้นเอง พระ
นิรวาณมิใชจ กั เปน ภาวะใดภาวะหน่ึง นอกจากปรากฏการณท ง้ั หลาย
*สงั ขตธรรม (ธรรมะของขนั ธ 5 หรอื โลกยี ะธรรม หรือสงั ขารธรรม ซ่ึงไมเทีย่ ง เปน ทุกข เปน อนัตตา)
*อสงั ขตธรรม (ความส้ินราคะ ความสนิ้ โทสะ ความสิ้นโมหะ)
*ความหมายของอุจเฉททิฏฐิ ประกอบมาจากคําสองคําคือ อุจเฉทะ (ขาดสูญ, ขาดส้ิน, ตัวขาด) และทิฏฐิ
(ความเห็น, การเห็น, ลัทธิ, ทฤษฎี, ทัศนะ) อุจเฉททิฏฐิ หมายความวา ทัศนะท่ีเชื่อวา อัตตาและโลกขาดสูญ
ในความเห็นวา ขาดสูญ หมายความวา เห็นวาหลังจากตาย อัตตาและโลกจะพินาศสูญหมด กลาวคือ หลังจาก
ตายแลว อัตตาทกุ ประเภท ไมมีการเกิดอกี
*อีกนัยหนึ่ง อุจเฉททิฏฐิ หมายถึง การปฏิเสธความไมมีแหงผลของการกระทําทุกอยาง คือ ไมยอมรับวามีผล
ยอนกลับมาถึงตัวผูทํา ทุกอยางจบสิ้นเพียงแคเชิงตะกอน หลังจากตายแลว อัตตาและโลกไมเกิดอีก เปน
มิจฉาทฏิ ฐิ (ความเห็นผิด)
*สัสสตทิฏฐิ-ความเห็นวาเที่ยง คือความเห็นวา อัตตาและโลกเปนส่ิงเท่ียงแทย่ังยืน คงอยูตลอดไป เชน เห็นวา
คนและสัตวตายไปแลว รางกายเทานั้นทรุดโทรมไป สวนดวงชีพหรือเจตภตู หรือมนัสเปนธรรมชาติไมสูญ ยอม
ถอื ปฏสิ นธิในกาํ เนดิ อ่ืนสืบไป เปนมจิ ฉาทฏิ ฐอิ ยา งหนง่ึ ; ตรงขามกับ อุจเฉททฏิ ฐิ
*นัตถิกทิฏฐิ แปลวา ความเห็นวาไมมี หมายความวา ความเห็นที่ยอมรับแตความไมมี ปฏิเสธความมีอยูทุก
อยาง หรือความเห็นวาสิ่งท่ีทําแลวไมมีผลยอนกลับตอผูกระทําความดี เปนความเห็นที่ปฏิเสธผลของการ
กระทําเปนตน ดงั พุทธพจนท ่วี า
“สมณพราหมณพวกหน่ึง มีวาทะอยา งน้ี มีความเห็นอยางน้ีวา ทานทีใ่ หแลว ไมม ีผล การบวงสรวงไมมีผล
การบูชาไมมีผล ผลวิบากแหงกรรมที่สัตวทําดีทําชั่วไมมี โลกนี้ไมมี โลกหนาไมมี คุณของมารดาไมมี คุณของ
บิดาไมมี โอปปาติกสัตวไมมี สมณพราหมณท่ีปฏิบัติชอบ ทําโลกน้ีและโลกหนาใหแจงชดั ดวยปญญาอันย่ิงเอง
แลว ประกาศใหร ูท วั่ ไมมใี นโลก”
หลักปจจยาการท่ีแทก็คือความไมเกิดไมดับ และเปนท้ังมัชฌิมาปฏิปทาดวย ถาเราพิจารณาดวยสาย
สมทุ ัยคือ อวชิ ชาเปนปจ จัยใหเกดิ สงั ขารๆ เปน ปจ จัยใหเกดิ วญิ ญาณ ฯลฯ เชน นั้นโดยลําดบั โลกสมุทัยกเ็ กิดขนึ้
ถาพจิ ารณาสายดับคอื เพราะอวชิ ชาดับสังขารจงึ ดับ เพราะสงั ขารดบั วิญญาณจึงดับฯลฯ เชนนโี้ ดยลาํ ดับไซร ก็
เปนโลกนิโรธะ (คอื พระนริ วาณ) ฝา ยมัธยามกิ ะยกพระพทุ ธภาษิตขน้ึ อา งอีกวา
“เมื่อสิ่งอันนี้มีอยู สิ่งอันน้ันก็จักเกิดข้ึน เพราะเกิดข้ึนแหงส่ิงอันนี้ เม่ือส่ิงอันนั้นไมมีอยู ส่ิงอันน้ียอมไมมี
ส่งิ อนั น้จี ะดับได ก็เพราะดับแหง สง่ิ อนั น้นั ”
49
ในปจ จยการนัน่ เอง เมือ่ กลาวโดยสายเกดิ กเ็ ปนโลกสมุทยั เมอ่ื กลา วโดยสายดับกเ็ ปนโลกนโิ รธะ หรือพระ
นิรวาณ เพราะฉะน้นั ใชวา จะมีพระนิรวาณตา งหาก นอกเหนือปรากฏการแหงปจจยการน้ีไม เพราะเห็นแจงใน
โลกสมุทัย นัตถิกทฏิ ฐิจงึ ไมเกดิ ขน้ึ และเพราะแจงในโลกนโิ รธะ สสั สตทฏิ ฐิจึงไมอุบัติ
อรรถกถาของทานนิลเนตร ไดใหขออปุ มาโดยงายๆวา “เหมือนกับเมล็ดพืชเมลด็ แรกนั้น เกิดข้ึนในสมยั ใด
แมเราจะสบื สวนไปจนถึงเบื้องปฐมกลั ป เรากห็ าไมพ บวา เมล็ดพืชเมลด็ แรกเกิดข้ึนอยา งไร และมอี ะไรเปนปฐม
เหตุ เราไมอาจหาไปจนพบ ถามีปฐมเหตุอะไรเปนปฐมเหตุใหเกิดปฐมเหตุน้ันอีกเลา สืบสวนไปไมมีที่ส้ินสุด
ความเกิดแหงเมล็ดน้ี จึงไมป รากฏ (ทป่ี รากฏวาเมลด็ พืชนั้นเปน มายา)
เมอื่ เมล็ดความเกดิ ไมป รากฏ จะกลา ววาเมล็ดพืชน้นั ดับไมมีเลยหรอื ก็หามไิ ด เพราะเมลด็ พชื ที่เราเห็นอยู
น้ันมี (อยางมายา) สืบเนื่องกันมาเร่ือยจนถึงปจจุบัน และจากปจจุบันจะสืบเน่ืองไปจนถึงอนาคต ถากระน้ัน
เมล็ดพืชก็มีภาวะเที่ยงนะซิ เปลาเลย เพราะถามีภาวะเท่ียงแลว ไซร เมล็ดพืชจะงอกงามเปนตนก่ิงกานใบสาขา
ไมไ ด ถาไมเทีย่ งเมลด็ พืชน้ันชื่อวาขาดสูญดวยหรือไม ไมขาดสูญหรอก เพราะกิง่ กา นใบสาขาใบดอกของพืชน้ัน
ยอ มสบื สันตติเนือ่ งมาจากเมลด็
ดังน้ันไซร ควรกลาววาเปนหนึ่งก็ไมควร เพราะหากเปนหน่ึงแลว ก่ิงใบดอกผลจะมีไมได จะตองเปนตัว
เมล็ดพืชนั้นเอง ถามิใชหนึ่งก็สมควรวาตางแตกแยกจากเมล็ดพืชเด็ดขาดหรือ มิไดเลย หากตางแตกแยกจาก
เมล็ดพืชแลว กิ่งกานสาขาใบดอกก็ออกจากเม็ดพืช เหมือนงูเลื้อยออกจากโพรงอยางนั้นซิ เปลาอีกเหมือนกัน
เพราะเราตอยเมลด็ พืชนนั้ ออก เรากห็ าไมพบกิ่งกานสาขาใบดอกในเมลด็ น้นั ฉะนน้ั เราจึงลงบญั ญตั ิไดวา เมล็ด
พืชนน้ั เปนเพียงมายา”
สาํ หรับทฤษฎเี ร่ืองพุทธภาวะ มีอยูในสรรพสตั วน้นั อาจารยนาคารชุนไมร บั รองทฤษฎนี ้ี ถือวา ถาอยา งน้ัน
ก็จัดวา เปนพวกวาทะผลอยูในเหตุ ฝายมัธยามิกะยอมถือวา สัตวท้ังหลายมีความสามารถท่ีจะบรรลุความเปน
พุทธได เพราะสัตวทั้งปวงไมมีภาวะอันคงท่ีด้ังเดิม ทํากรรมใดยอมไดรับผลกรรมน้ัน เม่ือลงทุนสรางทศบารมี
จนสมบูรณ ก็จกั บรรลเุ ปนสัมพุทธะได ไมใชว ามีพทุ ธภาวะ ทบี่ รสิ ทุ ธทิ์ ี่เปนอมตะอยูกอ น เปน อนมตคั คะ แตถ กู
หุมอยา งฝา ยภูตตถาวาท ทัง้ นี้เนือ่ งดวยการถือวา มีพุทธภาวะทีแ่ นน อนอยูกอนแลวนนั้ ช่อื วา เปน การถอื “สง่ิ ที่
มีอยดู ว ยตัวของมันเอง” นนั่ เอง
อนึ่ง เมอ่ื ธรรมทั้งปวงเกิดจากเหตุปจ จัย จึงปราศจากแกนสารตัวตน เมือ่ ปราศจากตวั ตน อะไรเลาเปน ตัว
ทองเที่ยวในวัฏฏสังสาร อะไรเลาเปนตัวดับกิเลส บรรลุพระนิรวาณ เราจะเห็นวาวางเปลาท้ังสิ้น ไมมีสภาวะ
เกิดหรือดับไป เพราะฉะนั้นผูบรรลุนิรวาณไมมีแลว พระนิรวาณอันผูนั้นจะบรรลุจึงพลอยไมมีไปดวย ทาน
นาคารชุนอรรถาธิบายตอไปอีกวา พระพุทธเจาตรัสเทศนาหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รวมลงไดที่ศูนยตาน้เี อง
และดังน้ันในปรัชญาปารมิตาสูตร จึงกลาววา “รูป ศูนยตา ศูนยตาตท รูป” รูปคือความสูญ ความสูญคือรูป
นั้นคือสังขตะ อสังขตะแทก็เปนเพียงสมมติบัญญัติ ความจริงยอมเปนสูญ บัณฑิตที่สอดสองดวยปญญาเทานั้น
จึงจักตรสั รถู ึง เพราะอสังขตะยอมเปนธรรมคกู บั สังขตะ ปราศจากสิ่งท่มี ีอยูดว ยตวั ของมนั เองเหมอื นกนั
เมอื่ แสดงปรัชญามาถึงตอนนี้ พวกอสั ตวิ าทินกแ็ ยง ขึ้นมาวา เมอื่ สังขตะอสงั ขตะ ลวนเปน สูญไปแลว การ
บําเพ็ญมรรคผลตางๆ มิไรสาระไปดวยหรือ ความเปนอยางนี้ มิเปนอุจเฉทวาทหรือ ทานนาคารชุนก็โตกลับไป
50
วา เพราะส่ิงท้ังปวงเปน ของสูญ ปราศจากส่ิงที่เปนอยูดว ยตวั ของมันเองนะซิ ปุถุชนจึงบําเพ็ญมรรคภาวนาเปน
อริยบุคคลได คนทําชั่วจึงลงนรกได คนทําดีจึงไปสวรรคได ถาหากมีส่ิงท่ีเปนอยูดวยตัวของมันเองแลว มันจะ
เกิดแปรเปล่ียนภาวะจากปุถุชนเปนอริยเจาไดอยางไรหนอ เพราะสิ่งที่เปนอยูดวยตัวของมันเอง ยอมหมายถึง
ส่ิงน้ันตองไมอิงอาศัยสิ่งอ่ืนเลยสําเร็จในตัวของมันเอง ดํารงอยูดวยตัวของมันเองเชนนี้ ยอมเปนการหักลางกฏ
อนจิ จัง ทกุ ขัง อนตั ตา ของพระพทุ ธองค และทฏิ ฐอิ ยางนม้ี ิเปน สัตตวาทหรือ ฝายมัธยามิกะอปุ มาอยางโลกๆวา
เหมือนกับอาศัยท่ีวาง เราปราถนาจะสรางอะไรๆ จึงจักสรางขึ้นได ณ เน้ือที่วางเปลาตรงนั้น ไมวาจะมากหรือ
นอย อุปไมยดังอาศัยศูนยตา เหตุปจจัยทั้งหลายจึงจักแสดงบัญญัติขึ้นมาได ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมทั้งหลายไม
อุบัติขึ้นเอง ไมอุบัติจากสิ่งอื่น ทั้งไมอุบัติขึ้นเองดวย ไมอุบัติจากส่ิงอื่นรวมอยูดวยกัน และไมใชปราศจากเหตุ
เพราะฉะน้ันจงึ รวู า ไมม ีการอุบัติขึน้ ลย
เสถียร โพธนิ นั ทะ ปรชั ญามหายาน
“สงั ขตธรรมท้งั ปวง มอี ุปมาดงั่ ความฝน ด่งั ภาพมายา ดั่งฟองนา้ํ ด่ังเงา ดงั่ นาํ้ คาง และดั่งสายฟาแลบ พงึ
เพง พจิ ารณาโดยอาการเชนนแี้ ล”
วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ทานนาคารชุนะ
จากสว นหนงึ่ ในหนงั สอื พระนาคารชนุ ะกับคาํ สอนวาดว ยทางสายกลาง
เขียนโดย คุณสมุ าลี มหณรงคชัย อา นเพม่ิ เติมจากหนังสอื พระนาคารชนุ ะกับคาํ สอนวาดว ยทางสายกลาง
ภายใตกรอบของอภิธรรม ความเห็นวาส่ิงทั้งหลายเพียงเกิดดับตอเนื่องกนั ไปโดยไมขาดสาย เปนคําสอน
ท่ีเกิดขึ้นเพื่ออธิบายกฎไตรลักษณ มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิด เพ่ือสรางเหตุผลที่ดีที่สุดในการอธิบาย
ความมอี ยแู บบชว่ั ขณะจติ สาํ นักพุทธใหญๆท่ไี ดรับการยอมรับ มีคําอธบิ ายทต่ี างกนั ไปในเร่ืองนี้ และนน่ั นําไปสู
ความขัดแยง ในสงั คมสงฆ กอนหนา ที่ทา นนาคารชุนะจะถอื กําเนิด
มาธยมิกะคือกลุมของชาวพุทธท่ียอมรับคําสอน วาดวยเรื่องของความวาง ทางสายกลาง และการอิง
อาศัยกันและกันในการมีอยูของสรรพสิ่ง โดยบุคคลที่วางรากฐานคําสอนคือ ทานนาคารชุนะ ที่เปนที่รูจักกัน
อยางกวา งขวาง สํานกั พทุ ธมหายานทุกแหง ทัง้ ทีอ่ นิ เดยี จีน ญ่ีปุน และทเิ บต ตา งไดรับอทิ ธิพลคําสอนของทาน
สํานักพุทธในยุคหลังโดยมากจะพัฒนาหลักคําสอนเชิงปรัชญา โดยเช่ือมโยงกับหลักศูนยตา (สุญญตา) ของ
สํานักนี้ ทานนาคารชุนนะจึงไดรับการยกยอง ใหอยูในฐานเปนพระพุทธเจาองคที่สอง การศึกษาเรื่องของทาน
จงึ มคี วามสําคัญ หากตองการรจู ักพุทธศาสนาใหกวา งกวาทค่ี นุ เคย
เหตุที่ดลใจใหปฐมาจารยของสํานักคือ ทานนาคารชุนะ เขียนงานอธิบายคําสอนวาดวยหลักการสาย
กลาง เพราะเกิดจากท้ังปจจัยภายนอก อันไดแกแนวคิดของฮินดูโบราณ เชน เร่ืองสางขยะ เรื่อยไปถึงการ
อิทธิพลของพระสูตรชิ้นสําคัญ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ท่ีไดรับการอางวา คนพบโดยทานนาคารชุนะ ไปถึง
ปจจัยภายใน อันไดแกความขัดแยงในการตีความหลักธรรมของพระพุทธเจา ที่มีการใหความสําคัญกับตัว
พระพุทธเจาแทนที่พระธรรมและคําส่ังสอน ซ่ึงเบี่ยงเบนออกจากพระพุทธประสงค เหลานี้...จึงนําใหไปสูการ
แสวงหาทางสายกลางในศาสนาพุทธ
51
นาสังเกตวาปจจัยภายใน คือแรงผลักดันแทจริงที่มีผลทําใหเกิดสํานักมาธยมิกะ ปจจัยภายนอกน้ันเปน
เพียงแรงเสริม มาธยมิกะหรือเรียกอีกอยางวา ศูนยตาวาท หมายถึงคําสอนท่ีประกาศความวางในสิ่งท้ังหลาย
หรือแปลวาผูนับถือคําสอนเร่ืองทางสายกลาง เน้ือหาคําสอนในเร่ืองทางสายกลางจะเรียกวา “มัธยมกะ”
(ความเปนมาของสํานักน้ี สามารถสืบยอนไปในสมัยพระเจาอโศกมหาราช หลังพุทธปรินิพพานประมาณสอง
รอ ยกวา ป ซงึ่ มกี ารสังคายนาพทุ ธศาสนาครง้ั ทสี่ าม)
นักปราชญหลายคนเช่ือวา มัธยมกะเกิดข้ึนจากการท่ีพยายามจะอธิบายทาทีของพระพุทธองค เมื่อไม
ทรงตอบคําถามบางอยาง ซึ่งเรียกวา “ปญหาอัพยากฤติ” ทั้งนี้ไมใชทรงตอบไมได แตเปนเพราะไมวาจะตอบ
อยางไร ก็คงไมอาจพนไปจากการทําใหคนฟงเขาใจผิด ยิ่งถาผูฟงยอมรับสมมติฐานบางอยางลวงหนาอยูในใจ
แลว จะทําใหเขา ใจคําตอบไปตามจรติ ตน
ความเห็นท่ีเปนปญหาอัพยากฤติ* ในทางเถรวาทมีอยู 10 ขอ ไดแก 1.โลกเท่ียง 2.โลกไมเท่ียง 3.โลกมี
ท่ีสุดหรือมีขอจํากัด 4.โลกไมมีท่ีสุดหรือไมมีขอจํากัด 5.ชีวะเหมือนกับสรีระ 6.ชีวะตางกับสรีระ 7.ตถาคตตาย
แลวเกิด 8.ตถาคตตายแลวไมเกิด 9. ตถาคตตายแลวท้ังเกิดและไมเกิด 10.ตถาคตตายแลวเกิดก็ไมใช ไมเกิดก็
ไมใ ช ในทางมหายานแบง ออกเปน 14 ขอ จัดได 4 กลมุ
กลมุ แรก 1.โลกเท่ยี ง 2.โลกไมเ ท่ยี ง 3.โลกทัง้ เที่ยงและไมเ ทีย่ ง 4.โลกไมใชท ง้ั เที่ยงและไมเ ที่ยง
กลุม สอง 5.โลกมีทสี่ ุด 6.โลกไมมีทส่ี ุด 7.โลกทั้งมีทสี่ ดุ และไมมที ่สี ุด 8.โลกมีท่สี ดุ กไ็ มใช ไมมที ่สี ดุ กไ็ มใช
กลุมสาม 9.วิญญาณเหมือนกับรางกาย 10.วิญญาณตางจากรางกาย กลุมสี่ 11.ตถาคตมีอยูหลัง
ปรินิพพาน 12.ตถาคตไมมีอยูหลังปรินิพพาน 13.ตถาคตท้ังมีอยูและไมมีอยูภายหลังปรินิพพาน 14.ตถาคต
ภายหลงั ปรินิพพานมอี ยูก ไ็ มใช ไมมอี ยกู ไ็ มใช
อาการนิ่งของพระพุทธเจา กอใหเกิดความเขาใจผิดมากมายในสายตาคนนอก ถูกวิพากษวิจารณวา ไมรู
จรงิ หรือรูแ ตไ มสามารถอธิบาย เหตุผลของการไมชี้แจงน้ี เปนเร่อื งทีพ่ ุทธฝายเดิมไมสนใจ แตสงฆบ างกลุมเห็น
วา ประเด็นนี้มองขามไมได เพราะเช่ือในความเปนผูรูทุกอยางของพระพุทธองค กลุมเหลานี้จึงเปนพวกแรกท่ี
ทําใหพระพุทธเจามีสถานะเหนือมนษุ ยธรรมดา ความสามารถของพระองคทานเปนสิ่งที่ชาวบานไมอาจหยง่ั ถงึ
นานวันพวกเขาก็ย่ิงทําใหพระพุทธเจากับพระธรรมคําส่ังสอนเปนภาวะเหนือโลก แยกความจริงทางโลกทาง
ธรรมออกจากกนั เด็ดขาด
ประเด็นก็คือ หากโลกิยวิถีแยกขาดจากโลกุตรวิถี แลวคนจะหลุดพนไดอยางไร ทานนาคารชุนะมี
คุณูปการตอพระพุทธศาสนา ในฐานะที่เปนผูชี้ใหเห็นขอบกพรองของความเชื่อเชนนี้ วิภาษวิธีของทานคือ
ตัวอยางอันดีเยี่ยม ท่ีใชทําลายมิจฉาทิฐิในใจคน ในแงหนึ่งชวยอธิบายอาการน่ิงของพระพุทธองค โดยใหเห็น
อาการนิ่งเชื่อมโยงกับคําสอนวาดวยเรื่องทางสายกลาง และเพราะเหตุน้ีทําใหบางทานสรุปวา นาคารชุนะเปน
บคุ คลที่กอใหเกิดการปฏวิ ัติในระดบั ลึก (profound revolution) จากอาการนง่ิ ของพระพทุ ธองค ทานสามารถ
อธิบายไปสูการวพิ ากษท ศั นะทง้ั หลายไปอยางกวางขวาง
พระนาคารชุนะ (นาคารชุน) เปนที่รูจักและกลาวถึงเรื่อยมาตั้งแตอดีต ประวัติศาสตรของพุทธมหายาน
มักปรากฏช่ือของทานในฐานะครูผูยิ่งใหญคนหนึ่งเสมอ ทานไดรับการยกยองอยางมาก แตในขณะท่ีไดรับการ
52
สรรเสรญิ ผคู นอีกจํานวนไมนอ ยกว็ พิ ากษต วั ทา นและงานของทาน นบั วา นาคารชนุ ะคือปราชญชาวพทุ ธที่ไดรับ
ความสนใจในระดับตนๆ เสมอมา
เปนเรื่องยากมากท่ีจะถายทอดคําสอนของทานนาคารชุนะ เหตุเพราะความคิดของทานเปนนามธรรม
เขาใจยาก ถาอธิบายไมดีคําสอนของทานจะถูกโตแ ยง วาเปน ทฐิ อิ ันหนึ่งทันที
*อัพยากฤต-“ซึ่งทานไมพยากรณ”, บอกไมไดวาเปนกุศลหรืออกศุ ล คือ เปนกลางๆ ไมดีไมชั่ว ไมใชกุศล ไมใช
อกุศล
ปรัชญาปารมิตาเปนคัมภีรเกาแกของชาวพุทธที่ไมปรากฏผูแตง ตํานานฝายมหายานเชื่อวา นาคารชุนะ
ไดรับพระสูตรน้ีมาจากดินแดนของนาค เปนบทรวบรวมคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา เปนคําสอนลึกซ้ึงที่
จะไดรับการคนพบ โดยบุคคลท่ีมีปญญา เม่ือถึงเวลาอันเหมาะสม ไมวาขอเท็จจริงจะเปนอยางไร พระสูตร
ความยาวหนึ่งแสนโศลกน้ี ก็ไดเ ชือ่ วาเปนสอ่ื แหงปญ ญาของชาวพุทธโดยแท เนื่องจากพระสูตรเผยใหเห็นความ
ไรแกนสารของสรรพสิ่ง ไมมอี ะไรทใ่ี ครจะยึดถอื ได จงึ เขา กบั กฎไตรลักษณ
ปรัชญาปารมิตาจึงช่ือวา เปนคําสอนที่ประกาศความวางในธรรม (ธรรมศูนยตา) ลึกซ้ึงกวาคําสอนพุทธ
ท่ัวไป ท่ีประกาศความวางในบุคคลเทานั้น (ปุคคลศูนยตา) สวนของปรัชญาปารมิตาสูตรที่ชาวพุทธนิยมอาน
และไดรับการแปลเปนภาษาไทยแลวหลายสํานวนคือ วัชรเฉทิก (วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร) กับ ปรัชญาปารมิ
ตาหฤทัย (มหาปรัชญาปารมิตาหน่ึงแสนโศลก ในสวนวัชรเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตร 600 ผูก หรือวัชรปรัชญา
ปารมติ า นับเปน หัวใจของมหายานและเกีย่ วเน่อื งกับโพธิสัตวด วย)
เนื้อหาสําคัญคือ ผูฝกฝนเปนโพธิสัตว จะตองหม่ันพิจารณาความจริงที่วา แมวาโลกน้ีจะมีสัตวอุบัติขึ้น
มากมาย มีทั้งที่ประกอบดวยสัญญาหรือไมก็ตาม มีการรับรูหรือไมมี กําเนิดแบบไหนก็ตาม หนาท่ีของโพธสิ ตั ว
คือชวยสัตวเหลาน้ัน ใหหลุดพนโดยไมละเวนใคร และแมจะชวยสัตวใหหลุดพนอยูตลอดเวลา แตความจริงหา
ไดมสี ตั วใ ดท่ีโพธสิ ตั วช วยใหหลดุ พน ไมม ผี ูชวยใหหลดุ พน ไมม ีกระทั่งการหลดุ พน โพธสิ ตั วจ ะตองมองทกุ อยาง
โดยวางไปหมด ไมเชน นัน้ แลว จะเทากบั กาํ ลงั สรา งทวิภาวะระหวา งตนกับผูอ นื่ หรอื จิตกบั ธรรม งายๆคอื หากมี
ความคิดปรุงแตงตัวเรา-เขาอยูในการฝกฝน อาทิ มีตัวเราคอยชวย มีผูอื่นถูกชวย การคิดแบบนี้ถือวาเปนการ
แบงแยกในระดับละเอียด แมไมเก่ียวกับเรื่องดีช่ัว แตทวิภาวะก็เกิดขึ้นจากการหลอเล้ียงอัตตา ตัวตน บุคคล
และส่ิงของ.
สุญญตาธรรม (ฉบับยอ)
พุทธทาสภกิ ขุ บรรยายเม่ือ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๔
สิ่งที่เรียกวา “สญุ ญตา” คือเร่อื งทัง้ หมดของพุทธศาสนา
คําวา “สุญญตา” แปลวา “ความวาง” ตามรูปภาษาบาลี แปลตามตัววา “สูญ” ไดนําเร่อื งนีม้ าแสดงเมือ่
๑๕ ปม าแลว ทาํ ใหเกิดปฏิกิรยิ าในทางตอ ตานวามใิ ชพุทธศาสนา หรือเปน พุทธศาสนาฝายมหายาน มิใชของ
ฝา ยเถรวาท ผทู ีไ่ ดฟงแลว แทนทีจ่ ะสนใจ กลบั เกิดความกลวั ข้ึน เพราะเขาใจตามคาํ ที่แปลไววา “สูญเปลา”
เปน การแปลดว ยความไมร ู เพราะใน “ความวาง” นั้นมี “ความเตม็ ” มิใชความสญู เปลา คือเตม็ ไปดวย
ความหมายท้งั หมดของพุทธศาสนา.*(๑)
53
สญุ ญตาเปนตัวแทแ ละเปน หัวใจของพุทธศาสนา
ความรูโดยทวั่ ไปของชาวพุทธ เห็นวา พุทธศาสนามี ๒ ระดบั คอื เปลือกกบั แกน หรือ โลกิยะกบั โลกตุ ตระ
สําหรบั เรอ่ื ง “สุญญตา” มีแตแกน ไมม ีเปลอื ก ไมม กี ระพ้ี จงึ ตัง้ อยใู นฐานะเปน “หวั ใจ” ของพุทธศาสนา โดย
เหตทุ ี่มีเทา นน้ั เอง สญุ ญตาจึงกลายเปน ตวั แททั้งหมดของพุทธศาสนาไปดวย.*(๒)
เปรียบดว ยเพชรเม็ดหน่ึง มนั ก็เปน ทัง้ หมดของตวั มนั เอง และเปนทั้งหวั ใจของมันดวย มนั มีเพียงเทานั้น
และจะตอ งเปนสง่ิ ที่บรสิ ทุ ธ์ิ ไมมอี ะไรเจอื ปน เปนสิ่งทีม่ ีคา สงู สุด.*(๓)
ขอใหพิจารณาเพื่อทําความเขา ใจใหไ ดว า เรอ่ื ง “สุญญตา” เปนทั้งหัวใจและตัวแทท ง้ั หมดของพุทธ
ศาสนา เรียนรเู รอื่ งเดยี วน้ี จะทําใหเขา ใจหลกั พุทธศาสนาไดทง้ั หมด.*(๔)
รูเร่อื งสญุ ญตาทําใหป ระหยดั เวลาในการดับทกุ ข
การพดู เรอื่ ง “สญุ ญตา” เพือ่ ประหยดั เวลาของการศึกษาและปฏิบตั ิ “เพอ่ื การดับทุกข” รูเรือ่ งนี้เรอ่ื ง
เดียว ทําใหรูทกุ เรอ่ื งทั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ “รหู น่งึ รูห มด” นบั เปนการยน เวลาอยา งดยี ิง่ .*(๕)
พุทธบรษิ ัทไทยยงั ไมสมบูรณ ยงั ไมถูกตอง หรอื ลาหลังงมงาย ท่ไี มร ูหรือไมสนใจเร่ือง “สญุ ญตา” ดังเชน
เมือ่ ประกาศเรอ่ื งนอ้ี อกไปในตอนแรกๆ ทาํ ใหม ีเสียงคัดคานวา เปน “มิจฉาทฏิ ฐ”ิ มาบัดนี้ เรมิ่ มีการสนใจกัน
มากขน้ึ ตอ งใชเ วลาถงึ ๑๕-๒๐ ป จึงจะทาํ ใหมกี ารยอมรบั เรือ่ ง “สญุ ญตา”.*(๖)
ขอยนื ยนั วา ถารูเร่ือง “สุญญตา” จะทําใหการปฏบิ ัตเิ พอ่ื การดับทุกขไดโดยตรง เปนผลจริงและโดยงา ย
เปน การยนเวลาในการศึกษาและปฏิบัติ เพอ่ื การดับทุกขอยา งแทจรงิ .*(๗)
สุญญตาเปน เพชรของพุทธธรรม ส่ิงท่เี รียกวา “สุญญตา” เปนเพชรของธรรมะในพทุ ธศาสนา พุทธบรษิ ัท
ทกุ คนจะตอ งถอื เอาเพชรเม็ดนใ้ี หไดใ นทีส่ ุด มฉิ ะนั้นแลวจะเปน หมนั เปลา.*(๘)
การคนหาเพชรเปนเรื่องยาก ดังความเหน็ ของลัทธิมหายานแสดงไววา “คนเหลาน้ีหาเพชรไมพ บ
เพราะวา มันซอ นอยูที่หนาผากของเขาเอง” ขอใหสงั เกตดูทีห่ นาผากพระพุทธรูป มจี ุดอะไรอยจู ุดหนง่ึ เรียก
“อุณาโลม” หรอื บางพวกเรยี ก “ตาท่ีสาม” คือ ตาปญญา เปน ตาสําหรบั ดูธรรมะ จดั เปนสญั ลกั ษณข อง
ธรรมจักษุ ซง่ึ สามารถเหน็ ไดล ะเอียดลึกซึ้งกวา “มงั สจกั ษุ” หรือตาเนื้อ.*(๙)
ความหมายของเพชรทซี่ อนอยทู ห่ี นา ผาก เปน การแสดงถงึ ความยากในการทจ่ี ะมองเหน็ เพราะเรอื่ ง
สญุ ญตาเปน ส่งิ เขา ใจยาก มองเห็นยาก และเขา ถึงไดย าก แตก ไ็ มสดุ วิสยั สําหรับผมู ีปญ ญา เปรียบการนําเพชร
จากหนิ มาถลุงและเจียระไน ยอมไมเปน การยากสําหรับผูมคี วามรู อวชิ ชานั่นเองท่ีเปน เสนผมบังภูเขา คือมิให
มองเห็นสุญญตา.*(๑๐)
ความยากในการมองเห็นสุญญตา มีลกั ษณะเหมือนเสน ผมบงั ภูเขา ความจริงธรรมชาตริ อบตวั เรา กําลัง
แสดงธรรมเรื่อง “สุญญตา” อยูตลอดเวลา แตเ รามองไมเ ห็น เพราะคนสว นมากชอบมองสิง่ นอกตัว หรอื ไกลตวั
เพราะเหน็ งาย สว นการมองหาสญุ ญตาตอ งมองยอ นเขาดูในตัวเอง คําที่วา “ซอ นอยูท ี่หนา ผาก” หมายถึง การ
แนะนําใหม องยอนดตู ัวเองในภายใน แลวจะพบ “สุญญตา” ท่ีตวั เอง.*(๑๑)
54
เม่อื มองเห็นสญุ ญตาท่ีตวั เอง ก็จะทําใหม องเหน็ ความเปน สญุ ญตาของสิ่งทัง้ ปวงดวย เพราะทกุ สงิ่ มีสภาพ
อยางเดียวกัน ตรงกับคาํ ท่ีกลาววา “รหู นึง่ รหู มด” นั่นคือ สญุ ญตาเปน ทั้งหัวใจและเปนทง้ั หมดของพุทธ
ศาสนา.*(๑๒)
พระพทุ ธเจาตรัสแตเ รือ่ งสุญญตา
ความหมายของธรรมะในพระไตรปฎ ก เมอ่ื พจิ ารณาดแู ลวจะเห็นวา แสดงถึงลักษณะของ “สุญญตา” ใน
รปู แบบตางๆ กนั โดยเหตุนี้ จงึ กลา วไดว า พระพทุ ธเจาไมต รสั เรอ่ื งอื่น นอกจากเร่อื ง “สญุ ญตา” โดยเฉพาะใน
พระไตรปฎก ตอนสังยุตตนกิ าย ทรงแสดงถึงเรื่อง “สุญญตา” โดยตรงไวม ากท่ีสดุ .*(๑๓)
มพี ระพุทธภาษิตอยบู ทหนึ่งไมวาอยูตรงไหนของพระไตรปฎก ยอมตรัสขึน้ ตนดว ยประโยคน้ีท้งั น้นั – “เย
เต สุตฺตนฺตา ตถาคตภาสิตา คมฺภรี า คมฺภีรตฺถา โลกุตฺตรา สุ ฺ ฺตปปฺ ฏิสํยตุ ฺตา” มีคาํ อยู ๖ คาํ ยกเวน “เย เต”
ซ่ึงเปน คณุ ศพั ท แปลวา “เหลาใด” (ดูคําแปลในขอ ๑๖) สุตตฺ นฺตา – ระเบียบแหง สูตร ตถาคตภาสิตา – ท่ี
ตถาคตตรสั แลว คมภฺ ีรา – ลึกซึง้ คมคฺ รี ตฺถา – มอี รรถอันลกึ ซงึ้ โลกตุ ตฺ รา – เหนือโลก สฺุ ฺตปปฺ ฏิสยํ ุตตฺ า –
เนอื่ งเฉพาะดว ยสุญญตา.*(๑๔)
ใจความของคาํ เหลานม้ี ีวา “ระเบียบแหง สตู ร” คือขอความท่ีกลาวไวเ ปนหลกั เกณฑ เรยี กวา ระเบียบ
แหงสตู รใดๆก็ตาม ทใี่ ดๆกต็ าม คอื หมายถึงทั้งหมด ทีต่ ถาคตไดตรสั แลว เปนเรือ่ งลึกซ้งึ มีอรรถอันลกึ ซง้ึ เหนือ
โลก แลวก็เนือ่ งดวยสญุ ญตา นเ่ี ปนการบงบอกอยูในตวั ประโยคแลว วา ถาตถาคตตรัส ก็ตอ งเปนเรื่องทเี่ นอ่ื ง
ดวยสญุ ญตา.*(๑๕)
เรอ่ื งตรงกันขาม คือเรื่องท่ีพระพุทธเจาไมต รัส ไดแกข อ ความท่วี า “เย เต สตุ ตฺ นตา – ระเบียบแหง สูตร
ท้ังหมดเหลา ใด กวิกตา – ทพ่ี วกกวรี อ ยกรองขน้ึ กาเวยฺยา – อยูในลกั ษณะของกาพยก ลอน หรือยูในลักษณะ
ของกวีนพิ นธ จิตฺตกฺขรา – มตี ัวอักษรอนั วิจติ ร จิตตฺ พยฺชนา – มีพยัญชนาอันวจิ ติ ร พาหริ กา – เปน เร่ือง
ภายนอก สาวกภาสิตา – เปนคําทีส่ าวกภาษติ คอื สาวกกลา ว มอี ยู ๖ คําเหมือนกัน.*(๑๖)
คําวา “พาหิรกา” แปลวา เปนไปในเร่อื งภายนอก คือนอกเรอื่ ง หมายถึง นอกเรื่องแหงความดับทกุ ข
เพราะพระองคตรัส แตเรื่องทุกขกับความดับทกุ ขเทานั้น ถา ไมเ ปน ไปตามนี้ ก็เปนเรอื่ งนอกเร่ือง.*(๑๗)
พทุ ธศาสนาเปน เครื่องดับทุกขโดยตรง
สิ่งทเี่ รียกวา “พุทธศาสนา” ตอ งอยูในฐานะเปน เครื่องดบั ทุกขโดยตรง อยางนี้เรยี กวา พุทธศาสนาใน
ฐานะทเ่ี ปน ศาสนา (religion) แตถา พทุ ธศาสนาในฐานะท่ีเปน ปรชั ญา เปน วรรณคดี เปนศิลปะ เปนอะไร
มากมายออกไปอีกหลายอยา ง อยางนีเ้ รยี กวา “นอกเร่ือง” คือเปน สว นเกนิ เพราะอยนู อกขอบเขตของการดับ
ทุกข. *(๑๘)
ในคมั ภีรว ิสุทธมิ รรคบรรยายลกั ษณะของ “โลกวิท”ู ของพระพทุ ธเจาไววา รูจกั โลกทางวตั ถุ คอื รูวา โลก
ยาวเทาไร กวา งเทาไร หนาเทาไร และตง้ั อยบู นนาํ้ มีปลาตัวใหญร องรบั อยู น่เี ปนการบรรยายนอกเรอ่ื งพุทธ
ศาสนา เพราะคาํ วา “โลกวทิ ู – รแู จง โลก” น้นั โลกคือทกุ ข พระพุทธเจาทรงรูแจง โลกคอื ทุกข ทรงรูแ จง โลก
ดว ยลักษณะ ๔ ประการ คอื ทรงรวู า น่คี อื โลก นค่ี ือโลก น่คี ือเหตุใหเกดิ โลก น่คี อื ความดบั สนทิ ของโลก นี่คือ
ทางใหถึงความดับสนทิ ของโลกทงั้ ๔ อยางนี้ รวมอยูในรา งกายทยี่ าวประมาณวาหนึง่ นี้ ทย่ี ังเปนๆ อยู.*(๑๙)
55
เรื่อง “สุญญตา” ไมมลี กั ษณะอันวิจิตรไพเราะโดยอักขระและพยัญชนะ แตไ พเราะในทางดบั ทกุ ข ดงั ที่
เรยี กวา งามในเบื้องตน งามในทามกลาง งามในเบอ้ื งปลาย อะไรทํานองนัน้ การดบั ทกุ ขไดเปน ยอดของความ
ไพเราะวจิ ติ รอนั ชนื่ ใจ สวนส่งิ ที่มใิ ชส ุญญตานน้ั มนั ชื่นใจเพราะวา ไพเราะหูในทางกวีนิพนธ. *(๒๐)
ความเหน็ ของพระอริยเจา กับของชาวโลก ยอ มเหน็ ตรงกนั ขา มกนั สง่ิ ท่ีพระอริยเจาเห็นวา เปน ทุกข
ชาวโลกเห็นวาเปนสุข สิง่ ทีพ่ ระอรยิ เจา เห็นวา เปน สุข ชาวโลกกลับมองเหน็ วาเปน ทุกข ดังเรอ่ื ง “สุญญตา” ก็
เชนกนั ผูรูเหน็ วา “สุญญตา” มีความชนื่ ใจจับใจที่ดับทุกขได แตฝ ายทีไ่ มรพู ดู ถงึ ความไพเราะจบั ใจทางอักขระ
ไพเราะทางพยญั ชนะ อนั เปนสิ่งนอกเรือ่ งจากความดบั ทกุ ข มคี วามแตกตางตรงกันขา มกันอยางนี.้ *(๒๑)
ความไพเราะท่ีเปนภาษาคน ไดแ กตัวหนงั สอื ทาํ ใหเพราะหู สว นความไพเราะท่เี ปน ภาษาธรรม คือความ
ดับทุกขได เปน โลกุตตระอยเู หนือโลก ใครมองเหน็ ความเหนอื โลกจะรสู กึ ไพเราะ ฉะนนั้ พระธรรมหรอื ความ
ดับทุกขในพทุ ธศาสนา จัดเปนกวนี พิ นธ พระนิพพานกเ็ ปน กวีนิพนธเหมอื นกัน เพราะวามคี วามไพเราะลกึ ซึง้
ตรงทดี่ ับทกุ ขได แตมิใชเปน การไพเราะทางหูดว ยตวั หนังสือหรอื คาํ รอยกรอง.*(๒๒)
“ถารูเรอ่ื ง “สุญญตา” จะทําใหก ารปฏิบัติเพอื่ การดับทุกขไ ดโดยตรง เปนผลจรงิ และโดยงา ย”
“พุทธศาสนาทกุ รปู แบบ ยอมเนื่องอยูดวยสุญญตา คือการปลอ ยวางความยดึ ถอื ไมย ึดม่ันถือม่ันในสง่ิ ท้ังปวง”
ภิกขุ ฉ.ชุติวณฺโณ, ภิกขุ ฉ.ช.วมิ ตุ ตยานันทะ หรอื พระอธกิ ารเฉลมิ ชุตวิ ณฺโณ
เจา อาวาสวัดเจดียง าม ต.บอ ตรุ อ.ระโนด จ.สงขลา
บทความเร่ือง สุญญตา และ จิตวาง
จาก จติ ประภสั สร สู สญุ ญตา และ มหากุศล อยา งไหน “จติ วา ง”
ที่มา-มตชิ นสุดสปั ดาห ฉบบั วันท่ี 27 พฤษภาคม - 2 มถิ นุ ายน 2559
คอลมั น- ดังไดสดบั มา เผยแพร- วนั ศกุ รท ี่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2559
ถูกตองอยางท่ีสุด ที่จะเสนอปุจฉาอยางสอดรับกับความตองการ นั่นก็คือ “จิตประภัสสรเปนจิตบริสุทธ์ิ
หรอื เปลา”
คําตอบคือ ประภัสสรมีความหมายคนละอยางกับบริสุทธ์ิ ประภัสสรตรงกับคําวา “เรืองแสง” เปน
คุณสมบัติประจําตัวของสิ่งท่ีเรียกวา “วิญญาณธาตุ” ตามธรรมดาแสงน้ันไมเศราหมอง จะเศราหมองตอเมื่อมี
อะไรมาปนลงไปในแสง โดยเฉพาะก็คือ “กิเลส” ดังน้ัน จิตสูญเสียความเปนประภัสสร เม่ือถูกกิเลสที่เปน
อาคันตุกะจรเขามา ถาจะเรียกประภัสสรบริสุทธ์ิ ก็บริสุทธ์ิอยางภาษาชาวบาน ไมใชบริสุทธิ์อยางความหมาย
ของพระอริยเจา ท้ังนี้แลวแตว า เราจาํ กัดขอบเขตของคําท่ีพูดกันเพียงไหน
แตอยางไรก็ตาม ในขณะแหงประภัสสรน้ันตองวางจากกิเลส หรือความยึดม่ันถือมั่นดวยความโงน้ัน
เหมือนกัน ดังนั้น ก็พอท่ีจะเรียกหรือสงเคราะหจิตประภัสสรน้ีไวในพวกจิตวางดวยเหมือนกัน สวนท่ีมันจะ
บรสิ ุทธหิ์ รอื ไมนน้ั มนั เปนอกี เร่อื งหนึง่ ดังท่กี ลาวมาแลว
เมื่อสามารถสรุปในเร่ือง “จิต” อันสัมพันธกับ “ประภัสสร” ไดในระดับแนนอนหนึ่ง ยังคําถามวา “ถา
เชนนั้น จิตวางก็มีหลายชนิด” “จะวาชนิดเดียวก็ได หลายชนิดก็ได แลวแตเราจะเพงเล็งกันกวางหรือแคบ
เพียงไร” น่คี ือเปน คําตอบ ทว่ี า ชนิดเดยี วนั้น หมายถงึ วา ในขณะนัน้ มนั ปราศจากอุปาทานวาตวั ตนหรอื ของตน
56
ก็แลวกัน คือมันจะยังไมทันเกิด หรือไมอาจจะเกิด ก็ไดทั้งนั้น ที่วามีหลายชนิดนั้นก็คือ วางไดหลายอยาง คือ
วา งเด็ดขาดอยา งจติ พระอรหนั ตก็มี วางไมเ ดด็ ขาดอยางจิตผูท่ีไมใ ชพ ระอรหันตก ็มี วางเองตามธรรมชาติเพราะ
ยังไมมีอารมณมากวนก็มี อารมณมากระทบแลวควบคุมไดก็มี กําลังอยูในสมาธิบางชนิดก็มี หรือมีอารมณท่ีไม
กอใหเกิดความยึดม่ันถือม่ันอยูก็มี กําลังพักผอนนอนหลับตามปกติก็มี หรือแมที่สุดแคมีบทเพลงหรือดนตรี
“บางชนดิ ” มาขับกลอ มแวดลอ มอยกู ม็ ี เหลาน้เี รยี กวา มนั มีหลายชนดิ แตอยา งไรกต็ าม เมอ่ื สรปุ เอาแตใ จความ
ท่ีมุงหมายในทน่ี แี้ ลว มีใจความสําคัญอยูที่วา เรากาํ ลังวางจากอปุ าทานทีก่ ําลังสําคัญมน่ั หมายวา เปน ตวั กู-ของ
กู อยกู ็แลว กนั และถอื วานน่ั แหละคือปรกติภาวะแทของจิต และไมมคี วามทุกข
แลวก็ถึงคําถามสําคัญ นั่นก็คือ แลวจิตวางชนิดไหนเลาท่ีประสงคในประโยคที่กลาววา “เปนอยูดวยจิต
วาง” คาํ ตอบคือ หมายถงึ จติ วางทกุ ชนิด เพราะเหตุผลอยา งเดยี วคอื ไมว าจะเปน จติ วางชนิดไหนลว นแตไมเปน
เหตุใหเ กดิ ทุกขท้งั นัน้ เราเอาแตไมม ที กุ ขกแ็ ลวกัน อยา ไปเหอ ความเปน พระอรยิ บุคคลชน้ั น้ันชั้นนี้ เหมือนท่ีเขา
แหไปทําวิปสสนา เพื่อจะเปนนั่นเปนน่ีแขงขันกันเลย ซ่ึงมีแตจะทําจิตใหไมวางยิ่งข้ึน ดังที่เห็นอวดเบงทับกัน
ทะเลาะวิวาทกัน ดังน้ัน จะเปนจิตวางชนิดไหนก็ไมนารังเกียจ ท่ีวางเองตามธรรมชาติน้ันยิ่งจําเปนสําหรับทุก
คน เพราะทําใหค นมีจิตไมผดิ ปรกติ ไมเปน โรคเสน ประสาท หรอื โรคจติ เปน ตน
สวนที่ควบคุมใหวางนั้น ก็เปนเพียงการยึดความวางตามธรรมชาติใหยาวออกไป หรือใหประณีตข้ึน
เทาน้ัน สวนท่ีวางเด็ดขาดโดยเปนพระอรหนั ตแลวน้ัน ไมจําเปนตองพูดถึงในท่ีน้ี เพราะเปนการเปนอยูดวยจติ
วางอยูในตวั โดยไมต อ งพยายามอะไรอีกตอไปแลว
นายินดีมาก ดวยความรอบคอบมาก ดวยความสุขุม จึงไดเสนอคําถามวา “จิตมีชื่อประหลาดๆ เชน จิต
มหากุศล เชนนี้เปนจิตวางหรือเปลา” “จิตมหากุศลน้ีฟงดูก็ประหลาดสมชื่อ” จิตมหากุศลตามศาลาวัดนัน้ ฟง
ดูแลวเปนความทะเยอทะยาน เพือ่ จะไดอ ะไรท่มี งุ มาดท่สี ุดจนจัดเปนมหากุศล เหมือนการลงทนุ คา กาํ ไรอันเกิน
ควรหรอื อะไรทํานองน้ีทง้ั นน้ั
ถาอยางนั้นไมช่ือวาเปนจิตวาง แตก็เปนจิตวุนอยางย่ิง จิตท่ีเปนมหากุศลอยางแทจริงควรจะเปนจิตวาง
คือไมปรารถนาอะไรดวยความยึดมั่นถือม่ัน ไมปรารถนาแมแตส่ิงที่เรียกวามหากุศลนั้นดวย มหากุศลที่ทําไป
ดวยความอยาก จะเอาเปนตัวกูหรือของกูนั้น ไมมีอะไรมากไปกวาขนมหรือลูกกวาดสําหรับใหรางวัลเด็ก เพ่ือ
จูงใจใหเ ขาขยนั ทาํ งาน ฉะนน้ั มหากุศลตามศาลาวัดนนั้ ยงั ไมใชจ ิตวาง ควรนกึ ถงึ เร่ืองอน่ื ทช่ี วนใหวา งจะดกี วา
ใครเคยพบที่ไหนบางวา พระพุทธเจาไดเคยทรงใชคําคํานี้และด่ืนเหมือนคําวา “สุญญตา” คําวา “สุญญ
ตา” กับคําวา “มหากุศล” สองคํานี้คําไหนควรจะถูกจัดวาเปนอภิธรรมกวากัน หรือถึงกับวาอันไหนไมเปน
อภธิ รรมเสียเลย ดงั นั้น จิตวา งกับจิตมหากุศลจะเปนของสงิ่ เดยี วกันอยางไรได
ทานลองคิดดูเองเถิด ของสองอยางน้ีอยางไหนที่เต็มอัดอยูดวยกลิ่นอายของตัณหาอุปาทาน อยางนั้น
“ยังไมใชจติ วาง”
รากฐานแหงจิตวาง มอี ยใู นพระไตรปฎกหรือไม ความสงสัยสําคัญ
ทม่ี า-มติชนสุดสัปดาห ฉบบั วันท่ี 3 - 9 มิถนุ ายน 2559
คอลมั น- ดังไดส ดับมา เผยแพร- วันศุกรท ่ี 3 มิถนุ ายน พ.ศ.2559
57
และแลว กเ็ ขามาสคู าํ ถามอันสาํ คญั และทรงความหมายย่ิง ซง่ึ สอดรับกับความขอ งใจของอีกหลายคน น่ัน
ก็คือ คาํ วา “จติ วาง” ไมม ใี นพระไตรปฎ ก ใชไ หม คลา ยกับคําวา “จติ วา ง” เปนการบัญญัติขึ้นเองโดยอตั โนมัติ
จากทานพุทธทาสภิกขุ เหมือนกับไดกล่ินอายมาจาก “มหายาน” เทากับเปนการแตกออกไปจากขนบแหง
“หินยาน” อาจเปนเพราะเห็นวา ทานพุทธทาสภิกขุเคยแปลและเรียบเรียง “สูตรของเวยหลาง” อันเปน
อาจารยคนสาํ คญั แหง นิกายเซน อันเปน แขนงหนึ่งแหง มหายาน
ตอความสงสัยในเร่ืองน้ี ตองตอบอยางยืดยาวย่ิง ตองอานขอนี้จะเขาใจไดงาย โดยการเปรียบเทียบดวย
อุปมา คนเขลาเขาไปในปาก็เห็นแตปา ไมเห็นตนไม พอไดฟงพระพุทธภาษิตท่ีวา “วะนัง ฉินทะถะ มา รุกขัง
ตัดปาซิ อยาตัดตนไม” เขาก็ฟงไมถูก และไมรูวาจะทําอยางไรใหตรงตามพระพุทธประสงค เพราะไมรูจักแยก
ตนไมออกจากปา ท่ีถูกนั้นเขาควรชําระปาท่ีรกและเปนอันตรายใหหมดไป ใหเหลือแตตนไมสวยงามรมรื่น
สะดวกสบายในการอยูอาศัย เชนเดียวกับที่เราไมตองทําลายเบญจขันธอันเปนที่ตั้งของกิเลส เพียงแตทําลาย
กิเลสอันเกิดที่เบญจขันธก็พอแลว ฉันใดก็ฉันน้ัน ถาเขาไมมองเห็นกิเลสท่ีมีอยูในเบญจขันธ เขาก็โงไปทําลาย
เบญจขนั ธเขาเทานน้ั เอง
พระไตรปฎกท้ังหมดทั้งแปดหม่ืนสี่พันพระธรรมขันธ ลวนแตสอนใหทําจิตใหวางจากอุปาทานที่มีอยูใน
เบญจขันธ ไมโดยตรงก็โดยออมเปนอยางนอย สําหรับสวนใหญหรือหัวใจของพระไตรปฎกนน้ั คือ การสอนทํา
ใหจิตวางจากอุปาทาน ภายหลังจากที่ไดละบาปและบําเพ็ญบุญมาเต็มท่ีแลว เรียกวาการชําระจิตใหบริสุทธิ์
จากความยึดม่ันถือมั่นในบุญและบาปน่ันเอง รวมท้ังกุศลและมหากุศลดวย บุญ บาป กุศล อกุศล ท่ียึดไวดวย
อุปาทานนั่นแหละคือปา จะตองตัดเสียใหหมด ใหเหลือแตตนไมที่สวยๆงามๆ คือ “จิตวาง” นี่คือการที่
พระไตรปฎกทัง้ หมดมุงหมายจะพดู แตเ ร่ืองการทาํ ใหจติ วา ง
แมจ ะพูดเรอ่ื งนรกสวรรคอะไร ก็มไิ ดพูดเพอื่ ใหยดึ ถือจนรกั อยากจะไดเ หมือนใจจะขาด หรือกลวั และเปน
หวงรําคาญจนหมดสุข แตพูดเพื่อใหละความยึดถอื ทั้งหมดทั้งส้ินเสีย เพ่ือความมีจิตวาง ไมมีการเสพติดในสิ่งที่
กะล้ิมกะเหล่ยี กันวา “มหากศุ ล”
คาํ วา “สุญญตา” (ความวา ง) ก็มีท่วั ไปในพระไตรปฎก และยงั ตรัสกําชบั ไวว า ขอความเรื่องใดไมเก่ยี วกับ
เร่ืองสุญญตา ขอความเร่ืองนั้นก็ไมใชตถาคตภาษิต เปนเพียงเร่ืองของคนชั้นหลังๆกลาว และเร่ืองสุญญตาน้ี
มิใชเล็งเห็นแตความวางเฉยๆ แตเล็งถึงการทําใหจิตวางจากส่ิงท่ีมากลุมรุมหุมหอจิตใหเศราหมอง ไมมีจิตวาง
จากกิเลส โดยเฉพาะคืออุปาทานอันเปนตัวการแหงทุกขโดยตรง ดังพระพุทธภาษิตท่ีวา “จงเห็นโลกโดยความ
เปนของวางทกุ เมือ่ เถดิ ” ดังนี้เปนตน
จิตท่ีเห็นส่ิงท้ังปวงโดยความเปนของวางอยูเชนนั้น คือจิตที่วางจากอุปาทาน ซ่ึงยอมจะวางจากทุกขดว ย
โดยอัตโนมัติ ซ่ึงในท่ีนี้เราเรียกวา “จิตวาง” เฉยๆ เพราะไมมีคําไหนท่ีดีกวานี้ กะทัดรัดกวานี้ หรืออมความได
ทง้ั หมดทง้ั ส้ินเหมอื นคาํ คาํ น้ี
“การปฏิบัติเพื่อทําจิตใหวางจากอุปาทาน” ประเด็นเดียวน้ีเทานั้น ที่เปนเนื้อแทของพุทธศาสนา การ
ปฏิบัตินอกน้ันมีท่ัวไปแมในศาสนาอ่ืน ดังน้ัน พระไตรปฎกท่ีแทจะมุงสอนแตเร่ืองทําจิตใหมีสุญญตาแตอยาง
เดียว และสญุ ญตาถงึ ทส่ี ดุ น้นั คอื ส่ิงท่เี รยี กกันวา นิพพาน
58
ถามีใครพูดวาเร่ืองจิตวางไมมีในพระไตรปฎกแลว เราจะอยากจะพูดบางวา เรื่อง “มหากุศล” นั้นแหละ
ไมม ีในพระไตรปฎก และเตม็ ไปดว ยกลนิ่ อายของอุปาทาน จงรจู ักปา รจู กั ตน ไม และรูจักแยกปาออกจากตนไม
กันเสยี บางเถิด ถา มัวแตปนเปกันอยอู ยางน้ีแลว ไมม วี ันจะพบพระพทุ ธศาสนาเลย เมอื่ เรอ่ื งการทําจิตใหวางคือ
เนอ้ื แทของพระไตรปฎกแลว คาํ วา จิตวา งก็ซอ นอยูในพระไตรปฎ กท้ังหมดทุกบรรทดั หรือทกุ ตัวอกั ษร แตค นท่ี
เห็นแตปาไมเห็นตนไมน้ัน ก็ยอมมองไมเห็นอยูน่ันเอง ยอมจะไปเลือกเอามหากุศล ซ่ึงเปรียบเสมือนปาทึบเขา
อยางชว ยไมได
เมื่อเสพติดในมหากุศลหนักเขา ก็เห็นเรื่องจิตวางเปนเร่ืองมิจฉาทิฏฐิเปนธรรมดา เพราะเขากลัววา เม่ือ
จิตวางแลว จะเปนการขาดทุนยุบยับไมไดอะไรเลย โดยท่ีไมรูวา “วาง” นั้นแหละคือการไดทั้งหมด และไดสิ่ง
สูงสดุ ในระดบั นิพพาน มหากศุ ลของความยดึ มั่นนั้น รังแตจะเวียนวายอยใู นวฏั สงสารเทานัน้ เอง
ทาํ ไมตอ ง “จิตวาง” ทาํ ไมจึงมใิ ช “มหากศุ ล” เสน ทาง “สมั มาทฏิ ฐ”ิ
ท่ีมา-มติชนสุดสปั ดาห ฉบับวนั ที่ 10 - 16 มิถนุ ายน 2559
คอลมั น- ดงั ไดส ดบั มา เผยแพร- วนั ศุกรท ่ี 10 มิถนุ ายน พ.ศ.2559
มีความสงสัยมาอยางตอเนื่องและยาวนานมาแลววา การหยิบยกคําวา “จิตวาง” ของทานพุทธทาสภิกขุ
เปนเร่ืองในทาง “มหายาน” มิไดเปนเรื่องในทาง “หินยาน” หรือ “เถรวาท” ท้ังๆท่ีในความเปนจริง เร่ืองของ
สุญญตาเปนหลักธรรมอยางที่อาจสรุปไดวาเปน “พุทธศาสนา” โดยตรง มิจําเปนตองแยกเปน “มหายาน” มิ
จาํ เปน ตองแยกเปน “หินยาน”
หากมิไดดํารงอยูอยางเปนพุทธศาสนาโดยตรง จะมีคําวา “สุญญตวิโมกข” อยูอีกหรือ ดังมีคําอธิบายวา
วิโมกขนนั้ แปลวา “พน” หมายความวาพนจากกเิ ลส ไดแ ก พระอรหตั ชนิดท่ีไดชื่อวาสญุ ญตาวโิ มกขน น้ั เพราะ
หาราคะ โทสะ โมหะเปนนิมติ คือหาเครื่องหมายมิได จงึ เทา กบั “วาง”
คําถามที่วา ทําไมทานจึงไมใชคําอื่นที่ไมใชคําวา “จิตวาง” อาจปรากฏขึ้นเม่ือเดือนเมษายน 2504 แตก็
ตองยอมรับวา “เหมาะ” แมกระทั่งในเดือนมิถุนายน 2559 “เพราะคนพวกนี้หลับมานาน ดวยอํานาจยาเสพ
ตดิ มากเกนิ ไป ถึงกับตองปลุกกนั ดวยการปลุกชนิดทเี่ ปน การถลกหนังหัว อยางนอยสักเทาฝามอื จึงจะตนื่ ได” น่ี
คือคําตอบ “เหตุนี้แหละจึงไดใชคําวา ความวาง หรือ จิตวาง ซึ่งพวกท่ีมากไปดวยสักกายทิฏฐิ เขากลัวกันย่ิง
กวา สงิ่ ใด แมท า วมหาพรหมก็ยังกลวั คําคํานี้ มากกวา คาํ พูดคาํ ไหนหมดในโลกน้ี”
พรอมกับย้ําอยางหนักแนน “และอีกทางหนึ่งน้ัน เรื่องสุญญตาอันเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา หรือ
พระไตรปฎ กนัน้ ไดนอนเปนหมันอยูนานนักแลว ในหมูคนทห่ี ันไปมวั เมาในการเสพตดิ มหากุศลในประเทศไทย
อันเปน ประเทศท่ีถูกอุปโลกนใ หเปน เอกในทางพระพุทธศาสนา”
“ถาไมรูเรื่องน้ีกันเสียเลยสักวันหนึ่ง ในเร็วๆนี้จะพิสจู นความไมม ีอะไรที่เปนพุทธศาสนาเลยในตัวออกมา
ใหโลกเห็น ดังน้ัน จึงชวนใหหยิบเอาเร่ืองความวางขึ้นมาศึกษากันไวบาง จะไมตองเดินตามกนพวกอื่นท่ีเขาไป
กันไกลในเร่ืองสญุ ญตาในวันขางหนา”
ถามตอวา “เรอื่ งความวางน้ี ทเี่ ปน มิจฉาทฏิ ฐกิ ม็ ีอยูเ หมอื นกัน มใิ ชห รอื ”
59
คําตอบ คือ “ถูกแลว” น่ันคือพวกท่ีถือวา “อะไร อะไร ไมมีเลย นอกจากความตองการของเขาเทานั้น
ตายแลวก็เลิกกัน” สวนเรื่องความวางในพุทธศาสนาน้ันถือวา อะไร อะไร ก็มีบุญ บาป สุข ทุกข ชั่วดี ฯลฯ มี
อยูทั้งนั้น แตเราอยามีจิตไปยึดมั่นตอสิ่งเหลาน้ันเขาก็แลวกัน เม่ือจิตวางจากความยึดมั่นแลว ก็มี พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ อันแทจริงอยใู นความยดึ มน่ั น่นั เอง
นอกไปจากน้ัน มักเปน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ชั้นที่เปลือกนอก ตองพยายามเขาใหถึงของจริง
ชั้นใน ดวยการทําจิตใหวางจากอปุ าทาน ในการทจ่ี ะไปเกาะเก่ยี วสิง่ ทงั้ ปวงไว โดยความเปนตัวกูหรือของกู ตอ ง
ไมยึดถือมหากุศลวา “เปนของกู” จึงจะเปนจิตวาง ถาจะมีหรือปฏิบัติในมหากุศล ก็เพียงเพ่ือเอามาใสฝามือดู
ใหร วู า “เปน ของที่ยดึ มน่ั ถือมัน่ ไมไ ด”
เรามพี ระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ เพ่ือสอนความไมยดึ มั่นถือม่ันใหแ กเ รา เรามที รัพยสมบัตเิ พยี งเพื่อเปน
อุปกรณแกชีวิต และมีชีวิตอยูก็เพ่ือศึกษาเร่ืองความไมยึดม่ันถือม่ัน หรือเร่ือง “ความวาง” นั่นเอง ความวางที่
เปนสัมมาทิฏฐิน้ัน ก็เพ่ือสละตัวตนออกไป ไมเอาอะไรมายึดไวเปนอุปาทาน สวนความวางท่ีเปนมิจฉาทิฏฐินั้น
เปนอุบายหลอกลวงตัวเองหรือผูอื่น เพ่ือจะเอาอะไรเปนของตัว โดยไมใหผูอ่ืนคัดคาน หรือเพ่ือแสวงหา
ประโยชนใหแ กต วั ดว ยอุบายตลบตะแลงของทฏิ ฐินัน่ เอง
จากนีจ้ ึงเหน็ ไดวา น้นั มคี ูค ําเปรยี บเทียบใหเ ห็นอยางเดนชดั คือ
1 คอื ระหวา ง “จิตวา ง” กบั “มหากุศล”
1 คอื ระหวาง “สมั มาทฏิ ฐิ” กับ “มิจฉาทิฏฐิ”
แนนอน “จิตวาง” ยอมดํารงอยูอยางเปนเอกภาพกับ “สัมมาทิฏฐิ” ขณะที่ “มหากุศล” ยอมดํารงอยูคู
เรียงเคียงไปกับ “มิจฉาทิฏฐิ” และในท่ีสุดเปาหมายยอมอยูที่ “จิตวาง” และในท่ีสุด เปาหมายหรือเสนทางที่
จะดําเนินไป ก็คือการดําเนินไปใหบรรลุถงึ จุดแหง “ความวาง” อันเทากับเปนการยึดกุม “จิตวาง” มิใช “มหา
กุศล” อนั เทากบั เปน การเดนิ ไปบนเสนทางแหง “สมั มาทฏิ ฐิ” มิใชก ารเดินไปบนเสน ทางแหง” มิจฉาทิฏฐ”ิ
ทุ ก ส ร ร พ สิ่ ง เ ป น ห นึ่ ง เ ดี ย ว ห น่ึ ง เ ดี ย ว คื อ ทุ ก ส ร ร พ สิ่ ง
(All is One and One is All)
ทุ ก ส่ิ ง ทุ ก อ ย า ง ใ น โ ล ก ล ว น เ ป น ห น่ึ ง
ห นึ่ ง น้ั น คื อ สั จ จ ะ สู ง สุ ด
พุ ท ธ ะ จิ ต ส ร ร พ สั ต ว
ต า ง ล ว น เ ป น ห นึ่ ง เ ดี ย ว กั น
60
บ ท ส ว ด พ ร ะ ค า ถ า ป รั ช ญ า ป า ร มิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
คเต คเต ปาระคเต ปาระสังคเต โพธิ สวาหา
อารยา วโลกเิ ตศวรา โพธสิ ตั ตจวั กรรมบริ ัม ปรชั ญา ปารมิตา จารัม จารา มาโน
วยี าวะ โลกติ ิสมา ปญชะ สกนั ตา อะสัตตสั จา สวภาสะ ศูนิยะ ปาสสั ตสิ มา
อฮี า สารปี ุตระรปู ง ศนู ยะ ศนู ิยะตา อีวารปู ง รูปานา เวทะศูนยิ ะตา ศูนยา นายะนา เวทะซารปู ง
ยัทรปู มสา ศูนยิ ะตะยา ศูนยิ ะตา ซารูปง อีวัม อวั ัม เวทนา สังญา สังสการะ วียาณัม
อฮี า สารีปตุ ระ สรวะธมั มา ศูนิยะตะลักษณา อนุตปนนา อนริ ปู ยส อะมะลาอะวมิ าลา
อะนนุ า อาปาริปนุ า ตัสมาต สารปี ุตระ ศนู ยิ ะตายะ นารปู ง
นาวยานา นาสังญานา สังสาระ นาวยิ านมั นาจกั ษุ โศตรา กรรณนา ซิหวา
กายา มะนา ซานะรปู ม ซัพดา กนั ดา รสั สสั สปต ตา วยี ะดามา
นาจกั ษุ ธาตุ ยาวนั นะ มโนวญิ ญานัม ธาตุ นาวดยี า นาวดยี า จาโย ยาวันนา
จาระ มรณัม นาจาระมาณมั จาโย นาทกุ ขา สมุทายา นโิ รคา มรรคา
นายะนัม นาประติ นาอะบิส สะมะยัง ตัสมานา ปรัตตติ วา โพธิสัตวานมั
ปรัชญา ปารมิตา อาสรติ ะ วิหะรัชชะ จิตตา อะวะระณะ จิตตา อะวะระณา นสั ติต วาทัต ทรัสโต
วปิ ารยิ าซา อาติกันตา นิสทรา นิรวาณัม ตรยี าวะ เรยี วะ สทิ ธะ สาวา พทุ ธา
ปรัชญา ปารมติ า อาสวิชชะ อนุตตะระ สัมยกั สัมโพธิ อะป สมั โพธา
ตัสมาต เนียทาวียา ปรชั ญา ปารมิตา มหามันทรา มหาวทิ ยะ มันทรา อนตุ ตระ มันทรา
อสมา สมาธิ มนั ทรา สัพยา ทุกขา ปรัชญา มานา สักยงั อามิ เจยี จวา
ปรัชญา ปารมติ า มุขา มนั ทรา ตะติ ตยิ ะตา คเต คเต ปาระคเต ปาระสังคเต โพธิ สวาหา
จงมสี ติ ตามรู ตามดู ผูรูกับสิง่ ทถี่ กู รู ทางอายตนะท้งั หก
วามนั เกดิ ข้ึน ต้ังอยู แลวก็ดับไป มเี หตกุ เ็ ตอ งกิดขน้ึ หมดเหตกุ ต็ องดับไป
เปน อนัตตา อนิจจงั ทุกขัง ไมใ ชเ รา ไมใ ชข อง ของเรา
สกั แตว า เปน ธรรมชาติทีว่ า งเปลา
61
ลํา นํา มู ล ฐ า น ท า ง ส า ย ก ล า ง ข อ ง น า ค า ร ชุ น
ธรรมอนั ไมม่ คี วามดบั ไมม่ คี วามเกดิ ขนึ
ไมม่ คี วามขาดสญู ไมม่ คี วามเทยี งแท้
ไมม่ คี วามหมายเพยี งอยา่ งเดยี ว ไมม่ คี วามหมายนานาประการ
ไมม่ กี ารมา ไมม่ กี ารไป
ธรรมอนั ชอื วา่ ประตตี ยสมตุ ปาท อนั ประเสรฐิ
มธี รรมอนั สงบปราศจากประปัญจธรรม
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เป็นผทู้ รงสอนธรรมเหลา่ นี
ขา้ พเจา้ ขอน้อบนอมวนั ทาแด่
พระผมู้ วี าทะเลศิ ยงิ กวา่ วาทะทงั หลาย พระองคน์ นั
หั ว ใ จ คาํ ส อ น ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ อ ง ค
เย ธมฺมา เหตุ ปปภฺ วา เย ธมั มา เห ตุ ปป ภะ วา
เตสํ เหตํ ตถาคโต เต สงั เห ตัง ตะ ถา คะ โต
เตสฺ จ โย นโิ รโธ จ เต สญั จะ โย นิ โร โธ จะ
เอวํ วาที มหาสมโณ เอ วัง วา ที มะ หา สะ มะ โณ
ธ ร ร ม เ ห ล า ใ ด เ กิ ด แ ต เ ห ตุ
พ ร ะ ต ถ า ค ต เ จ า ท ร ง แ ส ด ง เ ห ตุ แ ห ง ธ ร ร ม เ ห ล า นั้ น
แ ล ะ ค ว า ม ดั บ แ ห ง ธ ร ร ม เ ห ล า น้ั น
พ ร ะ ม ห า ส ม ณ ะ ป ก ติ ท ร ง สั่ ง ส อ น อ ย า ง น้ี
62