The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichuda1345, 2022-03-26 02:01:15

การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

ครูนริศรา

รายงานวิจยั ในชนั้ เรียน

การพัฒนาทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอา่ นจบั ใจความ
ร่วมกบั รูปแบบการจัดการเรยี นรแู้ บบ SQ4R ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 3

นางนรศิ รา หยมี ะเหรบ็
ตาแหนง่ ครู

ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จังหวดั สตลู
สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศกึ ษาสงขลา สตูล

ชือ่ เรือ่ ง ก
การพฒั นาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะการอ่านจบั ใจความ รว่ มกับรปู แบบการ
ผูว้ ิจัย จัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
กลุ่มสาระฯ นริศรา หยีมะเหรบ็
ปีการศกึ ษา ภาษาตา่ งประเทศ
2564

บทคัดย่อ

งานวิจัยครง้ั น้มี ีวตั ถุประสงค์เพื่อเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิก่อนและหลังการใชแ้ บบฝึกทักษะการอ่านจบั
ใจความ รว่ มกบั รูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R ในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ่ี 3

กลุ่มตวั อยา่ งทีใ่ ชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ี เป็นนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู จงั หวัด
สตลู ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 1 หอ้ งเรยี น ได้แก่ นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3/3 จานวน 34 คน โดย
สมุ่ แบบเจาะจง ใช้เวลาทดลองท้ังส้นิ 8 คาบ คาบละ 50 นาที โดยใช้แผนการวิจัยแบบ One-group Pretest-
Posttest Design เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝกึ ทักษะการอ่านจบั ใจความภาษาอังกฤษ จานวน 2
ชุด ประกอบดว้ ย ชดุ ที่ 1 The Great Barier Reef is the largest coral reef system in the world. ชดุ ท่ี 2
Khao Tanan (Tanan Hill) 3) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นการอ่านจบั ใจความภาษาอังกฤษ วเิ คราะห์
ข้อมูลโดยสถติ ิทดสอบค่า t แบบไม่อสิ ระต่อกัน (t-test for Dependent Samples)

ผลการวิจยั พบวา่ การประเมินผลการเรียนรู้ก่อนและหลังใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านจบั ใจความ รว่ มกับ
รปู แบบการจดั การเรียนรู้แบบ SQ4R มีคะแนนเฉลี่ยหลงั ใช้แบบฝึกทกั ษะการอา่ นจับใจความ ร่วมกับรูปแบบการ
จัดการเรียนรู้แบบ SQ4R สงู กวา่ ก่อนใช้แบบฝึกทักษะการอา่ นจับใจความ และเมื่อทดสอบคะแนนเฉลี่ยด้วยสถติ ิ t-
test พบวา่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลังใช้แบบฝึกทกั ษะการอา่ นจบั ใจความ รว่ มกบั รปู แบบการจัดการเรียนรู้แบบ
SQ4R สงู กว่าก่อนใช้แบบฝึกอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิที่ระดบั 0.05



สารบัญ

หนา้

บทคดั ยอ่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ก
สารบญั ………………………………………………………………………………………………………………………………............ ข
สารบญั ตาราง…………………………………………………………………………………………………………………………….... ค
บทท่ี 1 บทนา…………………………………………………………………………………………………………………................

ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา…………….………………………………………………………………… 1
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย…………………………………..……………………………………………………………..... 3
สมมตฐิ านของงานวิจัย………………………………………..………………………………………….………………… 3
ขอบเขตของการวจิ ัย…………………………………………………………………………………………………………. 4
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง……………………………………............................................................
ความหมายของการอ่านจบั ใจความ………………………....................................................................... 5
เอกสารทเ่ี กี่ยวข้องกับแบบฝกึ ………………………............................................................................. 5
การจัดการเรยี นรู้โดยวธิ ีการสอนแบบ SQ4R………………………………………………...............………….. 6
ความพึงพอใจ……………………………………………………………………................................………………… 8
งานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง…………………………………………………………………………………………………………… 10
บทท่ี 3 วธิ ดี าเนนิ การวิจยั ………………………………………………………………………………..……………………………
รปู แบบการวิจัย……………………………………………………………………………………………………………….. 13
ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง……………………………………………………………………………………………….. 13
เครื่องมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล……………………………………………………………………………….. 13
ข้นั ตอนการสร้างและพัฒนาเครื่องมือ…………………………………………………………………………………. 13
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล………………………………………………………………………………………………………. 15
การวเิ คราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………… 16
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล……………………………………………………………………………………………………….
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล……………………………………………………………………………………………………….. 18
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………………………….
สรปุ ผลการวิจัย……………………………………………………………………….………………………………………… 22
อภปิ รายผล…………………………………………………………………………………….………………………………… 22
ข้อเสนอแนะ………………………………………………….…………………………………………………………………. 23
บรรณานกุ รม………………………………………………………………………………………………………………………………. 24
ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………………………………….…
ภาคผนวก ก รายชือ่ ผู้เชยี่ วชาญเปน็ ผู้ตรวจสอบเครื่องมือท่ีใช้ในการวจิ ยั ………………………............
ภาคผนวก ข ตรวจสอบคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ………………………………………………..........………….....
ภาคผนวก ค การตรวจสอบสมมตฐิ าน………………………...............................................……....………
ภาคผนวก ง เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั …………………………………………………………………………………



สารบญั ตาราง หน้า
18
ตารางท่ี
1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังใช้แบบฝกึ ทักษะการอา่ นจบั ใจความ 19
รว่ มกบั รปู แบบการจัดการเรียนรแู บบ SQ4R ………………………………………………………………...
2 การทดสอบความมีนัยสาคญั ดว้ ยตัวสถิติที ด้านทักษะการอ่านจับใจความสาคญั ..................... 19

3 ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 จากการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
เพ่อื พัฒนาทักษะการอา่ นภาษาองั กฤษ โดยใชแ้ บบฝึกทักษะการอา่ นจบั ใจความรว่ มกับ
รปู แบบการจัดการเรยี นรแู บบ SQ4R……………………………………………………………………………

บทที่ 1
บทนา

ความเป็นมาและความสาคญั ของงานวิจยั
ปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาท่ีนิยมใช้กันทั่วทุกมุมโลกและกลายเป็นเคร่ืองมือในการติดต่อส่ือสารระหว่าง

กันในทุกวงการท้ังเพ่ือการค้าขายธุรกิจ การทูต งานอุตสาหกรรมและการท่องเท่ียว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งาน
บริการ ตลอดจนเพ่อื การศึกษา ดว้ ยเหตุนี้ประเทศไทยจึงจาเปน็ ตอ้ งพฒั นาบคุ ลากรให้มีความรู้ความสามารถในการใช้
ภาษาอังกฤษเพ่ือท่ีจะนาไปพัฒนาตนเองในการเรียนรู้ การประกอบอาชีพและเพื่อการนาไปประยุกต์ใช้ในการดาเนิน
ชีวติ ประจาวันไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มีทักษะที่พร้อมใช้งานจาเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและได้รับการฝึกฝน ไม่ว่าจะ
เป็นทักษะด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยเฉพาะทักษะการอ่านซึ่งเป็นทักษะท่ีใช้ในการรับส่ือข้อมูล
ข่าวสาร และเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้งา่ ยสาหรับคนไทยที่ต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาตา่ งประเทศ การมีทักษะการ
อ่านภาษาอังกฤษจะทาให้คนไทยทันต่อเหตุการณ์ มีเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ดังท่ี สุมิตรา อังวัฒนกุล (2535)
ไดก้ ลา่ วไวว้ ่า การจดั กิจกรรมเรยี นการสอนภาษาอังกฤษน้นั ทักษะการอ่านเป็นทกั ษะทค่ี วรได้รับการสง่ เสริมเป็นอย่าง
มาก เพราะเป็นทักษะที่อยู่ในตัวผู้เรียนได้นานที่สุด ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้นานท่ีสุด และใช้ได้ต่อเน่ืองตลอดชีวิต เพราะ
เปน็ ทกั ษะท่ชี ่วยให้ผเู้ รียนสามารถศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมได้ดว้ ยตนเองตลอดเวลา และการอ่านยังเป็นทักษะท่ีต้องใช้
มากทส่ี ุดในชวี ติ ประจาวัน ท้ังใช้ในดา้ นการศกึ ษา และการทางาน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว การอ่านเป็นทักษะการรับสารที่มีความสาคัญและจาเป็นในชีวิตประจาวัน โดยเฉพาะ
สังคมปัจจุบัน การรับสารด้วยการอ่านมีความรวดเร็วและมีรูปแบบท่ีหลากหลายมากข้ึน อาทิ การอ่านจากอินเทอร์
เนตและส่ืออิเล็กทรอนิกส์อ่ืน ๆ ผู้ที่เห็นความสาคัญของการอ่านและมีความสามารถในการอ่านจึงมักได้รับประโยชน์
มากกว่า ผู้อื่น (สิริอาภา รัชตะหิรัญ, ม.ป.ป: 1) การอ่านมีความสาคัญคือ เป็นเครื่องมือและเป็นหัวใจท่ีจะช่วยพัฒนา
ทักษะทางภาษา ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักใช้กระบวนการคิด อันเป็นทางนาไปสู่การพัฒนาการฟัง การพูด การเขียนและ
ใช้หลักภาษาได้ดี ดังน้ัน การอ่านเพ่ือให้ได้ความรู้และเกิดความคิดจึงเป็นส่ิงท่ีสาคัญที่สุด โดยเฉพาะความเข้าใจใน
เรื่องราว ท่ีอ่านหรือความสามารถท่ีจะจับใจความสาคัญ แปลความ ตีความและขยายความเร่อื งราวที่อ่านได้ จะทาให้
เกิดทักษะในการคิดท่ีจะนาไปใช้ในชีวิตประจาวันต่อไปได้ (บันลือ พฤกษะวัน, 2534: 106) สอดคล้องกับพิพัฒน์ เอง
ศิลป์ (2534: 1) ท่ีกล่าวไว้ว่า ในด้านการศึกษานั้น การอ่านเป็นทักษะทางภาษาท่ีมีความสาคัญ และมีความจาเป็นต่อ
ชีวิตประจาวันของผู้ท่ีใฝ่ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ถ้านักเรียนมีทักษะในการอ่านอย่างดีแล้ว การเรียนเรื่องอื่น ๆ ก็จะ
บังเกิดผลอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทักษะการอ่านจึงเป็นทักษะท่ีสาคัญและมีผลต่อการคิดการพูด และการเขียน อีกด้วย
โดยเฉพาะการอ่านจับใจความจะช่วยให้บุคคลสามารถนาความรู้ และประสบการณ์จากส่ิงท่ีอ่านไป ปรับปรุงและ
พัฒนาอาชีพหรอื ธุรกจิ การงาน ท่ีตัวเองกระทาอยู่ใหเ้ จริญกา้ วหนา้ และประสบความสาเร็จในทีส่ ุด

การจัดการเรียนรู้โดยวิธกี ารสอนแบบ SQ4R เป็นวิธีการสอนอ่านที่พัฒนามาจากการสอนอ่านแบบ SQ3R ท่ี
โรบินสัน (Robinson, 1961: 29-30, อ้างถึงใน อรรถวุฒิตรากิจธรกุลม 2542: 30-32) ได้เสนอไว้ว่า การอ่าน แบบ
SQ3R น้ีเป็นวิธีการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้อ่านสามารถจับใจความของเร่ืองได้ดีและยังช่วยให้ ผู้อ่านสามารถคาด
เดาเร่ืองจากทอ่ี ่าน เข้าใจแนวคดิ ของเรื่องที่อ่านได้รวดเร็ว และจดจาเรื่องตลอดจน สามารถทบทวนเรอื่ งทีอ่ ่านได้อย่าง
มปี ระสทิ ธภิ าพ ศิรพิ ร ลิมตระการ (2534: 15-16) ได้เสนอวิธกี ารสอน แบบ SQ3R ของโรบนิ สนั วา่ มีข้นั ตอนดังน้ี

2

ขั้นตอนที่ 1 การสารวจ (S: Survey) เปน็ การอา่ นอยา่ งรวดเรว็ สารวจความคิดท่วั ๆไป ขัน้ ตอนท่ี 2 การถาม
(Q: Question) ให้ตั้งคาถามตัวเองเก่ียวกับเร่ืองนั้น ข้ันตอนท่ี 3 การอ่าน (R: Read) เป็นการอ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย
อ่านเพ่ือหาคาตอบ ตามที่ตั้ง ไว้โดยมุ่งหารายละเอียดให้เกิดความกระจ่างชัดเจน ข้ันตอนที่ 4 การจา (R: Recite) ให้
ยอ่ เร่ืองราวท่ีสาคัญโดยใช้คาพดู ของตัวเองซ่งึ จะทา ใหเ้ ข้าใจส่ิงที่อ่านดีขึ้น ขัน้ ตอนที่ 5 การทบทวน (R: Review) การ
พยายามทบทวนเร่ืองท่ีอ่าน เพ่ือรวบรวม ความคิด 30 ต่อมาในปี1984 วอลเตอร์พอค (Walter Pauk) ได้เสนอแนะ
วธิ กี ารสอนอ่านแบบ SQ4R โดยมีการเพ่ิมขนั้ ตอนบนั ทกึ (Record) หลังจากนักเรียนได้อา่ นบทอ่านและเปล่ียนขั้นตอน
การทบทวน (Review) เป็นขั้นตอนให้นักเรียนได้วิเคราะห์บทอ่าน (Reflect) สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ (2545:
289- 290) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า SQ4R เป็นวิธีการที่จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจแนวคิดที่อ่านได้เร็วข้ึน สามารถจับ
ใจความของเรื่องไดด้ บี อกรายละเอยี ด จดจาเรอ่ื งทอ่ี า่ น และสามารถทบทวนเรอื่ งทอ่ี า่ นได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ

ความหมายของวิธีสอนแบบ SQ4R สุคนธ์ สินธพานนท์(2545: 287-291) ได้ให้ความหมายของวิธีการสอน
แบบ SQ4R สรุป ได้ว่าเป็นการอ่านอยา่ งคร่าว ๆ เพ่ือให้ได้คาตอบดังที่ต้ังไว้ลักษณะการสอนจะเน้นให้ผู้เรียนได้ศกึ ษา
ด้วย ตนเอง แต่ความชานาญจะข้ึนอยู่กับการฝึกฝนและความรู้เดิมของผ้เู รียน ดังนั้นผู้สอนจะต้องตระหนักถึง ความรู้
เดิมของผูเ้ รยี นหรอื จะต้อง มกี ารปพู ื้นฐานเดิมให้กับผู้เรียนก่อนท่ีจะถึงบทเรียน และผู้สอนจะตอ้ งคานึงดว้ ยว่าการอ่าน
เป็นการอ่านเพื่อหาเนื้อหาสาระ มิใช่สนใจที่ตัวภาษา รัตนภัณฑ์ เลิศคาฟู(2547: 30) ได้ให้ความหมายของวธิ ีการสอน
แบบ SQ4R สรุปได้วา่ วิธกี ารสอนอา่ นแบบ SQ4R เป็นวิธกี ารสอนประเภท การสอนอา่ นเพื่อสื่อสาร ถึงแม้การสอนจะ
เน้นทักษะการอ่าน แต่ผู้สอนจะต้องสอนแบบการสอนภาษาเพื่อ การสื่อสาร ประกอบด้วย การฟัง การพูด การอ่าน
และการเขียน พรนิภา บรรจงมณี(2548: 5) ได้กล่าวถึง ความหมายของวิธีสอนแบบ SQ4R สรุปได้ว่า เป็นวิธีการอ่าน
ที่ดาเนินการตามขั้นตอน 6 ข้ันตอน โดยเร่ิม จาก ข้ันสารวจข้ันแรกท่ีครูให้ผู้เรียนสารวจชื่อเร่ือง หัวเรื่อง และหัวข้อ
ย่อยอย่างคร่าวๆ ข้นั ต้ังคาถาม เป็นขนั้ ทผ่ี เู้ รียนตั้งคาถามก่อนการอ่าน ทาให้การอ่านมีจุดหมาย ข้ันอา่ นผู้เรียนจะอ่าน
บทอ่านอย่างละเอียด ตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากน้ันบันทึกข้อความ ใจความหลักและข้อความสาคัญ แล้วนามาเขียน
สรุปใจความ สาคัญ และนาความรู้มาเช่ือมโยงกับความรู้ท่ีมีอยู่ จากข้อมูลดังกล่าวสรุปได้ว่า วิธีการแบบ SQ4R เป็น
วิธีการสอนอย่างมีข้ันตอน เป็นวิธีการ สอนอ่านอย่างคร่าวๆ โดยใช้คาถามเป็นตัวกาหนดจุดมุ่งหมายในการอ่าน
ลักษณะการสอนจะเป็นลักษณะ การสอนเพ่ือการส่ือสาร เพราะในข้ันตอนของการอ่านแบบ SQ4R จะประกอบด้วย
การฟัง การพูด การ อ่าน และการเขียน เป็นการอ่านเพื่อเนื้อหาสาระ มิใช่สนใจท่ีตัวภาษา ผู้สอนจึงต้องตระหนักถึง
ความรู้เดมิ ของผู้เรยี นด้วย

จากแนวคดิ ท่ีไดก้ ล่าวไวข้ ้างต้น การจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R จงึ เป็นวิธที เ่ี หมาะสมไปใช้ในการสอนทกั ษะการ
อ่านเพ่ือความเข้าใจ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนโรงเรียนกาแพงวิยาเกิดการพัฒนาทักษะการอ่านและรู้จักนาความรู้ไปใช้
จรงิ เปน็ กลวธิ ีที่ฝึกทักษะการอ่านที่มีประสิทธิภาพทีจ่ ะชว่ ยให้นักเรียนอ่านภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ยังช่วยให้นักเรียน
เกิดปฏิสัมพันธ์กันในกลุ่ม มีความรับผิดชอบและความสามัคคีในการทางานและเห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มมากกว่า
ตนเอง ซ่ึงผู้วิจัยเชื่อว่ารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิค SQ4R จะทาให้ผู้เรียนมีความสนใจและเข้าใจใน
บทเรียนมากยิ่งข้นึ

จากท่ีผู้วิจัยได้จัดการเรียนการสอนในภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 3 จานวน 5 ห้อง พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่ขาดการทบทวนบทเรียนก่อนการวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
ส่งผลให้ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรยี นอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กาหนดไว้ นักเรียนไม่สามารถอา่ น
จับใจความภาษาอังกฤษได้ เนือ่ งจากครูผสู้ อนเลือกกลวิธีการสอน กจิ กรรมการเรยี นการสอนและกิจกรรมการทบทวน
บทเรยี น ซง่ึ ไมส่ อดคลอ้ งกับการเรียนการสอนในศตวรรษท่ี 21 ท่ีเน้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญ เป็นผลให้นกั เรยี นขาดการ

3

สนใจในบทเรียน และทาให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจ ได้น้อย ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
บางส่วน ต่ากว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กาหนดไว้ จากปัญหาข้างต้น ผู้วิจัยจึงพัฒนานวัตกรรมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
โดยใช้แบบฝกึ ทักษะการอ่านจับใจความ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R เพ่ือห็เรียนได้เรียนรู้และพัฒนา
ทักษะการอ่านจับใจความอย่างเป็นระบบ และช่วยพัฒนาผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนไปในทางท่ีดีข้ึนและมีประสิทธิภาพ
มากยิง่ ข้นึ

วัตถุประสงคข์ องการวิจัย
1. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความร่วมกับ

รูปแบบการจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3
2. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านจับ

ใจความภาษาองั กฤษ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอา่ นจับใจความรว่ มกบั รปู แบบการจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R

สมมติฐานของงานวจิ ยั
1. นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู จงั หวดั สตูล ท่ไี ดร้ บั การสอนโดยใช้แบบฝึก

ทักษะการอ่านจับใจความร่วมกับรปู แบบการจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรยี นสูงขึ้นอยา่ ง
มีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05

2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึก
ทักษะการอา่ นจบั ใจความร่วมกับรปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R อยใู่ นระดบั มาก

ขอบเขตของการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใชใ้ นงานวิจัย ได้แก่ นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่เรียนรายวชิ าภาษาองั กฤษ รหสั วชิ า

อ23102 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวัดสตลู จานวน 8 หอ้ งเรียน
จานวน 304 คน

กล่มุ ตัวอยา่ ง
กลมุ่ ตวั อย่างที่ใช้ในงานวจิ ยั ได้แก่ นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ทเี่ รียนรายวชิ าภาษาองั กฤษ รหัสวชิ า
อ23102 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 1 ห้องเรยี น ได้แก่ นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/3 จานวน 34 คน
เลือกโดยการสมุ่ อยา่ งง่าย (Simple Random Sampling) โดยใชห้ อ้ งเรียนเปน็ หน่วยการสุ่ม
เน้อื หาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั
เนอ้ื หาท่ใี ช้ในการวิจยั คร้งั นี้ คือเนื้อหาแบบฝกึ หดั การอ่านจากบทเรยี นในหนังสอื เรยี น Maximize Student’s
Book 3 สานักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จากัด และเน้ือหาจากการสร้างนวัตกรรมแบบฝึกทักษะการ
อ่านจับใจความเร่ือง Khao Tanan (Tanan Hill) ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง เพ่ือใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หน่วยการ
เรียนรทู้ ี่ 2 เรื่อง Our Natural World รวม 2 ชุด ไดแ้ ก่
ชดุ ท่ี 1 Reading: The Great Barrier Reef is the largest coral reef system in the world.
ชดุ ที่ 2 Reading: Khao Tanan (Tanan Hill)

4

ระยะเวลาทีใ่ ช้
ดาเนินการทดลองในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน 2 สัปดาห์ๆ ละ 4 คาบ รวม 8 คาบ ๆ ละ 50

นาที โดยในการดาเนนิ การทาการทดสอบกอ่ นเรียน จานวน 1 คาบ และหลงั เรยี นจานวน 1 คาบ
ตวั แปรทศ่ี กึ ษา

ตวั แปรต้น ชุดกจิ กรรมแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความรว่ มกับรปู แบบการจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R
ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับ
ใจความรว่ มกับรูปแบบการจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R

ประโยชน์ท่คี าดว่าจะไดร้ ับ
1. ผลการเรียนรดู้ ้านการอ่านภาษาอังกฤษของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 หลงั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สูง

กว่าก่อนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้

2. นกั เรียนมเี จตคติทดี่ ตี อ่ ภาษาองั กฤษเพิ่มมากขึ้น

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

ในการวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ ร่วมกับ
รูปแบบการจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R เพอื่ พัฒนาผลสัมฤทธทิ์ ักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สาหรบั นกั เรยี นช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จังหวัดสตลู ผู้วิจัยได้ศึกษาเน้ือหาเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง
ดังตอ่ ไปนี้

1. ความหมายของการอ่านจับใจความ
2. เอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกบั แบบฝึก
3. การจัดการเรยี นรู้โดยวธิ กี ารสอนแบบ SQ4R
4. ความพึงพอใจ
5. งานวิจยั ทเ่ี ก่ียวข้อง
1. ความหมายของการอ่านจบั ใจความ
การอ่านจับใจความเป็นทักษะสาคัญมีความจาเป็นสาหรับการอ่านเร่ืองราวต่าง ๆ เพ่ือนามาใช้เป็นพื้นฐาน
การแสวงหาความรู้การอ่านที่ดีมีประสิทธิภาพน้ัน ผู้อ่านต้องมีความสามารถจับใจความเร่ืองที่อ่านได้เพราะปัจจุบัน
วิทยาการต่าง ๆ พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมีการเสนอข่าวสารในรูปแบบที่ ทันสมัย ท้ังจากโทรทัศน์หนังสือ และสิ่งพิมพ์
ตา่ ง ๆ มากมายจงึ จาเป็นอยา่ งยง่ิ ท่ตี ้องร้ขู า่ วสารให้ทนั กบั เหตุการณใ์ นปจั จุบัน ดังนนั้ การอ่านจบั ใจความจึงเปน็ ทักษะ
ทสี่ าคญั ท่ีทาใหผ้ ้อู ่านสามารถเข้าใจเรื่องราว และสาระสาคญั ของเรอื่ งไดด้ ีดงั ท่ีแววมยรุ า เหมอื นนลิ (2541 : 12) กล่าว
ว่า การอ่านจับใจความคือ การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระของเร่ือง หรือของหนังสือแต่ละเล่มว่าคืออะไร นอกจากนั้น สุนัน
ทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2545 : 88) กล่าวถึงความหมายของการอ่านจับใจความว่า เป็นกระบวนการในการเข้าใจ
ความหมายของ คา กลุ่มคา ประโยคและขอ้ ความ ละออ เพชรรัตน์(2547 : 89) ไดก้ ลา่ วว่าการอ่านจับใจความเปน็ การ
“อา่ นเอาเรื่อง” หมายถึง อ่านจบแล้วต้องบอกไดว้ ่าอ่านเร่ืองอะไร สาระสาคญั ของขอ้ ความหรือเรื่องท่ีอา่ น คืออย่างไร
ศิวกานต์ปทุมสูติ(2542 : 42) กล่าวว่า การอ่านจับใจความ คืออ่านเก็บความที่เป็นสาระ ประเด็นต่าง ๆ อย่าง
ละเอียดลออตลอดเรื่อง สามารถรับรู้และทาความเข้าใจในเน้ือหาสาคัญของเรื่อง ได้อย่างกระจ่างแจ้ง และกรม
วชิ าการ (2546 : 188) กลา่ วถงึ การอา่ นจับใจความไว้ในหนังสือการจดั สาระ การเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ว่าการอ่าน จับใจความ คือ การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระของเร่ือง
หรือของหนังสือแต่ละเล่ม ที่เป็นส่วนใจความสาคัญ และ ส่วนขยายใจความสาคัญของเรื่อง กล่าวโดยสรุปได้ว่าการ
อ่านจับใจความ หมายถึง การทาความเข้าใจในเนื้อเรื่องท่ีอ่าน สามารถท่ีจะจับสาระสาคัญของเน้ือเร่ือง แปล
ความหมายของสง่ิ ทอี่ า่ นได้และมีความเขา้ ใจจุดหมายของ เรือ่ งนัน้ ๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

2. เอกสารท่ีเกย่ี วข้องกบั แบบฝกึ
แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่สาคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเฉพาะในเร่ืองท่ีต้องการให้เกิดทักษะ การทา
แบบฝึกเปน็ สิง่ ทนี่ กั เรยี นต้องฝึกปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเองจะทาใหม้ ีความสนใจ บทเรยี นมากขึ้น และมีความกระตอื รือรน้ ใน

6

การเรยี นมากข้ึนด้วย
1) ความหมายของแบบฝกึ ไดม้ ีผใู้ หค้ วามหมายของแบบฝึกไวต้ า่ ง ๆ ดงั นี้
แบบฝึก หมายถึง เครื่องมือหรือสื่อการเรียนการสอนอย่างหน่ึงที่สร้างข้ึนให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากการ

ปฏิบัติด้วยตนเอง เพ่ือฝึกทักษะเพ่ิมเติมหลังจากท่ีได้เรียนเนื้อหาจาก บทเรียนไปแล้ว โดยมีลักษณะเป็นแบบฝึกท่ีมี
กิจกรรมให้นักเรียนกระทาและสามารถนาประสบการณ์จากแบบฝึกไปใช้ได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว ตลอดจนเป็น
การวัดผลการเรียนรใู้ นการสอนแต่ละเรือ่ งด้วย ถ้านักเรยี นได้มโี อกาสฝกึ หดั จนเกิดความเข้าใจ

แบบฝึกเป็นกิจกรรมพัฒนาทักษะการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่าง เหมาะสม มีความหลากหลาย
และปรมิ าณเพียงพอท่ีสามารถตรวจสอบและพัฒนาทักษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรสู้ ามารถนาผเู้ รยี นสู่การ
สรุปความคิดรวบยอดและหลักการสาคัญของสาระการเรียนรู้ รวมท้ังทาให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจใน
บทเรยี นด้วยตนเองได้

ความหมายของแบบฝึกดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่าแบบฝึกเป็นส่ือการเรียนการสอนที่จาเป็นต่อการเรียน
ภาษาอังกฤษเป็นอย่างยงิ่ เพราะครูจะตอ้ งฝึกทักษะให้กับนักเรยี นหลังจากที่เรยี นเน้ือหาจากบทเรียนมาแลว้ การสร้าง
แบบฝึกตามข้ันตอนจะก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างครอบคลุมเนื้อหาของบทเรียน แบบฝึกนั้นก็จะเป็นสื่อที่สามารถ
พัฒนากระบวนการเรียนรกู้ อ่ ให้เกดิ ความคิดรวบยอดในเน้ือหาสาระของบทเรียนนัน้ ๆ ได้ อย่างมปี ระสิทธิภาพ

2) ลักษณะของแบบฝกึ
แบบฝึกเป็นสื่อท่ีนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ลักษณะของแบบฝึกท่ีดีควรเป็นแบบฝกึ ท่ีมี
เน้ือหาและตวั อย่างที่ชดั เจน ทจี่ ะทาให้ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ ดงั น้ี

1) ตอ้ งมีจดุ ประสงคท์ ีช่ ดั เจน สอดคล้องกับการพัฒนาทกั ษะตามสาระการเรียนรูแ้ ละกระบวน
การเรยี นรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้

2) เนอ้ื หาถกู ต้องตามหลกั วชิ า ใชภ้ าษาได้อย่างเหมาะสม มคี าอธบิ ายและคาส่งั ทีช่ ัดเจน งา่ ยต่อ
การปฏิบัตติ าม

3) สามารถพฒั นาทักษะการเรยี นร้นู าผู้เรยี นสกู่ ารสรุปความคดิ รวบยอดและ หลักการสาคญั ของ
กลุม่ สาระการเรียนรู้

4) เป็นไปตามลาดบั ขน้ั ตอนการเรียนร้สู อดคล้องกบั วธิ กี ารเรยี นรู้และความแตกต่างระหว่าง
บคุ คล

5) มคี าถามและกจิ กรรมที่ทา้ ทายส่งเสรมิ ทกั ษะกระบวนการเรียนร้ขู องธรรมชาตวิ ิชา
6) มีกลยทุ ธ์การนาเสนอและตง้ั คาถามท่ีชัดเจน นา่ สนใจปฏบิ ตั ิไดส้ ามารถใหข้ ้อมูลย้อนกลับเพ่ือ
ปรับปรุงการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นได้อย่างต่อเน่ือง

3. การจดั การเรยี นรโู้ ดยวิธกี ารสอนแบบ SQ4R
1) ความเป็นมาของวิธีการสอนแบบ SQ4R วิธีการสอนแบบ SQ4R เป็นวิธีการสอนอ่านที่พัฒนามาจากการ

สอนอา่ นแบบ SQ3R ท่ีโรบนิ สัน (Robinson, 1961: 29-30, อา้ งถงึ ใน อรรถวฒุ ติ รากจิ ธรกลุ ม 2542: 30-32) ไดเ้ สนอ

7

ไว้วา่ การอ่าน แบบ SQ3R น้เี ป็นวธิ ีการอา่ นอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้อา่ นสามารถจับใจความของเรื่องได้ดีและยังช่วยให้
ผูอ้ ่านสามารถคาดเดาเร่อื งจากท่ีอ่าน เข้าใจแนวคดิ ของเรอื่ งทีอ่ ่านไดร้ วดเรว็ และจดจาเร่ืองตลอดจน สามารถทบทวน
เรอ่ื งท่ีอา่ นได้อย่างมีประสิทธภิ าพ ศิรพิ ร ลมิ ตระการ (2534: 15-16) ไดเ้ สนอวิธกี ารสอน แบบ SQ3R ของโรบนิ สันว่า
มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การสารวจ (S: Survey) เป็นการอ่านอย่างรวดเร็ว สารวจความคิดทั่ว ๆไป ข้ันตอนที่ 2
การถาม (Q: Question) ให้ตั้งคาถามตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนั้น ข้ันตอนที่ 3 การอ่าน (R: Read) เป็นการอ่านอย่างมี
จุดมุ่งหมาย อ่านเพื่อหาคาตอบ ตามท่ีต้ัง ไว้โดยมุ่งหารายละเอียดใหเ้ กิดความกระจ่างชัดเจน ขั้นตอนที่ 4 การจา (R:
Recite) ให้ย่อเรื่องราวท่ีสาคัญโดยใช้คาพูดของตัวเองซึ่งจะทา ให้เข้าใจส่ิงที่อ่านดีขึ้น ขั้นตอนท่ี 5 การทบทวน (R:
Review) การพยายามทบทวนเร่ืองท่ีอ่าน เพื่อรวบรวม ความคิด 30 ต่อมาในปี1984 วอลเตอร์พอค (Walter Pauk)
ได้เสนอแนะวิธีการสอนอ่านแบบ SQ4R โดยมีการเพ่ิมข้ันตอนบันทึก (Record) หลังจากนักเรียนได้อ่านบทอ่านและ
เปลี่ยนขั้นตอน การทบทวน (Review) เป็นขั้นตอนให้นักเรียนได้วิเคราะห์บทอ่าน (Reflect) สุคนธ์ สินธพานนท์และ
คณะ (2545: 289- 290) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า SQ4R เป็นวิธีการท่ีจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจแนวคิดที่อ่านได้เร็วขึ้น
สามารถจับ ใจความของเร่ืองได้ดีบอกรายละเอียด จดจาเร่ืองที่อ่าน และสามารถทบทวนเร่ืองที่อ่านได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ

2) ความหมายของวิธีสอนแบบ SQ4R สุคนธ์ สินธพานนท์(2545: 287-291) ได้ให้ความหมายของวิธีการ
สอนแบบ SQ4R สรุป ได้ว่าเป็นการอ่านอย่างคร่าว ๆ เพื่อให้ได้คาตอบดังที่ตั้งไว้ลักษณะการสอนจะเน้นให้ผู้เรียนได้
ศึกษาด้วย ตนเอง แต่ความชานาญจะข้ึนอยู่กับการฝึกฝนและความรู้เดิมของผู้เรียน ดังนั้นผู้สอนจะต้องตระหนักถึง
ความรู้เดิมของผู้เรียนหรือจะต้อง มีการปูพื้นฐานเดิมให้กับผู้เรียนก่อนที่จะถึงบทเรียน และผู้สอนจะต้องคานึงด้วยว่า
การอ่านเป็นการอ่านเพ่ือหาเนื้อหาสาระ มิใช่สนใจที่ตัวภาษา รัตนภัณฑ์ เลิศคาฟู(2547: 30) ได้ให้ความหมายของ
วิธกี ารสอนแบบ SQ4R สรปุ ไดว้ า่ วธิ ีการสอนอ่านแบบ SQ4R เป็นวิธกี ารสอนประเภท การสอนอ่านเพอื่ สือ่ สาร ถงึ แม้
การสอนจะเน้นทักษะการอ่าน แตผ่ ้สู อนจะต้องสอนแบบการสอนภาษาเพื่อ การสอ่ื สาร ประกอบดว้ ย การฟัง การพูด
การอ่าน และการเขียน พรนิภา บรรจงมณี(2548: 5) ได้กล่าวถึง ความหมายของวิธีสอนแบบ SQ4R สรุปได้ว่า เป็น
วิธีการอ่านท่ีดาเนินการตามขั้นตอน 6 ข้ันตอน โดยเร่ิม จาก ข้ันสารวจข้ันแรกท่ีครูให้ผู้เรียนสารวจชื่อเร่ือง หัวเรื่อง
และหัวข้อย่อยอย่างคร่าวๆ ขั้นต้ังคาถาม เป็นขั้นที่ผู้เรียนต้ังคาถามก่อนการอ่าน ทาให้การอ่านมีจุดหมาย ข้ันอ่าน
ผู้เรียนจะอ่านบทอ่านอย่างละเอียด ต้ังแต่ต้นจนจบ หลังจากน้ันบันทึกข้อความ ใจความหลักและข้อความสาคัญ แล้ว
นามาเขียนสรุปใจความ สาคัญ และนาความรู้มาเช่ือมโยงกับความรู้ท่ีมีอยู่ จากข้อมูลดังกล่าวสรุปได้ว่า วิธีการแบบ
SQ4R เปน็ วิธีการสอนอยา่ งมขี น้ั ตอน เป็นวธิ กี าร สอนอ่านอย่างครา่ วๆ โดยใชค้ าถามเป็นตวั กาหนดจดุ มงุ่ หมายในการ
อ่าน ลักษณะการสอนจะเป็นลักษณะ การสอนเพ่ือการส่ือสาร เพราะในข้ันตอนของการอ่านแบบ SQ4R จะ
ประกอบดว้ ย การฟัง การพดู การ อ่าน และการเขียน เปน็ การอ่านเพอ่ื เนื้อหาสาระ มใิ ช่สนใจที่ตวั ภาษา ผู้สอนจึงตอ้ ง
ตระหนกั ถึงความรเู้ ดิม ของผู้เรยี นดว้ ย

3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีการสอนแบบ SQ4R สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ (2545: 289-290) ได้
เสนอการจดั กจิ กรรการเรยี นรโู้ ดยใช้วธิ สี อนแบบ SQ4R วา่ ประกอบดว้ ย 3 ขั้นตอน ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้

1. ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน เป็นข้ันท่ีจัดทาบรรยากาศให้รู้สึกสบาย ไม่เคร่งเครียด เสนอส่ิงเร้าเพ่ือให้ผู้เรียน
พรอ้ มทีจ่ ะเรยี นบทเรยี นใหม่การเสนอเนื้อหาใหม่สาหรับการอ่าน ผสู้ อนอาจกาหนดให้ ผู้เรียนเตรยี มมาเองหรือผู้สอน
จะเป็นผู้สอนจะเป็นผู้จัดเตรียมก็ได้เพราะการสอนมีวัตถุประสงค์ให้ผู้อ่านได้ นาไปใช้จริงในชีวิตประจา วัน
เพราะฉะน้ันสื่อที่นามาใช้เป็นของจริง(Authentic Materials) อาทิใบ โฆษณา ข่าว จดหมาย ใบสมัครงาน จุลสาร
ฯลฯ

8

2. ขน้ั สอน ซ่ึงกระทาการสอนตามระบบของวธิ ีการสอนแบบ SQ4R มี 6 ขนั้ ตอน คอื
2.1 Survey (S) อ่านอย่างคร่าว ๆ เพื่อหาจุดสาคัญของเรื่อง การอ่านในขั้นน้ีไม่ ควรใช้เวลานาน

เกนิ ไป การอ่านครา่ ว ๆ จะชว่ ยให้ผู้อ่านเรียบเรยี งแนวคิดต่าง ได้
2.2 Question (Q) การตั้งคาถาม จะทาให้ผู้อ่านมีความอยากรู้อยากเห็น ดังน้ีจึง เพ่ิมความเข้าใจใน

การอ่านมากย่ิงขึ้น คาถามจะช่วยให้ผู้อ่านระลึกถึงความรู้เดิมที่มีอยู่เกี่ยวกับเรื่องท่ีอ่าน 31 คาถามจะช่วยให้ผู้อ่าน
เข้าใจเรื่องได้เร็ว และที่สาคัญก็คือ คาถามจะต้องสัมพันธ์กับเรื่องราวที่กาลังอ่านใน เวลาเดียวกันก็ควรจะต้องถาม
ตัวเองดูว่าใจความสาคัญท่ีผู้เขียนกาลังพูดถึงอยู่นั้นคืออะไร ทาไมจึงสาคัญ สาคัญอย่างไร และเกี่ยวข้องกับอะไรหรือ
ใครบ้าง ตอนไหนและเมื่อไร อย่างไรก็ตามควรพยายามตั้งคาถาม ให้ได้เพราะจะช่วยให้การอ่านในขั้นต่อไปเป็นไป
อยา่ งมจี ุดมงุ่ หมายและสามารถจับประเดน็ สาคัญไดถ้ กู ตอ้ ง ไมผ่ ิดพลาด

2.3 Read (R) การอ่านข้อความในบทหรือตอนนั้น ๆ ซ้าอย่างละเอียดและใน ขณะเดียวกัน ก็ค้นหา
คาตอบสาหรับคาถามที่ได้ต้ังไว้ในขั้นนี้จะเป็นการอ่านเพ่ือจับใจความและจับประเด็น สาคัญ ๆ โดยแท้จริง ขณะท่ี
กาลังอ่านอยู่ถ้านึกคาถามได้อีกก็อาจใช้วิธีจดบันทึกไว้ในท่ีวา่ งรมิ หน้าหนังสอื ก่อนแล้วต้ังใจอ่านต่อไปจนกว่าจะไดร้ ับ
คาตอบทตี่ ้องการ

2.4 Record (R) ให้ผู้เรียนจดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้อ่านจากขั้นตอนท่ี 3 โดยมุ่ง จดบันทึกในส่วนท่ี
สาคญั และสิ่งทจ่ี าเป็น โดยใชข้ อ้ ความอยา่ งรัดกุมหรอื ย่อ ๆ ตามความเข้าใจของผเู้ รียน

2.5 Recite (R) ให้ผู้เรียนเขียนสรุปใจความสาคัญ โดยพยายามใช้ภาษาของตนเองถ้ายังไม่แน่ใจใน
บทใด หรือตอนใดใหก้ ลบั ไปอา่ นซ้าใหม่

2.6 Reflect (R) ให้ผู้เรียนวิเคราะห์วิจารณ์บทอ่านที่ผู้เรียนได้อ่านแล้วแสดงความคิดเห็นในประเด็น
ที่ ผู้เรยี นมคี วามคิดเหน็ สอดคล้องหรือความคิดเหน็ ไม่สอดคล้อง บางครง้ั อาจขยายความสิ่งที่ได้อ่านโดยการ เชือ่ มโยง
ความคิดจากบทอ่านกบั ความร้เู ดมิ โดยใชภ้ าษาอยา่ งถูกต้อง

3. ขั้นสรุปและประเมินผล เม่ือจบขั้นตอนการสอนแบบ SQ4R แล้วถ้าผู้สอนจะต้องมีการวัดผลและ
ประเมินผลว่าผู้เรียนได้ความรู้ตามจุดประสงค์หรือไม่ เป็นการประเมินความสามารถเพื่อนาผลมาพัฒนา ผู้เรียนและ
ช่วยผู้ท่ีเรียนอ่อน โดยอธิบายเพ่ิมเติม ให้แบบฝึกมากข้ึน หรือสาหรับผู้ที่เรียนดีก็อาจจะให้แบบฝึกเสริมให้มีทักษะ
เพิม่ ขน้ึ อีกก็ได้

4. ความพงึ พอใจ
1) ความหมายของความพึงพอใจ จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารงานวิจัย มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้

ความหมายของความพงึ พอใจไว้ ดงั น้ี
กาญจนา ภาสุรพันธ์ (2531 : หน้า 5) ความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความรู้สึกหรือความนึกคิดต่อส่ิงใดสิ่ง

หนงึ่ ท่ไี ดร้ บั ตามท่คี าดหวังหรือมากกวา่ ที่คาดหวัง
สุเทพ เมฆ (2531 : หน้า 8) ความพึงพอใจในบรรยากาศการเรียน หมายถึง ความรู้สึกพอใจในสภาพการจัด

องค์ประกอบท่ีเก่ียวข้องกับการเรียนการสอน ซึ่งมีความสาคัญในการช่วยให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้อย่างมีชีวิตว่ ามี
ความเจรญิ งอกงาม มีความกระตือรือรน้ เพื่อจะเรียนให้เกดิ ประโยชนแ์ ก่ตนเอง

วริ ุฬ พรรณเทวี (2542 : หน้า 111) ได้ใหค้ วามหมายความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรู้สกึ ภายในจิตใจของมนุษย์
ทีไ่ ม่เหมือนกนั ขนึ้ อยู่กบั แตล่ ะบุคคลวา่ จะคาดหวงั กับสิง่ หน่ึงอย่างไรถ้าคาดหวังหรือมีความต้งั ใจมากและไดร้ ับการ

9

ตอบสนองด้วยดีจะมีความพึงพอใจมาก แต่ในทางตรงกันข้ามอาจผิดหวังหรือไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งเม่ือไม่ได้รับการ
ตอบสนองตามทค่ี าดหวังไว้ทง้ั น้ีขึน้ อยูก่ ับส่งิ ที่ตนตง้ั ใจไวว้ า่ มีมากหรือนอ้ ย

วอลแมน (Wolman. 1973 : หน้า 384 ) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรูส้ ึก (Feeling) มีความสุข เมอื่ คนเรา
ได้รบั ผลสาเร็จตามความมงุ่ หมาย (Goals) ความต้องการ (Wants) หรอื แรงจงู ใจ (Motivation)

จากความหมายข้างต้น สามารถสรุปไดว้ ่าความพึงพอใจเป็นเร่ืองท่เี กี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรสู้ กึ และ ทศั นะ
คติของบุคคลท่ีได้รับการตอบสนองตรงความต้องการของตนเอง จึงทาใหเ้ กิดความรสู้ ึกทด่ี ี แสดงออกมา ทางพฤติกรม
ท่ที าให้สามารถปฏบิ ตั ิงานหรือกระทาสงิ่ ตา่ ง ๆ ได้อยา่ งประสบความสาเรจ็

2) แนวทางการวัดความพึงพอใจ
สาโรช ไสยสมบตั ิ (2534 : 39)

1. การใชแ้ บบสอบถาม เป็นวีิธกิ ารทน่ี ยิ มใช้กนั แพรห่ ลายวิธีหนงึ่ โดยการรอ้ งขอหรือขอความ
ร่วมมอื จากกลุม่ บุคคลทต่ี ้องการจะวัดแสดงความคิดเห็นลงในแบบฟอร์มท่ีกาหนดคาตอบ ไวใ้ ห้เลือกตอบหรือเป็น
คาตอบอสิ ระ โดยคาถามอาจจะถามถึงความพึงพอใจในด้านตา่ ง ๆ

2. การสมั ภาษณ์ เป็นอีกวธิ ีหนึง่ ท่ีจะทาให้ทราบถึงระดับความพงึ พอใจของผใู้ ชบ้ รกิ าร ซง่ึ เป็น
วิธีการที่ ต้องอาศัยเทคนิคและความชานาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์ที่จะจูงใจให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบคาถามให้ตรงกับ
ข้อเทจ็ จริง การวัดความพึงพอใจโดยวีธิ กิ ารสัมภาษณ์นับวา่ เปน็ วิธีการทปี่ ระหยดั และมปี ระสทิ ธิภาพอกี วิธีหนง่ึ

3. การสงั เกต เปน็ อีกวธิ ีหนงึ่ ทีจ่ ะทาใหท้ ราบถงึ ระดบั ความพงึ พอใจของผใู้ ชบ้ รกิ ารไดโ้ ดยวีธิ กิ าร
สังเกตจากพฤติกรรมท้ังก่อนมารับบริการ ขณะรอรับบริการ และหลังจากการได้รับบริการ แล้ว เช่น การสังเกตกิริยา
ทา่ ทาง การพดู สีหนา้ และความถขี่ องการมาขอรบั บริการ เปน็ ต้น การวดั ความพงึ พอใจโดยวีิธินผี้ ู้วัดต้องกระทาอย่าง
จรงิ จงั และมีแบบแผนทีแ่ น่นอน จงึ จะสามารถประเมนิ ถงึ ระดับความพงึ พอใจของผูใ้ ช้บริการการไดอ้ ยา่ งถูกต้อง

สมบรณ์ ตนั ยะ (2545 : 123 - 125) ไดก้ ล่าวถงึ แนวทางการวดั ความพงึ พอใจของผเู้ รยี นโดยใช้
แบบทดสอบและแบบสารวจ ดงั นี้

1. แบบสอบถาม หมายถงึ ชุดคาถามที่สร้างข้นึ เพือ่ รวบรวมขอ้ มลู เกี่ยวกบั ผเู้ รยี น โดยให้ผ้เู รียนตอบลงใน
แบบสอบถามท่ีสรา้ งข้นึ ซ่งึ อาจเปน็ การกรอกข้อความหรือสญั ลักษณ์ โดยการสรา้ งแบบสอบถามที่ดีน้ัน ตอ้ งอาศัยการ
กาหนดจุดมุ่งหมายท่ีเฉพาะและชัดเจน รวมท้ังข้อความที่ใช้ในแบบสอบถามต้องเป็นภาษาที่ดี เข้าใจง่าย ไม่กากวม
รูปแบบของแบบสอบถามจะตอ้ งมีความน่าสนใจ เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีมีความถูกต้องและ เชื่อถือได้ สามารถแบ่งประเภท
ของแบบสอบถามออกเป็น 2 ประเภท คือ

1.1 แบบสอบถามปลายเปดิ คอื แบบสอบถามที่ไม่กาหนดคาตอบไว้ตายตวั เปน็ การเปดิ โอกาส
ให้ผู้ตอบแบบสอบถามได้แสดงคาวมรู้สกึ ความคิดเหน็ อยา่ งเตม็ ที่

1.2 แบบสอบถามแบบปลายปดิ คอื แบบสอบถามทป่ี ระกอบดว้ ยข้อความหรือข้อคาถามที่
กาหนดตัวเลือกคาตอบที่คาดว่าจะเป็นไปได้และกาหนดไว้อย่างชัดเจน เพ่ือให้ผู้ตอบได้เลือกคาตอบท่ีตรงกับ
ข้อเทจ็ จรงิ หรอื ตรงกบั ความร้สู ึกของตนเอง

2. แบบสารวจหรือแบบตรวจสอบรายการ หมายถึงเคร่ืองมือท่ีนิยมใช้กันมาก ประกอบด้วย บัญชี รายการ
ของสิ่งของหรือเรื่องราวต่าง ๆ ซ่ึงจะให้ผู้ตอบได้ตอบในลักษณะให้เลือกอย่างใดอย่างหน่ึง แบบสารวจ อาจจะช่วยให้
ทราบวา่ มสี ่งิ ตา่ ง ๆ หรอื มกี ารกระทาหรือพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ เกิดขึน้ ตามรายการทกี่ าหนดหรอื ไม่

มนต์ชัย เทียนทอง (2548 : หน้า 318) ได้เสนอแนวทางที่ใช้ในการกาหนดประเด็นคาถามของ แบบสอบถาม
ไว้ดงั นี้

10

1. แนวทางการประเมนิ ภาพรวมทวั่ ๆ ไป เช่น สอบถามเกีย่ วกับสว่ นนาเขา้ ส่วนประมวลผล

และสว่ น ทแ่ี สดงผล โดยพจิ ารณารายละเอียดแต่ละส่วน ๆ วา่ มีข้อคาถามใดบ้างที่จะสอบถามผู้เรยี นเก่ียวกับความพึง

พอใจในการใชบ้ ทเรยี น กล่าวได้วา่ แนวทางนเี้ ป็นแนวทางท่ีมีการใช้ประเมินความพึงพอใจมากทีส่ ดุ

2. แนวทางการใชท้ ฤษฎปี ระเมินผล เชน่ อาจประยุกต์ใช้ CIPP Model หรอื Alkin Model เป็น

ต้น โดยสามารถนาทฤษฎีประเมินผลที่มีอยู่มากาหนดกรอบในการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนเกี่ยวกับสาระ

(Context) สว่ นนาเข้า (Input) ส่วนประมวลผล (Process) และผลผลติ (Product) เป็นตน้ การเกบ็ รวบรวม ข้อมูลจะ

นิยมใช้แบบสอบถามมากกว่าการสมั ภาษณ์ โดยการกระทากับกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นผู้ท่ีใช้บทเรยี น โดยตรง เพื่อประเมิน

ความพึงพอใจหลังจากท่ีทดลองใช้บทเรียนแล้ว ผลท่ีได้จากการประเมินจะเป็นดัชนีบ่งชี้ ความพึงพอใจของผู้เรียน

สาหรับสถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ความพึงพอใจท่ีได้จากแบบสอบถาม จะใช้ค่าเฉล่ีย มัธยฐาน ฐานนิยมและส่วน

เบ่ียงเบนมาตรฐาน หรือใชส้ ถิตเิ ปรียบเทียบความพึงพอใจของผเู้ รยี นแตล่ ะกล่มุ ก็ได้ แบบประเมนิ ความพงึ พอใจในการ

เรียนรู้ของผู้เรียนมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ซ่ึงมี 5 ระดับ คือ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึง

พอใจปานกลาง พงึ พอใจนอ้ ยพึงพอใจน้อยทสี่ ุด โดยกาหนดเกณฑ์การ ประเมิน ดังน้ี

พึงพอใจมากท่สี ุด ใหค้ ะแนน 5 คะแนน

พึงพอใจมาก ให้คะแนน 4 คะแนน

พงึ พอใจปานกลาง ให้คะแนน 3 คะแนน

พงึ พอใจน้อย ให้คะแนน 2 คะแนน

พงึ พอใจน้อยท่สี ุด ให้คะแนน 1 คะแนน

คา่ เฉล่ียทีผ่ ูเ้ ช่ียวชาญประเมินแต่ละข้อแล้วเทียบเกณฑ์การประเมิน โดยใชเ้ กณฑ์ การแปลความหมายคะแนน

ของ Likert ดังน้ี

4.50 – 5.00 หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยู่ในระดับมากทีส่ ดุ

3.50 – 4.49 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจอยูใ่ นระดบั มาก

2.50 – 3.49 หมายถึง มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง

1.50 – 2.49 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดบั น้อย

ตา่ กว่า 1.50 หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยู่ในระดบั น้อยทีส่ ดุ

จากแนวทางการวัดความพึงพอใจ สามารถสรุปได้ว่าการวัดความพึงพอใจมี 3 แนวทางหลักที่จะสามารถวัด

ความพึงพอใจได้คือ 1. แบบสอบถาม 2. การสัมภาษณ์ 3. การสังเกต โดยในการดาเนิน วิจัยคร้ังน้ี ผู้วิวัยได้เลือกแนว

ทางการวัดพึงพอใจลักษณะเป็นแบบสอบถาม มีข้อคาถามให้ผู้ตอบ แบบสอบถามจานวน 15 ข้อ โดยการให้คะแนน

ความพึงพอใจมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณ ค่า ซ่ึงมี 5 ระดับ คือ พึงพอใจมากท่ีสุด พึงพอใจมาก พึงพอใจ

ปานกลาง พงึ พอใจนอ้ ย พงึ พอใจนอ้ ยทสี่ ุด

5. งานวิจัยทีเ่ ก่ียวข้อง

สมสมัย คารลสัน (2554, น. 59-70) ได้ทาการศึกษาเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ
โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค SQ4R ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 การศึกษาคร้ังนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) สร้าง
แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค SQ4R สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านจับใจความ ระหว่างก่อนเรียน
และหลงั เรียน 3) ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ท่มี ตี ่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอยา่ งไดแ้ ก่

11

นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนคาแสนวทิ ยาสรรค์ สงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนที่หนองบัวลาภู เขต 2 ภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2553 จานวน 44 คน จาก 1 ห้องเรียน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
ค้นคว้ามี 3 ชนิด ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค SQ4R จานวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดทักษะการ
อ่านจับใจความภาษาอังกฤษ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 40 ข้อ 3) แบบวัดความพึงพอใจในการ
เรียน แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จานวน 15 ข้อ ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏ ดังนี้ 1)
แผนการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิค SQ4R สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสทิ ธภิ าพเท่ากบั 77.65/75.34 2) นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ทีเ่ รียนโดยใชเ้ ทคนิค SQ4R มี
ทักษะการอ่านจบั ใจความภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นกั เรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะกา รอ่านจับใจความ
ภาษาองั กฤษ โดยใช้เทคนคิ SQ4R โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดบั มาก

สุภาวดี ยนต์ชัย (2556, น. 109-110) ได้ศึกษาการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ
เข้าใจด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนแบบ SQ4R ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการ
เรียนรใู้ นการพฒั นาความสามารถด้านการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจ ด้วยการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบ SQ4R
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ท่ีมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้การ
พัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 3 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจด้วยกา รจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้แบบ SQ4R ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างคะแนนก่อนเรยี นและหลังเรยี น และ 4) ศึกษาความใฝร่ ู้
ใฝ่เรียนของนักเรียนในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3/1 โรงเรียนเสือโก้กวิทยาสรรค์ อาเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2555 จานวน 40
คน ซง่ึ ไดม้ าโดยการส่มุ แบบกล่มุ (Cluster Random Sampling) เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ 1) แผนการ
จัดการเรียนรู้ เรื่อง Reading Practice จานวน 6 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง ใช้เวลาจานวน 12 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R ช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ซงึ่ เปน็ แบบปรนัยแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลอื ก จานวน 30 ขอ้ ครอบคลุมเนอ้ื หาสาระ 6 เร่ือง ค่า
อานาจจาแนกรายข้อ (B) ต้ังแต่ 0.44-0.90 และค่าความเชื่อมั่นท้ังฉบับ เท่ากับ 0.88 และ 3) แบบสอบถามวัดความ
ใฝ่รู้ใฝ่เรียนของนักเรียนในการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ซึ่งเป็นมาตราส่วนประมาณค่า มี 5
ระดับ จานวน 28 ข้อ ซึ่งมีค่าอานาจจาแนกตั้งแต่ 0.23-0.74 ค่าความเช่ือมั่นท้ังฉบับ เท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย ร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานการวิจัยโดยใช้ t-
test Dependent Samples ผลการศึกษาปรากฏดังนี้ 1) ผลการพัฒนาแผนกรเรียนรู้ การพัฒนาความสามารถด้าน
การอา่ นภาษาอังกฤษเพ่ือความเขา้ ใจ ด้วยการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 มีประสทิ ธิภาพ
เท่ากับ 79.25/77.58 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 และเป็นไปตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้ 2) ผลการศึกษาดัชนีประสิทธิผล
(The effective Index) ของกิจกรรมตามแผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ
เพ่ือความเข้าใจ ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีค่าเท่ากับ 0.6027 แสดงว่า
นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.27 3) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้
แผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ ด้วยการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้แบบ SQ4R ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ความใฝ่รู้
ใฝเ่ รียนของนักเรยี นในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โดยรวมอยใู่ นระดับมาก

12

จิตติพร จันทรังษี (2557, น. 96-102) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพ่ือส่งเสริม
ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนเทศบาล 2 เชิงชุม
อนุชนวิทยา มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา คือ 1) เพ่ือพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพ่ือส่งเสริมความสามารถ
ในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6/3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพ่ือ
เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R
3) เพือ่ ศกึ ษาความพึงพอใจ ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6/3 ทีม่ ีตอ่ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R กลุ่มเป้าหมาย
ท่ีใช้ในการวิจัยได้แก่นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนเทศบาล 2 เชิงชุมอนุชนวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2556 จานวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แผนการจัดการเรยี นรู้การอ่านจบั ใจความสาคัญที่ใชว้ ธิ ีสอน
แบบ SQ4R 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิการอ่านจับใจความสาคัญ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวจิ ัยพบว่า
กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบ SQ4R เพื่อสง่ เสริมความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษา
ปที ี่ 6/3 ท่ผี ู้วิจัยพฒั นาข้ึนมามปี ระสิทธิภาพเท่ากับ 78.13/80.18 ซ่ึงสูงกวาเกณฑ์ 75/75 ที่ต้ังไว้ นักเรียนท่ีเรียนด้วย
กิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ มีความสามารถในการ
อ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อ
กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบ SQ4R เพื่อสง่ เสริมความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ อยใู่ นระดบั มาก

Martin and Carvalho (2008) ได้ศึกษาการอ่านและความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กท่ีมีปัญหาในการ
เรียนรู้โดยวิเคราะห์สาเหตุวิธีสอนแบบต่าง ๆ สาหรับการสอนอ่านภาษาอังกฤษให้กับเด็กท่ีมีปัญหาทางการเรีย นรู้
ผลการวิจัยพบว่า การเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ด้านการอ่านจับใจความตามแนวคิด SQ4R มีผลต่อการพัฒนา
ทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ การคิดวิเคราะห์ และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิทางการเรียน ซ่ึงเป็น
ปจั จยั สาคญั ท่ีทาให้ผู้เรยี นประสบผลสาเร็จในการอ่าน จะช่วยให้นกั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาอังกฤษสูงขึ้น
และช่วยให้นักเรียนสื่อสารได้ครบท้ัง 4 ด้าน คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยสามารถจับประเด็น สรุป วิเคราะห์ วิจารณ์
และแสดงความคดิ เห็นได้อย่างมศี กั ยภาพ

Hasibuan (2010) ได้ศึกษาเก่ียวกับผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค SQ4R เทคนิคการเรียนรู้แบบ
เร่งรัดท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิในการอ่านจับใจความของนักเรียน วัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบว่าเทคนิคการสอนใดท่ีมี
ประสิทธิภาพมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนช้ันปีท่ี 2 ของวิทยาลัยอิสลาม โดยแบ่งนักเรียนจานวน 120 คน
ออกเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 60 คน และใหก้ ลุ่มที่ 1 ไดร้ ับการสอนโดยใช้เทคนิค SQ4R และใหก้ ลมุ่ ท่ี 2 ไดร้ บั การสอนโดย
ใช้เทคนิคแบบเร่งรัด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ t-test ผลการวิจัย พบว่า ท้ังสองวิธีมีประสิทธิภาพช่วยเพ่ิม
ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรยี นมากกว่าก่อนเรยี น และความสามารถในการอ่านของนักเรียนท่ีได้รบั
การสอนโดยใช้เทคนิค SQ4R ดกี วา่ ความสามารถในการอ่านของนักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยใชเ้ ทคนิคแบบเร่งรัดท่ีค่า
ร้อยละ 84.33 และ 76.67 ตามลาดับ

จากการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้องทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R
สามารถนามาจัดกจิ กรรมเพื่อพัฒนาความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษเพอื่ ความเข้าใจไดด้ แี ละมีประสทิ ธิภาพ โดย
สามารถใช้ได้ในทุกระดับช้ัน เป็นวิธีสอนท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้อ่านอย่ามีขั้นตอน เข้าใจในสิ่งที่อ่านด้วยตนเอง ช่วยให้
ผู้เรียนจับใจความสาคัญได้รวดเร็ว เข้าใจเน้ือหาได้ง่ายข้ึน จดจาเร่ืองที่อ่านได้นาน ซ่ึงมีขั้นการสอน 6 ขั้น คือ ข้ัน
สารวจ ขั้นตั้งคาถาม ขั้นอ่าน ข้ันท่องจา บันทึก และข้ันวิจารณ์ วิเคราะห์ ผู้วิจัยจึงได้นามาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการ
สนับสนนุ ในการอภปิ รายผลงานวิจัยตอ่ ไป

บทท่ี 3
วิธีดาเนินการวิจัย

การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นร้รู ายวชิ าภาษาองั กฤษของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยไดม้ วี ธิ ีการดาเนนิ การวิจัย ดงั นี้

1. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง
2. เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู
3. ข้นั ตอนการสร้างและพัฒนาเครอ่ื งมือ
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
5. การวิเคราะหข์ ้อมูล

1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
ประชากร
ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ัย ไดแ้ ก่ นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู

จงั หวัดสตูล ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 8 ห้องเรยี น จานวน 304 คน
กลุ่มตวั อย่าง
กลุ่มตวั อยา่ งท่ใี ช้ในการวิจยั ได้แก่ นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3/3 จานวน 34 คน

2. เครอื่ งมือทีใ่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
3.1 แบบฝกึ ทักษะการอา่ นจับใจความภาษาอังกฤษ เรอ่ื ง Our Natural World ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 จานวน

2 ชดุ
3.2 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าภาษาองั กฤษ เร่อื ง การอา่ นจบั ใจความภาษาองั กฤษ

แบบปรนัย 4 ตัวเลอื ก ดา้ นความเข้าใจและการวิเคราะห์ จานวน 20 ข้อ
3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีตอ่ การจัดการเรียนการสอน แบบฝึกทกั ษะการอ่านจบั

ใจความรว่ มกับรูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R โดยมรี ปู แบบมาตรวดั ประมานค่า 5 ระดบั คอื มากทีส่ ุด มาก
ปานกลาง น้อย และน้อยทส่ี ดุ จานวน 10 ข้อ

3. ขนั้ ตอนการสร้างเครือ่ งมือ
แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยได้สร้างแบบฝึกทักษะท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือเนื้อ

แบบฝึกหัดการอ่านจับใจความจากบทเรียนในหนังสือเรยี น Maximize Student’s Book 3 สานักพิมพ์ บริษัทพัฒนา
คณุ ภาพวิชาการ (พว.) จากดั และเน้อื หาจากการสรา้ งนวตั กรรมแบบฝึกทักษะการอ่านจบั ใจความเรื่อง Khao Tanan
(Tanan Hill) ทผี่ วู้ ิจยั สรา้ งขน้ึ เอง เพ่ือใชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2 เรอื่ ง Our Natural World
รวม 2 ชดุ ได้แก่

ชุดที่ 1 Reading: The Great Barrier Reef is the largest coral reef system in the world.
ชดุ ที่ 2 Reading: Khao Tanan (Tanan Hill)
โดยมขี นั้ ตอนในการดาเนินการดังน้ี

14

1) ขน้ั สร้าง
1.1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง 2560

หลักสูตรสถานศึกษา หลักการ แนวคิด ทฤษฎแี ละงานวิจัยท่เี ก่ียวกับการพฒั นาทักษะการอา่ นจบั ใจความภาษาอังกฤษ
ร่วมกับรปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R

1.2) วิเคราะห์เนื้อหา และกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้การอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ
เร่ือง Our Natural World โดยเรยี งเนื้อหาจากงา่ ยไปสู่เนอื้ หาที่ยากตามลาดบั

1.3) พิจารณากาหนดกรอบมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เนื้อหา กิจกรรม ส่ือ
ประกอบการสอน และการวัดผลประเมินผล

1.4) สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Natural World ช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยให้สัมพนั ธก์ ับเนื้อหา และรว่ มกับแผนการจัดการเรยี นรู้ จานวน 8 ชัว่ โมง จานวน 2 ชุด

ซึ่งในชดุ แบบฝึกทกั ษะการอ่านจับใจความ ประกอบไปดว้ ย
(1) ชอื่ แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ น
(2) คานา
(3) สารบัญ
(4) คาช้แี จงการใช้แบบฝึกทกั ษะการอา่ น เพอื่ บอกขน้ั ตอนการทากจิ กรรมต่าง ๆ ให้นักเรยี น
ทราบ
(5) สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
(6) แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
(7) ใบความรู้เป็นส่ิงทบ่ี อกเนือ้ หาของบทเรยี นทนี่ กั เรียนจะต้องศึกษา
(8) แบบฝึกทกั ษะการอา่ นจับใจความ ใหน้ ักเรยี นทาจากหลังศึกษาใบความรู้ เพ่อื ตรวจสอบ
ความร้ทู ี่นักเรยี นไดร้ บั โดยใหช้ ่วยกนั ทาเป็นกลุ่ม
(9) แบบทดสอบหลังเรยี น
(10) ภาคผนวก ได้แก่ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน เฉลยแบบฝึกทักษะ และเฉลย
แบบทดสอบหลงั เรียน
2) ขน้ั นาไปใช้
2.1) นาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้
แบบ SQ4R ไปใช้กบั นักเรียนกล่มุ ตัวอย่าง นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู จงั หวัดสตลู
ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจบั ใจความภาษาอังกฤษ
ร่วมกับรปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โดยมีขนั้ ตอนการสรา้ งดังนี้
1) ขนั้ สร้าง
1.1) ศกึ ษาเน้ือหาเร่ือง การอ่านจับใจความ และกาหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้
1.2) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษโดยครอบคลุมเนื้อหา
และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้เู น้ือหาวชิ าภาษาองั กฤษ เร่ือง การอ่านจับใจความสาคญั แบบปรนยั จานวน 20 ข้อ

15

2) ขน้ั พฒั นา
2.1) เสนอแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเรื่อง การอา่ นจบั ใจความภาษาองั กฤษต่อ

ผู้เช่ียวชาญ จานวน 3 ท่าน เพื่อหาดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคาถามรายข้อกับวัตถุประสงค์หรือจุดประสงค์ท่ี
ตอ้ งการวัด โดยพจิ ารณาวา่ ข้อสอบแต่ละข้อมคี วามสอดคล้องกบั จุดประสงค์หรอื ไม่ (IOC)
โดยกาหนดคะแนนความเห็นดังน้ี

+1 แน่ใจว่า ข้อสอบสอดคล้องกบั จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
0 ไม่แน่ใจว่า ข้อสอบสอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรียนรู้
-1 แน่ใจว่า ข้อสอบไม่สอดคล้องกบั จุดประสงคการเรียนรู้
แล้วบันทึกผลการพิจารณาของผู้เช่ียวชาญในแต่ละข้อ ถ้าดัชนีที่คานวณได้มากกว่า หรือ
เทา่ กบั 0.5 แสดงว่าขอ้ สอบขอ้ นั้นเป็นตัวแทนของจดุ ประสงคน์ ั้น ส่วนข้อท่ไี ด้ดัชนนี ้อยกว่า 0.5 นามาปรบั ปรงุ แก้ไข
2.2) เม่ือปรับปรุงแก้ไขและคัดเลือกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแล้ว จากนั้น
จดั ทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นฉบับสมบูรณ์
3) ขน้ั นาไปใช้
3.1) นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวัดสตูล ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 เพ่ือเก็บรวบรวม
และวเิ คราะห์ขอ้ มูลต่อไป

5. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
1) ปฐมนิเทศนักเรียนก่อนท่ีจะดาเนินกิจกรรมเพ่ือให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในการเรียนโดยการใช้โดย

ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3
ใหเ้ ข้าใจถึงบทบาทของนักเรยี นจะไดป้ ฏิบตั ิตนไดถ้ ูกต้อง

2) นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เร่ือง การอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ แบบปรนัย จานวน 20
ขอ้ ไปทดลองใช้กบั นกั เรียนกลมุ่ ตัวอย่างชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วเก็บรวบรวมข้อมลู ไว้

3) ดาเนินการทดลองใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาองั กฤษ ร่วมกับรปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ
SQ4R ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 จานวน 2 ชุด ท่ผี ู้วิจยั ไดส้ รา้ งขึ้น โดยใช้เวลาสอน 8 ชั่วโมง

4) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยประเมินทักษะการอ่านด้านความรู้ ด้านกระบวนการ และด้านคุณลักษณะ การ
ทางานกลมุ่ รว่ มกัน และด้านความรับผดิ ชอบ ซ่ึงดาเนินการประเมนิ ระหวา่ งเรียน โดยครเู ป็นผูป้ ระเมิน จากนน้ั นาผลที่
ไดม้ าวิเคราะห์และสรปุ บันทกึ ข้อมลู ขอ้ บกพร่องที่ควรปรับปรงุ แก้ไขเพ่ือนาไปใช้ในครงั้ ต่อไป

5) หลังจากดาเนินการทดลองสอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
เรื่อง การอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ฉบับเดียวกับก่อนเรียน เพื่อนาคะแนนท่ีได้ไปวิเคราะห์ผล แล้วเก็บรวบรวม
ข้อมลู วเิ คราะห์ผล สรปุ ผลและแปรผลต่อไป

6. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
การวิเคราะห์ขอ้ มูลผู้วจิ ัยดาเนนิ การดังน้ี
1) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน จากท่ีได้รับการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับ

ใจความภาษาอังกฤษ รว่ มกับรูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R เรอ่ื ง การอา่ นจับใจความภาษาองั กฤษ ของ

16

นักเรียนก่อนและหลังเรียน โดยหาค่าเฉล่ีย ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และใช้สถิติ t-test แบบ Pair-test แล้ว
สรปุ ผล

สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล
1. สถติ ิพื้นฐานดงั น้ี
1.1 คานวณหาคา่ เฉลยี่ (Arithmetic mean) ใชส้ ูตร

X = x

N

เมือ่ X แทน คะแนนเฉล่ยี
 x แทน ผลรวมของคะแนนดบิ
N แทน จานวนขอ้ มูล

1.2 คานวณหาคา่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สตู ร

S.D = N  x2 − ( x)2
N (N −1)

เมอ่ื S.D แทน ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน

 x2 แทน ผลรวมทง้ั หมดของคะแนนแต่ละตัวยกกาลงั สอง

(  x ) 2 แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมดยกกาลงั สอง

N แทน จานวนข้อมลู

1.3 ทดสอบความแตกต่างของคะแนนแบบทดสอบวัดทักษะการอ่านจับใจความวิชา

ภาษาอังกฤษ ระหว่างก่อนการสอนและหลังการสอน โดยการทดสอบ (t-test) ชนิดตัวอย่างสัมพันธ์กัน

(Dependent Sample) ใช้สูตร

t= D
n  D2 − ( D)2

df = n −1

n-1

เมื่อ t แทน ค่าสถิติจากการแจกแจงแบบที (t-Distribution)

D แทน ผลตา่ งของคะแนนแตล่ ะคู่

N แทน จานวนคู่

 D แทน ผลรวมของผลตา่ งของคะแนน

 D2 แทน ผลรวมของผลตา่ งของคะแนนแตล่ ะคู่ยกกาลังสอง

2. สถติ ทิ ่ีใช้ในการวคิ ราะหห์ าคณุ ภาพเครื่องมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้มลู
2.1 การหาความเที่ยวตรง (Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เพื่อ

ประเมนิ ความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกบั จดุ ประสงค์ท่ีกาหนดโดยใช้สูตรดัชนคี า่ ความสอดคล้อง IOC โดยใชส้ ูตร
ดังนี้

17

IOC = R

N

เมอ่ื IOC แทน ดชั นีความสอดคล้องระหว่างขอ้ สอบกบั จดุ ประสงค์
R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผเู้ ชี่ยวชาญ
N แทน จานวนผู้เชย่ี วชาญ

3. สถติ ิที่ใชท้ ดสอบสมมติฐาน
3.1 ค่าเฉลี่ย ใช้ในการพิจารณาความกา้ วหน้าของนักเรยี น
3.2 การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติทดสอบ

t-test แบบ Pair-test โดยใชส้ ูตร

t = d̅−d0 องศาเสรี (d.f.) n-1

Sd

√n

เมื่อ t แทน ค่าสถติ ิทใ่ี ช้เปรียบเทียบกับคา่ วกิฤต เพอื่ ทราบความมี
นยั สาคัญ

d0 แทน คา่ เฉลีย่ ของผลตา่ งคะแนนกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
แทน คา่ ความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรยี นที่
Sd
คาดหวังเกิดในประชากร
n แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานคา่ ความแตกต่างของคะแนนก่อน

เรียนและหลังเรียน
แทน จานวนคขู่ องตัวอยา่ ง

บทที่ 4
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพ่ือเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ด้านการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ
ภาษาอังกฤษ รว่ มกบั รปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R 2) เพื่อศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการ
เรยี นรู้แบบ SQ4R โดยศึกษากบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนแพงวิทยา จังหวัดสตลู ซง่ึ ผูว้ ิจัยนาเสนอผลการ
วิเคราะห์ข้อมูล ดงั ต่อไปดงั น้ี

ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
ตอนท่ี 1 ผลการศกึ ษาทกั ษะการอ่านจับใจความสาคัญของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลงั การจดั กิจกรรม
การเรียนรู้โดยใชแ้ บบฝึกทักษะการอ่านจบั ใจความภาษาอังกฤษ รว่ มกบั รปู แบบการจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R

ทักษะการอ่านจับใจความสาคัญภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกาแพงวิทยา จาก
การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ รว่ มกับรูปแบบการจดั การเรียนรู้แบบ
SQ4R โดยประเมนิ จากการทดสอบก่อนเรยี น และหลังเรียนโดยรวมทัง้ หมด ได้ผลดงั ตารางที่ 1 และตารางท่ี 2

ตารางท่ี 1 คะแนนโดยรวมทั้งหมดของทักษะการอ่านจับใจความสาคัญก่อนเรียน และหลังเรียนจากการจัดกิจกรรม

การเรียนรู้โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R สาหรบั

นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3

คะแนนการอ่านจับใจความสาคัญกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น

เลขที่ ชือ่ -สกุล ก่อนเรยี น หลงั เรยี น D = X2 – X1 D2
รวม (20) รวม (20)

1 นาย กววี ัฒน์ อบุ ลจนิ ดา 6 19 13 169

2 นาย ชาครติ อามาตี 8 18 10 100

3 นาย ทักษ์ดนัย อศุ มา 46 24

4 นาย ธนภทั ร สงั ข์วะระ 10 11 1 1

5 นาย ธนา นวนดี 9 18 9 81

6 นาย นฤศรณ์ หวันสาเหล่ 8 14 6 36

7 นาย ภูรินท์ กูลหลัง 3 14 11 121

8 นาย ศิวกร เพญ็ ไทย 3 14 11 121

9 นาย สทุ ัศน์ ศรกี มล 6 14 8 64

10 นาย อนัส ดีนนุ้ย 8 14 6 36

11 นาย อนภุ าพ ดาแม 9 14 5 25

12 นาย อลอิ นั ฮ์ โตะ๊ เก 10 17 7 49

13 นาย อรั ซัด ตาเหยบ 9 10 1 1

14 นาย ธนพัฒน์ ช่วยนวน 10 17 7 49

คะแนนการอ่านจบั ใจความสาคัญก่อนเรียนและหลังเรียน

เลขท่ี ชื่อ-สกุล กอ่ นเรียน หลังเรยี น D = X2 – X1 D2
รวม (20) รวม (20)
64
15 นาย สทุ ธิภัทร โดดดี 6 14 8 9
81
16 น.ส. กุลนดั ดา พมุ่ พฤกษา 11 14 3 9
49
17 น.ส. ขวญั มนสั งาหอม 6 15 9 121
81
18 น.ส. ชลติ า หนวู งศ์ 11 14 3 100
64
19 น.ส. ณประภา หนปู ลอด 7 14 7 49
49
20 น.ส. ณัฐณิชา บุญสนอง 6 17 11 49
81
21 น.ส. นซั นนี นิลสกลุ 8 17 9 36
121
22 น.ส. นดุ ี แอหลงั 7 17 10 16
81
23 น.ส. พลอยชมพู ชิตชลธาร 9 17 8 16
64
24 น.ส. พัชรินทร์ พัทลุง 7 14 7 81
52.85
25 น.ส. พริ าอร ชมุ ทองมา 7 14 7

26 น.ส. เพชรลดา อาดสะอาด 11 19 7

27 น.ส. รกั ษ์ตะวนั วสุลีวรรณ์ 8 17 9

28 น.ส. ลดาวรรณ ปะลาวนั 10 16 6

29 น.ส. ศศธิ ร ชว่ ยนาค 6 17 11

30 น.ส. ศริ ินภา เส็นหมาน 13 17 4

31 น.ส. ศิวาพัชร์ พัตรา 5 14 9

32 น.ส. อโนมา สายชลเชีย่ ว 8 12 4

33 น.ส. อริศรา เรอื งมณี 9 17 8

34 น.ส. จิราพร งะหวงั 8 17 9

ค่าเฉล่ยี 7.82 15.09 7.27

ตารางท่ี 2 การทดสอบความมนี ัยสาคญั ดว้ ยตวั สถติ ิที ด้านทกั ษะการอ่านจบั ใจความสาคญั (คะแนนรวม)

จานวน คะแนน ส่วน ผลต่าง สว่ นเบย่ี งเบน สถติ ิที
นักเรียน เฉล่ยี เบย่ี งเบน คะแนน มาตรฐานของ -11.96*
มาตรฐาน เฉลีย่ ผลตา่ งคะแนน

เฉลย่ี

คะแนน 34 7.82 2.30 -7.26 0.46
ก่อนเรียน 34 15.09 2.69

คะแนน
หลังเรียน

20

จากตารางที่ 1 และตารางที่ 2 เห็นได้ว่าโดยส่วนใหญ่คะแนนหลังเรียนด้านทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ
ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นกาแพงวทิ ยามีคา่ สูงกว่าคะแนนกอ่ นเรียน ซ่งึ มีคะแนนเฉล่ยี หลังเรยี นเท่ากับ
15.09 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.69 และคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 7.82 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ
2.30 และผลการทดสอบด้วยสถิติ t พบว่าคะแนนเฉล่ียหลังเรียนมีค่าสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถติ ิท่รี ะดับ .05

ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ท่ีมตี อ่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้แบบฝึก
ทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R โดยศึกษากับนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีที่ 3/3 โรงเรียนกาแพงวทิ ยา จงั หวดั สตูล

ความพงึ พอใจของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/3 โรงเรียนกาแพงวทิ ยา จากการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจับใจความภาษาอังกฤษ รว่ มกับรปู แบบการจดั การเรยี นรู้แบบ SQ4R
โดยประเมนิ จากแบบสอบถามความพงึ พอใจได้ผลดงั ตารางท่ี 3

ตารางที่ 3 ความพงึ พอใจของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/3 โรงเรียนกาแพงวทิ ยา จากการจดั กิจกรรมการโดยใช้
แบบฝึกทักษะการอา่ นจบั ใจความภาษาอังกฤษ รว่ มกบั รูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R

รายการประเมนิ ค่าเฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบน แปลผล อันดับ
มาตรฐาน มาก 8
1.การจดั การเรียนรู้วิธีน้ี ทาใหฉ้ นั สนุกกบั การอ่าน
ภาษาอังกฤษมากข้นึ 4.05 0.31 มาก 9
2.การจัดการเรยี นรูว้ ิธนี ้ี ทาใหฉ้ ันอ่านภาษอังกฤษไดด้ ี
ข้นึ 3.95 0.46 มาก 2
3. การจัดการเรยี นรู้วิธนี ้ี ทาใหฉ้ ันกลา้ แสดงออก มาก 3
4. การจัดการเรยี นรูว้ ิธีน้ี ทาใหฉ้ ันม่นั ใจในตนเองมาก 4.26 0.68
ขน้ึ 4.23 0.63 มาก 5
5. ฉันอยากเรียนวชิ าทม่ี ีกิจกรรมการแข่งขนั แบบกล่มุ มาก 10
6. ฉนั อยากเรียนวชิ าอื่น ๆ โดยใช้วิธนี ีใ้ นการสอน 4.15 0.54 มาก 6
3.92 0.62
7. ฉันไดร้ บั คาอธบิ าย/ความช่วยเหลอื ในเร่ืองทส่ี งสยั มาก 4
จากเพ่ือนภายในกลุ่มอย่างทันท่วงที 4.13 0.57
8. การจดั การเรยี นรู้วธิ ีนี้ ทาใหฉ้ นั มีปฏสิ ัมพันธท์ ่ีดีกบั มาก 1
เพ่อื นภายในกล่มุ มากข้นึ 4.18 0.56 มาก 7
9. ฉันมีความภูมใิ จท่ีมสี ่วนช่วยให้กลมุ่ ไดร้ ับคะแนน มาก
10. ฉันมเี จตคติที่ดขี นึ้ ต่อวิชาภาษาอังกฤษ 4.36 0.63
ภาพรวม 4.08 0.53
4.13 0.57

21

เกณฑ์การแปลผล 1.00-1.50 แทน น้อยทสี่ ดุ

1.51-2.50 แทน นอ้ ย

2.51-3.50 แทน ปานกลาง

3.51-4.50 แทน มาก

4.51-5.00 แทน มากท่สี ดุ

จากตารางท่ี 3 เห็นได้ว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน

จับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉล่ีย

เท่ากับ 4.13 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.57 และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อ

ประเด็นคาถามข้อที่ 9 “ฉันมีความภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้กลุ่มได้รับคะแนน” เป็นอันดับแรก โดยค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.36

ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.63 รองลงมาเป็นประเด็นคาถามข้อที่ 3 “การจัดการเรียนรู้วิธีนี้ ทาให้ฉันกล้า

แสดงออก” คา่ เฉลี่ยเท่ากับ 4.26 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.68 และประเด็นคาถามข้อท่ี 6 “ฉนั อยากเรยี นวิชา

อื่น ๆ โดยใช้วิธนี ี้ในการสอน” มีความพึงพอใจเป็นอันดับสุดท้าย ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.92 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ

0.62

บทท่ี 5
สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

ผลการวจิ ยั เพอ่ื ตอบวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรยี บเทียบผลการเรยี นรูด้ ้านการอ่านจับใจความภาษาองั กฤษของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ
ภาษาองั กฤษ รว่ มกับรปู แบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R 2) เพอ่ื ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี
3 ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการ
เรียนรู้แบบ SQ4R โดยศึกษากับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนแพงวิทยา จังหวัดสตูล สามารถสรุป อภิปราย
ผล และขอ้ เสนอแนะดังน้ี

สรปุ ผลการวิจัย
1. ผลการเรยี นรูด้ า้ นการอ่านจบั ใจความภาษาอังกฤษของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนกาแพงวิทยา

ท่ีจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R
พบว่า ก่อนและหลงั การเรยี นรนู้ ักเรียนมผี ลการอา่ นแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคัญทรี่ ะดบั .05

2. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกาแพงวิทยา ที่เรียนโดยใช้โดยใช้
แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R มีค่าเฉลี่ยในภาพรวม
ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.13 อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายประเด็นดังนี้ ประเด็นเรื่องของความภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้
กลุ่มไดร้ ับคะแนน คา่ เฉล่ยี เทา่ กับ 4.36 คณุ ภาพระดับมาก ซง่ึ นักเรียนให้ความพึงพอใจมากท่สี ุด ประเดน็ เรอ่ื งของการ
อา่ นภาษาอังกฤษได้ดี ค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.95 ประเดน็ เร่อื งของทาให้กล้าแสดงออก คา่ เฉลี่ยเทา่ กบั 4.26 คุณภาพระดับ
มาก ประเด็นเรื่องของทาใหม้ ัน่ ใจในตนเอง คา่ เฉลยี่ เทา่ กับ 4.23 คณุ ภาพระดับมาก ประเดน็ เรื่องของทาให้อยากเรียน
วิชาที่มีการทางานเป็นกลุ่ม ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.15 คุณภาพระดับมาก ประเด็นเรื่องของอยากเรียนวิชาอื่น ๆ ค่าเฉล่ีย
เท่ากับ 3.92 คุณภาพระดับมาก ประเด็นเรื่องของได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนอย่างทันท่วงที ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.13
คุณภาพระดับมาก ประเด็นเรื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพ่ือนภายในกลุ่ม ค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.18 คุณภาพระดับ
มาก ประเดน็ เร่อื งการจัดการเรยี นรู้วธิ นี ้ี ทาให้ฉันสนกุ กับการอ่านภาษาอังกฤษมากขึน้ คา่ เฉล่ียเทา่ กบั 4.05 คณุ ภาพ
ระดับมาก ประเด็นเรื่องของมีเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษมากขึ้น ค่าเฉล่ียเท่ากับ 4.08 คุณภาพระดับมาก จาก
ผลการวิจัยดังกล่าว ความพึงพอใจของผู้เรียนอยู่ในระดับมาก แสดงว่าการจัดการเรียนรู้โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะการอ่าน
จับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R เป็นวิธีที่ช่วยให้นักเรียนมีความพึงพอใจในการ
เรียนทสี่ ูงขึ้นได้ นกั เรียนมคี วามสนุกสนานเพลิดเพลนิ สามารถทางานร่วมกับผอู้ ื่นไดด้ ี และมคี วามรูส้ ึกท่ดี ีต่อการเรียน
ภาษาอังกฤษ จากการสรุปผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การจัดการการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับ
ใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R เป็นวิธีการท่ีเหมาสมต่อการพัฒนาผู้เรียนให้มี
พฒั นาการด้านการอ่านจบั ใจความภาษาอังกฤษ และเหมาะสมตอ่ กบั การนาไปใช้ในรายวชิ าอ่ืน ๆ ด้วยเชน่ กนั

อภิปรายผล
1. ผลคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนของนักเรียนชันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นกาแพงวิทยา มคี า่ สงู กว่าคะแนนเฉล่ีย

กอ่ นเรยี นอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 โดยมีค่าสถติ ิ t เท่ากบั --11.96
2. ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความ

ภาษาองั กฤษ รว่ มกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาช้ันปีที่ 3 โรงเรียนกาแพงวิทยา
มีคา่ เฉล่ยี ในภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ท้ังน้อี าจเป็นเพราะการจดั การเรยี นรู้โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอา่ นจับใจความ

23

ภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ SQ4R เป็นเทคนิคการอ่านแบบจากัดความเร็ว ช่วยให้เราอ่าน
อย่างมีระบบ มี 6 ขั้นตอนคือ (S) ข้ันสารวจ (Q) ข้ันต้ังคาถาม (R) ข้ันอ่าน (R) ขั้นจดบันทึก (R) ขั้นสรุปใจความเอง
และ (R) ขน้ั วิจารณก์ ิจกรรมการเรยี นรู้แบบ SQ4R นั้น ได้พฒั นามาจากกิจกรรมการเรยี นรู้การอา่ นแบบ SQ3R ซ่งึ เปน็
เทคนิคการสอนเดมิ น้ันยังไมเ่ พียงพอต่อการสง่ เสริมความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การวิจารณ์ไดอ้ ย่างชัดเจน ดังน้ัน
จึงได้เพิ่มข้ันตอนข้ันวิเคราะห์วิจารณ์ขึ้นมา ซ่ึงจะทาให้มั่นใจว่าผู้เรียนได้ฝึกความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การ
วิจารณ์ได้อย่างสมบูรณ์ ผลการวิจัยสอดคล้องกับ สุรีย์ เตียศิริ (2555, น. 68) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบ SQ4R วิชาภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนแบบ SQ4R วิชา
ภาษาอังกฤษ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.22/88.26 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ และผลการวิจัย
สอดคล้องกับ จิตติพร จันทรังษี (2557, น. 96-102) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพ่ือส่งเสริม
ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนเทศบาล 2 เชิงชุม
อนุชนวิทยา ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการอ่านจับใจความ
ภาษาองั กฤษนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6/3 มีประสทิ ธภิ าพเทา่ กบั 78.13/80.18 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑ์ 75/75

ขอ้ เสนอแนะ
จากการศึกษาการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ร่วมกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ

SQ4R ในการพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 มขี อ้ เสนอแนะ ดังนี้
1. เน่ืองจากกิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพ่ือส่งเสริมความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ มี

ขั้นตอนทั้งหมด 6 ข้ันตอน ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการจัดกิจกรรมค่อนข้างมาก ฉะน้ันจึงควรจัดเวลาให้เหมาะสม และ
ควรจดั ให้ครบขัน้ ตอน

2. ครูควรจัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์ บทอ่าน ในงานต่าง ๆ ให้พร้อม เพ่ือให้การจัดกิจกรรมเป็นไปตามแผนท่ีวาง
ไว้และมปี ระสิทธภิ าพมากย่งิ ข้นึ เน่อื งจากกจิ กรรมใชเ้ วลาคอ่ นข้างมาก

3. ควรนากิจกรรมการเรียนรูแ้ บบ SQ4R เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านจบั จความภาษาอังกฤษไปใชใ้ น
กลุม่ สาระการเรยี นรู้อืน่ ๆ เช่น กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย เป็นต้น

4. ควรศึกษาผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ
เพ่ือความเข้าใจ ที่มีตัวแปรด้านอื่น ๆ เช่น ความคงทนในการเรียนรู้ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา การวิเคราะห์
เปน็ ต้น

5. ควรนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพ่ือพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษไปใช้
กบั นกั เรียนในระดับอื่น เพราะการอา่ นจบั ใจความสาคญั เปน็ ทักษะจาเปน็ ทีน่ ักเรยี นได้รับการพัฒนาในทุกระดับช้ัน

24

บรรณานุกรม

จิตติพร จันทรรังษี. (2557). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ SQ4R เพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านจับ
ใจความภาษาอังกฤษ ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6/3 โรงเรียนเทศบาล 2 เชงิ ชุมอนชุ นวทิ ยา.

มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร.
ณภทั ร ทิพธนามาศ. (2556). การพัฒนาแบบฝกึ ทักษะการอ่านภาษาองั กฤษเพ่ือความเขา้ ใจ โดยใชว้ ธิ กี ารสอน

แบบ SQ4R สาหรบั นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1. ครศุ าสตรมหาบัณฑิต: , มหาวิทยาลัยราชภฏั บรุ รี ัมย์
ทิศนา แขมมณี. (2551). 14 วิธีสอนสาหรับครมู ืออาชีพ. พิมพ์ คร้งั ที่ 8. กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณ

มหาวิทยาลัย.
บรู ชัย ศิริมหาสาคร. (2547). แผนการสอนทีเ่ นน้ ผู้เรยี นเป็นศนู ยก์ ลาง. กรงุ เทพฯ: สุวีริยาสาส์.
ไพศาล วรคา. (2558). การวจิ ัยทางการศึกษา. มหาสารคาม: ตกั สลิ าการพิมพ์.
ภู่ วภิ าดาวรรธน์ ผจงกาญจน์. (2540). เทคนคิ การสอนอ่านภาษาองั กฤษในระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษา. เชยี งใหม่: คณะ

ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่
เมขลา ลอื โสภา. (2555). การพฒั นาการอา่ นจับใจความด้วยวธิ กี ารสอนแบบ SQ4R กลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาไทย ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม.
ศรวี รรณ โตพิจติ ร.์ (2557). การพฒั นาความเขา้ ใจในการอ่านภาษาอังกฤษและ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์

ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ดว้ ยวธิ สี อนอ่านแบบ SQ4R. มหาวทิ ยาเกษตรศาสตร.์
สมสมยั คาร์ลสนั . (2554). การพฒั นาทกั ษะการอา่ นจับใจความภาษาองั กฤษ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรดู้ ้วย

เทคนิค SQ4R ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5. ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต: มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก
รายชอ่ื ผเู้ ช่ยี วชาญตรวจสอบเคร่อื งมอื การวจิ ยั

รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครือ่ งมือการวจิ ัย

1. นางสาจติ ร ทพิ ย์รองพล
ครูชานาญการ
ครผู สู้ อนวชิ าภาษาองั กฤษ โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จงั หวัดสตลู

2. นางปาลติ า อาดุลเบบ
ครชู านาญการ
ครูผูส้ อนวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวัดสตูล

3. นางจันทรา พทั คง
ครูชานาญการ
ครูผู้สอนวิชาภาษาองั กฤษ โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จังหวดั สตลู

ภาคผนวก ข
ตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมือ
- การคานวณหาคา่ ดชั นีความสอดคลอ้ ง

การคานวณและการแปลผลคา่ IOC
แบบทดสอบการอา่ นจับใจความสาคัญภาษาอังกฤษ

รายวชิ าภาษาอังกฤษ รหัสวชิ า อ23102
ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564

ขอ้ สอบข้อท่ี คะแนนความเหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญ รวม คา่ IOC แปลผล

1 คนท่ี 1 คนท่ี 2 คนท่ี 3 ใช้ได้
2 ใชไ้ ด้
3 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
4 ใช้ได้
5 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
6 ใช้ได้
7 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้
8 ใชไ้ ด้
9 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้
10 ใช้ได้
11 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
12 ใช้ได้
13 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
14 ใชไ้ ด้
15 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
16 ใช้ได้
17 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
18 ใชไ้ ด้
19 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้
20 ใช้ได้
+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

+1 +1 +1 3 1

ภาคผนวก ค
การตรวจสอบสมมติฐาน

ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล กลุ่มตวั อยา่ ง 2 กลุ่ม ท่ีเป็นอิสระกนั โดยมีสมมติฐาน ดงั น้ี

H0 คะแนนก่อน ท้งั สองกลุ่มเท่ากนั
: คา่ เฉลี่ยของ

H1 คะแนนก่อน 0 สูงกวา่ 0
: ค่าเฉล่ียของ

Group Statistics

กลุ่ม N Mean Std. Deviation Std. Error Mean

X 0 34 7.82 2.302 0.395

0 34 15.09 2.690 0.461

การแปลผล

1. X หมายถึง ตวั แปรในทีน้ี คือ 0

และ 0

2. N หมายถึง จานวนผเู้ รียนท้งั หมด โดย 0 เทา่ กบั 34 คน

0 เท่ากบั 34 คน

3. Mean หมายถึง ค่าเฉลี่ยการทดสอบ 0 เทา่ กบั 7.82 คะแนนก่อน

ค่าเฉลี่ยการทดสอบ 0 เท่ากบั 15.09 คะแนนหลงั

4. Std. Deviation หมายถึง คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานของการทดสอบ 0 เท่ากบั 2.302

ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานของการทดสอบ 0 เทา่ กบั 2.690

5. Std. Error Mean หมายถึง ค่าคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการทดสอบ 0 เทา่ กบั 0.395

คา่ คลาดเคล่ือนมาตรฐานของการทดสอบ 0 เทา่ กบั 0.461

สรุปผลการวเิ คราะห์

สรุปผลการทดสอบสมมติฐานดว้ ยสถิติทดสอบ t จาก t-test for Equality of Means ซ่ึงเป็นการทดสอบวา่

คา่ เฉล่ีย

ของกลุ่มตวั อยา่ งท้งั สองเท่ากนั หรือไม่ โดยเลือกใชจ้ ากแถวท่ีมีค่าความแปรปรวนเท่ากนั หรือไม่ จากคา่ สถิติ F-test

H0 : ค่าเฉล่ีย คะแนนก่อน ของท้งั สองกลุ่มเทา่ กนั หรือไมแ่ ตกตา่ งกนั

H1 : ค่าเฉลี่ยของ คะแนนก่อน 0 สูงกวา่ 0

ตารางที่...ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระดบั นยั สาคญั ทางสถิติ Sig
ในการทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของผเู้ รียน 2 กลุ่ม 1 tailed
N
Mean S.D. ผลตา่ งของคา่ เฉล่ีย t df 0.000

0 34 7.82 2.30 -7.26 -11.964 66
0 34 15.09 2.69
*

จากตาราง พบวา่ การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉล่ียท้งั สองกลุ่มของผเู้ รียน 0 มีค่าเฉล่ีย
เท่ากบั 7.82 คะแนนก่อน เท่ากบั 15.09 คะแนนหลงั
เม่ือเปรียบเทียบแลว้ มีความแตกตา่ งกนั เทา่ กบั -7.26

ดงั น้นั จากการทดสอบสถิติ t พบวา่ ค่าเฉลี่ยระหวา่ งผเู้ รียน สูงกวา่ อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05

ภาคผนวก ง
เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในงานวิจยั

1. ข้อสอบวัดผลสมั ฤทธกิ์ ารเรยี นรู้
2. แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านจบั ใจความภาษาองั กฤษ
3. แบบประเมินความสอดคลอ้ งของขอ้ สอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิการเรยี นรู้
4. แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนกั เรยี น
5. แผนการจัดการเรยี นรู้

-

แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ (Pre-test and Post-test)
ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3

Directions : Read the following passages and choose the best alternative to answer
each question.

Passage 1

Koh Pulau Api

Once upon a time in Saiburi town, Pattani, there was a widow who lived in a
small hut with her young son. She was poor because her fisherman husband had died.
As she was no longer able to live by fishing, she sold coconuts and shells.

When her son grew up, he wished to find a job ‘Why do you want a job, we are
happy now’
‘If I stay here, I will never be rich and will never be an important person.’ Said her son.
She did not want her son to leave.

She thought for a while and nodded. ‘I will not stand in your way. But, when you
are successful don’t forget to come to see me,! She said with tears in her eyes. On the
day her son left, she got up early to prepare the salad rice her son loved so much.

The widow continued to live in the simple hut with only neighbors for company;
she missed and thought of her beloved son every day.

1. What did she do after her husband died?

a. Sold coconuts. b. Sold mangoes.

c. Sold durian. d. Sold rambutan.

2. What did her son want to do when he grew up?

a. Wanted to marry. b. Wished to find job.

c. Wanted to be a rich. d. Wanted to be alone.

3. What did she feel when her son left her?

a. Very happy. b. Very angry.

c. Very sad. d. Very glad.

4. “If I stay here, I will never be rich”. The word “I” referred to ………………………………….. .

a. his mother. b. her son.

c. her friend. d. her father.

5. Why did she live alone?

a. Her son died. b. Her son married.
d. Her son went to find a job.
c. Her son travelled to Pattani.

6. Where was ‘Pulau Api’?

a. Songkhla. b. Pattani c. Narathiwas. d. Yala

Passage 2
อ่านเนื้อเร่ืองและตอบคาถามข้อ 7-12

Teacher: What topic are you presenting for Thai examination in class now?
Pete: I would like to tell you and everybody about one of Aesop’s stories.

“The greedy dog”.
A dog (6) stole a piece of meat from the butcher at the market. It (7) ran
rapidly to the
middle of the bridge. While it was looking down the water under the bridge, it (8)
saw another dog with a piece of meat in its mouth. That piece of meat was bigger
and the dog would like to take it.
While the dog was growling, the meat in its mouth was dropped down into
the water. Suddenly the other dog disappeared. The dog was very surprised and
finally it was angry with its own greediness.
Another dog was only its shadow in the water.
If it had not been greedy, it would not have lost the meat.
Teacher: What do you learn from the greedy dog?
Pete: If we are not greedy, we will not lose belongings.

7. What is the infinitive of “stole”?

a. steel b. steal c. stolen d. stealing
d. heard
8. Which word has an irregular form as the word “ran”? d. whispered

a. put b. cost c. shut

9. Which has the same meaning as the word “saw” in this story?

a. got b. caught c. watched

10. Whose story is this?

a. Teacher b. Student c. Pete d. Aesop

11. What is the meaning of “greedy”?

a. strongly desire for more food or wealth b. give something totally to somebody

c. gradually develop to more advanced state d. break into pieces

12. Which subject is Pete studying in class now?

a. Social b. Thai c. History d. Art

Passage 3

Angela’s Story

Last Saturday I got up very early, took a bath and had breakfast with
my parents and my brother, Simon. After breakfast we took bus
number 12 to the zoo. It was too crowded, so we went to the market
instead and bought some books, art paper and crayons.

13. What did Angela do this past weekend? b. Drew a picture.
a. Went shopping. d. Made breakfast.
c. Took care of the animals.

Passage 4

Sam went to the annual sports day with his classmates last Saturday.
They played many games and Sam won first prized for the most
interesting costume. Everyone had lots of fun. There were many
things to eat such as roast chicken, spaghetti and of course, cake and
ice cream.

14. What does the passage tell you about the sports day?

a. Sam got a prize for winning a race. b. They got a fan as a prize.

c. Sam was dressed in a costume. d. There were only a few guests.

Passage 5

Pat went to her school’s annual Christmas party. As soon as she
arrived, she saw a beautifully decorated Christmas tree with a shining
star at the top. The school hall was decorated in red and green to suit
the occasion and everyone there was dressed in white to match the
snow flakes. The Christmas music playing in the background really
added to the holiday atmosphere.

15. What does the passage tell you about Pat? b. Pat wear a red and green outfit.
a. There were some film stars at the party. d. Pat wore a red and green outfit.
c. This school party is held every year.

Passage 6

The ancient Olympics

Nobody knows exactly when the Olympics Games began, but historians
think that the first games were in 776BC. Athletes from all over Greece
came to compete in a town called Olympia. There was only one event. It
was a running race called the ‘stade’ . the first Olympic champion was
Coroebus of Ellis. He was a cook

16. What is the first name of Olympics?

a. The historical Games b. Olympia
d. Olympic champion
c. Athletes Games

17. What does the story tell us about?

a. The ancient Olympics b. The Olympia
d. The first Game
c. The Olympics

18. Where did the first game take place?

a. Athens b. Roman c. Greece d. Italy

Passage 7

Noi was playing in the garden. She saw a little bird lying on the
ground. It could not fly. She took the bird home and put it in a box.
Everyday , she fed it with some worms. When the bird became stronger,
she let it go.

19. What is the girl like?

a. Kind. b. Naughty. c. Sad. d. Strong.

20. What does the story want to teach us?

a. A bird is a lovely animal. b. Worms are good for birds.
d. Do not play in the garden.
c. Be nice to animals.

แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการอ่านจบั ใจความภาษาองั กฤษ

โดยใชเ้ ทคนิคการเรยี นรูแ้ บบ SQ4R

เรื่อง Khao Tanan

ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3

นางนริศรา หยมี ะเหร็บ
ตาแหน่งครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ

โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อ. ละงู จ. สตูล
สานักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษาสงขลา สตูล

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน

คาแนะนาการใช้

การนาแบบฝึกทกั ษะการอา่ นจบั ใจความภาษาองั กฤษโดยใชต้ านานพ้นื บา้ นภาคใต้ เรื่อง
Khao Tanan (Tanan Hill) ไปใชใ้ หม้ ีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลตามวตั ถุประสงค์ นกั เรียนตอ้ ง
ปฏิบตั ิตามลาดบั ข้นั ตอนดงั ต่อไปน้ี
1. ศึกษาจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ใหเ้ ขา้ ใจ
2. นกั เรียนทางานเป็นกลุ่ม อ่านเน้ือเรื่องทีละหนา้ จนจบเรื่อง
3. อภิปรายกลุ่ม ทาความเขา้ ใจเน้ือเรื่องสรุปใจความสาคญั ของเร่ืองท่ีอ่านร่วมกนั
4. ทาแบบฝึกหดั จากใบงานท่ีกาหนดใหจ้ นครบหากนกั เรียนมีขอ้ สงสัยใหซ้ กั ถามครู
5. ตรวจคาตอบจากเฉลยทา้ ยแบบฝึก
6. ทาแบบทดสอบประจาหน่วยการเรียนรู้เป็นรายบุคคล
7. ตรวจคาตอบจากเฉลยแบบทดสอบประจาหน่วยการเรียนรู้
8. ประเมินผลการทางานกลุ่ม นาคะแนนของแต่ละคนมารวมเป็ นคะแนนกลุ่ม บนั ทึกผล

คะแนนที่ไดล้ งในแบบบนั ทึกคะแนนกลุ่ม กลุ่มใดไดค้ ะแนนสูงสุดไดร้ ับรางวลั
9. นกั เรียนทางานร่วมกนั อยา่ งมีความสุข

Unit 2

KHAO Tanan (Tanan Hill)

ภาพประกอบ :ท่ีมา: http://trupanya.muslimthaipost.com/(2014 : online)
www.youtube.com วีดโิ อเพอื่ การศึกษา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์
Adapted from
Adapted by วทิ ยาเขตภูเกต็

(2014 : online)
: ท่ีมา :www.m.culture.in.th//(2014 : online)
:Mrs. Narissara Yeemareb and Mr. George Squires

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ด้านความรู้
1.1 นกั เรียนสามารถอา่ นออกเสียงคาศพั ทเ์ ก่ียวกบั เรื่อง The legend of Khoa
Tanan (Tanan Hill) และบอกความหมายไดถ้ ูกตอ้ ง
1.2 นกั เรียนอ่านเรื่อง The legend of Khoa Tanan (Tanan Hill) ไดเ้ ขา้ ใจและ
สามารถสรุปใจความสาคญั และตอบคาถามได้

2. ด้านทกั ษะกระบวนการ
นกั เรียนมีความสามารถในการทางานกลุ่ม

3. ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
นกั เรียนมีวินยั ใฝ่ เรียนรู้ และมุง่ มน่ั ในการทางาน

Khao Tanan (Tanan Hill)

ที่มา : http://info.dla.go.th(2014:online)

Khao Tanan is located on the coast of the Andaman Sea at Ban
Ma-ngang, Thungwha District in Satun Province. It is a high steep hill
Which is very beautiful. The hill is in the center of the village. There is
a river behind and beside of it. It’s good for the tourists to enjoy the scenery.
Khao Tanan is well known as an important place for Buddhists. There are a
monastery and a Buddha Image at Khao Tanan. The monastery and the Buddha
Image were built by a monk who travelled from Phatthalung and stayed at
Khao Tanan for seventy years.
There is a famous legend that tells the story in the past. Most people go there
because they are interested in the legend. Let’s read the story about the legend
of Khoa Tanan.

Once there was a Buddhist family. There were three people,
father, mother and a son. The parents were old. The son was a nice
boy who had a good personality. Their house was in Ban Pramuang,
in Kantang District, Trang Province.

One day there was a foreign merchant. Everyone called him
Mr. Sumpoa. He sailed his ship to sell some goods in Trang Province.
He anchored his ship at Kantang harbor.

The family was also at the harbor as they wanted to buy

something. While they were shopping, Mr. Sumpoa saw the young
son. He told the family, “I want to adopt your child because he is good
looking.” The parents agreed and gave him their son.

Mr. Sumpoa and the boy travelled to many places selling their

goods until they became millionaires. The boy was very happy with his

new family and never visited his parents.

Eventually the boy grew up to become a young man. He married
Mr. Sumpoa’s daughter. A year later his wife told her husband. She wanted

to visit his parents but he avoided talking about them.
He sent a letter to his parents because he couldn’t deny his wife.

He told them he was coming home. The parents were very happy and

prepared a lot of food for their son, including grilled pork.

The son and his wife anchored their ship at Kantang Harbor
and walked to his parents’ home. When he saw his parents, he felt very
embarrassed because of their poverty. He turned back but his mother
recognized him. She called the son and grabbed his arm.
She tried to hug him but her son pushed her away.

This made his parents very sad; his mother cried. She asked him
if he was truly her son, he wouldn’t be able to leave the harbor.


Click to View FlipBook Version