๑
รายงานวิจัยในชัน้ เรียน
เรือ่ ง
การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรายวชิ าประวัตศิ าสตรส์ ากล ส 31105
เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียปิ ตโ์ ดยใช้ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
รว่ มกับการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ ๕Es
ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔
นางกฤตชญา ติงหวงั
ครู คศ.2
ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
กลุม่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จังหวดั สตูล
สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาสงขลา สตลู
ก
ชอ่ื เร่ือง การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนรายวชิ าประวตั ิศาสตรส์ ากล ส 31105
เรอ่ื ง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอยี ปิ ต์โดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรู้
ผู้วิจัย
กลุ่มสาระฯ รว่ มกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ๕Es ของนักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๔
ปกี ารศึกษา นางกฤตชญา ติงหวงั
สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
2564
บทคดั ย่อ
การวิจยั ครงั้ น้ี มวี ัตถปุ ระสงค์เพอื่ เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน รายวชิ าประวตั ศิ าสตรส์ ากล
ส 31105 ของนักเรยี น ก่อนและหลงั การใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es
เร่อื ง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียิปต์ เพ่อื พฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสาหรับนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4
และศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ท่ีมีต่อการใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ร่วมกบั การสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es เร่อื ง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อยี ปิ ต์
กลมุ่ ตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรยี นกาแพงวิทยาอาเภอละงู จงั หวดั สตูล
ภาคเรียนท่ี ๒ ปกี ารศึกษา 256๔ ซงึ่ ได้มาโดยการส่มุ แบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้
หอ้ งเรียนเป็นหน่วยการส่มุ ไดน้ กั เรียนหอ้ ง ม.4/๒ จานวน ๓๓ คน ใชเ้ วลาในการเรยี นรู้ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
ร่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es จานวน ๒ ชัว่ โมง ทดสอบก่อน-หลงั เรยี น จานวน 1 ชว่ั โมง
รวมเวลาทัง้ หมด ๓ ชั่วโมง เครื่องมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั 1)ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการสอนแบบสบื เสาะหา
ความรู้ 5Es เรอื่ ง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียปิ ต์ 2) แผนการจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-
อียิปต์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนรายวิชาประวัติศาสตรส์ ากล ส 31105 เรื่องอารยธรรม
เมโสโปเตเมีย-อยี ิปต์ แบบปรนัย 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ 4) แบบประเมนิ ความพึงพอใจของนกั เรียนท่ีมี
ต่อการเรยี นดว้ ยส่ือชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้รว่ มกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es เรอื่ ง อารยธรรม
เมโสโปเตเมยี -อยี ิปต์ สาหรับนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (rating scale)
5 ระดับ จานวน 10 ข้อ การวิเคราะห์ขอ้ มูล ทาไดโ้ ดยการวเิ คราะหห์ าค่าเฉลยี่ และค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน
ผลการวจิ ัยสรุปได้ดังน้ี
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าประวัตศิ าสตร์สากล ส31105 เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อยี ิปต์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4/๒ โดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es
พบวา่ ก่อนเรยี นด้วยการใชช้ ดุ กิจกรรมรว่ มกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es นกั เรยี นทาคะแนนเฉลย่ี
( X ) 10.24 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 2.61 และหลงั เรียนโดยใชช้ ุดกจิ กรรมการเรยี นรรู้ ว่ มกบั การ
สอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es นักเรียนทาคะแนนเฉลี่ย ( X ) 15.63 และค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D) 2.44
แสดงใหเ้ หน็ วา่ หลังเรียนด้วยใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูร้ ่วมกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es นักเรียน
มผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี น
2. ความพงึ พอใจของนักเรียนท่มี ตี อ่ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรรู้ ว่ มกบั การสอน
แบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4/๒
มีความพงึ พอใจโดยรวมอยใู่ นระดบั มาก ( X = 4.42, S.D = 0.67 )
สารบัญ ข
บทคัดยอ่ หนา้
สารบญั ก
บทท่ี 1 บทนา ข
ความสาคัญและทมี่ าของปัญหา
วัตถปุ ระสงค์ ๑
สมมตุ ิฐาน ๑
ขอบเขตของการศึกษา ๒
๒
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ๒
การจัดการเรยี นรูก้ ลุม่ สาระการเรียนรูส้ งั คมศึกษาฯ ๔
เอกสารท่ีเกีย่ วกับชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ๔
รูปแบบการสอนแบบ5Es ๗
ความพงึ พอใจต่อกิจกรรมการเรยี นรู้ ๑๒
งานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ้ ง ๑๖
๑๙
บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวิจัย ๒๒
รปู แบบการวจิ ยั ๒๒
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ๒๒
เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู ๒๓
ขนั้ ตอนการสรา้ งและพัฒนาเคร่ืองมือ ๒3
การวเิ คราะห์ข้อมูล ๒3
29
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู 29
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ๓2
๓2
บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ๓2
สรปุ ผลการวิจัย ๓4
อภิปรายผล
ข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
แผนการจัดการเรยี นรู้
๑
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
การศึกษาเปน็ กระบวนการในการพัฒนาทรัพยากรมนษุ ยก์ ารจดั การศกึ ษาอย่างมีประสิทธภิ าพ จึงเปน็
สง่ิ สาคญั ตอ่ อนาคตของชาติดงั นัน้ หากตอ้ งการให้ประชาชาตเิ จรญิ ก้าวหนา้ จงึ จาเปน็ ต้องมยี ุทธศาสตรท์ าง
การศกึ ษาชัดเจน และเอือ้ อานวยต่อการพฒั นาความพรอ้ มของคนไทยให้ก้าวหน้าและสามารถแข่งขนั กับชาติ
อน่ื ๆสามารถดาเนนิ ชวี ติ อยู่อย่างสันติสขุ (สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ,2545:15) กระบวนการ
สาคญั ของการจัดการศกึ ษาต้องยึดหลักวา่ ผู้เรยี นทุกคนมีความสามารถเรยี นร้พู ฒั นาตนเองไดแ้ ละถอื ว่าผู้เรียน
สาคัญท่ีสดุ ดงั น้นั ครผู ู้จดั การศึกษาจะต้องเปลี่ยนแปลงจากการเปน็ ผนู้ า ผ้ถู า่ ยทอดความรู้ไปเป็นผชู้ ว่ ยเหลือ
ส่งเสรมิ และสนับสนุนผ้เู รยี นในการแสวงหาความร้ดู ว้ ยตนเองจากสอื่ และแหลง่ เรยี นรู้ตา่ งๆได้อย่างถูกตอ้ งแก่
ผเู้ รียน (ดวงกมล สินเพง็ ,2553: 1)
กระทรวงศกึ ษาธกิ ารได้จดั ทาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศกั ราช2551โดยม่งุ พัฒนา
ผเู้ รยี นทกุ คนซ่ึงเป็นกาลงั ของชาตใิ หเ้ ปน็ มนุษยท์ ่มี ีความสมดุลท้ังดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มจี ติ สานึกใน
ความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลกยึดมัน่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็
ประมขุ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2553: 1) ซ่งึ ในกลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรมน้นั มงุ่
พัฒนาให้ผเู้ รียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจว่ามนษุ ย์ดารงชีวิตอย่างไรทง้ั ในฐานะปัจเจกบคุ คลและการอยู่รว่ มกันใน
สังคมการปรบั ตวั ตามสภาพแวดล้อมการจดั การทรัพยากรทีม่ อี ยอู่ ย่างจากดั นอกจากน้ียังชว่ ยให้ผู้เรยี นเข้าใจ
ถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยคุ สมัยกาลเวลาตามเหตุปจั จัยต่าง ๆ ทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจในตนเองและผอู้ น่ื มี
ความอดทนอดกล้ันยอมรับในความแตกต่างและมีคณุ ธรรมสามารถนาความร้ไู ปปรบั ใช้ในการดาเนนิ ชวี ิตเปน็
พลเมอื งดขี องประเทศชาติและสงั คมโลก
ปจั จบุ นั การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ในรายวิชาประวตั ศิ าสตร์ของกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรมในโรงเรยี น ส่วนใหญม่ ีการใช้วธิ สี อนที่ยงั ไม่หลากหลายและวธิ สี อนยงั ไมส่ ามารถกระต้นุ
ผเู้ รียนใหเ้ กิดความสนใจเพราะเนือ้ หาสาระในวิชาประวัติศาสตร์มมี ากทาให้ผู้เรียนเกดิ ความเบื่อหน่ายขาด
ความสนกุ สนานและความกระตอื รือรน้ ในการเรียนไม่สามารถเชือ่ มโยงองค์ความรูต้ า่ งๆทีม่ ีอยู่จานวนมากให้
เกี่ยวเนอ่ื งสมั พนั ธ์กนั ดงั นน้ั จงึ ต้องจัดการเรยี นการสอนใหน้ กั เรียนเกิดการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองโดยพฒั นาในด้าน
ต่าง ๆ ใหเ้ ป็นผู้มีความรู้
การจดั การเรยี นการสอน รายวชิ าประวัติศาสตรส์ ากล ส31105 ทีผ่ ่านมา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ยงั
อยใู่ นเกณฑท์ ่ียังไมถ่ ึงตามค่าเป้าหมายของโรงเรียน นักเรียนยงั ไม่สามารถเรยี นรเู้ ข้าใจในเนอ้ื หาของรายวชิ า
ประวัติศาสตรส์ ากลได้อย่างถอ่ งแท้เนือ่ งจากรายวชิ าประวตั ิศาสตรส์ ากลเปน็ วชิ าท่ตี ้องใช้ทักษะในการจาและ
การวเิ คราะหใ์ นการสรา้ งองค์ความรแู้ ละตอ้ งใช้ส่อื ประกอบเพอ่ื ให้เกดิ ความเขา้ ใจและทกั ษะในการเรียนรู้
ผวู้ ิจัยไดส้ อบถามและสัมภาษณ์ผูเ้ กี่ยวขอ้ งพบว่าการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนของครยู ังไม่ประสบผลสาเรจ็
อาจมสี าเหตมุ าจากครูผู้สอนไม่มีวธิ กี ารจดั การเรียนร้ทู ่หี ลากหลายขาดสอ่ื การสอนที่กระตุ้นความสนใจผเู้ รยี น
และขาดการฝึกทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ในการสรา้ งองคค์ วามรู้ จากความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา
ดังกล่าวผวู้ จิ ัยจึงมคี วามสนใจท่ีจะพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น รายวิชาประวัตศิ าสตร์สากล ส 31105 เร่ือง
อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอยี ปิ ต์โดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es
ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี ๔
๒
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
1. เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์สากล ส 31105 ของนกั เรียน กอ่ น
และหลังการใช้ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es เรือ่ ง อารยธรรม
เมโสโปเตเมยี -อยี ิปต์ สาหรับนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
๒. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อ การใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
รว่ มกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์
สมมุตฐิ านการวจิ ัย
1. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น รายวิชาประวัตศิ าสตร์สากล ส 31105 ของนักเรยี นโดยการใชช้ ุด
กิจกรรมการเรียนรู้รว่ มกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับ
นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียน
๒. ความพึงพอใจของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ที่มตี ่อการใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการ
สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es เรอ่ื ง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียปิ ต์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4
อยูใ่ นระดบั มาก
ขอบเขตของการวจิ ยั
การวจิ ัยครั้งน้จี ากดั ขอบเขตของการวิจยั ไว้ดงั น้ี
1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่างที่ใชใ้ นการวจิ ยั
1.1 ประชากรไดแ้ ก่ นักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จงั หวดั สตูล
ปีการศกึ ษา 256๔ จานวน 6 หอ้ ง มนี ักเรยี นจานวน 2๑๕ คน
1.2 กลุ่มตัวอย่าง ไดแ้ ก่ นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนกาแพงวิทยาอาเภอละงู จงั หวัดสตูล
ภาคเรยี นที่ ๒ ปีการศกึ ษา 256๔ ซึ่งไดม้ าโดยการส่มุ แบบแบง่ กลมุ่ (Cluster Random Sampling) โดยใช้
ห้องเรียนเป็นหนว่ ยการสมุ่ ได้นักเรยี นห้อง ม.4/๒ จานวน ๓๓ คน
2. ตวั แปรทีศ่ กึ ษา
2.1 ตวั แปรต้น คอื ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es เรอื่ ง
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อยี ิปต์ สาหรบั นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 4
2.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์สากล ส 31105 เร่ือง อารย
ธรรมเมโสโปเตเมีย-อยี ิปต์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ที่ได้รับการจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้ชุดกิจกรรม
การเรยี นรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es เรอ่ื ง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์
3. เนื้อหาท่ีใช้ในการวิจัย เป็นเนื้อหา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในเรื่อง อารยธรรม
เมโสโปเตเมีย-อยี ปิ ต์
4. ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั
ในภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา 256๔ ใช้เวลาในเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการ
สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es จานวน ๒ ช่ัวโมง ทดสอบก่อน-หลังเรียน จานวน 1 ช่ัวโมง รวมเวลา
ทงั้ หมด ๓ ชั่วโมง
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ทราบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นรายวชิ าประวัตศิ าสตร์สากล ส 31105 เร่อื ง อารยธรรม
๓
เมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์ สาหรบั นักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวัดสตูล ท่ี
เรยี นโดยการใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ร่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es
2. ทราบถึงความพึงพอใจของนักเรยี นในการจดั การเรยี นรู้โดยใช้ส่ือชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการ
สอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es
3. สามารถใชเ้ ป็นแนวทางในการสร้างและพัฒนาสื่อชุดกิจกรรมในวชิ าหรือเร่อื งอื่นๆ ต่อไป
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
เพอ่ื ให้เขา้ ใจความหมายของคาศพั ท์ในงานวจิ ัยจึงให้ความหมายคานิยามศัพทเ์ ฉพาะสาหรบั การวิจัย
ดงั น้ี
1. ชดุ กิจกรรม คอื ชดุ ของสือ่ ประสมทมี่ กี ารนาสื่อและกจิ กรรมหลายๆอย่างมาประกอบกันเพอื่ ใช้ ใน
การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน โดยมจี ุดประสงค์การเรียนร้ทู ชี่ ดั เจน มีความสมบรู ณ์ในตนเอง ทาใหผ้ ู้เรียน
เกิดการเรียนร้อู ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ครมู ีการเตรียมความพร้อมกอ่ นจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทาให้ประสบ
ความสาเรจ็ ในการสอน
2. การจัดการเรยี นรูด้ ว้ ยเทคนคิ 5Es ผูเ้ รียนเรียนรู้ดว้ ยตนเอง และจากกลุ่มที่ทางานรว่ มกัน สามารถ
สรา้ งองค์ความรไู้ ด้ด้วยตนเอง และชว่ ยให้มพี ัฒนาการด้านกระบวนการการคดิ ท่ีหลากหลาย 5Es ประกอบไป
ดว้ ยขนั้ ตา่ งๆดงั น้ี ข้นั สรา้ งความสนใจ ข้ันสารวจและค้นหา ขั้นอธิบายและลงข้อมูลสรุป ขนั้ ขยายความรู้ ขน้ั
ประเมินผล
3. แผนการจัดการเรยี นรู้ หมายถึง การเตรียมการสอนหรอื กาหนดกิจกรรมการเรียนรู้ ไว้ล่วงหน้า
อย่างเป็นระบบและจดั ทาไวเ้ ป็นลายลักษณอ์ กั ษร โดยมีการรวบรวมขอ้ มูลตา่ ง ๆมากาหนดกจิ กรรมการเรียน
การสอน เพอื่ ให้ผู้เรยี นบรรลจุ ุดมุ่งหมายทก่ี าหนดไว้ (สุวิทย์ มลู คา. 2549 : 58) แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่
ผรู้ ายงานสร้างข้นึ ใช้เป็นแนวทางในการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรือ่ งอารยธรรมเมโสโปเต
เมยี -อียิปต์ สาหรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4 เพ่อื ใหน้ ักเรียนเกดิ การเรยี นรูต้ ามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรทู้ ี่
กาหนดไว้โดยใชค้ วบคู่กับชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่ืองอารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์
๔. ความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง ความรู้สึกต่อการออกแบบ
กิจกรรม เวลาท่ีใช้ในการจัด ความน่าสนใจของกิจกรรม ประโยชน์ท่ีได้รับจากส่ือมัลติมีเดีย ซึ่งประเมินด้วย
แบบสอบถามความคดิ เหน็ ของนักเรยี นที่ผู้วจิ ยั สรา้ งขน้ึ เอง
๔
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กีย่ วข้อง
การใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ ในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ผูว้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยตา่ งๆ ดงั น้ี
การจดั การเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้
รูปแบบการสอน 5Es
ความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรยี นรู้
งานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง
การจัดการเรยี นรู้กลุม่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
1. ความสาคญั ของสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
กรมวชิ าการ (2544 : 1-2) กลา่ วว่า สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม มีความสาคัญในการพฒั นา
คณุ ลักษณะต่างๆ ของผู้เรยี นให้เป็นพลเมืองดี มีเหตุผลด้วยกุศลจิต คิดสร้างสรรค์ ม่ันในคุณธรรม นาความรู้
เพื่อการดาเนินชีวิตที่มีความสุข โดยใช้เทคนิค วิทยาการจากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และ
มนุษยศาสตร์ มาปรับใช้ในการดารงชีวิตให้กับสิ่งแวดล้อมท้ังทางธรรมชาติและสังคมได้อยา่ งมีความสุข กลุ่ม
สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นกลุ่มสาระการเรียนรทู้ ี่ต้องเรียนตลอด 12 ปี การศกึ ษา
ตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ประกอบมาจากหลายแขนง จึงมี
ลักษณะเป็นสหวิทยาการ โดยนาวิทยาการจากแขนงต่างๆ ในสาขาสังคมศาสตร์ หลอมรวมเข้าด้วยกัน กลุ่ม
สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จึงเป็นกลุ่มสาระที่ออกแบบมาเพ่ือส่งเสริมศักยภาพการ
เป็นพลเมืองดีให้แก่ผู้เรียน โดยมีเปา้ หมายของการพัฒนาความเป็นพลเมืองดี ซ่ึงถือเป็นความรับผิดชอบของ
ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนั้น กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จึงมีความจาเป็นที่
จะต้องพัฒนาผเู้ รียนใหเ้ กิดความเจริญงอกงามในด้านตา่ งๆ ดังนี้
1.1 ด้านความรู้ จะให้ความรแู้ กผ่ ู้เรยี นในเน้ือหาสาระ ความคิดรวบยอดและหลักการสาคัญของวิชา
ต่างๆ ในสาขาสังคมศาสตร์ ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์นิติศาสตร์ จริยธรรม ประชากร
ศกึ ษา สิ่งแวดล้อมศกึ ษา รฐั ศาสตร์ สังคมวิทยา กฎหมาย ปรชั ญา และศาสนา ตามขอบเขตที่กาหนดไว้ในแต่
ละระดบั ชัน้ ในลักษณะบูรณาการ
1.2 ด้านทักษะกระบวนการ ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาให้เกิดทักษะและกระบวนการ ต่าง ๆ เช่น
ทกั ษะทางวชิ าการ และทักษะทางสังคม เป็นต้น
1.3 ด้านเจตคติและค่านิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จะช่วย
พฒั นาเจคติและคา่ นิยมเก่ียวกบั ประชาธปิ ไตย และความเป็นมนษุ ย์ เช่น รู้จักตวั เอง พ่ึงตนเอง ซ่อื สตั ย์สุจรติ มี
วนิ ยั มคี วามกตัญญู รักเกียรติภมู ิแห่งตน มีความพอดีในการบรโิ ภครู้จกั คิดวเิ คราะห์ เคารพสิทธิผู้อืน่ และเห็น
แกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวม เป็นตน้
๕
สรปุ ได้ว่า สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม มีความสาคัญในการพฒั นาคุณลักษณะตา่ งๆ ของผเู้ รียน
ให้เป็นพลเมอื งดี มเี หตผุ ลดว้ ยกุศลจิต คดิ สร้างสรรค์ มนั่ ในคุณธรรมนาความรเู้ พื่อการดาเนนิ ชีวิตท่ีมีความสขุ
เป็นกลุ่มสาระการเรยี นรทู้ ีต่ ้องเรยี นตลอด 12 ปี การศึกษาต้งั แต่ประถมศกึ ษาจนถึงมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
และมลี ักษณะเป็นสหวิทยาการ เนอ่ื งจากเป็นกลุ่มสาระการเรียนรูท้ ป่ี ระกอบมาจากหลายแขนง โดยนา
วิทยาการจากแขนงตา่ งๆ ในสาขาสังคมศาสตรห์ ลอมรวมเข้าดว้ ยกนั กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา
และวัฒนธรรม จึงมีความจาเป็นที่จะตอ้ งพฒั นาผ้เู รียนใหเ้ กดิ ความเจรญิ งอกงามในด้านตา่ งๆ ได้แก่ ด้าน
ความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ ดา้ นเจตคติและค่านยิ ม
2. สาระและมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
กรมวิชาการ (2544 : 16) ได้กาหนดสาระที่เปน็ องคป์ ระกอบความรู้ และมาตรฐานการเรียนรู้ ของ
กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ไว้ดังนี้
สาระที่ 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐานท่ี ส 1.1 เขา้ ใจประวัติความสาคัญ หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนา
ที่ตนเองนับถือ และสามารถนาหลกั ธรรมของศาสนามาเป็นหลกั ในการอยู่ร่วมกัน
มาตรฐานที่ ส 1.2 ยึดม่ันในศีลธรรม การกระทาความดี มีค่านิยมท่ีดีงามและศรัทธาใน
พระพทุ ธศาสนาทต่ี นเองนบั ถือ
มาตรฐานที่ ส 1.3 ประพฤติตน ปฏิบัติตนตามหลักธรรม และศาสนพิธีของพระ พุทธ
ศาสนาที่ตนเองนับถือ ค่านิยมที่ดีงาม และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตน บาเพ็ญประโยชน์ต่อ
สงั คม สิ่งแวดล้อมเพ่อื การอยู่รว่ มกนั อย่างสันตสิ ขุ
สาระที่ 2 หน้าทพี่ ลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนนิ ชีวิตในสงั คม
มาตรฐานท่ี ส 2.1 ปฏิบัติตนตามหน้าท่ีของพลเมืองท่ีดีตามกฎหมาย ประเพณีและ
วัฒนธรรมไทย ดารงชีวิตอยรู่ ่วมกันในสงั คมไทย และสังคมโลกอย่างสันตสิ ขุ
มาตรฐานที่ ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่นศรัทธาและ
ธารงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริยเ์ ปน็ ประมุข
สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์
มาตรฐานท่ี ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค
การใช้ทรพั ยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัดได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมท้ังเข้าใจหลักการเศรษฐกิจพอเพียง
เพ่ือการดารงชวี ติ
มาตรฐานท่ี ส 3.2 เขา้ ใจระบบและสถาบันทางการเศรษฐกิจต่างๆ ความสัมพนั ธข์ องระบบ
เศรษฐกจิ และความจาเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกจิ ในสังคมโลก
สาระท่ี 4 ประวตั ิศาสตร์
มาตรฐานที่ ส 4.1 เขา้ ใจความหมาย ความสาคัญของเวลา และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
สามารถใชว้ ธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเปน็ ผลมาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อยา่ งเป็น
ระบบ
๖
มาตรฐานที่ ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติ จากอดีตจนถึงปัจจุบันในแง่
ความสมั พันธ์ และการเปลย่ี นแปลงของเหตกุ ารณ์อย่างต่อเนอื่ ง
มาตรฐานที่ ส 4.3 เข้าใจถึงความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทยมีความ
ภูมิใจและธารงความเปน็ ไทย
สาระที่ 5 ภมู ศิ าสตร์
มาตรฐานที่ ส 5.1 เข้าใจลกั ษณะของโลกกายภาพ ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของสรรพส่งิ ท่ี
ปรากฏ ซึง่ มผี ลตอ่ กันและกนั ในระบบธรรมชาติ
มาตรฐานที่ ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพท่ี
ก่อใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรคว์ ัฒนธรรม มีจติ สานึกอนุรักษ์ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อมเพอื่ การพัฒนาท่ียงั่ ยนื
สรุปได้ว่า สาระท่ีเป็นองค์ประกอบความรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มีดังน้ี สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สาระท่ี 2 หน้าที่พลเมือง
วัฒนธรรมและการดาเนินชีวิตในสังคม สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ และสาระท่ี 5
ภูมศิ าสตร์ โดยแต่ละสาระการเรยี นรไู้ ดม้ ีการกาหนดมาตรฐานการเรียนร้ไู วด้ ้วย
3. การวดั และประเมนิ ผลกลุม่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
กรมวิชาการ (2544 : 39) ได้กล่าวถึงการวัดและประเมินผลกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรมไวว้ ่า มาตรฐานการเรยี นรกู้ ลุ่มสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม นอกจากจะใช้เปน็ ทิศทางในการ
จัดทาหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา เพื่อพฒั นาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานแล้ว
ยังใช้เป็นกรอบในการวดั และประเมินผลเพื่อตรวจสอบผู้เรียนมีพฒั นาการ มีความสามารถ และมีความสาเร็จ
ทางการเรียนในระดับใด เพ่ือนาผลมาใช้ในการส่งเสริมให้ผู้เรยี นเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ
ซ่งึ สถานศกึ ษาจะตอ้ งมีผลการเรยี นรู้ของผู้เรยี น ท้ังในระดับช้ัน ระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา ระดับชาติ รวมทง้ั รับ
การประเมนิ จากภายนอกดว้ ย
เน่ืองจากการเรียนรู้ในกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้
ทักษะ กระบวนการ คุณธรรม และค่านิยมที่ดีงา มุ่งให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ แสวงหาความรู้ มีการทา
โครงการ/โครงงาน เป็นผู้ผลิตผลงาน รวมทั้งการทางานเป็นกลุ่ม และจัดทาแฟ้มสะสมงานด้วย ดังนั้นการ
วัดผลประเมินผลการเรียนรู้ท่ีเอื้อต่อการค้นหาความสามารถท่ีแท้จริงของผู้เรียน รวมทั้งสามารถประเมิน
คุณลักษณะพึงประสงค์ ที่เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน โดยวิธีการและเคร่ืองมือในการวัดผลประเมินผลต้องหลากหลาย
เช่น
3.1 การทดสอบ เปน็ การประเมินเพ่ือตรวจสอบความรู้ ความคดิ ความกา้ วหน้าในสาระการเรยี นรู้ มี
เคร่ืองมือวัดหลายแบบ เช่น แบบเลือกตอบ แบบเขียนตอบ บรรยายความแบบเติมคาสั้นๆ แบบถูกผิด แบบ
จับคู่ เปน็ ตน้
3.2 การสังเกต เปน็ การประเมนิ พฤตกิ รรม อารมณ์ การมีปฏิสัมพันธข์ องผูเ้ รยี นความสมั พนั ธ์ใน
ระหวา่ งการทางานกลุ่ม ความร่วมมอื ในการทางาน การวางแผน ความอดทนวิธีการแกป้ ัญหา ความ
คล่องแคล่วในการทางาน การใชเ้ คร่อื งมืออุปกรณต์ ่างๆ ในระหวา่ ง
การเรียนการสอน การทากจิ กรรมต่างๆ การสังเกตน้นั ครผู สู้ อนสามารถทาไดต้ ลอดเวลา
๗
การกาหนดเวลาและบุคคลท่ีจะสังเกต การสงั เกตอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ การสงั เกตแบบเจาะจงโดยครผู ้สู อนทา
เครือ่ งมือประกอบการสงั เกต แลว้ จดั ทาเปน็ แบบสอบรายการ (checklist) แบบประมาณค่า (rating scale)
เป็นต้น
3.3 การสมั ภาษณ์ เป็นการสนทนาซกั ถามพูดคุยหรือค้นหาข้อมูลท่ีไม่อาจพบเหน็ อย่างชดั เจน ในสิ่ง
ทีน่ ักเรียนประพฤติปฏบิ ัตใิ นการทางานโครงการ/โครงงาน การทางานกลุ่ม กิจวตั รประจาวัน ผูใ้ หข้ อ้ มลู ในการ
สมั ภาษณอ์ าจเป็นนกั เรียนเอง เพอ่ื นรว่ มงาน รวมทง้ั ผปู้ กครองนักเรยี นดว้ ย
3.4 การประเมินจากการปฏิบัติ เป็นการประเมินการกระทา การปฏิบัติงานเพ่ือประเมินการสร้าง
ผลงานชิ้นงานให้สาเร็จ การสาธิต การแสดงออกถึงทักษะและความสามารถท่ีผู้เรียนให้ปรากฏในงานท่ีตน
สร้างขึ้น การประเมินภาคปฏิบัติต้องสร้างเคร่ืองมือการประเมิน โดยครูผู้สอนจัดทาแบบการประเมิน และ
องค์ประกอบการประเมิน และจัดทาเคร่ืองมือประกอบการประเมินด้วย เช่น scoring rubric, rating scale,
และ checklist เป็นต้น
3.5 scoring rubric เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของประเด็นที่จะประเมินเพื่ออธิบายลักษณะ
คุณภาพงานหรือการกระทาเป็นระดับคุณภาพและปริมาณ หรือระดับความสามารถเพ่ือเป็นแนวทางในการ
ประเมิน และเป็นข้อมูลสาคัญแก่ครูผู้สอน ผู้ปกครอง หรือผู้สนใจอ่ืนๆ ได้ทราบว่าผู้เรียนรู้อะไร ทาได้มาก
เพยี งใด มีคุณภาพผลงานเป็นอยา่ งไร โดยผ้ปู ระเมินอาจจะให้คะแนนเปน็ ภาพรวม หรือจาแนกองค์ประกอบก็
ได้
3.6 การประเมินแฟ้มสะสมงาน (portfolio assessment) เป็นการประเมินความสามารถในการ
ผลิตผลงาน การบูรณาการ ความรู้ ประสบการณ์ ความพยายาม ความรู้สึก ความคิดเห็นของนักเรียนท่ีเกิด
จากการสะสม รวบรวมผลงาน การคัดเลือกผลงาน การสะท้อนความคิดเห็นต่อผลงาน รวมท้ังการประเมินผล
งาน การประเมินแฟ้มสะสมผลงานจะประเมินการจัดการความคิดสร้างสรรค์ หลักฐานแสดงความรู้
ความสามารถในผลงานอนั แสดงถงึ ความสมั ฤทธิผลศกั ยภาพของผู้เรยี นในสาระการเรยี นรู้นั้น
สรุปได้ว่า การวัดและประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นการ
วัดผลประเมินผลการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการค้นหาความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน และสามารถประเมิน
คุณลักษณะพึงประสงค์ที่เกิดข้ึนแก่ผู้เรียน โดยวิธีการและเคร่ืองมือในการวัดผลประเมินผลต้องหลากหลาย
เชน่ การทดสอบ การสังเกต การสมั ภาษณ์ การประเมินจากการปฏบิ ตั ิ การวเิ คราะห์องคป์ ระกอบของประเด็น
ทจ่ี ะประเมิน การประเมนิ แฟ้มสะสมงาน เป็นต้น
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. ความหมายของชุดกิจกรรม
ชุดกจิ กรรมเป็นนวตั กรรมทางการศกึ ษาอย่างหนง่ึ ท่รี วบรวมสือ่ กระบวนการ และกิจกรรมการ
เรยี นร้ตู า่ งๆ เพ่ือเปน็ สอ่ื กลางระหวา่ งผู้สอนกับผเู้ รยี น ให้เกดิ การเรียนร้แู กผ่ ้เู รียนตามจดุ ประสงคอ์ ย่างมี
ประสิทธภิ าพ จดุ เด่นของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ คอื สนองวตั ถปุ ระสงคข์ องหลกั สตู รการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน ท่ี
เนน้ การฝกึ ทกั ษะกระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญสถานการณ์และประยกุ ตค์ วามรู้มาใช้ปอ้ งกนั และแก้ไข
ปญั หา ทาใหส้ ามารถแกป้ ัญหาทางการศกึ ษาเก่ียวกบั การเรยี นการสอนได้ เปน็ การจดั กจิ กรรมให้ผูเ้ รยี นได้
เรียนร้จู ากประสบการณจ์ รงิ ฝกึ การปฏบิ ัติใหท้ าได้ คิดเปน็ ทาเป็น ใฝ่รู้ ใฝ่เรียนอยา่ งตอ่ เน่อื งผสมผสานสาระ
๘
การเรยี นรู้ด้านตา่ งๆ อยา่ งไดส้ ดั ส่วนและสมดุลกัน ปลกู ฝังคณุ ธรรมค่านยิ มที่ดงี ามและคุณลักษณะท่ีพึง
ประสงค์ ชุดกิจกรรมการเรยี นรเู้ ป็น คาใหมย่ ังไมม่ นี ักการศึกษาทา่ นใดให้ความหมายไว้ แตม่ ีผู้ให้ความหมาย
ของคาบางคาทมี่ ีลักษณะและความหมายใกล้เคียงกนั คือ ชดุ การสอนหรือชุดการเรยี นการสอน ชุดการสอน
เป็นคาในภาษาองั กฤษที่เรียกช่อื ตา่ งกนั เช่น Learning Package Instruction Package หรือ Instruction
Kits ซึง่ มีนกั การศกึ ษาหลายท่าน ได้ใหค้ วามหมายของชุดการสอนหรือชดุ กจิ กรรมไวด้ งั น้ี
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2537 : 113 –114) ไดใ้ ห้ความหมายของ ชุดการสอนไว้ว่า เป็นส่อื ผสม
ประเภทหนึง่ ซึง่ มจี ดุ มงุ่ หมายเฉพาะเร่ืองที่จะสอน มีความสอดคล้องกบั เนื้อหาวชิ าหน่วยการเรยี นหรือหวั เรอ่ื ง
และวตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือชว่ ยใหม้ กี ารเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมการเรยี นรู้เป็นไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
บญุ เกื้อ ควรหาเวช (2543 : 91) ไดอ้ ธบิ ายวา่ ชดุ การสอนคือ ชุดการเรียนมาจากคาวา่ Instructional
Package หรอื Learning Package เดมิ ใชค้ าวา่ ชุดการสอน เพราะเป็นส่ือที่ครูนามาใช้ประกอบการสอน แต่
มาแนวคดิ ในการยดึ ผู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลางมอี ิทธิพลมากขึ้น การเรียนรทู้ ด่ี คี วรใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รียนเอง จงึ มผี ู้นยิ ม
เรยี กชุดการสอนเป็นชุดการเรยี น หรอื ชุดการเรียนการสอน
จากความหมายท่กี ล่าวมาขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ ชุดการสอนหรอื ชุดกิจกรรม คอื การนาเอาสอ่ื ประสมท่ีมี
การวางแผนการผลติ อยา่ งเปน็ ระบบ และมีความสัมพนั ธ์สอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หาวชิ ามาใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการ
เรยี นร้ใู นแต่ละหน่วย เพื่อถา่ ยทอดความรู้และประสบการณแ์ ก่นักเรยี น ชว่ ยให้นกั เรียนเกิดการเปล่ียนแปลง
พฤติกรรมการเรียนรู้ อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ซ่งึ ในการวิจัยครัง้ นีผ้ ูร้ ายงานจะเรยี กว่า “ชุดกิจกรรมการเรียนรู้”
2. แนวคิด ทฤษฎีและหลักการทีเ่ กยี่ วข้องกบั การสร้างชุดกจิ กรรมการเรียนรู้
การปฏิรูปการศึกษา การประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และการ
ประกาศใชห้ ลกั สตู รการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พ.ศ.2544 ทาให้แนวคิดในการจดั การเรยี นการสอนกว้างขน้ึ คา
วา่ “ชุดการสอน” จงึ เปลยี่ นมาเป็น “ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้” ซึ่งเนน้ กิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ท่ี
ผูเ้ รยี นสามารถเรียนร้แู ละพัฒนาไดด้ ้วยตนเอง แนวคดิ และทฤษฎที น่ี ามาใช้ในการสร้างชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้
จึงเหมือนกนั กบั แนวคิดทฤษฎแี ละหลกั การท่ีใช้ในการสร้างชดุ การสอน ซ่งึ ชม ภมู ภิ าค (ม.ป.ป., หนา้
100) ได้จาแนกแนวคิด และหลักการของ ดร.ชัยยงค์ พรมวงศ์ ไว้ดังน้ี
2.1 ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบคุ คล นกั การศึกษาไดน้ าหลกั จติ วิทยามาใชใ้ นการเรยี นการสอน
โดยคานึงถึงความตอ้ งการ ความถนัด และความสนใจของผูเ้ รยี นเป็น
สาคญั บุคคลมีความแตกต่างกนั หลายด้าน กล่าวคอื ความสามารถ สตปิ ัญญา ความต้องการ ความ
สนใจ รา่ งกาย อารมณ์ สังคม และความแตกต่างอน่ื ๆ วธิ ีการทเี่ หมาะสมทสี่ ุดคือ การจดั การสอน
รายบคุ คล หรอื การศึกษาตามสภาพ การศึกษาแบบเสรี และการศกึ ษาด้วยตนเอง ล้วนเป็นวธิ ีสอนทเ่ี ปดิ
โอกาสให้ผู้เรยี นมอี สิ ระในการเรียนตามสติปัญญาความสามารถ และความสนใจโดยครเู ปน็ ผู้คอยชว่ ยเหลือ
ตามความเหมาะสม
2.2 ทฤษฎีการเรยี นรยู้ ึดหลกั จติ วิทยาการเรียนรหู้ มายถงึ การเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้
นกั เรียน ดังน้ี
2.2.1 เข้าร่วมกิจกรรมในการเรียนด้วยตนเอง
2.2.2 การทราบผลการเรียนทนั ที
2.2.3 มกี ารเสรมิ แรงอันจะทาให้นกั เรียนกระทาพฤตกิ รรมนน้ั ซ้าหรือหลกี เลีย่ งไมก่ ระทา
2.2.4 ไดเ้ รยี นรไู้ ปทลี ะขน้ั ตอนตามความสามารถและความสนใจ
2.2.5 การนาเอาสอื่ ประสมมาใช้ หมายถึงการนาส่ือการสอนหลาย ๆ อย่างมาสัมพนั ธ์กัน
อยา่ งมคี ุณคา่ ทส่ี ง่ เสริมซงึ่ กนั และกันอย่างมีระบบ สือ่ การสอนอยา่ งงหน่งึ อาจใชเ้ ร้าความสนใจในขณะอกี
๙
อยา่ งหนึ่งใช้เพอ่ื การอธบิ ายขอ้ เท็จจรงิ ของเนอื้ หา และอีกชนดิ หน่ึงอาจใชเ้ พ่ือกอ่ ให้เกดิ ความเข้าใจที่
ลกึ ซึง้ การใชส้ ่ือประสมชว่ ยให้ผเู้ รียนมีประสบการณจ์ ากประสาทสมั ผัสท่ีผสมผสาน กับใหน้ ักเรยี นไดค้ น้ พบ
วธิ กี ารท่ีจะเรียนในสง่ิ ทต่ี อ้ งการได้ดว้ ยตนเองมากยิง่ ขนึ้
2.2.6 การเอากระบวนการกล่มุ มาใช้ เดมิ นนั้ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งครูและนกั เรียนใน
หอ้ งเรยี นมลี ักษณะเป็นทางเดยี วกลา่ วคอื ครเู ปน็ ผู้นา นกั เรียนเปน็ ผูต้ ามนักเรียนไม่มโี อกาสฝกึ การทางาน
เป็นกลมุ่ ทจี่ ะฝกึ การเคารพในความคิดเหน็ ของผู้อื่นเมอ่ื โตขนึ้ จงึ ทางานร่วมกนั ไม่ได้แนวโน้มในปัจจบุ ันและ
อนาคตจะต้องนากระบวนการกลมุ่ สมั พันธ์มาใช้ ทฤษฎกี ระบวนการกลุ่มจึงเปน็ แนวคิดทางพฤตกิ รรมศาสตร์
ซง่ึ นามาไว้ในรปู ของชดุ การสอน
2.2.7 การนาวธิ วี เิ คราะหร์ ะบบมาใช้ในการผลิตชุดการเรยี นซ่ึงแตกต่างไปจากการทา
โครงการสอนในปจั จบุ ันตรงท่ีว่า ชุดการสอนมกี ารจัดเนือ้ หาวชิ าให้สอดคล้องกับสภาพแวดลอ้ มและวัยของ
ผ้เู รยี นรายละเอยี ดตา่ งๆ ไดน้ าไปทดลองปรบั ปรุงจนมีคณุ ภาพเช่อื ถอื ได้แล้วจงึ นามาใช้
3. ประเภทของชุดกิจกรรม
บุญเก้อื ควรหาเวช (2543 : 145) ได้แบ่งประเภทของชดุ กิจกรรมเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี
1. ชุดกจิ กรรมประกอบคาบรรยาย เป็นชดุ กิจกรรมสาหรบั ผู้สอนทต่ี อ้ งการปพู ืน้ ฐานใหผ้ ู้เรยี น
สว่ นใหญไ่ ดร้ ้แู ละเข้าใจในเวลาเดียวกนั มุ่งในการขยายเน้ือหาสาระใหช้ ดั เจนขนึ้ ชดุ กิจกรรมแบบนจ้ี ะช่วยให้
ผ้สู อนลดการพดู ใหน้ ้อยลง และเป็นการใชส้ ื่อการสอนทมี่ ีพร้อมอย่ใู นชดุ กจิ กรรม ในการเสนอเน้อื หามากขน้ึ
สื่อทใ่ี ช้อาจได้แก่ รูปภาพ แผนภูมิ หรือกิจกรรมที่กาหนดไว้ เป็นต้น
2. ชดุ กจิ กรรมแบบกลมุ่ กจิ กรรม เปน็ ชุดกิจกรรมสาหรบั ใหผ้ ู้เรยี นร่วมกันเป็นกลมุ่ เล็กๆ
ประมาณ 5-7 คน โดยใช้สอื่ การสอนท่ีบรรจไุ วใ้ นชุดกิจกรรมแตล่ ะชุด มงุ่ ทจ่ี ะฝึกทกั ษะ ในเน้ือหาวชิ าท่ี
เรยี นและผ้เู รยี นมโี อกาสทางานรว่ มกนั ชดุ กจิ กรรมชนิดนม้ี กั จะใช้สอนในการสอนแบบกจิ กรรมกล่มุ เช่น การ
สอนแบบศูนย์การเรียน เป็นต้น
3. ชดุ กจิ กรรมแบบรายบุคคลหรอื ชดุ กจิ กรรมตามเอกัตภาพ เป็นชุดกิจกรรมสาหรับเรียนดว้ ย
ตนเองเป็นรายบคุ คล คอื ผู้เรียนจะตอ้ งศกึ ษาหาความร้ตู ามความสามารถและความสนใจของตนเองอาจเรียน
ที่โรงเรียนหรอื ท่ีบ้านก็ได้ส่วนมากมกั จะมุ่งใหผ้ ้เู รียนได้ทาความเขา้ ใจเนือ้ หาวิชาทเี่ รียนเพิม่ เติมผ้เู รยี นสามารถ
จะประเมินผลการเรยี นดว้ ยตนเองไดด้ ้วยชดุ กจิ กรรมชุดกจิ กรรมชนดิ นอี้ าจจะจัดในลักษณะของหน่วยการสอน
ส่วนย่อยหรอื โมดลู ก็ได้
ผศ.ดร.ระพินทร์ โพธิ์ศรี( 2545 : 59) ไดแ้ บง่ ประเภทของชดุ กจิ กรรมไดด้ งั น้ี
1. ชุดการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (Self study package) คอื ชุดกิจกรรมที่สร้างข้ึนโดยมี
จดุ มุ่งหมายให้ผ้เู รยี นนาไปศกึ ษาดว้ ยตนเอง โดยไม่มคี รูเปน็ ผ้สู อน เช่น บทเรยี นสาเรจ็ รูป ชุดการเรยี นแบบ
คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนหรอื ชดุ การเรียนผ่านเครือขา่ ยเวิลดไ์ วต์เว็บ
2. ชุดการเรียนการสอน คอื ชุดกจิ กรรมทีส่ ร้างขึ้นโดยมีครูเป็นผดู้ าเนนิ การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ ให้ผเู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้ บรรลตุ ามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ทก่ี าหนดไว้ เชน่ ชดุ ฝึกอบรม หรือชุดการสอน
ต่างๆ
จากประเภทของชดุ กิจกรรมทก่ี ลา่ วมา สรปุ ไดว้ ่า ชุดกิจกรรมมีอยู่ 2 ลกั ษณะ คอื ชุด
กิจกรรมทน่ี กั เรียนเรียนรดู้ ว้ ยตนเองและชุดกิจกรรมทคี่ รเู ปน็ ผดู้ าเนินการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูร้ ่วมกบั นักเรียน
4. องค์ประกอบของชดุ กิจกรรม
ลกั ษณะสาคญั ของชดุ กิจกรรม
๑๐
ผศ.ดร.ระพนิ ทร์ โพธิ์ศรี (2545 : 98) ไดก้ ล่าวถงึ ความสาคญั ของชุดกจิ กรรมทีม่ ีลักษณะสาคัญ
ดงั นี้
1. มีจดุ ประสงค์ปลายทางท่ีชดั เจน ที่ระบทุ ง้ั เนอ้ื หา ความรู้ และระดับทักษะ การเรยี นรูท้ ่ี
ชัดเจนนัน่ คอื จะต้องมจี ดุ ประสงค์ประจาชดุ กิจกรรมทร่ี ะบุไว้ชัดเจนวา่ เม่อื ผา่ นการเรยี นรู้ จบชดุ กิจกรรมนน้ั
แล้วนกั เรยี นต้องทาอะไรเปน็ ระดบั ใด
2. ระบกุ ลมุ่ เป้าหมายชดั เจนวา่ ชดุ กจิ กรรมดงั กล่าว สร้างขน้ึ สาหรับใคร
3. มีองค์ประกอบของจุดประสงคท์ ่เี ปน็ ระบบเปน็ เหตแุ ละผล เช่อื มโยงกันระหวา่ ง
จุดประสงค์ประจาหนว่ ยและจดุ ประสงคย์ ่อย
4. ตอ้ งมีคาชแี้ จง เน้ือหา กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผลท่สี อดคลอ้ งกับ
จดุ ประสงคแ์ ต่ละระดับ
5. กรณีทาเป็นชุดการสอน ตอ้ งมีคู่มือครทู ี่อธิบายวธิ ีการ เงือ่ นไขการใช้ชดุ กิจกรรรมและ
การเฉลยข้อคาถามทง้ั หมดในกิจกรรม ประเมินผล
สวุ ทิ ย์ มูลคา และอรทัย มลู คา (2545 : 52) กลา่ ววา่ ชดุ กิจกรรมมีองค์ประกอบทสี่ าคญั
4 ประการ ไดแ้ ก่
1. คมู่ อื การใช้ชดุ กิจกรรม เปน็ คู่มือหรอื แผนการสอนสาหรับผู้สอนใช้ศึกษาและปฏบิ ัตติ าม
ข้ันตอนตา่ งๆ ซงึ่ มีรายละเอยี ดชีแ้ จงไวอ้ ย่างชัดเจน เช่น การนาเขา้ สู่บทเรยี นการจัดชน้ั เรียน บทบาทของ
ผเู้ รียนเปน็ ต้น ลักษณะของคู่มืออาจจดั ทาเปน็ เล่ม หรอื แผ่นพับกไ็ ด้
2. บัตรคาส่งั หรือบัตรงาน เป็นเอกสารทีบ่ อกให้ผ้เู รียนประกอบกจิ กรรมแต่ละอย่างตาม
ขนั้ ตอนท่ีกาหนดไว้ บรรจอุ ยูใ่ นชุดการสอน บัตรคาสง่ั หรอื บัตรงานจะมีครบตามจานวนกลมุ่ หรือจานวนผู้เรียน
ซง่ึ ประกอบด้วย คาอธิบายในเรือ่ งท่จี ะศกึ ษา คาสั่งใหผ้ เู้ รยี นประกอบกจิ กรรม และการสรปุ บทเรยี น
3. เน้อื หาสาระและสื่อการเรียนประเภทตา่ งๆ จัดไว้เป็นรูปของส่อื การสอนที่หลากหลาย อาจ
แบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท
3.1 ประเภทเอกสารสงิ่ พิมพ์ เชน่ หนังสือ วารสาร บทความ ใบความรู้ ของเนื้อหาเฉพาะ
เรือ่ ง บทเรียนโปรแกรม เปน็ ต้น
3.2 ประเภทโสตทัศนปู กรณ์ เช่น รปู ภาพ แผนภาพ แผนภูมิ สมุดภาพเทปบนั ทกึ เสยี ง
เทปโทรทัศน์ สไลด์ วีดทิ ัศน์ ซีดีรอม โปรแกรมคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน เป็นตน้
4. แบบทดสอบ เปน็ แบบทดสอบท่ใี ชว้ ัดและประเมินความรูด้ ้วยตนเองท้งั ก่อน และหลงั
เรียน อาจจะเป็นแบบทดสอบชนิดจับคเู่ ลือกตอบหรอื กาเครอ่ื งหมายถกู ผดิ ก็ได้
บญุ เกอ้ื ควรหาเวช (2543 : 95-97) ได้กล่าวถึงองคป์ ระกอบของชดุ การสอนโดย
จาแนกส่วนของชุดการสอน เป็น 4 สว่ น คือ
1. คู่มือ สาหรับครผู ู้ใช้ชุดการสอน หรอื ผู้เรียนทีต่ ้องการเรียนจากชดุ การสอน
2. คาสั่งหรอื กรอบงาน เพ่อื กาหนดแนวทางการเรียนให้นกั เรยี น
3. เนือ้ หาสาระและสอ่ื โดยจัดให้อยใู่ นรปู ของส่อื การสอนแบบประสม และกจิ กรรมการ
เรยี นการสอนแบบกลมุ่ และรายบุคคลตามวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
4. การประเมนิ ผล เป็นการประเมนิ ของกระบวนการ ได้แก่ แบบฝึกหัด รายงานการ
คน้ คว้า และผลการเรยี นรใู้ นรูปของแบบสอบตา่ งๆ
จากเอกสารดังกลา่ วสรปุ ได้วา่ องค์ประกอบของชุดกจิ กรรม ควรประกอบดว้ ย
1. คู่มอื ครซู ่งึ เป็นคูม่ ือและแผนการจัดการเรยี นรู้ในการใช้ชุดกจิ กรรม
๑๑
2. วตั ถปุ ระสงคข์ องชุดกิจกรรม
3. คาชแี้ จงเน้ือหากิจกรรมการสอน
4. เน้อื หาสาระและสื่อ
5. การประเมนิ ที่สอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์
ชดุ กจิ กรรมมปี ระโยชนต์ อ่ การจัดการเรยี นการสอนทกุ ระดบั ถือว่า เปน็ นวตั กรรมการสอนท่ไี ดร้ ับความ
นิยมอยา่ งแพร่หลายและเปน็ สื่อทมี่ ีความเหมาะสมช่วยเร้าความสนใจ รวมทง้ั ช่วยสง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นเกิดความ
เปลย่ี นแปลง พฤติกรรมการเรียนรดู้ ้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละคน ทาให้ผู้เรียนเกดิ ทกั ษะในการ
แสวงหาความรไู้ ม่เบื่อหน่ายในการเรียน มีสว่ นรว่ มในการเรียน และสร้างความมัน่ ใจให้แกค่ รเู พราะชุดกิจกรรม
มกี ารจัดระบบการใช้สอ่ื ผลติ สื่อและกจิ กรรมการเรียนรรู้ วมทง้ั มขี อ้ แนะนา การใช้สาหรับครู ทาใหค้ รมู ีความ
พร้อมในการจดั กิจกรรมการเรียนร้จู งึ ก่อให้เกดิ ประสิทธิภาพในการเรียนการสอนอยา่ งแท้จรงิ
จากการที่มนี ักการศกึ ษาหลายทา่ น ได้ศึกษาเกีย่ วกบั องค์ประกอบของชดุ การสอน หรือชุดกิจกรรมไว้
หลากหลายรูปแบบ ผู้รายงานจงึ กาหนดองคป์ ระกอบของชดุ กิจกรรมการเรยี นร้ทู สี่ าคัญได้แก่ คาชแ้ี จงสาหรับ
ครู บทบาทของครใู นชน้ั เรียน บทบาทของนักเรียนในชนั้ เรยี น บทบาทของนกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ แผนจัดการ
เรยี นรู้ สือ่ การเรียนรู้ ได้แก่ บัตรคาสงั่ ใบความรู้ ใบงาน แบบทดสอบ บัตรเฉลยใบงาน บตั รเฉลยแบบทดสอบ
และแบบประเมินการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
๕. ข้ันตอนของการสรา้ งชุดกิจกรรม
สวุ ิทย์ มลู คา (2552, อ้างใน สริ ดา เอ่ยี มมา, 2555 : 22) ได้เสนอขน้ั ตอนในการสรา้ ง ชดุ กจิ กรรมไวด้ งั นี้
1. กาหนดเร่ืองเพ่ือทาชดุ กิจกรรม อาจกาหนดตามเรอื่ งในหลักสตู ร หรอื กาหนด เร่ืองใหม่ ขึน้ มากไ็ ด้
การจดั แบ่งเรื่องย่อยจะขนึ้ อยูก่ ับเนอ้ื หา และลกั ษณะการใช้ชดุ กิจกรรมน้ัน ๆ
2. กาหนดหมวดหมเู่ นอ้ื หาและประสบการณ์
3. จัดเป็นหน่วยการสอน จะแบง่ เปน็ กี่หนว่ ย หน่วยหนึง่ ๆ จะใชเ้ วลานานเทา่ ใด ควร พจิ ารณาให้
เหมาะสมกับวยั และระดบั ช้นั ของผเู้ รยี น
4. กาหนดหัวเรอื่ ง จดั แบ่งหน่วยการสอนเป็นหัวขอ้ ย่อย ๆ เพ่ือสะดวกแก่การเรยี นรู้
5. กาหนดความคิดรวบยอดหรือหลักการ ตอ้ งกาหนดใหช้ ดั เจนวา่ จะใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความคิดรวบยอด
หรือสามารถสรุปหลักการ แนวคดิ อะไร
6. กาหนดจดุ ประสงค์การสอน ซ่ึงเปน็ จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
7. กาหนดกิจกรรมการเรยี น ต้องกาหนดใหส้ อดคล้องกบั วัตถุประสงคซ์ ่ึงจะเป็นแนวทาง ในการเลือก
และผลิตส่อื การสอน กจิ กรรมการเรยี น
8. กาหนดแบบประเมนิ ผล ต้องออกแบบให้ตรงกบั จุดประสงค์
9. เลือกและผลิตสอื่ การสอน
10. สร้างข้อสอบกอ่ นและหลงั เรียนพร้อมท้งั เฉลย
11. หาประสิทธิภาพของชดุ กจิ กรรม
12. นาชดุ กจิ กรรมไปใช้โดยมีขั้นตอนการใช้ดงั น้ีขน้ั ทดสอบก่อนเรยี น ขน้ั นาเขา้ สูบ่ ทเรยี น ขัน้
ประกอบกิจกรรมการเรยี น ขั้นสรุปบทเรยี น และขน้ั ประเมนิ ผลการเรียน
๖. ประโยชนข์ องชุดกิจกรรม
การสอนโดยใช้ชุดกจิ กรรมประเภทใดก็ตาม ยอ่ มทาให้มีคุณประโยชนต์ ่อการเพมิ่ คุณค่าในการเรยี น
การสอน ถ้ามีระบบการผลิตที่มกี ารทดสอบวิจยั แล้ว
บญุ เกอ้ื ควรหาเวช (2543 : 110 – 111) ได้สรุปคุณค่าและประโยชน์ของชุด
๑๒
การสอนที่มตี ่อการเรียนการสอนไว้ดงั นี้
1. ชว่ ยเพ่ิมประสทิ ธภิ าพในการเรยี นรู้
2. ขจัดปัญหาการขาดแคลนครู ช่วยลดภาระของครผู ู้สอน
3. ช่วยให้ผู้เรยี นจานวนมากได้รับความรู้แนวเดยี วกัน
4. ชว่ ยใหค้ รูสามารถดาเนินการสอนได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงคด์ ้วยความม่นั ใจ
5. ช่วยให้กิจกรรมการเรียนมปี ระสิทธภิ าพ
6. ช่วยให้ครูวดั ผลเดก็ ได้ตามวตั ถปุ ระสงค์
7. เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนใช้ความสามารถของตนเองไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่
8. ช่วยสรา้ งเสริมการเรยี นอยา่ งตอ่ เนื่อง
9. ช่วยให้ผเู้ รียนรู้จักเคารพ นับถอื ความคิดเห็นของผู้อ่ืน
ธงชยั ต้นทพั ไทย (2548 : 15) ได้กล่าวถงึ ประโยชนข์ องชดุ กิจกรรมวา่ เปน็ ส่อื
การสอนท่มี คี ณุ ภาพเพ่ือช่วยเพ่ิมประสทิ ธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ของผ้สู อนและสง่ เสริมพัฒนาให้
ผ้เู รียนไดเ้ กดิ การเรยี นรู้ด้วยตนเอง มีโอกาสฝึกปฏิบัติ และแสดงความคดิ อย่างสรา้ งสรรค์ ทกั ษะการสือ่ สาร
ทางวทิ ยาศาสตรต์ ามศักยภาพของแต่ละบุคคลไดอ้ ย่างเตม็ ความสามารถ โดยเน้นผู้เรยี นเปน็ สาคัญ เพื่อให้
ผเู้ รยี นมีคณุ ลกั ษณะสมบูรณ์ท้งั ดา้ นความรู้ เป็นคนดี และมีความสุข เสริมสรา้ งมนุษยส์ มั พนั ธแ์ บบกัลยาณมิตร
กับผอู้ ่นื
อภญิ ญา เคนบปุ ผา (2546 : 26) กล่าวว่า ชุดกิจกรรมจะชว่ ยเพ่มิ ประสิทธิภาพใน
การสอนของครู และสง่ เสรมิ การเรยี นของนกั เรียนใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ โดยเปิดโอกาส
ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาและปฏิบตั กิ ิจกรรมจากชุดกิจกรรมด้วยตนเอง ซ่ึงเป็นการเรยี นโดยยดึ ผเู้ รยี นเป็นสาคัญ ผู้เรยี น
จะมสี ว่ นรว่ มในการปฏิบตั กิ ิจกรรมตา่ งๆ ตามความสามารถของแต่ละบุคคล ทาใหน้ กั เรียนไม่เบ่อื หนา่ ยท่จี ะ
เรยี น แตม่ ีความกระตอื รอื รน้ ท่ีจะคน้ คว้าหาคาตอบดว้ ยตวั เอง ทาใหน้ กั เรียนมีโอกาสในการฝกึ ทกั ษะปฏบิ ตั ิใน
ด้านต่างๆ ได้ดว้ ย
สรุปไดว้ า่ คณุ คา่ และประโยชนข์ องชุดกิจกรรม นอกจากจะใช้สอนไดต้ รงตามเนอ้ื หาวชิ า และ
จุดประสงคข์ องหลกั สูตรแล้วยังจะสามารถช่วยพัฒนาความรคู้ วามสามารถของผเู้ รียนทาให้ผเู้ รียนเกิดการ
เรียนรูอ้ ย่างรวดเรว็ และยังช่วยแก้ปัญหาในการเรียนการสอนอนั เน่ืองมาจากครูและความสามารถของ
นักเรียนแต่ละคน และยงั ชว่ ยเพิ่มประสทิ ธภิ าพการเรียนการสอนใหเ้ ปน็ มาตรฐานเดียวกัน สาหรับชุดกจิ กรรม
การเรยี นรูท้ ผ่ี รู้ ายงานสร้างขน้ึ เป็นการนาหลกั การของการสรา้ งชุดการสอน หรอื ชุดกจิ กรรมมาใช้ในการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ โดยนาการเรยี นแบบร่วมมอื กระบวนการเรียนรว่ มกนั เปน็ แนวทางในการจดั กิจกรรมการ
เรยี นรู้ เพ่อื ให้นกั เรยี นเรยี นรู้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
รูปแบบการสอน 5Es
กระบวนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry) 5Es
ประกอบดว้ ยข้ันตอนท่สี าคัญ ดังนี้
1. การสรา้ งความสนใจ (Engagement) เปน็ การนาเข้าสบู่ ทเรียนหรอื เร่อื งท่สี นใจ ซง่ึ อาจเกิดขนึ้ เองจากเร่ือง
ท่สี งสยั จากความสนใจของตัวผู้เรยี นเอง หรอื เกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่มเรื่องท่ีนา่ สนใจอาจมาจาก
เหตุการณ์ทกี่ าลังเกดิ ขน้ึ ในช่วงเวลานนั้ หรือเปน็ เรอ่ื งทีเ่ ช่อื มโยงกบั ความรเู้ ดมิ ทเ่ี พิ่งเรยี นมาแลว้ เป็นตัวกระตุ้น
ให้ผู้เรียน สร้างคาถาม กาหนดประเด็นทจ่ี ะศึกษา ในกรณที ่ยี ังไมม่ ปี ระเด็นทน่ี า่ สนใจ ผู้สอนอาจให้ศกึ ษาจาก
สอ่ื ตา่ งๆ หรอื เป็นผู้ กระตุ้นด้วยการเสนอประเดน็ ข้นึ มากอ่ น แต่ไม่ควรบงั คับใหผ้ ้เู รียนยอมรับประเดน็ ท่ผี ู้สอน
๑๓
กาลังสนใจเป็นเร่ืองท่จี ะใช้ ศึกษา เม่ือมคี าถามท่ีน่าสนใจและผู้เรียนส่วนใหญย่ อมรบั ใหเ้ ป็นประเด็นที่ต้องการ
ศึกษา จงึ ร่วมกันกาหนดขอบเขตและ แจกแจงรายละเอียดของเรอื่ งทีศ่ ึกษาให้มีความชดั เจนยง่ิ ข้นึ อาจรวมทงั้
การรวบรวมความร้ปู ระสบการณ์เดิมหรอื ความรู้ จากแหลง่ ต่างๆ ท่ีจะชว่ ยให้นาไปสู่ความเข้าใจเรอ่ื ง หรอื
ประเด็นท่ีจะศกึ ษามากขนึ้ และมีแนวทางในการสารวจตรวจสอบ อยา่ ง
หลากหลาย
2. การสารวจและคน้ หา (Exploration) เม่อื ทาความเขา้ ใจในประเดน็ หรอื คาถามท่ีสนใจศกึ ษา อย่าง ถ่องแท้
แลว้ ให้มกี ารวางแผนกาหนดแนวทางในการสารวจตรวจสอบตัง้ สมมตฐิ าน กาหนดทางเลอื กท่ีเป็นไปไดล้ งมือ
ปฏิบัติเพอ่ื รวบรวมขอ้ มลู ขอ้ สนเทศ หรือปรากฏการณต์ ่างๆ วิธกี ารตรวจสอบทาได้หลายวธิ เี ชน่ ทาการ
ทดลอง ทากิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพวิ เตอรเ์ พอ่ื ช่วยในการสร้างสถานการณ์จาลอง การศกึ ษาหาข้อมูล
จากเอกสารอ้างอิงหรอื แหล่งข้อมลู ตา่ งๆ เพื่อใหไ้ ดม้ าซงึ่ ข้อมลู อยา่ งเพียงพอทจ่ี ะนาไปใช้ในขัน้ ต่อไป
3. การอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) เมอ่ื ไดข้ อ้ มูลอยา่ งเพียงพอต่อการสารวจตรวจสอบ แลว้ จงึ นา
ขอ้ สนเทศทไี่ ดม้ าวิเคราะหแ์ ปลผล สรุปผล และนาเสนอผลทีไ่ ดใ้ นรูปตา่ งๆ เชน่ บรรยายสรุป สรา้ งแบบจาลอง
ทาง คณิตศาสตรห์ รอื วาดรปู สรา้ งตาราง ฯลฯ การค้นพบในขัน้ น้ีเป็นไปได้หลายทาง เชน่ สนบั สนุนสมมติฐาน
ที่ต้ังไว้โต้แย้ง กบั สมมติฐานท่ีตั้งไวห้ รอื ไมเ่ กย่ี วข้องกบั ประเดน็ ที่กาหนดไว้แต่ผลทไ่ี ด้จะอยู่ในรปู แบบใดก็
สามารถสร้างความรแู้ ละชว่ ย ใหเ้ กดิ การเรียนรูไ้ ด้
4. การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนาความรทู้ สี่ ร้างขึน้ ไปเชื่อมโยงกบั ความรู้เดมิ หรอื แนวคิด ที่ได้
คน้ ควา้ เพ่ิมเตมิ หรอื นาแบบจาลองหรือข้อสรปุ ทไี่ ด้ไปใช้อธบายสถานการณ ิ ์หรอื เหตุการณอ์ นื่ ๆ ถา้ ใชอ้ ธิบาย
เรื่องต่างๆ ไดม้ ากแสดงวา่ ข้อจากัดน้อย ซ่งึ จะชว่ ย เช่อื มโยงกับเรอ่ื งต่างๆ ทาให้เกดิ ความรู้กว้างขวางข้ึน
5. การประเมินผล (Evaluation) เป็นการประเมนิ การเรยี นรู้ด้วยกระบวนการต่างๆ ว่าผูเ้ รียนมี ความรู้
อะไรบา้ ง อยา่ งไร มากน้อยเพียงใด จากนั้นจึงนาความรไู้ ปประยกุ ต์ใชใ้ นเืร่องอนื่ ๆ การนาความรู้และ
แบบจาลอง ไปใชอ้ ธิบายหรือประยุกต์ใช้กบั เหตุการณห์ รอื เรอื่ งอ่ืนๆ จะนาไปสู่ขอ้ โต้แย้งหรือขอ้ จากดั ซ่งึ จะ
ก่อใหเ้ กดิ ประเด็นหรือ คาถาม หรือปญั หาท่ีต้องการสารวจตรวจสอบต่อไป ทาใหเ้ กดิ กระบวนการที่
ตอ่ เน่ืองกนั ไปเรอื่ ยๆ จงึ เรยี กวา่ Inquiry cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรู้จงึ ชว่ ยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ท้งั เนือ้ หา หลกั การ และทฤษฎีตลอดจนการลงมือ ปฏิบัตเิ พ่อื ให้ไดค้ วามรู้ซึ่งจะเปน็ พนื้ ฐานในการเรยี นรตู้ อ่ ไป
บทบาทผสู้ อนในกระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ขนั้ ตอนการเรยี นการสอนในกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ 5 ขนั้ ตอน สง่ิ ทีผ่ ู้สอนควรทา
1. การสร้างความสนใจ(Engagement) โดยผูส้ อนควรสรา้ งตัง้ คาถามกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นคิดดึงเอาคาตอบท่ียังไม่
ครอบคลมุ สิ่งทีผ่ ้เู รยี นร้หู รือแนวคิดหรอื เนอื้ หา
2. การสารวจและคน้ หา(Exploration) โดยผู้สอนสง่ เสริมใหผ้ ูเ้ รียนทางานร่วมกนั ในการสารวจ ตรวจสอบ
สังเกตและฟังการโตต้ อบกนั ระหว่างผู้เรยี นกบั ผูเ้ รยี น ทาการซักถามเพื่อนาไปสู่การสารวจตรวจสอบของ
ผู้เรยี น และให้ เวลาผู้เรยี นในการคิดขอ้ สงสยั ตลอดจนปญั หาต่าง ๆ และทาหน้าท่ีให้คาปรึกษาแกผ่ ู้เรยี น
3. การอธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) โดยผู้สอนสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นอธิบายแนวคดิ หรอื ให้คาจากัดความ
ดว้ ยคาพูดของผู้เรียนเอง ให้ผ้เู รียนแสดงหลกั ฐาน ให้เหตุผลและอธิบายให้กระจ่าง ใหผ้ ูเ้ รยี นอธบิ าย ใหค้ า
จากัดความและ ชบ้ี อกส่วนต่างๆ ในแผนภาพให้ผู้เรยี นใชป้ ระสบการณ์เดิมของตนเป็นพื้นฐานในการอธบิ าย
แนวคดิ
4. การขยายความร(ู้ Elaboration) โดยผู้สอนคาดหวงั ใหืผ้ ้เรียนได้ใชป้ ระโยชน์จากการชี้บอก ส่วนประกอบ
ต่าง ๆ ในแผนภาพคาจากดั ความและอธิบายสงิ่ ที่เรยี นรมู้ าแลว้ สง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนนาส่งิ ท่ผี ูเ้ รียนได้เรยี นรู้ไป
๑๔
ประยกุ ต์ใชห้ รือ ขยายความรแู้ ละทกั ษะในสถานการณใ์ หม่ ให้ผู้เรียนอธิบายอย่างมคี วามหมาย ให้ผู้เรยี น
อา้ งองิ ข้อมลู ที่มอี ย่พู รอ้ มท้ังแสดง หลกั ฐานและถามคาถามผู้เรียนวา่ ได้เรยี นรู้อะไรบา้ ง หรอื ไดแ้ นวคิดอะไร
5. การประเมินผล (Evaluation) โดยผูส้ อนสงั เกตผเู้ รยี นในการนาแนวคิดและทักษะใหม่ไปประยกุ ตใ์ ช้
ประเมิน ความรู้และทักษะผู้เรียน หาหลักฐานทแ่ี สดงวา่ ผู้เรยี นเปล่ยี นความคิดหรือพฤติกรรม ให้ผู้เรียน
ประเมนิ การเรยี นรแู้ ละ ทกั ษะกระบวนการกลมุ่ ถามคาถามปลายเปดิ เช่น ทาไมผเู้ รียนจงึ คิดเชน่ นั้น
บทบาทของผู้เรยี นในการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้
1. การสรา้ งความสนใจ(Engagement) โดยผู้เรยี นถามคาถาม เชน่ ทาไมส่ิงนีจ้ งึ เกิด ข้ึนฉันไดเ้ รียนรอู้ ะไรบ้
เกย่ี ว กับส่ิงน้ีแสดงความสนใจ
2. การสารวจและค้นหา(Exploration) โดยผเู้ รียนคดิ อยา่ งอิสระแตอ่ ยู่ในขอบเขตของกิจกรรม ทดสอบการ
คาดคะเนและสมมตฐิ าน คาดคะเนและต้งั สมมติฐานใหม่ พยายามหาทางเลอื กในการแกป้ ัญหาและอภิปราย
ทางเลือกเหล่าน้ัน กับคนอืน่ บันทึกการสังเกตและใหข้ อ้ คิดเห็น และลงข้อสรปุ
3. การอธิบายและลงข้อสรุป(Explanation) โดยผเู้ รยี นอธิบายการแก้ปญั หาหรือคาตอบที่ซบั ซ้อน ฟงั
คาอธิบาย ของคนอ่ืนอย่างคิดวิเคราะหถ์ ามคาถามเกยี่ วกบั สิ่งที่คนอ่นื ไดอ้ ธิบาย ฟงั และพยายามทาความเขา้ ใจ
เกี่ยวกับส่งิ ท่คี รอู ธิบาย อ้างองิ กจิ กรรมที่ได้ปฏิบตั ิมาแลว้ ใชข้ อ้ มลู ท่ไี ดจ้ ากการบันทกึ หรือสงั เกตในการอธบิ าย
4. การขยายความรู(้ Elaboration) โดยผู้เรียนอธิบายการแก้ปญั หาหรือคาตอบทีซ่ ับซอ้ น ฟังคาอธิบายของคน
อื่น อยา่ งคิดวเิ คราะหถ์ ามคาถามเกี่ยวกบั สงิ่ ทคี่ นอ่นื ได้อธบิ าย ฟังและพยายามทาความเข้าใจเกี่ยวกับสง่ิ ท่ี
ผสู้ อนอธบิ าย อา้ งองิ กิจกรรมท่ีไดป้ ฏบิ ัตมิ าแลว้ ใชข้ อ้ มลู ทีไ่ ด้จากการบนั ทึกหรือสงั เกตในการอธบิ าย
5. การประเมนิ ผล (Evaluation) โดยผ้เู รยี นตอบคาถามปลายเปดิ โดยใชก้ ารสังเกต หลกั ฐานและคาอธบิ ายท่ี
ยอมรบั มาแล้ว แสดงออกถงึ ความรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกับความคิดรวบยอดหรอื ทกั ษะประเมินความก้าวหนา้ ดว้ ย
ตนเอง ถามคาถามเพื่อให้มีการตรวจสอบตอ่ ไป
คณุ ลักษณะสาคัญของการสืบเสาะหาความรู้ (5 Essential features of Inquiry)
1. ผู้เรยี นตง้ั คาถามทางวิทยาศาสตรโ์ ดยส่วนใหญค่ นเราจะตั้งคาถามต่างๆได้ก็ตอ่ เมอ่ื เกิดการสังเกต เกิด
ปญั หา หรอื ขอ้ สงสัยต่างๆขึน้ ในตนเอง แม้ว่าผู้สอนจะกระตุ้นให้ผเู้ รยี นเกิดทกั ษะและฝกึ กระบวนการการสร้าง
คาถาม แตจ่ ะพบ ได้วา่ ในสถานการณ์จริงเราอาจจะไม่สามารถตอบคาถามได้ทกุ เรื่องในชว่ งเวลานนั้ ท้งั น้ีอาจ
เปน็ เพราะข้อจากัดของ ความรวู้ สั ดอุ ุปกรณต์ า่ งๆ ที่จะมาชว่ ยในการตอบคาถามท่สี งสัย ดงั น้ันผสู้ อนควรจะ
เป็นผูช้ ่วย เป็นผแู้ นะนาใหผ้ เู้ รียนใช้ 6 กระบวนการคิดหรือปรับขอ้ คาถามใหเ้ ป็นคาถามที่สามารถสารวจ
ตรวจสอบ (Testable question) หรือสามารถ ตงั้ สมมตฐิ านท่ีตรวจสอบได้ผา่ นกระบวนการทางานทาง
วิทยาศาสตร์
2. ผ้เู รียนใหค้ วามสาคัญกบั หลักฐานหรอื ประจักษ์พยานของคาถามที่ต้ังข้นึ ซง่ึ จากคาถามที่ตั้งขึ้นผูเ้ รียนจะทา
การปฏิบัตเิ พ่ือหาคาตอบ ด้วยวธิ กี ารตา่ งๆเชน่ จากการสารวจตรวจสอบหรอื จากการทดลอง ผู้เรยี นจึง
จาเป็นต้องเกบ็ ข้อมลู ด้วยความละเอียด ถกู ตอ้ งและแมน่ ยา ดว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรซ์ ่งึ การจะให้
ได้มาซง่ึ ข้อมลู ท่ีถกู ตอ้ งและ แมน่ ยา ผู้เรียนควรได้รบั การฝกึ ฝนทกั ษะในการใช้เครื่องมือและอปุ กรณต์ ่างๆ
ประเมนิ ถงึ ขอ้ ดีและขอ้ ดอ้ ยของเครอ่ื งมอื แตล่ ะชนิดเสียกอ่ น เพอื่ จะไดเ้ ลอื กใชไ้ ด้ถกู ต้องเหมาะสมดว้ ยความ
ชานาญ ดังนนั้ ครูจงึ ควรให้ความสาคญั กบั การฝึกทกั ษะ การปฏิบัตกิ ารเบ้อื งตน้ กอ่ นการใชก้ ารเรยี นรแู้ บบสบื
เสาะหาความรู้
3. ผูเ้ รยี นสรา้ งคาอธิบายจากขอ้ มลู และหลักฐานทม่ี ีซึ่งเมื่อผู้เรยี นได้เก็บข้อมลู ตา่ งๆด้วยความละเอียดแลว้
ข้อมูลดิบท่ไี ด้มา จะถูกนามาวิเคราะห์และใช้เปน็ หลกั ฐานในการใช้สรา้ งคาอธิบาย ดงั นั้นผเู้ รียนจงึ จาเปน็ ตอ้ ง
ใช้เหตุผลใน การคดิ วเิ คราะหด์ ้วยวธิ กี ารทเี่ หมาะสม อยา่ งซ่อื สัตยแ์ ละสอดคลอ้ งกับคาถามหรอื ปญั หาที่ตัง้ ไว้
๑๕
4.ผ้เู รียนเชอื่ มโยงองคค์ วามร้ทู ไี่ ด้สู่องค์ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์เมอ่ื ผู้เรียนไดห้ ลกั ฐาน สามารถสร้างคาอธิบาย
และใช้กระบวนการสงั เคราะห์ออกมาเปน็ คาอธบิ ายของตนเองแลว้ ผเู้ รียนควรไดท้ าการสืบคน้ เพ่ือศกึ ษา
เพ่มิ เตมิ วา่ จาก องคค์ วามรทู้ ่ีผู้เรยี นไดน้ ้ัน มีความสอดคล้องหรือแตกต่างจากองค์ความรู้เช่น หลกั การ กฎ
ทฤษฎหี รอื แนวคิดทาง วทิ ยาศาสตร์ท่มี ีอยู่ในปจั จุบนั อยา่ งไร
5. ผูเ้ รยี นสื่อสารและประเมินองค์ความรู้อยา่ งมเี หตผุ ล การทผ่ี ู้เรยี นไดส้ รา้ งองค์ความรูจ้ ากการลงมือปฏบิ ัติ
และ สบื เสาะดว้ ยตนเอง ความรใู้ หมท่ ไ่ี ดจ้ ะช่วยให้ผ้เู รยี นได้รู้สกึ เห็นคณุ ค่าของการทางานดงั เชน่
นักวิทยาศาสตรซ์ งึ่ การทางาน ของนักวิทยาศาสตรจ์ ะไม่สิ้นสดุ ลงทก่ี ารได้ผลการทดลอง แตน่ ักวทิ ยาศาสตร์จะ
นาเอาองคค์ วามรูท้ ่ไี ด้มาใช้ส่อื สารตอ่ ประชาคมโลก ดังน้ัน การส่ือสารจงึ เปน็ อีกคุณลกั ษณะหนง่ึ ท่ีจาเป็น
กล่าวคือ การเปิดโอกาสให้ผูอ้ ่นื ได้วพิ ากษ์วิจารณ์ ผลงาน เพอื่ แลกเปลี่ยนเรียนรกู้ นั นั้น เปน็ การชว่ ยให้ผเู้ รียน
ได้เรยี นรู้และฝกึ การให้และรับข้อเสนอแนะจากผู้อ่ืน ซึง่ เป็น การช่วยเตมิ เตม็ ความรใู้ นส่วนท่ยี ังไม่สมบูรณใ์ หด้ ี
ยิ่งข้นึ อกี ทงั้ ยังเปน็ การฝึกใหผ้ เู้ รยี น เรยี นร้ทู จ่ี ะรบั ฟังความคดิ เหน็ ขอ้ วิพากษแ์ ละวิจารณจ์ ากผูอ้ ่นื ได้ดว้ ย
ความแตกต่างของการเรียนรู้แบบ 5E กับการเรียนรูแ้ บบด้งั เดมิ
แนวคิดการเรียนร้แู บบ 5E
1. กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้ทู ่เี น้นการฝกึ กระบวนการเรียน ท่จี ะทาให้ไดม้ าซ่งึ องคค์ วามรู้
2. เนน้ การเรียนทใี่ หผ้ ู้เรยี นเปน็ ผกู้ ระทา หรือปฏิบัตใิ ห้ เกดิ องค์ความรูม้ ากกว่าเป็นผู้รับองคค์ วามรู้
3. มกั มคี วามเชื่อว่าผู้สอนต้องรบั ผิดชอบ ให้ความ สนใจติดตามรูปแบบวิธกี ารคดิ และการเปล่ยี นแปลง การคิด
ของผูเ้ รียนในทุกข้ันตอนของการเรยี นรู้
การเรยี นรู้แบบดงั้ เดิม
1. กาหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้ท่เี น้นการนาเสนอ แนวคิด ความรู้และืขอ้ เทจ็ จริงให้กับนกั เรยี นเปน็ หลัก
2. ขาดการมุ่งเนน้ ทกี่ ระบวนการการเรียนร้แู ละ กระบวนการคดิ ทีจ่ าเปน็ ต่อการเรยี นรู้
3. มกั มีความเชื่อว่าความสามารถในการคดิ เป็นสิ่งทม่ี มี าแต่กาเนิด การใหเ้ วลากับการคิดเป็นการเสียเวลา
ดงั น้นั ควรมงุ่ เน้นไปท่ีการให้เน้ือหาสาระแกผ่ ูเ้ รยี น
ข้อดี-ขอ้ จากดั ในการเรยี นแบบ 5E
ข้อดีวธิ ีจดั การเรยี นรู้้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ แบบ 5E
1. ผู้เรียนสามารถพฒั นาความคิดได้อยา่ งเต็มที่ รู้จักใช้ เหตผุ ลมาวิเคราะหบ์ ทเรียน
2. ผู้เรียนสามารถคิดเรอ่ื งอย่างเปน็ ระบบมีข้นั ตอนใน การคดิ อนั จะส่งผลต่อผูเ้ รียนในการพฒั นาตัวเองเพอ่ื
3. การเรยี นการสอนให้ความสาคญั กบั ผเู้ รยี นหรือผเู้ รียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง
ข้อจากดั วิธจี ัดการเรียนรู้้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหา ความรู้แบบ 5E
1. ในการสอนแตล่ ะครง้ั ใช้เวลาค่อนขา้ งจะมาก
2. หากสถานการณ์ที่ผู้สอนสร้างขน้ึ ไม่เรา้ ใจผู้เรียน อาจจะทาใหผ้ ูเ้ รียนให้ความร่วมมอื ในกจิ กรรมการเรยี น
การสอนน้อยลง มผี ลทาใหบ้ รรยากาศการเรียนการสอนไมเ่ รา้ ใจเท่าที่ควร ดงั น้นั ผสู้ อนต้องเตรียมยก
สถานการณท์ ่ีสามารถทาให้ผเู้ รยี นอยากมสี ว่ นร่วมมากทีส่ ดุ
3. สาหรบั เน้อื หาวิชาทม่ี ีความซับซ้อน และค่อนข้าง ยาก จะทาให้นักเรยี นท่ีสตปิ ญั ญาอาจมีปญั หาในการ
เรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง
4. ผู้เรยี นทมี่ วี ุฒิภาวะที่ยังไมเ่ ปน็ ผใู้ หญพ่ อ อาจไม่มี แรงจงู ใจพียงพอทจ่ี ะทาใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้
บทสรปุ การใหก้ ารศกึ ษาสาหรับศตวรรษที่ 21 จะมีความยืดหยุ่น สรา้ งสรรคท์ ้าทาย และซบั ซอ้ น
เป็นการศกึ ษาท่ีจะทาใหโ้ ลกเกิดการเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ อยา่ งเต็มไปด้วยส่งิ ท้าทายและปัญหา รวมทัง้
โอกาสและสิง่ ทเี่ ป็นไปไดใ้ หม่ๆ ที่น่า ตน่ื เตน้ ความทา้ ทาย โดยการจดั กิจกรรมการเรียนร้ดู ้วยกระบวนการสบื
๑๖
เสาะหาความรแู้ บบ 5E เปน็ การเรียนการสอน ให้ความสาคัญกบั ผเู้ รียนหรือผ้เู รยี นเป็นศูนย์กลาง มีการจัดการ
เรียนรทู้ ่ฝี ึกใหผ้ ้เู รียนรู้จกั คน้ ควา้ หาความรโู้ ดยใช้ กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล ทาใหค้ ้นพบความรหู้ รือ
แนวทางแกป้ ญั หาท่ีถูกต้องด้วยตนเอง โดยผ้สู อนต้ังคาถาม ประเภทกระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนใชค้ วามคดิ หาวธิ ีการ
แก้ปัญหาได้เอง สามารถนาการแก้ปญั หามาใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั ได้ซ่งึ ไดเ้ สนอขน้ั ตอนในการจดั การ
เรียนการสอนเปน็ 5 ขั้นตอน คอื ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) ขน้ั สารวจและ คน้ หา (Exploration)
ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) ขั้นขยายความรู้(Elaboration) และขนั้ ประเมิน (Evaluation)
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E ดังที่กล่าวนัน้ ได้เนน้ ท่ีองคค์ วามรทู้ กั ษะ ความเชยี่ วชาญและ
สมรรถนะท่ีเกดิ กบั ตัวผู้เรยี น เพ่ือใช้ในการดารงชีวิตในสังคมแห่งความเปลย่ี นแปลงในปจั จุบัน อ้างองิ ทศิ นา
แขมมณแี ละคณะ. (2545). การคิดและการสอนเพ่ือพัฒนากระบวนการคดิ . กรงุ เทพฯ: สานกั งานพัฒนา
คณุ ภาพวชิ าการ (พว.)กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์เดอะมาสเตอร์กรุ๊ป แมเนจเมน้ ท.์ สุวทิ ย์มูลคา; และ อรทยั มลู คา.
(2545). 21 วธิ จี ดั การเรียนรู้เพ่ือพฒั นากระบวนการคดิ . กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ภาพพิมพ์.
ความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรยี นรู้
1. ความหมายของความพงึ พอใจ
ความพึงพอใจ (satisfaction) เปน็ ทัศนคติที่เป็นนามธรรมไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้
การทเ่ี ราจะทราบว่า บุคคลมีความพงึ พอใจหรือไม่ สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ค่อนขา้ งสลับซบั ซ้อน
จงึ เปน็ การยากท่จี ะวดั ความพงึ พอใจโดยตรง แต่สามารถวัดโดยทางอ้อมจากการคิดเห็นของบุคคลเหลา่ น้นั
และการแสดงความคิดเหน็ นั้นจะต้องตรงกบั ความรสู้ กึ ทีแ่ ท้จริง จึงจะสามารถวัดความพึงพอใจน้นั ได้ และได้
มผี ใู้ หค้ วามหมายของความพึงพอใจไวห้ ลายคน ดังนี้
พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน (2552 : 455) ไดใ้ หค้ วามหมายไว้ว่า พอใจ หมายถึง
สมใจ ชอบใจ เหมาะ และพึงใจ หมายถงึ พอใจ ชอบใจ
ฟ้ามุ่ย สุกณั ศลี (2548 :25) กลา่ วว่า ความรู้สึกที่ดี หรอื ทัศนคตทิ ่ดี ีของบุคคลซ่งึ มักจะเกดิ
จากการได้รบั การตอบสนองตามที่ตนตอ้ งการ ก็จะเกิดความรู้สกึ ที่ดีตอ่ สงิ่ นั้น ตรงกนั ขา้ มหากความต้องการ
ของตนไม่ไดร้ บั การตอบสนอง ความพงึ พอใจกจ็ ะไมเ่ กดิ ข้นึ
จากความหมายของความพึงพอใจดังกล่าว สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกท่ีดีของ
นกั เรียนที่แสดงออกทางพฤติกรรมหรือความคิดเห็น ท่ีส่งผลตอ่ การจัดกจิ กรรม การเรยี นรู้หรืองานนั้น ๆ จน
บรรลุผลสาเร็จตามเปา้ หมายที่ต้องการได้
2. ทฤษฎีทเี่ กย่ี วข้องกบั ความพึงพอใจ
ทฤษฎีทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ความพึงพอใจมหี ลายทฤษฎี ที่ไดร้ บั การยอมรบั การแบ่งความตอ้ งการตาม
ทฤษฏขี องแมคคลแี ลนด์ (David McClelland) ดังเชน่ เนตรา มูลดวง. (2550 : 44 ; อ้างอิงมาจากเผชญิ
กจิ ระการ. 2542 : 7) ได้กล่าวถงึ แนวคิดของเฮทฟลิ ด์ และฮิวสแ์ มน ทีไ่ ดท้ า การพฒั นาแนวคดิ ของนักวิจยั
ต่างๆ มาเป็นเครือ่ งมอื วดั ความพึงพอใจ ซึ่งเปน็ ท่ีนิยมแพร่หลายในปจั จุบัน ประกอบดว้ ยองค์ประกอบ 5
ประการ ดงั น้ี
ตัวแปรท่ี 1 องค์ประกอบเกี่ยวกบั งานท่ที าในปัจจุบัน
1. ความตนื่ เต้น หรือ น่าเบ่ือ
2. ความสนกุ สนาน หรอื ความไม่สนกุ สนาน
๑๗
3. ความโลง่ หรอื ความสลัว
4. ความท้าทาย หรอื ไมท่ ้าทาย
5. ความพอใจ หรือ ไม่พอใจ
ตัวแปรท่ี 2 องคป์ ระกอบทางดา้ นค่าจ้าง ประกอบดว้ ย
1. ถือเปน็ รางวลั และไมเ่ ป็นรางวลั
2. มาก หรอื นอ้ ย
3. ยุตธิ รรม หรือ ไมย่ ตุ ิธรรม
4. เปน็ ทางบวก หรอื เปน็ ทางลบ
ตัวแปรที่ 3 องค์ประกอบทางดา้ นเล่อื นตาแหน่ง
1. ยุติธรรม หรอื ไม่ยตุ ิธรรม
2. เช่อื ถอื ได้ หรอื เช่อื ถอื ไม่ได้
3. เปน็ เชงิ บวก หรอื เป็นเชิงลบ
4. เป็นเหตุผล หรือ ไม่เป็นเหตผุ ล
ตวั แปรที่ 4 องคป์ ระกอบทางด้านผูน้ ิเทศ / ผู้บงั คับบัญชา
1. อยใู่ กล้ หรือ อยูไ่ กล
2. ยุติธรรมแบบจรงิ ใจ หรอื ยตุ ธิ รรมแบบไม่จริงใจ
3. เป็นมติ ร หรือ คอ่ นข้างเปน็ มติ ร
4. เหมาะสมทางคณุ สมบัติ หรือ ไม่เหมาะสมทางคุณสมบตั ิ
ตัวแปรท่ี 5 องคป์ ระกอบทางดา้ นเพอื่ นรว่ มทาง
1. เป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย หรอื ไมเ่ ป็นระเบยี บเรียบร้อย
2. จงรักภัคดีต่อสถานทีท่ างาน หรือ ไม่จงรกั ภัคดีตอ่ สถานท่ีทางานและเพื่อนรว่ มงาน
3. สนกุ สนานรา่ เรงิ หรือ ดไู มม่ ีชวี ติ ชวี า
4. ดนู า่ สนใจเอาจรงิ เอาจงั หรอื ดูเหนอื่ ยหนา่ ย
สรปุ ไดว้ ่าความพึงพอใจในการเรียน และผลการเรยี นจะมีความสัมพันธก์ ันทางบวกท้ังนี้ข้นึ อยกู่ ับ
กิจกรรมท่นี ักเรียนได้ปฏิบตั ิ ทาให้นกั เรยี นได้รบั การตอบสนองความตอ้ งการทางด้านรา่ งกายและจิตใจ ซึ่งเป็น
ส่วนสาคัญท่ีจะทาให้เกิดความสมบูรณ์ของชีวิตมากน้องเพียงใดนั้นเป็นสิ่งที่ครูผู้สอนจะต้องคานึงถึง
องคป์ ระกอบตา่ งๆ ในการเสรมิ สรา้ งความพงึ พอใจในการเรยี นรใู้ ห้กับนกั เรียน
3. การวัดความพงึ พอใจ
3.1 หลักการวดั ความพึงพอใจ
3.1.1 ความคิดเห็น ความรู้สึกหรือความพึงพอใจของบุคคลน้ันจะคงท่ีอยู่ช่วงหนึ่งนั้นคือ
ความรู้สึกนึกคิดของคนเราไม่ได้เปล่ียนแปลงหรือผันแปรตลอดเวลาอย่างน้อยจะต้องมีช่วงใดช่วงหน่ึงท่ีมี
ความรูส้ ึกของเรามีความคงที่ ทาให้สามารถวัดได้
3.1.2 ความพงึ พอใจของบคุ คลไมส่ ามารถวัดหรอื สงั เกตเห็นได้โดยตรง การวดั
จะเปน็ แบบวดั ทางอ้อม โดยวดั แนวโนม้ ทบี่ ุคคลแสดงออกหรอื พฤติกรรมที่เปน็ อยู่
3.1.3 ความพงึ พอใจ นอกจากแสดงออกในรูปทศิ ทางของความรู้สกึ นกึ คดิ เชน่
สนับสนุนหรือคัดค้าน ยังมีขนาดหรือปริมาณความคิด ความรู้สึกน้ันอีกด้วย เช่น ระดับความมากน้อยของ
ความพงึ พอใจ
๑๘
3.2 การวัดความพึงพอใจ ด้วยวิธีใดก็ตามจะต้องมีส่ิงประกอบ 3 อย่างคือ ตัวบุคคล ส่ิงที่จะ
วัด มสี ง่ิ เร้า เชน่ การกระทาเร่อื งราวทีบ่ ุคคลแสดงความพงึ พอใจตอบสนอง และสดุ ทา้ ยตอ้ งมกี ารตอบสนองซึ่ง
จะออกมาในระดับตา่ สูง มาก นอ้ ย
3.3 ส่ิงเร้าท่ีจะนาไปใช้เร้า ที่นิยมคือ ข้อความความพึงพอใจ (Attitude Statement) ซ่ึงเป็น
สง่ิ เร้าทางภาษาท่ีใช้อธิบายคณุ ค่า คุณลักษณะของสงิ่ นั้น เพื่อให้บุคคลสนองตอบออกมา เป็นระดับความรู้สึก
มาก ปานกลาง นอ้ ย เป็นต้น
สรุปการวัดความพึงพอใจต้องอาศัยหลักการสาคัญคือการยอมรับข้อตกลงเบ้ืองต้น ความคิดเห็น
ความรู้สึกหรือความพึงพอใจด้วยวิธีใดก็ตามจะต้องมีส่ิงประกอบ 3 อย่างคือ ตัวบุคคล ส่ิงที่จะวัด สิ่งเร้า
เพือ่ ใหบ้ คุ คลสนองตอบออกมาเปน็ ระดับความร้สู ึก มาก ปานกลาง นอ้ ย
4. วธิ ีเขยี นข้อความความพงึ พอใจ
ชวลิต ชูกาแพง (2551 : 25-26) ได้กล่าวถึงวิธีเขียนข้อความแบบมาตรการวัดความพึงพอใจ
(Attitude Scale) ว่าจะประกอบดว้ ยข้อคาถาม โดยทาหน้าที่เปน็ ตัวเร้าให้บุคคลแสดงความคดิ เห็น ความรู้สึก
ออกมา การวัดความพึงพอใจจะได้ผลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับคุณภาพของ
ข้อความที่ใช้ถาม การเขยี นข้อความเพ่ือวัดความพึงพอใจ จงึ เป็นเร่ืองสาคญั ที่ตอ้ งพจิ ารณาโดยยดึ หลักต่อไปนี้
4.1 ใช้ข้อความท่กี ล่าวถึงเหตกุ ารณ์หรือเร่ืองราวท่ีเป็นปจั จบุ นั
4.2 หลกี เลีย่ งข้อความท่ีเปน็ ข้อเทจ็ จริง ทาใหไ้ ม่ทราบความรูส้ ึกหรือความคดิ เห็นของบคุ คล
4.3 ข้อความที่ใช้ต้องสามารถเดาความหมายได้ คือสามารถบอกทิศทาง หรือ ความคิดเห็นของ
บคุ คลได้
4.4 ข้อความนัน้ ต้องมคี วามเป็นปรนัย คอื มคี วามชัดเจน มีความหมายแน่นอน ไมใ่ ช้ภาษาวกวน
หรือคลมุ เครือ
4.5 ข้อความหน่งึ ๆ ควรถามแสดงความคดิ เหน็ เพียงอยา่ งเดียว เช่น ไม่ควรใหผ้ ู้ตอบแสดงความ
คิดเห็นโดยใช้ข้อความว่า “การสอนแบบรรยายทาให้เสียเวลามาก ได้ผลการเรียนไม่ดี”ควรแยกข้อความนี้
ออกเป็นหลาย ๆ ขอ้ ความ เช่น
4.5.1 การสอนแบบบรรยายทาใหผ้ เู้ รยี นเบอื่ หน่าย
4.5.2 การสอนแบบบรรยายทาให้ผเู้ รียนขาดความคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรค์
4.6 ข้อความที่ใช้ควรมลี ักษณะกลาง ๆ เพอื่ ให้ผู้ตอบสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ท้ังทางบวก
และทางลบ ควรหลีกเลยี่ งการใชค้ าบางคา เชน่ เสมอ ท้ังหมด ไม่เคยเลย เท่าน้นั เพียงเลก็ น้อย
4.7 หลีกเลย่ี งข้อความที่ไม่อาจแสดงความคิดเหน็ ได้ หรอื ขอ้ ความที่ไม่ได้เก่ียวข้องกับประเด็นที่
จะพิจารณา เชน่ ขอ้ ความทก่ี ลา่ วออกนอกเร่อื งทจี่ ะศึกษา
วิธีของลิเคริ ท์ (Likert)
มาตรการวัดจติ พิสยั ตามวธิ ีของลิเคริ ท์ วัดโดยใช้ขอ้ ความเกี่ยวกับเรื่องใดเร่อื งหนงึ่ สอบถามความ
คิดเหน็ ของบุคคลทม่ี ีต่อเรื่องน้ัน แล้วใหบ้ คุ คลนั้นแสดงความรสู้ ึกตอ่ ข้อความดังกล่าว การตอบสนองข้อความ
นั้น อาจเป็นได้ท้ังเห็นด้วยหรือพอใจ (Favorable) หรอื ไม่เห็นด้วยกบั ข้อความนนั้ (Unfavorable) หรือแสดง
ความไม่แนใ่ จ (Uncertain)
สรปุ ได้วา่ ความพึงพอใจตอ่ การเรยี นรมู้ คี วามสาคัญต่อการเรยี นรูข้ องผู้เรยี นซึ่งหากผู้เรยี นได้รับการ
ตองสนองตามความต้องการทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ ก็จะส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
๑๙
งานวิจยั ท่เี ก่ียวขอ้ ง
งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้องกับการใชช้ ดุ กิจกรรมการเรียนรู้
น้ามนต์ แก้วซัง (2551 : 54 - 68) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรม Walk rally เพื่อ
สร้างชิ้นงาน เรื่อง พืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ผลการวิจัย
พบว่า ผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้เรื่อง พืช ของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม Walk rally หลัง
การเรียนสูงกว่ากอ่ นการเรยี นอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .01 และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรเู้ ร่ืองพชื ของ
นักเรียนท่ีเรียนรู้ด้วยกิจกรรม Walk rally กับนักเรียนท่ีจัดการเรียนรู้ตาม ปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 นักเรียนท่ีได้รบั การจดั การเรียนรู้ด้วยกจิ กรรม Walk rally เพ่ือสร้างชน้ิ งาน เรอื่ งพชื มี
เจตคติในการเรียนวทิ ยาศาสตรอ์ ย่ใู นระดับสงู นักเรียนใหก้ าร รว่ มกจิ กรรม พรอ้ มทั้งแก้ไขปญั หาต่าง ๆ ได้โดย
นักเรียนรจู้ ักการท างานเป็นทีมการแบง่ งานกนั ทาและ การสรา้ งองค์ความรจู้ ากกิจกรรมและนาความรู้ทไ่ี ด้รับ
มาสร้างสรรค์ชิน้ งาน
กนกวลี แสงวิจติ รประชา (2550) ได้ทาการวิจัยเรอื่ ง การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ ตาม
กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ วิชาวทิ ยาศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง หน่วยของชีวิตและชีวิตพชื สาหรับนักเรยี นช้นั
มธั ยมศึกษาปที ี่1 กลุ่มเปา้ หมายท่ีใช้ในการวจิ ยั คอื นกั เรียนชั้น มัธยมศึกษาปี ที่1 โรงเรยี นวทิ ยานกุ ลู นารี
สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาเพชรบรณู ์ เขต 1 ภาค เรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2550 จานวน
40 คน ซงึ่ ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)ผลการวจิ ยั พบวา่ ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้
ตามกระบวนการสืบเสาะหาความรวู้ ชิ า วทิ ยาศาสตรพ์ ื้นฐาน เร่อื ง หน่วยของชีวติ และชีวิตพืช สาหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มี ประสิทธิภาพเท่ากบั 76.67/77.97 ซ่ึงมีประสทิ ธิภาพสงู กวา่ เกณฑท์ ่ตี ง้ั ไว้ 75/75
คา่ เฉลี่ยของ 61 ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรยี นหลงั เรยี นดว้ ยชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ตามกระบวนการสบื
เสาะหา ความรู้ วิชาวิทยาศาสตร์พืน้ ฐานเรอ่ื ง หน่วยของชีวิตและชวี ิตพืชสาหรับนักเรยี น ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่
1 สงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรยี นมีทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตรห์ ลัง
เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .01
ฑศพนั ธ์ คงเกิด (2551) ได้วิจยั เรอ่ื ง การพัฒนาชุดกจิ กรรมฝกึ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์
หนว่ ยการเรียนรพู้ นั ธุกรรม สาหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 กล่มุ ตัวอย่างคอื นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี
3 โรงเรยี นกุดบากพฒั นาศึกษา ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา2551 จานวน 40 คน ซ่ึงไดม้ าจากวิธกี ารเลือก
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการวิจัยพบว่า ชุด กิจกรรมฝกึ กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
หน่วยการเรียนรพู้ นั ธุกรรม สาหรับนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 มีประสทิ ธภิ าพเทา่ กับ 83.23/81.67 ซงึ่
สงู กว่าเกณฑ์มาตรฐาน80/80 ทีต่ ้งั ไว้ นักเรยี นมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนโดยใช้ชดุ กิจกรรมฝกึ กลุ่มสาระการ
เรยี นรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการ เรียนร้พู ันธุกรรม สาหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อน
เรยี นอยา่ งมีนยั สาคัญทาง สถิติท่ีระดบั .01 นกั เรยี นมที กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลงั เรยี นสงู กว่า
ก่อนเรียนอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดบั .01 นกั เรียนมเี จตคตทิ างวิทยาศาสตรต์ อ่ การเรยี นรู้ โดยใชช้ ุด
กจิ กรรมฝึก กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรห์ น่วยการเรียนรู้พนั ธุกรรม สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3
มี ค่าเฉลย่ี อยใู่ นระดับมาก
นุชากร คาประดษิ ฐ์ (2553) ได้ทาการวิจัยเร่อื ง การพัฒนาชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ พนื้ ฐาน เรื่อง
สารและสมบัตขิ องสาร สาหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1โดยประยุกต์ใช้กจิ กรรม การเรียนร้แู บบ 5E โดย
ใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรู้ กลมุ่ ตัวอยา่ งทใี่ ช้ในการศึกษาคอื นกั เรยี นชั้น มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปี
๒๐
การศกึ ษา 2553 โรงเรยี นระยองวทิ ยาคม ส านักงานเขตพน้ื ที่ การศึกษามัธยมศึกษาเขต 18 จานวน
นกั เรยี นท้ังหมด 51 คน ผลการวจิ ัยพบว่า ชดุ กจิ กรรม วทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน เรื่อง สารและสมบตั ิของสาร มี
ประสิทธภิ าพเทา่ กบั 84.79/83.33 ค่าดชั นี ประสทิ ธิผลเทา่ กับ 0.651 ทาให้นกั เรียนมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการ
เรยี นและเจตคติทางวิทยาศาสตรห์ ลัง เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05
ชรินรตั น์ จติ ตสุโภ และคณะ (2553) ได้ทาการวิจัยเร่ือง การพัฒนาชุดกิจกรรม เร่ือง หน่วยส่งิ มีชีวิต
และชวี ติ พืช กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรส์ าหรับชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 กลมุ่ ตวั อย่างที่ใช้ในการวิจัยไดแ้ ก่
นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2553 โรงเรยี น ไผว่ งวทิ ยา อาเภอวเิ ศษชัยชาญ
จังหวัดอ่างทอง จานวน 30 คน เป็นกล่มุ ทดลองและกลุม่ ควบคุม กลมุ่ ละ 15 คน โดยกลุม่ ทดลองไดร้ บั การ
จดั การเรยี นรโู้ ดยใชช้ ุดกจิ กรรมเร่ือง หน่วยสิง่ มีชวี ติ และ ชวี ติ พชื กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์สาหรบั ช้นั
มัธยมศกึ ษาปีที่1 และ กลุ่มควบคุม ได้รับการจดั การเรยี นรู้แบบปกตผิ ลการวิจยั พบวา่ ชุดกจิ กรรม กลมุ่ สาระ
การเรยี นรู้วิทยาศาสตรช์ ั้น มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 มปี ระสิทธภิ าพเทา่ กบั 86.22/81.25 นักเรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนรู้วชิ า วทิ ยาศาสตร์หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 ผลการ
เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นร้วู ชิ าวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นทไี่ ดร้ ับการจดั การเรยี นรูโ้ ดยชุดกจิ กรรม
เรอ่ื ง หน่วยสง่ิ มชี วี ติ และชวี ติ พืช กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์สาหรับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 สงู กวา่ การ
จัดการเรยี นรแู้ บบปกตอิ ยา่ งมีนัยส าคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05 62
เพ็ญญาภรณ์ เกล้ียงพร้อม (2553) ไดท้ าการวิจัยเร่ือง การพฒั นาประสิทธภิ าพของชุด กจิ กรรม
เรอื่ งอาหารและสารอาหาร วิชาวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 กล่มุ เป้าหมาย เปน็ นักเรยี นชน้ั
มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ปีการศกึ ษา 2553 โรงเรียนศรีปทุมพทิ ยาคม ส านกั งานเขตพนื้ ที่ การศึกษามัธยมศกึ ษา
เขต 33 จานวน 24 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจยั พบว่า ชุด กจิ กรรม เรื่อง อาหารและ
สารอาหาร วิชาวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 มีประสทิ ธภิ าพ เท่ากบั 84.77/83.25 ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ทก่ี ารเรยี นรดู้ ว้ ย ชุด กจิ กรรม เรอื่ ง อาหารและสารอาหาร
วชิ าวทิ ยาศาสตรห์ ลังเรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ัยสาคญั ทาง สถิติทรี่ ะดับ .05 ความพึงพอใจของนักเรียน
ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ที่มีตอ่ ชดุ กจิ กรรมเรือ่ ง อาหารและ สารอาหารวิชาวทิ ยาศาสตรอ์ ยใู่ นระดับมากที่สดุ
ณชั ชา ต้ยุ หล้า (2553) ไดท้ าการวจิ ัยเรอ่ื ง การพัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรียนร้แู บบ สืบเสาะหาความรู้
เรอ่ื ง พลงั งานความร้อน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 กล่มุ ตัวอย่าง
ที่ใช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ นกั เรยี นในระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1/1 ภาค เรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2554 โรงเรียนแม่
กุวิทยาคม จงั หวัดตาก โดยวิธีการเลือกแบบสุ่มอยา่ งงา่ ย ใช้ หอ้ งเรียนเปน็ ตัวแทนในการสมุ่ จานวน 36 คน
ผลการพฒั นาพบว่า ชุดกจิ กรรม การเรยี นรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ เร่อื ง พลังงานความรอ้ น กลมุ่ สาระการ
เรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มปี ระสทิ ธิภาพเท่ากบั 84.03/82.22 ซงึ่ สงู กวา่
เกณฑ์ ทก่ี าหนด ไว8้ 0/80 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรยี นก่อนเรียนและหลังเรยี นที่เรียนดว้ ย ชดุ
กจิ กรรม การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ เรอื่ ง พลงั งานความรอ้ น กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรับ
นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 มคี ะแนนเฉล่ยี หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคัญทาง สถติ ทิ ่ีระดบั .05
ความพึงพอใจของนักเรียนที่มตี ่อชุดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหา ความรู้ เร่อื งพลังงานความรอ้ น กลมุ่
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1 มคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มากทีส่ ุด
จากเอกสารงานวิจยั ดังท่กี ล่าวมาแล้วน้ี จะเหน็ ได้วา่ การจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนโดยใช้ชุด
กจิ กรรม และกระบวนการสืบเสาะหาความรูส้ ่งผลที่ดีตอ่ การเรยี นรู้ของนกั เรยี น ผู้รายงานจึงสนใจทจี่ ะ
ทาการศึกษาคน้ คว้าและแกป้ ัญหาทางการเรยี นเพ่ือพฒั นาผลสมั ฤทธิ์โดยใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ร่วมกับการ
สอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es เรอ่ื ง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ กลุม่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษาฯ รหสั
๒๑
วิชา ส๓๑๑๐๕ สาหรับนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๔ เพือ่ พัฒนาความรู้ ความเขา้ ใจ ของนักเรยี นใหด้ ียง่ิ ข้ึน
และเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนให้สงู ขน้ึ
๒๒
บทที่ 3
วธิ ีดาเนนิ การวิจยั
การดาเนินการวจิ ยั เรอื่ ง การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์
โดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรู้รว่ มกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es รายวชิ าประวัติศาสตร์สากล
ส๓๑๑๐๕ สาหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ผวู้ ิจัยได้ดาเนนิ การศกึ ษาตามลาดับขน้ั ตอนดังน้ี
1. ประชากรและกลุม่ ตัวอย่างทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
2. แบบแผนการทดลอง
3. เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย
4. ข้ันตอนการคดั เลอื กและจัดทาชุดกจิ กรรม
5. ข้ันตอนการดาเนินการวิจยั
6. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
7. สถิติทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู
ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการวจิ ัย
1. ประชากร
นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จงั หวดั สตูล ภาคเรยี นที่ 2
ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 6 ห้อง มนี ักเรยี นจานวน 215 คน
2. กลุ่มตวั อย่าง
กล่มุ ตวั อยา่ งไดแ้ ก่ นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรียนกาแพงวิทยาอาเภอละงู จงั หวดั
สตูล ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 ซึ่งได้มาโดยการสมุ่ แบบแบ่งกลมุ่ (Cluster Random Sampling)
โดยใชห้ ้องเรียนเปน็ หน่วยการส่มุ ได้นักเรยี นห้อง ม.4/2
แบบแผนการทดลอง
การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ รายวิชาประวัตศิ าสตร์สากล เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอียิปต์ สาหรับ
นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ครั้งน้ีเป็นการศึกษากึง่ ทดลองโดยใชร้ ปู แบบ one group pretest posttest
design (หน่ึงกลมุ่ สอบก่อน–หลงั ) (กาญจนา วฒั นายุ. 2548:62)
ตารางที่ 3.1 แบบแผนการวจิ ัย
กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง
ทดลอง X1 T X2
เม่ือ X1 แทน การทดสอบก่อนการใช้นวตั กรรม ชุดกจิ กรรมรว่ มกับการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es
เรอื่ ง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์
สาหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4
T แทน การทดลองใช้นวัตกรรมชดุ กิจกรรมรว่ มกับการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es
เรอื่ ง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียิปต์
สาหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4
๒๓
X2 แทน การทดสอบหลงั การใช้นวตั กรรมชุดกิจกรรมรว่ มกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es
เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์
สาหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4
เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั
1. ชุดกจิ กรรมรว่ มกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียิปต์
สาหรบั นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4
2. แผนการจดั การเรยี นรู้ เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์ สาหรับนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษา
ปีที่ 4
3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นรายวชิ าประวัติศาสตร์สากล ส 31105 เร่ืองอารยธรรม
เมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์ แบบปรนยั 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ
4. แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนักเรียนทีม่ ตี อ่ การเรียนดว้ ยส่ือชุดกจิ กรรม เรื่อง อารยธรรมเมโส
โปเตเมีย-อียปิ ต์ สาหรบั นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 เป็นแบบมาตราสว่ นประมาณคา่ (rating scale) 5
ระดบั จานวน 10 ขอ้
ข้ันตอนการสรา้ งและพฒั นาเครือ่ งมอื
1. สือ่ ชดุ กจิ กรรมร่วมกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es เรอ่ื งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อยี ปิ ต์
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 โดยผู้ศึกษาได้ดาเนนิ การสร้างตามขั้นตอนต่อไปนี้
1.1 ศึกษาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มอื การจัดการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เนื้อหาสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดของ
หลกั สตู ร
1.2 กาหนดเน้ือหาสาระและตัวช้ีวัด ให้มีองค์ประกอบของบทเรียนที่เหมาะสมกับระดับช้นั และ
สภาพแวดลอ้ มของผเู้ รียน โดยใช้หลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรยี นกาแพงวทิ ยา กลุม่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวฒั นธรรม เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียิปต์
1.3 กาหนดหน่วยการเรียนรู้ เพื่อเป็นแนวทางสร้างสื่อชุดกิจกรรมร่วมกับการสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู้5Es เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์
1.4 ศึกษาเอกสารและงานศกึ ษาทีเ่ กย่ี วกับส่อื อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียิปต์
1.5 คัดเลือกและจัดทาสื่อชุดกิจกรรมร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es ที่เกี่ยวข้อง
และเหมาะสมกับบทเรียน เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปตจ์ ากเว็บไซต์หรือสื่อตา่ งๆ
1.6 ตรวจสอบคุณภาพเนื้อหาสื่อชุดกิจกรรม โดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความ
ตรงเชิงเน้ือหา โดยใช้แบบประเมินคุณภาพเครื่องมืองานวิจัย แบบมาตรส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ซ่ึง
กาหนดคา่ คะแนนเปน็ 5 ระดบั ตามวิธีของ ลเิ คริ ท์ (Likert Scale) โดยมเี กณฑก์ ารให้คะแนน ดงั น้ี
ระดบั 5 หมายถึง เหมาะสมมากท่สี ดุ
ระดบั 4 หมายถึง เหมาะสมมาก
ระดบั 3 หมายถงึ เหมาะสมปานกลาง
ระดับ 2 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย
ระดบั 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สดุ
๒๔
1.7 นาผลการประเมนิ ไปหาคา่ เฉล่ยี ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ใน
การยอมรับรับคุณภาพของเน้ือหาในแผนการเรียนรู้ โดยกาหนดในการแปลความหมาย ดงั น้ี
คะแนนเฉลี่ย 4.51– 5.00 หมายความวา่ มีความเหมาะสมมากที่สดุ
คะแนนเฉลี่ย 3.51– 4.50 หมายความวา่ มคี วามเหมาะสมมาก
คะแนนเฉลย่ี 2.51– 3.50 หมายความวา่ มคี วามเหมาะสมปานกลาง
คะแนนเฉลยี่ 1.51– 2.50 หมายความวา่ มีความเหมาะสมน้อย
คะแนนเฉลี่ย 1.00– 1.50 หมายความวา่ มีความเหมาะสมนอ้ ยที่สุด
1.8 นาสอ่ื ชดุ กจิ กรรมท่ีแก้ไขปรบั ปรงุ แลว้ ไปทดลองใชก้ บั นักเรียนกลมุ่ ทดลองต่อไป
2. แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ี่ 4 ผู้ศึกษาไดด้ าเนินการสร้างตามลาดับขัน้ ตอนดงั นี้
2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือรายวิชา
ประวัติศาสตร์สากล ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม เพ่ือให้
ทราบความสาคัญ ธรรมชาติ/ลักษณะเฉพาะ คุณภาพผ้เู รียน สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ คาอธิบาย
รายวิชาและการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
2.2 ศึกษาการแนวทางการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีสอนโดยใช้ส่ือชุดกิจกรรม เร่ืองอารย
ธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม-ศึกษา ศาสนา
และวฒั นธรรม
2.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยผู้ศึกษาได้กาหนดหัวข้อต่าง ๆ ในแต่ละแผนการจัดการ
เรียนรู้ ดังนี้ สาระสาคัญ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กระบวนการ
จัดการเรียนรู้ ส่ือการเรยี นรู้/แหล่งการเรียนรู้ กระบวนการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ บันทึกความเห็น
ของผ้บู ริหาร บนั ทึกหลังกระบวนการเรยี นรู้ แบบประเมินต่าง ๆ และแบบทดสอบ ดงั นี้
ตารางที่ 3.2 แผนการจดั การเรยี นรู้ เรือ่ ง จานวน
(ชว่ั โมง)
แผน
การเรยี นรทู้ ี่ 30 นาที
2
ทดสอบกอ่ นเรยี น
๕ อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียิปต์ 30 นาที
3
ทดสอบหลงั เรยี น
รวม
2.4 นาแผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ พร้อมแบบประเมิน
แผนการจัดการเรยี นรู้ เสนอผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 คน ชุดเดียวกบั ท่ีประเมินสื่อชุดกิจกรรมร่วมกบั การสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es โดยใชแ้ บบประเมนิ แบบมาตราสว่ น 5 ระดบั (Rating Scale) ดงั นี้
๒๕
ระดบั 5 หมายถงึ เหมาะสมระดับมากท่ีสดุ
ระดบั 4 หมายถงึ เหมาะสมระดบั มาก
ระดบั 3 หมายถึง เหมาะสมระดบั ปานกลาง
ระดับ 2 หมายถงึ เหมาะสมระดบั น้อย
ระดับ 1 หมายถึง เหมาะสมระดับนอ้ ยทส่ี ุด
2.5 นาผลการประเมินหาค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) กาหนดเกณฑ์
มาตรฐานของการแปลความหมาย ดงั นี้
คะแนนเฉล่ยี 4.51– 5.00 หมายความวา่ มคี วามเหมาะสมมากท่สี ดุ
คะแนนเฉล่ีย 3.51– 4.50 หมายความวา่ มีความเหมาะสมมาก
คะแนนเฉล่ีย 2.51– 3.50 หมายความว่า มคี วามเหมาะสมปานกลาง
คะแนนเฉลี่ย 1.51– 2.50 หมายความว่า มคี วามเหมาะสมนอ้ ย
คะแนนเฉล่ีย 1.00– 1.50 หมายความวา่ มีความเหมาะสมนอ้ ยทส่ี ดุ
3. แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนรายวชิ าประวัตศิ าสตรส์ ากล เรื่องอารยธรรม
เมโสโปเตเมีย-อยี ิปต์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 เป็นแบบทดสอบชนดิ ปรนยั 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ขอ้ ซง่ึ ผู้ศึกษา
ได้ดาเนินการตามขัน้ ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี
3.1 ศึกษาหลักสูตร คู่มือครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม คู่มือการ
วดั ผลประเมนิ ผลตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 จากหนังสือการจดั การเรยี น
การสอนกลุม่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน
พุทธศกั ราช 2551 ศกึ ษามาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้
3.2 ศึกษาวิธีการสร้างข้อสอบ วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้จากหนังสือการ
สรา้ งและการพฒั นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เทคนิคการเขยี นข้อสอบ
3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ ช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 4 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีได้กาหนดไว้ โดยสร้าง
แบบทดสอบข้ึน จานวน 20 ขอ้
3.4 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อยี ิปต์ ที่สร้าง
ขึ้น จานวน 20 ข้อ ไปให้ผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 คน ตรวจสอบความเท่ียงตรงของเนื้อหา(Content
Validity) และความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ แล้วนามาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of
Consistency : IOC) โดยกาหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดังน้ี
+ 1 เมือ่ แน่ใจวา่ ขอ้ สอบนน้ั สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์การเรียนรู้
0 เมอื่ ไม่แนใ่ จว่าขอ้ สอบน้นั สอดคล้องกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้
- 1 เมื่อแน่ใจวา่ ข้อสอบนนั้ ไม่สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.5 วิเคราะห์หาค่าดชั นคี วามสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เลือกข้อสอบ
ท่ีมีค่า IOC ต้ังแต่ 0.50 - 1.00 เป็นข้อสอบท่ีอยู่ในเกณฑ์ความเท่ียงตรงระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์
๒๖
การเรียนรู้ ซ่ึงจากการประเมินของผเู้ ชี่ยวชาญผลปรากฏว่าไดค้ ดั เลอื กขอ้ สอบจาก 20 ข้อ โดยเลือกจากข้อที่
มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 - 1.00
3.6 จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว จานวน
20 ข้อ เพอ่ื นาไปใชก้ ับกลุ่มตัวอยา่ งต่อไป
4. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดกจิ กรรมการเรียนรู้ร่วมกับ
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es เรอื่ งอารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์ สาหรบั นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่
4 แบบประเมินความพึงพอใจเป็นแบบชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จานวน 1
ฉบับ มจี านวน 10 ข้อ ผศู้ กึ ษาไดด้ าเนินการสรา้ งตามข้นั ตอนดังน้ี
4.1 ศึกษาวิธกี ารสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีตอ่ การเรียนด้วยชดุ กิจกรรม
ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 จากเอกสาร และงานศกึ ษาทเี่ ก่ียวข้องเพื่อดาเนินการสรา้ งแบบประเมินความพึงพอใจเป็น
แบบวัดความรู้สกึ ของนักเรยี นทีม่ ีต่อการเรียนด้วยชุดกจิ กรรมรว่ มกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es ใน
ดา้ นความรู้สึก ความพึงพอใจ ความกระตือรือร้น การเห็นความสาคัญและประโยชน์ของชุดกิจกรรมร่วมกับ
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es ผู้ศึกษาเลือกแบบมาตรส่วนประมาณค่า โดยจัดระดับความพึงพอใจ
ออกเปน็ 5 ระดับ ตามแบบลิเคริ ์ท (Likert) ดงั น้ี
5 คะแนน หมายถึง มคี วามพึงพอใจอยูใ่ นระดบั มากทีส่ ุด
4 คะแนน หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดบั มาก
3 คะแนน หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั ปานกลาง
2 คะแนน หมายถึง มคี วามพึงพอใจอยูใ่ นระดับน้อย
1 คะแนน หมายถงึ มีความพึงพอใจอย่ใู นระดบั น้อยที่สุด
4.2 สร้างแบบประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการสอน
แบบสบื เสาะหาความรู้5Es เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4 มี
5 ระดับ จานวน 10 ข้อโดยกาหนดประเด็นทจี่ ะสอบถามความพงึ พอใจ เกี่ยวกับการนาเสนอเนอื้ หาบทเรยี น
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้5Es และนาแต่ละประเดน็ ที่ต้องการถามมาเขียนเปน็ ขอ้ คาถามเพือ่ จัดทาแบบประเมินฉบบั ร่าง
4.3 นาแบบประเมินความพึงพอใจ ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบดัชนีความสอดคล้อง (Index of
Consistency : IOC) โดยกาหนดเกณฑก์ ารให้คะแนนดังนี้
+ 1 เมอื่ แนใ่ จว่าหวั ขอ้ การประเมินน้นั สอดคลอ้ ง
0 เม่ือไม่แนใ่ จว่าหัวขอ้ การประเมนิ นั้นสอดคล้อง
- 1 เม่อื แน่ใจวา่ หวั ข้อการประเมนิ นัน้ ไม่สอดคล้อง
จากผลการตรวจสอบดัชนีความสอดคล้อง มีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 1 ทุกข้อ และปรับปรุง
แกไ้ ขตามท่ผี เู้ ชยี่ วชาญเสนอแนะ ได้แก่ ปรับปรุงแกไ้ ขภาษาที่ใช้ใหก้ ะทดั รัดเข้าใจง่าย ปรับปรุงข้อคาถามให้
ชดั เจน
๒๗
4.4 นาแบบประเมินท่ีปรับปรุง แก้ไขถูกต้องแล้ว จัดพิมพ์แบบประเมินความพึงพอใจฉบับ
สมบูรณ์
4.๕ กาหนดเกณฑ์การพิจารณาความพึงพอใจของนักเรยี นจากเกณฑก์ ารให้คะแนนของ บุญชม
ศรีสะอาด (2545: 103) ดังนี้
คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายความวา่ มีความพึงพอใจในระดับมากทส่ี ดุ
คะแนนเฉลยี่ 3.51 – 4.50 หมายความว่า มีความพงึ พอใจในระดับมาก
คะแนนเฉล่ยี 2.51 – 3.50 หมายความวา่ มีความพึงพอใจในระดบั ปานกลาง
คะแนนเฉลย่ี 1.51 – 2.50 หมายความว่า มีความพงึ พอใจในระดับนอ้ ย
คะแนนเฉล่ยี 1.00 – 1.50 หมายความว่า มคี วามพึงพอใจในระดบั นอ้ ยทส่ี ุด
4.๖ นาแบบประเมินความพึงพอใจที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้วจานวน 10 ข้อ ไปใช้กับ
กลุม่ ตวั อยา่ งต่อไป
ข้นั ตอนการดาเนินการวจิ ัย
การศึกษาคร้ังนี้ดาเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ช่วงเวลา
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. ชแี้ จงนกั เรยี นเพ่ือความเข้าใจให้ทราบถงึ วิธีการทดลอง และความมุ่งหมายเพอื่ ใหก้ ารดาเนินการ
เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
2. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง อารยธรรม
เมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จานวน 20 ข้อ เพ่ือนามาเป็นคะแนนทดสอบ
กอ่ นเรยี น
3. ดาเนินการจดั การเรยี นการสอนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใชช้ ุดกิจกรรมชุดกิจกรรมร่วมกับ
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี
ท่ี 4 ตามกจิ กรรมทอี่ อกแบบในแผน โดยให้นักเรียนศึกษาและปฏิบัตกิ จิ กรรมตามแผนการจัดการเรียนรู้
4. ทดสอบหลังเรยี น (Post - test) ด้วยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเร่ือง อารยธรรม
เมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 หลังจากปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนครบ
3 ชว่ั โมง จานวน 20 ข้อ เพือ่ นามาเป็นคะแนนทดสอบหลงั เรียน
5. ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มตี ่อการเรยี นโดยใช้ส่อื ชุดกิจกรรมร่วมกับการสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู้5Es เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 หลังจาก
นักเรียนเรยี นโดยใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ร่วมกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es ครบ
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
การวเิ คราะหข์ ้อมูลและสถิตทิ ีใ่ ช้
1. การวเิ คราะหข์ ้อมูล
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์สากล ส31105 ของกลุ่มสาระการ
เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ ก่อนและหลังการใช้ชุด
กจิ กรรมรว่ มกับการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es โดยใช้ค่าเฉล่ีย (Mean) และคา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน
๒๘
2.สถิติทใ่ี ชใ้ นการวิจยั
2.1หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะการ
เขยี นโดยใชด้ ัชนีความสอดคลอ้ งของผู้เชย่ี วชาญ (IOC)
สตู ร IOC = ∑
เม่อื IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างข้อสอบกบั จุดประสงค์
∑R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผูเ้ ชยี่ วชาญ
N แทน จานวนผเู้ ชีย่ วชาญ
2.2 หาค่าคะแนนเฉลีย่
X = X/
N
เมือ่ X แทน คะแนนเฉลยี่
X แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมด
N แทน จานวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
2.3 หาคา่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานของประชากร ( )
M
fi i 2
สตู ร = = 2 i1 f x 2
NN
เมอ่ื แทน ค่าส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนสอบ
f แทน ความถ่ี
∑fx แทน ผลรวมทงั้ หมดของความถ่คี ูณคะแนนสอบ
N แทน จานวนคนทง้ั หมด
2.4 วิเคราะห์ผลจากแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ท่ีมีต่อการจัด
กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es เรอื่ ง อารยธรรม
เมโสโปเตเมยี -อียิปต์ โดยใชค้ า่ เฉลี่ยและค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
๒๙
บทที่ 4
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
การวจิ ยั คร้ังนี้ มีวตั ถุประสงค์เพ่ือเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวิชารายวิชาประวัติศาสตร์สากล
ส31105 เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อยี ปิ ต์ สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4/2 โรงเรยี นกาแพง
วิทยา อาเภอละงู จังหวดั สตูล โดยการใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรรู้ ว่ มกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es
โดยผ้วู ิจยั ไดเ้ สนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู เพอื่ ตอบวัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั รายละเอียดดงั นี้
ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์
ก่อนและหลังเรียนโดยใชส้ อื่ ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es
ตอนท่ี 2 วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/๒ ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้โดยใช้ชดุ กจิ กรรมร่วมกับการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es เร่อื ง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ตอนท่ี 1 การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรอื่ ง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อยี ิปต์ กอ่ นและหลงั เรียน
โดยชดุ กจิ กรรมร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์สากล ส31105 โดยชุดกจิ กรรมร่วมกับการ
สอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es เร่อื งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ กอ่ นเรียนและหลังเรยี นของนกั เรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ี่ 4/2 โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวัดสตลู ผลการวิเคราะห์ข้อมลู ปรากฏดังแสดงใน
ตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงคะแนน คา่ เฉล่ีย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนกอ่ นและหลังเรียน โดยใชช้ ุด
กิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es เรอื่ ง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียปิ ต์ของ
นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 4/2 โรงเรียนกาแพงวิทยาอาเภอละงู จงั หวดั สตูล
นักเรียนคนท่ี คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรยี น คะแนนความกา้ วหน้า
(คะแนนเต็ม 20 คะแนน) (คะแนนเต็ม 20 คะแนน)
1 +6
2 10 16 +6
3 9 15 +6
4 9 15 +4
5 11 15 +4
6 13 17 +5
7 10 16 +5
8 10 15 +8
9 9 17 +7
10 12 19 +5
10 15
๓๐
นักเรียนคนที่ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรยี น คะแนนความก้าวหนา้
(คะแนนเตม็ 20 คะแนน) (คะแนนเต็ม 20 คะแนน)
11 +6
12 11 17 +5
13 11 16 +6
14 10 17 +8
15 8 16 +9
16 8 17 +7
17 11 18 +8
18 9 17 +5
19 10 15 +5
20 10 15 +8
21 7 15 +5
22 11 16 +7
23 11 18 +6
24 13 19 +6
25 12 18 +7
26 11 18 +9
27 9 18 +3
28 12 15 +7
29 11 18 +7
30 10 17 +6
31 9 15 +6
32 11 17 +4
33 13 17 +7
9 18 6.33
X 10.24 16.57
2.61 2.44
S.D
จากตารางท่ี 1 จะเห็นว่า ก่อนเรียนดว้ ยการใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้รว่ มกับการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้5Es นักเรียนทาคะแนนเฉลี่ย ( X ) 10.24 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D) 2.61 และหลังเรียน
ด้วยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es นักเรียนทาคะแนนสูงสุดได้ 19
คะแนน คะแนนต่าสุด 15 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) 15.63 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D) 2.44
๓๑
แสดงให้เห็นวา่ หลังเรียนด้วยใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้รว่ มกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es นักเรยี นมี
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นสูงกวา่ กอ่ นเรียน
ตารางท่ี 2 ผลความพงึ พอใจของนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 4/๒ ท่ีมีต่อการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
โดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es เรอื่ ง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์
ความพงึ พอใจตอ่ การเรียนด้วยสอื่ ค่าเฉล่ยี สว่ นเบ่ยี งเบน ระดบั ความ
1 ส่ือชดุ กิจกรรมออกแบบได้ดึงดดู ความสนใจ มาตรฐาน พงึ พอใจ
2 รปู ภาพ ภาษา ประกอบ เหมาะสม น่าเรียน
3 กิจกรรมในสอื่ ชดุ กจิ กรรมเหมาะสมและนา่ เรียน 4.๐๖ .๖๕ มาก
4 สอ่ื ชุดกิจกรรมมีความสมบูรณ์ของเน้ือหาสาระ
5 สื่อชุดกิจกรรมเพิ่มพนู ความรู้ 4.๓๖ .๕4 มาก
6 สอ่ื ชุดกิจกรรมช่วยให้นักเรียนเข้าใจมากข้นึ
7 สือ่ ชุดกิจกรรมสามารถศกึ ษาดว้ ยตนเองได้ 4.42 .79 มาก
8 การเรียนจากการใชส้ ือ่ ชุดกิจกรรมด้วยความ
สนุกสนานและแลกเปลย่ี นเรยี นรู้กบั เพ่ือนได้ 4.๓6 .5๔ มาก
9 จานวนขอ้ คาถามมีความเหมาะสมสือ่ ชุดกิจกรรม
10 ส่ือชดุ กจิ กรรมมเี นื้อหาและกจิ กรรมใหมท่ นั ต่อ 4.๖๔ .๔๘ มากท่ีสดุ
เหตกุ ารณป์ ัจจุบนั
4.๕๑ .๘4 มากทส่ี ุด
โดยรวม
4.๗๔ .7๙ มากทส่ี ดุ
4.๓๐ .๖๘ มาก
4.๒๑ .๗๗ มาก
4.0๖ .6๕ มาก
4.42 0.67 มาก
จากตารางที่ 2 พบวา่ นักเรียนชนั้ มธั ยศกึ ษาปีท่ี 4/2ท่ีเรียนดว้ ยการจดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้ชุด
กิจกรรมการเรยี นรู้รว่ มกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อยี ปิ ต์ มีความ
พึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก และเมือ่ พิจารณาในแตล่ ะระดบั พบว่า มีความพงึ พอใจระดบั มากที่สุด
จานวน 3 รายการ พึงพอใจระดบั มาก 7 รายการทพ่ี ึงพอใจระดับมากทสี่ ดุ คือ การเรียนจากการใช้ชุด
กจิ กรรมการเรยี นรู้รว่ มกับการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es สามารถศกึ ษาดว้ ยตนเองได้ และสื่อชดุ
กจิ กรรม ออกแบบได้ดงึ ดดู ความสนใจและมเี น้อื หาและกจิ กรรมใหมท่ นั ตอ่ เหตุการณ์ปัจจบุ ัน นักเรียนมคี วาม
พงึ พอใจ เป็นลาดับตา่ สุด แตก่ ็อยู่ในระดับมาก
๓๒
บทท่ี 5
สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
การพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนรายวิชาประวตั ศิ าสตร์สากล ส31105 โดยใช้ชุดกิจกรรมการ
เรยี นรู้ร่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อยี ปิ ต์ นกั เรยี นช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4/๒ ผวู้ จิ ยั ได้สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดงั นี้
สรุปผลการวจิ ยั
1. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาประวัติศาสตร์สากล ส31105 เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อยี ปิ ต์ ของ
นักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4/๒ หลังการเรยี นโดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้รว่ มกบั การสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5Es สูงกว่ากอ่ นเรียน
2. ความพึงพอใจของนกั เรียนทมี่ ีตอ่ การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้รว่ มกับการสอนแบบสบื
เสาะหาความรู้ 5Es เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียปิ ต์ สาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4/๒ มีความ
พงึ พอใจโดยรวมอยู่ในระดบั มาก
อภิปรายผลการวจิ ยั
การวิจัยครงั้ นีเ้ ปน็ การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนรายวิชาประวัตศิ าสตร์สากล เรอ่ื ง อารยธรรม
เมโสโปเตเมีย-อยี ปิ ต์ โดยใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ร่วมกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es สาหรบั
นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4/๒ สามารถอภปิ รายผลได้ดังนี้
๑. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียิปต์ ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี4/2
หลังการเรียนโดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es สูงกวา่ กอ่ นเรียน ทัง้ นี้
เน่ืองจาก ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูร้ ่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es นี้ ได้ผ่านการพัฒนาอย่างเป็น
ระบบ เนน้ การออกแบบทคี่ านงึ ถึงการเรยี นรู้ของผเู้ รียน ทาให้เปน็ ท่นี ่าสนใจเหมาะสมกับผเู้ รียน ทาให้เกิดการ
เรยี นรอู้ ยา่ งมีความหมาย สอดคลอ้ งกบั ความสนใจของผูเ้ รียนและธรรมชาติของวิชา อาจเพราะผวู้ ิจยั ได้สร้าง
เครอ่ื งมอื ตามกระบวนการสร้างทด่ี ี โดยเรียงลาดับเนอื้ การเรียนรู้ เชื่อมโยงความสมั พนั ธ์ของส่ือเนอื้ หา ภาพ
และกจิ กรรม กจิ กรรมการเรยี นการสอนสนองต่อความต้องการของนกั เรยี น ทงั้ จัดกจิ กรรมการสอนที่
หลากหลายเน้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญ เพอื่ มงุ่ หวังใหผ้ ู้เรียนได้รับความรจู้ ากการศกึ ษาชดุ กจิ กรรมการเรียนรอู้ ยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพ ซึ่งสอดคลอ้ งกับผลการวจิ ยั ของ บุญชม ศรสี ะอาด (2538, หน้า 95) กลา่ ววา่ ชดุ กจิ กรรมการ
เรียนรู้ คอื ส่อื การสอนหลายอย่างประกอบกันจดั เข้าไว้ด้วยกันเปน็ ชดุ หรือเรียกวา่ เปน็ สือ่ ประสมเพ่ือมงุ่ ให้
ผู้เรยี นได้รับความรอู้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพมคี วามสอดคลอ้ งกับงานวิจยั ของสุพรรณ เกยี รติเจริญ (2547) ได้ทา
การวจิ ยั เรอ่ื งการสรา้ งชดุ กจิ กรรมแบบศูนยก์ ารเรียนวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องสิง่ เสพติด
สาหรบั นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 พบวา่ การสร้างชดุ กิจกรรมแบบศนู ยก์ ารเรยี นวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนา
และวฒั นธรรมเรื่องส่งิ เสพติดที่สร้างขึน้ มีประสทิ ธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑ์ 80/80 ท่ีกาหนดและยงั สอดคล้อง
กับงานวจิ ัยของอัครเดช เขียวหวาน (2559) ได้ดังที่ บญุ ชม ศรีสะอาด (2538, หน้า 95) กลา่ ววา่ ชุด
กิจกรรมการเรยี นรู้ คอื สื่อการสอนหลายอยา่ งประกอบกันจัดเข้าไวด้ ้วยกนั เปน็ ชุด หรือเรยี กว่าเป็นส่อื ประสม
เพอ่ื มงุ่ ให้ผเู้ รยี นได้รบั ความรูอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพมีความสอดคล้องกบั งานวิจยั ของสพุ รรณ เกียรตเิ จริญ
๓๓
(2547) ได้ทาการวจิ ัย เรอ่ื งการสร้างชุดกิจกรรมแบบศนู ยก์ ารเรียนวชิ าสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
เรอื่ งสงิ่ เสพตดิ สาหรับนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 พบวา่ การสรา้ งชดุ กจิ กรรมแบบศนู ยก์ ารเรียนวชิ าสังคม
ศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรมเร่ืองสิง่ เสพตดิ ที่สรา้ งข้ึนมปี ระสิทธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑ์ 80/80 ทีก่ าหนดและ
ยังสอดคลอ้ งกับงานวจิ ัยของณัชชา ตุย้ หลา้ (2553) ได้ทาการวจิ ัยเรือ่ ง การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบ
สืบเสาะหาความรเู้ รื่อง พลงั งานความรอ้ น กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นช้ัน มัธยมศกึ ษาปี
ที่ 1 กลุ่มตวั อย่างทใี่ ช้ในการวจิ ยั ได้แก่ นกั เรียนในระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1/1 ภาค เรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา
2554 โรงเรยี นแมก่ วุ ิทยาคม จงั หวดั ตาก โดยวิธีการเลอื กแบบสุ่มอยา่ งง่าย ใช้ ห้องเรียนเป็นตัวแทนในการ
สมุ่ จานวน 36 คน ผลการพฒั นาพบว่า ชดุ กิจกรรม การเรยี นรู้แบบ สบื เสาะหาความรู้ เรื่อง พลงั งานความ
ร้อน กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นช้ัน มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 มปี ระสิทธภิ าพเท่ากับ
84.03/82.22 ซงึ่ สูงกว่าเกณฑ์ ที่กาหนด ไว8้ 0/80 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรยี นกอ่ นเรียนและหลัง
เรยี นทีเ่ รยี นดว้ ย ชุดกจิ กรรม การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ เร่ือง พลงั งานความรอ้ น กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 มคี ะแนนเฉลย่ี หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นอยา่ งมนี ยั สาคญั
ทาง สถติ ิทรี่ ะดับ .05
2. ความพึงพอใจของนกั เรียนทีม่ ตี ่อการจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกบั การสอน
แบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียปิ ต์ สาหรับนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4/๒ มี
ความพึงพอใจโดยรวมอยใู่ นระดบั มาก ซ่ึงสอดคล้องกบั ผลการศึกษาเพ็ญญาภรณ์ เกล้ียงพรอ้ ม (2553) ได้
ทาการวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นาประสิทธิภาพของชุด กิจกรรม เร่อื งอาหารและสารอาหาร วิชาวทิ ยาศาสตร์ ชัน้
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 กล่มุ เป้าหมาย เป็น นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2553 โรงเรยี นศรีปทมุ
พิทยาคม ส านกั งานเขตพื้นที่ การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 33 จานวน 24 คน ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง
ผลการวิจัยพบวา่ ชุด กิจกรรม เรื่อง อาหารและสารอาหาร วชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 มคี วามพึง
พอใจของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 ท่มี ตี ่อชุดกจิ กรรมเร่อื ง อาหารและ สารอาหารวิชาวิทยาศาสตร์อยใู่ น
ระดบั มากทส่ี ดุ และยงั สอดคลอ้ งกบั ผลการวิจัยของ ณัชชา ตุ้ยหล้า (2553) ไดท้ าการวจิ ัยเร่อื ง การพัฒนาชุด
กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบ สบื เสาะหาความรู้ เรือ่ ง พลงั งานความร้อน กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับ
นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 กลุ่มตัวอยา่ งทใี่ ช้ในการวจิ ัยได้แก่ นกั เรยี นในระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1/1
ภาค เรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2554 โรงเรียนแมก่ วุ ทิ ยาคม จงั หวดั ตาก โดยวิธีการเลือกแบบสมุ่ อย่างงา่ ย ใช้
หอ้ งเรยี นเป็นตัวแทนในการสุ่ม จานวน 36 คนผลการวิจัยพบวา่ มีความพงึ พอใจของนักเรียนที่มตี ่อชดุ
กิจกรรมการเรยี นร้แู บบสืบเสาะหา ความรู้ เรอ่ื งพลงั งานความรอ้ น กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั
นักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 มคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดบั มากทีส่ ุด
ท้งั นอ้ี าจเนอ่ื งมาจากการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้รว่ มกับการสอนแบบสบื เสาะหา
ความรู้ 5Es เปน็ การเรียนรู้ที่ผูเ้ รยี นได้มกี ารเรยี นร้จู ากสื่อที่น่าสนใจทม่ี ีทง้ั เนอ้ื หา ภาพและกิจกรรม
เหมาะสมกบั ระดับวัย และระดบั ความสามารถของนักเรยี น ใช้เวลาเหมาะสมคือ ไมใ่ ช้เวลานานหรือเรว็
เกนิ ไป เป็นที่นา่ สนใจ คณุ ค่าและประโยชนข์ องชดุ กจิ กรรม นอกจากจะใชส้ อนไดต้ รงตามเน้ือหาวิชา และ
จุดประสงค์ของหลักสูตรแลว้ ยังจะสามารถช่วยพฒั นาความรูค้ วามสามารถของผเู้ รยี นทาให้ผเู้ รยี นเกิดการ
เรียนรู้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยแกป้ ญั หาในการเรยี นการสอนอนั เนือ่ งมาจากครูและความสามารถของ
นักเรยี นแตล่ ะคน และยงั ช่วยเพิ่มประสทิ ธภิ าพการเรยี นการสอนให้เปน็ มาตรฐานเดียวกัน ซง่ึ ปัจจยั ตา่ ง ๆ
เหล่าน้สี ง่ ผลความพึงพอใจต่อชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกบั การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es เร่ือง
อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์ ที่จะทาให้นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรรู้ ่วมกับการ
สอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es ในระดบั มาก
๓๔
ผลการวจิ ยั ครงั้ นี้เปน็ สงิ่ ยืนยันว่า การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการสอนแบบ
สืบเสาะหาความรู้5Es เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียิปต์ สาหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4/๒
สามารถพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิรายวิชาประวัติศาสตร์สากลได้ตามสมมติฐานที่ตงั้ ไว้ จากผลการวจิ ัยครั้งน้เี ป็น
ประโยชน์อย่างย่ิงในการนาชดุ กจิ กรรมการเรียนรรู้ ่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Esเรอื่ ง อารยธรรม
เมโสโปเตเมีย-อยี ิปต์ สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4/๒ ไปใช้ในการพฒั นาคณุ ภาพการเรียนการสอน
และใชเ้ ปน็ แนวทางในการวจิ ยั สาหรับการใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรรู้ ว่ มกับการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es
ไปใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย อันจะสง่ ผลต่อการพฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษาให้สูงขึน้ ตอ่ ไป
ข้อเสนอแนะ
1.ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้
1.1 ครูผสู้ อนควรจัดเตรียมสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมตอ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้และพร้อมต่อ
การใชช้ ดุ กจิ กรรมรว่ มกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es
1.2 ควรมกี ารสร้างชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้รว่ มกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es ในเน้ือหาอื่น
เพ่ือให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้ในเน้ือหาบทเรียนทหี่ ลากหลายต่อไป และควรมกี ารเพิ่มภาพให้ดูโดดเด่นและน่าสนใจ
ยิ่งข้ึน
1.3 ควรให้นักเรียนได้มีโอกาสในการเรียนชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5Es บ่อยคร้งั จะทาใหน้ ักเรียนเข้าใจบทเรยี นได้มากข้นึ
1.4 ควรมีการนาสื่อชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es ไปทดลอง
ซา้ กบั กลมุ่ ตัวอย่างอืน่ ๆ เพือ่ ดปู ระสทิ ธภิ าพและปรับปรงุ แกไ้ ขให้ชดุ กิจกรรมมีประสทิ ธิภาพยงิ่ ขึ้น
2. ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครัง้ ตอ่ ไป
2.1 ควรมีการวิจัยเก่ยี วกับการพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
5Es ในเนอ้ื หาวิชาอ่นื ๆ ในแตล่ ะระดับชัน้ ท่แี ตกต่างกนั ไป
2.2 ควรมกี ารเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ระหว่างการเรียนดว้ ยชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้
ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es กบั การเรียนการสอนโดยใชส้ ่อื ในรปู แบบอน่ื ๆ เชน่ ชุดการสอน
บทเรยี นโปรแกรม ในเน้อื หาเดียวกัน เพอ่ื ความเหมาะสมกบั สถานการณ์ต่างๆ ในการใช้สื่อการเรียนการสอน
ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสดุ ต่อผู้เรียน
2.3 ควรศกึ ษาความคงทนในการเรยี นรูข้ องนกั เรยี นทีเ่ รยี นโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกบั การ
สอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es
2.4 จากการวิจยั ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้5Es เปน็ ส่อื
ประกอบการเรียนการสอนทมี่ คี ุณคา่ ควรจะได้รับการสง่ เสรมิ ให้มกี ารพัฒนาสื่อชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ร่วมกบั
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้5Es เพอื่ ใช้ในการสอนในสถานบนั ศกึ ษาอยา่ งจรงิ จัง
๓๕
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2553). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐานพุทธศกั ราช 2551. (พมิ พค์ รง้ั ที่
3). กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั .
ดวงกมล สินเพ็ง. (2553). การพัฒนาผเู้ รยี นสสู่ งั คมแห่งการเรียนรู้: การจัดการเรยี นการสอนท่ีเน้นผเู้ รียน
เปน็ ศูนยก์ ลาง: กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม. พมิ พ์ครั้งที่ 2 (ฉบบั ปรบั ปรงุ ).
กรุงเทพมหานคร: บริษทั ว.ี พรนิ้ ท์ (1991) จากดั .
ทองแดง สุกเหลือ และคณะ. (2552). การพัฒนาชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ศาสนพธิ ีกลุม่ สาระการ
เรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาหรบั นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4. หลกั สูตรและการสอน
มหาวทิ ยาลัยนเรศวร.
บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวจิ ยั เบอื้ งตน้ . (พิมพค์ รั้งท่ี 1). กรงุ เทพมหานคร: สุวรี ยิ าสาสน์ .
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่ี
แก้ไขเพ่มิ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545. กรงุ เทพมหานคร: พรกิ หวานกราฟฟิค.
สพุ รรณ เกียรตเิ จรญิ . (2547). การสรา้ งชุดกิจกรรมแบบศนู ย์การเรยี นวิชาสงั คมศกึ ษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม เร่ืองสิง่ เสพติด สาหรับนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6. ปริญญาครศุ าสตรบัณฑติ บณั ฑติ
วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยราชภฏั อุตรดิตถ์.
อคั รเดช เขยี วหวาน. (2559). การพฒั นาชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื งวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา และศา
สนพธิ ี กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3. โรงเรียนบา้ นตระแสง
อาเภอเมอื ง จงั หวัดสุรนิ ทร์.
๑
ภาคผนวก
๒
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5
กลุ่มสาระเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม รหัสวชิ า ส 31105 รายวิชา ประวัตศิ าสตร์สา
ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 เร่อื ง อารยธรรมโลกสมัยโบราณ (เมโปเตเมียและอยิ ิปต์) เวลา 2 ชั่วโมง
ช่ือผ้สู อน นางกฤตชญา ติงหวงั
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้านความสัมพันธ์และการ
เปลีย่ นแปลงของเหตกุ ารณอ์ ย่างต่อเน่ือง ตระหนกั ถงึ ความสาคัญและสามารถวเิ คราะห์ผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ
ตัวชว้ี ัด
ม.4-6/1 วิเคราะห์อิทธิพลของอารยธรรมโบราณและการติดต่อระหว่างโลกตะวันออกกับโลก
ตะวนั ตกทม่ี ผี ลตอ่ พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของโลก
2. สาระสาคญั
อารยธรรมของโลกยุคโบราณไดถ้ อื กาเนดิ นานนับลา้ น ๆ ปี มีการพัฒนาทางสตปิ ญั ญาอย่างตอ่ เนือ่ ง
นามาสู่ความเจริญมากขึ้นและได้จัดตั้งสังคมเมืองตามลุ่มแม่น้าต่าง ๆ คือ แถบลุ่มแม่น้าไทกริส-ยูเฟรทีน
เรยี กว่าอารยธรรมเมโสโปเตเมีย แถบล่มุ แมน่ ้าไนล์ เรียกวา่ อารยธรรมอียปิ ต์ ท้ังสองอารยธรรมจึงเป็นรากฐาน
ของอารยธรรมสาคญั ของโลกตกวนั ตกจนถงึ ปจั จุบนั
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (K/P/A)
1. นักเรียนสามารถสรปุ พัฒนาการเกย่ี วกบั อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอยี ิปตไ์ ด้ (K)
2. นักเรียนสามารถวิเคราะห์ความเจริญและผลงานของอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรม
อยี ปิ ต์ทม่ี ผี ลตอ่ พัฒนาการและการเปล่ียนแปลงของโลก (P)
3 นักเรยี นเหน็ ความสาคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียปิ ต์ (A)
3. สาระการเรียนรู้
1. พัฒนาการความเจริญของอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอยี ิปต์
2. มรดกทางวัฒนธรรมของอารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอยี ิปต์ทีม่ ผี ลต่อมนุษยชาติ
4. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ
๓
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
5. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุง่ ม่ันในการทางาน
4. มีจติ สาธารณะ
6. ชิ้นงาน /ภาระงาน
1. ใบงานท่ี 3.1 ผา่ นแอปพลเิ คช่นั Liveworksheets เรอื่ งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
และอารยธรรมอียิปต์
2. ใบงานที่ 3.2 ผงั โนทศั น์ เรื่องอารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอยี ปิ ต์
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ : ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ร่วมกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es)
ชัว่ โมงท่ี 1-2 - นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนเรื่องอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียิปต์ ผ่าน
แอปพลิเคช่นั Google Form จานวน 20 ข้อ
ขน้ั ที่ 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement)
1. ครแู จง้ ถึงจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้และขอ้ ตกลงในการเรยี น
2. ครเู ช็คชื่อนักเรยี นโดยการใหน้ ักเรยี นพมิ พ์ช่ือ-นามสกลุ เลขที่ ผ่านกล่องข้อความ Google Meet
และทักทายพดู คุยกับนกั เรยี น
3. นักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็น ประเด็นคาถามดังน้ี
๓.๑ อารยธรรมหมายถึงอะไร (แนวคาตอบ : ขน้ึ อยู่กบั ดุลพนิ ิจของผ้สู อน)
๓.๒ นกั เรยี นร้จู ักอารยธรรมโลกใดบา้ ง ใหน้ ักเรยี นยกตัวอยา่ ง
(แนวคาตอบ : ขึน้ อย่กู บั ดุลพินจิ ของผ้สู อน)
4. ครอู ธิบายเพ่ิมเตมิ เกีย่ วกับความหมายของอารยธรรมและยกตัวอยา่ งอารยธรรม ดงั นี้
>คาวา่ “อารยธรรม” (Civilization) มีความหมายส้ัน ๆคอื สภาพท่พี ้นจากความ
ป่าเถอ่ื นหรือสภาพทีเ่ จริญแลว้ หากขยายความให้มีความหมายเชิงกว้าง
อารยธรรมหมายถึงวฒั นธรรมทีม่ คี วามสลับซบั ซ้อนและมลี ักษณะเดน่ เป็นของตนเอง
แหล่งอารยธรรมโบราณสาคญั ไดแ้ ก่ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียปิ ต์
อารยธรรมกรีก อารยธรรมโรมนั อารยธรรมจีน และอารยธรรมอนิ เดยี
>ซกิ กแู รตแหง่ เมืองอรู ์ (Ur) ประเทศอิรกั เทวสถานบูชาเทพเจ้าของชาว
เมโสโปเตเมยี สร้างดว้ ยอิฐที่ทาด้วยดิน เหนียวตากแห้ง
๔
>พรี ะมิดแหง่ เมอื งกิเซห์ ตั้งอยใู่ กล้กรงุ ไคโร ซง่ึ พรี ะมิดของฟาโรหค์ ฟู หู รือ
มหาพีระมดิ แห่งกิเซห์(ขวามือ) ได้รบั การยกยอ่ งใหเ้ ปน็ 1 ใน 7 ส่งิ มหัจรรย์ของโลก
ยุค โบราณ
ขน้ั ท่ี 2 การสารวจและค้นหา (Explore)
5. นักเรียนร่วมกันทากจิ กรรม เกมตอบคาถามออนไลน์ผา่ นแอปพลเิ คช่นั Wordwall เร่อื ง
อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอยี ิปต์ ประเด็นคาถามดังนี้
5.1 อารยธรรมโบราณใดท่ถี อื กาเนิดข้นึ ระหวา่ งแม่นา้ สองสาย (แนวคาตอบ :
อารยธรรมเมโสโปเตเมยี )
5.2 ขอ้ ใดคือนวัตกรรมทส่ี าคญั ที่สดุ ของชาวสุเมเรียน (Sumerian) (แนวคาตอบ :
ตัวอักษรลิ่มคูนิฟอรม์ )
5.3 ดนิ แดนพระจนั ทร์เส้ยี ว หมายถงึ บรเิ วณที่ตงั้ อาณาจักรใด (แนวคาตอบ :
เมโสโปเตเมีย)
5.4 แหล่งอารยธรรมล่มุ แมน่ า้ ไนล์ เรยี กอกี อยา่ งหน่งึ ว่าอย่างไร (แนวคาตอบ :
อารยธรรมอยี ิปต)์
5.5 ข้อใดต่อไปนี ไม่ใชอ่ ักษรของชาวอียิปต์ (แนวคาตอบ : คนู ฟิ อรม์ )
5.6 ความคดิ ในการทามัมมขี่ องอียปิ ตโ์ บราณเกิดจากเหตผุ ลในข้อใด (แนวคาตอบ :
เช่อื วา่ คนที่ตายแล้วจะกลบั ฟ้ืนคืนมาใหมไ่ ด้
๕
6. ให้นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-4 คน รว่ มกนั สบื คน้ ขอ้ มูลเกี่ยวกับอารยธรรมเมโสโปเตเมียและ
อารยธรรมอียปิ ตจ์ ากแหลง่ เรียนรูต้ ่าง ๆ และเอกสารประกอบการเรยี น โดยนักเรยี นรว่ มกันสรุปประเด็นสาคญั
ในรปู แบบผังมโนทศั น์
ข้ันท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายความรู้ (Explain)
7. ครูให้นักเรียนชมวีดิทศั น์ผ่าน Youtubeและ Power Point เรื่อง พัฒนาการของอารยธรรมเมโส
โปเตเมียและพัฒนาการของอารยธรรมอียิปต์โบราณ จากน้ันนักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ประเด็นคาถามต่าง ๆ
ดังน้ี
7.1 นกั เรียนคิดว่าเหตุผลใดท่ีกล่าววา่ สมัยประวัตศิ าสตร์เรม่ิ ขึน้ ท่ีอาณาจกั ร
ซเู มอร์” (แนวคาตอบ : ชาวสเุ มเรียนประดษิ ฐต์ วั อกั ษรรูปลมิ่ หรอื อกั ษรคนู ิฟอรม์ ได้เป็นชนกลมุ่ แรก)
7.2 ชนเผา่ ใดทเ่ี ข้ามาปกครองบรเิ วณซเู มอร์และได้สรา้ งส่งิ ใดบา้ งในบรเิ วณนี้
(แนวคาตอบ : ชาวสเุ มเรียน ไดส้ รา้ งเขอ่ื น อา่ งเก็บน้า และทาระบบชลประทานเกดิ ขึน้ คร้ังแรกของโลก)
7.3 นักเรียนคิดว่าสิ่งใด คือ มรดกทางวัฒนธรรมของอารยธรรมเมโสโปเตเมียท่ีแสดงถึง
ความสามารถและวิทยาการสูงทางดา้ นการชลประทาน (แนวคาตอบ : สวนลอยแหง่ บาบโิ ลน)
7.4 นกั เรียนมีความเขา้ ใจอย่างไรกับคาวา่ อียิปต์เป็นของขวญั จากแม่น้าไนล์
(แนวคาตอบ : แม่นา้ ไนล์เป็นหัวใจสาคญั ที่หลอ่ เลี้ยงอียิปตม์ าตง้ั แต่โบราณ ซึ่งแมน่ ้าไนล์นาความอดุ มสมบูรณ์
ให้แก่อียิปต์ในช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงกรกฎาคม ของทุก ๆ ปี เมอื่ น้าท่วมข้ึนสองฝั่งแม่น้า จนกระทั้งเม่ือน้า
ลดกจ็ ะเกดิ โคลนตมทาใหบ้ ริเวณตรงเหลา่ นจ้ี ะเป็นปุ๋ยชว่ ยให้พชื ทป่ี ลูกเจริญงอกงาม)
7.5 นกั เรยี นทราบหรือไม่ พีระมดิ ของอารยธรรมอียิปตส์ รา้ งขน้ึ เพอื่ จุดประสงค์ใด
(แนวคาตอบ : สร้างข้ึนเพื่อเป็นสุสานสาหรับเก็บพระศพของฟาโรห์ซ่ึงเป็นผลมาจากความเชื่อในชีวิตอมตะ
และโลกหน้า)
7.6 นกั เรยี นคดิ วา่ อารยธรรมอียิปตส์ ่งผลอยา่ งไรต่อโลกปัจจบุ นั บ้าง (แนวคาตอบ :
มีความสามารถทางการแพทย์รูจ้ กั วธิ ีการรกั ษาศพ , มีการสร้างชลประทาน และการประดิษฐ์กระดาษปาปริ สุ )
7.7 ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรุปความรเู้ กี่ยวกบั อารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอยี ิปต์ ดงั นี้
เมโสโปเตเมีย
> สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์กับการต้ังถ่ินฐาน อารยธรรมเมโสโปเตเมียกาเนิดข้ึนในบริเวณลุ่มแม่น้า
๒ สาย คือ แมน่ ้าไทกริส และแม่น้ายูเฟรทสี เป็นแหลง่ อารยธรรมของโลกบริเวณนี้เปน็ เขตท่รี าบลุ่มแม่น้าอัน
อุดมสมบูรณ์ ท่ามกลางอาณาบริเวณท่ีทะเลทรายและเขตภูเขา จึงเป็นปัจจัยทางภูมิศาสตร์ท่ีทา
ให้กลมุ่ ชนตา่ งๆอพยพเขา้ มาตั้งถ่นิ ฐาน และ ผลัดกันสร้างสรรคอ์ ารยธรรมสบื เนอื่ งต่อกันมา
> ความก้าวหนา้ ในการคิดค้นเทคโนโลยี การประดิษฐค์ ดิ คน้ หาวธิ ีการตา่ ง ๆ เช่น ระบบชลประทาน
> ความคดิ ในการจัดระเบยี บสงั คม สรา้ งกฎเกณฑ์และระเบียบให้อย่รู ่วมกันอยา่ งผาสกุ
> มกี ารสร้างสถานทส่ี าคญั เรียกว่า ซิกกูแรต และมกี ารประดษิ ฐ์อักษร เรียกว่าอกั ษรคนู ฟิ อรม์
>มีความสามารถดา้ นคณติ ศาสตร์ มีการคิดเลขฐาน 60 หรอื ในวงกลมตอ้ ง 360 องศา
>มคี วามสามรถในการนบั ปฏิทินจันทรคติ 1 เดอื น มี 29 วนั เป็นตน้
อยี ปิ ต์
> สภาพภูมิศาสตร์บริเวณพ้ืนที่ของประเทศอียิปต์เป็นทะเลและทะเลทรายเป็นพรมแดนธรรมชาติ
ช่วยป้องกันการรุกรานจากภายนอกได้แต่มีแม่น้าไนล์ไหลผ่านทาให้เกิดความอุดมสมบูรณ์จึงได้ตั้งถิ่นฐาน
บรเิ วณลุ่มแมน่ า้ เมื่อประชากรเพิม่ มากขึ้นสง่ ผลใหเ้ กดิ วัฒนธรรมจนกลายมาเปน็ อารยธรรม
๖
> ระบอบการปกครอง อียิปต์มีระบอบการปกครองที่มั่นคง ยอมรับอานาจและ เคารพนับถือฟาโรห์
หรอื กษัตรยิ ์ของตนประดจุ เทพเจ้า
> ภูมิปัญญาของชาวอียิปต์ เป็นชนชาติที่มีความสามารถในการคิดค้นเทคโนโลยีวิทยาการความเจริญ
ก้าวหน้าด้านต่างๆเพื่อตอบสนองการดารงชีวิต ความเช่ือศาสนาและการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่
จักรวรรดอิ ียิปต์
ขั้นท่ี 4 การขยายความรู้ (Elaborate)
8. นักเรียนรว่ มกันทากิจกรรม Davinci เกมถอดรหัสผา่ นโปรแกรม Power Point เร่ืองอารยธรรม
เมโสโปเตเมียและอารยธรรมอยี ิปต์ตามใบงานที่ 3.1 ใบงานที่ 3.2และใบงานท่ี 3.3 ดงั น้ี
ข้ันที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
9. ตรวจใบงานที่ 3.1 ผ่านแอปพลเิ คชนั่ liveworksheets เรอ่ื งอารยธรรมเมโสโปเตเมยี และ
อารยธรรมอียิปต์ ใบงานท่ี 3.2 ผังมโนทัศน์ เร่ืองอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียิปต์3.3วิเคราะห์
คาถามทีก่ าหนด เรอ่ื งอารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอยี ิปต์
10. ครสู งั เกตพฤตกิ รรมการตอบคาถามและการแสดงความคดิ เห็นของนกั เรยี น
11. นักเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี นเรื่องอารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอยี ิปต์ ผา่ น
แอปพลิเคช่ัน Google Form จานวน ๒๐ ข้อ
8. สื่อการเรยี นรู้ /แหล่งเรียนรู้
ส่ือการเรยี นรู้
8.1 หนงั สอื เรยี นประวัติศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔-๖ สานกั พมิ พ์ อักษรเจรญิ ทศั น์
8.2 Power Point เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอยี ปิ ต์
8.3 Power Point Davinci เกมถอดรหสั เร่ือง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอียิปต์
8.4 เกมตอบคาถามออนไลนแ์ อปพลเิ คช่ัน Wordwall เรอ่ื ง อารยธรรมเมโสโปเตเมียและ
อารยธรรมอียปิ ต์
8.5 ใบงานออนไลน์แอปพลิเคชนั่ Liveworksheets ใบงานท่ี 3.1 ผา่ นแอปพลิเคช่ัน
liveworksheets เรือ่ งอารยธรรมเมโสโปเตเมียและ อารยธรรมอยี ปิ ต์ ใบงานท่ี 3.2 ผังโนทศั น์
เร่ืองอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอยี ิปต์ใบงานท่ี 3.3วเิ คราะห์คาถามทีก่ าหนด เรือ่ ง
อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียปิ ต์
8.6 แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรียน ผา่ นแอปพลเิ คชนั่ Google Form เรื่อง อารยธรรม
เมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอยี ิปต์
8.7 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนชดุ กิจกรรมอารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอยี ิปต์
แหลง่ เรียนรู้
8.8 ห้องสมุดโรงเรยี นกาแพงวทิ ยา จังหวดั สตูล
8.9 แหล่งขอ้ มลู สาระสนเทศ
- Youtube ( https://youtu.be/uRrtte9oDbA/อารยธรรมเมโสโปเตเมีย/ สืบค้นเมื่อ 18
พฤศจกิ ายน 2564 )
- Youtube ( https://youtu.be/9m_kw4FKYOI /อารยธรรมอียิปต์/ สืบค้นเม่ือ 18
พฤศจกิ ายน 2564)
๗
9. การวดั ผลและการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การประเมนิ ผล(ด้าน) วิธีการวัด เครอื่ งมอื การวดั เกณฑ์การประเมิน
- รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
(จดุ ประสงค์การเรียนรู้) - ใบงานท่ี 3.1
- ใบงานท่ี 3.2
1. นักเรยี นสามารถสรปุ - ประเมินใบงานที่ 3.1 - ประเมนิ ใบงานที่ 3.3
- แบบทดสอบ
พฒั นาการเก่ยี วกับ - ประเมินใบงานที่ 3.2
อารยธรรมเมโสโปเตเมยี - ประเมินใบงานที่ 3.3
และอารยธรรมอียิปต์ได้
(K) - ทดสอบ
2. นกั เรยี นสามารถ - ประเมินใบงานที่ 3.1 - ใบงานที่ 3.1 - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
วิเคราะหค์ วามเจรญิ และ - ประเมนิ ใบงานที่ 3.2 - ใบงานท่ี 3.2
ผลของของอารยธรรม
- ประเมินใบงานที่ 3.3
เมโสโปเตเมียและอารย - ประเมินใบงานท่ี 3.3
- แบบสังเกตพฤติกรรม
ธรรมอียปิ ต์ (P) - ประเมนิ แบบสงั เกต การทางาน
พฤติกรรมการทางาน
3. นักเรียนมีความ - ประเมินแบบประเมิน - แบบประเมนิ - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ตระหนักและเห็น คณุ ลกั ษณะอนั พงึ คุณลักษณะอนั พึง
ความสาคญั ของอารย ประสงค์ ประสงค์
ธรรมเมโสโปเตเมียและ
อารยธรรมอยี ปิ ต์ (A)
๘
๙
๑๐
๑๑
ใบงานท่ี 3.3 เรื่อง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย-อียปิ ต์
คาชี้แจง : นักเรยี นดวู ีดทิ ศั น์ (VDO)หรอื เอกสารประกอบการเรยี นเก่ยี วกับอารยธรรมเมโสโปเตเมยี ร่วมกัน
ตอบคาถามทก่ี าหนดให้
1.ปจั จัยท่ีสง่ เสริมให้ดินแดนลมุ่ แม่น้าไทกริสและยูเฟรติสเป็นแหล่งอารยธรรมแห่งแรกของโลกไดแ้ กอ่ ะไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2.การประดิษฐ์อักษรลิม่ มคี วามสาคัญอยา่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
3.เพราะเหตใุ ดจงึ ถือว่าประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมรู าบีเปน็ มรดกทางอารยธรรมชิน้ สาคญั ของโลก
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
4.สาเหตุสาคญั ใดที่ทาให้อารยธรรมอยี ปิ ตพ์ ฒั นาอย่างมเี อกภาพ
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
5.จากความเชือ่ ในชวี ติ อมตะและโลกหน้า สง่ ผลต่อการสรา้ งสรรค์อารยธรรมของชาวอยิ ิปต์โบราณอย่างไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๑๒
แบบทดสอบเรอื่ ง อารยธรรมเมโสโปเตเมยี -อียปิ ต์
คาช้ีแจง นักเรียนเลอื กคาตอบทีถ่ กู ตอ้ งท่ีสดุ เพียงข้อเดยี วแลว้ ทาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงใน
กระดาษคาตอบ
1.ขอ้ ใดไม่ใชป่ ัจจยั ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ อารยธรรม
ก. สภาพภูมิศาสตร์
ข. การทาสงครามระหวา่ งดนิ แดน
ค. ความเชอ่ื และศาสนาการทาสงครามระหวา่ งดินแดน
ง. การจดั ระเบยี บทางสงั คม
2.เพราะเหตใุ ดบรเิ วณบรเิ วณทีร่ าบลมุ่ แมน่ า้ จึงเหมาะสมแกก่ ารเปน็ แหล่งกาเนิดอารยธรรมทส่ี าคัญของโลก
ก. เปน็ บรเิ วณทพ่ี บปะกลมุ่ ชนตา่ ง ๆ
ข. เปน็ บริเวณท่มี ีพ้ืนทกี่ ว้าง
ค. เปน็ บรเิ วณท่ีมคี วามอุดมสมบรู ณ์
ง. เป็นบริเวณท่มี สี ัตว์ป่าชกุ ชมุ
3. สมญานามว่า “ดินแดนพระจันทรเ์ ส้ียวอนั อดุ มสมบูรณ์” คอื ขอ้ ใด
ก. อยี ปิ ต์
ข. เมโสโปเตเมีย
ค. กรีก
ง. โรมัน
4. เหตุผลขอ้ ใดคากลา่ วทวี่ ่า “สมัยประวัตศิ าสตร์ตะวนั ตกเร่ิมขึ้นทีอ่ าณาจักรซเู มอร์”
ก. ชาวอสั ซเี รยี ประดษิ ฐต์ ัวอักษรเฮยี ราตกิ ไดเ้ ป็นชนกลมุ่ แรก
ข. ชาวอัสซีเรียประดษิ ฐต์ วั อกั ษรรปู ล่ิมหรืออกั ษรคนู ิฟอรม์ ไดเ้ ปน็ ชนกล่มุ แรก
ค. ชาวสเุ มเรยี นประดษิ ฐต์ ัวอักษรไฮโรกลฟิ ิกได้เปน็ ชนกลุ่มแรก
ง. ชาวสเุ มเรียนประดิษฐ์ตัวอักษรรปู ลม่ิ หรอื อักษรคนู ิฟอร์มไดเ้ ปน็ ชนกลุ่มแรก
5. ขอ้ ใดไมถ่ ูกตอ้ งตามอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
ก. เมโสโปเตเมียมอี ักษรคนู ิฟอร์ม
ข. เมโสโปเตเมียมีสวนลอยแห่งบาบิโลน
ค. เมโสโปเตเมยี นบั ถอื เทพเจ้าสุรยิ เทพหรอื (Re)
ง. เมโสโปเตเมียมีสถาปัตยกรรมอฐิ ตากแห้งท่ใี หญโ่ ตอยา่ งซิกกูแรต
6. เพราะเหตุใดจงึ ถือว่าประมวลกฎหมายของพระเจา้ ฮัมมรู าบเี ป็นมรดกทางวัฒนธรรมชิน้ สาคัญของโลก
ก. เป็นประมวลกฎหมายฉบบั แรกของโลก
ข. มบี ทลงโทษทรี่ นุ แรงซึ่งชว่ ยลดจานวนผ้เู ป็นภยั ตอ่ สงั คม
ค. ใชเ้ ป็นเคร่ืองแสดงว่าอานาจรัฐเข้มแขง็ พอที่จะบงั คับพลเมืองไดแ้ ล้ว
ง. เป็นแบบอยา่ งของความพยายามที่จะให้เกดิ ความยตุ ิธรรมในการปกครอง