The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichuda1345, 2022-04-03 04:34:43

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้ตามหลักซิปปา (CIPPA) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล

ครูหุสนา

รายงานวจิ ัยในชน้ั เรยี น

การพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า โดยใชร้ ูปแบบการ
จดั การเรยี นรตู้ ามหลกั ซิปปา (CIPPA) นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
โรงเรียนกำแพงวทิ ยา จังหวัดสตลู

นางสาวหุสณา ตามาต
ตำแหนง่ ครู

ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
โรงเรียนกำแพงวทิ ยา อำเภอละงู จงั หวดั สตลู
สำนกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาสงขลา สตูล

ชือ่ เรื่อง ก

ผู้วิจยั การพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟา้ โดยใชร้ ปู แบบการ
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ จัดการเรยี นร้ตู ามหลักซิปปา (CIPPA) นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพง
ปกี ารศึกษา วทิ ยา จังหวดั สตูล
นางสาวหสุ ณา ตามาต

วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

2564

บทคดั ยอ่

การวิจัยครัง้ น้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง ไฟฟ้า หลัง
ใชว้ ิธีการจัดการเรยี นรู้รปู แบบซิปปากับเกณฑร์ ้อยละ 60 และเพอื่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นเรอื่ งไฟฟ้า
กอ่ นและหลังเรยี นด้วยวธิ ีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซปิ ปาของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3โรงเรียนกำแพงวิทยา
จังหวัดสตูล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประจำปีการศึกษา 2564t
โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตลู ทีม่ ผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ในรายวิชาวิทยาศาสตร์
เร่ือง ไฟฟ้า จำนวน 79 คน ซง่ึ ได้มาจากวิธกี ารสมุ่ แบบเจาะจง (purposive sampling) เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวิจัย
ครง้ั นี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจดั การเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
2)tนวัตกรรมที่เลือกใช้tได้แก่ Powerhpointpแบบฝึกหัด และหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ และ 3) แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้าtการวิเคราะห์ข้อมูลทำได้โดยการ
วเิ คราะห์หาคา่ ร้อยละ และคา่ เฉลยี่ เลขคณติ ( X ) ผลการวจิ ัยสรุปไดด้ งั น้ี

1. หลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ
60 เม่ือพิจารณาคะแนนเป็นรายบคุ คลพบวา่ นักเรยี นมคี ะแนนสงู กว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 จำนวน 79 คน

2. ก่อนเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 9 คะแนน คะแนน
ตำ่ สดุ 2 คะแนน คะแนนเฉลยี่ ( X ) 7.15 คะแนน และหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซปิ ปา นกั เรียน
ทำคะแนนสูงสุดได้ 18 คะแนน คะแนนต่ำสุด 12 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) 15.47 คะแนน แสดงให้เห็นว่า
หลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเฉลี่ย 7.61
คะแนน

3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา
วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง ไฟฟ้า หลงั เรียนดว้ ยวธิ ีการจัดการเรยี นรู้รูปแบบซปิ ปา สงู กวา่ กอ่ นเรยี น คิดเป็นร้อยละ 100
ของนกั เรยี นทงั้ หมด จำนวน 79 คน



สารบัญ

หนา้

บทคดั ย่อ…………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบัญ…………………………………………………………………………………………….................................... ข
สารบัญตาราง……………………………………………………………………………….…………………………………. ง

บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………………………….……………….. 1
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา…………………………………………………................... 1
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย……………………………………………………………………………………… 2
สมมตฐิ านการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………………….. 2
ขอบเขตของการวจิ ัย……………………………………………………………………............................ 3
กรอบแนวคิดการวิจยั …………………………………………………………………………………………... 3
ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั ……………………………………………………………………………………. 4
นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………………………………….……… 4

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้อง…………………………………………………………………………… 5
หลกั สตู รกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์……… 6
ลักษณะการจดั การเรียนการสอนของกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์……………………... 11
ลกั ษณะสำคัญของนวตั กรรมที่เลอื กใช้ (การสอนโดยใชร้ ูปแบบซิปปา)………………..…….. 15
ผลสมั ฤทธิ์และการวัดผลสมั ฤทธ์ิ…………………………………………………………………..……..… 20
งานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวข้อง………………………………………………………………………………………..……. 26

บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินการวิจยั ………………………………………………………………….…...………………….….. 28
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง……………………………………….……………….…………………………. 28
เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………….. 28
การสร้างเครื่องมือวจิ ยั ………………………………………………………………………………………..... 29
การเก็บรวบรวมข้อมลู ..…………………………………………………………………........................... 29
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถติ ิท่ีใช้…………………………………………………………………………..... 30

บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ……………………………………………………………………………………….. 31
ตอนที่ 1 …………………………………….……………………………………………………………………... 31
ตอนท่ี 2 ……………………………………………………………………………………………………………. 34

บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ………………………..……………………………………….. 37
สรปุ ผลการวจิ ยั ………………………….………………………………………………………………………… 37
บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………………………….… 40

ค หนา้

สารบญั

ภาคผนวก
ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
ภาคผนวก ข แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์
ประวตั ผิ ู้วิจยั



สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หนา้

1 แสดงตวั ชวี้ ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง..........................................................................8

2 แสดงมาตรฐานและเวลาเรยี นของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์……………………………... 10

3 แสดงการเปรยี บเทียบขอ้ ดีและขอ้ จำกดั ของแบบทดสอบเลอื กตอบ............................……...24

4 แสดงคะแนนหลังเรียน โดยใช้วธิ ีการจดั การเรยี นรู้รปู แบบซิปปาเม่อื เทียบกับ

เกณฑ์ร้อยละ70……………………………………………………………………………………..……………..…30

5 แสดงคะแนน และคา่ เฉลี่ยของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีการจดั การ

เรยี นรู้รูปแบบซปิ ปา………………………………………………………………………………………………….31

1

บทท่ี 1
บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา

วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุก
คนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิตต่างๆ อาจ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ดังนั้นทุกคนจึง
จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาตแิ ละเทคโนโลยีที่มนุษย์
สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้ได้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์และมีคุณธรรม (กุณฑรี เพ็ชรทวีพรเดช,
2550) อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้วิทยาศาสตร์เป็นสาระการเรียนรู้หนึ่งของหลักสูตรการศึกษาขั้น
พื้นฐานพุทธศักราช 2551 นั้นแสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ช่วยให้
เกิดการพัฒนาการคิด เช่น การคิดเป็นเหตุเป็นผล การคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นต้น และยัง
ช่วยใหม้ ีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งมรี ะบบ สามารถตัดสนิ ใจได้
โดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่สามารถตรวจสอบได้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ดังนั้น
การใหก้ ารศกึ ษาวิทยาศาสตรจ์ ะช่วยใหม้ นษุ ย์มีทกั ษะในการใช้ชวี ิตใหอ้ ยูร่ อดในสงั คม

ปัจจุบนั การจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นระดับใดกต็ าม ครผู สู้ อนยังคงให้ความสำคัญ
กับเนื้อหามากกว่ากระบวนการให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้ ฝึกการคิดเป็นทำเปน็ และแก้ปัญหาเป็นเนื่องจาก
ต้องเตรียมนักเรียนใหม้ ีความพร้อมทางด้านเน้ือหา เพอ่ื รองรับการประเมินมาตรฐานการเรียนรู้จากหน่วยงาน
ต่างๆ ทำให้นักเรียนไม่สามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนไปใช้ในการประยุกต์แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน
ชีวิตประจำวันของตนเองได้ ส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ และไม่เกิดความคงทนในการเรียนรู้ ซึ่ง
เปา้ หมายของการศึกษานอกจากจะม่งุ เน้นทางด้านการคิดหรือกระบวนการทางสมองแลว้ ยังเนน้ ถงึ ความสำเร็จ
ของบุคคลต่อการดำรงชีวิตในสังคมด้วย โดยนอกจากนักเรียนจะมีความรู้ ทักษะกระบวนการ ความคิด
สร้างสรรคแ์ ลว้ นกั เรียนต้องสามารถทำงานร่วมกบั ผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสขุ โดยเฉพาะในสภาพสังคมท่ีมี
การเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากความเจรญิ ก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนั้น การพัฒนาสมรรถนะ
ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนจึงเป็นสิ่งที่ครูควรคำนึงถึงและควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
(วจิ ารณ์ พาณิชย์, 2556: 18-34)

ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนก็พบปัญหาและอปุ สรรคบางประการทท่ี ำให้การเรียนการสอนยัง
ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยมีสาเหตุมาจากหลายประการ ซึ่งสามารถวิเคราะห์จากสภาพปัจจุบัน พบว่า
สาเหตุมาจากปัจจัยตา่ ง ๆ พอสรุปได้ดังนี้ 1) ด้านตัวครูผู้สอน พบว่า การจัดการเรียนรู้ของครูยงั ไม่สอดคลอ้ ง
กบั กระบวนการเรียนรู้ของผเู้ รียน มงุ่ เน้นสอนเนื้อหามากกวา่ กระบวนการคิด ขาดเทคนิควธิ ีในการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอน 2) ด้านตัวผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนยังขาดความสนใจในกิจกรรมการเรียนการสอน มีความ
กระตือรือรน้ น้อย มองไม่เห็นความสัมพนั ธ์ของเน้ือหา ขาดทกั ษะการคิด และทกั ษะกระบวนการกลุ่ม 3) ด้าน
ตัวหลักสูตร พบว่า เนื้อหาบางส่วนมีความซับซ้อนยากแก่การเข้าใจ ซึ่งส่งผลให้มีปัญหาในด้านการวัดผล
ประเมนิ ผลที่เน้นการวัดความรู้ความจำมากกว่าการวดั ความรูค้ วามสามารถทีเ่ กิดจากการปฏิบัตจิ ริง

โรงเรียนเทพา จังหวัดสงขลา สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล และสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เปิดสอนระดับชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอน
ปลาย จากการทีผ่ วู้ จิ ยั ไดร้ บั มอบหมายให้ทำการสอนในระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ปกี ารศกึ ษา 2564 รายวิชา

2

วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง ไฟฟา้ จำนวนนกั เรียนท้ังหมด 311 คน ผูว้ จิ ัยไดท้ ำการทดสอบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของ
นักเรียนแต่ละคน ผลปรากฏว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่บรรลุตาม
วัตถุประสงค์จำนวน 79 คน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนานักเรียนที่ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ให้บรรลุ
ตามวัตถปุ ระสงค์ เนื่องจากปญั หาน้ีอาจสง่ ผลกระทบต่อนักเรยี นในการเรยี นเร่ืองถัดไป และอาจทำให้นักเรียน
เกิดความสับสน ไม่เข้าใจในเนือ้ หาที่เรียน ทำให้ไม่สามารถนำมาเชื่อมโยงและประยุกต์ใช้ให้เข้ากันได้ ซึ่งจาก
การศกึ ษาวิธีการสอนต่าง ๆ ทใี่ ช้ในการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์น้นั พบว่า การจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
ที่ใช้รปู แบบซิปปาเป็นวธิ กี ารอย่างหน่ึงทจี่ ะช่วยพฒั นาความรู้ความเขา้ ใจทางวทิ ยาศาสตรม์ ากยง่ิ ข้นึ

การจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา เป็นกระบวนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความคิด และการ
ตัดสินใจอย่างเป็นระบบ สามารถสร้างความรู้ ค้นพบความรู้ได้ดว้ ยตนเอง ผู้เรยี นมีบทบาทมากในกิจกรรมการ
เรียนการสอนและผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (ทัศนวรรณ รามณรงค์: 2556) มีขั้นตอน
กระบวนการจดั การเรยี นรู้ 7 ข้ัน คือ ขั้นที่ 1 ทบทวนความรู้เดมิ ข้นั ที่ 2 การแสวงหาความรู้ ขัน้ ที่ 3 การศึกษา
ทำความเขา้ ใจข้อมลู /ความรู้ใหมแ่ ละเชื่อมโยงความร้ใู หมก่ ับความรู้เดมิ ขนั้ ท่ี 4 แลกเปลีย่ นความรู้ความเข้าใจ
กับกลุ่ม ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นที่ 6 แสดงผลงาน และขั้นท่ี 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553: 204) กล่าวว่า การสอนโดยใช้รูปแบบซิปปาทำให้นักเรียนรู้จักการแสวงหาข้อมูล
ฝกึ ทกั ษะการคิด รู้จกั การทำงานร่วมกับผอู้ ื่นและการแลกเปล่ียนเรียนรู้เพ่ือให้เกิดข้อดีกับนักเรียนมากทส่ี ุด

ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะนำวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรอ่ื งไฟฟา้ ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ซ่งึ จะช่วยแก้ไขปัญหานักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนไมบ่ รรลุตามวัตถุประสงค์ในการเรยี น ซึ่งเปน็ แนวทางหนึง่ ทจี่ ะชว่ ยพฒั นาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องไฟฟ้าได้ดีขึ้น ทั้งนี้เพื่อนำผลการวิจัยที่ได้มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการ
เรยี นการสอนวชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละนำไปปรับปรุงการจัดการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรใ์ หม้ ปี ระสิทธิภาพตอ่ ไป

วัตถุประสงค์ของการวิจยั

ในการวจิ ยั ครง้ั น้ผี วู้ จิ ยั ได้ต้ังวัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ไว้ ดงั น้ี
1. เพอื่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น วิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง ไฟฟา้ หลงั ใช้วิธีการจัดการเรียนรู้
รูปแบบซิปปา ของนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา จงั หวดั สตลู กบั เกณฑ์ร้อยละ 60
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า ก่อนและหลังเรียนด้วย
วธิ ีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา ของนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นกำแพงวิทยา จงั หวดั สตลู

สมมติฐานการวิจยั

1. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เรือ่ ง ไฟฟา้ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ชั้นปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล หลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา เรื่อง ไฟฟ้า สูง
กว่าเกณฑร์ อ้ ยละ 60

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เร่อื ง ไฟฟา้ ของนักเรียน ช้ันมธั ยมศึกษา
ชัน้ ปที ี่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล หลงั เรยี นด้วยวธิ กี ารจัดการเรียนร้รู ูปแบบซปิ ปา เรอ่ื ง ไฟฟ้า สูง
กวา่ ก่อนเรียน

3.นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวชิ า
วทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง ไฟฟา้ หลงั เรยี นด้วยวธิ ีการจัดการเรยี นรรู้ ปู แบบซิปปา สงู กวา่ ก่อนเรยี น ไมน่ อ้ ยกว่าร้อยละ
80 ของจำนวนนกั เรยี นท้งั หมด

3

ขอบเขตการวิจัย

ขอบเขตการวิจัยในคร้ังนี้ ผู้วจิ ัยได้กำหนดขอบเขตของการวจิ ยั ไว้ ดงั นี้
ขอบเขตด้านประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง

ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประจำปีการศึกษา 2564
โรงเรยี นกำแพงวิทยา จังหวัดสตลู จำนวน 311 คน
กล่มุ ตวั อยา่ ง
กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั คร้ังนีเ้ ปน็ นักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ประจำปกี ารศึกษา 2564
โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ในรายวิชา
วิทยาศาสตร์ เร่อื ง ไฟฟา้ จำนวน 79 คน ซึ่งไดม้ าจากวธิ กี ารสมุ่ แบบเจาะจง (purposive sampling)

ขอบเขตดา้ นเน้ือหา
การสร้างวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา เรื่อง ไฟฟ้า เนื้อหาที่ใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ครั้งนี้
ผู้วจิ ยั ได้ใชเ้ นือ้ หาในกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่ือง ไฟฟ้า ได้แก่
1. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟ้า กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทานไฟฟ้า
2. กระแสไฟฟ้า
3. ความตา่ งศักย์ไฟฟ้า
4. วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม
5. วงจรไฟฟ้าแบบขนาน
6. การคำนวณพลังงานไฟฟา้
7. การใชไ้ ฟฟ้าอยา่ งประหยดั และปลอดภยั
ขอบเขตด้านตวั แปร
ตัวแปรอิสระ คอื การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชร้ ูปแบบซิปปา
ตัวแปรตาม คือ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนกลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ เรือ่ ง ไฟฟา้
ขอบเขตดา้ นระยะเวลา
การวิจยั คร้งั นด้ี ำเนินการในภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 สัปดาห์ละ 3 คาบ คาบละ 50 นาที เป็น
เวลา 3 สปั ดาห์ รวมท้งั หมด 13 คาบ โดยเร่มิ ดำเนินการตัง้ แตว่ ันที่ 8 เดอื น มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 15
เดอื น กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2565

กรอบแนวคิดการวิจยั ตวั แปรตาม

ตวั แปรอิสระ

การจัดการเรยี นรู้โดยใช้ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
รปู แบบซปิ ปา กล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์

เร่ือง ไฟฟ้าและอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

4

ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากการวิจยั

1. ผลการวิจัยสามารถนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เร่อื งไฟฟา้ ของนกั เรยี นระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาชนั้ ปที ่ี 3 ใหส้ ูงขนึ้ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

2. ผลการวิจัยสามารถนำมาเป็นแนวทางแก่ครแู ละผู้ที่เกีย่ วข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ไปใชป้ รบั ปรงุ เพื่อพฒั นาการเรยี นการสอนกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ให้มปี ระสทิ ธภิ าพมากยิ่งขึน้

นิยามศัพท์เฉพาะ

1.tการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียน เกิด
ความรู้ ความคดิ การตดั สินใจอย่างเป็นระบบ เรอ่ื ง ไฟฟา้ จนสามารถสร้างความรู้ ค้นพบความรู้ได้ด้วยตนเอง
ซึ่งประกอบด้วย 7 ขั้น ดังน้ี

ขัน้ ที่ 1 การทบทวนความรู้เดมิ ครูยกตวั อย่างเร่ืองทเ่ี กี่ยวข้องกับไฟฟา้ ในชีวติ ประจำวันให้นักเรียน
ฟัง แล้วพูดเชื่อมโยงเข้าสู่การเรียนรู้ เรอื่ ง ไฟฟ้า

ขั้นท่ี 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ศึกษาเรื่องไฟฟ้าจากหนังสือ
เรียนวทิ ยาศาสตร์หรอื แหล่งเรียนรู้อนิ เตอรเ์ นต็

ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่และเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่กับความรู้เดิม โดย
ให้นักเรียนสรุปเนื้อหาที่ศึกษาจากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์หรือแหล่งเรียนรู้อินเตอร์เน็ตลงในสมุดเป็นของ
ตนเอง

ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มบอกความรู้ ที่ตนเอง
สรุปได้ให้เพื่อนฟัง แลว้ ช่วยกันสรุปเป็นความคิดของกลุ่มโดยทำเป็นแผนผงั ความคดิ

ขัน้ ที่ 5 การสรปุ และจดั ระเบียบความรู้ ครูและนักเรียนร่วมกันสรปุ เรือ่ ง ไฟฟ้า อกี คร้ังหน่ึงเพื่อทำ
ใหน้ กั เรียนเกิดความเขา้ ใจทค่ี งทน

ขั้นที่ 6 การปฏิบัติและ/หรือการแสดงผลงาน ขั้นนี้เป็นการนำผลงานของนักเรียนที่เป็นแผนผัง
ความคิดแตล่ ะกลุ่มมาโชว์หน้าห้องเรยี น

ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการศึกษา เรื่อง ไฟฟ้าและ
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ไปใชใ้ นการดำรงชวี ติ ประจำวันได้

2.tผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้เนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า ของนักเรียน โดยวัดจากการทำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ไฟฟ้า
และอิเลก็ ทรอนกิ ส์ กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นทีผ่ ูว้ จิ ัยสร้างขนึ้

3. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนกำแพงวิทยา
จังหวัดสตูล

5

บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง

ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า โดยใช้วิธีการ
จัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล ผู้วิจัยได้
ทำการศึกษาค้นคว้าเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยได้รวบรวมเอกสารและสรุป เพื่อใช้
เปน็ แนวทางการวิจยั ในครัง้ นี้ รายละเอียดดงั ต่อไปน้ี

1. หลกั สูตรการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
1.1 ความสำคัญของการจดั การเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
1.2 จุดมุ่งหมายกลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
1.3 มาตรฐานการเรียนรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
1.4 คุณภาพนักเรียนและตัวช้ีวัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
1.5 มาตรฐานและเวลาเรียนของกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์

2. ลกั ษณะการจัดการเรยี นการสอนของกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
2.1 การเรียนรูแ้ บบร่วมมือ
2.2 การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงการ
2.3 การเรียนรู้โดยวธิ ีคน้ พบ
2.4 การเรียนรตู้ ามสภาพจรงิ
2.5 การเรยี นรูโ้ ดยการสร้างความร้ดู ว้ ยตนเอง
2.6 การเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นหลกั
2.7 การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
2.8 การเรียนรู้แบบสาธิต
2.9 การเรยี นรู้แบบทดลอง
2.10 การเรยี นรู้แบบบรรยาย
2.11 การเรียนรู้แบบอภปิ ราย
2.12 การเรยี นรู้แบบพูดถามตอบ

3. ลกั ษณะสำคัญของนวัตกรรมท่ีเลือกใช้ (การสอนโดยใช้รูปแบบซปิ ปา)
3.1 ความหมายของการสอนโดยใช้รูปแบบซิปปา
3.2 หลกั การของการสอนโดยใช้รปู แบบซปิ ปา
3.3 กระบวนการสอนโดยใช้รูปแบบซปิ ปา
3.4 บทบาทของครแู ละนักเรียนในการสอนโดยใชร้ ปู แบบซิปปา
3.5 ขอ้ ดแี ละข้อจากดั ของการสอนโดยใชร้ ูปแบบซิปปา

4. ผลสมั ฤทธิแ์ ละการวดั ผลสัมฤทธ์ิ
4.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
4.2 หลักการวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
4.3 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
4.4 ขน้ั ตอนการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์
4.5 การสร้างแบบทดสอบแบบเลอื กตอบ

6

4.6 คุณลกั ษณะที่ดีของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
5. งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง

หลักสตู รการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์

หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนานักเรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลงั ของชาติ ให้เป็นมนษุ ย์
ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดมั่นใน
การปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมคี วามรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง
เจตคติที่จำเป็นต่อการศกึ ษาตอ่ การประกอบอาชีพและการศกึ ษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเนน้ นกั เรียนเป็นสำคญั บน
พื้นฐานความเชื่อวา่ ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552:
1-5)
ความสำคัญของการจดั การเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคตเพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิต
ทกุ คน ท้งั ในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพตา่ ง ๆ เครอ่ื งมอื เครือ่ งใช้ เพอื่ อำนวยความสะดวกในชีวิต
และในการทำงานล้วนเป็นผลของความรทู้ างดา้ นวิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละศาสตร์อ่ืน
ๆ ความร้ทู างดา้ นวิทยาศาสตรช์ ่วยให้เกิดองคค์ วามรู้และความเข้าใจในปรากฏการณ์ธรรมชาติมากมายมีผลให้
เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยีอยา่ งมากในทางกลบั กันเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญท่ีจะให้มกี ารศึกษาค้นควา้ ความรู้
ทางวทิ ยาศาสตรต์ อ่ ไปอยา่ งไมห่ ยุดยัง้

วทิ ยาศาสตรท์ ำให้คนได้พฒั นาวิธีคิดท้ังความคิดเป็นเหตเุ ปน็ ผล คิดสรา้ งสรรค์ คดิ วิเคราะห์วิจารณ์ มี
ทักษะท่สี ำคัญในการคน้ คว้าหาความรู้ มคี วามสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบสามารถตัดสินใจโดยใช้
ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสงั คม
แห่งฐานความรู้ (knowledge based society) ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์
(scientific literacy for all) เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขน้ึ
และท่ีสำคัญอย่างยิ่ง คอื ความรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชว่ ยเพิ่มขดี ความสามารถในการพฒั นาเศรษฐกิจสามารถแข่งขัน
กับนานาประเทศและดำเนินชีวิตอยูร่ ว่ มกันในสังคมโลกได้อย่างมีความสขุ

ความรู้วิทยาศาสตร์ต้องสามารถอธิบายและตรวจสอบได้ เพื่อนำมาใช้อ้างอิงในการสนับสนุนหรือ
โต้แย้งเมื่อมีการค้นพบข้อมูลหรือหลักฐานใหม่หรือแม้แต่ข้อมูลเดียวกันก็อาจเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ถ้า
นกั วทิ ยาศาสตรแ์ ปลความหมายดว้ ยวธิ ีการหรอื แนวคดิ ท่แี ตกตา่ งกนั ความรวู้ ทิ ยาศาสตร์จึงอาจเปลีย่ นแปลงได้
ความรู้วิทยาศาสตรเ์ ป็นพนื้ ฐานที่สำคัญในการพฒั นาเทคโนโลยซี ่ึงเป็นกระบวนการในงานต่าง ๆ หรอื
กระบวนการพัฒนาปรบั ปรงุ ผลติ ภัณฑ์โดยอาศัยความรูว้ ทิ ยาศาสตรร์ ่วมกบั ศาสตรอ์ นื่ ๆ ทักษะ ประสบการณ์
จินตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ของมนษุ ย์ โดยมจี ดุ มุ่งหมายท่ีจะให้ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ท่ตี อบสนองความต้องการ
และแก้ปัญหาของมวลมนุษยเ์ ทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับทรัพยากร กระบวนการและระบบการจัดการจึงต้องใช้
เทคโนโลยใี นทางสร้างสรรค์ต่อสังคมและสงิ่ แวดล้อม

7

จดุ มุง่ หมายกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานมุ่งพัฒนานกั เรียนให้เปน็ คนดี มปี ญั ญามีความสุข มีศักยภาพ

ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพtจึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับนักเรียนเมื่อสำเร็จการศึกษาข้ัน
พนื้ ฐาน ดังน้ี

1. มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาทีต่ นนบั ถือ ยึดหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

2.tมคี วามรู้ ความสามารถในการสอื่ สาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวติ
3. มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจติ ทดี่ ี มสี ุขนสิ ยั และรักการออกกำลงั กาย
4.tมคี วามรักชาติkมีจติ สำนึกในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลกยึดม่นั ในวิถชี วี ิตและการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข
5. มจี ิตสำนึกในการอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย การอนรุ ักษ์และพฒั นาสิ่งแวดล้อม มีจิต
สาธารณะท่มี ุ่งทำประโยชน์และสร้างสิง่ ท่ดี งี ามในสงั คมและอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ
การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ จึงม่งุ เนน้ ให้นกั เรยี นได้เป็นนกั เรยี นร้แู ละค้นพบดว้ ยตนเองมากท่ีสุด นน่ั คือให้
ไดท้ ั้งกระบวนการและองค์ความรู้ตัง้ แตเ่ ร่มิ แรกก่อนเข้าเรยี นเม่อื อย่ใู นสถานศกึ ษาและเม่ือออกจาก
สถานศกึ ษาไปประกอบอาชีพแลว้
การจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นสถานศึกษามีจุดมุ่งหมายสำคญั ดังน้ี
1. เพอื่ ใหเ้ ข้าใจหลักการ ทฤษฎเี ปน็ พ้ืนฐานในวิทยาศาสตร์
2. เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจขอบเขต ธรรมชาติและข้อจำกัดของวทิ ยาศาสตร์
3.tเพ่อื ให้นักเรียนมีทักษะที่สำคญั ในการศึกษาคน้ คว้าและมกี ารคดิ ค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4.tเพอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ และจนิ ตนาการความสามารถในการแก้ปญั หาและการจดั การทกั ษะใน
การส่ือสารและความสามารถในการตดั สินใจ
5. เพ่อื ใหน้ ักเรยี นตระหนักถึงความสัมพนั ธ์ระหว่างวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษยแ์ ละ
สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ทีม่ ีอิทธิพลและผลกระทบซ่ึงกันและกัน
6.tเพ่อื นาความรูค้ วามเข้าใจในเร่อื งวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ สังคมและ
การดำรงชีวิต
7.tเพอื่ ใหเ้ ปน็ คนมีจิตวทิ ยาศาสตรม์ ีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและคา่ นิยมในการใชว้ ิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยอี ย่างสร้างสรรค์
จากจุดมุ่งหมายดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการเรียนวิทยาศาสตร์ช่วยให้มีการพัฒนาในทุก ๆ ด้านและ
ครอบคลุมถึงเรื่องของความตระหนักและผลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกด้วย การจัดการเรียนรู้กลุ่ม
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในทุกระดับจึงต้องดำเนินการที่จะส่งเสริมให้นักเรียนได้รับการพัฒนาที่สมบูรณ์
เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้โดยจดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการที่นกั เรียนเป็นผูค้ ิด ลงมือ
ปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ ด้วยกิจกรรมหลากหลายกิจกรรมที่จะจัดให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ได้มีหลากหลาย เช่น กิจกรรมภาคสนาม กิจกรรมแก้ปัญหา กิจกรรมการสังเกต กิจกรรมสำรวจ
ตรวจสอบ กจิ กรรมการทดลอง กิจกรรมสบื ค้นข้อมูล ทง้ั จากแหลง่ ข้อมูลท่ีเป็นบุคคล เอกสารในห้องสมุดหรือ
หนว่ ยงานในท้องถ่นิ จนถึงการสบื ค้นทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กิจกรรมศึกษาค้นคว้าจากส่ือต่าง ๆ และแหล่ง
เรียนรูใ้ นทอ้ งถิ่น กจิ กรรมโครงงานวทิ ยาศาสตรแ์ ละกิจกรรมอภิปราย

8
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหวา่ งส่ิงไม่มีชีวติ กับสง่ิ มีชวี ติ และ

ความสมั พันธ์ระหว่างส่งิ มชี วี ติ กบั ส่งิ มีชีวิตตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลงั งาน การ
เปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีตอ่
ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการ
แก้ไขปัญหาสง่ิ แวดล้อม รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัตขิ องสง่ิ มีชีวิต หนว่ ยพ้ืนฐานของสิง่ มชี วี ติ การลำเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์
ความสมั พนั ธข์ องโครงสร้าง และหนา้ ทขี่ องระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษย์ทีท่ ำงาน
สมั พนั ธ์กนั ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้าง และหนา้ ท่ี ของอวัยวะต่างๆ ของพชื ทท่ี ำงาน
สมั พนั ธก์ นั รวมท้ังนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม
การเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมทม่ี ผี ลต่อสิ่งมีชวี ิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและ
วิวัฒนาการของสิง่ มีชวี ติ รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบัติของ สสารกับ

โครงสร้างและแรงยดึ เหนยี่ วระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ติ ประจำวนั ผลของแรงท่กี ระทำต่อวตั ถุ ลักษณะ การเคลือ่ นที่
แบบตา่ ง ๆ ของวัตถุรวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏิสัมพันธ์
ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลงั งานในชีวิตประจำวนั ธรรมชาติของ คลืน่ ปรากฏการณ์ที่
เก่ียวขอ้ งกบั เสียง แสง และคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซดี าว

ฤกษ์และระบบสรุ ยิ ะ รวมทั้งปฏิสัมพนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะ ท่สี ่งผลต่อสงิ่ มชี ีวติ และการ
ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก
และบนผวิ โลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก
รวมทงั้ ผลต่อสิง่ มชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม

สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวิตในสงั คมท่ีมีการเปล่ยี นแปลง อย่าง

รวดเร็ว ใชค้ วามร้แู ละทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์คณิตศาสตรแ์ ละ ศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ
แกป้ ญั หาหรือพัฒนางานอย่างมคี วามคิดสร้างสรรค์ ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชงิ
วิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชวี ิต สงั คม และ
ส่งิ แวดลอ้ ม

9

มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจและใชแ้ นวคิดเชงิ คำนวณในการแก้ปญั หาท่พี บในชีวิตจริงอย่างเปน็ ขัน้ ตอนและเปน็
ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแกป้ ัญหา
ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ รู้เทา่ ทัน และมีจริยธรรม

ตาราง 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การ
เปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน
ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์

ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ว2.3 ม.3/1 วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ • เมอ่ื ต่อวงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมกี ระแสไฟฟา้ ออกจากข้วั บวกผ่าน

ระหว่ำงความตา่ งศักย์ กระแสไฟฟา้ วงจรไฟฟ้าไปยังขั้วลบของแหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ ซึง่ วดั ค่าไดจ้ าก
และความต้านทาน และคำนวณปริมาณ แอมมเิ ตอร์
• คา่ ท่ีบอกความแตกต่างของพลงั งานไฟฟ้าต่อหนว่ ยประจุระหว่าง
ที่เกี่ยวข้องโดยใชส้ มการ = จาก จดุ ๒ จดุ เรียกว่า ความตา่ งศักย์ ซ่งึ วดั ค่าไดจ้ ากโวลตม์ ิเตอร์
หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ • ขนาดของกระแสไฟฟ้ามคี า่ แปรผันตรงกบั ความต่างศักย์ระหว่าง

ว2.3 ม.3/2 เขยี นกราฟความสัมพันธ์ ปลายทัง้ สองของตัวนำ โดยอัตราส่วนระหวา่ งความตา่ งศกั ยแ์ ละ
ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความตา่ ง กระแสไฟฟ้า มีค่าคงท่ี เรยี กค่าคงทนี่ ี้วา่ ความต้านทาน
ศักยไ์ ฟฟ้า • ในวงจรไฟฟา้ ประกอบด้วยแหลง่ กำเนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และ

ว2.3 ม.3/3 ใช้โวลต์มเิ ตอร์ แอมมิเตอร์ อปุ กรณ์ไฟฟ้า โดยอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่ละช้นิ มีความต้านทาน ในการ
ในการวัดปริมาณทางไฟฟ้า
ตอ่ ตัวต้านทาน หลายตวั มที งั้ ตอ่ แบบอนกุ รมและแบบขนาน

ว2.3 ม.3/4วิเคราะหค์ วามตา่ ง • การตอ่ ตวั ต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมในวงจรไฟฟา้ ความต่าง

ศักย์ไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ ใน ศกั ยท์ ี่ครอ่ มตวั ตา้ นทานแตล่ ะตวั มีคา่ เท่ากับผลรวมของความตา่ ง
วงจรไฟฟ้าเมื่อตอ่ ตวั ตา้ นทานหลายตัว ศกั ยท์ ่ีครอ่ มตวั ตา้ นทานแต่ละตวั โดยกระแสไฟฟ้าทผ่ี ่านตัวตา้ นทาน
แบบอนกุ รมและแบบขนาน จาก แต่ละตวั มีค่าเทา่ กัน
หลกั ฐานเชิงประจักษ์ • เครือ่ งใช้ไฟฟ้าจะมคี า่ กำลงั ไฟฟา้ และความต่างศักยก์ ำกับไว้
กำลงั ไฟฟ้ามีหนว่ ยเปน็ วตั ต์ ความตา่ งศักย์ มีหน่วยเปน็ โวลต์ ค่า
ว2.3 ม.3/5เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟา้ ไฟฟา้ ส่วนใหญ่คิดจากพลังงานไฟฟ้าทใี่ ช้ท้ังหมด ซ่ึงหาได้จากผลคณู

แสดงการต่อตวั ตา้ นทานแบบอนกุ รม ของกำลงั ไฟฟา้ ในหนว่ ยกโิ ลวัตต์ กับเวลาในหน่วยชัว่ โมง พลงั งาน
ไฟฟ้ามหี นว่ ยเปน็ กิโลวตั ต์ ช่วั โมง หรือหนว่ ย
และขนาน • วงจรไฟฟ้าในบา้ นมีการต่อเคร่ืองใช้ไฟฟา้ แบบขนานเพอ่ื ให้ความ
ต่างศักย์เทา่ กัน การใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้าในชวี ติ ประจำวันต้องเลอื กใช้
ว2.3 ม.3/8 อธิบายและคำนวณ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าท่ีมคี วามต่างศักย์และกำลงั ไฟฟา้ ใหเ้ หมาะกับการใช้
พลงั งานไฟฟ้าโดยใชส้ มการ W = Pt งาน และการใช้เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟา้ ต้องใช้อย่างถกู ต้อง
รวมท้ังคำนวณค่าไฟฟ้าของ ปลอดภัย และประหยดั
เคร่ืองใช้ไฟฟ้าในบ้าน
ว2.3 ม.3/9 ตระหนักในคุณค่าของการ

เลอื กใช้เคร่ืองใช้ไฟฟา้ โดยนำเสนอ

วธิ ีการใช้เครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าอย่างประหยดั

และปลอดภยั

10

คุณภาพนกั เรียนและตัวชว้ี ัดการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
หลังจากนักเรียนเรยี นจบนกั เรยี นตอ้ งมีความรู้ ความเข้าใจและสามารถนาความรทู้ ี่ได้ไปใชป้ ระโยชน์
ได้อยา่ งเหมาะสม (สานักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา, 2552: 6-7)
1. คุณภาพนกั เรยี น
จบชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3

❖ เขา้ ใจลกั ษณะและองค์ประกอบทส่ี ำคญั ของเซลล์สง่ิ มีชีวติ ความสมั พนั ธข์ องการ ทำงาน
ของระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายมนษุ ย์ การดำรงชีวติ ของพชื การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม การเปล่ียนแปลง
ของยีนหรอื โครโมโซม และตัวอย่างโรคท่ีเกดิ จากการเปล่ียนแปลงทางพันธกุ รรม ประโยชนแ์ ละผลกระทบของ
สง่ิ มีชีวติ คัดแปรพนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสมั พนั ธ์ ขององค์ประกอบของระบบนิเวศและการ
ถา่ ยทอดพลงั งานในสง่ิ มชี ีวติ

❖ เขา้ ใจองค์ประกอบและสมบัตขิ องธาตุ สารละลาย สารบริสุทธิ์ สารผสม หลักการแยก
สาร การเปลีย่ นแปลงของสารในรปู แบบของการเปล่ียนสถานะ การเกิดสารละลาย และ การเกิดปฏิกิริยาเคมี
และสมบตั ทิ างกายภาพ และการใช้ประโยชนข์ องวสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ ล์ และวสั ดุผสม

❖ เข้าใจการเคลือ่ นที่ แรงลพั ธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงท่ี
ปรากฏในชีวิตประจำวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วง กฎการ
อนรุ ักษ์พลงั งาน การถ่ายโอนพลงั งาน สมดุลความร้อน ความสัมพนั ธ์ของปรมิ าณทางไฟฟ้า การต่อวงจรไฟฟ้า
ในบา้ น พลังงานไฟฟา้ และหลักการเบ้ืองตน้ ของวงจรอิเลก็ ทรอนกิ ส์

❖ เข้าใจสมบัติของคลื่น และลกั ษณะของคล่ืนแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อน การหักเหของ
แสงและทัศนอปุ กรณ์

❖ เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทติ ย์ การเกิดฤดู การเคลอื่ นที่ ปรากฏของ
ดวงอาทติ ย์ การเกิดขา้ งขึ้นข้างแรม การขน้ึ และตกของดวงจนั ทร์ การเกดิ น้ำขนึ้ น้ำลง ประโยชน์ของเทคโนโลยี
อวกาศ และความกา้ วหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศ

❖ เขา้ ใจลกั ษณะของชัน้ บรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มผี ลตอ่ ลมฟ้าอากาศ การเกดิ
และผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์ การเปลี่ยนแปลง
ภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและการใช้
ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ทางธรณีวิทยาบนผวิ โลก ลักษณะชั้นหน้า
ตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่ง,นาผิวดิน แหล่ง,นาใต้ดิน กระบวนการเกิดและผลกระทบของภัยธรรมชาติ
และธรณพี ิบตั ิภัย

❖ เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยี ไดแ้ ก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปล่ยี นแปลงของ
เทคโนโลยี ความสัมพนั ธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อ่นื โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรือ คณติ ศาสตร์ วิเคราะห์
เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบ ต่อชีวิต ลังคม และสิ่งแวดล้อม
ประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ ทกั ษะ และทรัพยากรเพ่ือออกแบบและสรา้ ง ผลงานสำหรบั การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
หรือการประกอบอาชพี โดยใช้กระบวนการออกแบบ เซงิ วิศวกรรม รวมทงั้ เลอื กใชว้ ัสดุ อปุ กรณ์ และเครอื่ งมือ
ได้อย่างถกู ต้อง เหมาะสม ปลอดภยั รวมทง้ั คำนึงถงึ ทรัพยส์ ินทางปัญญา

1111

นำขอ้ มูลปฐมภมู ิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วเิ คราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมลู และ

สารสนเทศไดต้ ามวัตถปุ ระสงค์ ใช้ทกั ษะการคิดเซิงคำนวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชีวติ จรงิ และเขียน

โปรแกรมอยา่ งงา่ ยเพ่ือช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร อย่างร้เู ทา่ ทันและ

รับผดิ ชอบต่อสังคม

❖ ตัง้ คำถามหรือกำหนดปัญหาที่เชอื่ มโยงกบั พยานหลักฐาน หรือหลักการทาง
วิทยาศาสตรท์ ม่ี ีการกำหนดและควบคุมตวั แปร คดิ คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สรา้ งสมมตฐิ าน ท่ีสามารถ
นำไปส่กู ารสำรวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมอื สำรวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมอื ท่เี หมาะสม เลอื กใช้
เครอ่ื งมอื และเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีเหมาะสมในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ทงั้ ใน เซงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพท่ีได้ผล
เที่ยงตรงและปลอดภัย

❖ วิเคราะหแ์ ละประเมนิ ความสอดคล้องของข้อมูลที่ไดจ้ ากการสำรวจตรวจสอบ จาก
พยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุป และสื่อสาร
ความคิด ความรู้ จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยี สารสนเทศเพื่อให้ผู้อื่น
เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

❖ แสดงถึงความสนใจ มุง่ ม่นั รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในสงิ่ ท'่ี จะเรยี นรู้ มี
ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการ ที่ให้ได้ผล
ถูกต้อง เชื่อถือได้ ศึกษาด้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็น'ชอง ตนเอง รับพิงความ
คิดเห็นผู้อื่น และยอมรับการเปลี่ยนแปลงความรู้ที่ค้นพบ เมื่อมีข้อมูล และประจักษ์พยานใหม่เพิ่มขึ้นหรือ
โต้แย้งจากเดิม

❖ ตระหนกั ในคณุ คา่ ของความรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีทใ่ี ช้ในชวี ิตประจำวัน ใชค้ วามรู้
และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ แสดงความชื่นซม
ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เช้าใจผลกระทบทั้งด้านบวกและ ด้านลบของการพัฒนาทาง
วิทยาศาสตร์ตอ่ สงิ่ แวดล้อมและต่อบริบทอื่น ๆ และศกึ ษาหาความรู้ เพ่ิมเติม ทำโครงงานหรอื สรา้ งชนิ้ งานตาม
ความสนใจ

❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุล ของระบบ
นิเวศ และความหลากหลายทางชวี ภาพ

ลกั ษณะการจดั การเรียนการสอนของกลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์

การสอนวิทยาศาสตร์ที่ดี ควรสอนให้ผู้เรียนได้ความรู้ครบถ้วนทั้งส่วนของความรู้และส่วนของ
กระบวนการ ซึ่งในการปฏิบัติจริงไม่มีวิธีสอนใดที่มีความสมบูรณ์แบบ และผลิตบุคลากรทางการศึ กษาได้
ตามแต่ใจผ้สู อนตอ้ งการ เพยี งแต่สามารถทำให้บคุ ลากรส่วนใหญใ่ นห้องเรียนให้ความสนใจและปฏิบัติตามได้ก็
นับว่าเป็นการสอนที่ดีแล้ว ในบทนี้จึงนำเสนอวิธีสอนแบบต่างๆที่มีใช้ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ดัง
รายละเอยี ดต่อไปน้ี

การเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรยี นรูแ้ บบร่วมมือตามความหมายของ Slavin(1987) และ Johnson and Johnson

(1992) (ชัยวัฒน์สทุ ธิรตั น์ , 2552 , หน้า 182) กลา่ ววา่ เป็นการจดั การเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนไดร้ ว่ มมือ
และช่วยเหลอื กันในการเรยี นรู้โดยแบง่ ผ้เู รียนออกเป็นกล่มุ เลก็ ๆประกอบดว้ ยสมาชิกท่มี ีความสามารถแตกต่าง
กนั ทำงานร่วมกนั เพ่ือเปา้ หมายกลมุ่ สมาชิกมีความรบั ผิดชอบร่วมกันท้งั ในสว่ นตนและส่วนรวมมีการฝึกและใช้

12

ทกั ษะการทำงานกลมุ่ รว่ มกันผลงานของกล่มุ ขึ้นอยกู่ ับผลงานของสมาชกิ แต่ละบคุ คลในกลุ่มสมาชิกตา่ งได้รบั
ความสำเรจ็ รว่ มกัน

การเรียนรโู้ ดยใช้โครงการ
การสอนแบบโครงการเปน็ การสอนทผ่ี ูส้ อนวิทยาศาสตรส์ ่วนใหญ่ให้ความสำคญั เพราะเชื่อวา่

จะช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนที่ครบถ้วนแต่มีการใช้สอนน้อยเพราะไม่มีเวลาในการดูแลให้ผู้เรียนทุกคน
(ชัยวัฒน์สุทธิรัตน์ , 2552 , หน้า 343 – 344) ได้ให้ความหมายและคุณค่าของการสอนแบบนี้ไว้ว่าเป็นการ
สอนที่ให้โอกาสผู้เรียนได้วางโครงการและดำเนินการให้สำเร็จตามค วามมุ่งหมายของโครงการนั้นอาจเป็น
โครงการที่จัดทำเป็นหมู่หรือคนเดียวก็ได้ผู้เรียนจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการทำงานนั้นด้วยตนเองลักษณะ
การสอนคล้อยตามสภาพจริงของสังคมเป็นการทำงานที่เริ่มต้นด้วยปัญหาและดำเนินการแก้ปัญหาโดยลงมือ
ทดลองปฏบิ ัตจิ รงิ

การเรียนรู้โดยวิธีค้นพบ
การสอนแบบคน้ พบ (2010,Online) เปน็ แนวคดิ ที่เน้นให้ผ้เู รยี นเปน็ ผสู้ รา้ งความรใู้ หม่

สิ่งประดิษฐ์ใหม่ด้วยตนเองความรู้ที่ได้จะคงถาวรอยู่ในความจากระยะยาวซึ่งผู้สอนไม่สามารถสร้างขึ้นได้แต่
ผสู้ อนเปน็ เพยี งผู้จัดประสบการณเ์ รียนรูใ้ ห้ผ้เู รียนสร้างความรู้ขน้ึ เองการสอนแบบนี้มชี ื่อที่แตกต่างกันหลายช่ือ
และทกุ ชื่อยังเรียกขานอยใู่ นปัจจุบนั ตัวอย่างเชน่ การสอนแบบสืบสวนสอบสวนการสอนแบบสอบสวนการสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้การสอนโดยใช้การแก้ปัญหาการสอนแบบค้นพบในปัจจบุ ันนยิ มใช้คำว่าวิธีสอนแบบสืบ
สอบผู้คิดค้นวิธีสอนแบบนี้คือโรเบิร์ตคาร์พลัส (Robert Karplus) เป็นนักฟิสิกส์ชาวสหรัฐอเมริกาคิดวิธีการ
สอนแบบค้นพบเพ่ือกระตุ้นผเู้ รยี นให้มคี วามสนใจเรยี นและชว่ ยลดความน่าเบื่อหน่ายของการเรยี นในห้องเรียน
ต่อมานักการศึกษาของสหรัฐอเมริกาจากกลุ่ม BSCB (Biological Science Curriculum Study) ได้นำมาใช้
ในหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์โดยพัฒนาเป็นขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 ขั้นตอนในรูปแบบวัฏจักร
(Learning Cycle) โดยเรม่ิ ต้นจากข้ันการนำเข้าสู่บทเรียนสำรวจอธิบายลงข้อมูลและจบลงโดยการประเมินซ่ึง
จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ใหม่หรือช่วยในการแก้ปัญหาต่างๆได้จึ งเรียกว่าเป็นการเรียนรู้แบบค้นพบ
(Discovery Learning)กระบวนการที่ใช้สำหรับการสอนแบบค้นพบจะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่ง
ประกอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science
Process Skills) และเจตคติทางวิทยาศาสตร์การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (ชัยวัฒน์ สุทธิ
รัตน์, 2552 , หน้า 331) ได้ให้ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ว่าเป็นการสอนที่ส่งเสริมให้
ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองโดยใช้วิธีการและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการค้นหา
ความรู้ทผี่ ้เู รยี นยงั ไม่เคยมคี วามรูน้ ้นั มากอ่ น จนสามารถออกแบบทดลองและทดสอบสมมุติฐานได้

การเรียนรโู้ ดยใชก้ ารแกป้ ญั หา (ชยั วัฒน์ สุทธริ ตั น์ , 2552 , หน้า 341) เปน็ การเรยี นการ
สอนที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสถานการณ์ที่เป็นปัญหา แล้วให้ผู้เรียนได้ร่วมกันเป็นกลุ่มในการแก้ไขปัญหา มี
การอภิปรายแลกเปลย่ี นเรยี นรูร้ ว่ มกนั จนหาขอ้ สรุปในการแกป้ ญั หาได้อยา่ งถูกต้องและมีความเขา้ ใจลกึ ซง้ึ

การเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ
การเรยี นรูต้ ามสภาพจริง หรือการเรยี นร้แู ท้ (ชัยวัฒน์ สุทธิรตั น์,2552 , หน้า 87) สรุปได้ว่า

เป็นการเรียนรทู้ ี่ผู้เรยี นจะเป็นผู้คดิ ประเมิน และตัดสนิ ใจได้เองอย่างเป็นระบบ แล้วผูเ้ รยี นเป็นผูน้ ำเสนอสง่ิ ท่ี
เรยี นรู้ได้อยา่ งมหี ลกั วิชาที่ถูกต้องครอบคลุมชัดเจน นำไปใชป้ ฏบิ ตั ิในชีวติ จริงไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพและเปน็ ปกติ
วิสยั

13

การเรียนรูโ้ ดยการสร้างความร้ดู ้วยตนเอง
การเรียนรตู้ ามแนวคอนสตรัคติวซิ ึม หรอื การสร้างความรูด้ ว้ ยตนเอง (ชยั วฒั น์ สทุ ธิรัตน์,

2552 , หนา้ 82) เปน็ กระบวนการทเี่ กดิ ขึ้นภายในผู้เรยี น ผเู้ รยี นเป็นผูส้ ร้าง (construct) โดยผู้เรยี นสรา้ งเสริม
ความรู้ผ่านกระบวนการทางจิตวิทยาดว้ ยตนเอง ผสู้ อนไม่สามารถปรับเปล่ียนโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรียน
ได้ แต่ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้โดยจัดสภาพการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะไม่
สมดุลขึ้น โดยจะต้องท้าทายความคิดของผู้เรียนในการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ให้ได้ด้วยตัวผู้เรียนเอง ตาม
แนวทางที่ผู้สอนวางไว้อย่างกว้างๆ วิธีการสอนแบบนี้จะเน้นที่การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
เพราะผู้สอนจะคอยดูแลและช่วยผู้เรียนทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอุปกรณ์ การแนะหนังสือที่ใช้
ประกอบการเรียนรู้ ชแี้ นะแหล่งเรยี นรใู้ หผ้ ู้เรยี นไปคน้ คว้าเพ่ิมเติม ฯลฯ เปน็ ตน้

การเรียนร้โู ดยใช้ปัญหาเป็นหลกั
ปัจจุบนั ไดม้ ีผูส้ นในศึกษาการเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเปน็ หลักมากข้ึนจึงมีผ้ใู ห้ความหมายไว้

หลากหลายเช่น Illinois Mathematics and science Academy (IMSA) (2001), ยุรวัฒน์ คล้ายมงคล
(2545) และ Barrows and Tamblyn (1980) (ชัยวัฒน์สทุ ธริ ัตน์,2552, หนา้ 335) ซง่ึ สามารถสรุปความหมาย
ของการสอนโดยใช้ปัญหาหลักได้ว่าเป็นการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นและพัฒนาให้ผู้เรียนคิด
หาวิธีแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้และทักษะต่างๆที่เคยเรียนหรือต้องศึกษาเพิ่มเติมมาประกอบการแก้ปัญหาด้วย
ตนเองโดยมีผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะแนวทางให้การเรียนการสอนแบบนี้จะมีความยืดหยุ่นสูงและจะใช้ปัญหาใน
สภาพความเป็นจริงมาเป็นตัวกระตุน้ การเรียนรู้

ภพ เลาหไพบูลย์ (2542, 123) กล่าวว่า วธิ ีสอนหรอื กจิ กรรมในการจดั การเรยี นการสอน
วิทยาศาสตร์ที่นิยมใช้มีหลายวิธี แต่ไม่มีข้อมูลยืนยันว่ามีวิธีสอนหรือกิจกรรมใดที่ดีที่สุด เหมาะสมกับทุก
สถานการณ์ ดังนั้นครูวิทยาศาสตร์จึงต้องใช้ดุลยพินิจในการเลือกใช้วิธีสอนที่เหมาะสมกับความสามารถของ
นักเรียน เนื้อหาวิชา ตลอดจนอุปกรณ์การสอนที่มีอยู่ วิธีสอนวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความ
เหมาะสมกับธรรมชาตขิ องวิชามี ดังนี้

การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
(Inquiry method) เปน็ การสอนท่ีเน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ท่ีจะชว่ ยให้นักเรยี นได้

คน้ พบความจรงิ ต่าง ๆ ด้วยตนเอง ให้นกั เรียนมีประสบการณต์ รงในการเรียนร้เู นอ้ื หาวชิ า ได้กลา่ วถึง
กระบวนการในการสืบเสาะหาความรวู้ า่ แบง่ ออกเป็น 5 ข้นั ตอน ดังนี้

1. สร้างสถานการณห์ รือปญั หา
2. ต้ังสมมติฐาน
3. ออกแบบการทดลอง
4. ทดสอบสมมตฐิ านโดยการทดลอง
5. ไดข้ อ้ สรุปหรือกฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ
บทบาทหนา้ ทขี่ องครูในการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ คือ เป็นผสู้ รา้ งสถานการณ์ท่เี ปิด
โอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวนักเรียนเอง เป็นผู้จัดหาวัสดุ อุปกรณ์ เพื่ออำนวย
ความสะดวกในการศึกษาค้นคว้า เป็นผู้ถามคำถามต่าง ๆ ที่จะช่วยนำทางให้นักเรียนค้นหาความรู้ต่างๆ
เทคนิคการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้มี 3 แนวทาง คือ แนวทางการใช้เหตุผล แนวทางการใชก้ ารค้นพบ และ
แนวทางการใชก้ ารทดลอง การสอนแบบสืบเสาะหาความร้โู ดยใชแ้ นวทางการใช้เหตผุ ล ครตู ้องชีน้ ำนกั เรียนให้
สรปุ เปน็ หลักการทว่ั ไปได้โดยการใช้เหตุผล ซ่ึงครตู ้องใช้คำถามทเี่ หมาะสม และต้องเลือกแรงจูงใจท่ีเหมาะสม
การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้แนวทางการใช้การค้นพบ มี 2 แนวทาง คือ (1) การสอนโดยใช้แนว

14

ทางการค้นพบที่ไม่แนะแนวทาง ครูเป็นผู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้นักเรียนแล้วให้นักเรียนได้จัดกระทำกับวัสดุ
อุปกรณ์ โดยไม่ต้องแนะแนวทางอะไรในการใช้วัสดอุ ุปกรณ์ นักเรียนอาจสืบเสาะหาความรู้ในปัญหาทีต่ ่างกนั
ครูทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและเสนอแนะให้นักเรียนคิด (2) การสอนโดยใช้แนวทางการค้นพบที่แนะแนวทาง
เปน็ การสอนที่ครูแนะแนวทางการสืบเสาะหาความรู้ให้นักเรียน เพือ่ ให้นักเรยี นค้นพบปัญหาทีค่ ล้ายคลึงกัน มี
ประสบการณ์ที่เหมือนกันการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้โดยใช้แนวทางการทดลอง เป็นการสอนโดยใช้การ
ทดลองในการพิสูจน์ข้อความหรือสมมติฐานว่าเป็นจริง และหาแนวทางที่จะใช้ในการทดลอง เพื่อทดสอบ
ขอ้ ความนน้ั โดยมขี นั้ ตอน คอื เลอื กและตงั้ ปญั หา ต้ังสมมติฐาน และวางแผนการทดสอบ

การสอนแบบสาธิต (Demonstration) การสาธิต เป็นการจัดแสดงประสบการณก์ ารกระทำ
อย่างใดอย่างหนึ่งหน้าชั้น โดยครู นักเรียนคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มนักเรียนก็ได้ เป็นการทดลอง ซึ่งให้ผลการ
ทดลองที่ไม่ทราบมาก่อนหรือเป็นการทดสอบ เพื่อยืนยันสิ่งที่ทราบมาแล้ว มีวัตถุประสงค์ เพื่อแสดงการ
ทดลองเทคนิควิธีการและกระบวนการต่าง ๆ ให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหาวิชาและกระบวนการไป
พร้อม ๆ กัน ในการสอนครูต้องพิจารณาว่าจะสอนแบบสาธิต แบบบอกความรู้ ที่ครูพยายามแนะนำบอก
ความรใู้ หน้ กั เรียน หรอื สอนแบบสาธิต แบบการค้นพบ ทีค่ รพู ยายามให้นักเรียนคน้ พบคำตอบดว้ ยตนเอง

การสอนแบบทดลอง (Experimentalgmethod) การทดลองกับการปฏิบตั งิ านใน
ห้องปฏิบัติการ มีความหมายใกล้เคียงกัน การทดลองส่วนใหญ่ที่นักเรียนทำเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงาน
และการปฏิบัติงานส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการทดลอง เป็นการจัดประสบการณ์ในการทำงานให้นักเรียนตาม
ขั้นตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นกำหนดปัญหา ขั้นตั้งสมมติฐาน
ข้นั ทดลองและสังเกต และข้นั สรปุ ผลการทดลอง

การสอนแบบบรรยาย (Lecture method) การสอนแบบบรรยาย เปน็ วิธสี อนทค่ี รถู า่ ยทอด
ความรู้จำนวนมากแก่นักเรียนโดยตรง เป็นวิธีการหนึ่งที่นำเสนอความรู้วิทยาศาสตร์ในลักษณะองค์ความรู้ที่
เลือกสรรและจัดลำดบั ไว้อย่างดี การดำเนินการอาจแบ่งได้เป็น 4 ตอน คอื การกลา่ วนำ ตัวเนอื้ เร่ือง การสรุป
ย่อระหว่างนำเสนอ และการสรุปการบรรยาย

การสอนแบบอภปิ ราย (Discussion method) การสอนแบบอภปิ ราย เปน็ การแลกเปล่ียน
ความคิดเหน็ ซึง่ กันและกัน เกี่ยวกับเน้อื หาวชิ าความรู้จากความคดิ เหน็ ในแงม่ ุมตา่ ง ๆ ของนกั เรียนอาจเป็นการ
อภิปรายระหว่างนักเรียนด้วยกัน หรือการอภิปรายระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนทุกคนมีอิสระที่จะแสดง
ความคิดเห็นของตน ซ่งึ นกั เรียนจะต้องมคี วามรู้พื้นฐานเกีย่ วกับเร่อื งน้นั ก่อน โดยครูทำหน้าท่เี ป็นผนู้ ำอภิปราย
ต้องไม่สั่งหรือครอบงำความคิดเห็นของนักเรียน การอภิปรายต้องมีความชัดเจน เข้าใจง่าย เน้นหรือขยาย
ความรูท้ ี่ได้เรียนมาแล้วให้กว้างขวางออกไป ดงั นั้น การอภิปรายจึงเปน็ สิ่งจำเป็นในการสอนวิทยาศาสตร์ เป็น
การกระตุ้นให้นักเรียนต้องคิดแก้ปัญหาหรือหาข้อยุติ การอภิปรายอาจสอดแทรกอยู่ในวิธีการสอนอื่น ๆ ได้
เชน่ การสอนแบบบรรยาย การสอนแบบสาธติ การสอนแบบทดลอง การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ และการ
สอนแบบค้นพบ

การสอนแบบพูดถามตอบ (Recitation method) การสอนแบบพูดถามตอบ เป็นการสอน
ที่ใช้คำถาม-คำตอบ โดยครูเป็นผู้ถามคำถาม และนักเรียนเป็นผู้ตอบคำถามตามพื้นฐานความรู้ที่นักเรียนได้
อ่านจากหนังสือเรียน หรือหนังสืออื่นที่ได้รับมอบหมายให้อ่าน หรือสิ่งที่ครูได้นำเสนอในระหว่างการบรรยาย
การสาธิต หรือกิจกรรมอื่น ในการสอนแบบพูดถาม-ตอบ ครูควรอธิบายให้นักเรียนทราบถึงวัตถุประสงค์ของ
การสอนแบบนี้ว่า เป็นการให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ครู ซึ่งครูจะได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการขยายความและอธิบาย
เพิ่มเติมแก่นักเรียน สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสอนแบบพูดถาม-ตอบ เพื่อให้ได้ผลดี ที่ควรคำนึงถึง คือ ชนิดของ
คำถาม โครงสรา้ งของคำถาม และข้นั ตอนท่ีจะถามในระหว่างการสอน (ภพ เลาหไพบลู ย์, 2542, 181)

15

จากการศึกษาเกีย่ วกบั วธิ สี อนวิทยาศาสตร์ พบวา่ มีอยหู่ ลายวิธี ในการจัดการเรียนการสอนครผู ู้สอน
วทิ ยาศาสตรค์ วรเลอื กวิธสี อน หรอื กิจกรรมทเ่ี นน้ ใหน้ ักเรียนมปี ระสบการณด์ ้วยตนเองมากทสี่ ุด อาจเลือกใช้
วิธสี อนใดวิธีหน่ึง หรอื นำหลายวธิ ีมาผสมผสานกัน เพื่อใหเ้ หมาะสมกบั เนื้อหาและสภาพการณโ์ ดยทวั่ ไปในชั้น
เรียน

ลักษณะสำคัญของนวตั กรรมทเ่ี ลือกใช้ (การสอนโดยใช้รปู แบบซปิ ปา)

การสอนโดยใชร้ ปู แบบซปิ ปา เป็นการพฒั นาการเรียนการสอนของผสู้ อน ซง่ึ จะชว่ ยให้นักเรยี นมี
คุณลักษณะเป็นบคุ คลแห่งการเรยี นรู้ สามารถสร้างเสรมิ เติมเต็มกระบวนการคดิ มีความรู้มที ักษะกระบวนการ
เน้นนักเรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิ สรปุ และสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเองและสามารถนำความรูไ้ ปประยกุ ต์ใชไ้ ด้อย่าง
เหมาะสม

ความหมายของการสอนโดยใชร้ ปู แบบซิปปา
ทศิ นา แขมมณี (2542: 14-15) กล่าวว่า การสอนโดยใชร้ ูปแบบซิปปาเป็นรูปแบบของการจัดการเรียนการ
สอนทีเ่ น้นนักเรียนเป็นศนู ยก์ ลางของการเรยี นรแู้ บบหนง่ึ ที่ได้รับความสนใจและมนี ักการศกึ ษาหลายท่านได้ให้
คำจำกดั ความของการเรยี นการสอนท่ีเนน้ นักเรียนเปน็ ศนู ย์กลาง ไดใ้ ห้ความหมายตามตัวอกั ษร ดงั นี้
C หมายถึง Construct คือ การให้นักเรยี นสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยกระบวนการแสวงหาข้อมูล ทำความ
เข้าใจ คิดวเิ คราะห์ ตีความ แปลความ สรา้ งความหมาย สงั เคราะห์ข้อมลู และสรุปข้อความ
I หมายถงึ Interaction คือ การใหน้ ักเรยี นมีปฏิสมั พนั ธต์ อ่ กนั เรียนรจู้ ากกนั แลกเปล่ียนขอ้ มลู ความคิดและ
ประสบการณ์แก่กันและกัน
P หมายถึง Participation คือ การให้นักเรียนมีบทบาท มีสว่ นร่วมในการเรยี นรมู้ ากทีส่ ุด
P หมายถึง Process and Product คือ การใหน้ กั เรียนได้เรียนรูก้ ระบวนการควบคูไ่ ปกับผลงานของความรทู้ ี่
สรปุ ได้
A หมายถึง Application คือ การใหน้ กั เรยี นนาความรู้ท่ีได้รบั ไปใช้ใหเ้ ป็นประโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั

การสอนโดยใช้รูปแบบซิปปา คอื การจัดการเรยี นการสอนทเี่ น้นนักเรยี นเป็นศูนย์กลาง แบบประสาน
5 แนวคิดหลกั คือ

1. แนวคดิ การสร้างสรรคค์ วามรู้ (Constructivism)
2.tแนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนแบบร่วมมือรi(Group Process and Co-operative
Learning)
3. แนวคิดเกี่ยวกบั ความพร้อมในการเรยี นรู้ (Learning Readiness)
4. แนวคดิ เกย่ี วกบั การเรียนรกู้ ระบวนการ (Process Learning)
5. แนวคิดเก่ียวกับการถา่ ยโอนการเรียนรู้ (Transfer of Learning) การใช้แนวคดิ หลักทั้ง 5 ดังกล่าว
ข้างต้นใช้บนพน้ื ฐานของทฤษฎสี ำคัญ 2 ทฤษฎี คือ

5.1 ทฤษฎีพัฒนาการมนุษย์ (Human Development)
5.2 ทฤษฎกี ารเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning)

16

หลักการของการสอนโดยใช้รูปแบบซปิ ปา
ทศิ นา แขมมณี (2542: 2-5) กลา่ ววา่ หลักการของการสอนโดยใช้รปู แบบซิปปานำไปสู่หลักการออกแบบการ
สอนโดยใช้รูปแบบซิปปาดงั นี้

1.tเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม ทั้งน้ี
เพื่อให้นักเรียนมีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างทั่วถึงและมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การท่ี
นักเรียนมีบทบาทเป็นผู้กระทำจะช่วยให้นักเรียนเกิดความพร้อมและกระตือรือร้นที่จะเรียนอย่างมีชีวิตชีวา
กิจกรรมที่จะจดั จึงควรเป็นกิจกรรมทีม่ ลี ักษณะ ดังนี้

1.1tช่วยใหน้ ักเรียนไดเ้ คล่ือนไหวลักษณะใดลักษณะหนึ่งเป็นระยะเหมาะสมกับวยั และความ
สนใจของนักเรยี น

1.2tมปี ระเด็นท้าทายให้นักเรียนได้คดิ เปน็ ประเด็นท่ีไมย่ ากหรอื ง่ายเกินไปเหมาะกบั วยั และ
ความสามารถของนักเรยี น เพ่ือกระตุน้ ใหน้ ักเรียนคดิ หรอื ลงมือทำเรื่องใดเรือ่ งหนึ่ง

1.3 ช่วยให้นกั เรียนได้เรียนรจู้ ากบคุ คลหรือส่ิงแวดล้อมรอบตัว
1.4 ส่งผลตอ่ อารมณ์ความรู้สึกของนกั เรยี นเกี่ยวขอ้ งชีวิต ประสบการณ์และความเป็นจริง
ของนักเรียน
2.tยึดกลุ่มเป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีสำคัญ โดยให้นักเรียนมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่ม โดยได้พูดคุย
ปรึกษาหารือและแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้นักเรยี น
เกดิ การเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเองและผู้อ่นื และจะปรับตวั ใหส้ ามารถอยู่ในสังคมร่วมกบั ผอู้ ืน่ ได้
3.tยึดการค้นพบด้วยตนเองเป็นวิธีการที่สำคัญ โดยผู้สอนพยายามจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้
นกั เรียนได้ค้นควา้ ดว้ ยตนเอง ท้งั น้ีเพราะการค้นพบความจริงใด ๆ ด้วยตนเองนั้น นกั เรียนมกั จะจดจำได้ดีและ
มคี วามหมายโดยตรงตอ่ นักเรียนรวมท้ังเกดิ ความคงทนในการเรยี นรู้
4.tเน้นกระบวนการ (Process) โดยการสง่ เสริมใหน้ กั เรยี นคดิ วเิ คราะห์ถึงกระบวนการต่าง ๆ ท่ีทำให้
เกดิ ผลงาน มใิ ชจ่ ะพจิ ารณาถึงผลงานแตเ่ พียงอย่างเดยี ว ทัง้ นีเ้ พราะประสทิ ธภิ าพของผลงานขึ้นอยู่กับ
ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ
5.tเนน้ การนำความรไู้ ปประยุกตใ์ ช้ (Application) หรอื ใช้ในชีวิตประจำวันโดยใหน้ ักเรียน ไดม้ ีโอกาส
คดิ หาแนวทางทจี่ ะนำความรู้ความเขา้ ใจในชวี ติ ประจำวันสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การปฏบิ ัตจิ รงิ และพยายามติดตามผล
การปฏบิ ตั ิของนกั เรยี นจากแนวคิดและหลักการดังกลา่ วสรปุ เป็นคำนยิ ามซึ่งสอดคลอ้ งกบั คำนยิ ามในหลกั สตู ร
การศึกษาขน้ั พ้ืนฐานของกรมวิชาการได้ว่าการจัดการเรียนการสอนที่เนน้ นักเรียนเป็นศูนยก์ ลาง หมายถึง การ
จดั การเรยี นการสอนท่มี งุ่ จัดกิจกรรมท่ีสอดคลอ้ งกบั การดำรงชีวติ เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจ
ของนักเรียน โดยใหน้ ักเรียนมีส่วนร่วมและลงมือปฏบิ ัตจิ ริงทกุ ขน้ั ตอนจนเกิดการเรยี นรู้ด้วยตนเอง

กระบวนการสอนโดยใช้รปู แบบซิปปา
ทิศนา แขมมณี (2545: 280-282) กล่าวว่า การสอนโดยใช้รูปแบบซปิ ปาเปน็ หลกั การซึง่ สามารถนำไปใชเ้ ป็น
หลักในการจัดกิจกรรมการเรียนร้ตู า่ ง ๆ ให้แกน่ ักเรียน การจดั การเรียนการสอนตามหลักการนี้ สามารถใช้
วิธกี ารและกระบวนการทีห่ ลากหลาย ซึ่งอาจจดั เปน็ แบบแผนไดห้ ลายรูปแบบ การสอนโดยใชร้ ูปแบบซปิ ปาซึ่ง
ประกอบด้วย 7 ขั้น ดงั น้ี

ขัน้ ท่ี 1 การทบทวนความรู้เดิม ขนั้ นี้เป็นการดึงความรู้เดิมของนักเรยี นในเร่ืองท่จี ะเรยี น เพือ่ ชว่ ยให้
นกั เรียนมีความพร้อมในการเชอ่ื มโยงความร้ใู หม่กับความรเู้ ดมิ ของตนซ่ึงผ้สู อนอาจใชว้ ธิ ีการต่าง ๆ ได้อยา่ ง
หลากหลาย

17

ขน้ั ท่ี 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ขนั้ น้ีเปน็ การแสวงหาข้อมลู ความรู้ใหม่ของนักเรียน จากแหลง่ ขอ้ มูล
หรือแหล่งความรตู้ า่ ง ๆ ซ่งึ ครูอาจจัดเตรียมมาใหน้ ักเรยี นหรอื ใหค้ ำแนะนำเก่ยี วกบั แหลง่ ข้อมลู ต่าง ๆ เพ่ือให้
นกั เรียนไปแสวงหากไ็ ด้

ขั้นท่ี 3 การศึกษาทาความเขา้ ใจขอ้ มลู /ความรู้ใหม่และเชอ่ื มโยงกบั ความรู้ใหม่กบั ความรู้เดมิ ข้ันน้ี
เป็นข้นั ทนี่ ักเรยี นจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกบั ข้อมูล/ความร้ทู ่ีหามาไดน้ ักเรยี นจะตอ้ งสรา้ งความหมาย
ของขอ้ มูล/ประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง เชน่ ใช้กระบวนการคดิ และ
กระบวนการกล่มุ ในการอภปิ รายและสรปุ ความเข้าใจเกยี่ วกับข้อมลู น้ัน ๆ จงึ จำเปน็ ต้องอาศัยการเชอ่ื มโยงกับ
ความรเู้ ดมิ

ขั้นที่ 4 การแลกเปลีย่ นความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขน้ั นีเ้ ป็นข้ันท่นี ักเรียนอาศยั กลมุ่ เป็นเครือ่ งมือใน
การตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมท้งั ขยายความรคู้ วามเข้าใจของตน ใหก้ วา้ งข้ึน ซ่ึงจะชว่ ยให้
นกั เรียนไดแ้ บ่งเปน็ ความรู้ความเข้าใจของตนเองแก่ผู้อื่นและได้รบั ประโยชน์จาก ความรู้ความเขา้ ใจของผู้อน่ื
ๆ ไปพร้อม ๆ กัน

ขั้นที่ 5 การสรุปและจดั ระเบียบความรู้ ข้ันน้ีเปน็ ข้นั สรุปความรทู้ ีไ่ ด้รับทั้งหมด ทั้งความรเู้ ดมิ และ
ความรู้ใหม่และจดั สิง่ ที่เรยี นใหเ้ ป็นระเบียบเพ่ือช่วยให้นักเรียนจดจำสงิ่ ทีเ่ รียนรไู้ ดง้ ่าย

ขั้นท่ี 6 การปฏิบัตแิ ละ/หรือการแสดงผลงาน ขน้ั น้เี ป็นขนั้ ท่ีชว่ ยใหน้ ักเรยี นไดม้ โี อกาส แสดงผลงาน
การสร้างความรขู้ องตนให้ผูอ้ ่ืนรับรู้ เป็นการช่วยใหน้ กั เรยี นได้ตอกย้ำหรอื ตรวจสอบความเขา้ ใจของตนและ
ชว่ ยส่งเสริมใหน้ ักเรยี นใชค้ วามคิดสรา้ งสรรค์ แตห่ ากต้องปฏบิ ตั ติ ามความร้ทู ่ีได้ ขน้ั นีจ้ ะเปน็ ขน้ั ปฏิบตั ิและมี
การแสดงผลงานท่ีปฏบิ ัตดิ ้วย

ขน้ั ท่ี 7 การประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ ขนั้ นีเ้ ป็นการสง่ เสรมิ ให้นกั เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ ความเขา้ ใจของ
ตนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญการ ความเข้าใจ ความสามารถในการ
แก้ปัญหาและความจำเป็นในเรื่องนั้น ๆ หลังจากการประยุกต์ใช้ความรู้อาจมีการนำเสนอผลงานจากการ
ประยุกต์อีกคร้ังหนึ่งก็ได้หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ 6 แต่นำมารวมแสดงในตอนท้ายหลังการ
ประยุกตก์ ็ได้

ขั้นตั้งแต่ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (Construction of Knowledge) ซึ่งครู
สามารถจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (Interaction) และการฝึกทักษะ
กระบวนการต่าง ๆ (Process Learning) อย่างต่อเนื่อง จากข้ันแต่ละขั้นช่วยให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมท่ี
หลากหลายลักษณะให้นักเรียนได้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคมอย่างเหมาะสมอันจะ
ช่วยใหน้ กั เรยี นตื่นตวั (active) สามารถเรียนและรบั รู้ไดอ้ ยา่ งดี จึงกลา่ วไดว้ ่าขัน้ ท้งั 6 มีคุณสมบัตติ ามหลักการ
สอนโดยใช้รูปแบบซปิ ปา ส่วนขั้นที่ 7 เปน็ ขน้ั ที่ชว่ ยให้นักเรียนนำความรู้ไปใช้ (Application) จึงทำในรูปแบบ
นี้คุณสมบัตคิ รบตามหลักการสอนโดยใชร้ ปู แบบซปิ ปา

การวิจัยครั้งนีผ้ ูว้ จิ ัยใชก้ ารสอนโดยใช้รูปแบบซิปปา จำนวน 7 ขั้น ประกอบด้วย ขั้นท่ี 1 การทบทวน
ความรู้เดิม ขั้นท่ี 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นท่ี 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ ความรู้ใหม่และเชือ่ มโยง
กับความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นที่ 5 การสรุปและจัด
ระเบียบความรู้ ขน้ั ท่ี 6 การปฏิบัติและ/หรอื การแสดงผลงานและขน้ั ที่ 7 การประยุกตใ์ ชค้ วามรู้

18

บทบาทของครูและนกั เรียนในการสอนโดยใชร้ ูปแบบซิปปา
ทิศนา แขมมณี (2542: 13-16) กลา่ ววา่ บทบาทของครูและนักเรียนในการสอนโดยใช้รูปแบบซิปปา
ไมว่ า่ จะใชแ้ นวคิดใดก็จะประสบผลสำเรจ็ โดยครูเป็นผดู้ ำเนนิ การและรับผดิ ชอบการสอนโดยใช้รปู แบบซิปปา
ทกุ อย่างอยู่แลว้ เม่ือสภาพการเรยี นการสอนเปลย่ี นไป นักเรยี นจึงจำเป็นตอ้ งเปล่ียนแปลงพฤติกรรมตามไป
ดว้ ย
1. บทบาทของครูในการสอนโดยใชร้ ูปแบบซปิ ปา

1.1 การเตรียมการสอน
1.1.1 ศึกษาและวิเคราะหเ์ รื่องทีจ่ ะสอนใหเ้ ขา้ ใจ
1.1.2 ศึกษาแหล่งความรู้ทหี่ ลากหลาย
1.1.3 วางแผนการสอน
1) กำหนดวตั ถุประสงค์ให้ชัดเจน
2)tวิเคราะห์เน้อื หา ความคิดรวบยอดและกำหนดรายละเอียดของการสอนใหช้ ดั เจน
3) ออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบเนน้ ผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง
4) กำหนดวธิ ีการประเมินผลการเรียนรู้
1.1.4 การจัดเตรียม
5) ส่อื วัสดุการเรียนการสอนให้เพยี งพอสำหรับนักเรยี น
6) เอกสาร หนงั สอื หรอื ขอ้ มลู ต่าง ๆ ที่จำเปน็ สำหรบั นักเรยี น
7) ติดตอ่ แหลง่ ความรูต้ า่ ง ๆ และสถานท่ีหาความรู้เพม่ิ เตมิ
8) เครอ่ื งมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
9)tหอ้ งเรียนหรอื สถานท่ีเพื่อการจดั การเรยี นรู้ เช่น โตะ๊ และเกา้ อีใ้ หอ้ ยู่ในลักษณะใหม่

1.2 การสอน
1.2.1 สรา้ งบรรยากาศการเรยี นรทู้ ี่ดี
1.2.2 กระตุ้นนกั เรยี นให้สนใจในการเขา้ รว่ มกิจกรรม
1.2.3 จดั กจิ กรรมการเรียนรู้ตามแผนท่ีไดเ้ ตรียมไว้ โดยอาจมีปรับแผนใหเ้ หมาะสมกับนักเรียน

และสถานการณท์ ่จี ำเป็นจรงิ ๆ
1) ดูแลใหน้ ักเรียนดำเนินกจิ กรรมต่าง ๆ และแกป้ ญั หาที่อาจเกดิ ขึ้น
2) อำนวยความสะดวกแก่นักเรยี นในการดำเนนิ กิจกรรมการเรียนรู้
3) กระต้นุ นักเรยี นให้มีสว่ นร่วมในกิจกรรมอย่างเต็มที่
4) ใหค้ ำแนะนำแก่นักเรียนตามความจำเป็น
5) ใหก้ ารเสรมิ แรงแก่นักเรยี นตามความเหมาะสม

1.3 การประเมนิ
1.3.1 เก็บรวบรวมผลงานและประเมินผลงานของนักเรยี น
1.3.2 ประเมินผลการเรยี นรูข้ องนักเรยี นตามที่กำหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรียนรู้

2. บทบาทของนักเรียนในการสอนโดยใชร้ ปู แบบซปิ ปา
เมื่อครูเปล่ยี นแปลงการจัดการเรียนรูแ้ ละพฤติกรรมการสอนของตนแล้วนักเรยี นก็จำเป็น ต้อง

ปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมการเรียนรขู้ องตนเองด้วยการเรียนการสอนจงึ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ตามที่กำหนดไว้ ดงั นี้
2.1 บทบาทในการทบทวนความรู้เดิมและการมีส่วนร่วมในการแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริง ความ

คดิ เหน็ หรอื ประสบการณ์ตา่ ง ๆ จากแหลง่ ความรู้ท่หี ลากหลายเพ่ือนำมาใชใ้ นการเรยี นรู้

19

2.2tบทบาทในการศึกษาหรือลงมือกระทำกิจกรรมต่าง ๆ เพือ่ ทำความเข้าใจใช้ความคดิ กล่ันกรอง
แยกแยะ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มูล ขอ้ เท็จจริงท่หี ามาไดแ้ ละสร้างความหมายให้แก่ตนเอง

2.3 บทบาทในการสรุปและจัดระบบระเบียบความรู้ที่สร้างสรรค์ขึ้นและแสดงออก ในสิ่งที่ตน
เรยี นรู้ เพอ่ื ช่วยใหก้ ารเรียนรเู้ กิดความคงทนและสามารถนำความรนู้ น้ั ไปใช้ได้สะดวกขน้ึ

2.4tบทบาทในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพือ่ ช่วยให้การเรยี นร้เู กดิ ประโยชนต์ อ่ ชวี ิต นอกจากน้ัน
การประยกุ ตใ์ ช้จะชว่ ยตอกย้ำความเข้าใจและสร้างความม่ันใจให้แก่นักเรียนในความรู้น้ันและการนำความรู้ไป
ใช้ยงั ก่อใหเ้ กิดการเรียนรอู้ ่ืน ๆ เพ่มิ เตมิ ได้ด้วย

2.5 ในการดำเนินการตามบทบาทท้ัง 4 ข้างต้น นักเรียนจะตอ้ งแสดงพฤติกรรมตา่ ง ๆ ท่จี ำเป็นใน
การเรียนรรู้ ่วมกับผอู้ ่นื ดังนี้

2.5.1 เข้ารว่ มกจิ กรรมตา่ ง ๆ อยา่ งกระตอื รอื รน้
2.5.2 ใหค้ วามรว่ มมือและความรับผิดชอบในการดำเนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ กบั กล่มุ เช่น การศึกษา
ข้อมลู แสวงหาขอ้ มลู และการสรปุ
2.5.3 รบั ฟัง พจิ ารณาและยอมรบั ความคิดเหน็ ของผู้อืน่
2.5.4 ใช้ความคิดอย่างเต็มท่ี มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบ คัดค้าน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นสนับสนุน
และความรสู้ ึกของตนกับกลมุ่
2.5.5 แสดงความสามารถของตนและยอมรับความสามารถของผู้อ่ืน
2.5.6 ตดั สินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ
2.5.7 เรียนร้จู ากกลมุ่ และช่วยใหก้ ลุ่มเกดิ การเรยี นรู้

ข้อดแี ละข้อจำกัดของการสอนโดยใชร้ ปู แบบซิปปา
สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553: 204) กล่าวว่า ข้อดแี ละข้อจำกดั ของการสอนโดยใชร้ ปู แบบซิปปา มดี ังนี้
1. ขอ้ ดขี องการสอนโดยใช้รปู แบบซปิ ปา

1.1tนักเรียนรู้จักการแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริงจากแหล่งต่าง ๆ และสามารถเชื่อมโยงความรู้ใหม่
กับความรเู้ ดมิ เพอื่ นำมาใช้ในการเรียนรู้

1.2tนกั เรยี นได้ฝกึ ทักษะการคิดท่หี ลากหลายเปน็ ประสบการณ์ทจี่ ะนำไปประยกุ ต์ใช้ในการดำเนินชีวติ
1.3tนักเรยี นรจู้ ักการทำงานรว่ มกับผอู้ ่ืน รู้จักวธิ ีการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ระหวา่ งกนั
2. ข้อจากัดของการสอนโดยใชร้ ูปแบบซปิ ปา
นักเรยี นต้องมีความรับผดิ ชอบในการทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ รว่ มกบั ผู้อ่นื จงึ จะทำให้งานบรรลเุ ป้าหมาย
ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
จากการศกึ ษาข้อดีและข้อจำกดั ของการสอนโดยใช้รูปแบบซิปปาทกี่ ลา่ วมาข้างต้น สรุปได้วา่ ข้อดี
ของการสอนโดยใช้รปู แบบซิปปาทำให้นักเรยี นรู้จักการแสวงหาข้อมลู ฝกึ ทักษะการคิด รจู้ ักการทำงานร่วมกับ
ผ้อู ่ืนและการแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ เพอื่ ใหเ้ กิดข้อดีกับนักเรยี นมากทส่ี ุด แต่ยังมีข้อจำกัดของการสอนโดยใช้
รูปแบบซปิ ปาในเร่ืองความรบั ผดิ ชอบของนักเรียนในการทำกจิ กรรมต่างๆ จึงจะไดผ้ ลงานตามจุดประสงค์การ
เรยี นรูท้ ีก่ ำหนดไว้

20

ผลสัมฤทธิแ์ ละการวดั ผลสัมฤทธิ์

ความหมายผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เปน็ คณุ ลักษณะเกย่ี วกบั ความรู้ ความสามารถของบคุ คลที่ได้

เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆและประสบการณ์อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน ซึ่งมีความเกี่ยวขอ้ ง
กับองคป์ ระกอบและแนวทางในการวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ดงั น้ี

พวงรตั น์ ทวีรตั น์ (2536:t29) ไดใ้ หค้ วามหมายของผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หมายถงึ
คุณลักษณะรวมทั้งความรู้ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอนหรือมวลประสบการณ์
ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพ
สมอง

พไิ ลวรรณ สถติ (2548:t21) กลา่ ววา่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถึง คณุ ลักษณะความรู้
ความสามารถและประสบการณ์การเรียนรู้ที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอนเป็นผลให้บุคคลเกิดการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากความหมายดังกล่าวข้างต้น ผู้ศึกษาค้นคว้า
สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การเรียนรู้ที่
เกิดขึน้ จากการเรยี น การฝึกทักษะ การเรยี นร้ดู ว้ ยวธิ ีการท่หี ลากหลายรูปแบบ จงึ เปน็ สง่ิ ทบ่ี ง่ บอกหรือเป็นการ
ตรวจสอบความรู้ ความสามารถ หรือความสมั ฤทธิผ์ ลของบุคคลว่าเกิดการเรียนรู้มากน้อยอย่างไร จากการวดั
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น

หลกั การวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
สมทรง อศั วกุลและคณะ (2528:28) ไดก้ ลา่ วถึงหลักการวัดผลเบอ้ื งตน้ ท่สี ำคัญดังนี้
1. กำหนดให้ชดั เจนวา่ จะวัดอะไร ต้องมวี ัตถุประสงค์ที่แนน่ อนวา่ จะวัดอะไรวดั พฤติกรรมใด

จากผ้เู รียน ผูส้ อนสามารถสงั เกตได้โดยตรง หรือเป็นวัตถุประสงคท์ ่บี อกใหเ้ ราทราบว่า เม่อื สิน้ สดุ การเรยี น
การสอนแล้วผู้สอนสามารถทำอะไรได้บา้ ง ซึ่งเรียกว่าวัตถุประสงค์

2. เลือกเทคนิคหรอื เครอื่ งมือในการวดั ผลใหส้ อดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ เช่น วัดความรู้ของ
ผ้เู รียนโดยใช้ข้อสอบแบบปรนัย

3. ใชเ้ ทคนิคการวดั หลายๆ อยา่ ง เพ่ือให้การวดั สมบูรณ์และควรวัดผลการเรยี นการสอนทุกๆ
ด้าน เพื่อให้การวัดสมบูรณ์ เทคนิควิธีการสอนที่ใช้แต่ละชนิดมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันและมีวิ ธีการวัด
แตกตา่ งกนั แต่นำมารวมกันได้ เพ่ือผลการวดั สมบรู ณ์แนน่ อนยง่ิ ขน้ึ

4. ศึกษาเทคนิคและวิธีการวัดแต่ละวิธีให้ละเอียด โดยคำนึงถึงข้อดี และข้อจำกัดของแต่ละ
วิธีด้วย เนื่องจากเทคนิควิธีการวัดแต่ละอย่างมีความสามารถในการวัดแตกต่างกัน ก่อนเลือกเครื่องมือหรือ
วธิ กี ารน้ันตอ้ งศกึ ษาให้เข้าใจเสียกอ่ น

5. วดั ผลใหส้ ม่ำเสมอ ควรทำการวัดผลบอ่ ย ๆ หลาย ๆ คร้ัง
6. แปลผลการวัดทไี่ ดใ้ หถ้ ูกตอ้ ง ทำให้ทราบคณุ ลักษณะของผเู้ รียนท่ถี กู ต้อง
7. ใชผ้ ลการวดั ให้คมุ้ ค่าเพื่อปรับปรุงการเรียนสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพย่ิงขน้ึ
วารนันท์ นติ ศิ ักด์ิ (2541:28) ได้สรปุ ว่า ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นเป็นสง่ิ สำคัญถึงระดบั ความรู้ หรือทักษะของ
ผู้เรียนที่ได้รับจากการเรียนการสอน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องมือสำคัญ
ประการหนงึ่
สรปุ ได้ว่า การวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นเปน็ การวดั ดา้ นความรู้ความสามารถของผู้เรียนโดย

21

มีการประเมินผู้เรียนโดยใช้แบบทดสอบ ซึ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนมี 2 ลักษณะคือ แบบปรนัย
และแบบอตั นัย

ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
โดยทว่ั ไปแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. แบบทดสอบทคี่ รูสรา้ งขึ้นเอง หมายถงึ แบบทดสอบที่มุ่งวดั ผลสมั ฤทธ์ิของผู้เรียนเฉพาะ

กลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบทีค่ รูสร้างข้ึนใช้กันโดยทั่วไปในสถานศกึ ษามีลักษณะเปน็ แบบทดสอบข้อเขยี น
(paper and pencil test) ซงึ่ แบ่งออกได้ 2 ชนดิ

1.1 แบบทดสอบอัตนัย (subjective or essay test) เป็นแบบทดสอบที่กำหนด
คำถามหรอื ปญั หาใหแ้ ล้วให้ผตู้ อบเขียนโดยแสดงความรู้ ความคดิ เจตคติ ไดอ้ ย่างเต็มที่

1.2 แบบทดสอบปรนยั หรอื แบบใหต้ อบส้นั ๆ (objective test or short answer)
เป็นแบบทดสอบที่กำหนดให้ผู้สอบเขียนตอบสั้น ๆ หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ (restricted
responseytype) ผู้ตอบไม่มีโอกาสแสดงความรู้ ความคิดได้อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบอัตนัย
แบบทดสอบชนิดน้ีแบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบทดสอบ ถูก-ผิด แบบทดสอบเติมคำ แบบทดสอบจับคู่ และ
แบบทดสอบเลอื กตอบ

2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถงึ แบบทดสอบที่มงุ่ วัดผลสัมฤทธิข์ องผู้เรยี นท่วั ๆ ไป ซง่ึ
สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ มีการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างดีจนมีคุณภาพ มีมาตรฐาน กล่าวคือมีมาตรฐานในการ
ดำเนนิ การสอบ วธิ กี ารให้คะแนนและการแปลความหมายของคะแนน

ขัน้ ตอนการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์
การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธมิ์ ขี ัน้ ตอนในการดำเนนิ การดงั นี้

1. วิเคราะห์หลักสตู รและสร้างตารางวเิ คราะหห์ ลักสตู ร
การสรา้ งแบบทดสอบ ควรเริ่มตน้ ด้วยการวเิ คราะหห์ ลักสูตรและสร้างตารางวเิ คราะห์
หลกั สูตรเพื่อวเิ คราะหเ์ น้ือหาสาระและพฤติกรรมท่ตี ้องการจะวัด ตารางวเิ คราะหห์ ลกั สตู รจะใชเ้ ป็นกรอบใน
การออกขอ้ สอบ โดยระบุจำนวนข้อสอบในแต่ละเร่ืองและพฤติกรรมทีต่ อ้ งการจะวัดไว้
2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นพฤติกรรมที่เป็นผลการเรียนรู้ที่ผู้สอนมุ่งหวังจะให้เกิดขึ้นกับ
ผเู้ รียนซึ่งผู้สอนจะต้องกำหนดไวล้ ว่ งหน้าสำหรับเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน และสร้างข้อสอบวัด
ผลสัมฤทธิ์
3. กำหนดชนดิ ของข้อสอบและศึกษาวธิ ีสร้าง
โดยการศึกษาตารางวิเคราะห์หลักสตู รและจุดประสงค์การเรียนรู้ ผอู้ อกขอ้ สอบต้องพิจารณา
และตัดสินใจเลือกใช้ชนิดของข้อสอบที่ใช้วัดว่าจะเป็นแบบใด โดยต้องเลือกให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การ
เรียนรู้และเหมาะสมกับวยั ผูเ้ รียน แล้วศึกษาวิธีเขียนข้อสอบชนิดนั้นใหม้ ีความรูค้ วามเข้าใจในหลกั และวิธกี าร
เขียนข้อสอบ
4. เขยี นข้อสอบ
ผู้ออกข้อสอบลงมือเขียนข้อสอบตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร
และให้สอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยอาศัยหลกั และวิธกี ารเขียนขอ้ สอบท่ไี ด้ศึกษามาแลว้ ในข้ันที่ 3

22

5. ตรวจทานข้อสอบ
เพื่อให้ข้อสอบที่เขียนไว้แล้วในขั้นที่ 4 มีความถูกต้องตามหลักวิชา มีความสมบูรณ์ครบถ้วน
ตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสตู ร ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณาทบทวนตรวจทานข้อสอบ
อีกครั้งกอ่ นท่ีจะจัดพมิ พแ์ ละนำไปใช้ตอ่ ไป
6. จดั พมิ พ์แบบทดสอบฉบบั ทดลอง
เมื่อตรวจทานข้อสอบเสร็จแล้วให้พิมพ์ข้อสอบทั้งหมด จัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับทดลอง
โดยมคี ำชแี้ จงหรอื คำอธบิ ายวิธตี อบแบบทดสอบ (direction) และจัดวางรูปแบบการพิมพใ์ ห้เหมาะสม
7. ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ
การทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบเป็นวิธีการตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบก่อน
นำไปใชจ้ รงิ โดยนำแบบทดสอบไปทดลองสอบกบั กลมุ่ ท่ีมลี กั ษณะคลา้ ยคลึงกันกบั กลมุ่ ทตี่ ้องการสอบจริง แลว้
นำผลการสอบมาวิเคราะห์และปรับปรุงข้อสอบให้มีคุณภาพโดยสภาพการปฏิบัติจริงของการทดสอบวัด
ผลสัมฤทธใิ์ นโรงเรียนมักไม่ค่อยมีการทดลองสอบและวเิ คราะห์ข้อสอบ สว่ นใหญ่นำแบบทดสอบไปใช้ทดสอบ
แล้วจึงวิเคราะห์ขอ้ สอบเพ่อื ปรับปรุงข้อสอบและนำไปใชใ้ นครงั้ ต่อ ๆ ไป
8. จัดทำแบบทดสอบฉบบั จริง
จากผลการวิเคราะห์ข้อสอบ หากพบว่าข้อสอบข้อใดไม่มีคุณภาพหรือมีคุณภาพไม่ดีพอ
อาจจะต้องตัดทิ้งหรือปรับปรงุ แก้ไขข้อสอบให้มีคุณภาพดีข้ึน แลว้ จงึ จดั ทำเปน็ แบบทดสอบฉบับจริงท่ีจะนำไป
ทดสอบกบั กลมุ่ เปา้ หมายตอ่ ไป

การสร้างแบบทดสอบแบบเลอื กตอบ
แบบทดสอบเลอื กตอบ เปน็ แบบทดสอบที่ใหผ้ ู้สอบเลอื กคำตอบทถี่ กู ต้อง หรือคำตอบท่ีดี

ที่สุด เหมาะสมที่สุด หรือถูกที่สุด จากตัวเลือกต่าง ๆ ที่กำหนดให้ ลักษณะสำคัญของแบบทดสอบชนิดนี้
ประกอบด้วยสว่ นสำคญั 2 ส่วน คือ

1. ตอนนำหรอื ตัวคำถาม (stem) เปน็ ขอ้ ความท่กี ระต้นุ จูงใจให้ผสู้ อบค้นหาคำตอบ
2. ตวั เลอื ก (choices หรอื option) เปน็ ส่วนที่เป็นไปได้ในการตอบคำถาม ซึง่ แบ่งออกเปน็
2 ประเภท คือ ตัวถูกหรือคำตอบ และตัวลวง โดยทั่วไปตัวเลือกมักจะกำหนดให้มี 3-5 ตัวเลือก ซึ่งขึ้นอยู่กับ
ความยากงา่ ยของคำถามและระดบั ช้นั เรียน
1. รูปแบบคำถามของแบบทดสอบเลือกตอบ
แบบทดสอบเลือกตอบมรี ปู แบบคำถามหลากหลายขน้ึ อยู่กับจดุ ประสงค์ของการถาม วิธกี าร
ถามและเนอ้ื หาทีจ่ ะถาม แตร่ ูปแบบที่นิยมใช้กนั มากมี 3 แบบคอื แบบคำถามโดดหรือคำถามเดี่ยว (single
guestion) แบบตัวเลอื กคงท่ี (constant choice) แบบกำหนดสถานการณ์ (situation test)
1.1 แบบคำถามโดดหรือคำถามเดยี่ ว รปู แบบคำถามนี้เป็นแบบท่ีใชก้ ันอย่ทู ัว่ ไป ลกั ษณะของ
คำถามจะถามเฉพาะเร่อื งใดเรื่องหนึ่งจบลงในตัวเองไมเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ข้ออนื่ ๆ รปู แบบคำถามชนดิ นี้ ยังแบ่ง
ออกเป็นย่อย ๆ ได้อีกดังนี้

1) แบบคำตอบถูก ได้แก่ ชนิดคำตอบถูกต้อง คำตอบที่ดที ่ีสดุ และคำตอบใกลเ้ คียง
2) แบบเตมิ คำ ได้แก่ ชนิดให้เติมแห่งเดียว หรอื ให้เตมิ 2 แหง่
3) แบบเปลีย่ นแทน โดยให้ผู้สอบหาคำตอบหรือวลีใหม่มาเปลี่ยนแทนถ้อยคำเดิมท่ี
ยงั ไมส่ มบูรณ์ ได้แก่ ชนิดเปล่ียนแปลง ชนดิ ปรับปรุง

23

4) แบบคำตอบคู่ โดยใหผ้ ู้ตอบพิจารณาหาคำตอบทดี่ ที สี่ ุดควบค่กู นั ไป ซึ่งต้องอาศยั
ความรู้หรือหลักวชิ ามาประกอบการตอบอยา่ งมเี หตผุ ลด้วย

5) แบบคำตอบผสม หรือคำตอบซอ้ น (double or mixed multiple choice) ตัว
คำถามเขยี นเป็นลักษณะของเงอ่ื นไข ซึ่งควรมีอย่างน้อย 3 เงอื่ นไข อาจมผี ดิ บา้ งถูกบ้าง แล้วเขยี นตัวเลือกจาก
เง่ือนไขที่กำหนดไวเ้ พือ่ ให้ผูส้ อบได้พิจารณาจากเง่ือนไขหลาย ๆ ตัว

6) แบบคำตอบไม่สมบูรณ์ คำถามแบบนจี้ ะกำหนดตวั เลอื กท่ียังเลือกตอบไม่ได้
ผ้สู อบจะต้องคดิ หาคำตอบจากตัวเลือกทก่ี ำหนดให้อีกทหี น่ึง

7) แบบเรียงลำดบั ไดแ้ ก่ ชนิดลำดับเร่อื งราว เหตกุ ารณ์ ชนดิ ลำดับเวลา ชดิ ลำดับ
วธิ กี ารหรือเหตผุ ล

8) แบบจำแนกประเภท ได้แก่ ชนิดเขา้ พวก ชนิดต่างจากพวก และชนิดเชอื่ มโยง
9) แบบสัมพันธ์ คำถามแบบน้ีจะใหผ้ ู้สอบหาความสมั พนั ธ์เก่ยี วข้องระหวา่ งของ 2
สิ่ง หรือ 2 เรื่องเปน็ อยา่ งน้อยไดแ้ ก่ ชนิดสาเหตแุ ละผล ชนดิ อปุ มาอุปมัย
10) แบบขาดเกิน คำถามแบบนี้จะให้ผู้สอนวินจิ ฉยั ความสมบูรณข์ องเรื่องราววา่ ยัง
ขาดตกบกพร่องส่งิ ใด หรือมสี ิ่งใดท่เี กนิ มาโดยไม่จำเป็นได้แก่ ชนดิ ขาด ชนดิ เกนิ และชนิดเพยี งพอ
11) แบบหาตัวร่วม-ตวั ต่าง คำถามแบบนี้จะให้ผู้สอบคดิ หาสาระสำคัญหรอื แก่นของ
ส่ิงนัน้ ซ่งึ เป็นคณุ สมบัตหิ รอื ลักษณะรว่ มกันหรือต่างกนั
12) แบบอนุกรม คำถามแบบนี้จะให้ผู้สอบคิดคน้ หากฎเกณฑ์จากโจทยห์ รอื ขอ้ มูลที่
กำหนดให้แลว้ นำไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการตอบคำถาม ไดแ้ ก่ ชนดิ อนุกรมและชนดิ อนุกรมสัมพันธ์
13) แบบสรปุ เรื่องราว คำถามแบบนีจ้ ะให้ผู้สอบพิจารณาจากข้อมลู หรือโจทย์ท่ี
กำหนดให้แล้วสรุปอยา่ งมีเหตุผล
14) แบบรปู ภาพ คำถามแบบน้ีจะใช้รูปภาพ เครื่องหมายหรอื สญั ลกั ษณ์ต่าง ๆ เป็น
สว่ นสำคญั ของคำถามแลว้ ให้คำตอบเป็นตัวหนังสอื หรือตวั เลข
1.2 แบบตัวเลือกคงที่ รูปแบบคำถามนี้ประกอบด้วยส่วนสำคัญสองส่วน คือ ส่วนที่เป็น
ตัวเลือก และส่วนที่เป็นตัวคำถาม เช่นเดียวกับรูปแบบคำถามเดียว หรือคำถามโดด แต่จะต่างกันที่ตัวเลือก
แบบคงท่จี ะเปน็ ตวั เลือกชุดเดียวกันของคำถามท้งั ชุดน้ันโดยจะแยกอยู่ตา่ งหากจากตวั คำถาม การเขียนคำถาม
แบบนี้จะตอ้ งเขียนคำชแ้ี จงของคำถามแต่ละชุดใหช้ ัดเจน โดยควรระบุวา่ ตวั เลือกชุดนี้ใชเ้ ปน็ คำตอบข้อใดบ้าง
และจะใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณา ซึ่งอาจเป็นความถูกต้อง ความสอดคล้องหรือข้อเท็จจริงแนวการเขียน
คำถามแบบนี้มีอยู่หลายแนวทางหรือหลายชนิด ได้แก่ ชนิดพิจารณาความถูกต้อง ชนิดพิ จารณาความ
สอดคล้อง ชนดิ พิจารณารูปภาพ ชนดิ พจิ ารณาข้อเทจ็ จริง ชนิดพจิ ารณาเหตผุ ล ชนดิ พิจารณาความรู้สึก ชนิด
พิจารณาความรู้สึก ชนิดพิจารณาความรู้สึก ชนิดพิจารณาลักษณะและเรื่องราว ชนิดพิจารณาความบกพร่อง
และชนิดพิจารณาความเหมาะสม
1.3 แบบกำหนดสถานการณ์ รูปแบบคำถามนี้เป็นแบบที่กำหนดสถานการณ์จำลองขึ้นซ่ึง
อาจอยู่ในรูปของข้อความหรือภาพ แล้วเขียนคำถามเกี่ยวกับข้อความหรือภาพที่กำหนดเป็นสถานการณ์น้ัน
โดยยึดหลักการวา่ อยา่ ถามให้ตรงเรื่อง อย่าถามนอกเร่ือง แตค่ วรถามให้เกีย่ วพันหรืออา้ งอิงเรื่อง สถานการณ์
หรือพาดพิงเรื่องราวนั้นแนวทางการเขียนข้อสอบแบบกำหนดสถานการณ์ มีรูปแบบในการเลือกสถานการณ์
หลายชนดิ โดยใช้สิง่ ต่าง ๆ เป็นสถานการณ์ ไดแ้ ก่ ข้อความ โคลงหรือกลอน รูปภาพ แผนภมู ิ กราฟ หรือตาราง
โจทย์เลข หรือการทดลอง บทสนทนา ประกาศข่าว บทความโฆษณา จดหมาย หรือรูปแบบจดหมาย รูป
ประโยค

24

2. หลกั การสรา้ งแบบทดสอบเลือกตอบ
การสร้างแบบทดสอบเลือกตอบ มีหลกั การดงั นี้

2.1 หลักการเขยี นตังคำถาม
1) เขียนตัวคำถามหรือตอนนำใหอ้ ยูใ่ นรูปประโยคคำถามที่สมบรู ณ์
2) เขียนตวั คำถามให้ชัดเจนและตรงจดุ ทจี่ ะถาม
3) ใช้ภาษาที่เหมาะสมกบั ระดับผเู้ รียน
4) พยายามหลีกเลีย่ งการใช้คำถามปฏิเสธหรือ ปฏเิ สธซอ้ น ถา้ จำเปน็ ต้องใชค้ วรขดี

เส้นใตห้ รือพิมพ์ดว้ ยตวั หนาตรงคำปฏิเสธนั้น
5) ควรถามในเร่อื งทีม่ ีคุณภาพต่อการวัด จึงจะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การพัฒนาการเรยี น

การสอน
6) ควรถามในหลักวิชาการนน้ั จรงิ ๆ
7) พยายามหลกี เลีย่ งคำถามทีแ่ นะคำตอบ
8) ไม่ควรถามเร่ืองทผี่ ู้เรยี นเคยชนิ หรือคลอ่ งปากอยู่แล้ว ควรถามให้ผเู้ รยี นไดใ้ ช้

ความคดิ หรือพฤตกิ รรมทางปัญญาขั้นสงู
9) ควรใช้รูปภาพประกอบเป็นตัวสถานการณ์หรือคำถาม หรอื ตัวเลอื ก จะทำให้

นา่ สนใจยิ่งข้ึน โดยเฉพาะเด็กประถมศึกษา หรือมธั ยมตอนต้น
2.2 หลักการเขยี นตัวเลอื ก
1) เขยี นตวั เลือกให้เปน็ เรื่องราวเดียวกัน หรอื ประเภทเดยี วกนั
2) เขียนตัวเลือกใหม้ ีทศิ ทางเดยี วกัน เพื่อความสะดวกและงา่ ยต่อการพจิ ารณาของ

ผู้สอบ
3) ใชต้ ัวเลอื กปลายเปิดใหเ้ หมาะสม ไดแ้ ก่ตัวเลือกประเภท “ถกู ทกุ ข้อ” “ไม่มขี ้อ

ถูก” “ผดิ หมด” “ก และ ข ถูก” “ยังสรปุ แนน่ อนไมไ่ ด้” ฯลฯ ควรใชค้ ำตามที่เก่ียวกบั เร่ืองราวหรอื
เหตกุ ารณ์ทย่ี ังหาข้อสรปุ ไม่ได้ หรอื ยังเป็นปญั หาโตแ้ ยง้ กนั อยู่ หรือ ใช้กับวชิ าประเภทคำนวณดว้ ยตวั เลือก
“ถกู ทุกข้อ” หรอื “ไม่มีข้อใดถูก”

4) ในแต่ละขอ้ ต้องมีคำตอบท่ีถกู ต้องเพียงคำตอบเดียว
5) เขยี นตงั ถกู – ตัวลวงให้ถกู หรอื ผดิ ตามหลักวชิ า
6) เขยี นตัวเลือกหรือตวั ลวงใหเ้ ปน็ อิสระจากกัน โดยไม่ให้ตัวเลือกเปน็ ตวั เดียวกนั มี
ความหมายสบื เนื่องสัมพนั ธ์กัน หรือครอบคลมุ ตวั เลอื กอ่ืนๆ
7) ควรเรียงลำดบั ตัวเลือกท่ีเป็นตัวเลข โดยอาจจะเรียงจากมากไปหาน้อยหรือจาก
นอ้ ยไปหามากกไ็ ด้ เพอ่ื ใหผ้ ้สู อบหาคำตอบไดง้ ่ายข้ึน
8) พยายามใช้ตัวเลอื กส้ัน ๆ โดยตดั คำซ้ำออกหรอื นำคำซ้ำไปไว้ในตวั คำถาม
9) ควรกระจายตำแหน่งตัวถูกในตวั เลอื กทุกตัวให้เท่า ๆ กนั ลกั ษณะสุ่ม
(randomly) ไม่ให้เป็นระบบทีผ่ สู้ อบจะจบั แนวทางได้เพื่อปอ้ งกนั การเดาคำตอบ
10) คำตอบที่ถกู และคำตอบที่ผิดตอ้ งไม่แตกต่างกันชดั เจนจนเกนิ ไป หรอื ถูกเด่น –
ผิดโดง่
3. การตรวจใหค้ ะแนน
การตรวจให้คะแนนข้อสอบเลือกตอบทำไดง้ า่ ย และสะดวกเพราะสามารถทำเฉลยไว้
ลว่ งหน้า และสามารถตรวจด้วยมือหรือใชเ้ คร่ืองคอมพิวเตอร์ก็ได้

25
4. ขอ้ ดีและข้อจำกดั ของแบบทดสอบเลือกตอบ

ตาราง 3 เปรยี บเทยี บข้อดแี ละข้อจำกัดของแบบทดสอบเลือกตอบ

ข้อดี ข้อจำกัด

1. วดั ได้ครอบคลุมเนอ้ื หาและสมรรถภาพทางปญั ญา 1. สรา้ งไดย้ ากและเสียเวลาในการสรา้ งเพราะอาศัย
ตั้งแตข่ ัน้ ตน้ ถงึ ขน้ั สูง ความรคู้ วามชำนาญของผู้สรา้ งเป็นสำคญั
2. ตรวจใหค้ ะแนนได้ง่ายและรวดเรว็ เหมาะสำหรบั 2. วัดความคิดลกึ ซึ้งในเชิงความคดิ สรา้ งสรรค์
ใช้สอบคัดเลอื กที่มผี ูส้ อบจำนวนมาก ๆ ความสามารถในกาใชภ้ าษาและแสดงความคิดเห็นต่าง
3. มคี วามเป็นปรนยั สงู ซึ่งสามารถเขา้ ใจคำถามได้ ๆ ไดย้ าก
ตรงกนั ตรวจให้คะแนนตรงกัน 3. ไม่ส่งเสรมิ หรือช่วยสร้างทักษะการเขยี น
4. สามารถนำมาวเิ คราะห์และปรับปรงุ ใหม้ ีคณุ ภาพดี 4. ส้นิ เปลอื งมาก โดยตอ้ งลงทนุ กระดาษ หมึก และ
ข้ึนได้ง่าย อปุ กรณ์ในการสรา้ งและผลติ ขอ้ สอบ
5. มีโอกาสให้ความยุติธรรมสงู เพราะออกข้อสอบได้ 5. ส่งเสรมิ การเดา ถ้าผู้สอบไมต่ ้องการคดิ หาคำตอบ
ครอบคลุมตวั อย่างของเนอื้ หาและพฤติกรรมท่ี อาจใช้การคาดเดาคำตอบแทน
ตอ้ งการวดั

คุณลักษณะทดี่ ขี องแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
พจิ ารณาคณุ ภาพจากคุณลกั ษณะ 10 ประการ

1. ความเทย่ี งตรง (Validity) หมายถึงคุณสมบัติของแบบทดสอบทั้งฉบบั ทส่ี ามารถวัดได้
ตรงกับจดุ มงุ่ หมายทีต่ ้องการ หรอื ตรงกับสิง่ ทก่ี ำหนดไว้

2. ตอ้ งยตุ ิธรรม (Fair) หมายถึง แบบทดสอบทไ่ี ม่เปดิ โอกาสใหม้ ีการได้เปรยี บเสียเปรยี บใน
หมู่ผูเ้ ขา้ สอบดว้ ยกัน ไมเ่ ปิดโอกาสใหเ้ ด็กทำข้อสอบไดโ้ ดยการเดา ไมใ่ ห้เดก็ ขีเ้ กยี จ และไม่สนใจการเรยี น

3. ตอ้ งถามลกึ (Searching) หมายถึง คำถามจะไม่ถามเพียงความรคู้ วามจำ แตต่ ้องถาม
โดยใหน้ กั เรียนนำความรู้ความเข้าใจไปคิดดัดแปลงวิเคราะห์ แกป้ ัญหาแลว้ จงึ จะตอบได้และนำไปใชไ้ ด้

4. ต้องยว่ั ยุเป็นตวั อย่าง (Exemplary) หมายถงึ แบบทดสอบที่ดว้ ยความสนุกเพลดิ เพลิน ไม่
เบือ่ หนา่ ย ทา้ ทายความคิดและมคี วามร้เู ร่ืองราวมากข้นึ

5. ตอ้ งเฉพาะเจาะจง (Definite) หมายถึง ข้อสอบที่มีแนวทางหรอื ทิศทางการถามการตอบ
ชดั เจน ไม่คลุมเครือ เขา้ ใจ แจม่ ชัดวา่ ครูถามอะไร ต้องการให้คดิ ใหท้ ำอะไรและการให้คะแนนท่ชี ัดเจน

6. ต้องเปน็ ปรนัย (Objectivity) คุณสมบตั ิของปรนยั มี 3 ประการ ได้แก่ ชัดเจนใน
ความหมายของคำถาม ชดั เจนในความหมายของคำถาม ชัดเจนในวิธีตรวจหรอื มาตรฐานการใหค้ ะแนนและ
ชดั เจนในการแปลความหมายของคะแนน

7. ตอ้ งมปี ระสิทธภิ าพ (Efficiency) หมายถึง แบบทดสอบทีม่ ีจำนวนขอ้ มากพอประมาณใช้
เวลาสอบพอเหมาะ ประหยดั คา่ ใชจ้ ่าย ตรวจใหค้ ะแนนได้รวดเรว็ แตผ่ ลในการสอบถูกต้อง

8. ตอ้ งมีความยากพอเหมาะ (Difficulty) หมายถึง จำนวนเปอรเ์ ซน็ ผตู้ อบถกู ความยากงา่ ย
ท่เี หมาะสมจะมจี ำนวนหนึ่งตอบถูก

9. ตอ้ งมีอำนาจจำแนก (Discrimination) หมายถงึ คุณสมบตั ขิ องข้อสอบแตล่ ะข้อท่ีสามารถ
แยกคนกลมุ่ เก่งออกจากคนกล่มุ อ่อนได้ หรอื ขอ้ สอบแต่ละข้อท่ีคนกลุ่มเกง่ ทำถูก คนกลุ่มอ่อนจะทำไม่ถกู

26

10. ตอ้ งเชอ่ื ม่นั ได้ (Reliability) หมายถึง คุณลักษณะของแบบทดสอบท้ังฉบบั ที่สามารถวดั
ไดค้ งทีค่ งวา ไมเ่ ปลยี่ นแปลงไม่ว่าจะจะทำการสอบใหม่กคี่ ร้ังกต็ าม

สรุปได้วา่ แบบทดสอบทีด่ ีจะต้องมีคุณลักษณะท่ีสำคญั คือ มีความเที่ยงตรงยุติธรรม ถามลึก
คำถามย่วั ยุ จำเพาะเจาะจง เปน็ ปรนัย มปี ระสิทธิภาพ ยากพอเหมาะ มีอำนาจจำแนกและต้องเช่ือมั่นได้จึงจะ
เปน็ แบบทดสอบท่ีดีมีมาตรฐานและใช้วัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนไดต้ รงตามจุดประสงค์อยา่ งแท้จริง

งานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง

ซันม่า เตะเจริญ (2556:110-111 ) ทำการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
ทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ระหว่างการเรียนแบบร่วมมือกับการเรียนด้วยโมเดลซิปปา โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชมุ ชนบ้านดา่ น จำนวน 2 หอ้ ง ผวู้ จิ ัยใชว้ ธิ ีการสมุ่ แบบกลุ่ม (Cluster Sampling)
โดยห้องท่ี 1 จัดเป็นกลมุ่ ทดลองท่ี 1 จำนวน 33 คน ไดร้ บั การจดั การเรยี นรู้โดยการเรียนแบบร่วมมือ และห้อง
ที่ 2 จดั เปน็ กล่มุ ทดลองที่ 2 จำนวน 33 คน ได้รบั การจัดการเรียนรู้โดยการเรียนดว้ ยโมเดลซิปปา ผลการวิจัย
พบว่า 1) ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 หลังเรียนโดยการเรียนแบบรว่ มมือสูงกว่า
ก่อนเรยี นอยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 2) ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5
หลังเรียนโดยการเรียนด้วยโมเดลซิปปาสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ระหวา่ งการเรยี นแบบรว่ มมือกับการเรียนด้วยโมเดลซิปปาไม่
แตกต่างกัน 4) ทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ระหวา่ งการเรียนแบบร่วมมือกับการ
เรียนรู้ด้วยโมเดลซปิ ปาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 5) ความพึงพอใจของนักเรียน
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 ทมี่ ีตอ่ การเรียนแบบรว่ มมือและการเรยี นดว้ ยโมเดลซิปปา พบว่า โดยภาพรวมนักเรียน
ที่ได้รับการเรียนแบบร่วมมือมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.74 และนักเรียนที่ได้รับการ
เรยี นโดยใชโ้ มเดลซปิ ปามีความพึงพอใจอยูใ่ นระดับมาก มคี า่ เฉลีย่ เทา่ กบั 4.10

อริยา กัณฑลักษณ์ (2553: 78) ทำการวิจัยเรื่อง การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรด้วยรูปแบบการสอน
ซปิ ปา เพื่อพัฒนาทักษะการออกแบบภาพร่างในรายวชิ าการพิมพ์ซลิ คส์ กรีนเบ้ืองต้น โดยใชก้ ลมุ่ ตัวอย่าง เป็น
นักศึกษาโปรแกรมวิชาออกแบบประยกุ ต์ศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา ที่เรียนวชิ า
ภาพพิมพ์ซิลค์สกรีนเบื้องต้น จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1)
นักศึกษาที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรด้วยรูปแบบการสอนซิปปา มีทักษะการออกแบบภาพร่างหลัง
การจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 43.97 ค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐานเท่ากับ 2.03 ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักศึกษาที่ได้รับการจัด
กิจกรรมเสริมหลักสูตรด้วยรูปแบบการสอนซิปปา มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรหลังเรียน
อยใู่ นระดบั มาก มคี า่ เฉลยี่ เท่ากบั 4.43 คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.49

ปรีดิ์มน นครินทร์ (2556: 98) ทำการวิจัยเร่ือง ผลการใช้รูปแบบการจดั การเรียนการสอนแบบซิปปา
พฒั นาทกั ษะการพดู ภาษาองั กฤษเพื่อการส่ือสารของนักเรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชพี โดยใชก้ ล่มุ ตวั อย่าง
เป็นนักเรียนระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชีพช้ันปีที่ 2 วิทยาลัยการอาชีพไชยา อำเภอไชยา จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี
จำนวน 32 คน ใช้วิธีการสุม่ อย่างงาย ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการ
สื่อสารโดยใช้รูปแบบการจัดดารสอนแบบซิปปาของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 2
สาขางานการบญั ชี หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียนอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 และ 2) ความพึงพอใจของ

27

นักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มี
ค่าเฉล่ีย 4.58

สาธิดา รักนุ้ย (2558: 75) ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของ
นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยใช้รปู แบบซิปปา กลุ่มตวั อย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2558 วิทยาลยั เทคโนโลยพี ณิชยการหาดใหญ่ (แผนกมัธยมศึกษา) จำนวน 1
ห้อง นักเรียนจานวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) โดยภาพรวมผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยใชร้ ูปแบบซปิ ปาหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความจำ ด้านความเข้าใจ ด้านทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตรม์ ีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ท่ี
ระดับ .01 ด้านการประยุกต์ใช้ ด้านการวิเคราะห์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และด้านการประเมินค่ามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างไมม่ นี ัยสำคัญทางสถติ ิ และ 2) เจตคติต่อการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดย
ใช้รูปแบบซิปปาหลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั .01

รชาดา บัวไพร (2552: 61) ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรยี นการสอนแบบโมเดลซปิ ปาท่ีมีตอ่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวิทยาศาสตรแ์ ละ เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (ฝ่ายมัธยม) จำนวน 1 ห้องเรียน 54 คน ได้มาจากการเลือก
แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรยี น ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบโมเดลซิปปาสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2)
หลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของคะแนนเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการ
จัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบโมเดลซิปปาสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นยั สำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05

28

บทที่ 3
วธิ ีดำเนนิ การวจิ ยั

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ไฟฟ้า หลังใช้วิธีการ
จัดการเรยี นรรู้ ูปแบบซปิ ปากับเกณฑร์ ้อยละ 60 และเพอื่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเร่ือง ไฟฟ้า ก่อน
และหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปาของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา
จังหวดสตูล โดยผวู้ ิจัยไดด้ ำเนนิ การวิจยั ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้

1. ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใชใ้ นงานวิจัย
3. การสร้างเครอ่ื งมอื วิจยั
4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
5. การวิเคราะห์ข้อมลู และสถิตทิ ่ใี ช้

ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง

ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประจำปีการศึกษา 2564

โรงเรียนกำแพงวิทยา จงั หวัดสตลู จำนวน 311 คน
กลุ่มตัวอยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างที่ใชใ้ นการวจิ ัยคร้ังนี้เป็นนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ประจำปกี ารศึกษา 2564

โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ในรายวิชา
วทิ ยาศาสตร์ เร่ือง ไฟฟ้า จำนวน 79 คน ซง่ึ ได้มาจากวธิ กี ารส่มุ แบบเจาะจง (purposive sampling)

เครื่องมือท่ใี ชใ้ นงานวิจัย

เครอื่ งมือที่ใช้ในงานวจิ ยั ครั้งนี้ ประกอบดว้ ย
1.tแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 จำนวน
7 แผน ได้แก่

1.1 แผนการจดั การเรียนรู้ เรือ่ ง ความสมั พนั ธ์ระหว่างความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ
ความต้านทานไฟฟ้า

1.2 แผนการจัดการเรยี นรู้ เร่ือง กระแสไฟฟ้า
1.3 แผนการจดั การเรยี นรู้ เรื่อง ความต่างศักย์ไฟฟ้า
1.4 แผนการจดั การเรยี นรู้ เรื่อง วงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม
1.5 แผนการจดั การเรียนรู้ เรื่อง วงจรไฟฟา้ แบบขนาน
1.6 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคำนวณพลังงานไฟฟ้า
1.7 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การใช้ไฟฟา้ อย่างประหยดั และปลอดภัย
2. นวตั กรรมทเ่ี ลือกใช้ จำนวน 3 ชุด/กจิ กรรม ไดแ้ ก่
2.1 Power point
2.2 แบบฝึกหัด
2.3 หนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์

29

3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า เป็น
แบบทดสอบทีใ่ ช้วัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนเร่ือง ไฟฟา้ ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ซ่ึงใช้สำหรับทดสอบ
นักเรียนก่อนและหลังใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก
จำนวน 20 ข้อ จำนวน 1 ฉบบั

การสรา้ งเคร่อื งมอื ในการวจิ ยั

1. การสร้างแผนการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3
ผวู้ จิ ัยไดด้ ำเนนิ การตามข้ันตอน ดงั น้ี

1.1tศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง
ไฟฟ้า ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3

1.2 วเิ คราะหม์ าตรฐานการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
1.3 กำหนดหัวเรือ่ ง หน่วยการเรียนร้ยู ่อย เวลาเรยี น
1.4tนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น ให้หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้พิจารณาเพ่ือ
ตรวจสอบความเหมาะสมและใหข้ อ้ เสนอแนะ
1.5 ปรบั ปรงุ แผนการจดั การเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของหวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ และได้
แผนการจัดการเรยี นร้ทู สี่ มบรู ณ์ จำนวน 7 แผน
2. การสรา้ งการจัดการเรียนรรู้ ปู แบบซิปปา ผวู้ จิ ัยได้ดำเนินการตามข้ันตอน ดังนี้
2.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาสร้างเป็นการจัดการ
เรียนร้รู ูปแบบซปิ ปา
2.2 สรา้ งการจัดการเรยี นร้รู ปู แบบซปิ ปาและส่ือท่ีใชส้ ำหรบั ใหน้ ักเรียนได้แสวงหาความรู้ด้วย
ตนเองทเ่ี นน้ การปฏบิ ัตจิ รงิ จำนวน 2 ชุด ได้แก่หนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์และแบบฝกึ หดั
2.3 นำเสนอหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้ เพือ่ ตรวจสอบความถกู ต้องและนำมาแก้ไข
2.4 นำการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปาและสื่อที่ใช้สำหรับให้นักเรียนได้แสวงหาความรู้ด้วย
ตนเองท่ีแก้ไขปรับปรุงแลว้ ไปทดลองใชก้ บั กลุ่มตัวอย่างตอ่ ไป
3.tการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า
ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 ผูว้ จิ ัยได้ดำเนินการตามขน้ั ตอน ดังนี้
3.1 ศึกษาเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า จากหลักสูตรการศึกษาขั้น
พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551
3.2 ศกึ ษาวเิ คราะห์จุดประสงคใ์ นหลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
3.3 กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ในหลักสูตรกลุ่มสาระการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์
3.4 สร้างแบบทดสอบตามจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ซ่ึงเป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ มี 4
ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อ แล้วนำมาพิมพ์เป็นแบบทดสอบเพื่อนำไปใช้ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง
ต่อไป

การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

1.tดำเนินการทดสอบก่อนใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปากับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 79
คน ดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เรอื่ ง ไฟฟา้ ทีผ่ วู้ จิ ัยสรา้ งข้นึ

2. ดำเนินการทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปาพร้อมกับใช้
หนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตรแ์ ละแบบฝึกหัด

30

3.tหลงั ใชว้ ธิ ีการจัดการเรยี นรู้รปู แบบซปิ ปาครบตามที่กำหนดไว้ ผวู้ จิ ยั ได้ทดสอบด้วยแบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เร่อื ง ไฟฟ้า กบั กลุม่ ตวั อย่างอีกคร้ังหนึง่

การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสถิตทิ ่ใี ช้

1. การวเิ คราะห์ข้อมูล
1.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า หลัง

การใชว้ ธิ กี ารจัดการเรียนรู้รปู แบบซิปปากับเกณฑ์รอ้ ยละ 60 โดยใช้ค่าร้อยละ (Perecentage)
1.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า ก่อน

และหลงั การใชว้ ิธกี ารจดั การเรียนรรู้ ปู แบบซปิ ปา โดยใช้ค่าเฉลย่ี (Mean) และค่ารอ้ ยละ (Percentage)

2. สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
2.1 หาคา่ ร้อยละ (Percentage) จากสตู รต่อไปน้ี

สตู ร P = f × 100

N

เมอ่ื P แทน ค่าร้อยละ
f แทน ความถ่ีทตี่ อ้ งการแปลงให้เป็นค่าร้อยละ
N แทน จำนวนความถีท่ ัง้ หมด

2.2 หาค่าเฉล่ยี ของคะแนน (Mean)

สูตร ˉx= ∑ x
N

เมื่อ ˉx แทน คะแนนเฉล่ยี
∑ x แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
N แทน จำนวนคนทง้ั หมด

31

บทที่ 4
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า
หลังใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปากับเกณฑ์ร้อยละ 60 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เรื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนและหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปาของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล โดยผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตอบ
วัตถุประสงคข์ องการวิจัย รายละเอยี ดดงั น้ี

ตอนที่ 1tการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ไฟฟ้า หลังใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบ
ซปิ ปากบั เกณฑ์รอ้ ยละ 60

ตอนที่ 2tการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ไฟฟ้า ก่อนและหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการ
เรยี นรู้รปู แบบซปิ ปา

ตอนท่ี 1 แสดงคะแนนหลงั เรยี นโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รปู แบบซิปปาเม่อื เทยี บกับเกณฑ์รอ้ ยละ60

ตารางแสดงคะแนนหลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ60
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล กับเกณฑ์ร้อยละ 60 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ปรากฏดงั แสดงในตาราง 4

ตาราง 4kแสดงคะแนนหลงั เรียนโดยใช้วธิ ีการจดั การเรยี นรู้รูปแบบซปิ ปาเมอ่ื เทียบกบั เกณฑ์ร้อยละ60

นกั เรยี นคนท่ี คะแนนหลังเรยี น เทยี บกบั เกณฑ์รอ้ ยละ 60
(คะแนนเตม็ 20 คะแนน) (ผ่านเกณฑ์ 12 คะแนน)
1
2 12 ผ่าน
3 13 ผ่าน
4 12 ผา่ น
5 15 ผา่ น
6 16 ผ่าน
7 16 ผา่ น
8 14 ผา่ น
9 15 ผ่าน
10 17 ผ่าน
11 16 ผา่ น
12 15 ผ่าน
13 18 ผ่าน
14 14 ผ่าน
15 13 ผ่าน
15 ผา่ น

นกั เรยี นคนที่ คะแนนหลงั เรยี น เทยี บกบั เกณฑร์ อ้ ยละ 60
(คะแนนเต็ม 20 คะแนน) (ผา่ นเกณฑ์ 12 คะแนน)
16
17 16 ผ่าน
18 14 ผ่าน
19 15 ผ่าน
20 14 ผา่ น
21 16 ผา่ น
22 13 ผา่ น
23 15 ผ่าน
24 15 ผ่าน
25 15 ผ่าน
26 16 ผ่าน
27 16 ผ่าน
28 15 ผา่ น
29 14 ผา่ น
30 17 ผา่ น
31 18 ผา่ น
32 15 ผา่ น
33 16 ผา่ น
34 15 ผา่ น
35 14 ผา่ น
36 16 ผ่าน
37 14 ผ่าน
38 14 ผ่าน
39 15 ผ่าน
40 16 ผ่าน
41 15 ผ่าน
42 16 ผ่าน
43 17 ผ่าน
44 14 ผ่าน
45 13 ผา่ น
46 15 ผา่ น
47 16 ผา่ น
48 16 ผา่ น
49 15 ผ่าน
50 14 ผา่ น
14 ผ่าน

นักเรียนคนท่ี คะแนนหลังเรียน เทยี บกับเกณฑร์ อ้ ยละ 60
(คะแนนเต็ม 20 คะแนน) (ผา่ นเกณฑ์ 12 คะแนน)
51
52 14 ผา่ น
53 14 ผา่ น
54 15 ผ่าน
55 14 ผ่าน
56 14 ผา่ น
57 13 ผ่าน
58 15 ผ่าน
59 15 ผ่าน
60 15 ผ่าน
61 16 ผ่าน
62 16 ผ่าน
63 15 ผา่ น
64 14 ผา่ น
65 17 ผ่าน
66 16 ผ่าน
67 14 ผ่าน
68 14 ผา่ น
69 15 ผา่ น
70 14 ผา่ น
71 16 ผา่ น
72 14 ผา่ น
73 14 ผ่าน
74 15 ผา่ น
75 16 ผา่ น
76 15 ผา่ น
77 16 ผา่ น
78 17 ผา่ น
79 14 ผา่ น
(X) 16 ผา่ น
15.47 ผา่ น

จากตาราง 4 จะเห็นได้ว่า หลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปานักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย
รวมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 เมื่อพิจารณาคะแนนเป็นรายบุคคลพบว่า นักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์
รอ้ ยละ 60

34

ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องไฟฟ้า ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการ
เรยี นรรู้ ปู แบบซปิ ปา

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรือ่ งไฟฟ้า ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้
รูปแบบซิปปา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ปรากฏดังแสดงในตาราง 5

ตาราง 5 แสดงคะแนน ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีการ
จดั การเรยี นรู้รปู แบบซปิ ปา

นักเรียนคนที่ คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลงั เรยี น คะแนนท่เี พิม่ ขน้ึ
(คะแนนเต็ม 20 (คะแนนเตม็ 20
1 7
2 คะแนน) คะแนน) 6
3 5 12 10
4 7 13 7
5 2 12 7
6 8 15 9
7 9 16 5
8 7 16 9
9 9 14 9
10 6 15 11
11 4 17 9
12 5 16 10
13 6 15 9
14 8 18 8
15 7 14 7
16 7 13 9
17 8 15 5
18 7 16 10
19 9 14 8
20 5 15 8
21 6 14 7
22 8 16 6
23 6 13 7
24 9 15 8
25 8 15 9
7 15
7 16

35

นกั เรียนคนท่ี คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลังเรียน คะแนนทีเ่ พิม่ ข้ึน
(คะแนนเตม็ 20 (คะแนนเต็ม 20
26 7
27 คะแนน) คะแนน) 6
28 5 16 10
29 7 15 7
30 2 14 7
31 8 17 9
32 9 18 5
33 7 15 9
34 9 16 8
35 6 15 9
36 6 14 7
37 7 16 6
38 7 14 7
-39 8 14 8
40 8 15 6
41 8 16 11
42 9 15 11
43 5 16 7
44 6 17 6
45 7 14 7
46 7 13 7
47 8 15 8
48 9 16 6
49 8 16 5
50 9 15 6
51 9 14 7
52 8 14 5
53 7 14 7
54 9 14 7
55 8 15 6
56 7 14 5
57 8 14 7
58 7 13 7
59 8 15 8
8 15
7 15

36

นักเรยี นคนที่ คะแนนกอ่ นเรียน คะแนนหลังเรียน คะแนนท่ีเพ่ิมขน้ึ
(คะแนนเตม็ 20 (คะแนนเตม็ 20
60 11
61 คะแนน) คะแนน) 6
62 7 16 11
63 8 16 6
64 4 15 8
65 8 14 7
66 9 17 5
67 6 16 12
68 9 14 7
69 2 14 6
70 8 15 7
71 8 14 5
72 9 16 9
-73 9 14 9
74 5 14 9
75 6 15 7
76 7 16 7
77 8 15 9
78 9 16 8
79 8 17 8
6 14 7.61
̅ 8 16
7.15 15.47

จากตาราง 5 จะเห็นได้ว่า ก่อนเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปานักเรียนทำคะแนนสูงสุด
ได้ 9 คะแนน คะแนนต่ำสุด 2 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) 7.15 คะแนน และหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการ
เรียนรู้รูปแบบซิปปา นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 18 คะแนน คะแนนต่ำสุด 12 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X )
15.47 คะแนน แสดงให้เห็นว่าหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นสูงกวา่ กอ่ นเรยี นเฉลี่ย 7.61 คะแนน

37

บทที่ 5
สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า
หลังใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปากับเกณฑ์ร้อยละ 60 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เร่ืองไฟฟ้ากอ่ นและหลงั เรยี น ดว้ ยวิธีการจัดการเรยี นรู้รปู แบบซปิ ปาของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี น
กำแพงวิทยา จงั หวัดสตูล

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประจำปีการศึกษา 2564
โรงเรยี นกำแพงวิทยา จังหวัดสตูลจำนวน 79 คน ซ่งึ ไดม้ าจากวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling)

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เรือ่ ง ไฟฟ้า ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 จำนวน 7 แผน ได้แก่ แผนการจัดการเรยี นรู้ เรื่อง ความสัมพันธ์
ระหว่างความต่างศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม วงจรไฟฟ้าแบบขนาน การคำนวณพลังงานไฟฟ้า การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและ
ปลอดภัย 2) นวัตกรรมที่เลือกใช้ จำนวน 3 ชุด/กิจกรรม ได้แก่ Powerhpointhหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์
และแบบฝึกหัด 3)tแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า เป็น
แบบทดสอบที่ใชว้ ัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเรื่อง ไฟฟา้ ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ซงึ่ ใช้สำหรับทดสอบ
นักเรียนก่อนและหลังใช้วิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ มี 4 ตัวเลือก
จำนวน 20 ข้อ จำนวน 1 ฉบับ

การวิเคราะห์ข้อมูล ทำได้โดยการวิเคราะห์หาค่าร้อยละ (Percentage) และค่าเฉลี่ย (Mean) ของ
คะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบ

สรุปผลการวจิ ยั

ผลการวิจยั สรุปและนำเสนอตามลำดบั ดงั น้ี
1. หลงั เรยี นโดยใชว้ ิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา นกั เรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมสงู กว่าเกณฑ์ร้อยละ
60 เมอื่ พจิ ารณาคะแนนเปน็ รายบคุ คลพบวา่ นกั เรียนมีคะแนนสงู กวา่ เกณฑร์ อ้ ยละ 60 จำนวน 79 คน
2. ก่อนเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 9 คะแนน คะแนน
ต่ำสุด 2 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) 7.15 คะแนน และหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา
นกั เรียนทำคะแนนสูงสดุ ได้ 18 คะแนน คะแนนตำ่ สดุ 12 คะแนน คะแนนเฉล่ยี ( X ) 15.47 คะแนน แสดงให้
เห็นว่าหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
เฉล่ีย 7.61 คะแนน
3. นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวดั สตูล มผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนรายวิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า หลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปา สูงกว่าก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ
100 ของนักเรยี นทงั้ หมด จำนวน 79 คน

38

อภปิ รายผล

จากผลการวจิ ัยสามารถอภิปรายผลตามวัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั ดังน้ี
1.tผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ไฟฟ้า หลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้
รปู แบบซิปปาของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นกำแพงวิทยา จงั หวัดสตูล กบั เกณฑร์ อ้ ยละ 60 พบว่า
หลังเรยี นโดยใช้วิธีการจดั การเรยี นรรู้ ูปแบบซปิ ปานักเรยี นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวา่ เกณฑ์ซงึ่ เป็นไปตาม
สมมติฐานที่กำหนดไว้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบโมเดลซิปปาทำให้นักเรียนมีความ
กระตอื รือร้นในการเรียนรู้ เชน่ ในการคน้ คว้าข้อมูล การทำงานรว่ มกับเพ่ือน การสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง การ
แสดงผลงานที่สร้างความพอใจให้นักเรียน ซึ่งต่างกับการเรียนการสอนตามปกติ โดยจะเป็นการเรียนที่เน้น
เนื้อหาที่ได้มาจากการบอก การอธิบาย การซักถามเนื้อหาในบทเรียนของครู โดยมิได้มุ่งเน้นให้ นักเรียนฝึก
กระบวนการค้นคว้า กระบวนการคิด กระบวนการทำงาน กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง การวิเคราะห์
กระบวนการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้ความรู้อันเป็นทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตและเป็นเป้าหมายหลักของ
การจัดการเรียนการสอน ดังนั้นการเรียนการสอนท่ีเน้นประสบการณ์ตรง ให้นักเรียนเรียนเนื้อหาควบคู่ไปกบั
กระบวนการจำ ทำให้นักเรยี นเรียนรดู้ ้วยความเข้าใจในเนื้อหานั้น ๆ ไดด้ กี ว่าการที่นักเรียนได้รับการบอกเล่า
จากครู และยงั สง่ ผลให้การเรียนรู้ดีขน้ึ ดว้ ย จึงเป็นรูปแบบการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมในการ
พฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นได้ดียง่ิ
2.tผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เร่อื ง ไฟฟา้ กอ่ นและหลังเรียนด้วยวิธีการจดั การเรียนรู้
รูปแบบซิปปาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3tโรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล พบว่า หลังจากที่นักเรียน
เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบซิปปาtนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เรื่อง ไฟฟ้า สูงกว่าก่อนเรียนซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่กำหนดไว้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ผู้วิจัย
สอนโดยใช้รูปแบบซิปปาเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมด้านร่ างกายสติปัญญาอารมณ์และสังคม
โดยนักเรียนมีโอกาสไดป้ ฏิสัมพันธ์รว่ มกับผูอ้ ื่นส่งเสริมให้นักเรียนมีการคิดวิเคราะหเ์ กิดความรู้ที่คงทนและนำ
ความร้ไู ปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวนั ได้ซงึ่ เปน็ ไปตามที่ทิศนา แขมมณี (2545: 280-282) กลา่ วไวว้ ่าการสอน
โดยใช้รูปแบบซิปปาเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนของผู้สอนtซึ่งจะช่วยให้นกั เรยี นมคี ุณลกั ษณะเป็นบุคคล
แหง่ การเรียนร้สู ามารถสร้างเสรมิ กระบวนการคิดมีความรู้ทักษะกระบวนการเน้นนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติtสรุป
และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมโดยขั้นที่ 1 ทบทวน
ความรู้เดิมซึ่งครูยกตัวอย่างเรื่องที่เกีย่ วข้องกับไฟฟ้าในชวี ิตประจำวันให้นักเรียนฟังแล้วพูดเชือ่ มโยงเข้าสู่การ
เรียนรเู้ ร่อื งไฟฟ้าข้นั ท่ี 2 การแสวงหาความรใู้ หมใ่ หน้ ักเรียนแบง่ กล่มุ กลมุ่ ละ 4 คนศกึ ษาเร่ืองไฟฟ้าจากหนังสือ
เรียนวิทยาศาสตร์หรือแหล่งเรียนรู้อินเตอร์เน็ต ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่และ
เชื่อมโยงกับความรู้ใหม่กับความรู้เดิมโดยให้นักเรียนสรุปเนื้อหาที่ศึกษาจากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์หรือ
แหล่งเรียนรู้อนิ เตอร์เน็ตลงในสมุดเป็นของตนเอง ขนั้ ที่ 4 การแลกเปล่ยี นความรคู้ วามเข้าใจกับกลุ่มให้สมาชิก
ทุกคนในกลุ่มบอกความรู้ที่ตนเองสรุปได้ให้เพื่อนฟังแล้วช่วยกันสรุปเป็นความคิดของกลุ่มโดยทำเป็นแผนผัง
ความคิดขั้นท่ี 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเรื่องไฟฟ้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อทำให้
นักเรียนเกิดความเข้าใจที่คงทนขั้นที่ 6 การปฏิบัติและ/หรือการแสดงผลงานขั้นนี้เป็นการนำผลงานของ
นักเรียนที่เป็นแผนผังความคิดแต่ละกลุ่มมาโชว์ไว้ที่บอร์ดหน้าห้องเรียน tและขั้นท่ีt7tการประยุกต์ใช้ความรู้ t
เป็นขั้นสุดท้ายของการสอนtโดยครูตั้งคำถามจากเรื่องที่เรียนไปว่านักเรียนนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
อยา่ งไรบ้างtเพ่อื ตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียนเกี่ยวกบั เรื่องท่เี รียน

39

ข้อเสนอแนะ

1. ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัยในครัง้ นี้
1.1tการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาต้องเน้นทักษะการทำงานกลุ่ม ครูต้องปรับปรุงรูปแบบ
กิจกรรมใหม้ ีความเหมาะสม สรา้ งสมดุลระหว่างเน้ือหาวิชากบั รูปแบบกิจกรรม นอกจากนก้ี ารดำเนินกิจกรรม
ยังต้องสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้มีความเป็นกันเอง ให้เวลานักเรียนได้คิดและทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่าง
อิสระ ไมค่ วรเรง่ รีบจนเกินไป
1.2tการนำการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปา เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องไฟฟ้า ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ครูควรศึกษากระบวนการข้ันตอนในการดำเนินกจิ กรรมให้
เข้าใจเพ่อื จะได้ทำกจิ กรรมตามข้ันตอนใหบ้ รรลุตามวตั ถุประสงค์ เนื่องจากขัน้ ตอนในการจดั การเรียนรู้ที่ผู้วิจัย
ไดส้ รา้ งข้นึ มรี ายละเอยี ดปลกี ยอ่ ยหลายประการท่คี วรให้ความสำคญั
2. ข้อเสนอแนะสำหรบั การวจิ ยั ครงั้ ต่อไป
2.1 ควรทำการวิจัยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้วิธีการจัดการ
เรียนรู้แบบโมเดลซิปปากับวิธีการสอนแบบอื่น ๆ เช่น การสอนแบบโครงงานการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป
การสอนโดยการใชบ้ ทบาทสมมติ การสอนแบบแกป้ ัญหา เป็นตน้
2.2 ควรศกึ ษาการสอนโดยใช้รปู แบบซปิ ปาเพ่อื นำไปใช้สอนกับกลมุ่ สาระการเรียนรู้อนื่ ๆ
2.3tจากผลการวิจัย พบว่า วิธีการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซปิ ปา ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนครูจึงควรศึกษาวิธกี ารจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาให้เข้าใจและนำไปใช้กบั
การเรียนรู้วิชาวทิ ยาศาสตรใ์ นสาระการเรยี นรูอ้ นื่ ๆ หรอื อาจนำไปปรับใชก้ บั วชิ าอ่ืน ๆ เช่น วิชาภาษาไทย วชิ า
คณิตศาสตร์ วชิ าศลิ ปะ เพือ่ ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ ตอ่ นักเรยี น

40

บรรณานกุ รม

กรมวชิ าการ, กระทรวงศึกษาธิการ. การจัดสาระการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
ตามหลักสตู รการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์
องค์การรบั ส่งสนิ ค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.พ.ส.), 2545.

กองวิจยั ทางการศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรยี นร.ู้ กรงุ เทพฯ :
การศาสนา กรมศาสนา, 2545.

กาญจนา ฉ่ำแสง. ชดุ การสอน เรื่อง กลไลมนุษย์ ในวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับ
ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2. วทิ ยานพิ นธ์ ศษ.ม. มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช, 2541.

จำนง แย้มพรายแข. เอกสารการสอนชุดวิชาการสอนวิชาวทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพฯ :
ป. สมั พนั ธ์พาณิชย,์ 2546.

จุฑามาศ เจตน์กสิกจิ . การพัฒนาชดุ การสอนวชิ าเคมี เรอ่ื ง ไฟฟ้าเคมี สำหรบั นักเรยี น
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5. วิทยานิพนธ์ ค.ม. นครสวรรค์ : มหาวิทยาลัยราชภฏั
นครสวรรค์, 2552.

จุฬาลกั ษณ์ ไชยสกลุ . การสร้างชดุ การสอน กลุ่มวชิ าสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เร่ือง สัตว์
สำหรบั นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5. การศกึ ษาค้นควา้ อิสระ กศ.ม. ขอนแก่น :
มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2546.

ชม ภูมภิ าค. เทคโนโลยีทางการสอนและการศึกษา. ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร, 2548.

ชัยยงค์ พรหมวงศ์. เอกสารการสอนชุดวชิ าพฤติกรรมการสอนประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ :
ยไู นเต็ดโปรดักชนั , 2544.

ชาญชยั ยมดิษฐ.์ เทคนิคและวธิ กี ารสอนรว่ มสมยั . กรุงเทพฯ : หลกั พิมพ์, 2548.
ชศู รี วงศ์รัตนะ. เทคนิคการใชส้ ถิติเพือ่ การวิจัย. กรุงเทพฯ : ไทยเนรมติ กจิ การพิมพ์, 2550.
ดำริ มศุ รีพันธุ.์ การพฒั นาแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง สารเสพตดิ ให้โทษ

กลมุ่ สรา้ งเสรมิ ประสบการณ์ชีวติ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6. การศึกษาคน้ ควา้ อสิ ระ
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2545.
ถวลิ กล้าเกดิ . การพฒั นาชุดการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ เร่ืองเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
สำหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3. วิทยานพิ นธ์ ค.ม. อบุ ลราชธานี :
มหาวิทยาลัยราชภฏั อุบลราชธานี, 2548.
ถาวร ลักษณะ. การพฒั นาชุดการสอนคณติ ศาสตร์ เรื่อง สถิติ สำหรับนกั เรยี น
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3. วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. นครสวรรค์ : สถาบันราชภฎั นครสวรรค์,
2547.
ทวพี ร ดษิ ฐส์ ำเรงิ . “การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์”. สานปฏริ ปู . 3 : 28, 2544.
ทศิ นา แขมมณี. ศาสตร์การสอน องค์ความรู้เพ่ือจดั กระบวนการเรียนรู้ท่มี ีประสทิ ธภิ าพ.
กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, 2545.
ธวทั ชยั ฉมิ กรด. การพัฒนาชุดการเรยี นการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง หินและ
การเปล่ียนแปลง สำหรับนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4. วิทยานพิ นธ์ ค.ม.
นครสวรรค์ : มหาวิทยาลยั ราชภฎั นครสวรรค์, 2549.

41

บญุ เกื้อ ควรหาเวช. นวตั กรรมการศึกษา. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 5). กรุงเทพฯ : SR Printing, 2543.
บญุ ชม ศรีสะอาด. การวจิ ยั เบอ้ื งต้น. (พมิ พค์ รั้งท่ี 7). กรุงเทพฯ : สวุ ีรยิ าสาส์น, 2545.
บุญเชิด ภญิ โญอนันตพงษ์. วธิ ีการสอนแบบ Constructivist. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัย

ศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร, 2540.
เผชิญ กิจระการ. ดัชนีประสิทธิผล. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2546.
พชิ ติ ฤทธ์ิจรญู . ระเบียบวธิ ีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ : เฮาส์ ออฟ เดอร์ บสี , 2547.
พิศาล สรอ้ ยธุหร่ำ. การศึกษาวทิ ยาศาสตรใ์ นประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : กุลการพมิ พ,์ 2544.
ภพ เลาหไพบลู ย.์ แนวการสอนวทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุง). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช,

2540.
. แนวการสอนวทิ ยาศาสตร์. (พิมพค์ รง้ั ท่ี 3) กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2545.
ภัทรา นคิ มานนท.์ การประเมนิ ผลการเรยี น Learning Evaluation. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั
ราชภฎั จนั ทรเกษม, 2543.
มยุรี ศรีคะเนย์. การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ความคงทนในการเรยี น และความพงึ พอใจ
ในการเรยี นแบบรว่ มมือด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ วิชาภาษาไทย เรื่อง รามเกียรต์ิ
และคำราชาศัพท์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 ทม่ี ผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนต่างกัน.
วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2547.
มัณฑนา ฟกั ขาว. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ีเนน้ การสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง ท่ีมี
ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนและเจตคตติ อ่ วิชาคณิตศาสตร์ ของนกั เรยี นชว่ งชัน้ ท่ี 3
ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั ราชภฎั
จนั ทรเกษม, 2549.
ลกั ขณา ศริ ิวฒั น.์ จติ วทิ ยาเบือ้ งตน้ (จิต. 101). กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์, 2549.
ศรสี ดุ า ญาตปิ ล้ืม. การพัฒนาแผนการเรยี นรู้แบบ TAI วิชาคณิตศาสตร์ เรือ่ ง อัตราสว่ น
และร้อยละ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2. การศกึ ษาคน้ ควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม :
มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2547.
ศิริชยั จีรจรี ังชยั . การพฒั นาชุดการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาหาร สำหรบั นักเรียน
ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2. วทิ ยานิพนธ์ ศษ.ม. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร, 2545.
ศิรมิ า เผา่ วิรยิ ะ. การพัฒนาชดุ การเรียนการสอนวชิ าวิทยาศาสตร์ที่เน้นกจิ กรรมแผนผังมโนมติ
สำหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ ค.ม. นครสวรรค์ :
สถาบนั ราชภฎั นครสวรรค,์ 2544.
ศภุ ชัย ดาวสมบรู ณ.์ การพัฒนาชดุ การสอนการเป่าขลยุ่ รีคอรเ์ ดอร์ สำหรบั นักเรียน
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1. วิทยานพิ นธ์ ค.ม. นครสวรรค์ : มหาวิทยาลัยราชภัฎ
นครสวรรค,์ 2548.

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก

แผนการจัดการเรียนรู้
กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 11

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ฯ รหสั วิชา ว23102 รายวิชาวิทยาศาสตรพ์ ้ืนฐาน 6
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 6 ไฟฟ้า เวลา 2 ชั่วโมง
ชือ่ ผ้สู อน นางสาวหสุ ณา ตามาต

1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชี้วัด
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ
คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ตัวชีว้ ดั
ว 2.3 ม.3/1 วิเคราะห์ความสัมพันธร์ ะหว่างความตา่ งศักย์ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทาน และ

คำนวณปริมาณทีเ่ กี่ยวข้อง โดยใช้สมการ V = IR จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์
ว 2.3 ม.3/2 เขยี นกราฟความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า

2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
1) ขนาดของกระแสไฟฟา้ มคี ่าแปรผันตรงกับความต่างศักยร์ ะหวา่ งปลายทง้ั สองของตวั นำ

โดยอตั ราสว่ นระหว่างความตา่ งศกั ย์และกระแสไฟฟา้ มีคา่ คงที่ เรยี กค่าคงท่ีน้ีว่า ความตา้ นทาน
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1) ด้านความรู้ (K) นกั เรียนอธิบายความสมั พันธ์ระหว่างความต่างศกั ย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟา้
และความต้านทานในวงจรไฟฟ้าได้
2) ดา้ นทกั ษะ (P) นกั เรียนใช้ทักษะการทดลอง โดยออกแบบการทดลองปฏิบตั กิ ารทดลอง
และออกแบบตารางบนั ทึกผลการทดลองเก่ียวกบั ความสัมพนั ธร์ ะหว่าง
ความต่างศักยไ์ ฟฟ้ากับกระแสไฟฟ้า
3) ดา้ นเจตคติ (A) นกั เรียนมลี ักษณะจติ สาธารณะร่วมกับผู้อน่ื

3. สาระการเรยี นรู้
เม่อื ต่อตัวนำไฟฟ้าที่มลี ักษณะเป็นลวดตวั นำเส้นหน่งึ ไดแ้ ก่ ลวดนโิ ครม ซง่ึ เปน็ โลหะผสมระหว่าง

นิกเกลิ กบั โครเมยี มเขา้ กับสายไฟฟ้าและแหลง่ กำเนิดไฟฟา้ ทำใหม้ คี วามต่างศักย์ไฟฟ้าระหวา่ งปลายลวดตวั นำ
ทง้ั สองด้านและมีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนำนนั้ ดงั ภาพนน้ั มคี วามสมั พนั ธ์กัน

ลวด

ภาพแสดง วงจรไฟฟา้ ทต่ี อ่ กบั ลวดตวั นำ

กระแสไฟ ้ฟาที่ผ่านลวด ัตวนำ (A)อา้ งอิงจาก: หนังสอื เรยี นรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท.กระทรวงศึกษาธกิ ารหน้า74
กระแสไฟ ้ฟาท่ีผ่านลวด ัตวนำไฟ ้ฟา (A)
เม่ือต่อลวดตัวนำเขา้ กบั แหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ ปลายทง้ั สองของลวดตวั นำจะมีความตา่ งศักย์ไฟฟา้ ทำให้
มีกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำน้ัน ถ้าความต่างศักย์ไฟฟา้ ของปลายทัง้ สองของลวดตัวนำเปลยี่ นไป กระแสไฟฟ้าที่
ผา่ นลวดตวั นำนนั้ จะมคี ่าเปล่ียนไปดว้ ย โดยเมอื่ เขยี นกราฟความสัมพนั ธ์ระหว่างความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ และ
กระแสไฟฟา้ จะไดก้ ราฟเส้นตรงผ่านจุดกำเนิด ดงั ภาพ

0 ความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ ครอ่ มลวดตัวนำ (V)

ภาพแสดง กราฟความสัมพันธร์ ะหว่างความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ และกระแสไฟฟ้าของลวดตัวนำ
กราฟระหว่างกระแสไฟฟ้า (I) และความต่างศักย์ไฟฟ้า (V) เป็นกราฟเส้นตรง แสดงว่าถ้าความต่าง
ศักย์ไฟฟ้าเพิ่ม กระแสไฟฟ้าก็จะเพิ่มตาม โดยที่อัตราส่วนระหว่างความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้ามี
ค่าคงท่ี

V = คา่ คงท่ี

I

เรียกค่าคงทีน่ ้ีว่า ความตา้ นทานไฟฟ้า (resistance) มสี ัญลักษณ์เป็น R มีหนว่ ยเปน็ โวลต์ต่อ
แอมแปร์หรือโอห์ม (ohm : Ω) จากความสมั พันธ์ของกระแสไฟฟ้า ความต่างศักยไ์ ฟฟ้า และความตา้ นทาน
ไฟฟา้ สามารถเขียนแสดงความสัมพันธใ์ หม่ในรปู สมการได้ว่า

V =R

I

หรอื

V = IR
ถ้าเปลย่ี นตัวนำไฟฟา้ ท่มี คี วามตา้ นทานไฟฟา้ ต่างๆกัน จะพบว่าอัตราสว่ นระหว่างคา่ ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ กบั
กระแสไฟฟ้าก็จะต่างกนั ด้วย ดงั ภาพ

ตวั นำไฟฟา้ 1
ตวั นำไฟฟา้ 2

ตัวนำไฟฟา้ 3

0 ความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ ครอ่ มลวดตัวนำไฟฟ้า (V)

ภาพแสดง กราฟความสัมพันธร์ ะหวา่ งความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟา้
ของตัวนำไฟฟ้าทมี่ ีความต้านทานไฟฟา้ ต่างกัน


Click to View FlipBook Version