รายงานวจิ ัยในชนั้ เรยี น
การศึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เรื่อง การเคลอ่ื นทแี่ นวตรง
ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นกาแพงวิทยา ท่ีไดร้ บั การจัดการเรียนรู้
โดยใชก้ ารเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้รว่ มกบั ชดุ ฝกึ ทักษะ
(นางสาวศรีวรรณ สวุ รรณวงค)์
ตาแหน่งครู
ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จังหวดั สตลู
สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษาสงขลา สตลู
ก
ชอื่ เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เร่ือง การเคลื่อนที่แนวตรง ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4โรงเรียนกาแพงวิทยา ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบ
ผูว้ ิจยั เสาะหาความรู้ 5 ขัน้ รว่ มกบั แบบฝกึ ทกั ษะ
กล่มุ สาระฯ นางสาวศรวี รรณ สวุ รรณวงค์
ปกี ารศึกษา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2564
บทคดั ยอ่
งานวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
เมื่อไดร้ ับการจัดการเรยี นรโู้ ดยการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ รว่ มกบั ชุดฝกึ ทักษะ เรื่อง การเคลือ่ นท่ีแนวตรง
ระหว่างหลงั เรียนกบั กอ่ นเรียน
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู
จังหวัดสตูล ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน 2 ห้องเรียน ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/2 และ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/2 จานวน 62 คน โดยสุ่มแบบเจาะจง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1)
แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ เร่ือง การ
เคล่ือนที่แนวตรง 5 ข้นั ตอน ซง่ึ ผู้วิจัยสรา้ งขน้ึ จานวน 3 แผน ระยะเวลา 12 ช่วั โมง 2) ชุดฝึกทักษะเรื่อง การแก้
โจทย์ปญั หาฟสิ กิ ส์ เร่อื ง การเคล่ือนท่แี นวตรง 3) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เรอ่ื ง การเคลอ่ื นทีแ่ นว
ตรง เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติทดสอบค่า
เฉล่ยี และร้อยละ
ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนกาแพง
วิทยา หลังการที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับชุดฝึกทักษะ มีคะแนน
เฉลย่ี ร้อยละ 75.71 ซึ่งสงู กว่าเกณฑ์คะแนนเฉลย่ี ที่กาหนดร้อยละ 60 และเม่ือพจิ ารณานักเรียนรายบุคคลพบว่า
มนี ักเรียนผ่านเกณฑท์ ง้ั หมด คดิ เปน็ ร้อยละ 100
ข
สารบญั
หนา้
บทคัดย่อ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบญั ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข
สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………….………………………… ค
บทที่ 1 บทนา……………………………………………………………….…………………………………………….………………… 1
1
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา…………….…………………………………………………………………….. 2
วตั ถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………..…………………………………………………………………… 2
สมมติฐานของงานวจิ ยั ………………………………………..……………………………………………….………………… 2
ขอบเขตของการวิจัย……………………………………………..………………………………………………………………. 3
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง……………….………………………………………………………………………… 3
การจดั การเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้(5E)…………………………………………………………………………… 5
เอกสารทีเ่ กี่ยวข้องกับชุดฝกึ ทกั ษะ…………………………………………………………………………………………. 8
เอกสารทเี่ กย่ี วข้องกบั การเรยี นวทิ ยาศาสตร์…………………………………………………………………………… 13
งานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง………………………………………………………………………………………………………………… 16
บทที่ 3 วธิ ีดาเนนิ การวิจัย………………………….………………………………………………………..………………………… 16
รปู แบบการวจิ ยั …………………………………………………………………………………………………………………….. 16
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง…………………………………………………………………………………………………….. 16
เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล…………………………………………………………………………………….. 17
ขัน้ ตอนการสร้างและพัฒนาเครื่องมือ………………………………………………………………………………………. 17
การเก็บรวบรวมข้อมลู ……………………………………………………………………………………………………………. 18
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………………………………………………………………… 19
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ………………………………………………………….……………………………………………. 19
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู …………………………………………………………………………………………………………….. 20
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……………………..…………………………………………….……………….. 20
สรปุ ผลการวิจยั ……………………………………………………………………………………………………………………… 20
อภิปรายผล…………………………………………………………………………………………………………………………… 20
ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………. 21
บรรณานกุ รม……………………………………………………………………………………………………………………………….. 23
ภาคผนวก……………………………………………………………………………….…………………………………………….………
ค
สารบญั ตาราง
ตารางท่ี หนา้
1 .ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น วิชาฟสิ กิ ส์ ของนักเรยี นก่อนและหลังได้รับการที่ไดร้ ับการ
จัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ารเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรรู้ ว่ มกับชุดฝกึ ทกั ษะ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4/2โรงเรยี นกาแพง
วทิ ยา…………………………………………………………………………………………………………………………………………….…..19
ง
1
บทท่ี 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา
การจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตรย์ ังไมป่ ระสบความสาเร็จเทา่ ท่ีควร เน่อื งจากวิทยาศาสตรเ์ ปน็
เรื่องของการเรียนรเู้ กีย่ วกับธรรมชาตโิ ดยมนษุ ย์ในกระบวนการสงั เกต การสารวจ ตรวจสอบ และการทดลอง
เกยี่ วกบั ปรากฏการณท์ างธรรมชาติและนาผลมาจดั ระบบ หลักการ แนวคดิ และทฤษฎี ดงั น้นั การเรียนการสอน
วิทยาศาสตรจ์ ึงมุ่งเนน้ ให้ผเู้ รียนไดเ้ ป็นผ้เู รียนร้แู ละ คน้ พบด้วยตนเองมากทสี่ ุด น่นั คอื ใหไ้ ด้ทั้งกระบวนการและ
องค์ความรตู้ ้ังแตเ่ ร่ิมแรกก่อนเข้าเรียน เมอ่ื อยูใ่ นสถานศึกษา เมื่อออกจากสถานศึกษาไปประกอบอาชีพแลว้ (รพี
พรรณ สุคนธวงศ์ 2552 อา้ งใน อนิ ทิรา ปรากรมิ , 2555 :2) การจดั การเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ เปน็
วิธกี ารสอนอกี รูปแบบหน่ึงทีจ่ ะทาใหผ้ ้เู รียนเกิดความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพือ่ นามาประมวล หา
คาตอบหรือข้อสรปุ ดว้ ยตนเอง โดยทีค่ รูผ้สู อนช่วยอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผเู้ รยี น
เชน่ ในด้านการสบื คน้ หาแหลง่ ความรู้ การศกึ ษาข้อมลู การวิเคราะห์ การสรุปข้อมลู การอภิปลายโต้แย้งทาง
วิชาการ และการท างานร่วมกบั ผอู้ ื่น (ทิศนา แขมมณี, 2555 : 141) ซง่ึ วธิ ีการสอนแบบสืบเสาะหาความรนู้ ั้นมี
ข้นั ตอนในการจัดกิจกรรมไว้ 5 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1) ขน้ั สร้างความสนใจ เปน็ การแนะนาบทเรยี น กระตุ้นให้เกิด ความ
สนใจโดยการซักถาม 2) ขน้ั การสารวจและค้นควา้ เปน็ การใหผ้ ูเ้ รียนได้ใชข้ ้อมูลที่ไดม้ าอภปิ รายรว่ มกนั จน ผ้เู รยี น
เกิดปัญหา และออกแบบการศึกษาดว้ ยตนเอง 3) ขน้ั การอภิปรายและลงข้อสรปุ เป็นการนาเอาข้อมลู ท่ี รวบรวม
ได้มานาเสนออภปิ รายรว่ มกัน เพอ่ื สรุปผลของการสารวจค้นหา 4) ขั้นขยายความรู้ เป็นการอธบิ าย เพมิ่ เติม
เพื่อให้เกิดการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ และการนาไปใช้ 5) ขั้นประเมนิ เป็นการประเมินการเรยี นรูด้ ้วยของผูเ้ รียน วา่ มสี ง่ิ
ใดท่ีควรปรบั ปรงุ แก้ไข เพื่อจะนาไปประยกุ ตใ์ ช้ตอ่ ไป และจะทาให้เกิดวงจรการเรยี นรใู้ หม่ (สถาบัน สง่ เสริมการ
สอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี, 2546)
ฟสิ ิกสเ์ ป็นวิทยาศาสตรแ์ ขนงหนงึ่ ท่ีศึกษากฎตา่ งๆ เพอื่ อธิบายปรากฏการณใ์ นธรรมชาติ หลักการ
ทฤษฎีและกฎท่ีเป็นพน้ื ฐานของวิชาฟิสกิ ส์ ดงั นนั้ การเรียนรู้รายวชิ าฟสิ กิ สต์ อ้ งมีทักษะการคานวณเขา้ มา
เกย่ี วข้อง เชน่ กิจกรรมการทดลอง การแก้โจทยป์ ัญหาตามทส่ี ถานการณ์กาหนดหรอื กล่าวไดว้ ่า วิชาฟิสิกสจ์ งึ
เปน็ วิชาท่ีเน้นการศึกษาในเชงิ ปริมาณ หมายความวา่ การบรรยายปรากฏการณ์ต่างๆ ทาดว้ ยข้อมลู เชิงตวั เลข ใน
ลกั ษณะตา่ งๆ ซึ่งต้องอาศยั ความรูท้ างคณติ ศาสตร์เข้าใจความสัมพันธ์ระหวา่ งข้อมลู ท่สี ังเกตไดจ้ าก
ปรากฏการณ์จริงกบั คาอธบิ ายทางทฤษฎี ยอมรบั ในขอบเขตของข้อมูลที่ได้วา่ ขนึ้ กับขดี ความสามารถของ
เครอ่ื งมอื วัดทาใหเ้ กิดทกั ษะในการศึกษาคน้ ควา้ และแกป้ ญั หาทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยสี ามารถใชท้ กั ษะ
นากระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการนาหลกั การทางฟิสกิ ส์ไปประยุกตใ์ นด้านตา่ งๆ ท้ังเชงิ ความคิดและเชงิ
ปฏิบตั ิการ มคี วามสนใจใฝร่ ูใ้ นเรื่องราววิทยาศาสตร์ มีความใจกวา้ ง คดิ และปฏบิ ตั ิอย่างมีเหตผุ ล สามารถคิด
วิเคราะห์ ผลดแี ละผลเสียต่อสงั คมในการนาความรู้ทางฟิสิกสแ์ ละเทคโนโลยมี าประยกุ ต์ใช้ในด้านต่างๆอกี ทัง้ ให้
ตระหนกั ในอิทธิพลของสงั คมทีม่ ผี ลต่อการพฒั นาทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สถาบนั สง่ เสรมิ การสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2560 : 2) ดงั นัน้ การได้มาซึง่ กฎเกณฑแ์ ละทฤษฎีทางฟิสิกส์จาเป็นต้องอาศยั ความรู้
ทางคณิตศาสตร์เป็นสาคัญ และคณติ ศาสตรย์ ังเป็นตัวนาทางในการสอน มงุ่ เนน้ ท่กี ารจาสมการและ การนาไปใช้
จากการสารวจปญั หาการเรียนรู้วชิ าฟิสิกสข์ องนักเรยี น พบปัญหาทส่ี าคญั อย่างหน่ึงในรายวชิ า ฟสิ ิกส์คือ การ
ขาดทักษะการคานวณ เปน็ เหตุใหก้ ารแกโ้ จทย์ปญั หาและผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าฟิสิกส์ตา่
จากการจัดการเรยี นร้รู ายวชิ าฟิสิกสท์ ่ผี ่านมาพบวา่ นักเรยี นมีผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นค่อนข้างต่ากว่า
เกณฑ์ เม่ือวเิ คราะหถ์ ึงสภาพปัญหาของผ้เู รียน พบวา่ นกั เรียนบางคนเมื่อพูดถงึ วชิ าท่ีเก่ยี วข้องกบั วทิ ยาศาสตร์
2
คณิตศาสตร์และสถิติ ทาให้เกิดความไม่อยากเรียน มเี จตคติตอ่ วทิ ยาศาสตรท์ ่ีไม่ดี ทาให้ส่งผลตอ่ ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรยี นของนักเรียนที่ลดตา่ ลงด้วย นอกจากนีผ้ ู้เรยี นขาดทกั ษะการคิดคานวณท่ีดี เม่ือพบโจทยป์ ญั หาท่ี
แตกต่างจากเดิมไมส่ ามารถแกป้ ญั หาได้ ผ้เู รียนไม่สามารถเรม่ิ ตน้ แกโ้ จทย์ปัญหาไดด้ ้วยตนเอง และไม่มีลาดับ
ขั้นตอนของการแก้โจทยป์ ัญหาท่ถี ูกต้อง อาจเกดิ จากการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ของครูผ้สู อนไมเ่ ร้าใจหรือดึงดูด
ความสนใจของผเู้ รยี น เนือ่ งจากสอนในรูปแบบเดิมทเี่ น้นรูปแบบการบรรยายเป็นสว่ นใหญ่ ทาใหผ้ ู้เรียนขาดการ
เชอ่ื มโยงเนื้อหาที่ไดเ้ รยี นและการบูรณาการของเน้ือหากบั สภาพความเปน็ จริงที่เกดิ ข้นึ
จากเหตุผลดังกลา่ วผูว้ จิ ัยจึงมีความสนใจที่จะใช้ที่ไดร้ บั การจัดการเรียนรู้โดยใชก้ ารเรียนรแู้ บบสืบ
เสาะหาความรู้ 5 ขั้นรว่ มกับแบบฝึกทกั ษะ วชิ าฟิสิกส์ 1 เร่ือง การเคลอื่ นท่ีแนวตรง
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย
1.เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เม่ือได้รับการจัดการเรียนรู้โดย
การเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ รว่ มกบั ชุดฝึกทกั ษะ เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง ระหว่างหลงั เรยี นกับกอ่ นเรยี น
สมมติฐานของงานวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาการเรียนรู้แบบ
สบื เสาะหาความรู้ ร่วมกบั ชุดฝึกทักษะ เร่ือง การเคลื่อนทีแ่ นวตรง นักเรียนมีคะแนนผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 60
ขอบเขตของการวิจยั
ประชากร
นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564
กลุม่ ตัวอย่าง
นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4/2 และชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4/3 จานวน 62 คน
เน้อื หาท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
การเคลอ่ื นที่
ระยะเวลาทใี่ ช้
ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
ตัวแปรทีศ่ กึ ษา
ตวั แปรต้น
การจัดการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ รว่ มกับชุดฝึกทักษะ เรื่อง การ
เคลอื่ นทแี่ นวตรง
ตัวแปรตาม
ผลการเรียนหลังเรียนเรื่อง การเคล่ือนท่ีแนวตรงท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการ
เรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ รว่ มกับชดุ ฝึกทักษะ
3
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การจัดการเรียนร้โู ดยการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับชุดฝึกทักษะ เร่ือง การเคลื่อนท่ีแนวตรง
ผ้วู ิจัยได้ศึกษาคน้ ควา้ เอกสารและงานวจิ ยั ตา่ งๆ ดงั นี้
1.การจัดการเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)
1.2 รูปแบบของการจดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
2.เอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ชดุ ฝึกทกั ษะ
2.1 ความหมายของชดุ ฝกึ ทักษะ
2.2 หลักจิตวิทยาทนี่ ามาใช้ในชุดฝกึ ทักษะ
2.3 องคป์ ระกอบของชดุ ฝกึ ทกั ษะ
2.4 ขัน้ ตอนในการสร้างชุดฝึกทกั ษะ
2.5 ประโยชน์ของชดุ ฝกึ ทกั ษะ
3. เอกสารทเี่ กี่ยวข้องกับการเรียนวิทยาศาสตร์
3.1 ธรรมชาติวทิ ยาศาสตร์
3.2 ทฤษฎที างจิตวทิ ยาเพอ่ื การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์
3.3 ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์
4. งานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง
1.การจัดการเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้ (5E)
ผดุงยศ ดวงมาลา (2530: 122) ให้ความหมายว่า การสอนแบบสบื เสาะหาความรหู้ มายถึง การสอนท่ใี ห้
นกั เรยี นคน้ หาความรู้ หรอื ความจริงทางวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง ครผู สู้ อนจะสรา้ งสถานการณ์ยว่ั ยุให้นักเรียนได้
วางแผนและกาหนดวิธีการค้นหาความรโู้ ดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรโ์ ดยตวั นักเรียนเอง
ทิศนา แขมมณี (2545: 7) ได้ให้นิยามการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการสืบสอบ หมายถึง
การดาเนินการเรียนการสอนโดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคาถาม เกิดความคิดและลงมือเสาะหาความรู้ เพ่ือ
นามาประมวลหาคาตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยท่ีผู้สอนช่วยอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ
ให้แก่ผเู้ รยี น
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 34) ได้กล่าวว่าการสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู้เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีผสมผสานระหว่างการใช้กระบวนการคิดและทักษะต่าง ๆ เพ่ือที่จะ
แก้ปัญหาและคาตอบ ทาใหเ้ กดิ ความเข้าใจและสามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ได้
จากความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้สรุปได้ว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นการ
จัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเอง โดยครูต้องเตรียมสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้
และทาหน้าที่เป็นผชู้ ว่ ยคอยอานวยความสะดวกในการเรยี นรูใ้ หก้ บั นักเรียน
1.2 รปู แบบของการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)
นักการศึกษาหลายท่านได้กาหนดรูปแบบหรือข้ันตอนในการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
แตกต่างกัน ดงั นี้
4
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 219-220) ได้แบ่งข้ันตอนในการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
ไว้ดงั น้ี
1. การสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นการนาเข้าสู่บทเรียนหรือเร่ืองสนใจซึ่งเกิดข้ึนเองจาก
ความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนักเรียนหรือเกิดจากอภิปรายในกลุ่ม เร่ืองท่ีน่าสนใจอาจจะมา
จากเหตุการณ์ในข่วงน้ัน หรอื เป็นเรือ่ งที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่งเรยี นมาแลว้ เปน็ ตัวกระตุน้ ใหน้ ักเรียนสร้าง
คาถาม กาหนดประเด็นท่ีจะศึกษา ครอู าจให้ศึกษาจากส่ือ ตา่ ง ๆ หรอื เปน็ ผกู้ ระตุ้นดว้ ยการเสนอประเด็นขึ้นมา
ก่อน
2. การสารวจและค้นหา (Exploration) เปน็ ข้นั ทม่ี ีการวางแผนกาหนดแนวทางในการสารวจ ตรวจสอบ
ตัง้ สมมติฐาน กาหนดทางเลอื กท่ีเป็นไปไดห้ ลายวิธี เช่น ทาการทดลอง ทากจิ กรรมภาคสนามการใช้คอมพวิ เตอร์
เพือ่ ชว่ ยในการสรา้ งสถานการณจ์ าลองการศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารอ้างอิง หรือจากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ เพอ่ื ให้
ไดข้ อ้ มูลทีเ่ พยี งพอท่ีจะใชใ้ นข้นั ตอ่ ไป
3. การอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) เปน็ ขนั้ การนาข้อมูลทีไ่ ด้มาวิเคราะห์ แปลผล สรปุ ผลและ
นาเสนอผลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บรรยาย สร้างแบบจาลองหรือรูปวาด สร้างตาราง ฯลฯ การค้นพบในขั้นน้ี
เปน็ ไปไดห้ ลายทาง เช่น สนับสนนุ สมมติฐานที่ตงั้ ไว้ โตแ้ ย้งกบั สมมติฐานทต่ี ั้งไว้หรอื ไมเ่ กี่ยวกบั ประเด็นท่ีตง้ั ไว้แต่
ผลที่ได้จะอย่ใู นรปู ใดก็สามารถสรา้ งความรแู้ ละชว่ ยให้เกิดการเรยี นรู้ได้
4. การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นข้ันการนาความรู้ที่สร้างข้ึนไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือ
แนวคดิ ทไี่ ด้คน้ คว้าเพิ่มเติมหรือนาแบบจาลอง หรอื ข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อ่นื ถ้าใช้
อธิบายเร่ืองอนื่ ได้มากก็แสดงว่าขอ้ จากัดน้อย ซ่ึงจะช่วยเช่ือมโยงกับเรอื่ งต่าง ๆ และทาให้เกิดความรกู้ ว้างขวาง
ขนึ้
5. การประเมิน (Evaluation) เปน็ ขั้นการประเมินความรทู้ ักษะกระบวนการท่ีนักเรยี นได้รับและการนา
ความรไู้ ปประยุกตใ์ ช้ในเร่อื งอน่ื ๆสถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 216) ไดใ้ ห้
แนวทางการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีเน้นกระบวนการท่ีผู้เรียนเป็นผู้คิดลงมือปฏิบัติ
ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรมท่ีหลากหลายทั้งการทากิจกรรมในห้องปฏิบัติการและภาคสนาม ให้
ผู้เรยี นไดส้ งั เกต สารวจตรวจสอบทดลอง ด้วยวิธีการตา่ ง ๆ จนทาให้ผูเ้ รยี นเกดิ ความเขา้ ใจและเกิดการรบั รู้อย่าง
มีความหมาย สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทาให้มีความรู้คงทนยาวนาน สามารถนามาใช้ได้เม่ือมี
สถานการณ์ใด ๆ มาเผชิญหน้า โดยใช้กระบวนการสืบเสาะ หาความรู้ เพื่อฝึกทักษะการแสวงหาความรู้และ
พัฒนาการคดิ ข้นั สงู ได้
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 34-36) ได้กาหนดรูปแบบของการ
จดั การเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ (5Es) ได้ 5 ข้นั ตอน ดงั น้ี
1. ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนาเขา้ สบู่ ทเรยี นหรือเร่ืองทีส่ นใจ ซง่ึ อาจเกิดขน้ึ เองจาก
ความสนใจหรืออาจเร่ิมจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายในกลุ่ม เร่ืองท่ีน่าสนใจอาจ
มาจากเหตุการณ์ท่ีกาลังเกิดข้ึนอยู่ในช่วงเวลาน้ันหรือเป็นเร่ืองท่ีเชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เรียนมาแล้ว เป็น
ตัวกระตนุ้ ให้นกั เรียนสรา้ งคาถาม กาหนดประเด็นทีจ่ ะศึกษา ในกรณีทีย่ ังไมม่ ปี ระเด็นที่น่าสนใจ ครูอาจใหศ้ ึกษา
จากสอื่ ต่าง ๆ หรอื เปน็ ผ้กู ระตนุ้ ด้วยการเสนอประเด็นขึ้นมาก่อน แตไ่ มค่ วรบังคบั ให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือ
คาถามทคี่ รูกาลังสนในเป็นเร่ืองท่ีจะใชศ้ ึกษา เมอ่ื มีคาถามท่นี า่ สนใจและนกั เรียนส่วนใหญ่ยอมรบั ใหเ้ ปน็ ประเด็น
ท่ีต้องการศึกษาจึงร่วมกันกาหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องท่ีจะศึกษาให้มีความชัดเจนย่ิงขึ้น
อาจรวมทั้งการรวบรวมความรู้จากประสบการณ์เดิม หรือความรู้จากแหลง่ ตา่ ง ๆ ท่จี ะชว่ ยให้นาไปสู่ความเข้าใจ
เรอ่ื งหรือประเด็นทจี่ ะศกึ ษามากข้นึ และมีแนวทางทีใ่ ชใ้ นการสารวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย
2. ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration) เม่ือทาความเข้าใจในประเด็นหรือคาถามท่ีสนใจจะศึกษาอย่าง
ถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกาหนดแนวทางการสารวจตรวจสอบ ต้ังสมมติฐาน กาหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลง
5
มือปฏิบัติเพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทาได้หลากหลายวิธี
เช่น การทาการทดลอง การทากิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพ่ือช่วยสร้างสถานการณ์จาลอง
(Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารอ้างอิงหรือจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างเพยี ง
พอท่จี ะใชใ้ นขน้ั ตอ่ ไป
3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) เมื่อได้ขอ้ มูลอย่างเพียงพอจากการสารวจตรวจสอบแลว้ จึง
นาข้อมลู หรอื ข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรปุ ผลและนาเสนอผลทีไ่ ด้ในรปู แบบต่าง ๆ เช่น บรรยาย สรุป
สร้างแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ รูปวาด หรือสร้างตาราง ฯลฯ การค้นพบในขั้นน้ีอาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น
สนับสนุนสมมติฐานท่ีตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมติฐานทีต่ ้ังไว้ หรือไม่เก่ียวข้องกับประเด็นท่ีกาหนดไว้ แต่ผลที่ได้จะอยู่
ในรูปใดกส็ ามารถสร้างความรูแ้ ละช่วยใหเ้ กิดการเรยี นรูไ้ ด้
4. ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนาความรู้ท่ีสร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคดิ ที่
ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือนาแบบจาลองหรือข้อมูลที่สรุปได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ถ้าใช้
อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อจากัดน้อยซ่ึงก็จะช่วยให้เช่ือมโยงกับเรื่องต่าง ๆ และทา ให้มีความรู้
กว้างขวางขึน้
5. ขั้นประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้
อะไรบ้าง อย่างไร และมากนอ้ ยเพยี งใด จากขน้ั นจี้ ะนาไปสู่งการนาความร้ไู ปประยุกต์ใชใ้ นเรอ่ื งอ่นื ๆ
ในการวิจัยครั้งน้ีผู้จัยได้ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ตามรูปแบบของสถานบัน
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซ่ึงประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้ 1) ขั้นสร้างความสนใจ 2) ข้ันสารวจ
และคน้ หา 3) ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ 4) ขน้ั ขยายความรู้ และ 5) ขน้ั ประเมิน
2. เอกสารทีเ่ ก่ียวข้องกบั ชุดฝึกทกั ษะ
2.1 ความหมายของชุดฝึกทกั ษะ
ชุดการเรียนหรือชุดฝึกทักษะ มาจากคาว่า Instructional Packages หรือ Learning Packages
เดิมทีเดียวมักใช้คาว่า ชุดการสอน เพราะเป็นสื่อท่ีครูนามาใช้ประกอบการสอนแต่ต่อมาแนวคิดในการจัดการ
เรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นนักการศึกษาจึงเปลี่ยนมาใช้คาว่า ชุดการเรียน
เพราะการเรยี นรู้เป็นกจิ กรรมของนักเรียนและการสอนเปน็ กิจกรรมของครู กจิ กรรมของครูและนักเรียนจะต้อง
เกิดคู่กัน (บุญเกื้อ ควรหาเวช.2542 : 91) และในการวิจัยผูว้ จิ ัยใช้แบบฝกึ ซ่ึงเป็นกิจกรรมหน่ึงของชดุ ฝึกทักษะ
ดังนนั้ การทากจิ กรรมต่างๆ
ในชดุ แบบฝึกกค็ อื การทากจิ กรรมทเี่ กี่ยวข้องกับการเรียนรขู้ องผู้เรียน ซึง่ มผี ู้ให้ความหมายของ
ชุดฝึกทกั ษะไว้ ดงั นี้
ศิริลักษณ์ หนองเส (2545 : 6) ได้ให้ความหมายของชุดฝึกทักษะไว้ว่า หมายถึง ส่ือการเรียนการ
สอนท่ีใช้เพ่ือพัฒนาคุณลักษณะในตัวนักเรียนในด้านการเรียนรู้ การเสาะแสวงหาความรแู้ ละสามารถนาความรู้
ไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ โดยผเู้ รยี นสามารถเรยี นรู้ไดด้ ้วยตนเอง
เพชรรตั ดา เทพพิทกั ษ์ (2545 : 30) กลา่ ววา่ ชุดฝกึ ทกั ษะ คือ ชุดการเรยี นหรือชุดการสอนน่ันเอง
ซ่ึงหมายถึง ส่ือการสอนที่ครูเป็นผู้สร้างประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์หลายชนิด และองค์ประกอบอ่ืนเพ่ือให้
นักเรียนศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยครูเป็นผู้แนะนาช่วยเหลือ และมี
การนาหลักการทางจติ วิทยามาใชใ้ นการประกอบการเรียนเพื่อส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รยี นไดร้ ับความสาเร็จ
จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า ชุดฝึกทักษะ หมายถึง สื่อที่ช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วย
ตนเอง มีการจัดสอื่ ไวอ้ ย่างเป็นระบบ ชว่ ยให้นักเรยี นเกิดความสนใจตลอดเวลาเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้
และทาให้การเรยี นการสอนบรรลุผลตามเปา้ หมายของการเรยี นรู้
2.2 หลกั จติ วทิ ยาท่ีนามาใช้ชุดฝกึ ทกั ษะ
6
วิชัย ดิสระ (2533 : 249-250) ได้กล่าวถึงการสอนท่ีมีคุณภาพตามแนวคิดของบลูมว่าประกอบด้วย
ลักษณะ 4 ประการ คอื
1. การให้แนวทาง คือ การอธิบายของครูท่ีทาให้นักเรียนเข้าใจว่าเม่ือเรียนเรื่องนั้นๆแล้วจะต้องมี
ความสามารถอย่างไร ต้องทาอะไรบา้ ง
2. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรยี น เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียน
3. การเสรมิ แรง ทง้ั การเสรมิ แรงภายนอก เช่น การให้ส่ิงของ การกลา่ วชม หรอื
การเสรมิ แรงภายในตัวนักเรยี นเอง เช่น ความอยากรูอ้ ยากเหน็
4. การให้ข้อมูลย้อนกลับ และการแก้ข้อบกพร่อง ซ่ึงจะต้องมีการแจ้งผลการเรียนและข้อบกพร่องให้
นักเรียนทราบ
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2523 : 119)มีแนวคิดซ่งึ มาจากจิตวิทยาการเรียนทีน่ ามาสู่การผลิต
ชุดการเรียน ดังน้ี
1. เพอ่ื สนองความแตกต่างระหว่างบคุ คล
2. เพอื่ ยดึ ผ้เู รียนเปน็ ศนู ยก์ ลางการเรยี นรดู้ ้วยการศกึ ษาดว้ ยตนเอง
3. มสี ่อื การเรียนใหม่ ท่ชี ว่ ยในการเรียนของนักเรยี นและชว่ ยในการสอนของครู
4. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนที่เปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนจากครูเป็นผู้มีอิทธิพลไปเป็นยึดนักเรียน
เป็นศนู ย์กลาง
2.3 องคป์ ระกอบของชุดฝกึ ทกั ษะ
ชดุ ฝึกทกั ษะมอี งคป์ ระกอบทต่ี า่ งกนั ตามท่นี ักการศกึ ษาได้กล่าวไว้ดงั น้ี
ฮสุ ตนั และคนอืน่ ๆ (Houstion ; Other. 1972: 10-15) กลา่ วถึงองคป์ ระกอบของ
ชดุ ฝกึ ทักษะไวด้ งั น้ี
1. คาช้แี จง (prospectus) อธิบายถงึ ความสาคัญของจุดมุ่งหมาย ขอบข่ายในสว่ นชดุ ฝึกทกั ษะ
ส่ิงทีผ่ ูเ้ รียนจะต้องรู้กอ่ นและขอบข่ายของกระบวนการเรยี นท้งั หมดในชุดฝึกทกั ษะ
2. จุดมงุ่ หมาย (objectives) คอื ข้อความทแี่ จ่มชดั และไมก่ ากวมที่กาหนดว่าผ้เู รียนจะประสบ
ความสาเรจ็ อะไรหลังจากเรียนแล้ว
3. การประเมินผลเบ้ืองตน (pre – assessment) มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อให้
ทราบว่าผู้เรียนอยู่ในระดับใดในการเรียนการสอนน้ัน และดูว่าสัมฤทธ์ิผลตามความมุ่งหมายเพียงใด การ
ประเมินผลเบื้องต้นน้ีอาจอยู่ในรูปแบบของการทดสอบข้อเขียน ปากเปล่า การทางาน ปฏิกิริยาตอบสนอง
หรือคาถามงา่ ยๆ เพือ่ ใหร้ ู้ถึงความตอ้ งการและความสนใจ
4. การกาหนดกิจกรรม (enabling activities) คือ การกาหนดแนวทางและวิธีเพื่อไปสู่
จดุ หมายทว่ี างไว้ โดยให้ผู้เรยี นได้มีสว่ นรว่ มในกิจกรรมน้ันดว้ ย
5. การประเมนิ ผลขั้นสดุ ท้าย (post – assessment) เปน็ ขอ้ สอบเพอื่ วดั ผลหลงั เรียน
ทศิ นา แขมมณี (2534 : 10-12) กลา่ ววา่ ชุดฝกึ ทักษะประกอบด้วยส่วนตา่ งๆ ดังนี้
1. ชอื่ กิจกรรม ประกอบดว้ ยหมายเลขกิจกรรม ช่อื ของกิจกรรมและเนอ้ื หา
2. คาชีแ้ จง เป็นส่วนท่ีอธบิ ายความมงุ่ หมายหลกั ของกจิ กรรม และลกั ษณะของ
การจดั กิจกรรมเพ่ือให้บรรลจุ ุดมุ่งหมาย
3. จุดมุ่งหมาย เป็นส่วนท่ีระบุจุดมุ่งหมายท่ีสาคัญของกิจกรรมน้ัน แนวคิดเป็นส่วนท่ีระบุ
เนอ้ื หา หรอื มโนทศั นข์ องกจิ กรรมนั้น ส่วนน้ีควรไดร้ บั การย้าและเนน้ เปน็ พเิ ศษ
4. สอื่ เป็นส่วนทร่ี ะบถุ ึงวัสดุอปุ กรณ์ท่ีจาเป็นในการดาเนนิ กิจกรรม เพ่ือช่วยใหค้ รทู ราบว่าตอ้ ง
เตรยี มอะไรบ้าง
5. เวลาท่ใี ช้ เป็นการระบจุ านวนเวลาโดยประมาณวา่ กิจกรรมน้ันควรใชเ้ วลาเท่าใด
7
6. ข้ันตอนในการดาเนินกิจกรรม เป็นส่วนท่ีระบุวิธีการดาเนินกิจกรรม เป็นข้ันตอนเพ่ือให้
บรรลุตามวตั ถปุ ระสงคท์ วี่ างไว้
7. ภาคผนวก ในส่วนนี้คือ ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดกิจกรรม และข้อมูลอื่นๆ ที่
จาเป็นสาหรับครู รวมทงั้ เฉลยแบบทดสอบ
2.4 ขน้ั ตอนในการสรา้ งชุดฝึกทกั ษะ
ในการสร้างชุดฝึกทกั ษะ มีนักการศกึ ษาไดเ้ สนอขัน้ ตอนของการสรา้ งชดุ ฝกึ ทักษะไว้ดงั นี้
บทั ทส์ (Butts. 1974: 85) เสนอหลักการสรา้ งไว้ ดังนี้
1. ก่อนที่จะสร้างต้องกาหนดโครงร่างคร่าวๆ ก่อนว่า จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไร มี
วัตถุประสงคอ์ ะไร
2. ศกึ ษางานดา้ นวิทยาศาสตร์ละเอกสารที่เกย่ี วกบั เร่ืองทจี่ ะทา
3. เขยี นวตั ถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรมและเนอ้ื หาท่สี อดคล้องกัน
4. แจ้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมออกเป็นกิจกรรมย่อยๆ โดยคานึงถึงความเหมาะสมของ
ผูเ้ รยี น
5. กาหนดอุปกรณ์ที่จะใช้ในกิจกรรมแต่ละตอนให้เหมาะสมกบั แบบฝกึ
6. กาหนดเวลาทีใ่ ช้ในแบบฝกึ แต่ละตอนใหเ้ หมาะสม
7. กาหนดการประเมนิ ผลวา่ จะประเมินผลก่อนเรยี นหรือหลงั เรยี น
สมจิต สวธนไพบลู ย์ (2549 : 8-9) ไดก้ ลา่ วถึงกจิ กรรมการเรยี นรูต้ ามแบบสมรรถนะทางวทิ ยาศาสตร์
อ้างในรายงานการวิจัยและพัฒนาชุดฝึกทักษะ การจัดกระบวนการเรียนรู้เป็นสาคัญด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย
ไดส้ รปุ การวิจัย ดงั นี้
1. ข้ันส่งเสริมความรอบรู้ หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล
จากสถานการณ์ เร่ืองท่ีกาหนดให้ เช่น จากการเรียนรู้ จากการทดลอง จากการปฏิบัติ เพื่อนาข้อมูลมาจัด
กระทาอย่างมคี วามหมาย สกู่ ารพัฒนาทกั ษะการคดิ การสรุปองคค์ วามรู้
2. ข้ันปฏิบัติการดีมีประโยชน์ต่อสังคม หมายถึง การจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้
ทักษะกระบวนการ ได้ลงมือปฏิบัติ เพ่ิมพูนทักษะการคิด พัฒนาทักษะการทางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะปฏิบัติท่ีมี
คุณค่าตอ่ สังคม
3. ขั้นเผยแพร่และพัฒนาผลงาน หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้รู้จักการ
ตรวจสอบ ปรับปรุง พัฒนา แก้ไขผลงานอย่างเป็นระบบโดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ข้อเด่น ข้อด้อย พร้อม
ทั้งฝกึ ทักษะการปฏบิ ัติในการประชาสัมพันธ์ โดยการพูดและการเขียน
จากข้ันตอนการสร้างชุดฝึกทักษะ สรุปได้ว่า การสร้างชุดฝึกทักษะควรมีการวางแผน กาหนดเน้ือหา
ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ กาหนดกิจกรรม กาหนดเวลา ส่ืออุปกรณ์และการประเมินผล แล้ว
นาไปทดลองใช้เพ่ือแก้ไขข้อบกพร่อง ซ่ึงผู้วิจัยได้ใช้หลักการสร้างตามแนวของบัทส์ และวิชัย วงศ์ใหญ่ มา
ประยกุ ตเ์ พอ่ื ความเหมาะสมของงานวิจัยครงั้ นี้
2.5 ประโยชนข์ องชุดฝกึ ทักษะ
ประเสริฐ สาเภารอด (2552 : 16) ได้กล่าวถงึ ประโยชนข์ องชดุ ฝึกทักษะสรปุ ไดว้ า่
ชุดฝึกทักษะที่ใช้ในการเรียนการสอนช่วยเร้าความสนใจให้นักเรียน ทาให้ได้รู้จักการแสวงหาความรู้
ความรู้ด้วยตนเอง ช่วยแก้ปัญหาเร่ืองความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เพราะชุดฝึกทักษะสามารถช่วยให้ผู้เรียนได้
เรียนรู้ตามความสามารถ ความถนัด ความสนใจ สร้างความพร้อม และความม่ันใจให้แก่ครูผู้สอนทาให้ครู
สอนได้เต็มประสิทธิภาพ
สมจิต สวธไพบูลย์ (2535 : 39) ได้กล่าวถึงขอ้ ดีของชุดฝกึ ทกั ษะไว้ดังนี้
1. ชว่ ยให้นกั เรียนได้เรียนรูด้ ้วยตนเองตามอตั ภาพและความสามารถของแต่ละบุคคล
8
2. ช่วยแก้ปญั หาการขาดแคลนครู
3. ใชส้ อนซ่อมเสรมิ ใหก้ ับนกั เรยี นที่เรียนไม่ทนั
4. ชว่ ยเพิม่ ประสทิ ธิภาพในการอ่าน
5. ชว่ ยไม่ให้เกดิ ความเบ่อื หน่ายจากการเรียนทต่ี อ้ งทบทวนซ้าซาก
6. สนองความแตกต่างระหว่างบคุ คล ไมจ่ าเป็นตอ้ งเรยี นพร้อมกัน
7. นักเรียนตอบผิดไมม่ ผี ู้เยาะเยย้
8. นกั เรียนไมต่ ้องคอยฟงั ส่งิ ท่ีครูสอน
9. ช่วยลดภาระของครูในการสอน
10. ชว่ ยประหยัดรายจ่ายอุปกรณน์ กั เรยี นทมี่ จี านวนมาก
11. ผ้เู รยี นจะเรยี นเมือ่ ใดก็ได้
12. การเรยี นไม่จากดั เรื่องเวลาและสถานท่ี
13. ส่งเสรมิ ความรับผดิ ชอบแกผ่ ู้เรยี น
จากประโยชน์ของชดุ ฝึกทักษะดังกลา่ ว ผู้วิจัยสรปุ ประโยชนข์ องชดุ ฝกึ ทักษะสรปุ ได้ดังนี้
1. ผู้เรยี นมีอิสระในการเรยี นรู้
2. ผเู้ รยี นไดฝ้ กึ ทักษะกระบวนการคดิ ในด้านต่างๆ
3. ผเู้ รยี นสามารถเรียนรไู้ ดท้ ุกเวลาและสถานท่ี
4. ย้าให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมากยิ่งขึ้น เม่ือผู้เรียนไม่เข้าใจก็สามารถนามาศึกษา
เรยี นรไู้ ด้เสมอ แมว้ า่ อาจจะลืมเรอื่ งเดมิ ทีเ่ คยเรยี นแลว้
5. ลดบทบาทหน้าท่ใี นการสอนของครโู ดยใหน้ ักเรยี นมบี ทบาทสาคัญในการเรียนรู้แทน
6. เป็นการพฒั นาสื่อการสอนของครู โดยจะตอ้ งทนั สมยั ทนั ต่อเหตกุ ารณป์ จั จบุ นั
7. ลดความกดดนั ให้กบั ผเู้ รียนทเ่ี รียนรูช้ า้
8. ชว่ ยพัฒนาศกั ยภาพของผเู้ รียนใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพเตม็ ตามศกั ยภาพ
3. เอกสารทเ่ี กีย่ วข้องกบั การเรียนวทิ ยาศาสตร์
3.1 ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มาจากภาษาอังกฤษที่ว่า “Science” นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า “Sciences”
ซ่ึงหมายถึง ความรู้ ฉะน้ันในสมัยก่อนๆ วิทยาศาสตร์จะหมายถึงความรู้เพียงอย่างเดียว กระบวนการเรียน
การสอนทเี่ กดิ ขึ้นในสมยั ก่อนๆ จงึ ม่งุ เน้นใหผ้ ้เู รียนเรยี นรเู้ ฉพาะเนื้อหาวชิ าใหไ้ ด้มากท่สี ุดเท่าทจี่ ะมากได้ วิธกี าร
ถา่ ยทอดเนอื้ หาของผู้สอนที่ง่ายและสะดวกรวดเรว็ คอื การบรรยาย ผู้เรียนมีหนา้ ทฟ่ี ัง จดจา แตค่ วามหมาย
ของวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันได้มีการกล่าวถึงส่วนท่ีเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (body of knowledge)
และส่วนที่เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (process of scientific inquiry) ตามการจัด
ของ The American Association for the Advancement of Science (AAAS) ซ่งึ จดั ไดเ้ ปน็ 3 กลมุ่
ใหญๆ่ ดงั นี้
ด้านที่ 1 โลกในมมุ มองแบบวทิ ยาศาสตร์ (Scientific World View)
1.1 โลกคือส่ิงท่ีสามารถทาความเข้าใจได้ น่ันคือเราสามารถทาความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นบนโลกและจักรวาลได้ด้วยความคิด และการใช้ปัญญา โดยมีวิธีการศึกษาอย่างเป็นระบบ ใช้เคร่ืองมือ
ต่างๆ ในการรวบรวมขอ้ มลู เพ่ือใหไ้ ดม้ าซึ่งคาตอบ แต่มกั จะมีคาถามใหม่เกดิ ขน้ึ เสมอ
1.2 แนวคดิ ทางวทิ ยาศาสตรส์ ามารถเปล่ียนแปลงได้ กลา่ วคอื วทิ ยาศาสตร์เป็นกระบวนการ
สร้างองค์ความรู้ซ่ึงประกอบด้วยการสังเกตปรากฏการณ์ตา่ งๆ ในธรรมชาติอย่างละเอียดรอบคอบเพ่ือทาความ
เข้าใจปรากฏการณ์น้ันๆ ดังนั้นคาถามใหม่จึงเกิดข้ึนต่อเนื่องตลอดเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และส่งผลในการ
ปรบั ปรุงหรอื คิดค้นวธิ ีการใหม่ในการคน้ หาคาตอบ ซึ่งการสังเกตครั้งใหม่อาจได้ข้อมลู ที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
9
ท่ีมีอยู่แล้วแต่ไม่สามารถอธิบายได้ แม้ว่าในมุมมองวิทยาศาสตร์อาจไม่มีความจริงที่สัมบูรณ์ท่ีสุด (Absolute
Truth) แต่ข้อมูลที่มีความถูกต้องแม่นยามากขึ้นจะยิ่งทาให้มนุษย์เข้าใจปรากฏการณ์น้ันๆ ได้ใกล้เคียงความ
เป็นจรงิ มากข้นึ
1.3 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีความคงทน กล่าวคือ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นมา
อย่างช้าๆ ผ่านวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การสารวจ สืบค้น ทดลอง สร้างแบบจาลองอย่างต่อเนื่องซ้า
แล้วซ้าเล่า ดังนั้นแม้วิทยาศาสตร์จะยอมรับความไม่แน่นอนและปฏิเสธเรื่องความจริงสัมบูรณ์ว่าเป็นส่วนหน่ึง
ของธรรมชาติ แตค่ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์ส่วนใหญม่ ีความคงทน เช่อื ถือได้เพราะผ่านวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ท่ี
เน้นความถกู ตอ้ ง แม่นยา
1.4 ทฤษฎีและกฎมีความสัมพันธ์กันแต่มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ แนวความคิด
คลาดเคลื่อนท่ีพบบ่อยเกี่ยวกับกฎและทฤษฎี คือ “กฎเป็นทฤษฎีที่พัฒนาแล้ว จึงมีความน่าเช่ือออถือและมี
คุณค่ามากกว่าทฤษฎี” ในความเป็นจริงแล้วท้ังกฎและทฤษฎีเป็นผลผลิตของวิทยาศาสตร์ท่ีมีความสาคัญเท่า
เทียมกัน โดยกฎ คือ แบบแผนท่ีปรากฏในธรรมชาติ ส่วนทฤษฎี คือ คาอธิบายว่าทาไมแบบแผนของ
ธรรมชาติจงึ เป็นไปตามกฎนั้นๆ
1.5 วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบได้ทุกคาถาม กล่าวคือ นักวิทยาศาสตร์ไม่มีหน้าที่ให้คาตอบ
หรืออภิปรายในเร่ืองเหล่าน้ี แม้ว่าคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์อาจจะตอบหรือทางเลือกท่ีเป็นไปได้ในหลายส่ิง
หลายอยา่ งบนโลกทไ่ี มส่ ามารถพสิ จู นห์ รือตรวจไดด้ ว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ เช่น พลังเหนือธรรมชาติ
ด้านท่ี 2 การสบื เสาะหาความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์
การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีความซับซ้อนมากกว่าท่ีหลายคนคิด การสืบเสาะหาความรู้มี
ความหมายโดยนัยมากกว่าการสังเกตโดยละเอียดแล้วจดั กระทาข้อมลู เปน็ ลาดับข้ัน
ทต่ี ายตัว การสบื เสาะหาความร้ปู ระกอบด้วยการให้เหตุผลเชงิ ตรรกะ (L0gic) ขอ้ มูลหลักฐาน
เชิงประจักษ์ (Empirical Evidence) จินตนาการ (Imagination) และการคิดสร้างสรรค์ (Inventiveness)
และเปน็ ทัง้ การทางานโดยส่วนตัวและการทางานร่วมกนั ของกลมุ่ คน
2.1 วิทยาศาสตร์ต้องการหลักฐาน กล่าวคือ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ต้องการหลักฐานเชิง
ประจักษเ์ พ่อื ยนื ยันความถูกต้องและได้รบั การยอมรบั จากองค์กรวทิ ยาศาสตร์
การทางานทางวิทยาศาสตร์ของบุคลหน่ึง อาจได้ค้นพบสิ่งท่ีย่ิงใหญ่ แต่ความก้าวหน้าทางองค์ความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ขน้ึ อยกู่ ับการยอมรับขององคก์ รวิทยาศาสตร์
2.2 วิทยาศาสตร์มีการผสมผสานระหว่าตรรกศาสตร์ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
กล่าวคือ การทาความเขา้ ใจปรากฏการณ์ตา่ งๆ ท่เี กิดขน้ึ บนโลกซงึ่ ต้องมีการพสิ จู นด์ ้วยการใหเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะ
ที่เช่ือมโยงเข้ากับหลักฐานเข้ากับข้อสรุป อย่างไรก็ตามการใช้ตรรกะเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์มีส่วนสาคัญอย่างมากในการสร้าง
สมมติฐาน ทฤษฎี เพ่อื ทาความเขา้ ใจปรากฏการณ์นั้นๆ
ดังคากล่าวของไอสไตล์ที่ว่า “การจินตนาการอย่างมเี หตผุ ลมีบทบาทสาคัญในวิทยาศาสตร์”
2.3 วิทยาศาสตร์ให้คาอธบิ ายและการทานาย กลา่ วคือ นกั วิทยาศาสตรพ์ ยายามอธบิ ายปรากฏ
การณทส่ี งั เกตโดยใชว้ ิธีการทางวทิ ยาศาสตรท์ ีเ่ ป็นทีย่ อมรับซ่ึงความนา่ เช่ือถือ
ของคาอธบิ ายทางวทิ ยาศาสตรม์ าจากความสามารถในการแสดงความสัมพันธร์ ะหว่างหลกั ฐานและปรากฏการณ์
ที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน นอกจากวิทยาศาสตร์จะอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ แล้ว วิทยาศาสตร์ยังคงให้
ความสาคญั กบั การทานายซึง่ อาจเปน็ ไปได้ทง้ั การทานายปรากฏการณ์ เหตกุ ารณ์ในอนาคตหรือในอดตี ทย่ี ังไม่มี
การค้นพบหรือศึกษามาก่อน
2.4 นักวทิ ยาศาสตรพ์ ยายามท่จี ะระบแุ ละหลีกเล่ยี งความลาเอียง กลา่ วคือ
10
ข้อมูลหลักฐานมีความสาคัญอย่างมากในการนาเสนอแนวคิดใหม่ๆ วิทยาศาสตร์มักมีคาถามว่า “แนวคิดนี้มี
หลักฐานอะไรมายนื ยัน” ดงั นั้นการรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตอ้ ง
มีความถกู ต้อง แม่นยา ปราศจากความลาเอยี ง บางครั้งหลกั ฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้อาจมาจากความลาเอียง
อนั เกิดจากตวั ผูส้ ังเกต กลมุ่ ตวั อยา่ ง เครอ่ื งมอื และวิธกี ารใช้ การตคี วามหมาย
การรายงานข้อมูล โดยเฉพาะความลาเอียงอันเกิดมาจากนักวิทยาศาสตร์ซึ่งอาจมาจากเพศ อายุ เชื้อชาติ
ความร้แู ละประสบการณ์เดมิ หรือความเชอ่ื
2.5 วทิ ยาศาสตร์ไมย่ อมรับการมีอานาจเหนือบุคคลอื่น กล่าวคอื วทิ ยาศาสตรไ์ ม่ยอมรับนับถือ
การมีอานาจเหนือบุคคลอื่น และเชื่อว่าไม่มีบุคคลใดหรือนักวิทยาศาสตร์คนไหน ไม่ว่าจะช่ือเสียงหรือตาแหน่ง
หน้าท่ีสูงเพียงใดท่ีจะมีอานาจตัดสินว่า อะไรคือความจริง หรือมีสิทธิพิเศษในการเข้าถึงความจริงมากกว่าคน
อืน่ ๆ
ดา้ นที่ 3 องค์กรทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Enterprise)
วทิ ยาศาสตร์ คือ กจิ กรรมของมนษุ ยชาติซึ่งมีมิตใิ นระดับบุคคล สังคม หรือองคก์ ร โดยกิจกรรมทาง
วทิ ยาศาสตร์ทีก่ ระทาอาจเปน็ สง่ิ ทแี่ บง่ แยกยุคสมยั ต่างๆ ออกจากกนั อยา่ งชดั เจน
3.1 วิทยาศาสตร์คือกิจกรรมทางสังคมที่ซับซ้อน กล่าวคือ กิจกรรมต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์อยู่
ภายใต้ระบบสังคมของมนุษย์ ดังน้ันกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์อาจได้รับการสนับสนุนหรือขัดขวางด้วยปัจจัย
ต่างๆ ทางสังคม
3.2 วิทยาศาสตร์แตกแขนงเป็นสาขาต่างๆ และมีการดาเนินงานในหลายองค์กร คือ
วิทยาศาสตร์เป็นการรวบรวมความรู้ท่ีหลากหลายของศาสตร์สาขาต่างๆ ซ่ึงมีความแตกต่างกันในด้าน
ประวตั ศิ าสตร์ ปรากฏการณ์ที่ศกึ ษา เป้าหมาย และเทคนคิ วิธกี ารท่ีใช้ การทางาน
ที่แยกออกเป็นสาขาต่างๆมีประโยชน์ในการจัดโครงสร้างการทางานและข้อค้นพบแต่แท้ท่ีจริงแล้วไม่มีเส้นแบ่ง
หรอื ขอบเขตระหวา่ งสาขาต่างๆ โดยสิ้นเชิง
3.3 วิทยาศาสตร์มีหลักการทางจริยธรรม น่ันคือ นักวิทยาศาสตร์ต้องทางานโดยมีจริยธรรม
ทางวิทยาศาสตร์ เพราะในบางครั้งความต้องการได้รับการยกย่องว่าเป็นคนแรกที่ค้นพบความรู้ใหม่อาจทาให้
นักวิทยาศาสตร์กา้ วไปในทางที่ผดิ ได้
3.4 ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซ่ึงคนทั่วไปอาจเข้าใจว่าวิทยาสาสตร์
และเทคโนโลยีมีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน แต่แท้ท่ีจริงแล้วท้ังสองมีจุดเน้นท่ีต่างกันโดย
วิทยาศาสตร์จะเนน้ การแสวงหาความรู้เพื่อการต่อยอดความรู้ ส่วนเทคโนโลยีจะเน้นการใช้ความรเู้ พ่ือตอบสนอง
ต่อการดารงชวี ติ ทสี่ ะดวกสบายมากย่งิ ขนึ้ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีมีความสัมพันธก์ ัน
สอดคล้องกับทบวงมหาวิทยาลัย (2525 : 5) ท่ีให้คานิยามว่าความหมายของวิทยาศาสตร์ว่า เป็น
ศาสตร์ท่ีเก่ียวกับการค้นคว้าหาความจริงของธรรมชาติโดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึง
ความหมายของวิทยาศาสตร์นั้นไม่ใช่หมายถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียวแต่ยังประกอบด้วยความรู้ทาง
วทิ ยาศาสตรซ์ ่ึงทาให้ไดค้ วามรู้น้ันๆ อกี ด้วย
ดังน้ัน วิทยาศาสตร์ในความหมายปัจจบุ ันจึงหมายถึง ตัวความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถตรวจสอบ
ได้อยา่ งเป็นระบบจนเชอ่ื ถือได้ และส่วนทเ่ี ป็นกระบวนการแสวงหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์
3.2 ทฤษฎีทางจติ วิทยาเพ่อื การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์
สุนีย์ เหมะประสิทธ์ิ (2543 : 39-59) ได้กล่าวถึงทฤษฎีทางจิตวิทยาเพ่ือการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์ โดยมีทฤษฎี ดงั นี้
1. ทฤษฎีของจอห์น ดวิ อี้ (John Dewey) โดยมีความเชื่อว่า เด็กจะเรยี นรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้แก้ปัญหาท่ีมี
ความหมายต่อตัวเอง ซ่งึ ปจั จบุ นั เรียกวา่ การเรยี นรดู้ ้วยการกระทาและการเรียนรู้ด้วยการคิดและจิตใจ
11
2. กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) มีความเชื่อว่าสิ่งใดท่ีผู้เรียนทาและผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ อะไรเป็นผลเนื่องมาจากว่าอะไรทที่ าให้ผ้เู รียนเกดิ พฤติกรรม ดงั น้ันงานของผู้สอนคอื สร้างบรรยากาศใน
การเรียนรูท้ ั้งทางสภาพแวดล้อมและสภาพทางกายภาพ ปฏิสัมพันธเ์ ชงิ บวกระหว่างกลุ่มของผเู้ รียนและระหว่าง
ผ้สู อนกับผ้เู รยี นโดยผสู้ อนต้องใช้การเสรมิ แรงทางบวก เช่น การชมเชย การให้คะแนน การให้ผู้เรียนเลือกทา
ในสิ่งทตี่ ้องการอนั จะจงู ใจใหผ้ ู้เรยี นประสบผลสาเร็จ ผูเ้ รียนจะเกดิ การเรยี นรู้และพัฒนาทัศนคติทางบวก
3. กลุ่มทฤษฎีปัญญานิมหรือพุทธินิยม (Cognitivism) กลุ่มน้ีมุ่งเน้นเก่ียวกับการศึกษาพัฒนาการด้าน
สมองและจิตใจเพื่อค้นหาว่ากระบวนการคิดและการรับรู้ของมนุษย์ รวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างรูปธรรมของการ
คดิ ซึ่งประกอบด้วยแนวคดิ ของนักจติ วทิ ยา 3 ท่านคอื
3.1 ทฤษฎีพัฒนาการของเพียร์เจต์ (Piaget’s development theory) มุ่งเน้นพัฒนาการ
ทางสติปัญญา ทัศนคติ และทางร่างกายโดยย้าว่าวุฒิภาวะทางร่างกายจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความเจริญงอก
งามทางสติปัญญาและทัศนคติซึ่งจัดลาดับขั้นของพัฒนาการเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1)ระยะให้ประสาทสัมผัส
(sensory – organs stage) เป็นพัฒนาการของเด็กต้ังแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี 2)ระยะควบคุมอวัยวะต่างๆ
(pre-operational stage) เป็นพฒั นาการในช่วงอายุ 2 เดอื น จนถึง 7 ปี 3) ระยะทคี่ ิดอยา่ งเปน็ รปู ธรรม
(concrete - operational stage) เป็นพัฒนาการในช่วงอายุ 7 – 11 ปี เด็กในช่วงนี้จะมีความสามารถใน
การคิดและเข้าใจเรื่องราวที่เป็นรูปธรรมได้ดี แต่มีความลาบากอย่างมากที่จะคิดและเข้าใจเร่ืองท่ีเปน็ นามธรรม
และ 4) ระยะทีค่ ดิ อย่างเปน็ นามธรรม (formal - operational stage) เปน็ พฒั นาการในช่วงสุดท้ายของเด็ก
อายุประมาณ 12 – 15 ปี ก่อนจะเป็นผู้ใหญ่ พัฒนาการของเด็กเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยท่ัวไปพัฒนาการ
ของเด็กจะไม่กระโดดข้ามข้ัน แต่ในบางช่วงของพัฒนาการอาจเกิดขึ้นเร็วหรือช้า ซ่ึงเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
รวมทั้งการดารงชวี ติ
3.2 ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของออซูเบล (Ausubel’s Meaning verbal
learning) เช่ือว่าเด็กจะเรียนรู้ได้ด้วยการสอนด้วยแบบที่ผู้สอนเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ หรือแบบบอกเล่า
(expository method) เปน็ สาคญั โดยผู้สอนต้องจัดเน้ือหาสาระทีม่ ีความหมายต่อผเู้ รียนมากท่สี ดุ การเรียนรู้ก็
จะเกิดข้นึ แนวคดิ ใหมห่ รือความรใู้ หมเ่ ชอ่ื มโยงหรือสมั พนั ธก์ ับความรูเ้ ดมิ
3.3 ทฤษฎีพัฒนาการของบรูเนอร์ ท่ีมุ่งเน้นการเรียนรู้แบบค้นพบ (discovery learning) และ
เช่อื วา่ การจดั สง่ิ แวดลอ้ มมอี ิทธพิ ลต่อพัฒนาการทางสตปิ ัญญา สง่ิ แวดล้อม
ที่เหมาะสมจะช่วยเร่งพฒั นาการทางสติปัญญาให้เร็วขน้ึ
4. กลุ่มทฤษฎีสรรคนิยม (Constructivism) มีความเช่ือว่าผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้โดยอาศัย
ประสบการณ์แห่งชีวิตท่ีได้รับ เพื่อค้นหาความจริง เป็นแนวทฤษฎีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
ศนู ย์กลาง
5. ทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligence) เป็นแนวคิดของการ์ดเนอร์ (Howard Garder) ซึ่ง
กล่าวว่า มนุษย์มีปัญญาท่ีหลากหลาย 8 ด้าน ได้แก่ สติปัญญาด้านภาษา ด้านตรรกและคณิตศาสตร์ ด้าน
มิติสัมพันธ์ ด้านการเคล่ือนไหวร่างกาย ด้านดนตรีและจังหวะ ด้านความเข้าใจตนเอง ด้านมนุษย์สัมพันธ์
และด้านความเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์มีความสามารถหลากหลายด้าน กระตุ้นให้ผู้สอนได้
ตระหนักว่านกั เรยี นอาจแสดงความสามารถที่แตกตา่ งกันได้ตามส่ิงทีผ่ ูเ้ รียนรู้และทาได้ น่ันคือผ้เู รยี นมคี วามถนัด
และแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนควรจัดกิจกรรมที่หลากหลาย
เพื่อให้สอดคล้องกับความหลากหลายทางสติปัญญาของผู้เรียน อันจะส่งผลให้ผู้เรียนประสบผลสาเร็จในการ
เรียนไดด้ ีขึ้น
ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ด้วยชุดแบบฝึกท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อทฤษฎี
จติ วิทยาในการเรยี นการสอนวชิ าวิทยาศาสตรด์ ้วยเหตผุ ลดงั กล่าว
3.3 ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์
12
3.3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นคุณลักษณะท่ีประเมินเก่ียวกับความรู้ ความสามารถของบุคคลที่
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านต่างๆ จากการได้รับมวลประสบการณ์ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียนรู้ มีผู้กล่าวถึง
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นไวด้ งั น้ี
ทบวงมหาวิทยาลัย (2525 : 1) ; และไพศาล หวังพานิช (2524 : 13) ได้ให้ความหมายของ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะรวมถึงความรู้ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลจากการเรียน
การสอน หรือมวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทาให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมในด้านต่างๆ ของสมรรถภาพสมองหรือผลสัมฤทธ์ิด้านเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และ
กระบวนการแสวงหาความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์
สถาบันส่งเสริมการสอนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงศึกษาธกิ ารได้ปรบั ปรงุ
หลักสตู รรายวิชาวิทยาศาสตร์ ใหเ้ อือ้ ต่อการพัฒนาความสามารถของนักเรียน โดยยดึ วตั ถปุ ระสงค์ ดังนี้ (กรม
วิชาการ.2546)
1. เพื่อใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจในหลกั การและทฤษฎขี นั้ พนื้ ฐานของวชิ าวทิ ยาศาสตร์
2. เพ่ือใหเ้ กดิ ความเข้าใจในลักษณะ ขอบเขต และวงจากัดของวทิ ยาศาสตร์
3. เพอื่ ใหเ้ กิดทกั ษะในการศึกษาคน้ คว้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4. เพ่อื ให้เกิดเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์
5. เพ่ือใหเ้ กิดความเข้าใจในความสัมพันธร์ ะหวา่ งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และอทิ ธพิ ลของ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตอ่ มวลมนุษยแ์ ละสภาพแวดลอ้ ม
เยาวดี วิบูลย์ศรี (2545 : 16) กลา่ วว่าผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถงึ เปน็ แบบทดสอบที่
สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการวดั ผลการเรียนหรอื การสอน หรือแบทดสอบมาตรฐานท่ีใช้สาหรับวดั ทักษะหรอื ความรู้
ท่เี รียนมาเพ่ือใช้ในการวัดผลของการเรียนการสอน
จากเอกสารท่ีกล่าวมา สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะด้านความรู้ ความ
เข้าใจ ความสามารถในการนามวลประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนรู้และการทากิจกรรมต่างๆ ไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน ในการศึกษาครั้งน้ี ผู้วิจัยได้สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนขึ้น โดย
เป็นแบบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก
3.3.2 องคป์ ระกอบของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์
สมจติ สวธนไพบูลย์ (2535 : 101 -103) ไดเ้ สนอวา่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนประกอบด้วย 2
ส่วน ดังน้ี
1. ส่วนท่ีเป็นตัวความรู้ (Body of Knowledge) ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้แก่ ข้อเท็จจริง
(fact) มโนมติ (Concept) หลักการ (Principle) กฎ (Law) ทฤษฎี (Theory) และสมมติฐาน
(Hypothesis)
2. ส่วนท่ีเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ ( Process of Scientific Inquiry) เป็น
กระบวนการคิดและการทางานอย่างมีระบบ การค้นหาความรู้ ข้อเท็จจริงต่างๆ จากสถานการณ์ท่ีอยู่รอบตัว
เราด้วยวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรซ์ ึ่งมี 4 ขั้นตอน คือ ข้ันต้ังปัญหา ขั้นตั้งสมมติฐาน ขั้นรวบรวมข้อมูลจากการ
สังเกต ทดลอง สรปุ ผลและการนาไปใช้
3.3.3พฤตกิ รรมทใี่ ชใ้ นการวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์
พฤตกิ รรมท่ใี ชใ้ นการวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์เพ่ือให้นักเรยี นได้รับทั้งเนื้อหา
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะต้องวัดผลทั้งสองส่วนและเพื่อ
ความสะดวกในการประเมนิ ผู้วิจัยจึงไดท้ าการจาแนกพฤติกรรม
13
ในการวัดผลวิชาวทิ ยาศาสตร์ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตรส์ าหรับเป็นเกณฑ์
วัดผลว่านกั เรยี นได้เรียนรู้ไปมากน้อยหรือลึกซงึ้ เพยี งใด 4 พฤติกรรม ดงั นี้ (สสวท. 2546 : 11)
1. ความรู้ความจา หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงส่ิงท่ีเคยเรียนรู้มาเก่ียวข้องกับ
ข้อเทจ็ จริง ความคดิ รวบยอด หลกั การ กฎและทฤษฎี
2. ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการจาแนกความรู้ท่ีได้เมื่อปรากฏการณ์อยู่ใน
รูปแบบใหมแ่ ละความสามารถในการแปลความรู้จากสัญลักษณ์หนง่ึ ไปสสู่ ญั ลักษณ์หนึ่ง
3. การนาความรู้ไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้และวิธีการต่างๆทาง
วิทยาศาสตร์ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ หรือจากท่ีแตกต่างไปจากท่ีเคยเรียนรู้มา โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
ชีวติ ประจาวนั
4. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ความสามารถในการสืบเสาะ
หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้านการสังเกต การจาแนกประเภท
การจัดกระทาส่ือความหมายขอ้ มูล การลงความคดิ เหน็ จากข้อมูล
ซ่ึงพฤติกรรมการเรียนทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ความรู้ความจา ความเข้าใจ การนาความรู้ไปใช้ และ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้พิจารณาให้ครอบคลุม จุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนวิชา
ฟิสกิ ส์ เรื่อง เสยี ง ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5
4. งานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง
ทศพนั ธ์ คงเกิด (2551) ได้วิจัยเรอื่ ง การพัฒนาชดุ ฝกึ ทักษะฝึก กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ หนว่ ย
การเรยี นรูพ้ ันธุกรรม สาหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4กลมุ่ ตัวอย่างคอื นกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ีโรงเรียนกุด
บากพัฒนาศึกษา ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา2551จานวน 40 คน ซึ่งได้มาจากวิธีการเลือกแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกทักษะฝึกกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้
พันธุกรรม สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.23/81.6 7 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
80/80 ท่ีตง้ั ไว้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นโดยใช้ชดุ ฝึกทักษะฝึก กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ หน่วย
การเรียนรู้พันธุกรรม สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระตับ .01 นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่
ระดับ 01 นักเรียนมเี จตติทางวทิ ยาศาสตรต์ ่อการเรียนรู้ โตยใช้ชุดฝกึ ทักษะฝึกกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
หนว่ ยการเรียนรพู้ นั ธุกรรม สาหรับนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4มี
ค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมาก
นุชากร คาประดิษฐ์ (2553) ได้ทาการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุตกิจกรรมวิทยาศาสตร์พื้นฐาน เร่ือง สาร
และสมบัติของสาร สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1โดยประยุกต์ใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E โตยใช้
ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1/1 ภาคเรียนท่ี 1 ปี
การศึกษา 2553 โรงเรียนระยองวิทยาคม สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 18 จานวนนักเรียน
ทงั้ หมด 51 คน ผลการวิจยั พบว่า ชดุ ฝกึ ทักษะวิทยาศาสตร์พืน้ ฐาน เรือ่ ง สารและสมบตั ิของสาร มปี ระสิทธิภาพ
เท่ากับ 84.79/83.33 ดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.651 ทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและเจตคติทาง
วทิ ยาศาสตร์หลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05
ชรินรัตน์ จิตตสุโภ และคณะ (2553) ได้ทาการวิจัยเร่ือง การพัฒนาซเุ กิจกรรม เรอื่ งหน่วยสง่ิ มีชวี ิตและ
ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนไผว่ งวิทยา อาเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัด
อา่ งทอง จานวน 30 คน เปน็ กล่มุ ทดลองและกล่มุ ควบคุมกลุม่ ละ 15 คน โดยกลุ่มทดลองไตร้ บั การจัดการเรียนรู้
โตยใช้ชุดฝกึ ทักษะเร่ือง หน่วยส่ิงมีชวี ิตและชีวติ พืช กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรับชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี
1 และ กลุ่มควบคุมได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้
14
วิทยาศาสตร์ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.22/81.25นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนรู้วิชา
วิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยชุดฝึกทักษะเรื่องหน่วยส่ิงมีชีวิตและ
ชีวิตพืช กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกวา่ การจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมี
นัยสาคัญทางสถติ ิทร่ี ะตบั .05
เพชรรัตดา เทพพิทักษ์ (2545 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาชุดฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เร่ือง เทคโนโลยีที่มี
ความเหมาะสมเพื่อการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ผลการศึกษาพบว่า 1)
นักเรียนมีทักษะการปฏิบัติการทดลอง เฉล่ียร้อยละ 95.50 2) ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดทาโครงงาน
วิทยาศาสตร์ เฉลี่ยร้อยละ 95.00 และ 3) ผู้เรยี นมีความตระหนกั ต่อเทคโนโลยีในระดับมาก
ศิริลักษณ์ หนองเส (2545 : 112) ได้ทาการศึกษาผลการใช้ชุดฝึกทักษะส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้
ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 กับการสอนตามคู่มือครูพบวา่ นกั เรยี นที่ได้รับการสอนโดย
ใช้ชุดฝึกทักษะส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์กับการสอนตามคู่มือครู มีความสามารถทางการ
พึ่งพาตนเองด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีและดา้ นผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาวิทยาศาสตรแ์ ตกตา่ งกัน
อิสริยา หนูจ้อย (2549 : บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษาเร่ือง การพัฒนาชุดฝึกทักษะการเรียนรู้
สิ่งแวดล้อมศึกษา เร่ือง ระบบนิเวศในนาข้าวสาหรับนักเรียนช่วงช้ันท่ี 3 มีการพัฒนาคุณสมบัติของชุดฝึก
ทกั ษะโดยผา่ นการประเมินจากผเู้ ช่ยี วชาญจานวน 5 ท่าน ผลจากการประเมินพบว่า คุณภาพของชุดฝึกทักษะ
ดังกลา่ วมผี ลการประเมนิ อยู่ในระดับดี กลา่ วคือ สามารถนาไปใชใ้ นการเรยี นการสอนได้
จันทร์จิรา รัตนไพบูลย์ (2549 : 108) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดฝึกทักษะการจัดค่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
เร่ือง การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม สาหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 มีการพัฒนาชุดฝึกทักษะโดยการประเมินจาก
ผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 ท่าน ผลการประเมินพบว่าชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อมศึกษาอยู่ในระดับดี
ประสทิ ธภิ าพของชดุ ฝกึ ทกั ษะมคี ุณภาพเท่ากบั 80/80
วิวาส (Vivas. 1985 : 603) ได้ทาการวิจัย เกี่ยวกับการออกแบบพัฒนาและการประเมินค่าการรับรู้
ทางความคิดของนักเรียนเกรด 1 ในประเทศเวเนซุเอรา โดยใช้ชุดการสอน จากการศึกษาเกี่ยวกับความ
เขา้ ใจเกย่ี วกบั การพัฒนาทกั ษะทั้ง 5 คือ ด้านความคดิ ดา้ นความพรอ้ มในการเรียน ความคิดสร้างสรรค์ ดา้ น
เชาว์ปัญญา และด้านการปรับตัวทางสังคม หลังจากได้รับการสอนด้วยชุดฝึกทักษะสูงกว่านักเรียนท่ีได้รับการ
สอนแบบปกติ
ปราณี หีบแก้ว (2554 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาชุดฝึกทักษะการเรียนรู้แบบอิงประสบการณ์สาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง แรงและการเคลื่อนที่ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 พบว่านักเรียนท่ีเรียนด้วยชุดฝกึ ทักษะ
การเรียนรู้แบบอิงประสบการณ์ มีคะแนนผลสัมฤทธ์ิสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 คิดเป็นร้อยละ 86.36 ของ
นกั เรยี นทัง้ หมด
นพคุณ แดงบญุ (2552 : 61) ไดศ้ กึ ษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิทยาศาสตร์และเจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตร์
ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ที่ไดร้ บั การสอนดว้ ยชดุ ฝึกทกั ษะ เร่อื ง รา่ งกายมนุษย์ ผลการศกึ ษาพบว่า
หลังจากนาชุดฝึกทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นและเจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตรส์ งู กวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05
จันทร์จิรา รัตนไพบูลย์ (2549 : 109) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดฝึกทักษะ เรื่อง การจัดค่ายอนุรักษ์
สิง่ แวดลอ้ มสาหรับนักเรยี นระดบั ชว่ งชน้ั ท่ี 4 พบว่านกั เรียนมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น
ปิยะพงษ์ สุริยะพรหม (2549 : บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษาการพัฒนาชดุ การเรียนรู้แบบ 4 MAT เรือ่ ง ป่า
ชุมชน เพ่ือส่งเสริมเจตคติต่อการอนุรักษ์ป่าชุมชน และการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า นักเรียนมี
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหลังเรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียน
15
เมธา โยธาฤทธ์ิ (2549 : 82) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาชุดฝึกทักษะ เรือ่ ง ระบบนิเวศป่าชายเลน สาหรับ
นักเรียนระดับประกาศณียบัตรวิชาชีพ พบว่า คะแนนจากการทาแบบทดสอบของกลุ่มตัวอย่างหลังใช้ชุดฝึก
ทักษะมีคา่ เฉล่ยี สูงขึ้นกว่าก่อนใช้ชดุ ฝึกทักษะอยา่ งมนี ยั สาคญั ทีร่ ะดับ .01
เอกวิทย์ โทปุรินทร์ (2546 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านห้องเรียนเสมือน ของ
นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โดยพัฒนาห้องเรียนเสมือนข้ึนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และกลุ่มที่เรียนตามแผนการ
จดั การเรยี นรู้ของครู พบวา่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนระหว่างนกั เรยี นท่ีเรยี นผ่านห้องเรียนเสมือนสูงกวา่ นักเรียน
ที่เรียนตามแผนการจดั การเรยี นร้ขู องครอู ย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิที่ระดับ .01
สมิท (Smith. 1994 : 2528 – A) ได้ศึกษาผลจากวิธีการสอนท่ีมีต่อเจตคติและผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิชาวิทยาสาสตร์ของนักเรยี นกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา เกรด 7 โดยแบ่งเป็นกลมุ่
ทดลอง 3 กลุ่ม กลุ่มแรกได้รับการสอนแบบบรรยาย กลุ่มสองได้รับการสอนแบบให้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
และกลุ่มที่สามได้รับการสอนท้ังแบบบรรยายและให้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เคร่ืองมือที่ใช้เป็นวิธีทดสอบ
ภาคสนามซึ่งเรียกว่า การประเมินผลทางวิชาวิทยาศาสตร์ โดยใช้วิธีปฏิบัติแบบบูรณาการ ผลการวิจัยพบว่า
การสอนแบบใหล้ งมอื ปฏบิ ตั ิด้วยตนเองสูงกวา่ การสอนแบบบรรยาย
ฮาร์ทและอัล – ฟาเลห์ (Harty; & Al – Faleh. 1983 : 861 – 866) ได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี นวชิ าเคมีและเจตคติที่ได้จากการสอนแบบสาธติ ประกอบการบรรยาย และวธิ สี อนแบบแบ่งกลุ่มย่อยทดลอง
ของนักเรียนเกรด 11 จานวน 74 คน ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีสอนแบบ
แบง่ กลมุ่ ทดลองสงู กว่ากลมุ่ ท่ีสอนแบบสาธติ ประกอบการบรรยายอย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิ
16
บทท่ี 3
วิธีดาเนนิ การวจิ ยั
การใช้ชุดฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ เรื่องการเคลื่อนที่แนวตรง เพ่ือพัฒนาผลการเรียนรู้วิชา
ฟิสิกส์ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วจิ ยั ไดม้ วี ธิ ีการดาเนนิ การวจิ ยั ดังน้ี
1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
2. เครื่องมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
3. ขัน้ ตอนการสรา้ งและพฒั นาเคร่ืองมอื
4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร
นักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรยี นกาแพงวิทยา ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
กลุม่ ตัวอย่าง
นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4/2 และ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4/3 จานวน 62 คน
2. เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
2.1 แผนการจัดการเรยี นรู้ คือ แผนการจัดการเรยี นร้แู บบการจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ เรื่อง
การเคลอ่ื นทแี่ นวตรง 5 ขัน้ ตอน ซ่งึ ผวู้ จิ ัยสร้างขน้ึ จานวน 3 แผน ระยะเวลา 12 ชัว่ โมง
2.2 ชดุ ฝึกทกั ษะเร่ือง การแกโ้ จทยป์ ญั หาฟสิ ิกส์ เรือ่ ง การเคลื่อนท่แี นวตรง
2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเคลื่อนท่ีแนวตรง เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย
ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ขอ้
3. ข้นั ตอนการสรา้ งเครือ่ งมอื
1.ชดุ ฝึกทกั ษะ เรื่อง การแก้โจทยป์ ัญหาฟสิ ิกส์ เรอ่ื ง การเคลื่อนท่แี นวตรง
ส่ือการเรียนการสอนชนิดหนึ่งท่ีใช้ฝึกทักษะกับผู้เรียน เพ่ือฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ท่ี
ผู้วิจัยสร้างข้ึนการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ เร่ือง การเคลื่อนที่แนวตรง ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 /2 ผู้ศึกษา
คน้ คว้าสรา้ งและพัฒนาตามข้นั ตอน ดังนี้
1.1 ศึกษาหลกั การแนวคดิ ทฤษฎี แนวคดิ วธิ กี ารจดั การจดั ทาชดุ ฝึกทักษะวิชาวทิ ยาศาสตร์
1.2ศึกษาคาอธิบายรายวิชา และจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน
1.3 กาหนดหน่วยการเรยี นรกู้ ล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์
1.4 เขียนชดุ ฝกึ ทักษะเร่อื ง การแกโ้ จทย์ปญั หาฟิสิกส์ เรอ่ื ง การเคล่ือนท่แี นวตรง
1.5 นาชุดฝึกทักษะเรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ เร่ือง การเคล่ือนท่ีแนวตรง เสนอต่อ
ผู้เชีย่ วชาญเพ่อื ขอคาปรกึ ษา
1.5 จัดทาพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อนาไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือหาประสิทธิภาพ
ตอ่ ไป
17
2.แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น รายวิชาฟสิ กิ ส์ เร่ือง รอ่ื งการเคลื่อนที่ ของนกั เรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 4เป็นข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าดาเนินการสร้างข้ึน มี
ข้นั ตอนการสร้าง ดังน้ี
2.1 ศึกษาเทคนิคการเขียนข้อสอบ และวิธีการสร้างข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบจาก
หนังสอื วดั ผลการศึกษาของสมนกึ ภทั ธยิ ธนี (2546: 11-28) และหนังสอื การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์แบบ
อิงเกณฑ์ของบญุ ชม ศรสี ะอาด (2545: 53-66)
2.2 กาหนดจานวนขอ้ สอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก ทเ่ี ขยี นท้ังหมดและต้องการใชจ้ ริงแล้วทา
การเขยี นข้อสอบใหส้ อดคลอ้ งกบั เน้ือหาและจุดประสงค์การเรยี นรแู้ ตล่ ะข้อ
3.การนาไปใช้
โดยมีขั้นตอนการดาเนนิ การดังน้ี
1. ชแี้ จง ทาความเข้าใจ และสรา้ งขอ้ ตกลงในการเรยี นชุดฝึกทักษะวชิ าวิทยาศาสตร์
2. ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ก่อนเรียน (Pre-test) ด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี น ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าพัฒนาขน้ึ
3. ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ชุดฝึกทักษะวชิ าวิทยาศาสตร์ ที่
ผู้ศึกษาค้นคว้าทาการสร้างขึ้น เมื่อสอนจบจะมีใบกิจกรรมเพ่ือเก็บคะแนนระหว่างเรียน และมีการประเมิน
พฤติกรรมการทางานกล่มุ ของนักเรียนแตล่ ะกลุ่ม
4. ทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชุดเดิม และวัดความพึงพอใจ
ในการเรียนรูข้ องนกั เรยี นทม่ี ตี อ่ การเรียนชดุ ฝึกทักษะวิชาวทิ ยาศาสตร์
5. นาคะแนนของนักเรียนท่ีได้จากการทาแบบทดสอบย่อยของแต่ละคน 1 ชุด คะแนนการ
ประเมนิ พฤติกรรมการเรยี น และคะแนนของนกั เรียนทไ่ี ด้จากการทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นหลัง
เรียน มาวิเคราะห์เพื่อหาประสทิ ธิภาพของชดุ ฝึกทักษะ
6. นาคะแนนท่ีได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียน
ของนักเรยี นทกุ คน วิเคราะหเ์ พ่อื หาดชั นปี ระสิทธิผลของชดุ ฝึกทกั ษะ
7. นาผลการประเมินความพึงพอใจในการเรียนรู้ มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน และวิเคราะหร์ ะดับความพึงพอใจ
4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
ในการวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยได้ดาเนินการวจิ ยั โดยจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะเร่ือง การแก้โจทย์
ปัญหาฟิสิกส์ เร่ือง การเคล่ือนท่ีแนวตรง โดยใช้เนื้อหากลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การ
เคลื่อนท่ีแนวตรงแนวตรง กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกาแพงวิทยาจานวน 1 ห้องเรียน ในภาค
เรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 มขี ้ันตอนในการดาเนินการดงั นี้
1. ทดสอบก่อนการเรียน (pretest) โดยใช้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นวิทยาศาสตร์ เพอ่ื เก็บไว้เป็นคะแนนกอ่ นการเรียน
2. ดาเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ือง การเคลื่อนที่แนวตรง
แนวตรง
3. ตรวจผลงานนกั เรียนและสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนของนกั เรียน
18
4. ทดสอบหลังการจัดการเรยี นรู้ (posttest) โดยให้นกั เรยี นกลุ่มเปา้ หมายทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เพ่อื เก็บไว้เป็นคะแนนหลังการเรียน
5. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ผศู้ ึกษาคน้ ควา้ ได้ดาเนินการวิเคราะห์ข้อมลู ดงั น้ี
1. นาคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้
ชุดฝึกทักษะ เรื่อง คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า เป็นรายบุคคล มานบั ความถแ่ี ละหาร้อยละ เปรยี บเทยี บเกณฑ์ดงั นี้
ร้อยละของคะแนน 80-100 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นในระดับดมี าก
ร้อยละของคะแนน 70-79 มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นในระดับดี
รอ้ ยละของคะแนน 60-69 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นในระดบั ปานกลาง
ร้อยละของคะแนน 50-59 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นในระดบั พอใช้
ร้อยละของคะแนน ต่ากวา่ 50 มีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนในระดบั ไม่ผา่ น
2. หาสถิติพ้ืนฐานได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และร้อยละของคะแนนที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน
3. เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลัง
ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะเร่ือง การแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ เร่ือง การเคล่ือนที่แนวตรง ท้ังแบบ
กลมุ่ และรายบคุ คลกบั เกณฑค์ ะแนนเฉลี่ยร้อยละ 60 ถ้าคะแนนรอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ คะแนนตา่ กวา่ ร้อยละ 60
ไม่ผา่ นเกณฑ์
19
บทที่ 4
ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบผลการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เร่ือง การเคล่ือนท่ีแนวตรง ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะ ซ่ึงผู้วิจัยนาเสนอผลการ
วิเคราะห์ข้อมลู ดงั ต่อไปนี้
ตารางท่ี 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน วิชาฟิสิกส์ ของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการที่
ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับชุดฝึกทักษะ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/2
โรงเรียนกาแพงวทิ ยา
การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชก้ าร ร้อยละ
เรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ จานวน คะแนนเต็ม ค่าเฉลย่ี
32.50
รว่ มกับชุดฝกึ ทกั ษะ 75.70
กอ่ นการจัดการเรียนรู้ 62 20 6.50
หลงั การจัดการเรยี นรู้ 62 20 15.14
จากตารางท่ี 1 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง การเคล่ือนที่แนวตรง ที่ได้รับการจัดการ
เรยี นรโู้ ดยใช้การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความร้รู ว่ มกบั ชุดฝกึ ทกั ษะ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 4/2 และชน้ั มัธยมศกึ ษาปี
ที่ 4/3 โรงเรียนกาแพงวิทยาจานวน 62 คน คะแนนก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 6.50 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน
คิดเป็นร้อยละ 32.50 และคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน มีค่าเท่ากับ 15.14
จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 75.70 ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดการเรียนรู้
แบบสืบเสาะหาความรู้รว่ มกบั ชุดฝึกทักษะสูงกว่าก่อนเรียน
20
บทที่ 5
สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ
สรปุ ผลการวจิ ัย
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนกาแพงวิทยา หลังการท่ี
ได้รับการจัดการเรยี นร้โู ดยใช้การเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ร่วมกับชุดฝึกทกั ษะ มคี ะแนนเฉล่ยี ร้อยละ 75.71
ซึง่ สงู กว่าเกณฑค์ ะแนนเฉลี่ยที่กาหนดร้อยละ 60 และเม่อื พิจารณานักเรียนรายบคุ คลพบว่ามีนักเรียนผา่ นเกณฑ์
ทงั้ หมด คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100
อภิปรายผลการวจิ ยั
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อน และหลังการที่
ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับชุดฝึกทักษะ จากผลการวิจัย พบว่า
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง การเคล่ือนที่แนวตรง สูงกว่าก่อนการ
จัดการเรียนรู้ โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ 6.50 คิดเป็นร้อยละ 32.50 และ 15.14 คิดเป็น
ร้อยละ 75.70 ตามลาดับ เน่ืองจากการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบและสร้างองค์
ความรดู้ ว้ ยตนเองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทาให้ผ้เู รียนรจู้ กั ศึกษาคน้ คว้าหาความรู้ และแก้ปัญหาได้
อย่างมีเหตุผล ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการคิดวเิ คราะห์อย่างเป็นระบบ มีทักษะ และ เจตคติท่ีดีต่อวิทยาศาสตร์ ซึ่ง
สอดคล้องกับงานวิจัยโดยผลวจิ ัยดังกล่าวสอดคล้องกับงานวจิ ัยของ Chuenchob (2006) ได้ศึกษาเก่ียวกับการ
พัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนฟสิ กิ สแ์ ละความสามารถในการแกป้ ัญหาทางฟสิ ิกสข์ องนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี
4ดว้ ยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ โดยเสรมิ การแก้ปญั หาตามเทคนิคของโพลยา ผลการวจิ ยั พบวา่ ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นฟิสกิ สแ์ ละความสามารถในการแกป้ ัญหาทางฟสิ กิ ส์ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรยี นด้วย
วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ โดยเสริมการแก้ปัญหาตามเทคนิคของโพลยา สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .01 และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนฟิสิกส์และความสามารถในการแก้ปัญหาทางฟิสิกส์ของ
นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 สงู กว่าเกณฑ์อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .01
ขอ้ เสนอแนะ
1. การจัดการเรียนรู้บางขั้นตอนจาเป็นต้องใช้เวลา ดังนั้นเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดและทักษะใน
การเรียนรู้ให้มากที่สุด ผู้สอนจึงจาเป็นต้องยืดหยุ่นเวลาท่ีใช้ในการจัดกิจกรรมให้มีความเหมาะสม
เพือ่ ให้เกิดประโยชน์สงู สดุ กบั นกั เรยี น
2. ควรจะนาการการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับชุดฝึกทกั ษะไปใช้กบั วชิ าอ่ืน หรือภาค
เรยี นต่อไป
21
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2542). หลกั สูตรการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2544. กรงุ เทพฯ:คุรสุ ภา ลาดพร้าว.
กรมวชิ าการ. การปฏริ ปู การเรียนรขู้ องกระทรวงศกึ ษาธิการ. กรุงเทพมหานคร : กรมวิชาการ, 2545
จิรศักด์ิ ประทุมรัตน์. รูปแบบแหล่งการเรียนรู้ตามความต้องการของเกษตรกรในจังหวัดมหาสารคาม.
วทิ ยานพิ นธ์ ศศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2550.
จันทรา ออ่ นระหง. ผลการสอนแบบบรู ณาการโดยใช้แหลง่ เรียนรใู้ นชุมชนเป็นส่ือสาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรหน่วยการเรียนรู้“บ้านหลวงของเรา”สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี6
โ ร ง เ รี ย น บ้ า น ห ล ว ง ส า นั ก ง า น เ ข ต พ้ื น ท่ี ก า ร ศึ ก ษ า เ ชี ย ง ร า ย เ ข ต 4
วิทยานิพนธ์ คม. เชยี งราย : มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชียงราย. 2550
จิรศักด์ิ ประทุมรัตน์. รูปแบบแหล่งการเรียนรู้ตามความต้องการของเกษตรกรในจังหวัด
มหาสารคาม. วิทยานพิ นธ์ ศศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2550.
ชมุ พร ลือราช. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ตามแนวคดิ 5E โดยใช้
บทเรยี นสาเรจ็ รูปเป็นสื่อ เรื่องพลงั งานแสง ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนวดั เมธังกราวาส(เทศรัฐ
ราษ ฎร์นุกูล). วิทยานิพนธ์ ศย.ม. (หลักสูตรและการสอน)เชียงราย : มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย.
2554.
ชว่ ง ทมทติ ชงค์ และคณะ. (2537). ตะลยุ โจทยข์ ้อสอบ ฟสิ กิ ส์ ม.4. กรุงเทพมหานคร :เจริญดมี ั่นคงการพิมพ์.
ชว่ ง ทมชติ ชงค์. (2546). ฟิสกิ ส์ กลศาสตร์ 1. กรงุ เทพมหานคร : ไทเนรมติ กจิ อินเตอร์โปรเกรสซีฟ.
ณรงค์ โสกิณ. (2547).ผลการใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ตามแนววงจรการเรียนรู้ท่ีมีผลต่อผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความคงทนในการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยราชภัฎอดุ รธานี.
ทพิ ย์ธารา วงษส์ ด. (2553). การเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้กับตามแนว
ทฤษฎกี ารสรา้ งองค์ความรู้.วทิ ยานพิ นธ์ครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการเรยี นร้.ู มหาวิทยาลัยราช
ภัฏพระนครศรอี ยธุ ยา.
ทิศนา แขมมณี และคณะ. (2544). วิทยาการด้านการคิด. กรุงเทพฯ : บริษัทเดอะมาสเตอร์กรุ๊ป แมเนจเม้น
จากัด
ธรรมสถิต ทองเงินเจือธรรม. (2537). เตรียมสอบฟิสิกส์ O-NET ม.4-6. กรุงเทพมหานคร : ภูมิบัณฑิตการ
พมิ พ.์
ธัญวรรณ ทุมแก้ว. (2550). ผลการใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์
และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4. วิทยานิพนธ์การศึกษา
มหาบณั ฑิต (หลกั สตู รและการสอน). สงขลา : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ
นิคม ชมภูหลง. (2548). ภูมิปัญญาท้องถ่ินสู่การเรียนรู้. พิมพ์ครั้งที่ 2. มหาสารคาม: กลุ่มนิเทศติดตาม
ประเมินผลการจดั การศกึ ษาสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามหาสารคามเขต.
นิรันดร์ สุวรัตน์. (2554). ตะลุยโจทย์ ฟิสิกส์ ม.4-5-6 Entrance PAT 2. กรุงเทพมหานคร :เพ่ิมทรัพย์การ
พมิ พ์.
พิชญาภา พัฒน์รดากุล (2557). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถใน
การ แก้ปัญหาของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ระหว่างการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
22
(PBL) กับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ สมองเป็นฐาน (BBL), มหาวิทยาลัยรามคาแหง,ปริญญาศึกษา
ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการสอนวทิ ยาศาสตร.์
มานสั มงคลสุข. (2555). คมู่ ือฟิสกิ ส์ เลม่ 1. กรงุ เทพมหานคร : เจ้าพระยาระบบการพมิ พ.์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2546). การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตรห์ ลักสูตรการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว.
_______(2555). หนงั สอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐาน ฟิสกิ ส์. กรุงเทพมหานคร : สดสค. ลาดพร้าว.
_______(2553). หนังสือเรยี นรายวชิ าเพ่ิมเตมิ ฟิสกิ ส์ เล่ม 1. กรุงเทพมหานคร : สดสค. ลาดพร้าว.
สุธารพิงค์ โนนศรีชัย. (2550). การคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es). วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร
มหาบณั ฑิต (วิทยาศาสตร์ศึกษา). ขอนแกน่ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ .
ภาคผนวก
23
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 4
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว 32211 วิชาฟสิ ิกส์พนื้ ฐาน
ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 การเคลอ่ื นทแี่ นวตรง เรอื่ ง ปริมาณทเี่ กดิ จากการเคลื่อนทข่ี องวัตถุ เวลา 4 ช่ัวโมง
ชอ่ื ผสู้ อน นางสาวศรีวรรณ สวุ รรณวงค์
1. ผลการเรยี นรู้
3. ทดลองและอธบิ ายความสัมพันธร์ ะหว่างตาแหนง่ การกระจัด ความเรว็ และความเร่งของการ
เคล่ือนท่ีของวัตถใุ นแนวตรงที่มีความเรง่ คงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาคา่ ความเรง่ โน้มถว่ งของ
โลก และคานวณปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้องได้
2. สาระสาคญั
การเคล่ือนที่แนวตรงทั้งในแนวระดับและแนวดิ่ง เป็นการเคลื่อนที่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก แนวด่ิง
การเคล่ือนทขี่ องวัตถจุ ะมีความสมั พนั ธก์ ับระยะทาง การกระจดั เวลา อตั ราเรว็ ความเร็ว ความเรง่ และทิศทาง
ระยะทางกับการกระจัดเป็นปริมาณท่ีต่างกัน โดยระยะทางเป็นระยะตามเส้นทางการเคล่ือนท่ีจริงของ
วัตถุ และเป็นปริมาณสเกลาร์ส่วนการกระจัดเป็นระยะทางตามแนวเส้นตรงจากตาแหน่งเดิมไปยังตาแหน่งใหม่
และเป็นปริมาณเวกเตอร์
ความเร็วกับอัตราเร็วเป็นปริมาณที่ต่างกัน โดยความเร็วคือการเปล่ียนแปลงการกระจัดของวัตถุกับ
ช่วงเวลานั้น เป็นปริมาณเวกเตอร์ ส่วนอัตราเร็วเป็นการเปล่ียนแปลงของระยะทางของวัตถุกับช่วงเวลานั้น
เช่นกันและเป็นปริมาณสเกลาร์
พื้นท่ีใต้กราฟความเร็ว–เวลาในช่วงเวลาท่ีกาหนดของการเคล่ือนที่แนวตรง คือ ระยะทางท่วี ตั ถเุ คลื่อนท่ี
ได้หรือการกระจัดทเ่ี ปล่ยี นไปในชว่ งเวลานน้ั
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. เกิดความรู้ความเขา้ ใจเกีย่ วกับความหมายของปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั การเคลื่อนที่ (K)
2. อธิบายความสัมพันธ์ของปริมาณ ทเ่ี กีย่ วข้องกับการเคลอ่ื นทจี่ ากกราฟและสมการได้ (K)
3. มีทักษะการคานวณหาปริมาณต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการเคล่ือนท่ีได้ (P)
4. เหน็ คณุ ประโยชนข์ องการเรียนวชิ าฟิสิกส์ ตระหนักในคุณค่าของความรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีท่ใี ช้ใน
ชีวติ ประจาวนั (A)
3. สาระการเรยี นรู้
ปรมิ าณท่เี กดิ จากการเคล่ือนทีข่ องวตั ถุ
4. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
24
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
5. คุณลักษณะอันพ่งึ ประสงค์
1. ซ่ือสตั ย์สุจรติ
2. มวี นิ ยั
3. ใฝเ่ รียนรู้
6. ภาระงาน/ชิน้ งาน
- ใบงานท่ี 2.1 เรอื่ ง ระยะทางและการกระจัด
- ใบงานท่ี 2.2 เรือ่ ง อัตราเร็วและความเรว็
7. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ (ใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ :5E)
1. ขัน้ นาเขา้ ส่บู ทเรยี น
กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูนาภาพการเคล่ือนท่ีของวัตถุต่าง ๆ ท่ีได้เตรียมไว้ จานวน 10-12 ภาพ ให้นักเรียนจาแนกว่าภาพ
ใดบ้างเป็นการเคลื่อนที่แนวตรง ซึ่งประกอบด้วยภาพตัวอย่าง ดังต่อไปน้ี
• ภาพชิงชา้ สวรรค์
• ภาพผลไม้ตกสู่พื้นดิน
• ภาพรถวงิ่ ตามถนนเส้นตรง
• ภาพรถเลี้ยวโค้ง
• ภาพคนว่งิ แขง่ 100 เมตร
• ภาพลกู ตมุ้ นาฬิกา
• ภาพการแกวง่ ชิงช้า
• ภาพรถไตถ่ ัง
• ภาพคนยงิ ธนู
• ภาพดาวเทยี มโคจรรอบโลก
• ภาพการเคลอ่ื นท่ีของลูกบาสเกตบอล
• ภาพนกั กฬี าว่ายน้าในลขู่ องสระวา่ ยนา้
2. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงวิธีการพิจารณาว่าภาพใดบ้าง ท่ีเป็นภาพการเคลื่อนท่ีแนวตรง เพื่อ
นาไปสู่ความเข้าใจลักษณะของการเคล่ือนท่ีแนวตรงว่า “การเคลื่อนท่ีแนวตรง เป็นการเคลื่อนที่ท่ีมี
ระยะทางและการกระจดั อยู่ในแนวเส้นตรงเดยี วกัน”
3. นักเรียนชว่ ยกนั อภิปรายและแสดงความคดิ เหน็ คาตอบจากภาพตัวอย่าง
4. ครูถามนักเรียนว่า ภาพแต่ละภาพมีลักษณะการเคล่ือนท่ีเหมือนกันหรือแตกต่างกัน หรือไม่ อย่างไร
นักเรียนสังเกตลักษณะการเคล่ือนที่ของวัตถุน้ันอย่างไร (ทิ้งช่วงให้นักเรียนคิด) จากนั้นครูอธิบาย
ลักษณะการเคล่ือนทท่ี ลี ะภาพ
25
5. ครูถามคาถาม BIG QUESTION จากหนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ฟิสิกส์ ม.4 เล่ม 1 หน้า 30 ว่า
ในชีวิตประจาวันมีกิจกรรมใดบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ และให้ยกตัวอยา่ ง (เปิดโอกาสให้
นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นโดยไม่เน้นถูกผิด)
(แนวตอบ : ในชีวิตประจำวนั เรำพบเห็นกำรเคลือ่ นท่ีของสิ่งต่ำงๆ เช่น นกบิน รถยนต์แล่นบน
ถนน ลูกฟุตบอลเคล่ือนท่ีในอำกำศ ใบพัดลมหมนุ เดก็ แกว่งชิงชำ้ ผลไม้หลน่ จำกตน้ เป็นต้น)
6. นักเรียนช่วยกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นคาตอบจากคาถาม เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนในเร่ือง
ตาแหน่ง ระยะทาง และการกระจัด
7. ครใู หน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน
2. ขนั้ สอน
สารวจคน้ หา (Explore)
1. ครูถามคาถาม Prior knowledge จากหนงั สือเรียน หนา้ 31 ว่า เราจะทราบไดอ้ ยา่ งไรวา่ วัตถุเกิดการ
เคล่อื นที่
(แนวตอบ : วัตถมุ ีกำรเปลีย่ นตำแหน่งจำกจดุ หน่ึงไปอีกจดุ หนึง่ )
2. ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า การเคล่ือนท่ีของวัตถุเป็นผลมาจากการที่มีแรงไปกระทาต่อวัตถุ ทาให้วัตถุ
เปลี่ยนแปลงสภาพโดยเปลยี่ นตาแหน่งจากจดุ ท่ี 1 ไปยงั จุดท่ี 2 โดยการเปลี่ยนตาแหนง่ ของวัตถุจะทา
ให้เกิดปริมาณท่เี กย่ี วข้องกับการเคลอื่ นท่ี
3. ครแู จง้ ให้นกั เรยี นทราบว่า จะได้ศกึ ษาเรือ่ ง ตาแหนง่ ระยะทาง และการกระจัด
4. ครูเข้าสู่บทเรียน เร่ิมจากให้นักเรียนเข้าใจจุดอ้างอิงหรือตาแหน่งอ้างอิง โดยการต้ังประเด็นคาถาม
เชน่
นักเรียนจะบอกตาแหน่งของบ้านนักเรียนให้เพ่ือนเข้าใจได้อย่างไร (ข้ึนอยู่กับคาตอบของ
นกั เรยี น เช่น ชื่อถนน ชื่อซอย เปน็ ต้น)
นักเรียนเดินทางจากบ้านถึงโรงเรียนเป็นได้อย่างไร (ข้ึนอยู่กับคาตอบของนักเรียน เช่น เดิน
ออกจากบ้านมาโรงเรียนโดยท่เี ดนิ ตรงไปทางทิศเหนือ 180 เมตร จากนัน้ เลย้ี วซ้ายม่งุ หน้าไป
ทางทิศตะวันตก 240 เมตร แลว้ เดินต่อไปทางทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนืออีก 200 เมตร จึงจะถึง
โรงเรียน)
นกั เรยี นมวี ิธีอย่างไร สาหรับการเดินทางมาโรงเรยี นท่ใี ช้เวลาน้อยทส่ี ุด (ขน้ึ อยกู่ บั คาตอบของ
นกั เรยี น)
5. ครูและนักเรียนช่วยกันอภิปรายถึงระยะทางในการเดนิ ความเร็วในการเดิน และระยะทางในการเดนิ
นอ้ ยทีส่ ดุ เพอื่ ให้นกั เรยี นเข้าใจมากข้นึ
6. ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า การศึกษาการเคล่ือนท่ีของวัตถุเป็นการศึกษาการเปล่ียนแปลงตาแหน่งของวัตถุ
(position) การท่ีจะบอกการเปลี่ยนตาแหน่งต้องมีการระบุตาแหน่งเพ่ือให้ส่ือความหมายได้ตรงกัน
และเปน็ ระบบเดยี วกัน โดยกาหนดจุดอ้างอิงหรือตาแหน่งอ้างอิง (reference point) ซึ่งเป็นจุดทีบ่ อก
พิกัดท่ีแน่นอน และเป็นตัวเปรียบเทียบในการบอกตาแหน่งของวัตถุที่อยู่ภายในกรอบอ้างอิง
(reference frame)
7. ครูให้นักเรียนแต่ละคนวิเคราะห์และอธิบายเก่ียวกับจุดอ้างอิงและตาแหน่งของรถชนิดต่าง ๆ เทียบ
กบั ทต่ี ั้งของป้ายรถประจาทาง จากภาพในหนงั สือเรียนหนา้ 31
8. ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปความสัมพันธ์ระหว่างจุดอ้างอิงกับตาแหน่งของรถในภาพ โดยกาหนด
จดุ อา้ งอิงและอธิบายทิศทางของวัตถุเทียบกับจุดอา้ งอิง จากน้นั ครูสรุปเร่ืองจดุ อ้างองิ กับตาแหน่งของ
วัตถุ เพ่อื ให้นักเรียนมคี วามเข้าใจในเน้ือหามากยิ่งขึน้
26
9. ครูเข้าสู่เน้ือหาเรื่อง ระยะทางและการกระจัด โดยครชู ่วยเช่อื มโยงความรู้ใหม่จากเนื้อหาความรู้เดิมที่
เรียนรู้มาแล้ว ด้วยการให้นักเรียนแต่ละคนบอกตาแหน่งของเพื่อน และระยะห่างระหว่างตัวนักเรียน
กบั เพอ่ื น เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจความแตกต่างระหว่างระยะทางกับการกระจดั
10. ครูกล่าวตอ่ ว่า การเคล่อื นท่ขี องวตั ถเุ ป็นการเปล่ยี นตาแหนง่ ของวตั ถุ ซึง่ จะพจิ ารณาไดจ้ ากระยะทาง
และการกระจัด แล้วครูอาจถามด้วยคาถาม เพ่ือให้นักเรียนตอบจากความรู้และประสบการณ์ของ
นักเรียน ดงั น้ี
ระยะทางกบั การกระจัดมีความหมายและแตกตา่ งกนั อยา่ งไร
ระยะทางและการกระจดั มคี วามสมั พนั ธ์กนั หรือไม่ อยา่ งไร
ระยะทางจะมคี า่ เท่ากบั การกระจดั ในกรณใี ด
11. ครูท้ิงช่วงให้นักเรียนแต่ละได้คิด จากนั้นอาจสุ่มนักเรียนให้ออกมาตอบคาถามท่ีครูได้ถามไว้หน้าชน้ั
เรียน
12. หลังจากนั้นครูอธิบายสรุปจากคาถามเก่ียวกับระยะทางกับการกระจัดว่า ระยะทาง (distance) คือ
ระยะทั้งหมดท่ีวัดได้ตามแนวการเคลื่อนท่ี ระยะทางจะระบุแต่ขนาดเพียงอย่างเดียว จึงจัดว่าเป็น
ปริมาณสเกลาร์หน่วยเป็นเมตร (m) ส่วนการกระจัด (displacement) คือ ระยะที่วัดได้ในแนว
เส้นตรงจากตาแหน่งเริ่มต้นไปยังตาแหน่งสุดท้าย ซึ่งเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่ต้องระบุท้ังขนาดและ
ทิศทาง มีหน่วยเป็นเมตร (m) ครูอธิบายชี้ให้นักเรียนเห็นว่า ระยะทางขึ้นอยู่กับเส้นทางการเคลื่อนที่
จริง ส่วนการกระจัดจะขึ้นอยู่กับตาแหน่งเริ่มต้นและตาแหน่งสุดท้ายของการเคล่ือนที่ และระยะทาง
จะมขี นาดเท่ากบั การกระจัด ในกรณที ่ีวัตถุเคล่ือนท่ีเปน็ เสน้ ตรงและไมเ่ ปล่ียนแปลงทิศทาง
13. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4–5 คน กาหนดให้แต่ละกลุ่มสืบค้นในหัวข้อ การคานวณหา
ระยะทางและการกระจัด โดยให้นักเรียนแต่ละร่วมกันวางแผนการสืบค้นทั้งจากหนังสือเรียน (หน้า
33-34) เอกสารอ้างอิง และแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทักษะหรือ
กระบวนการสงั เกต จากน้นั นาขอ้ มูลทไ่ี ด้มาอภปิ รายร่วมกันหน้าชัน้ เรียน
อธิบายความรู้ (Explain)
1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาตัวอย่างที่ 2.1-2.2 จากหนังสือเรียนหน้า 33-34 โดยให้ร่วมกัน
ศึกษาความแตกต่างระหว่างระยะทางและการกระจัด วิธีการหาระยะทางและการกระจัด โดยครู
ใช้คาถามนาเพื่อหาข้อสรุป ดังน้ี
จากโจทย์ตัวอย่างที่ 2.1 การเคล่ือนที่ของวัตถุแต่ละคร้ังระยะทางและการกระจัดท่ีเกิดขึ้นมี
ลกั ษณะอยา่ งไร
(แนวตอบ : ระยะทำงและกำรกระจัดในกำรเคลื่อนท่ีมี 2 ลักษณะ คือ ระยะทำงมำกกว่ำกำร
กระจัด และระยะเทำ่ กับและกำรกระจัด แตจ่ ำกตวั อยำ่ งระยะทำงมำกกว่ำกำรกระจัด)
จากโจทยต์ ัวอย่างที่ 2.2 เด็กชายเอเดินเป็นแนววงกลมครบ 1 รอบ จะได้ระยะทาง 88 เมตร
และทาไมการกระจัดถงึ มีคา่ เปน็ ศูนย์
(แนวตอบ : กำรกระจัดมีค่ำเป็นศูนย์ เนื่องจำกเม่ือส้ินสุดกำรเคล่ือนที่แล้วจะไม่มีกำร
เปลย่ี นแปลง)
2. นกั เรียนแต่ละกล่มุ ออกมานาเสนอวธิ ีการแกป้ ญั หาโจทยต์ วั อยา่ งให้เพ่ือน ๆ ทราบหนา้ ห้องเรยี น
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปผลการสืบเสาะหาความรู้เก่ียวกับประเด็นคาถามต่าง ๆ ท่ีครูกาหนดไว้ (อาจ
นาเสนอในรปู ของเอกสาร) แล้วนามาอภปิ รายและแลกเปล่ยี นความคดิ เห็นกบั กลุ่มอืน่ ๆ
4. นักเรียนร่วมกันเขียนแผนผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) เกี่ยวกับระยะทางและการกระจัด เพื่อ
เป็นการสรุปความคดิ ความเข้าใจทไ่ี ดใ้ นชัน้ เรยี น แลว้ ส่งเป็นการบา้ นในคาบเรยี นตอ่ ไป
27
3. ขน้ั สรุป
ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
1. ครูนานกั เรยี นอภปิ รายและสรปุ เกีย่ วกบั เรอื่ ง ระยะทางและการกระจดั ดงั น้ี
ความหมายของระยะทางและการกระจดั
การคานวณหาระยะทางและการกระจดั
การกระจัดจะมคี ่าเท่ากับระยะทางในกรณใี ด
2. ครเู ปิดโอกาสใหน้ ักเรียนสอบถามเน้ือหาเรื่อง ตาแหนง่ ระยะทาง และการกระจัด วา่ มีส่วนไหนทยี่ ังไม่
เข้าใจและให้ความรู้เพิ่มเติมในส่วนน้ัน โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เร่ือง ระยะทางและการ
กระจัด ช่วยในการอธบิ าย
3. ครใู หน้ ักเรยี นทาใบงานที่ 2.1 เรอื่ ง ระยะทางและการกระจัด
4. ครใู ห้นักเรียนทา Unit Question 2 เร่อื ง ระยะทางและการกระจัด จากหนงั สอื เรียน หนา้ 79 สง่ เป็น
การบ้านในชว่ั โมงถดั ไป
ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน
2. ครปู ระเมนิ ผล โดยการสงั เกตการตอบคาถาม การร่วมกนั ทาผลงาน และจากการนาเสนอผลงาน
3. ครวู ดั และประเมินการปฏบิ ตั ิการ จากการทาใบงานท่ี 2.1 เรอื่ ง ระยะทางและการกระจัด
4. ครตู รวจสอบผลการทาแผนผังมโนทัศน์ (Concept Mapping)
5. ครูวดั และประเมนิ ผลจากการทา Unit Question 2 เรอ่ื ง ระยะทางและการกระจัด
6. ครูวดั และประเมินผลจากแผนผังมโนทศั นท์ ี่นักเรยี นได้สร้างข้ึนจากข้นั อธบิ ายความรู้ของนักเรียนเปน็
รายบุคคล
8. สือ่ /แหล่งเรียนรู้
1) หนังสือเรียน ฟิสกิ ส1์ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2
2) ใบงานที่ 2.1 เรือ่ ง ระยะทางและการกระจดั
3) ใบงานท่ี 2.2 เรือ่ ง อัตราเรว็ และความเร็ว
4) PowerPoint หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2
9. การวดั ผลประเมินผล
การประเมนิ ผล วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์ทใี่ ชป้ ระเมนิ
- ตรวจใบงานท่ี 2.1
1. เกดิ ความรู้ความเขา้ ใจ - ตรวจใบงานท่ี 2.2 - ใบงานที่ 2.1 -ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
เก่ียวกับความหมายของ - ใบงานท่ี 2.2 -รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
ปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกบั สังเกตพฤตกิ รรมท่ี
การเคล่อื นท่ี (K) พึงประสงค์ แบบประเมินคุณลักษณะ นกั เรยี นมคี ุณลกั ษณะอนั
2. อธบิ ายความสมั พันธ์ของ
ปริมาณ ทเี่ กี่ยวข้องกบั การ อนั พงึ ประสงค์ พึงประสงค์
28
เคลอ่ื นท่ีจากกราฟและ
สมการได้ (K)
3. มที ักษะการคานวณหา
ปริมาณต่างๆ ทเี่ ก่ียวข้องกบั
การเคลือ่ นท่ีได้ (P)
4. เห็นคณุ ประโยชน์ของการ
เรยี นวชิ าฟสิ ิกส์ ตระหนักใน
คุณค่าของความรู้
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีที่
ใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน (A)
29
10. ความเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………..
(นายหม่สู า ผิดไรงาม)
หัวหน้ากลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
11. ความคิดเหน็ รองผู้อานวยการกลมุ่ บรหิ ารวิชาการ
องค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนร้.ู ............................................................................
มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวชีว้ ัด/ผลการเรยี นรสู้ อดคลอ้ ง.......................................................
สาระสาคญั ครอบคลมุ ชดั เจน.............................................................................................
สาระการเรยี นรมู้ คี วามถูกต้องตามหลกั วชิ าการ................................................................
จุดประสงค์การเรยี นรู้มีความชดั เจนครอบคลุม (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน................................................................................................
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์.................................................................................................
ระบุภาระงาน/ชน้ิ งาน........................................................................................................
กิจกรรมการเรียนรูเ้ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั ...........................................................................
ส่อื และอุปกรณ์การเรยี นรู้.................................................................................................
การวดั และการประเมนิ ผลตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร.ู้ ..........................................................
เสนอสง่ แผนการจัดการเรยี นรู้ตามขั้นตอนระบบงาน........................................................
บันทึกหลงั สอน.................................................................................................................
(นายอับดลรอศักด์ิ มณีโส๊ะ)
รองผู้อานวยการกลมุ่ บรหิ ารวิชาการ
12. ความคดิ เห็นผู้อานวยการโรงเรียน
อนุญาตให้ใชจ้ ัดการเรยี นการสอนได้
ควรปรบั ปรุง คือ................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................
(นายสริ วุฒิ ยนุ ุย้ )
ผู้อานวยการโรงเรียนกาแพงวิทยา
30
13. บนั ทกึ หลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้แู ผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 4
13.1 ผลการจัดการเรียนรู้ (ตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู)้
13.2 แนวทางแกป้ ัญหานกั เรียนทีไ่ ม่ผา่ นตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรหู้ รอื จุดประสงค์การเรยี นรู้
ลงชอื่ …………………………………….…………………
(นางสาวศรีวรรณ สุวรรณวงค์)
ครูผสู้ อน
วนั ที่………เดือน……………………… พ.ศ. ……………….
31
ใบงานที่ 2.1
เรอื่ ง ระยะทางและการกระจดั
คาช้แี จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามต่อไปน้ี
1. จงอธบิ ายความหมายของตาแหน่ง ระยะทาง และการกระจัด
2. ถา้ เหว่ยี งก้อนหนิ ไปเปน็ รูปวงกลมรศั มี 3 เซนติเมตรกอ้ นหินจะเคล่ือนท่ไี ดร้ ะยะทางและการกระจดั เท่าไร
3. เด็กชายคนหนง่ึ เดินทางไปทางทศิ ตะวันออก 150 เมตร แล้วเดินกลับทางเดิม 30 เมตร ไปทางทศิ ตะวนั ตก
จงหาการกระจัดของเด็กคนนี้
4. โยนกอ้ นหนิ ข้นึ ไปจากยอดตกึ สงู 100 เมตร กอ้ นหนิ เคลอ่ื นที่ไปไดส้ งู สดุ 50 เมตร จึงตกกลับลงมายงั พ้ืนดิน
จงหาวา่ กอ้ นหนิ เคล่ือนที่ได้ระยะทางและการกระจดั ท้งั หมดเท่าไร
32
ใบงานที่ 2.1 เฉลย
เรอ่ื ง ระยะทางและการกระจดั
คาช้ีแจง : ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามต่อไปนี้
1. จงอธิบายความหมายของตาแหน่ง ระยะทาง และการกระจัด
ตาแหน่ง คือ การบอกใหท้ ราบว่าวัตถุหรอื สง่ิ ของท่ีเราพจิ ารณาอยู่ที่ใด และเพื่อความชัดเจนการบอกตาแหนง่
ของวัตถจุ ะต้องเทียบกับจดุ อา้ งอิงหรอื ตาแหนง่ อา้ งอิง (reference point)
ระยะทาง คือ ระยะทงั้ หมดท่ีวดั ได้ตามแนวการเคลอื่ นที่ ระยะทางจะระบแุ ต่ขนาดเพียงอย่างเดยี ว จึง
จัดวา่ เป็นปรมิ าณสเกลาร์หนว่ ยเปน็ เมตร (m)
การกระจัด คอื ระยะทีว่ ัดไดใ้ นแนวเส้นตรงจากตาแหนง่ เริ่มต้นไปยังตาแหนง่ สุดท้าย ซ่ึงเป็นปริมาณ
เวกเตอรท์ ่ีต้องระบุท้ังขนาดและทิศทาง มหี นว่ ยเปน็ เมตร (m)
2. ถ้าเหวีย่ งก้อนหินไปเป็นรูปวงกลมรัศมี 3.0 เมตร ก้อนหินจะเคลอื่ นท่ีได้ระยะทางและการกระจัดเท่าไร
วิธที า กอ้ นหินเคล่ือนที่ได้ระยะทาง = เส้นรอบวง
= 2r
= 2 (3.0)
= 18.8
การกระจดั = 0 (จุดเรมิ่ ตน้ กบั จดุ สุดท้ายอยจู่ ดุ เดยี วกนั )
ดงั นั้น ระยะทางเทา่ กับ 18.8 เมตร และการกระจดั เทา่ กบั 0
3. เด็กชายคนหนึง่ เดินทางไปทางทศิ ตะวันออก 150 เมตร แล้วเดนิ กลับทางเดิม 30 เมตร ไปทางทศิ ตะวันตก
จงหาการกระจัดของเด็กคนน้ี
วธิ ที า กาหนดให้ทิศทางตะวันออกมีคา่ เป็นบวก และทิศทางตะวนั ตกมคี ่าเป็นลบ
การกระจัดทีเ่ ด็กเดนิ ได้ = 150 + (-30)
= 120 เมตร
ดังนน้ั การกระจดั ของเดก็ ชายเป็น 120 เมตร ไปทางทิศตะวนั ออก
4. โยนก้อนหนิ ข้นึ ไปจากยอดตึกสูง 100 เมตร ก้อนหินเคล่ือนท่ีไปได้สูงสดุ 50 เมตร จึงตกกลบั ลงมายังพ้ืนดนิ
จงหาวา่ กอ้ นหินเคลอ่ื นทีไ่ ด้ระยะทางและการกระจัดท้งั หมดเทา่ ไร
วธิ ีทา ระยะทางท่ีกอ้ นหนิ เคล่ือนท่ี
= 50 + 50 + 100
= 200
กาหนดให้ ทศิ ทางขน้ึ จากพื้นดนิ มคี า่ เปน็ บวก และทิศทางลงสูพ่ นื้ ดนิ มคี า่ เปน็ ลบ
การกระจัด = 50 + (-50) + (-100)
= 100 เมตร มีทิศจาก A ไป C
ดงั นน้ั กอ้ นหินเคล่ือนท่ีได้ระยะทาง 200 เมตร และการกระจดั 100 เมตรทิศจาก A ไป C
33
ใบงานที่ 2.2
เรอ่ื ง อตั ราเรว็ และความเรว็
คาชแ้ี จง : ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้
1. ความหมายของความเร็ว ความเรว็ เฉลีย่ และความเรว็ ขณะใดขณะหนึ่ง
2. ลิงกาลังปีนขึ้นตน้ มะพรา้ ว ถ้าในทกุ ๆ 30 วินาที สามารถปีนข้นึ ไปไดส้ งู 10 เมตร แต่จะลน่ื ไถลลงมาอีก 1
เมตร เสมอ จงหาระยะทาง การกระจดั อตั ราเรว็ เฉลี่ย และความเรว็ เฉลี่ย
3. ชายคนหนึ่งว่ิงออกกาลังกายด้วยอัตราเร็วคงตัว 5 เมตรต่อวินาที เม่ือวิ่งได้ระยะทาง 100 เมตร เขารู้สึก
เหน่ือยจึงเปลีย่ นมาเป็นเดินด้วยอัตราเร็วคงตวั 1 เมตรต่อวินาที ในระยะทาง 100 เมตรต่อมา อัตราเร็วเฉล่ียใน
การเคลือ่ นที่ของชายคนนมี้ ีคา่ เท่าใด
34
ใบงานที่ 2.2 เฉลย
เรอ่ื ง อัตราเรว็ และความเรว็
คาช้แี จง : ให้นักเรียนตอบคาถามตอ่ ไปนี้
1. จงอธบิ ายความหมายของความเร็ว ความเรว็ เฉลีย่ และความเร็วขณะใดขณะหนึง่
ความเรว็ คือ การเปลีย่ นแปลงการกระจดั หรอื การเปล่ียนตาแหนง่ ทเ่ี กิดข้นึ ในหน่ึงหน่วยเวลา เปน็
ปรมิ าณเวกเตอร์ มีหนว่ ยเปน็ เมตรตอ่ วินาที (m/s)
ความเร็วเฉลย่ี คอื กระจัดของการเคลือ่ นทีท่ ัง้ หมดต่อชว่ งเวลาทใี่ ช้ในการเคล่ือนท่ี
ความเร็วขณะใดขณะหนึ่ง คอื ความเร็วของวตั ถุขณะผา่ นจุดใดจดุ หนงึ่ หรือทีเ่ วลาใดเวลาหนึ่ง
2. ลิงกาลงั ปีนข้นึ ตน้ มะพร้าว ถา้ ในทกุ ๆ 30 วินาที สามารถปีนขน้ึ ไปไดส้ ูง 10 เมตร แต่จะลนื่ ไถลลงมาอกี 1
เมตร เสมอ จงหาระยะทาง การกระจดั อัตราเร็วเฉลย่ี และความเรว็ เฉลยี่
วิธีทา ระยะทาง = 10 + 1 = 11 เมตร
การกระจัด = 10 + (-1) = 9 เมตร
ระยะทาง
อัตราเร็วเฉลยี่ = เวลา = 11 = 0.37 เมตรต่อวินาที
30
= 18.84
การกระจดั
ความเรว็ เฉลี่ย = เวลา = 9 = 0.3 เมตรตอ่ วนิ าที
30
ดังน้ัน ระยะทาง การกระจดั อตั ราเร็วเฉลีย่ และความเรว็ เฉล่ียเท่ากบั 11 เมตร 9 เมตร 0.37 เมตรตอ่
วินาที 0.3 เมตรตอ่ วนิ าที ตามลาดบั
3. ชายคนหนึ่งว่ิงออกกาลังกายด้วยอัตราเร็วคงตัว 5 เมตรต่อวินาที เม่ือวิ่งได้ระยะทาง 100 เมตร เขารู้สึก
เหน่ือยจึงเปลยี่ นมาเป็นเดินด้วยอัตราเร็วคงตัว 1 เมตรต่อวินาที ในระยะทาง 100 เมตรต่อมา อัตราเร็วเฉลย่ี ใน
การเคลอ่ื นทีข่ องชายคนน้ีมีคา่ เทา่ ใด ระยะทาง
อตั ราเรว็
วธิ ที า เวลาทีช่ ายคนน้ใี ช้ในการเคล่ือนที่ในแตล่ ะชว่ ง =
เวลาท่ีใชใ้ นระยะ 100 เมตรแรก = 100 = 20 วินาที
5
เวลาทใ่ี ชใ้ นระยะ 100 เมตรต่อมา = 100 = 100 วนิ าที
1
เวลาท้ังหมดทใี่ ช้ในการเคล่ือนที่ = 20 + 100 = 120 วินาที
ระยะทาง
อตั ราเร็วเฉลี่ย = เวลา = 100+100 = 1.67 เมตรตอ่ วนิ าที
120
ดังน้ัน อัตราเรว็ เฉลย่ี ของชายคนน้เี ป็น 1.67 เมตรตอ่ วนิ าที
35
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 5
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว 32211 วชิ าฟิสกิ ส์พืน้ ฐาน
ปกี ารศึกษา 2564
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2
เวลา 4 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 การเคลอ่ื นท่แี นวตรง เรอ่ื ง ความเรง่
ชื่อผูส้ อน นางสาวศรวี รรณ สุวรรณวงค์
1. ผลการเรียนรู้
3. ทดลองและอธบิ ายความสัมพันธร์ ะหว่างตาแหนง่ การกระจัด ความเร็ว และความเรง่ ของการ
เคลอื่ นที่ของวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคงตวั จากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่งโน้มถ่วงของ
โลก และคานวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวข้องได้
2. สาระสาคัญ
การเคล่ือนท่ีของวัตถุใด ๆ มีการเคลื่อนที่เร็วขึ้นหรือช้าลง และบางคร้ังมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการ
เคล่อื นท่ี การเคลื่อนท่ีท่ีมขี นาดหรือทศิ ทางของความเร็วเปล่ยี นแปลงไป เรยี กว่า การเคล่ือนท่แี บบมคี วามเร่ง
ความเร่ง เป็นความเร็วที่เปล่ียนไปในหนึ่งหน่วยเวลา หรืออัตราการเปล่ียนแปลงความเร็ว ซ่ึงเป็น
ปริมาณเวกเตอร์ แตถ่ า้ ถ้าหากพจิ ารณาเฉพาะขนาดของความเร่ง โดยไม่คานึงถงึ ทศิ ทางของการเคล่ือนที่แลว้ จะ
เรยี กวา่ อัตราเร่ง ซง่ึ เป็นปรมิ าณสเกลาร์
ความเร่งเฉล่ีย เป็นอัตราส่วนระหว่างความเร็วท่ีเปล่ียนไปท้ังหมด กับช่วงเวลาท่ีเกิดการเปลี่ยนแปลง
ความเรว็ น้ัน
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธบิ ายเกีย่ วกับความเร่งได้ (K)
2. มีทกั ษะการคานวณหาความเร่ง และปรมิ าณที่เกีย่ วข้องกับการเคลอื่ นท่ไี ด้ (P)
3. ทางานร่วมกบั ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ยอมรับความคิดเห็นของผ้อู ืน่ ได้ (A)
3. สาระการเรยี นรู้
ความเรง่
4. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
5. คุณลักษณะอันพึง่ ประสงค์
1. ซือ่ สตั ยส์ จุ รติ
36
2. มวี ินัย
3. ใฝเ่ รียนรู้
6. ภาระงาน/ชน้ิ งาน
- ใบงานที่ 2.3 เรือ่ ง ความเร่ง-
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ :5E)
1. ขนั้ นาเขา้ สู่บทเรยี น
กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครูและนักเรียนร่วมกันทบทวนความรู้เดิม เก่ียวกับ เรื่อง ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว และ
ความเร็ว เพื่อเชื่อมโยงความคิดนักเรียนสู่เน้ือหาโดยให้นักเรียนร่วมกันสนทนา เก่ียวกับ การเคล่ือน
ท่ีว่ามีปริมาณใดบ้าง ที่เป็นปริมาณสเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ (ทิ้งช่วงให้นักเรียนคิด) เพื่อเป็น
ความรูพ้ น้ื ฐานนาไปสู่การศกึ ษา เรอื่ ง ความเร่ง
2. ครูสนทนากบั นักเรยี นถงึ เร่ืองการเคลื่อนทีต่ า่ ง ๆ โดยซักถามนกั เรยี นในประเด็นตอ่ ไปนี้
การทรี่ ถยนตแ์ ล่นใชค้ วามเรว็ เท่ากนั หรือไม่
การขี่รถจักรยานของนกั เรยี นใชค้ วามเรว็ เทา่ กนั หรือไม่
3. ครูถามคาถาม Prior Knowledge จากหนังสือเรียนหน้า 47 ว่า “นักเรียนรู้ได้อย่างไรว่าวตั ถุเคล่อื นที่
แบบมีความเร่ง” เพอื่ เปน็ การกระตุ้นใหน้ ักเรยี นรว่ มกันคดิ
(แนวตอบ : ควำมเร็วของวตั ถุกำรเปล่ยี นแปลงไป ซง่ึ ควำมเร่งอำจมีค่ำเปน็ บวกหรอื ลบก็ได้)
4. นักเรยี นชว่ ยกนั อภปิ รายและแสดงความคิดเห็นคาตอบจากคาถาม
5. ครอู าจจะยกตวั อยา่ งการเคลือ่ นที่ท่มี ีความเร่ง แล้วอธิบายวา่ การเคลอื่ นทีน่ น้ั เปน็ อยา่ งไร อะไรบง่ บอก
ว่าการเคล่ือนท่ีนั้น ๆ มีความเร่ง เช่น นักวิ่งเพิ่มความเร็วในการว่ิงเพ่ือแซงคู่แข่งขัน ซึ่งทาให้เกิด
ความเรง่ เป็นต้น
2. ขนั้ สอน
สารวจคน้ หา (Explore)
1. ครูให้ความรู้เกีย่ วกับความหมายของความเรง่ เพ่ือใหน้ ักเรยี นเข้าใจมากขึน้ วา่ ในการเคลื่อนท่ขี องวตั ถุ
บางชว่ งเวลาขนาดของความเร็วและทิศทางการเคลอ่ื นที่ของวตั ถุไมเ่ ปลี่ยนแปลง ซ่ึงกลา่ วได้วา่ วตั ถมุ ี
ความเรว็ คงตวั แต่ถา้ ขนาดของความเรว็ เปลี่ยน หรือทศิ การเคล่อื นท่ีเปลี่ยน หรอื เปลยี่ นทั้งขนาดของ
ความเร็ว และทศิ การเคลื่อนที่ เราเรียกว่าวัตถุมี “ความเร่ง” เช่น รถท่เี ลี้ยวโคง้ ด้วยขนาดของ
ความเรว็ คงตวั ก็ถือว่ารถมีความเร่ง เพราะทิศการเคลอื่ นที่ของรถเปล่ยี นแปลงตลอดเวลา
2. ครูนาเสนอวิธีการคานวณหาค่าความเรง่ จากสมการความเรง่ (ในหนังสือเรยี น หนา้ 47) ใน
ความหมายของอัตราสว่ นระหวา่ งความเรว็ ท่เี ปลี่ยนไปกับช่วงเวลาหนึง่
3. ครูให้ความรู้เกีย่ วกับการเขียนกราฟความสมั พันธข์ องความเร็วกบั เวลาของการเคล่ือนทีข่ องวัตถแุ นว
ตรง พรอ้ มทง้ั รว่ มอภปิ รายกบั นักเรียนใหไ้ ด้ข้อสรปุ ดังนี้
ถ้าความเร็วคงท่ี ลักษณะของกราฟระหว่างความเร็วกับเวลาเป็นเส้นตรงขนานกับแกนเวลา
โดยมคี วามชนั เป็นศนู ย์
37
ถ้าวัตถุเคล่ือนท่ีด้วยความเร็วท่ีเปลี่ยนแปลงสม่าเสมอ ลักษณะของกราฟระหว่างความเร็วกับ
เวลาเปน็ เส้นตรงมคี วามชันค่าหนง่ึ
4. ครใู หน้ กั เรียนพจิ ารณาความหมายของความเรง่ กบั ความหน่วง จากรายละเอียดในหนงั สือเรยี นหนา้
48 โดยพิจารณาสถานการณ์การเกิดความเร่งและความหน่วงของรถจักรยานยนต์
5. ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปราย สรุปไดว้ ่า รถจกั รยานยนตเ์ คลื่อนท่ีเปน็ เสน้ ตรงมกี ารเคลอื่ นท่ี 2 แบบ
คือ
แบบแรก รถจักรยานยนต์มคี วามเรว็ เพมิ่ ขน้ึ เรยี กวา่ รถมีความเรง่
แบบสอง รถจกั รยานยนต์มีความเรว็ ลดลง เรียกว่า รถมีความหน่วง
6. ครถู ามนักเรยี นว่าความเรง่ และความหน่วงมีทิศทางอยา่ งไร
7. ให้นักเรียนแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 4 – 5 คน แลว้ ช่วยกนั เขียนแผนภาพเวกเตอรแ์ สดงทิศทางการเปล่ยี น
ความเร็ว ลงในกระดาษ A4
(หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนักเรียน โดยใชแ้ บบสงั เกตการณท์ างานกลุ่ม)
8. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ นาแผนภาพและคาตอบท่ีคิดได้ มาร่วมกนั อภปิ รายภายในกลุ่ม ตรวจสอบและ
รวบรวมข้อมูล และทกุ คนตอ้ งทาความเข้าใจให้ตรงกัน
9. ครูสุ่มตวั แทนของนักเรียนแตล่ ะกลุ่ม เพ่อื นาเสนอแผนภาพทแี่ ตล่ ะกลมุ่ ไดไ้ ปสรปุ เปน็ แผนที่ความคดิ
10. ครูสอบถามข้อสรุปของแต่ละกลุ่ม โดยครูตรวจสอบข้อมูลจากการนาเสนอเพื่อความถูกต้อง แล้ว
สรปุ ดงั นี้
ถา้ V2 มากกว่า V1 แสดงวา่ ความเร่ง (a) เปน็ + (V2 – V1 > 0) ซึ่งหมายถึง a มที ิศเดียวกับทิศ
การเคลอ่ื นที่ของวัตถซุ ่งึ มีความเรว็ เพมิ่ ขน้ึ
ถ้า V2 น้อยกว่า V1 แสดงว่าความเร่ง (a) เป็น – (V2 – V1 < 0) ซ่ึงหมายถึง a มีทิศตรงข้ามกับ
ทิศการเคลอ่ื นท่ขี องวตั ถุ ในกรณีนีว้ ัตถจุ ะเคล่ือนทช่ี า้ ลง
11. จากนั้นครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกัน ศึกษาการหาความเร่งเฉล่ียและความเร่งขณะหนึ่งของวัตถุ
จากเครอ่ื งเคาะสญั ญาณเวลา จากหนังสือเรียนหนา้ 49
12. ครูเชื่อมโยงการหาอัตราเร็วของแถบกระดาษจากเครื่องเคาะสัญญาณ ซึ่งหากดึงแถบกระดาษด้วย
อัตราเร็วที่ต่างกันจะพบว่า บางครั้งกระดาษเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สม่าเสมอและไม่สม่าเสมอ
ลักษณะของการเคลื่อนที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงความเร็วและทิศทาง เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบมี
ความเร่ง
13. ครูอธิบายเพ่ิมเติมเก่ียวกับวิธีการหาอัตราเร็วเฉล่ียจากแถบกระดาษเคร่ืองเคาะสัญญาณเวลา
รวมทั้งการแปลความหมายจุดบนกระดาษ โดยการนาแถบกระดาษท่ีปรากฏจุดแตกต่างกัน มาให้
นักเรยี นสังเกตและร่วมกนั สรปุ ผล
อธิบายความรู้ (Explain)
1. ครูให้นักเรียนร่วมกันศึกษาโจทย์ตัวอย่างของวิธีการคานวณความเร่งเฉล่ียจากตัวอย่างที่ 2.8 ใน
หนงั สอื เรยี นหนา้ 50 โดยครูอธิบายเสรมิ เพือ่ ใหน้ กั เรยี นเข้าใจมากข้นึ
2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาตัวอย่างที่ 2.9 และ 2.10 ในหนังสือเรียนหน้า 51-52 ตามขั้นตอนการ
แก้โจทย์ปญั หา ดงั นี้
ขนั้ ท่ี 1 ครใู หน้ ักเรียนทุกคนทาความเข้าใจโจทย์ตวั อยา่ ง
ข้นั ท่ี 2 ครูถามนักเรียนว่า ส่งิ ท่โี จทย์ตอ้ งการถามหาคืออะไร และจะหาสงิ่ ทโ่ี จทย์ต้องการ ต้อง
ทาอย่างไร
ขัน้ ที่ 3 ครูให้นักเรียนดวู ธิ ที าในการคานวณหาคาตอบ
ขัน้ ท่ี 4 ตรวจสอบคาตอบของโจทย์ตวั อยา่ งวา่ ถกู ตอ้ ง หรือไม่
38
3. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับวิธีการคานวณความเร่ง เพ่ือให้นักเรียนสรุปสาระสาคัญลงใน
สมดุ จดบันทึก
3. ขัน้ สรุป
ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
1. ครนู านกั เรียนอภปิ รายและสรุปเกย่ี วกบั ความเร่ง ดงั น้ี
ในชวี ิตประจาวนั ของนักเรียนไดเ้ กย่ี วข้องกับอัตราเร็วหรอื ความเรว็ ด้านใดบา้ ง
ความเร่งกับความหนว่ งแตกต่างกนั อย่างไร
2. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหาเรื่อง ความเร่ง ว่ามีส่วนไหนที่ยังไม่เข้าใจและให้ความรู้
เพมิ่ เตมิ ในสว่ นนนั้ โดยทค่ี รอู าจจะใช้ PowerPoint เรื่อง ความเรง่ ชว่ ยในการอธิบาย
3. ครใู หน้ ักเรยี นรว่ มกันทาใบงานท่ี 2.4 เรือ่ ง ความเร่ง
ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครปู ระเมินการนาเสนอข้อมลู เก่ียวกับแผนภาพเวกเตอร์แสดงทศิ ทางการเปลย่ี นความเร็ว
2. ครสู งั เกตการตอบคาถามของนักเรยี น
3. ครูตรวจสอบผลจากใบงานท่ี 2.4 เร่อื ง ความเรง่
4. ครปู ระเมินผลงานจากแผนภาพเวกเตอร์ท่ีนกั เรียนไดส้ ร้างขึ้นจากขน้ั สารวจค้นหา
8. สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้
5) หนงั สือเรยี น ฟสิ ิกส์1 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2
6) ใบงานท่ี 2.3 เร่ือง ความเร่ง
7) PowerPoint หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 2
9. การวดั ผลประเมินผล
การประเมนิ ผล วธิ กี ารวัด เครื่องมือ เกณฑท์ ใี่ ชป้ ระเมิน
- ตรวจใบงานที่ 2.3
1. อธิบายเก่ียวกับความเร่ง - ใบงานท่ี 2.3 -ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ได้ (K) สงั เกตพฤตกิ รรมที่
2. มีทักษะการคานวณหา พึงประสงค์ --
ความเร่ง และปริมาณที่
เก่ยี วข้องกับการเคลอื่ นท่ไี ด้ แบบประเมินคณุ ลักษณะ นักเรยี นมคี ุณลกั ษณะอัน
(P)
3. ทางานรว่ มกบั ผู้อ่ืนอยา่ ง อันพงึ ประสงค์ พงึ ประสงค์
สร้างสรรค์ ยอมรับความ
คิดเห็นของผู้อน่ื ได้ (A)
39
10. ความเหน็ ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………..
(นายหม่สู า ผิดไรงาม)
หัวหน้ากล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
11. ความคดิ เห็นรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ
องค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนร้.ู ............................................................................
มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นรสู้ อดคล้อง.......................................................
สาระสาคัญครอบคลมุ ชดั เจน.............................................................................................
สาระการเรยี นรมู้ ีความถูกต้องตามหลกั วิชาการ................................................................
จุดประสงค์การเรียนรู้มคี วามชดั เจนครอบคลุม (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น................................................................................................
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค.์ ................................................................................................
ระบุภาระงาน/ชนิ้ งาน........................................................................................................
กิจกรรมการเรียนรู้เนน้ ผ้เู รียนเปน็ สาคัญ...........................................................................
สื่อและอุปกรณ์การเรยี นรู้.................................................................................................
การวดั และการประเมินผลตามจุดประสงค์การเรียนร้.ู ..........................................................
เสนอส่งแผนการจัดการเรียนรตู้ ามข้ันตอนระบบงาน........................................................
บันทึกหลังสอน.................................................................................................................
(นายอับดลรอศักด์ิ มณโี ส๊ะ)
รองผู้อานวยการกล่มุ บริหารวชิ าการ
12. ความคดิ เหน็ ผ้อู านวยการโรงเรยี น
อนุญาตใหใ้ ชจ้ ัดการเรียนการสอนได้
ควรปรบั ปรุง คอื ................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................
(นายสริ วุฒิ ยนุ ยุ้ )
ผ้อู านวยการโรงเรียนกาแพงวิทยา
40
13. บนั ทกึ หลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้แู ผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 5
13.1 ผลการจัดการเรียนรู้ (ตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู)้
13.2 แนวทางแกป้ ัญหานกั เรียนทีไ่ ม่ผา่ นตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรหู้ รอื จุดประสงค์การเรยี นรู้
ลงชอื่ …………………………………….…………………
(นางสาวศรีวรรณ สุวรรณวงค์)
ครูผสู้ อน
วนั ที่………เดือน……………………… พ.ศ. ……………….
41
ใบงานที่ 2.3
เรือ่ ง ความเร่ง
คาชแี้ จง : ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้
กราฟระหว่างความเรว็ (⃑v) กับเวลา (t) ของวัตถุท่เี คล่ือนที่เปน็ เสน้ ตรงดังรปู จงหา
1. ระยะทางท่ีเคลื่อนที่ท้ังหมด
2. การกระจดั ท่ไี ด้ทง้ั หมด (⃑x)
3. อัตราเร็วเฉล่ยี ของการเคลือ่ นทที่ ั้งหมด (vav)
4. ความเร็วเฉลยี่ ของการเคลื่อนทท่ี ง้ั หมด (v⃑ av)
5. ความเรง่ ท่วี นิ าทีท่ี 1 และ 7 (⃑a1, a⃑ 7)
42
ใบงานท่ี 2.3 เฉลย
เรือ่ ง ความเรง่
คาชีแ้ จง : ให้นกั เรียนตอบคาถามต่อไปน้ี
กราฟระหวา่ งความเรว็ (⃑v) กบั เวลา (t) ของวตั ถทุ ่ีเคลื่อนที่เป็นเสน้ ตรงดงั รูป จงหา
1. ระยะทางที่เคล่ือนทท่ี ั้งหมด
ระยะทางท่ีเคลอ่ื นที่ท้งั หมด หาไดจ้ าก
ผลรวมของขนาดการกระจดั ในแต่ละช่วง = พื้นทีใ่ ต้
กราฟ
พื้นทีใ่ ต้กราฟ = x1 + x2 +
x3 + x4
= (1⁄2 × 2 × 15) + (1⁄2 × 2 × 15) + (1⁄2 × (20 + 15) × 2) +
(1⁄2 × 2 × 20)
= 85 เมตร
2. การกระจดั ทไ่ี ดท้ งั้ หมด
การกระจดั = พ้นื ทใี่ ตก้ ราฟ
= x1 + x2 + x3 + x4
= (-15) + 15 + 35 + 20
= 55 เมตร
3. อตั ราเรว็ เฉลยี่ ของการเคลอ่ื นท่ีท้งั หมด (vav)
vav = ระยะทางท้ังหมด = 85 = 10.6 เมตรตอ่ วินาที
เวลาทง้ั หมด 8
4. ความเร็วเฉล่ียของการเคลอ่ื นที่ท้ังหมด (⃑vav)
⃑vav = ระยะทางทั้งหมด = 55 = 6.9 เมตรต่อวนิ าที
เวลาท้ังหมด 8
5. ความเรง่ ท่วี นิ าทีที่ 1 และ 7 ( ∆⃑v )
∆t
ความเรง่ ⃑a = ความชนั ของกราฟ (⃑v) กับ (t)
= ∆v⃑
∆t
วินาทีท่ี 1, a⃑ 1 = ∆v⃑ = (0−(−15) = 7.5 เมตรต่อวนิ าที2
∆t (2−0)
วนิ าทที ่ี 7, ⃑a1 = ∆v⃑ = (0−20) = -10 เมตรต่อวนิ าที2
∆t (8−6)
43
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 6
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว 32211 วชิ าฟสิ ิกสพ์ นื้ ฐาน
ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 การเคล่อื นทแ่ี นวตรง เรอ่ื ง การเคลื่อนท่ขี องวัตถุกรณคี วามเรง่ คงตัว เวลา 4 ช่วั โมง
ชอื่ ผู้สอน นางสาวศรวี รรณ สวุ รรณวงค์
1. ผลการเรียนรู้
3. ทดลองและอธิบายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตาแหนง่ การกระจัด ความเร็ว และความเรง่ ของการ
เคลื่อนท่ีของวัตถใุ นแนวตรงท่ีมคี วามเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเรง่ โนม้ ถว่ งของ
โลก และคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเกยี่ วข้องได้
2. สาระสาคญั
การเคล่ือนที่ของวัตถุแนวตรงในกรณีความเร่งมีค่าคงตัว คือ การที่วัตถุเคล่ือนที่ด้วยความเร่งโดยมีทั้ง
ขนาดและทิศทางเหมือนเดิมตลอดเวลาของการเคลื่อนท่ี โดยสมการการเคล่ือนที่ของวัตถุที่เก่ียวข้องมี
ความสัมพนั ธ์ตามสมการ
v = u + at
u+v
∆x = ( 2 ) t
∆x = ut + 1 at2
2
v2 = u2 + 2a∆x
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหว่างการกระจดั เวลา ความเรว็ ความเร่งของการเคล่ือนท่เี สน้ ตรงได้ (K)
2. มที กั ษะการคานวณหาปรมิ าณท่เี กี่ยวข้องกบั การเคล่ือนท่ีในแนวตรง (P)
3. ทางานรว่ มกับผอู้ ืน่ อย่างสร้างสรรค์ ยอมรบั ความคดิ เห็นของผอู้ นื่ ได้ (A)
3. สาระการเรียนรู้
การเคลื่อนทขี่ องวตั ถุกรณีความเร่งคงตวั
4. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด
5. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ่ ประสงค์
44
1. ซอื่ สตั ยส์ จุ ริต
2. มวี ินยั
3. ใฝเ่ รียนรู้
6. ภาระงาน/ชิน้ งาน
- ใบงานที่ 2.5 เรื่อง การเคลื่อนทขี่ องวัตถุกรณีความเรง่ คงตวั
7. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ (ใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ :5E)
กระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูและนกั เรียนร่วมกนั ทบทวนความรเู้ ดิม เกย่ี วกับ ตาแหน่งระยะทาง การกระจัด อัตราเรว็ ความเรว็
และความเร่ง เช่ือมโยงเนื้อหาโดยนักเรียนร่วมกันตอบคาถาม เก่ียวกับ อัตราเร็วและระยะทางมี
ความสมั พนั ธก์ นั อย่างไร (ท้ิงชว่ งใหน้ กั เรียนคดิ ) เพอ่ื นาไปสู่การศึกษา เรอ่ื ง สมการท่ใี ชใ้ นการคานวณ
ปรมิ าณตา่ ง ๆ ของการเคลอ่ื นที่ในแนวตรงของวตั ถุท่ีมคี วามเรง่ คงตวั
2. ครูถามคาถาม Prior Knowledge จากหนังสือเรียน หน้า 60 ว่า “วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งคงตวั จะ
มลี กั ษณะการเคล่อื นท่เี ปน็ อย่างไร” เพ่ือเป็นการกระตนุ้ ให้นักเรียนร่วมกนั คดิ
(แนวตอบ : วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยควำมเร่งโดยมีท้ังขนำดและทิศทำงเหมือนเดิมตลอดเวลำของ
กำรเคล่ือนท)ี่
3. นกั เรยี นชว่ ยกนั อภิปรายและแสดงความคิดเหน็
4. ครูสามารถกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยการเปิดโปรแกรมสาธิตการเคลื่อนที่ของวัตถุด้วย
ความเร่งคงตัว จาก http://www.walter-fendt.de/html5/phth/acceleration_th.htm ซึ่งครู
อาจจะขออาสาสมัครนักเรียนให้ออกมาหน้าชน้ั เรียนเพ่ือเป็นตัวแทนในการสาธติ การใชโ้ ปรแกรม โดย
แนะนาให้นกั เรียนนาโปรแกรมไปศกึ ษาในเร่ือง การเคลือ่ นทีด่ ้วยความเร่งคงตัว นอกเวลาเรยี นได้
โปรแกรมเร่อื ง การเคล่ือนที่ด้วยความเรง่ คงตวั
2. ขนั้ สอน
สารวจคน้ หา (Explore)
45
1. ครใู หน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ แต่ละรว่ มกนั สืบคน้ ขอ้ มลู เกยี่ วกับสมการท่ีใชใ้ นการคานวณการเคลอื่ นท่ใี น
แนวตรงด้วยความเรง่ คงตวั จากหนังสอื เรียน หน้า 60 – 61 โดยถามนักเรยี นวา่ จากกราฟ เรา
สามารถหาสมการของระยะทางของการเคล่อื นทดี่ ว้ ยความเรง่ คงตวั ได้อยา่ งไร
2. สมาชิกทุกคนในกลมุ่ ช่วยกนั อภปิ รายและแสดงความคิดเห็นคาตอบท่ีได้
3. ครอู ธิบายใหค้ วามร้เู กย่ี วกับสมการทีใ่ ช้ในการคานวณปรมิ าณต่าง ๆ ของการเคลื่อนท่ใี นแนวตรงของ
วตั ถทุ ม่ี ีความเร่งคงตัว ดงั นี้
เมอื่ วตั ถมุ ีการเคลื่อนทใ่ี นแนวตรงโดยให้มีความเรง่ a คงตัว ท่เี วลาเร่ิมต้น t = 0 มคี วามเรว็ ตน้ u
และเม่ือเวลาผา่ นไป t ให้วตั ถุนน้ั มคี วามเรว็ ปลายเป็น v ถ้าเขยี นกราฟระหวา่ งความเรว็ และที่ใช้ จะ
ได้กราฟ
จากความเรง่ a = ∆v = v−u (A)
∆t t
ดงั นั้น v = u + at
ครอู ธิบายตอ่ วา่ จากสมการ (A) นกั เรียนจะเหน็ ไดว้ ่า เราสามารถหาค่าความเรว็ ของวัตถทุ ี่เวลาใด
ๆ ก็ได้ถา้ หากวา่ รู้ค่าความเร็วเรม่ิ ต้นและรู้ความเร่ง การเปลี่ยนแปลงความเรว็ จะเพิ่มขึ้นอยา่ งเชงิ เสน้
ตามเวลา เพราะความเร่งของการเคล่ือนทม่ี คี ่าคงตวั ดงั กราฟ ทาให้ได้ว่า ความเรว็ เฉลย่ี ในชว่ งเวลาใด
ๆ จะเทา่ กับคา่ เฉลยี่ ของความเรว็ ของสองจุดนัน้ ๆ
ให้ ∆x เปน็ การกระจัดของวตั ถุ
จากนยิ ามของความเร็วเฉลี่ย และใชค้ วามสัมพนั ธ์ในสมการ (A) ทาให้ได้สมการของการกระจดั ใน
อีกรูปแบบหน่ึง ดงั น้ี
∆x = (u+v) t (B)
2
4. ครใู ห้นักเรียนลองแทนคา่ t จากสมการ (A) ในสมการ (B) จะได้อีกรูปแบบหนึ่งของความสัมพนั ธ์
ระหวา่ งการกระจดั ความเร็ว และความเร่ง ดังน้ี
∆x = ut + 1 at2 (c)
2
และยังสามารถแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างความเรว็ ปลายกับความเร่ง และการกระจัด โดยที่ไม่มตี ัว
แปรของเวลาเข้ามาปรากฎในสมการ ดงั น้ี
v2 = u2 + 2a∆x (D)
5. ครแู ละนักเรยี นแตล่ ะร่วมกนั อภปิ รายสรปุ ได้วา่ สมการการเคลอ่ื นที่ดว้ ยความเร่งคงตวั ทไี่ ด้จะใชใ้ น
การวเิ คราะห์โจทย์ปญั หาสาหรบั การเคล่อื นทขี่ องวัตถใุ ด ๆ ได้ ดงั ตาราง สมการของการเคลื่อนท่ีของ
วตั ถุในแนวตรงภายใต้ความเร่งคงตัว
สมการ ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากสมการ