The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichuda1345, 2022-04-10 04:18:22

การพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า

ครูสุทิรา

รายงานวจิ ัยในชั้นเรยี น

การพัฒนาการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
โดยการจดั การเรยี นรู้ทสี่ ง่ เสรมิ สมรรถนะวทิ ยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA

เรือ่ ง ความสมั พันธ์ระหว่างกระแสไฟฟา้ และความตา่ งศักย์ไฟฟา้

นางสทุ ิรา กระสายสินธ์
ตำแหน่งครู

ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา อำเภอละงู จงั หวดั สตลู
สำนกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศึกษาสงขลา สตูล



ชื่อเร่ือง การพัฒนาการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยการจดั การเรียนรู้ท่ี
สง่ เสรมิ สมรรถนะวิทยาศาสตรต์ ามแนวทาง PISA เรอื่ ง ความสัมพนั ธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้าและ
ความต่างศักย์ไฟฟ้า

ผู้วจิ ัย สุทริ า กระสายสินธ์
กลมุ่ สาระฯ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ปกี ารศกึ ษา 2564

บทคดั ยอ่

งานวจิ ัยครั้งนี้มวี ตั ถปุ ระสงค์ 1.เพอ่ื ศกึ ษาการพัฒนาการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปที ี่ 3 เร่อื ง ความสัมพันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้าและ ความต่างศกั ยไฟฟ้าโดยการจัดการเรยี นร้ทู ส่ี ่งเสริมสมรรถนะ
วิทยาศาสตร์ตามแนวทางPISA 2. เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง ความสัมพันธ์
ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่
ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 3
ห้องเรียน ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/1 จำนวน 36 คน นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3/3 จำนวน 35 คน
และนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3/5 จำนวน 42 คน รวม 113 คน โดยสุ่มแบบเจาะจง ใช้เวลาทดลองท้ังส้ิน 5
คาบ คาบละ 50 นาที โดยใช้แผนการวิจัยแบบ One-group Pretest-Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการ
วิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศกั ย์ไฟฟ้า 2)
แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า 3) แบบ
ประเมนิ ความพึงพอใจ 4) แบบบนั ทกึ หลงั การจัดการเรยี นรู้

ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 เร่ือง
ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ ความต่างศักยไฟฟ้าโดยการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะ
วิทยาศาสตร์ตามแนวทางPISA ความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก และการเปรียบเทียบการพัฒนาการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ ผลการทดสอบก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้พบวา่ คะแนนหลังการจัดการเรียนรสู้ ูงกว่าก่อนเรียน



สารบญั

หน้า

บทคัดยอ่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข
สารบญั ตาราง…………………………………………………………………………………………………….………………………… ค
บทท่ี 1 บทนำ……………………………………………………………….…………………………………………….………………… 1
1
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา…………….…………………………………………………………………….. 2
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั …………………………………..…………………………………………………………………… 2
สมมติฐานของงานวิจยั ………………………………………..……………………………………………….………………… 2
ขอบเขตของการวิจยั ……………………………………………..………………………………………………………………. 3
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้อง……………….………………………………………………………………………… 3
เอกสารเกย่ี วกับแบบฝึกทักษะ………………………………………………………………………………………………… 12
งานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้อง………………………………………………………………………………………………………………… 15
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย………………………….………………………………………………………..………………………… 15
รูปแบบการวจิ ัย…………………………………………………………………………………………………………………….. 15
ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง…………………………………………………………………………………………………….. 15
เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………………………….. 15
ข้นั ตอนการสร้างและพัฒนาเคร่อื งมือ………………………………………………………………………………………. 17
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล……………………………………………………………………………………………………………. 17
การวเิ คราะห์ข้อมลู ………………………………………………………………………………………………………………… 19
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล………………………………………………………….……………………………………………. 19
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล…………………………………………………………………………………………………………….. 38
บทท่ี 5 สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ……………………..…………………………………………….……………….. 39
สรปุ ผลการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………………………………………… 40
อภิปรายผล…………………………………………………………………………………………………………………………… 40
ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………. 42
บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………………………………..



สารบญั ตาราง

ตาางท่ี หน้า

1. ตารางแสดงเปรียบเทียบคะแนนการทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน 23

เร่ือง ความสมั พนั ธ์ระหว่างกระแสไฟฟา้ และความต่างศักยไ์ ฟฟา้

กอ่ นและหลังการจดั การเรยี นรูโ้ ดยจดั การเรียนรทู้ ี่สง่ เสริมสมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวทาง PISA 27

2. ตารางแสดงคะแนนกิจกรรมท่ี 6.3 เรอื่ ง กระแสไฟฟ้าและความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้าของลวดตัวนำ

มีความสมั พันธก์ นั อย่างไร

3. ตารางแสดงคะแนนประเมินการเขยี นกราฟความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักยไ์ ฟฟ้า 31

4. ตารางแสดงคะแนนการคำนวณ เรือ่ ง กฏของโอหม์ 35

1

บทที่ 1
บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา

การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับทั้งความรู้ กระบวนการเจตคติผู้เรียนทุกคนควร
ไดร้ ับการกระตุ้นส่งเสริมใหส้ นใจและกระตือรือรน้ ท่ีจะเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ มีความสงสยั เกิดคำถามในสงิ่ ต่างๆที่
เกี่ยวกับโลกธรรมชาติรอบตัว มีความมุ่งมั่น และมีความสุขที่จะศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้เพื่อรวบรวม
ขอ้ มูล วิเคราะห์ผล นำไปสู่คำตอบของคำถาม สามารถตัดสินใจด้วยการใช้ขอ้ มูลอยา่ งมีเหตุผล สามารถส่ือสาร
คำถาม คำตอบ ขอ้ มูลและสิ่งที่คน้ พบจากการเรยี นรู้ให้ผู้อื่นเขา้ ใจได้

การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการจัดการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วย
ตนเองมปี ระสบการณต์ รงในการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด คน้ พบ
ความรู้หรือแนวทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้เอง และ
สามารถนํามาใช้ในชวี ิตประจําวนั ได้ส่วนผู้สอนเป็นเพียงผ้อู ํานวยความสะดวก ซ่งึ ถือว่าเปน็ กิจกรรมทเี่ ปิดโอกาส
ให้ผู้เรียนได้นําความรู้หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาท่ีผู้เรียนสนใจ
ศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ ด้วย
วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการวิจยั ท่ีมกี ารวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า โดยมผี ู้สอนเป็นผู้คอยให้คําปรึกษา
แนะนําแก่ผู้เรยี นเพอื่ ให้ผูเ้ รยี นบรรลจุ ดุ มงุ่ หมายท่ีต้ังไว้การดาํ เนินกิจกรรมการเรียนการสอนจะใหผ้ ู้เรียนได้ศกึ ษา
คน้ คว้าทดลอง ระดมสมอง ศกึ ษาใบความรู้อ่นื ๆ ผ้สู อนจะเป็นผู้คอยช่วยเหลอื การตรวจสอบความรู้ใหม่ๆ ซึง่ อาจ
กระทําได้ทั้งการตรวจสอบกันเองระหว่างกลุ่ม หรือผู้สอนช่วยเหลือในการตรวจสอบความรู้ใหม่ๆ กิจกรรมการ
เรียนรู้แบบ 5E ข้ึนจะช่วยเสริมสร้างพลังความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนให้เต็มขีดความสามารถ โดย
ประยุกต์ใช้หลักการเรียนรู้ด้วยตนเอง เน้นบรรยากาศในการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนมีอิสระในการคิด ทุกคนมี
โอกาสใช้ความคิดอย่างเต็มศักยภาพ

การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน พบว่า การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ไม่สัมพันธ์สอดคล้อง
กบั สังคม หรือชวี ิตประจำวัน อันเน่ืองมาจากเน้ือหาที่ใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนนั้นไม่เป็นปจั จุบัน จึงทำให้ดู
เหมือนวิทยาศาสตร์เป็นเร่ืองไกลตัว จึงเป็นผลให้การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ไม่สามารถสร้างคนที่มีความรู้
ความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แม้การปฏิรูปการรู้วิทยาศาสตร์จะเน้นให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการ
สืบเสาะ ฝึกทกั ษะสบื เสาะหาความรู้เพือ่ ใช้ความรคู้ วามสามารถประยุกตใ์ ชใ้ นการแกป้ ญั หาต่างๆ ในชีวติ จริงของ
ผู้เรียน และให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติการทดลองมากขึ้นแต่พบว่าปฏิบัติการทดลองที่ทำก็เป็นการทดลองเพ่ือ
พิสูจน์ยืนยันความรู้ท่ีกล่าวไว้ในตำราเรียน จึงทำให้นักเรียนยังรู้สึกว่าห้องเรียนน่าเบ่ือ และไม่อยากเรียน
วทิ ยาศาสตร์ (ณัฐวทิ ย์ พจนตนั ติ, 2548 : 1)

ด้วยเหตุน้ี การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจงึ เน้นให้ผูเ้ รียนเป็นผู้กระทำและคิดเอง ครผู ู้สอนมี
หน้าที่เป็นเพียงผู้จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ดังน้ันเพื่อให้ผู้เรียนได้มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนใน
วิชาวิทยาศาสตร์สูงขึ้นและรู้จักคิดโดยการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างมีเหตุผล รวมถึงสามารถสร้าง
ความรู้ได้ด้วยตนเอง และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรวิทยาศาสตร์ที่สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี (สสวท.) ได้ปรับปรุงขึ้นจากกรอบหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2544 จึงมีการพยายาม
ปรับปรุงการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ โดยการนำเอาเทคนิคและวิธีการสอนต่างๆ ที่สอดคล้องมาปรับใช้ เพื่อ
แกป้ ญั หาและปรับปรงุ การเรียนการสอนให้มปี ระสทิ ธภิ าพมากย่งิ ข้นึ

จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมคี วามสนใจในการศกึ ษาการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรยี นชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจัดการเรยี นรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เร่ือง ความสัมพันธ์

2

ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า เพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
บรรลุตามตัวชี้วัดและไปถึงสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA โดยผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนอย่าง
กระตือรือร้น และเกดิ การเรยี นรู้ด้วยตนเอง

วตั ถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพ่ือศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เร่ือง ความสัมพันธ์

ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ ความต่างศักยไฟฟา้ โดยการจัดการเรียนรทู้ ีส่ ่งเสรมิ สมรรถนะวิทยาศาสตรต์ ามแนวทาง
PISA

2. เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ
ความต่างศักย์ไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่
ส่งเสรมิ สมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA

สมมติฐานของงานวิจยั
ผลการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA
นักเรยี นเกดิ ความพึงพอใจและคะแนนหลังการสอนสงู กว่าก่อนได้รบั การสอน

ขอบเขตของการวจิ ยั
ประชากร
ประชากรทใ่ี ช้ในการวจิ ัย ได้แก่ นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา อำเภอละงู

จังหวัดสตูล ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 8 ห้อง รวม 306 คน
กล่มุ ตวั อย่าง
กลุ่มตัวอยา่ งท่ีใช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3/1 จำนวน 36 คน นกั เรยี นชน้ั

มธั ยมศึกษาปีที่ 3/3 จำนวน 35 คน และมธั ยมศึกษาปีที่ 3/5 จำนวน 42 คน รวมทง้ั สน้ิ จำนวน 113 คน การ
ส่มุ ตัวอย่างแบบเจาะจง

เนอื้ หาทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
เนื้อหารายวทิ ยาศาสตร์ 6 เร่อื ง ความสัมพนั ธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ไฟฟ้า

ระยะเวลาท่ใี ช้
ดำเนินการทดลองในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 5 คาบ ๆ ละ 50 นาที

ตวั แปรทศี่ ึกษา
ตัวแปรตน้ การจัดการเรียนร้สู ่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA

ตัวแปรตาม ผลการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า
และความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า ของนักเรียนระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นกำแพงวิทยา

3

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกีย่ วข้อง

การพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริม
สมรรถนะวทิ ยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เร่ือง ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟา้

ผูว้ จิ ยั ได้ศึกษาคน้ คว้าเอกสารและงานวจิ ัยต่างๆ ดังนี้
1. เอกสารเกี่ยวกบั สมรรถนะวทิ ยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA
2. งานวิจยั ท่เี กี่ยวขอ้ ง

1. เอกสารเก่ียวกับสมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ ามแนว PISA
สมรรถนะของวทิ ยาศาสตร์ ตามแนว PISA
นิยามการรู้เร่ืองวิทยาศาสตร์ PISA ให้นิยาม “การรู้เร่ืองวิทยาศาสตร์” ไว้ว่าการรู้เร่ือง

วทิ ยาศาสตร์ (Scientific Literacy) หมายถึง ความสามารถในการเช่อื มโยงสง่ิ ตา่ งๆ เข้ากับประเด็นท่ีเกี่ยวข้อง
กับวิทยาศาสตร์ และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างไตร่ตรอง บุคคลท่ีรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Scientifically
Literacy Person) จะสื่อสารพูดคุยในประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ซง่ึ จำเป็นต้องใช้สมรรถนะดังตอ่ ไปนี้

1. การอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ (Explain Phenomena Scientifically) เป็น
สมรรถนะที่จำเป็นสำหรับการรู้เร่อื งวิทยาศาสตร์ การแสดงออกถงึ สมรรถนะนี้ บุคคลท่ีรู้เร่ืองต้องสามารถระลึก
ถึงความรู้ด้านเน้ือหาท่ีเหมาะสมในสถานการณ์ท่ีกำหนดให้ และใช้ความรู้เพ่ือแปลความหมายและให้คำอธิบาย
ต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ สมรรถนะน้ีรวมถึงการวาดแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ท่ี
เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การบรรยายและการตีความปรากฏการณ์ การคาดการณ์หรือการพยากรณ์การ
เปล่ียนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงการให้นักเรียนระบุว่า คำบรรยาย คำอธิบายใดสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร
คำคาดการณจ์ ะเปน็ ไปได้หรือไมด่ ้วยเหตุผลอะไร เป็นตน้ โดยสรุป ผทู้ ่ีมคี วามสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์
ในเชิงวทิ ยาศาสตร์ สามารถทำสง่ิ ตอ่ ไปนี้

1.1 นำความรทู้ างวิทยาศาสตร์มาใช้สรา้ งคำอธบิ ายท่ีสมเหตสุ มผล
1.2 ระบุ ใช้ และสร้างตวั แบบ และนำเสนอขอ้ มูลเพื่อใชใ้ นการอธบิ าย
1.3 เสนอสมมติฐานเพอื่ ใช้ในการอธิบาย
1.4 พยากรณก์ ารเปล่ียนแปลงในเชิงวทิ ยาศาสตรโ์ ดยใช้ความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลทเ่ี ป็นไปได้
1.5 อธิบายถึงศกั ยภาพของความรู้ทางวิทยาศาสตรท์ ส่ี ามารถนำไปใชเ้ พ่ือสงั คม
2. การประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ (Evaluate and Design
Scientific Enquiry) บุคคลที่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ต้องมีความสามารถในการประเมินและออกแบบการสืบ
เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ในการสร้างความรู้ที่เชื่อถือได้เก่ียวกับโลกธรรมชาติการแสดงออกถึง
สมรรถนะด้านน้ี บุคคลต้องสามารถประเมินข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างมีวจิ ารณญาณ แยกแยะคำถามทาง
วิทยาศาสตร์ว่าคำถามใดสามารถตอบได้ด้วยการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ สมรรถนะน้ีจำเป็นต้องใช้ความรู้
เกี่ยวกับลักษณะสำคัญของการสำรวจตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทดสอบท่ีเที่ยงตรงต้องทำอย่างไร
ต้องเปรียบเทียบอะไร ควบคุมตัวแปรใด และเปลี่ยนแปลงตัวแปรใด ต้องค้นคว้าสาระและข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
และต้องทำอะไร อย่างไรจงึ จะเก็บข้อมูลที่ต้องการได้ นอกจากนี้ยังต่องรูถ้ ึงความสำคัญและคุณค่าของงานวิจยั ท่ี
ผ่านมาที่ส่งผลต่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เร่ืองอ่ืน ๆ ต่อไป รวมถึงการเข้าใจถึงความสำคัญของการตั้งข้อ

4

สงสัยในการรายงานท่ีปรากฏในส่ือ หรือข้อค้นพบจากงานวิจัยต่าง ๆ ในแง่มุมท่ีว่า อาจมีความคลุมเครือ การ
สรุปไม่สมเหตุสมผล ไม่มีข้อมูลมากพอ หรือมีความลำเอียงได้ เป็นต้น โดยสรุป ผู้ที่มีสมรรถนะการประเมินและ
ออกแบบกระบวนการสบื เสาะหาความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์สามารถทำสงิ่ ต่อไปนี้

2.1 สามารถระบุประเดน็ ปัญหาทีต่ ้องการสำรวจตรวจสอบจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ท่ี
กำหนดให้

2.2 แยกแยะได้ว่าประเด็นปัญหาหรือคำถามใดสามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์

2.3 เสนอวิธีสำรวจตรวจสอบปญั หาทางวิทยาศาสตร์ที่กำหนดให้
2.4 ประเมินวธิ ีสำรวจตรวจสอบปญั หาทางวิทยาศาสตรท์ ี่กำหนดให้
2.5 บรรยายและประเมินวิธีการต่าง ๆ ทนี่ ักวิทยาศาสตร์ใช้ในการยืนยันถึงความน่าเชื่อถือของ
ขอ้ มูล และความเป็นกลางและการสรุปอา้ งอิง จากคำอธบิ าย
3. การแปลความหมายข้อมูลและการใช้ประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ (Interpret Data and
Evidence Scientifically) บุคคลที่มีสมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและใช้ประจักษ์พยานในเชิง
วิทยาศาสตร์ต้องแสดงออกถึงความสามารถในการตีความข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มช่ในการส ร้าง
คำกล่าวอ้างหรือลงข้อสรุป นำเสนอข้อมูลท่ีไดรับในรูปแบบอื่น เช่น ใช้คำพูดของตนเอง แผนภาพ หรือการ
แสดงแทนอื่นๆ ได้ ซี่งสมรรถนะนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์หรือสรุปข้อมูลและใช้
ความสามารถในกรใชว้ ธิ ีการพน้ื ฐานในการแปลงข้อมลู เป็นการแสดงแทนในรูปแบบอ่ืน ๆ นอกจากน้ียังต้องสรา้ ง
ข้อสรุปท่ีสมเหตุสมผลบนพื้นฐานของประจักษ์พยาน ข้อมูล หรือประเมินข้อสรุปที่ผู้อทื่นสร้างข้ึนว่าสอดคล้อง
กบประจักษ์พยานที่มีหรือไม่ รวมถึงสามารถโต้แย้งอย่างมีสมเหตุสมผล โดยสรุป ผู้ท่ีมีสมรรถนะการแปล
ความหมายข้อมลู และใชป้ ระจักษ์พยานเชิงวทิ ยาศาสตรส์ ามารถทำสงิ่ ตอ่ ไปน้ี
3.1 แปลงข้อมลู ท่นี ำเสนอในรูปแบบหนึง่ ไปสู่รปู แบบอ่ืน
3.2 วเิ คราะห์และแปลความหมายข้อมูลทางวทิ ยาศาสตร์ และลงขอ้ สรปุ
3.3 ระบุข้อสนั นษิ ฐาน ประจักษ์พยาน และเหตผุ ล ในเร่ืองทีเ่ ก่ยี วกบั วทิ ยาศาสตร์
3.4 แยกแยะระหว่างข้อโต้แยง้ ที่มาจากประจักษพ์ ยานและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ กับที่มาจาก
การพิจารณาจากสิ่งอ่ืน
3.5 ประเมินข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์และประจักษ์พยานจากแหล่งที่มาที่หลากหลาย (เช่น
หนงั สอื พมิ พ์ อนิ เทอร์เน็ต และวารสาร)
การประเมินการรู้เร่ืองวิทยาศาสตร์ของ OECD/PISA กำหนดไว้น้ันคลอบคลุมความรู้ทางวิทยาศาสตร์
3 ดา้ น ได้แก่
1. ความรดู้ า้ นเนื้อหา (Content Knowledge)
2. ความรดู้ ้านกระบวนการ (Procedural Knowledge) และ
3. ความรเู้ กี่ยวกับการได้มาของความรู้ (Epistemic Knowledge)
1. ความรู้ด้านเน้ือหา เป็นความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริง แนวความคิดหลัก แนวคิดและทฤษฎี
เก่ียวกับโลกธรรมชาติ โดย PISA เลือกประเมินความรู้ในสาขาวิชาหลัก ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และ
วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
2. ความรู้ด้านกระบวนการ เป็นความรู้เกี่ยวกับกระบวนการท่ีนักวิทยาศาสตร์ใช้ในการสร้าง
ความรู้วิทยาศาสตร์และเป็นความรู้ในเรื่องการปฏิบัติและแนวความคิดเกี่ยวกับการสืบเสาะหาความรู้ เช่นการ
ตรวจสอบซ้ำเพื่อลดความผิดพลาดและความไม่แน่นอน การควบคุมตัวแปรและการมีกระบวนการมาตรฐานเพ่ือ
นำเสนอและสื่อสารข้อมลู

5

3. ความรู้เกี่ยวกับการได้มาของความรู้ เป็นความรู้เก่ียวกับบทบาทและลักษณะที่จำเป็นต่อ
กระบวนการสร้างความรู้ทางวทิ ยาศาสตรร์ วมถึงความเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของส่ิงต่างๆ ท่ีมีต่อวิทยาศาสตร์
เช่น คำถาม การสังเกต ทฤษฎีสมมติฐาน แบบจำลอง การอภิปรายโต้แย้งการยอมรับรูปแบบท่ีหลากหลายใน
กระบวนการสบื เสาะหาความรู้และบทบาทในการตรวจสอบจากผู้อืน่ ทท่ี ำใหค้ วามรทู้ ี่สรา้ งขึน้ นั้นนา่ เช่ือถือ

กรอบโครงสร้างการประเมินการรู้เร่ืองวิทยาศาสตร์
ตามวัตถุประสงค์ของการประเมิน PISA จึงได้กำหนดกรอบโครงสร้างการประเมินผลการรู้เรื่อง
วิทยาศาสตร์ ซ่ึงประกอบดว้ ย 4 องคป์ ระกอบที่เก่ยี วข้องกัน ไดแ้ ก่
1) บรบิ ท หมายถงึ การรบั ร้ถู ึงสถานการณ์ในชีวติ ในระดับสว่ นตัว (เกิดกับตัวเอง ครอบครวั หรือเพือ่ น)
ระดับท้องถ่ิน/ระดับชาติ และระดับโลก (ประเด็นทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นข่าวในสื่อหรือมีผลกระทบสืบเน่ืองถึง
สังคมโลกหรือต่อโลกอนาคต) ท้ังท่ีเป็นเรื่องในปัจจุบัน หรือในอดีตที่ผ่านมา ซ่ึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจ
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
2) ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความเข้าใจในข้อเท็จจริง แนวคิดหลัก และทฤษฎีสำคัญที่ทำให้
เกิดความรูพ้ น้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ความรู้ ประกอบดว้ ย

2.1) ความรู้เก่ียวกับธรรมชาติของโลกและส่ิงประดิษฐ์ทางเทคโนโลยี (ความรู้ด้านเน้ือหา) ได้แก่
ระบบทางกายภาพ ระบบส่งิ มีชวี ติ ระบบของโลกและอวกาศ

2.2) ความรู้เกี่ยวกับวิธีการในการสร้างแนวคิดต่างๆ (ความรู้ด้านกระบวนการ) ได้แก่ การ
ตรวจสอบซ้ำเพื่อลดความผิดพลาดและความไม่แน่นอน การควบคุมตัวแปรและมีกระบวน การมาตรฐานท่ี
นำเสนอและสอ่ื สารขอ้ มลู

2.3) ความเข้าใจในเหตุผลพื้นฐานของกระบวนการสร้างความรู้ (ความรู้เก่ียวกับการได้มาของ
ความรู้) ซ่ึงมีลักษณะสำคัญดังน้ี การสร้างและการระบุลักษณะของวิทยาศาสตร์ และลักษณะท่ีใช้ในการตัดสิน
ความรู้ท่ีสรา้ งจากวิทยาศาสตร์

3) สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์
การประเมินและออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการแปลความหมายข้อมูลและใช้
ประจักษพ์ ยานเชงิ วิทยาศาสตร์

4) เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ หมายถึง การแสดงการตอบสนองต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยความ
สนใจ ให้ความสำคัญกับกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และรับรู้และตระหนักถึงปัญหา
สิ่งแวดล้อมองค์ประกอบทั้งสี่มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ในการดำเนินชีวิต คนเราต้องเผชิญสถานการณ์ท่ี
หลากหลาย ในชีวิตจริงที่เก่ียวข้องกับทั้งตนเอง ท้องถ่ิน ประเทศ หรือสถานการณ์ของโลก เราจึงต้องมีและใช้
สมรรถนะ เพ่ือตอบสนองและแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างสมเหตุสมผล ซึ่งการตอบสนองจะทำได้ดีเพียงใดน้ัน
ขน้ึ อย่กู บั ความรู้และเจตคติตา่ ง ๆ ทีแ่ ต่ละคนมีอยู่ ดังความสมั พนั ธท์ ่ีแสดงในรูปต่อไปนี้

ระดับสมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ าม

การอธบิ ายปรากฏการณ

A A1 A2 A3
นำความรู้ทางวิทยาศาสตรม์ าใช้ ระบุ ใช้ และสรา้ งแบบจำลอง และ พยากรณก์ ารเ
สร้างคำอธบิ ายทส่ี มเหตสุ มผล นำเสนอข้อมลู เพ่อื ใช้ในการอธบิ าย ในเชิงวิทยาศ
ความเป็นเหตุเป
ระดบั 1 นักเรียนสามารถบอกข้อเทจ็ จรงิ นกั เรียนสามารถสร้างแบบจำลอง
ทไี่ ด้จากการสงั เกตเหตกุ ารณ์ ของเร่ืองราวทไี่ ดจ้ ากการสงั เกต นักเรยี นสามาร
ในชีวิตประจำวัน โดยใช้คำศัพท์ การเปลี่ยนแปลง
เหตุการณใ์ นชวี ิตประจำวนั ในชีวิตประจำว
ทางวิทยาศาสตร์ โดยใชค้ ำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ประสบการณ

ระดบั 2 นักเรียนสามารถบอกความรู้ นักเรยี นสามารถสร้างแบบจำลอง นักเรียนสามาร
ทางวิทยาศาสตรท์ เี่ กยี่ วขอ้ งกับ และระบอุ งค์ประกอบของแบบจำลอง การเปลย่ี นแปลง
เหตกุ ารณ์ในชีวิตประจำวนั ได้ ในชวี ติ ประจำว
ของเร่ืองราวที่ไดจ้ ากการสังเกต โดยใช้ความรทู้ า
ระดับ 3 นักเรยี นสามารถใชค้ วามรู้ เหตุการณ์ในชีวิตประจำวนั
ระดับ 4 ทางวิทยาศาสตร์ท่ีซับซ้อน โดยใชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์ นกั เรียนสามารถพย
ความสัมพนั ธข์ องก
ในการสร้างคำอธิบาย นกั เรยี นสามารถสร้างแบบจำลอง
เพอ่ื แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง เชิงอธิบายท่ใี ชค้ วามรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ของเหตกุ ารณ์
ปัจจัยทเ่ี กยี่ วข้องกับปรากฏการณ์นั้น ทซี่ ับซอ้ นเพ่ือนำเสนอความสมั พนั ธ์ ทางวิทยาศาสตรไ์ ด
ระหวา่ งองคป์ ระกอบของแบบจำลอง
ได้อย่างสมเหตสุ มผล นักเรยี นสามารถพย
ที่เก่ยี วขอ้ งกบั ปรากฏการณ์นั้น ความสมั พนั ธข์ องก
นกั เรยี นสามารถใชค้ วามรู้ ไดอ้ ย่างสมเหตุสมผล
ทางวทิ ยาศาสตรท์ ซ่ี บั ซอ้ นหรอื ของเหตุการณ
เปน็ นามธรรม ในการสร้างคำอธบิ าย นกั เรียนสามารถสรา้ งแบบจำลอง โดยใช้ความร้ทู า
เชงิ อธิบายที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทซี่ บั ซ้อนหรอื เ
เหตุการณ์ทีไ่ ม่คุ้นเคย
ที่ซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม
เพ่อื อธบิ ายเหตุการณ์ทไ่ี มค่ นุ้ เคย

ได้อยา่ งสมเหตสุ มผล

6

มแนวทาง PISA 6 ระดบั

ณ์ในเชิงวทิ ยาศาสตร์ (A)

3 A4 A5
เปลยี่ นแปลง เสนอสมมตฐิ านเพ่ือใช้ในการอธบิ าย อธบิ ายถึงศักยภาพของ
ศาสตรโ์ ดยใช้ ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์
ปน็ ผลทเ่ี ป็นได้ นักเรยี นสามารถเสนอสมมติฐาน ทส่ี ามารถนำไปใชเ้ พ่ือสังคม
จากการสังเกตเหตุการณใ์ น นักเรยี นสามารถบอกประโยชน์
รถคาดการณ์ จากการใชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์
งของเหตุการณ์ ชีวติ ประจำวัน ท่ไี มจ่ ำเปน็ ต้องนำไปสกู่ าร ที่อาจเกดิ ขน้ึ ในระดบั บคุ คลและสงั คม
วันที่สังเกตได้ ออกแบบ
ณเ์ ดิมของนกั เรียน นักเรยี นสามารถบอกประโยชน์
การตรวจสอบทางวทิ ยาศาสตร์ได้ จากการใช้ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์
รถคาดการณ์ ที่อาจเกดิ ขึ้นในระดบั สงั คมที่กวา้ งขนึ้
งของเหตกุ ารณ์ นักเรียนสามารถเสนอสมมตฐิ าน
วันทส่ี ังเกตได้ จากการสงั เกตเหตุการณใ์ น นักเรียนสามารถบอกประโยชน์
างวทิ ยาศาสตร์ จากการใช้ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์
ชีวติ ประจำวนั ท่ีสามารถนำไปสู่การ ทอ่ี าจเกิดขน้ึ ในระดับบุคคลและสงั คม
ยากรณ์และอธิบาย ออกแบบ
การเปลย่ี นแปลง โดยมเี หตุผลสนบั สนุน
โดยใชค้ วามรู้ การตรวจสอบทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้
ดอ้ ยา่ งสมเหตสุ มผล
นักเรยี นสามารถเสนอสมมตฐิ าน
เพอื่ อธบิ ายปรากฏการณ์

โดยใชค้ วามรูท้ างวทิ ยาศาสตรท์ ี่ซับซ้อน
อยา่ งสมเหตุสมผล

ยากรณแ์ ละอธบิ าย นกั เรยี นสามารถเสนอสมมติฐาน นกั เรียนสามารถบอกประโยชน์
การเปล่ียนแปลง เพื่ออธบิ ายและลงข้อสรุปเหตกุ ารณ์ จากการใชค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์
ณ์ท่ไี ม่ค้นุ เคย ท่ไี มค่ ุ้นเคย โดยใช้ความร้ทู างวิทยาศาสตร์
างวทิ ยาศาสตร์ ทซี่ บั ซอ้ นหรอื เป็นนามธรรม
เปน็ นามธรรม ที่ซบั ซอ้ นหรอื เป็นนามธรรม ท่อี าจเกดิ ขึ้นในระดับสงั คมทีก่ วา้ งข้นึ
และใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษส์ นับสนุน
เพื่อสนบั สนุนการอธบิ าย

การอธบิ ายปรากฏการณ

A A1 A2 A3
นำความรู้ทางวิทยาศาสตรม์ าใช้ ระบุ ใช้ และสร้างแบบจำลอง และ พยากรณ์การเ
สรา้ งคำอธบิ ายที่สมเหตสุ มผล นำเสนอขอ้ มูลเพื่อใช้ในการอธบิ าย ในเชิงวทิ ยาศ
ความเป็นเหตุเป

ระดบั 5 นกั เรียนสามารถใชค้ วามรู้ นักเรยี นสามารถสรา้ งแบบจำลอง นกั เรยี นสามารถพย
ทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ีซับซอ้ นและ เชงิ อธิบายที่ใชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์ ความสัมพนั ธข์ องก
เป็นนามธรรม ในการสรา้ งคำอธิบาย
ทซ่ี บั ซอ้ นและเปน็ นามธรรม ของปรากฏการ
ปรากฏการณท์ ่ไี มค่ ุน้ เคย โดยระบุความสมั พนั ธเ์ ชงิ สาเหตุ โดยใช้ความรู้ทา
เพื่ออธิบายปรากฏการณท์ ่ีไม่คนุ้ เคย ท่ซี บั ซ้อนและเ

ระดบั 6 นกั เรยี นสามารถใช้ความรู้ นกั เรียนสามารถสรา้ งแบบจำลอง นักเรียนสามารถพย
ทางวิทยาศาสตรท์ ้งั ในดา้ น เชงิ อธบิ ายที่ใช้ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ โดย
วิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชีวภาพ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ ชวี ภาพ
โลกและอวกาศ ในระดับบูรณาการ โลกและอวกาศ ในระดับบรู ณาการ ที่มเี หตุผลสนับส
เพือ่ เสนอสมมติฐานเชงิ อธบิ าย ทางวิทยาศาสตร์ ทง้ั
ตอ่ ปรากฏการณใ์ หมเ่ พ่ือพยากรณ์ โดยระบุความสัมพนั ธ์เชงิ สาเหตุ
เพื่ออธบิ ายปรากฏการณ์ กายภาพ ชวี ภาพ
เหตกุ ารณ์ในอนาคต ท่ซี ับซอ้ นและไมค่ ้นุ เคย ในระดับบ

การประเมนิ และออกแบบกระบวนการส

7

ณใ์ นเชิงวิทยาศาสตร์ (A)

3 A4 A5
เปลยี่ นแปลง เสนอสมมตฐิ านเพ่ือใช้ในการอธิบาย อธบิ ายถงึ ศักยภาพของ
ศาสตร์โดยใช้ ความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์
ปน็ ผลทีเ่ ป็นได้ ท่ีสามารถนำไปใชเ้ พ่ือสงั คม

ยากรณแ์ ละอธิบาย นักเรยี นสามารถเสนอสมมตฐิ าน นกั เรยี นสามารถบอกประโยชน์
การเปลยี่ นแปลง เพ่ืออธบิ ายและลงข้อสรุปปรากฏการณ์ จากการใชค้ วามรูท้ างวทิ ยาศาสตร์
รณ์ท่ีไม่คุ้นเคย ที่ไม่คุ้นเคย โดยใชค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์
างวทิ ยาศาสตร์ ทีซ่ ับซ้อนและเปน็ นามธรรม
เปน็ นามธรรม ที่ซับซอ้ นและเปน็ นามธรรม ทีอ่ าจสง่ ผลตอ่ ปรากฏการณท์ างสังคม
และใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์
เพอ่ื สนบั สนุนการอธิบาย โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์และ
เหตผุ ลสนบั สนนุ

ยากรณแ์ ละอธิบาย นักเรยี นสามารถเสนอสมมติฐาน นักเรยี นสามารถบอกประโยชน์
ยสรา้ งคำกล่าวอา้ ง เพ่อื อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ปรากฏการณ์ จากการใช้ความร้ทู างวิทยาศาสตร์
สนนุ ด้วยความรู้ ท่ีไมค่ ุ้นเคย โดยใชค้ วามรทู้ างวิทยาศาสตร์
งในดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ท้ังในด้านวิทยาศาสตรก์ ายภาพ ชวี ภาพ ท่ซี ับซอ้ นและเปน็ นามธรรม
พ โลกและอวกาศ ทอี่ าจส่งผลตอ่ ปรากฏการณ์ทางสังคม
บรู ณาการ โลกและอวกาศ ในระดับบรู ณาการ โดยใชค้ วามร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ทง้ั ในดา้ น
และใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์
ในการสนับสนุนการอธิบาย วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ชวี ภาพ
โลกและอวกาศ ในระดบั บรู ณาการ
รวมถึงเข้าใจวา่ สมมตฐิ านสามารถ
เปล่ยี นแปลงไดถ้ ้ามีหลักฐานใหม่

ทน่ี า่ เช่ือถือ

สืบเสาะหาความรูท้ างวิทยาศาสตร์ (B)

B1 B2 B3
แยกแยะไดว้ ่าประเด็นปญั หาหรือ เสนอวธิ ีสำรวจตร
B สามารถระบุประเด็นปญั หา คำถามใดสามารถตรวจสอบไดด้ ้วย ทางวทิ ยาศาสต
ทต่ี ้องการสำรวจตรวจสอบ
จากการศกึ ษาทางวทิ ยาศาสตร์ วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์
ที่กำหนดให้

นกั เรียนสามารถระบปุ ระเด็นปัญหาจาก นักเรียนสามารถแยกประเด็นปญั หาอยา่ ง นกั เรียนสามารถเส

ระดับ สถานการณอ์ ย่างงา่ ยได้ งา่ ยท่คี รูกำหนดใหไ้ ดว้ ่าประเด็นใดเป็น ตรวจสอบจากสถานก

1 (ไมเ่ กิน 2 ตัวแปร) ปัญหาหรือคำถามท่ีสามารถตรวจสอบได้ ไมแ่ สดงถงึ ข้ันตอนกา

ดว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ชดั เจ

นักเรยี นสามารถระบปุ ระเดน็ ปัญหาที่ นักเรยี นสามารถแยกประเดน็ ปญั หาอยา่ ง นกั เรยี นสามารถเส

สามารถนำไปส่กู ารออกแบบการทดลอง ง่ายทีก่ ำหนดใหไ้ ดว้ า่ ประเด็นใดเปน็ ตรวจสอบจากสถานก

ระดบั อย่างง่ายได้ โดยระบตุ วั แปรตน้ ตวั แปร ปัญหาหรือคำถามท่ีสามารถตรวจสอบได้ เกนิ 2 ตวั แปร) โดยแ

2 ตาม และตวั แปรควบคุมได้ ดว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ (ไม่เกิน 2 สำรวจตรวจส

ตวั แปร) โดยอ้างเหตุผลของความสามารถ

ในการวดั ปรมิ าณของตวั แปร

นักเรยี นสามารถระบปุ ระเดน็ ปัญหาของ นักเรยี นสามารถแยกประเดน็ ปญั หาจาก นกั เรียนสามารถเส
เหตุการณ์ท่ีกำหนดขอบเขตการศกึ ษาที่ เหตุการณ์ที่กำหนดขอบเขตการศึกษาท่ี ตรวจสอบเหตกุ ารณ

จำกดั จำกดั (จำกัดบางพารามเิ ตอรข์ อง การศกึ ษาทจ่ี ำกัด (จำ
ระดบั (จำกดั บางพารามิเตอรข์ องเหตกุ ารณ์) เหตุการณ์) โดยกำหนดไดว้ า่ ประเด็นใด ของเหตกุ ารณ์) โดยแ

3 เปน็ ปญั หาหรอื คำถามทตี่ รวจสอบได้ด้วย สำรวจตรวจสอบที่ชัด
วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ไม่เกนิ 2 ตัวแปร
(พจิ ารณาจากความสามารถในการวัด
ปรมิ าณของตวั แปร)

นกั เรียนสามารถระบปุ ระเดน็ ปญั หาของ นกั เรยี นสามารถแยกประเดน็ ปญั หาจาก นักเรยี นสามารถเส

เหตุการณ์ทร่ี ะบขุ อบเขตของการศึกษาที่ เหตกุ ารณท์ ่มี ีความซับซอ้ นเพมิ่ ขน้ึ มตี ัว ตรวจสอบเหตุการณ

ระดับ จำกัด และมตี วั แปรอิสระ 2 ตวั แปรขึ้นไป แปรอสิ ระ 2 ตวั แปรขนึ้ ไป โดยกำหนดได้ เพม่ิ ขนึ้ ระบุขอบเขต
4 (จำกดั บางพารามิเตอรข์ องเหตุการณ์) วา่ ประเด็นใดเป็นปัญหาหรอื คำถามที่ จำกัด (จำกดั บางพ
สามารถตรวจสอบได้ด้วยวธิ ีการทาง
เหตุการณ์) และมตี ัวแ

วทิ ยาศาสตร์ (โดยอา้ งเหตุผลของ ขนึ้ ไป โดยแสดงถึงข

ความสามารถในการวัดปรมิ าณของตวั ตรวจสอบทีช่ ัดเจน

8

3 B4 B5
รวจสอบปญั หา ประเมินวิธสี ำรวจตรวจสอบปญั หา บรรยายและประเมินวธิ กี ารตา่ ง ๆ
ตร์ทก่ี ำหนดให้ ทน่ี กั วทิ ยาศาสตรใ์ ช้ในการยนื ยนั
ทางวิทยาศาสตร์ท่กี ำหนดให้ ถึงความน่าเชื่อถือของขอ้ มูล และ
สนอวธิ กี ารสำรวจ ความเปน็ กลางและการสรปุ อา้ งอิง
การณ์อยา่ งงา่ ย โดย นกั เรยี นสามารถเลอื กวธิ กี ารสำรวจ
ารสำรวจตรวจสอบที่ ตรวจสอบจากข้อมูลทกี่ ำหนดให้ จากคำอธบิ าย
จน
นกั เรยี นสามารถเลอื กวิธกี ารสำรวจ นักเรียนสามารถอธบิ ายเกณฑก์ าร
สนอวธิ ีการสำรวจ ตรวจสอบจากขอ้ มลู ทกี่ ำหนดให้ ภายใต้ ตดั สนิ ใจวธิ ีการสำรวจตรวจสอบจาก
การณอ์ ยา่ งง่าย (ไม่ สถานการณอ์ ย่างง่ายโดยไมแ่ สดงถึง
แสดงถึงข้นั ตอนการ สถานการณ์อยา่ งง่าย โดยให้เหตผุ ล เหตุผลตามกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
สอบทช่ี ดั เจน ทางด้านความรู้และวิธกี ารทาง
วทิ ยาศาสตร์มาสนบั สนุน นักเรียนสามารถอธิบายเกณฑ์การ
ตดั สนิ ใจวธิ กี ารสำรวจตรวจสอบจาก
สถานการณอ์ ย่างง่ายโดยแสดงถึงเหตุผล
ตามกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

สนอวธิ ีการสำรวจ นักเรยี นสามารถประเมินวธิ ีการสำรวจ นกั เรียนสามารถอธิบายวธิ ีการสำรวจ
ณท์ ่ีระบขุ อบเขตของ ตรวจสอบ จากขอ้ มูลที่กำหนดให้ ภายใต้ ตรวจสอบ จากข้อมูลที่กำหนดให้ ภายใต้
ำกดั บางพารามเิ ตอร์ เหตกุ ารณ์ที่ระบขุ อบเขตของการศกึ ษาที่ เหตกุ ารณท์ ร่ี ะบขุ อบเขตของการศกึ ษาท่ี
แสดงถึงขน้ั ตอนการ
ดเจนและเป็นระบบ จำกัด จำกัด
โดยให้เหตุผลทางดา้ นความรูแ้ ละวธิ กี าร โดยใหเ้ หตผุ ลทางดา้ นความรู้และวธิ ีการ

ทางวิทยาศาสตรม์ าสนบั สนุน ทางวิทยาศาสตร์มาสนบั สนนุ

สนอวธิ ีการสำรวจ นักเรยี นสามารถประเมินวิธกี ารสำรวจ นกั เรยี นสามารถอธบิ ายวธิ ีการประเมนิ
ณ์ทม่ี ีความซบั ซ้อน ตรวจสอบ ภายใต้เหตกุ ารณ์ที่มคี วาม การสำรวจตรวจสอบ ภายใต้เหตกุ ารณท์ ี่
ตของการทดลองที่ มีความซบั ซอ้ นเพม่ิ ขน้ึ ระบุขอบเขตของ
พารามิเตอรข์ อง ซบั ซอ้ นเพม่ิ ข้นึ
แปรอสิ ระ 2 ตัวแปร ระบุขอบเขตของการศกึ ษาทีจ่ ำกดั การศึกษาทจี่ ำกัด
ข้นั ตอนการสำรวจ (จำกดั บางพารามิเตอร์ของเหตกุ ารณ์) (จำกัดบางพารามิเตอร์ของเหตกุ ารณ์)
นและเป็นระบบ และมตี ัวแปรอสิ ระ 2 ตวั แปรข้ึนไป และมีตัวแปรอิสระ 2 ตัวแปรขึ้นไป
โดยให้เหตุผลทางด้านความรู้และวธิ ีการ โดยใหเ้ หตุผลทางด้านความรูแ้ ละวธิ กี าร

การประเมนิ และออกแบบกระบวนการส

B1 B2 B3
แยกแยะได้ว่าประเด็นปัญหาหรอื เสนอวธิ สี ำรวจตร
B สามารถระบปุ ระเดน็ ปญั หา คำถามใดสามารถตรวจสอบไดด้ ้วย ทางวทิ ยาศาสต
ที่ตอ้ งการสำรวจตรวจสอบ
จากการศกึ ษาทางวทิ ยาศาสตร์ วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์
ทีก่ ำหนดให้

แปร)

นักเรียนสามารถระบุประเด็นปัญหาของ นกั เรยี นสามารถแยกประเดน็ ปัญหาจาก นักเรียนสามารถออ

ปรากฏการณ์ท่ีซบั ซ้อน สร้างทางเลือกใน ปรากฏการณ์ทีซ่ บั ซ้อนมตี ัวแปรอิสระสอง ตรวจสอบปรากฏการ

การทดลอง และตดั สินใจเลอื กวธิ กี าร ตวั แปรข้ึนไปโดยระบไุ ด้วา่ ประเด็นใดเปน็ ความรแู้ ละวธิ กี ารท

ระดับ สำรวจตรวจสอบไดอ้ ยา่ งเหมาะสม โดยมี ปัญหาหรือคำถามที่สามารถตรวจสอบได้ เหมาะสม มีการอ
5 หลักการ หรือให้เห
ความรู้ทางวิทยาศาสตรร์ องรับ ดว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยอาศยั วิธกี ารทดลอง/สบื คน้

ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ เชน่ หลกั การ

ทฤษฎี ทต่ี อ้ งคำนงึ ถงึ ลกั ษณะของตัว วิธีการหนง่ึ ท่ีต้อง

แปรที่วัดไดแ้ ละความไมแ่ นน่ อนของ แนน่ อนของขอ้ มูลทา

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ นำเสนอให้ผ

นักเรียนสามารถกำหนดประเด็นปัญหาที่ นกั เรยี นสามารถแยกประเดน็ ปญั หาจาก นักเรียนสามารถออ

นักเรียนสนใจต้องการสำรวจ ตรวจสอบ ปรากฏการณท์ ี่ซับซ้อนระดบั บูรณาการได้ ตรวจสอบปรากฏการ

ของปรากฏการณ์ท่ซี บั ซ้อนในระดบั วา่ ประเด็นใดเป็นปญั หาหรอื คำถามที่ ความรู้ทางด้านวิทย

บูรณาการจากการเก็บขอ้ มลู ภาคสนาม สามารถตรวจสอบได้ด้วยวธิ กี ารทาง ชีวภาพ และ โลก อว

ระดบั การทดลอง การจำลอง ซ่งึ เปน็ วทิ ยาศาสตร์ โดยอาศยั ความรทู้ าง วทิ ยาศาสตรท์ เ่ี หมา

6 สถานการณท์ ่ีซบั ซ้อนได้ วทิ ยาศาสตร์ เช่น หลกั การ ทฤษฎี ที่ สำรวจ ตรวจสอบเ

ต้องคำนึงถงึ ลกั ษณะของตวั แปรทว่ี ัดได้ ประเดน็ ทน่ี ักเรียนสน

และความไมแ่ นน่ อนของขอ้ มลู ทาง ภาคสนาม การทด

วทิ ยาศาสตร์ จำลอง ในปรากฏการ

นำเสนอให้ผ

9

สบื เสาะหาความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ (B)

3 B4 B5
รวจสอบปญั หา ประเมนิ วิธีสำรวจตรวจสอบปญั หา บรรยายและประเมินวธิ กี ารตา่ ง ๆ
ตรท์ ก่ี ำหนดให้ ทน่ี ักวิทยาศาสตรใ์ ชใ้ นการยืนยนั
ทางวทิ ยาศาสตรท์ ก่ี ำหนดให้ ถึงความนา่ เชื่อถือของขอ้ มูล และ
ความเป็นกลางและการสรุปอ้างอิง
ทางวทิ ยาศาสตรม์ าสนบั สนนุ
จากคำอธิบาย

ทางวิทยาศาสตรม์ าสนบั สนุน

อกแบบการสำรวจ นกั เรยี นสามารถประเมินวธิ กี ารสำรวจ นักเรียนสามารถอธิบายวธิ กี ารประเมนิ
รณท์ ่ซี บั ซ้อนโดยใช้ ตรวจสอบ ภายใตป้ รากฏการณท์ ซ่ี บั ซ้อน การสำรวจตรวจสอบ ภายใต้
ทางวิทยาศาสตร์ที่ โดยใชค้ วามรแู้ ละวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์
อา้ งองิ ทฤษฎหี รือ ปรากฏการณ์ที่ซบั ซ้อนโดยใชค้ วามรู้และ
หตผุ ลในการเลือก ที่เหมาะสม มีการอา้ งองิ ทฤษฎหี รอื วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ท่เี หมาะสม มีการ
น/สำรวจ วิธกี ารใด หลักการ หรอื ใหเ้ หตผุ ลในการเลอื ก อ้างองิ ทฤษฎหี รือหลกั การ หรือใหเ้ หตผุ ล
งคำนึงถงึ ความไม่ วิธีการทดลอง/สืบค้น/สำรวจ วิธกี ารใด ในการเลือกวธิ ีการทดลอง/สืบคน้ /สำรวจ
างวทิ ยาศาสตร์ แลว้ วธิ กี ารหนึง่ ทีต่ ้องคำนึงถึงความไม่ วธิ ีการใดวธิ กี ารหนึง่ ทต่ี อ้ งคำนึงถึงความ
ผูอ้ ืน่ เข้าใจ แน่นอนของขอ้ มูลทางวทิ ยาศาสตร์ ไม่แน่นอนของข้อมลู ทางวิทยาศาสตร์

อกแบบการสำรวจ นกั เรียนสามารถประเมินวิธกี ารสำรวจ นักเรยี นสามารถอธบิ ายวธิ กี ารประเมิน
รณท์ ซ่ี ับซ้อนโดยใช้ ตรวจสอบปรากฏการณ์ท่ีซบั ซอ้ นโดยใช้ การสำรวจตรวจสอบปรากฏการณ์ที่
ยาศาสตร์กายภาพ ความรู้ทางด้านวทิ ยาศาสตร์กายภาพ
วกาศและวธิ ีการทาง ชีวภาพ และ โลก อวกาศและวธิ กี ารทาง ซบั ซอ้ นโดยใช้ความร้ทู างดา้ น
าะสม โดยมวี ธิ กี าร วทิ ยาศาสตรท์ ่เี หมาะสม โดยมวี ธิ กี าร วิทยาศาสตร์ กายภาพ ชวี ภาพ และ โลก
เพอ่ื หาคำตอบใน
นใจ มกี ารเกบ็ ขอ้ มลู สำรวจ ตรวจสอบเพ่อื หาคำตอบใน อวกาศและวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ท่ี
ดลอง สถานการณ์ ประเดน็ ท่นี ักเรียนสนใจ มกี ารเกบ็ ข้อมลู เหมาะสม โดยมวี ธิ ีการสำรวจ ตรวจสอบ
รณท์ ไ่ี ม่คนุ้ เคย แลว้ เพื่อหาคำตอบในประเดน็ ท่ีนักเรียนสนใจ
ผู้อื่นเขา้ ใจ ภาคสนาม การทดลอง สถานการณ์ มีการเกบ็ ขอ้ มูลภาคสนาม การทดลอง
จำลอง ในปรากฏการณ์ทไ่ี มค่ ุน้ เคย สถานการณ์จำลอง ในปรากฏการณท์ ี่ไม่

คนุ้ เคย

การแปลความหมายขอ้ มูลและการใช้ป

C1 C2 C3

C แปลงข้อมูลทีน่ ำเสนอในรปู แบบหน่ึง วเิ คราะหแ์ ละแปลความหมาย ระบุข้อสนั นิษฐาน ป

ไปส่รู ูปแบบอื่น ขอ้ มูลทางวทิ ยาศาสตร์ และลงข้อสรปุ เหตุผลในเรอ่ื งท่เี ก่ยี

นักเรยี นสามารถแปลงข้อมลู ดิบ นักเรยี นสามารถเปรยี บเทยี บ จำแนก นักเรยี นสามารถระบ
ระดบั เชิงปริมาณหรือเชงิ คุณภาพทกี่ ำหนดให้ แยกแยะ และแปลความหมาย บอกประจกั ษพ์ ย
ข้อมูลทีก่ ำหนดให้ จากขอ้ มูลท
1 แล้วนำเสนอในรปู แบบอื่นอยา่ งงา่ ย (ขอ้ สันนิษฐ

นักเรียนสามารถแปลงขอ้ มูลดิบ นักเรยี นสามารถเปรียบเทยี บ จำแนก นกั เรยี นสามารถระ
เพ่อื อธิบายสถานกา
ระดับ เชงิ ปริมาณและเชิงคณุ ภาพท่ีมาจาก แยกแยะ แปลความหมาย และลงข้อสรปุ
2 สถานการณใ์ นชีวิตประจำวันทกี่ ำหนดให้ ขอ้ มลู จากสถานการณ์ในชีวติ ประจำวัน เกีย่ วกบั วทิ ยาศาส
โดยใช้ประจักษ
แล้วนำเสนอในรปู แบบอ่ืน ทกี่ ำหนดให้ โดยใชค้ วามรู้ เหตผุ ลสน

ทางวิทยาศาสตร์

นักเรยี นสามารถแปลงข้อมลู ดิบ นักเรยี นสามารถวเิ คราะห์และ นักเรยี นสามารถสร

ระดับ เชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพท่ีมาจาก แปลความหมายขอ้ มูล เพ่ือแสดง เพื่ออธบิ ายเหตุก
3 สถานการณ์ภายใต้เง่อื นไขจำกดั รปู แบบของขอ้ มูลท่ีมาจากสถานการณ์ วทิ ยาศาสตร์ โดยใ
แล้วนำเสนอในรปู แบบท่ีเขา้ ใจไดง้ ่าย ภายใตเ้ งอ่ื นไขจำกัด และลงขอ้ สรปุ
และเหตผุ ล

โดยใช้ความรูท้ างวิทยาศาสตร์ทซ่ี บั ซอ้ น

นักเรียนสามารถแปลงขอ้ มูลดิบ นักเรียนสามารถวเิ คราะห์และ นักเรยี นสามารถสร
แปลความหมายขอ้ มูล เพ่ือแสดง เพื่ออธิบายเหตกุ
เชิงปรมิ าณและเชงิ คุณภาพที่ซับซ้อน รปู แบบของข้อมูลทีม่ าจากเหตกุ ารณ์ วิทยาศาสตร์ ทีซ่ ับ
ท่ไี มค่ ุ้นเคย และลงข้อสรปุ ทก่ี ว้างข้นึ ไมค่ ุ้นเคยมาก่อน
ระดับ และมที ี่มาจากเหตุการณ์ท่ีไม่คุ้นเคย โดยใช้ความรูท้ างวิทยาศาสตรท์ ี่ซับซอ้ น
4 แล้วนำเสนอในรปู แบบท่ีเขา้ ใจได้งา่ ย เพอ่ื สรา้ งทางเลือกในการตัดสินใจ ประจักษ์พยานและ
เพ่ือสรา้ งทางเลอื กในการตดั สนิ ใจ ทเี่ หมา

ระดับ นักเรียนสามารถแปลงข้อมูลดิบ นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์ นักเรยี นสามารถสร

10

ประจกั ษพ์ ยานในเชิงวิทยาศาสตร์ (C)

3 C4 C5
ประจักษพ์ ยาน และ แยกแยะระหว่างขอ้ โต้แยง้ ประเมนิ ข้อโตแ้ ย้งทางวทิ ยาศาสตร์และ
ยวกับวิทยาศาสตร์ ท่ีมาจากประจกั ษพ์ ยานและทฤษฎี
ทางวิทยาศาสตร์ กบั ทีม่ าจาก ประจกั ษ์พยานจากแหล่งที่มาที่
การพิจารณาจากสง่ิ อ่นื หลากหลาย (เช่น หนงั สอื พมิ พ์

อนิ เทอรเ์ น็ต และวารสาร)

บขุ ้อสันนิษฐานและ นกั เรยี นสามารถแยกแยะข้อโตแ้ ย้งทม่ี า นกั เรยี นสามารถประเมินขอ้ โต้แยง้ และ
ยานสนับสนุน จากประจักษพ์ ยานและทฤษฎีทาง ประจักษพ์ ยานโดยใช้ความรู้เดิมอยา่ งงา่ ย
ท่ีกำหนดให้
ฐานของ?) วิทยาศาสตร์ กบั ท่มี าจากการพจิ ารณาสงิ่ จากขอ้ มูลท่กี ำหนดให้
อืน่ จากขอ้ มูลทก่ี ำหนดให้

ะบขุ ้อสนั นิษฐาน นักเรียนสามารถแยกแยะขอ้ โต้แยง้ ที่มา นักเรียนสามารถประเมนิ ขอ้ โตแ้ ย้งและ
ารณช์ ีวิตประจำวนั จากประจกั ษพ์ ยานและทฤษฎีทาง ประจักษพ์ ยานโดยใช้ความรู้ทาง
สตร์ท่ีกำหนดให้
ษ์พยานและ วทิ ยาศาสตร์ กับท่มี าจากการพจิ ารณาสงิ่ วทิ ยาศาสตร์ในสถานการณช์ วี ิตประจำวนั
นับสนุน อน่ื ในสถานการณช์ วี ติ ประจำวนั

รา้ งข้อสันนษิ ฐาน นกั เรียนสามารถแยกแยะข้อโต้แยง้ ที่มา นกั เรยี นสามารถประเมินขอ้ โตแ้ ย้งและ
การณ์ทีเ่ กย่ี วกับ จากประจักษพ์ ยานและทฤษฎีทาง ประจกั ษพ์ ยานโดยใช้ความรูท้ าง
ใชป้ ระจักษ์พยาน
ลสนับสนุน วทิ ยาศาสตร์ กบั ที่มาจากการพจิ ารณาสง่ิ วทิ ยาศาสตร์ทซี่ บั ซอ้ น และให้เหตุผล
อืน่ โดยระบเุ หตผุ ลสนับสนุนการแยกแยะ สนบั สนุนการประเมินนนั้
ร้างขอ้ สันนิษฐาน
การณท์ เี่ กยี่ วกับ จากขอ้ มูลในเหตุการณ์ทีถ่ ูกจำกดั นกั เรียนสามารถประเมินขอ้ โตแ้ ย้งและ
บซ้อนมากขนึ้ หรอื ประจกั ษพ์ ยานโดยใช้ความรูท้ าง
น โดยเลอื กใช้ นักเรียนสามารถแยกแยะขอ้ โต้แยง้ ทม่ี า
ะเหตผุ ลสนบั สนนุ จากประจกั ษพ์ ยานและทฤษฎีทาง วทิ ยาศาสตรท์ ่ีซบั ซอ้ นหรือเปน็ นามธรรม
าะสม และให้เหตุผลสนับสนุนในการประเมนิ นนั้
วิทยาศาสตร์ กบั ท่ีมาจากการพจิ ารณาสง่ิ
อ่นื โดยระบเุ หตผุ ลสนับสนนุ ในการ ในเหตุการณ์ท่ีไมค่ ้นุ เคย
แยกแยะสกู่ ารตัดสนิ ใจเลอื กประจกั ษ์

พยานท่เี หมาะสม จากขอ้ มูลในเหตกุ ารณ์
ท่ไี ม่คุ้นเคย

ร้างขอ้ สันนษิ ฐาน นักเรียนสามารถแยกแยะขอ้ โตแ้ ยง้ ทาง นักเรยี นสามารถประเมินขอ้ โตแ้ ย้งและ

การแปลความหมายขอ้ มลู และการใช้ป

C1 C2 C3

C แปลงข้อมลู ทน่ี ำเสนอในรปู แบบหน่ึง วเิ คราะห์และแปลความหมาย ระบุข้อสนั นิษฐาน ป

ไปสู่รูปแบบอน่ื ขอ้ มลู ทางวทิ ยาศาสตร์ และลงข้อสรปุ เหตผุ ลในเรอื่ งทีเ่ กย่ี

5 เชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพท่ีซับซอ้ น แปลความหมายขอ้ มลู เพอ่ื แสดง เพอื่ อธบิ าย เลอื กปร

ทม่ี าจากการสำรวจตรวจสอบหรอื รปู แบบของข้อมูลทีม่ าจากปรากฏการณ์ เหตผุ ลทเ่ี หมาะสมจ

การสบื ค้นขอ้ มูล แลว้ นำเสนอความคิด ที่ไมค่ ุน้ เคย และลงข้อสรปุ ทกี่ ว้างขึน้ เกย่ี วกบั วิทยาศาสตร

รวบยอด เพ่ือใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ โดยใชค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตร์ทีซ่ ับซ้อน หรือไมค่ ุ้นเค

ต่อปรากฏการณ์ทางสงั คม เพ่ือสร้างทางเลอื กในการตดั สินใจ

รวมถึงระบุข้อจำกดั ของแหลง่ ที่มาและ

การแปลความหมายข้อมูล และ

ความไมแ่ น่นอนของข้อมลู

นักเรยี นสามารถแปลงข้อมลู ดิบ นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์ขอ้ มูล นกั เรยี นสามารถสร้าง

เชงิ ปรมิ าณ และเชิงคุณภาพท่ีซับซอ้ น แยกแยะสาระทีส่ อดคล้องและ เลือกประจกั ษพ์ ยาน

ที่มาจากการสำรวจตรวจสอบหรือ ไมส่ อดคลอ้ งออกจากกนั และ ปรากฏการณท์ ่มี ีความ

การสืบคน้ ข้อมูล แลว้ นำเสนอความคิด แปลความหมายขอ้ มูล เพอื่ แสดง การบรู ณาการความ

รวบยอดแบบบูรณาการ เพื่อใช้ใหเ้ กดิ รปู แบบของข้อมูลทมี่ าจากปรากฏการณ์ ดา้ นวิทยาศาสตรก์ าย

ระดับ ประโยชน์ต่อปรากฏการณ์ทางสังคม ท่ไี ม่คุน้ เคย และลงข้อสรปุ ท่ีกว้างขึ้น และอว
6 โดยใช้ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ท่ีซบั ซอ้ น

เพอ่ื สร้างทางเลือกในการตดั สินใจ

รวมถึงระบขุ อ้ จำกดั ของแหล่งทมี่ าและ

การแปลความหมายขอ้ มูล และ

ความไม่แน่นอนของขอ้ มลู

จนได้แนวโนม้ ของขอ้ มลู ทีส่ ามารถ

นำไปพยากรณ์และตัดสินใจ

11

ประจักษพ์ ยานในเชงิ วิทยาศาสตร์ (C)

3 C4 C5
ประจกั ษ์พยาน และ แยกแยะระหวา่ งขอ้ โต้แย้ง ประเมนิ ขอ้ โตแ้ ย้งทางวิทยาศาสตร์และ
ยวกับวิทยาศาสตร์ ที่มาจากประจักษ์พยานและทฤษฎี
ทางวทิ ยาศาสตร์ กับทม่ี าจาก ประจักษ์พยานจากแหล่งท่ีมาที่
การพิจารณาจากส่ิงอ่นื หลากหลาย (เช่น หนงั สอื พมิ พ์

อนิ เทอรเ์ นต็ และวารสาร)

ระจกั ษ์พยานและ วทิ ยาศาสตร์ โดยระบไุ ดว้ า่ ขอ้ โต้แย้งนนั้ ประจักษพ์ ยานโดยใชค้ วามรู้ทาง
จากปรากฏการณ์ท่ี มาจากประจกั ษพ์ ยานและทฤษฎที าง วทิ ยาศาสตร์ท่ีซบั ซ้อนหรอื เป็นนามธรรม
ร์ท่ซี ับซ้อนมากขึ้น วทิ ยาศาสตร์ หรอื พจิ ารณาส่งิ อื่น ๆ สกู่ าร และใหเ้ หตุผลสนับสนุนในการประเมินนน้ั
คยมาก่อน ตดั สินใจเลอื กประจกั ษพ์ ยานที่เหมาะสม
ในปรากฏการณท์ ี่ไมค่ ุน้ เคย
ในปรากฏการณ์ทไี่ ม่คนุ้ เคย

งข้อสันนิษฐาน และ นกั เรียนสามารถแยกแยะข้อโต้แย้งทาง นกั เรยี นสามารถประเมนิ ขอ้ โตแ้ ยง้ และ
นท่ีเหมาะสมจาก วทิ ยาศาสตร์ โดยระบไุ ด้วา่ ขอ้ โต้แย้งน้นั ประจักษ์พยานโดยใช้ความรู้ทาง
มซับซ้อนและตอ้ งใช้ มาจากประจักษ์พยานและทฤษฎีทาง
มรู้ทางวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ พจิ ารณาสิ่งอืน่ ๆ สกู่ าร วทิ ยาศาสตร์ดา้ นวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
ยภาพ ชวี ภาพ โลก ตัดสนิ ใจเลอื กประจักษพ์ ยานที่เหมาะสม ชีวภาพ โลกและอวกาศ และให้เหตุผล
วกาศ
ในปรากฏการณใ์ นระดับบรู ณาการ สนับสนนุ การประเมินนน้ั ใน
ปรากฏการณ์ในระดับบรู ณาการ

12

2. งานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง
สุริยาวดี นึกรักษ์ อัญชลี สิริกุลขจร สิรินภา กิจเกื้อกูล (2559) ได้ทำการวิจัยเร่ือง “การพัฒนาการรู้

เร่ืองวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี สังคมและส่ิงแวดล้อม (STSE) เร่ือง สารประกอบไฮโดรคาร์บอน” การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) เปรียบเทียบผลการพัฒนาการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เร่ืองสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมและ
สิ่งแวดล้อม 2) ศึกษาผลการพัฒนาการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมและสิ่งแวดล้อม (STSE) เร่ือง สารประกอบไฮโดรคาร์บอน กลุ่มตัวอย่างคือ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม สังกัดสานักงานเขต
พน้ื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 38 จานวน 43 คน เลือกโดยการส่มุ อยา่ งง่าย1 หนึ่งหอ้ งเรยี นเคร่ืองมือวิจยั ที่ใช้
ในการวิจัยประกอบด้วย1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบวัดการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ 3) แบบสังเกตพฤติกรรม
อย่างไม่เป็นทางการ 4) แบบประเมินผลงานนักเรียน และ 5)การบันทึกวีดีโอขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การ
วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ คะแนนเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที (t-test
dependent)ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนสามารถพัฒนาการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เรื่องสารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2)นักเรียนแสดงออกถึงการ
พัฒนาการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทุกสมรรถนะ ได้แก่ การระบุประเด็นทางวิทยาศาสตร์ (ISE)การอธิบาย
ปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ (EPS) และ สมรรถนะการใช้ประจักษ์พยานทางวิทยาศาสตร์ (USE)โดย
สมรรถนะการใช้ประจักษ์พยานทางวิทยาศาสตร์ (USE) มีค่าเฉลี่ยเพิ่มข้ึนสูงที่สุด และการระบุประเด็นทาง
วิทยาศาสตร์ (ISI) มีคา่ เฉลี่ยเพม่ิ ข้นึ น้อยท่สี ุด

นางสาวโสภี สุคนธประพันธ์ (2560) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิทยาศาสตร์ เร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่
3/6 ที่ไดร้ บั การจัดการเรยี นรโู้ ดยใชว้ ธิ ีการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ ศนู ยก์ ลางโดยการสอนแบบซิปปา”
มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง ของความสัมพันธ์ระหว่าง
กระแสไฟฟา้ และความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3/6 ท่ไี ด้รับการจดั การเรียนรู้โดยใชว้ ิธีการสอน
ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยการสอนแบบซิปปา 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์
เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้าของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3/6 ก่อนและ
หลงั การเรียนโดยใช้วธิ ีการสอนท่ีเน้นผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลางโดย การสอนแบบซปิ ปา กลุม่ ตัวอย่างที่ใชใ้ นการศึกษา
ครั้งนี้เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3/6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ของโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม
แบ่งเป็น 1 ห้องเรียน จำนวน 39 คน กลุ่มทดลองได้รับวิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยการสอนแบบ
ซิปปา จำนวน 39 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เป็น 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการ
สอนแบบที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยการสอนแบบซิปปา เร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความ
ต่างศักย์ไฟฟ้า 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่าง
กระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้าวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่า t-test แล้ว
นำมาเสนอในรูปแบบตาราง จากผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปที ี่ 3/6 ทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรียนรโู้ ดยใชว้ ธิ ีการสอนแบบที่เน้นผเู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลางโดยการสอนแบบ
ซิปปา หลังการสอนสูงกวา่ ก่อนได้รับการสอน ซึง่ สอดคล้องกับสมมตฐิ านขอ้ ท่ี 1 โดยกระบวนการสอนแบบที่เน้น
ผเู้ รยี นเป็นศูนย์กลางโดยการสอนแบบซิปปา เปน็ กระบวนการเรยี นร้ทู ีใ่ ห้ผู้เรยี นรู้จักสรา้ งความสัมพันธ์ทางสังคม
และสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยผ่านกระบวนการคิดและร่วมมือกันปฏิบัติ เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนคิดเป็น
ทำเป็น เกิดการค้นคว้าด้วยตนเอง รวมถึงความรู้จกั ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และนำความรู้ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์
ต่อการดำเนินชีวิตเพื่อพัฒนาตนเอง ดังที่ นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ (2542 : 15-17) กล่าวว่า หลักการสอนแบบ

13

เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง น้ันผู้เรียนจะต้องรู้จักหาความรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ จะโดยทางตรง
หรอื ทางอ้อมก็ตาม สว่ นครจู ะเปน็ ผู้อำนวยความสะดวกแนะนำและใหค้ วามชว่ ยเหลอื เทา่ ที่จำเป็น

ซารีนา อุศมา (2559) ไดท้ ำการวิจยั เร่อื ง “ปัจจัยท่ีสมั พันธก์ ับสมรรถนะทางวิทยาศาสตรต์ ามแนว PISA
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 จังหวัดสงขลา” งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัย
บางประการท่ีสัมพันธ์กับสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 สังกัด
สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 จังหวัดสงขลา และสร้างสมการพยากรณ์สมรรถนะทาง
วิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 สังกดั สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต
16 จังหวดั สงขลา กลุ่มตวั อยา่ งเปน็ นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 จำนวน 384 คน ได้มาดว้ ยวิธีการส่มุ แบบหลาย
ข้ันตอน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยมี 2 ฉบับ ฉบับท่ี 1 ได้แก่ แบบสอบถามวัดพฤติกรรมการสอนของครู
แบบสอบถามวัดประสบการณ์การสอนของครูท่ผี ่านการอบรมตามแนวPISA แบบสอบถามวัดความรู้พื้นฐานเดิม
ของนักเรียน แบบสอบถามวดั ประสบการณ์การทำโครงงานวิทยาศาสตรข์ องนักเรียน แบบสอบถามวดั เจตคติต่อ
วิชาวิทยาศาสตร์ และแบบสอบถามวดั แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิซ์ ่ึงค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.938 และฉบบั ที่ 2
ได้แก่ แบบทดสอบวัดสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนักเรียน มีค่าความเช่ือมั่นท้ังฉบับเท่ากับ
0.794 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และใช้การวิเคราะห์การถดถอย
พหุคูณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิส์ หสัมพันธข์ องเพียรส์ ัน และใช้การวิเคราะห์การถดถอย
พหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการสอนของครู (X1) ประสบการณ์การสอนของครูที่ผ่านการอบรมตาม
แนว PISA (X2) ความรู้พื้นฐานเดิมของนักเรียน (X3) ประสบการณ์การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
(X4) เจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ (X5) และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ (X6) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับสมรรถนะทาง
วทิ ยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนักเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดบั .01 และพบว่าประสบการณ์การสอน
ของครูที่ผ่านการอบรมตามแนว PISA (X2) พฤติกรรมการสอนของครู (X1) ความรู้พื้นฐานเดิมของนักเรียน
(X3)และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (X6) สามารถร่วมกันพยากรณ์สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของ
นักเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.857 มี
ประสิทธิภาพของการพยากรณ์ (R2) ร้อยละ 73.4 โดยตัวแปรท่ีพยากรณ์ได้มีค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์ใน
รูปคะแนนดิบ (b) ดงั สมการ = -5.452 + 1.079X2 + 1.280X1 + .654X3 + .614X6

จริ ารตั น์ แสงศร, สุรยี ์พร สว่างเมฆ, และ ปราณี นางงาม (2560) การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารน้มี ีวัตถปุ ระสงค์คือ
1) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสืบเสาะที่ขับเคล่ือนด้วยกลวิธีการโต้แย้งในการพัฒนา
สมรรถนะการแปลความหมายขอ้ มูลและประจักษพ์ ยานในเชงิ วทิ ยาศาสตร์ เร่ือง การสังเคราะห์ด้วยแสง และ 2)
เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียน รู้ด้วยรูป แบ บการสืบ เสาะท่ี ขับเคล่ือนด้วยกลวิธีการโต้แย้งต่อการพั ฒ น า
สมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้องเรียนโครงการส่งเสริมความสามารถด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ปี
การศึกษา 2558 โรงเรียนขนาดใหญ่แห่งหน่ึงในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 1 ห้อง รวม 41 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ใน
การวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสืบเสาะที่ขับเคลื่อนด้วยกลวิธีการโต้แย้ง แบบสะท้อนการ
จัดการเรียนรู้ของครู แบบบันทึกประสบการณ์หลังเรียน และแบบทดสอบวัดสมรรถนะการแปลความหมาย
ข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ เร่ือง การสังเคราะห์ด้วยแสง ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการ
จัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสืบเสาะท่ีขับเคลื่อนด้วยกลวิธีการโต้แย้งที่พัฒนาสมรรถนะการแปล ความหมาย
ข้อมลู และประจักษ์พยานในเชงิ วิทยาศาสตร์ ควรมีลกั ษณะดงั น้ี การยกสถานการณ์ และรูปภาพประกอบกับการ
ใช้คำถามช่วยกระตุ้นความสนใจ และการกำหนดให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาพ้ืนฐานที่จะเรียน
ล่วงหน้า ช่วยให้นักเรียนสามารถคาดคะเนคำตอบของภาระงานท่ีถูกมอบหมายได้ การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้
ออกแบบวิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูล การทดลอง การสืบค้นหรือการบนั ทึกผลด้วยตนเองเพือ่ นำขอ้ มูลที่ได้มาสรา้ ง
ข้อโต้แยง้ ช่วั คราว สำหรบั การอภปิ รายโตแ้ ยง้ กบั กลมุ่ อื่นๆ ทำใหเ้ กิดการแยกแยะขอ้ โต้แย้งและประเมนิ

14

ข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ ภายหลังการโต้แย้งครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปข้อมูลอีกครั้งและให้
นกั เรยี นเขียนรายงาน ประเมินรายงานของเพ่ือน และปรับปรุงรายงานตนเอง การจัดการเรียนรู้ลักษณะนี้ส่งผล
ให้นักเรียนได้ระบุข้อสันนิษฐาน แปลงข้อมูล วิเคราะห์และแปลความข้อมูล และระบุเหตุผล นำไปสู่การสร้าง
ข้อสรุปท่ีสมเหตุสมผล และ 2) สมรรถนะการแปลความหมายข้อมูลและประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ของ
นักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสืบเสาะที่ขับเคลื่อนด้วยกลวิธีการ
โต้แยง้ อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถิติที่ .05

15

บทที่ 3
วิธดี ำเนนิ การวจิ ัย

การพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริม
สมรรถนะวทิ ยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เรอ่ื ง ความสัมพนั ธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ไฟฟา้
ผวู้ จิ ยั ไดม้ วี ิธีการดำเนินการวิจยั ดังน้ี

1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
2. เครอ่ื งมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู
3. ขน้ั ตอนการสรา้ งและพัฒนาเคร่อื งมือ
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
5. การวิเคราะห์ข้อมูล

1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร
ประชากรท่ใี ชใ้ นการวิจัย ได้แก่ นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู

จงั หวัดสตูล ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 8 ห้อง รวม 306 คน
กลมุ่ ตวั อยา่ ง
กลุ่มตัวอยา่ งทใี่ ช้ในการวจิ ยั ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/1 จำนวน 36 คน นกั เรียนช้นั

มธั ยมศึกษาปที ี่ 3/3 จำนวน 35 คน และมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/5 จำนวน 42 คน รวมทง้ั สิ้นจำนวน 113 คน การ
สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง

2. เครอื่ งมือที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 9 ความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากบั ความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า จำนวน 5

ช่ัวโมง ซ่งึ ได้ผา่ นการวพิ ากษ์แผนร่วมกบั ศึกษานิเทศน์ ของสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล
2.2 ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง ความสัมพันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้ากับความตา่ งศักย์ไฟฟา้ โดยผ่านการ

พจิ ารณาความเหมาะสมจากผู้เชย่ี วชาญ
2.3 แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น เรือ่ ง ความสัมพนั ธ์ระหว่างกระแสไฟฟา้ กบั ความตา่ งศักย์ไฟฟ้า ผ่าน

การเสนอผ้เู ชีย่ วชาญ จำนวน 3 ท่าน
2.4 แบบบันทกึ หลงั การจัดการเรยี นรู้ ใชบ้ นั ทึกพฤติกรรมของนักเรยี นในแต่ละขนั้ ตอนของการจัด

กจิ กรรม โดยบนั ผลหลังการจัดกิจกรรมแบบ PAOR

3. ขนั้ ตอนการสร้างเครื่องมือ
3.1 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 9 เร่อื ง ความสัมพันธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟา้ กบั ความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้
3.1.1 ขั้นสร้าง
3.1.1.1 วิเคราะหต์ ัวชีว้ ดั และสมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ ามแนว PISA ใหม้ ีความสมั พนั ธ์

และสอดคล้องกัน
3.1.1.2 เลือกระดบั สมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA ทเี่ หมาะสมกับระดบั ชัน้

มัธยมศึกษาปีท่ี 3 และกระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนสามารถนำนักเรียนไปถงึ ระดบั สมรรถนะที่วาง
ไว้

16

3.1.1.3 จดั กจิ กรรมจากง่ายไปหายาก เนน้ กระบวน Active Learning กระตนุ้ ให้
นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรู้ และค้นพบความร้ดู ว้ ยตนเอง

3.1.2 ขั้นนำไปใช้i
นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 โดยผ่านการวิพากษ์แผนจากผู้เชี่ยวชาญและปรับปรุง

แก้ไข มาใช้ในการจัดกิจกรรมเพ่ือศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตาม
แนวทาง PISA ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัดสตูล
ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 เพอ่ื เก็บรวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมูลต่อไป

3.2 ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง ความสัมพันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า
3.2.1 ขั้นสร้าง
3.2.1.1 ทำการวเิ คราะห์วิเคราะห์ตวั ชี้วดั และสมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ ามแนว PISA
3.2.1.2 เลอื กกิจกรรมทต่ี อบสนองตรงตามตัวชี้วัด ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สามารถ

ไปถงึ สมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA และเน้อื หามีความยากง่ายเหมาะสมกับผู้เรียน
ชดุ กจิ กรรมประกอบดว้ ย
1. ใบความรู้ เร่ือง ตวั ตา้ นทานไฟฟ้า
2. กิจกรรมการทดลอง เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่า

ศกั ยไ์ ฟฟา้
3. การคำนวณ เรือ่ ง กฎของโอหม์

3.2.2 ขั้นนำไปใช้
นำชุดกิจกรรมการเรียนร้ใู ช้ในการเรยี นการสอน โดยผ่านการพิจารณาความเหมาะสม

จากผู้เช่ียวชาญ สามารถนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมเพื่อศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริม
สมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวทาง PISA ของนักเรยี นกลุ่มตัวอยา่ ง ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นกำแพงวิทยา
อำเภอละงู จงั หวดั สตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 เพื่อเกบ็ รวบรวมและวิเคราะหข์ อ้ มลู ตอ่ ไป

3.3 แบบทดสอบกอ่ นเรียน - หลังเรยี น
แบบทดสอบกอ่ นเรียน - หลงั เรยี น โดยมีขน้ั ตอนการสรา้ งดังน้ี
3.3.1 ขน้ั สรา้ ง
3.3.1.1 ศึกษาตัวชี้วัด สมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA และเนื้อหา เร่ือง

ความสมั พันธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟ้ากบั ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า
3.3.1.2 สร้างแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ 6 โดยครอบคลุม

เนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้เนื้อหา เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า แบบ
ปรนัย 4 ตัวเลือก

3.3.2 ขน้ั พัฒนา
3.3.2.1. เสนอแบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่าง

กระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า ต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพ่ือหาดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ
คำถามรายขอ้ กับ วตั ถุประสงค์หรือจุดประสงค์ท่ีต้องการวัด โดยพิจารณาว่าขอ้ สอบแต่ละข้อมีความสอดคล้อง
กับจดุ ประสงคห์ รอื ไม่ (IOC) โดยกำหนดคะแนนความเห็นดังน้ี

+1 แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้
0 ไม่แนใ่ จว่า ขอ้ สอบสอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้
-1 แน่ใจว่า ข้อสอบไม่สอดคล้องกับจุดประสงคการเรียนรู้
แล้วบันทึกผลการพิจารณาของผู้เช่ียวชาญในแต่ละข้อ ถ้าดัชนีที่คำนวณได้มากกว่า หรือเท่ากับ 0.5 แสดงว่า
ขอ้ สอบข้อน้ันเปน็ ตวั แทนของจุดประสงค์น้ัน สว่ นข้อท่ีได้ดชั นนี ้อยกวา่ 0.5 นำมาปรับปรุงแก้ไข

17

3.3.2.2. เมื่อปรับปรุงแก้ไขและคัดเลือกแบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียนแล้ว
จากน้นั จัดทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น - หลังเรียนฉบบั สมบูรณ์

3.3.3 ขน้ั นำไปใช้
น ำ แ บ บ ท ด ส อ บ ก่ อ น เรี ย น -ห ลั ง เรี ย น ไป ท ด ล อ ง ใช้ กั บ นั ก เรี ย น ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ า ง ช้ั น

มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 เพื่อเก็บ
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมลู ตอ่ ไป

3.4 แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ใช้บันทึกพฤติกรรมของนักเรียนในแต่ละข้ันตอนของการจัด
กจิ กรรม โดยบันทึกผลหลงั การจัดกิจกรรมแบบ PAOR

3.4.1 ข้นั สรา้ ง
3.4.1.1 บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การบันทึกผลหลังการจัดกิจกรรมแบบ

PAOR เม่ือ P ( Plan ) ขั้นวางแผน A (Action) ข้ันปฏิบัติการสอน O ( Observe ) ขั้นสังเกตผลการสอน และ
R (Reflex) ขัน้ นำไปส่กู ารปรับปรงุ แกไ้ ข

3.4.2 ข้ันนำไปใช้
นำไปใชใ้ นการจดั กระบวนการเรยี นสอนคร้งั ต่อไป

4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ผู้วิจยั ทำการศึกษาค้นคว้าและเก็บรวบรวมข้อมลู โดยการวิเคราะหผ์ ู้เรียนเป็นรายบุคคล การใช้แผนการ

จัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับ
ความต่างศักย์ไฟฟ้า แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบประเมินความพึงพอใจ ผลงานนักเรียนและการ
บันทึกภาพถ่ายขณะทำการเรียนการสอน ซ่ึงนำไปทำกับกลุ่มตัวอย่าง โดยที่มีแผนท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลจำนวน
5 คาบ คาบละ 50 นาที ซ่ึงผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมีรายละเอียดในการจัดเก็บข้อมูล
ดังนี้

4.1 ช้ีแจงเก่ียวกับจุดประสงค์การเรียนรู้และข้อตกลงเบื้องต้นในการจัดกิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตาม
แนวทาง PISA เรือ่ ง ความสัมพันธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟา้ และความตา่ งศักย์ไฟฟ้า

4.2 ประเมินการพัฒ นาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยมีวิธีในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทำ
แบบทดสอบวัดการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่าง
ศักยไ์ ฟฟ้า จำนวน 10 ขอ้ ใชเ้ วลา 10 นาที

4.3 ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้น
มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจดั การเรียนรู้ท่ีส่งเสรมิ สมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA โดยได้ทำการเปิดช้ัน
เรียนและสะท้อนผลการจัดการเรียนการสอนจากผู้เช่ียวชาญก่อนนำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง แผนการจัด
กจิ กรรมการเรียนรทู้ ง้ั หมด 5 คาบ คาบละ 50 นาที

4.4 เก็บข้อมูลระหว่างเรียนและหลังเรียนด้วยแบบบันทึกคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แบบทดสอบหลัง
เรียน เรอื่ ง ความสมั พันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากบั ความต่างศกั ย์ไฟฟ้า ภาพถ่าย และแบบแสดงความพึงพอใจ ชุด
กจิ กรรมการเรียนรู้

5. การวเิ คราะห์ข้อมลู
ผู้วิจัยได้นำข้อมูลจากการเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ผลการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ีส่งเสริม

สมรรถนะวิทยาศาสตรต์ ามแนวทาง PISA โดยแบง่ เปน็ 2 ส่วน คือ

18

5.1 วิเคราะห์เพ่ือปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง
PISA แหล่งที่มาของข้อมูล ได้แก่ แบบสังเกตการจัดการเรียนรู้ แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ แบบแสดง
ความพงึ พอใจ ทำการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) โดยรวบรวมข้อมูลจากเครือ่ งมือทั้งหมดเม่ือจบ
ในแต่ละปฏิบัติการของการจัดการเรียนรู้มาอ่านและตีความเพ่ือจัดระเบียบข้อมูลและนำไปปรับปรุงแนวทางใน
การจัดการเรียนรู้ทสี่ ่งเสริมการพัฒนาการรู้วทิ ยาศาสตรว์ ่าควรมีแนวทางอย่างไร มีข้อปรบั ปรุงแก้ไขอย่างไรบ้าง
ในแต่ละขั้นตอน จากน้ันจัดกลุ่มข้อมูลแล้วทำการสรุปเป็นความเรียงเพื่อรายงานผลแนวทางการจัดการเรียนรู้
แบบใช้การสง่ เสรมิ สมรรถนะวทิ ยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA ท่คี วรพัฒนาในแต่ละขน้ั ตอน

5.2 วิเคราะห์ผลการจัดการเรียนรู้ในการพัฒนาการรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียน แหล่งท่ีมาของข้อมูล
ได้แก่ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ นำคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
และขอ้ มูลที่นักเรียนได้เขยี นตอบในชุดกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้มาวิเคราะห์โดยให้คะแนนตามเกณฑ์ท่ี
ไดก้ ำหนดตามกรอบประเมินการรู้วทิ ยาศาสตร์ PISA 2015 แลว้ นำคะแนนมาวิเคราะหห์ าคา่ เฉล่ยี

19

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยจัดการ
เรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่าง
ศั ก ย์ ไ ฟ ฟ้ า ข อ ง นั ก เรี ย น ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ท่ี 3 ก่ อ น แ ล ะ ห ลั ง ก า ร จั ด ก า ร เรี ย น รู ้
ซ่ึงผวู้ ิจยั นำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ดงั ต่อไปน้ี

ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
4.1 ศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เร่ือง ความสัมพันธ์

ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ ความต่างศักยไฟฟ้าโดยการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตาม
แนวทางPISA

4.1.1 แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
บันทึกหลงั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 9

ขน้ั วางแผน ( Plan )
การเตรียมการสอนในหนว่ ยการจัดการเรยี นรู้ท่ี 6 ไฟฟ้า เรื่อง ความสมั พนั ธ์ระหว่าง

กระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยการจดั การเรียนรู้ทสี่ ่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA มี
การเตรียมการสอน ดงั น้ี

- ออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ันตอน (The 5 Es of
Inquiry-Based Learning) เนน้ กระบวนการ Active Learning

- เตรียมสื่อท่ีใช้ในการประกอบการจดั การเรียนรู้ ได้แก่ Power point วัสดุ - อปุ กรณ์
ในการทดลองเรื่อง ความสมั พันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟา้ กับความต่างศกั ย์ไฟฟ้ามีความสัมพันธก์ นั อยา่ งไร

- นวัตกรรมท่ีใช้ ชุดกิจกรรมการเรียนการสอน เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่าง
กระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า

- การวัดและประเมินผล ใช้การวัดและประเมินผลที่หลากหลาย เชน่ ประเมินจากชุด
กิจกรรมการเรียนรู้ ประเมินจากแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน ประเมินจากการทำกิจกรรมการทดลอง การ
อภิปรายผลการทดลอง การนำเสนอหนาช้นั เรยี น ประเมินจากคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

ขั้นปฏิบตั ิการสอน ( Action )
จากการจัดกิจกรรมการเรียนสอน โดยการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะ

วิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA ด้วยการออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (The 5
Es of Inquiry-Based Learning) เน้นกระบวนการ Active Learning พบว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้น ให้
ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการทำกิจกรรมทดลอง ร่วมกันตั้งสมมติฐาน ตัวแปรในการศึกษา อภิปรายผลการ
ทดลอง สรุปผลการทดลอง ตลอดจนการนำเสนอหน้าช้นั เรียน จากความสนใจ ความตั้งใจ นกั เรยี นสามารถบอก
ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้าได้ถูกต้อง แปลข้อมูลออกมาในรูปของกราฟได้ และ
นำมาคำนวณ เรื่อง กฎของโอห์มได้ บรรยากาศในช้ันเรียนมีความเป็นกันเอง นักเรียนกล้าซักถามเม่ือเกิดข้อ
สงสัย กล้าแสดงออก มีความคิดนอกกรอบ นักเรียนมีอิสระในการทำกิจกรรมการทดลอง ช่วยเหลือเพื่อนบาง
กลุ่มท่ีเกิดปัญหาระหว่างทำการทดลอง ทำให้นักเรียนเกิดเรียนรู้ได้ดี ค้นพบความรู้ด้วยตนเองและนำมา
ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประวนั ได้

20

ข้ันสงั เกตผลการสอน (Observe)
ผลการจัดการเรยี นร(ู้ ตามจุดประสงค์)

1. นักเรียนสามารถบอกห์ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ได้ และความต้านทาน
ไฟฟ้าได้ (K)

- จากการประเมนิ อภิปรายการทดลอง ประเมนิ ได้ ดงั นี้
นักเรียนร้อยละ 100 ร่วมกันบอกความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ได้จาก

การทดลอง โดยนักเรียนสามารถอธบายได้ว่า เมื่อเพิ่มจำนวนถ่านไฟฉายทำให้ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าเพ่ิม
กระแสไฟฟ้าก้เพิ่มและหลอดไฟสว่างเพิ่มข้ึนเรื่อยๆ จากความสัมพันธ์น้ี คือความต้านทานของลวดตัวนำ
ไฟฟา้

ปัญหาท่ีพบ เน่ืองจากเวลาในการจัดกิจกรรมไม่เหมาะสมกับกิจกรรม ทำให้นักเรียนไม่ได้
ออกมาอภิปรายการทดลองทุกกลุ่ม ตอ้ งใช้วธิ กี ารสุม่ หรือตามความสมคั รใจ

2. คำนวณหาปริมาณที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ไฟฟ้และความ
ตา้ นทานไฟฟา้ ได้ (P)

- จากการประเมินใบกจิ กรรมที่ 2 ประเมนิ ได้ดงั นี้
นักเรียนร้อยละ 70 สามารถคำนวณความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ไฟฟ้า

และความต้านทานไฟฟา้ ไดถ้ กู ต้อง ย้ายขา้ งสมการได้
ปัญหาท่ีพบยังมีนักเรียนบางส่วนที่ไม่คล่องการคำนวณ ต้องได้รับการฝึกฝน

เกี่ยวกับการหาร การย้างข้างสมการ นักเรียนกลุ่มนี้ไม่สามารถไปถึงสมรรถนะย่อย B2 ได้ คือ แยกแยะได้
วา่ ประเด็นปัญหาหรือคำถามใดสามารถตรวจสอบได้ดว้ ยวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์

ระดับ 4 : นักเรยี นสามารถแยกประเด็นปัญหาจากเหตุการณ์ท่ีมีความซับซ้อนเพิ่มขึน้ มีตัวแปรอิสระ 2
ตัวแปรข้ึนไป โดยกำหนดได้ว่าประเด็นใดเป็นปัญหาหรือคำถามท่ีสามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีการทาง
วทิ ยาศาสตร์ (โดยอา้ งเหตผุ ลของความสามารถในการวัดปริมาณของตวั แปร)

3. ปฏิบัติกิจกรรมความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากับความต่างศกั ย์ไฟฟ้าได้อย่างถูกต้องและเป็นลำดับ
ขัน้ ตอนได้ (P)

- จากการประเมินจากกิจกรรมการทดลอง ประเมนิ ไดด้ งั น้ี
นักเรียนทุกคนให้ความรว่ มมือในการทำกิจกรรมการทดลองได้ดี สนใจและมีความสนุกกับ

การเรียนรู้ นกั เรียนเกดิ การเรยี นรทู้ ีด่ ี และสามารถอภปิ รายผลการทดลองได้
ปัญหาท่ีพบ ระหว่างทำการทดลองนักเรียนบางกลุ่มอาจใช้เวลาในการทดลองมาก

พอสมควร เน่ืองจากการต่อวงจรสลับขว้ั แต่นกั เรยี นสามารถแกป้ ญั หาได้
4. เขียนกราฟความสัมพันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้า และความต่างศักย์ไฟฟ้าได้ (P)
- จากการประเมินจากเขียนกราฟ ประเมินไดด้ งั นี้
นักเรียนร้อยละ 50 เขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า

ไดถ้ ูกตอ้ ง
ปัญหาท่ีพบ นักเรียนร้อยละ 50 ยังต้องได้รับการฝึกฝนการเขียนกราฟ นักเรียนยังไม่

คล่องในการตั้งค่าแกน X และแกน Y นักเรียนไม่สามารถไปถึงสมรรถนะหลัก C : การแปลความหมายข้อมูล
และการใชป้ ระจักษพ์ ยานในเชิงวทิ ยาศาสตร์

21

สมรรถนะยอ่ ย C1 : แปลงข้อมูลท่ีนำเสนอในรปู แบบหน่ึงไปส่รู ูปแบบอน่ื
ระดับ 3 : นักเรียนสามารถแปลงข้อมูลดิบเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่มาจากสถานการณ์ภายใต้
เง่ือนไขจำกดั แลว้ นำเสนอในรูปแบบทีเ่ ข้าใจไดง้ ่าย
5. ประเมนิ จากคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน

นกั เรยี นผ่านการประเมนิ ทกุ คน
ข้นั นำไปสู่การปรบั ปรงุ แก้ไข (Reflex)
แนวทางแกป้ ัญหานกั เรยี นท่ีไมผ่ า่ นตัวชี้วัด/ผลการเรยี นร้หู รอื จดุ ประสงค์(ใช้

นวตั กรรมเน้น)
- แนวทางแก้ปญั หานักเรียนที่ไม่ผ่านตวั ชี้วดั /ผลการเรียนรู้หรือจดุ ประสงค์(ใช้นวัตกรรมเน้น)
1. ปรับเปล่ียนกิจกรรมเพ่ือให้เหมาะสมกับเวลา เช่น เปล่ียนจากการสรุปผลการทดลองใน

กระดาษบรฟุ๊ เป็นการถา่ ยรปู ผลการทดลองในชุดกจิ กรรมแล้วโชว์ในprojector
2. เทคนิคเพ่ือนช่วยเพื่อน

4.1.2 ความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรยี นการสอน

22

23

จากกราฟแสดงความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดการเรียนการสอน
เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะ
วิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA มีระดบั ความพงึ พอใจที่ระดบั มาก

4.2 เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า

และความต่างศักย์ไฟฟ้า ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและหลังการเรียนโดยการจัดกิจกรรมการ

เรียนรู้ท่ีสง่ เสรมิ สมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA

ตารางที่ 1 ตารางแสดงเปรียบเทียบคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เร่ือง ความสัมพันธ์

ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริม

สมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวทาง PISA คะแนนเตม็ 10 คะแนน

เลขท่ี คะแนนก่อน คะแนนหลัง ความแตกตา่ ง คะแนนผ่านเกณฑ์ สรุปผลการประเมนิ

การจดั การ การจัดการ ของคะแนน

เรยี นรู้ เรียนรู้ ก่อน-หลังเรยี น

10 คะแนน 10 คะแนน 10 คะแนน รอ้ ยละ 60 ผา่ น ไมผ่ ่าน

12 8 6 80 √

22 8 6 80 √

34 8 4 80 √

43 7 4 70 √

53 6 3 60 √

64 8 4 80 √

74 7 3 70 √

84 7 3 70 √

92 6 4 60 √

10 3 7 4 70 √

11 5 7 2 70 √

12 3 8 5 80 √

13 4 7 3 70 √

14 4 7 3 70 √

15 3 7 4 70 √

16 3 6 3 60 √

17 4 6 2 60 √

18 5 8 3 80 √

19 4 7 3 70 √

20 3 6 3 60 √

21 2 7 5 70 √

22 4 7 3 70 √

23 4 8 4 80 √

24 3 6 3 60 √

24

เลขท่ี คะแนนกอ่ น คะแนนหลงั ความแตกต่าง คะแนนผ่านเกณฑ์ สรุปผลการประเมิน
การจัดการ การจัดการ ของคะแนน
เรยี นรู้ ก่อน-หลงั เรียน รอ้ ยละ 60 ผา่ น ไม่ผา่ น
10 คะแนน เรียนรู้ 10 คะแนน 70 √
10 คะแนน 70 √
25 4 3 50
26 3 7 4 50 √
27 2 7 3 60 √
28 1 5 4 60 √
29 3 5 3 70 √
30 3 6 3 70 √
31 3 6 4 80 √
32 3 7 4 80 √
33 3 7 5 70 √
34 3 8 5 50 √
35 2 8 5 80 √
36 2 7 3 60 √
37 4 5 4 70 √
38 3 8 3 40 √
39 3 6 4 80 √
40 1 7 5 70 √
41 4 4 4 60 √
42 3 8 4 80 √
43 1 7 5 70 √
44 4 6 4 60 √
45 3 8 4 70 √
46 1 7 5 70 √
47 3 6 4 80 √
48 1 7 6 80 √
49 3 7 5 80 √
50 3 8 5 60 √
51 3 8 5 70 √
52 1 8 5 60 √
53 3 6 4 80 √
54 1 7 5 80 √
55 5 6 3 60 √
56 4 8 4 √
57 3 8 3
6

25

เลขท่ี คะแนนกอ่ น คะแนนหลงั ความแตกตา่ ง คะแนนผ่านเกณฑ์ สรปุ ผลการประเมนิ
การจดั การ การจัดการ ของคะแนน
เรียนรู้ กอ่ น-หลงั เรียน รอ้ ยละ 60 ผา่ น ไม่ผ่าน
10 คะแนน เรียนรู้ 10 คะแนน 90 √
10 คะแนน 70 √
58 5 4 60 √
59 4 9 3 80 √
60 3 7 3 80 √
61 4 6 4 80 √
62 4 8 4 70 √
63 4 8 4 60 √
64 2 8 5 60 √
65 3 7 3 80 √
66 3 6 3 90 √
67 4 6 4 90 √
68 5 8 4 80 √
69 3 9 6 70 √
70 2 9 6 60 √
71 1 8 6 60 √
72 1 7 5 80 √
73 2 6 4 80 √
74 3 6 5 70 √
75 3 8 5 70 √
76 1 8 6 80 √
77 2 7 5 70 √
78 4 7 4 70 √
79 1 8 6 70 √
80 4 7 3 80 √
81 2 7 5 70 √
82 3 7 5 70 √
83 2 8 5 60 √
84 3 7 4 70 √
85 2 7 4 80 √
86 4 6 3 80 √
87 4 7 4 80 √
88 4 8 4 70 √
89 4 8 4
90 4 8 3
7

26

เลขที่ คะแนนก่อน คะแนนหลงั ความแตกต่าง คะแนนผ่านเกณฑ์ สรุปผลการประเมนิ
การจดั การ การจดั การ
เรยี นรู้ ของคะแนน ผา่ น ไมผ่ า่ น
10 คะแนน เรียนรู้ √
10 คะแนน ก่อน-หลังเรยี น √
91 3 √
92 4 9 10 คะแนน ร้อยละ 60 √
93 4 8 √
94 3 8 6 90 √
95 3 7 √
96 2 7 4 80 √
97 4 6 √
98 3 8 4 80 √
99 3 6 √
100 4 6 4 70 √
101 3 8 √
102 4 7 4 70 √
103 2 8 √
104 2 6 4 60 √
105 1 6 √
106 1 6 4 80 √
107 4 6 √
108 3 7 3 60 √
109 2 7 √
110 1 6 3 60 √
111 4 6 √
112 2 8 4 80 109 4
113 2 8 96.46 3.54
7 4 70

4 80

4 60

4 60

5 60

5 60

3 70

4 70

4 60

5 60

4 80

6 80

5 70

จำนวนนักเรยี น 109

รอ้ ยละ 96.46

จากตารางที่ 1 เม่อื เปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลงั การการจดั การเรยี นรู้ พบว่า นกั เรียนระดบั ช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จำนวน 113 คน มีคะแนนสอบหลงั เรยี นผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 60 จำนวน
109 คน คิดเปน็ ร้อยละ 96.46 ของนกั เรียนท้ังหมด มนี ักเรยี นจำนวน 4 คน มีคะแนนสอบหลังเรยี นไม่ผ่าน
เกณฑร์ ้อยละ 60 คิดเป็นร้อยละ 3.54 ของนกั เรยี นทั้งหมด

27

ตารางแสดงคะแนนการตอบคำถามในชุดกจิ กรรม เร่ือง ความสมั พันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากับความต่าง
ศกั ย์ไฟฟ้า โดยจดั การเรยี นรู้ทสี่ ่งเสรมิ สมรรถนะ PISA เรอื่ ง ความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ กบั ความตา่ ง
ศักย์ไฟฟา้ โดมีคะแนนเตม็ 10 คะแนน

ตารางที่ 2.1 ตารางแสดงคะแนนกจิ กรรมท่ี 6.3 เร่ือง กระแสไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ไฟฟา้
ของลวดตวั นำมีความสมั พันธ์กนั อยา่ งไร โดยมีคะแนนเต็ม 20 คะแนน

ท่ี การระ ุบประเ ็ดน ระดบั คณุ ภาพ สรปุ ผลการ
ัปญหา ประเมนิ
5 การทดลอง
การอ ิภปรายผล
14 การทดลอง
34
53 รวม
73
94 10 5 20 ดี พอใช้ ปรบั ปรุง ผ่าน ไมผ่ า่ น
11 4
13 3 10 4 18 √ √
15 3 10
17 4 4 18 √ √
19 4 10
21 3 4 17 √ √
23 4 10
25 4 10 4 17 √ √
27 4 10
29 4 10 4 18 √ √
31 4
33 4 10 4 18 √ √
35 4
36 4 10 4 17 √ √
37 4 10
38 4 10 4 17 √ √
39 4 10
40 4 10 4 18 √ √
41 4 10
42 4 10 4 18 √ √
43 4 10
10 4 17 √ √
10
10 3 17 √ √
10
10 5 19 √ √
10
10 5 19 √ √
10
10 4 18 √ √
10
4 18 √ √

3 17 √ √

3 17 √ √

5 19 √ √

5 19 √ √

3 17 √ √

3 17 √ √

4 18 √ √

4 18 √ √

5 19 √ √

5 19 √ √

28

ท่ี การระ ุบประเ ็ดน ระดับคุณภาพ สรปุ ผลการ
ัปญหา ประเมนิ
5 การทดลอง
การอ ิภปรายผล
44 4 การทดลอง
45 3
46 4 รวม
47 4
48 4 10 5 20 ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ ผ่าน ไมผ่ า่ น
49 3
50 3 10 3 17 √ √
51 5 10
52 5 10 4 17 √ √
53 3 10
54 4 10 4 18 √ √
55 4 10
56 4 10 4 18 √ √
57 4 10
58 4 10 4 18 √ √
59 4 10
60 4 10 4 17 √ √
61 4 10
62 4 10 4 17 √ √
63 4 10
64 4 10 4 19 √ √
65 4 10
66 4 10 4 19 √ √
67 4 10
68 4 10 4 17 √ √
69 4 10
70 5 10 4 18 √ √
71 4 10
72 4 10 5 19 √ √
73 3 10
74 3 10 3 17 √ √
75 4 10
10 3 17 √ √
10
10 4 18 √ √
10
10 4 18 √ √
10
5 19 √ √

5 19 √ √

4 18 √ √

4 18 √ √

3 17 √ √

3 17 √ √

5 19 √ √

4 18 √ √

3 17 √ √

5 19 √ √

4 19 √ √

4 18 √ √

4 18 √ √

4 17 √ √

4 17 √ √

4 18 √ √

29

ท่ี การระ ุบประเ ็ดน ระดับคุณภาพ สรปุ ผลการ
ัปญหา ประเมนิ
5 การทดลอง
การอ ิภปรายผล
76 4 การทดลอง
77 3
78 3 รวม
79 4
80 4 10 5 20 ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ ผ่าน ไมผ่ า่ น
81 4
82 4 10 4 18 √ √
83 4 10
84 3 10 4 17 √ √
85 4 10
86 4 10 4 17 √ √
87 4 10
88 3 10 5 19 √ √
89 4 10
90 4 10 5 19 √ √
91 4 10
92 4 10 4 18 √ √
93 4 10
94 4 10 4 18 √ √
95 4 10
96 4 10 4 18 √ √
97 4 9
98 4 10 4 17 √ √
99 4 9
100 4 10 4 18 √ √
101 4 10
102 4 9 5 19 √ √
103 4 10
104 4 10 5 19 √ √
105 4 9
106 4 10 4 17 √ √
107 4 10
9 4 18 √ √
9
10 4 18 √ √
10
10 4 17 √ √
9
5 19 √ √

4 17 √ √

4 18 √ √

5 19 √ √

4 17 √ √

4 18 √ √

4 18 √ √

4 17 √ √

4 18 √ √

4 18 √ √

4 17 √ √

4 17 √ √

4 18 √ √

5 19 √ √

4 18 √ √

4 17 √ √

30

ท่ี การระ ุบประเ ็ดน ระดับคณุ ภาพ สรปุ ผลการ
ัปญหา ประเมิน
การทดลอง
การอ ิภปรายผล
การทดลอง

รวม

5 10 5 20 ดี พอใช้ ปรับปรงุ ผ่าน ไมผ่ า่ น

108 4 10 4 18 √ √
109 4 9
110 4 9 4 17 √ √
111 4 10
112 4 10 4 17 √ √
113 4 10
4 18 √ √

4 18 √ √

4 18 √ √

จำนวนนกั เรยี น 113 113

ร้อยละ 100 100

จากตารางท่ี 2.1 คะแนนผลการทำกิจกรรมการทดลอง เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับ
ความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา นักเรียนจำนวน 113 คน มีระดับคุณภาพระดับดี จำนวน 113 คน
คิดเป็นร้อยละ 100 ของนักเรียนทั้งหมด และผ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน 113 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 100 ของ
นกั เรยี นทง้ั หมด

31

ตารางที่ 2.2 ตารางแสดงคะแนนประเมินการเขยี นกราฟความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากบั
ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ โดยมีคะแนนเตม็ 10 คะแนน

ความถกู ตอ้ ง แปล มคี วาม
ครบถ้วน สมบูรณ์ ความหมาย สวยงามเสร็จ
ภายในเวลาที
ท่ี ข้อมูลได้ กำหนด สรปุ ผลการ
ถกู ตอ้ ง ประเมนิ
รวม
ระดบั คณุ ภาพ

54321321 2 1 10 ดี พอใช้ ปรับ ผา่ น ไมผ่ ่าน

ปรงุ

1/ / /7 √ √

3 // /5 √√

5/ / /6 √ √

7/ / /6 √ √

9/ / /7 √ √

11 / // 8√ √

13 / // 8√ √

15 / / /7 √ √

17 / / /6 √ √

19 / // 8√ √

21 / // 8√ √

23 / / /7 √ √

25 / / /7 √ √

27 / // 8√ √

29 / / /6 √ √

31 / / /6 √ √

33 / // 8√ √

35 / // 8√ √

36 / // 8√ √

37 / / /6 √ √

38 // /5 √√

39 // /5 √√

40 / / /7 √ √

41 / / /7 √ √

42 / / /7 √ √

43 / / /6 √ √

44 / / /7 √ √

32

ความถูกตอ้ ง แปล มคี วาม
ครบถ้วน สมบูรณ์ ความหมาย สวยงามเสรจ็
ภายในเวลาที
ท่ี ขอ้ มูลได้ กำหนด สรปุ ผลการ
ถกู ตอ้ ง ประเมิน
รวม
ระดับคณุ ภาพ

54321321 2 1 10 ดี พอใช้ ปรับ ผา่ น ไม่ผ่าน

ปรุง

45 / // 8√ √

46 / / /7 √ √

47 / / /7 √ √

48 / // 8√ √

49 / / /6 √ √

50 // /5 √√

51 / / /6 √ √

52 / / /7 √ √

53 / / /7 √ √

54 / / /7 √ √

55 / / /6 √ √

56 / // 8√ √

57 / // 8√ √

58 / / /7 √ √

59 / / /7 √ √

60 / / /7 √ √

61 / // 8√ √

62 / / /7 √ √

63 / // 8√ √

64 / / /6 √ √

65 / / /6 √ √

66 / / /7 √ √

67 / / /7 √ √

68 / // 8√ √

69 / / /7 √ √

70 / / /7 √ √

71 / / /6 √ √

72 / / /6 √ √

73 / / /7 √ √

74 // /5 √√

33

ความถูกตอ้ ง แปล มีความ
ครบถ้วน สมบูรณ์ ความหมาย สวยงามเสรจ็
ภายในเวลาที
ท่ี ข้อมูลได้ กำหนด สรปุ ผลการ
ถกู ต้อง ประเมนิ
รวม
ระดบั คุณภาพ

54321321 2 1 10 ดี พอใช้ ปรับ ผา่ น ไมผ่ ่าน

ปรงุ

75 / / /6 √ √

76 / / /6 √ √

77 / / /7 √ √

78 / / /7 √ √

79 / / /6 √ √

80 / / /6 √ √

81 / / /6 √ √

82 / / /7 √ √

83 / / /7 √ √

84 / / /6 √ √

85 / // 8√ √

86 / // 8√ √

87 / // 8√ √

88 / / /7 √ √

89 / / /7 √ √

90 / // 8√ √

91 / // 8√ √

92 / / /7 √ √

93 / / /7 √ √

94 / / /6 √ √

95 / // 8√ √

96 / / /7 √ √

97 / / /7 √ √

98 / / /7 √ √

99 / // 8√ √

100 / / /6 √ √

101 / / /6 √ √

102 / // 8√ √

103 / // 8√ √

104 / / /7 √ √

34

ความถกู ตอ้ ง แปล มีความ
ครบถ้วน สมบูรณ์ ความหมาย สวยงามเสรจ็
ภายในเวลาที
ท่ี ขอ้ มูลได้ กำหนด สรปุ ผลการ
ถกู ตอ้ ง ประเมิน
รวม
ระดบั คุณภาพ

54321321 2 1 10 ดี พอใช้ ปรับ ผา่ น ไม่ผ่าน

ปรุง

105 / // 8√ √

106 / / /6 √ √

107 / / /7 √ √

108 / / /7 √ √

109 / // 8√ √

110 / // 8√ √

111 / / /7 √ √

112 / / /7 √ √

113 / / /6 √ √

จำนวนนกั เรยี น 27 81 5 108 5

รอ้ ยละ 23.89 71.68 4.43 95.57 4.43

จากตารางท่ี 2.2 จากคะแนนผลการประเมินการเขยี นกราฟความสมั พนั ธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความ
ต่างศกั ย์ไฟฟา้ โดยการจดั การเรยี นรู้ทสี่ ง่ เสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษา
ปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา นักเรียนจำนวน 113 คน มรี ะดบั คณุ ภาพระดบั ดี จำนวน 27 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ
23.89 ระดับคณุ ภาพพอใช้ จำนวน 81 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 81.00 ของนักเรยี นท้ังหมด ระดบั คุณภาพปรบั ปรงุ
จำนวน 5 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 4.43 ของนักเรียนทั้งหมด และผ่านเกณฑก์ ารประเมิน จำนวน 108 คน คิดเป็น
รอ้ ยละ 95.57 ของนักเรยี นทั้งหมด ไมผ่ ่านเกณฑ์การประเมนิ จำนวน 5 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 4.43 ของนกั เรียน
ทัง้ หมด

35

ตารางท่ี 2.3 ตารางแสดงคะแนนการคำนวณ เรือ่ ง กฏของโอหม์ โดยมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน

คะแนนใบงานสรปุ ผลการ สรุปผลการประเมนิ
คะแนน ่ผานเกณ ์ฑประเมนิ
คะแนนใบงานที่
ที่ คะแนนผ่านเกณ ์ฑ

10 รอ้ ยละ ผา่ น ไม่ผา่ น 10 รอ้ ยละ ผา่ น ไมผ่ า่ น
คะแนน 60 คะแนน 60

17 70 √ 58 6 60 √ √
27 70 √ 59 8 80 √
36 60 √ 60 9 90 √
48 80 √ 61 7 70 √
58 80 √ 62 7 70 √
67 70 √ 63 8 80 √
77 70 √ 64 8 80 √
88 80 √ 65 8 80 √
96 60 √ 66 7 70 √
10 6 60 √ 67 9 90 √
11 7 70 √ 68 7 70 √
12 7 70 √ 69 6 60 √
13 8 80 √ 70 9 90 √
14 6 60 √ 71 7 70 √
15 7 70 √ 72 6 60 √
16 8 80 √ 73 6 60 √
17 6 60 √ 74 6 60 √
18 6 60 √ 75 6 60 √
19 7 70 √ 76 6 60 √
20 8 80 √
77 5 50
21 6 60 √
22 7 70 √ 78 6 60 √
23 8 80 √ 79 6 60 √
24 8 80 √ 80 8 80 √
25 5 81 7 70 √
50 √ 82 8 80 √
26 7
27 8 70 √ 83 6 60 √
80 √ 84 7 70 √

36

คะแนนใบงานสรปุ ผลการ สรุปผลการประเมิน
คะแนน ่ผานเกณ ์ฑประเมนิ
คะแนนใบงานท่ี
ท่ี คะแนนผ่านเกณ ์ฑ

10 ร้อยละ ผ่าน ไม่ผา่ น 10 รอ้ ยละ ผา่ น ไม่ผา่ น
คะแนน 60 คะแนน 60

28 7 70 √ 85 6 60 √ √
29 7 70 √ 86 6 60 √
30 7 70 √ 87 6 60 √
31 7 70 √ 88 6 60 √
32 6 60 √ 89 6 60 √
33 6 60 √ 90 8 80 √
34 7 70 √ 91 8 80 √
35 8 80 √ 92 7 70 √
36 8 80 √ 93 7 70 √
37 7 70 √ 94 6 60 √
38 6 60 √ 95 7 70 √
39 5 √ 96 6 60 √
50
40 5 √ 97 6 60 √
50
41 8 98 6 60 √
42 5 80 √ √ 99 6 60 √

43 6 50 100 6 60 √
44 7 101 9 90 √
45 6 60 √ 102 8 80 √
46 6 70 √ 103 8 80 √
47 8 60 √ 105 7 70 √
48 7 60 √ 106 7 70 √
49 8 80 √ 107 7 70 √
50 7 70 √ 109 6 60 √
51 9 80 √ 110 6 60 √
52 6 70 √
53 8 90 √ 111 5 50
54 7 60 √
55 7 112 7 70 √
56 8 80 √ 113 7 70 √
70 √
70 √

80 √

37

คะแนนใบงานสรปุ ผลการ สรุปผลการประเมนิ
คะแนน ่ผานเกณ ์ฑประเมนิ
คะแนนใบงานที่
ที่ คะแนนผ่านเกณ ์ฑ

10 ร้อยละ ผ่าน ไม่ผ่าน 10 รอ้ ยละ ผา่ น ไมผ่ า่ น
คะแนน 60 คะแนน 60

57 7 70 √

จำนวนนกั เรยี น 107 6
รอ้ ยละ 94.69 5.31

จากตารางที่ 2.3 จากตารางแสดงคะแนนการคำนวณ เร่ือง กฏของโอห์ม โดยการจัดการเรียนรู้ท่ี
ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา นักเรยี น
จำนวน 113 คน ผ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน 107 คน คิดเป็นร้อยละ 94.69 ของนักเรียนทั้งหมด
ไมผ่ ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน 6 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 5.31 ของนักเรยี นทั้งหมด

38

บทท่ี 5
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

เมื่อศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ที่
ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่าง
ศักย์ไฟฟ้า คร้ังนี้ มวี ัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาการพัฒนาการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3
เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ ความต่างศักยไฟฟ้าโดยการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะ
วิทยาศาสตร์ตามแนวทางPISA และเพ่ือเปรียบเทียบการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์
ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและหลังการเรียนโดยการ
จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัดสตูล จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 113 คน ได้มาโดยการเลือกกลุ่ม
ตัวอย่างแบบสุ่มแบบเจาะจง ใช้รูปแบบการวิจัยประเมินผลการเรียนรู้แบบ One Group Pre-test Post-test
Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความ
ต่างศักย์ไฟฟ้า จำนวน 5 ชั่วโมง ซึ่งได้ผ่านการวิพากษ์แผนร่วมกับศึกษานิเทศน์ ของสำนักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่ือง ความสัมพันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่าง
ศักย์ไฟฟ้า แบ่งออกเป็น 3 กิจกรรม กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมการทดลอง เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า
กบั ความต่างศักยไ์ ฟฟ้า คะแนนเต็ม 20 คะแนน กิจกรรมท่ี 2 การเขียนกราฟความสมั พันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า
กับความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน กิจกรรมท่ี 3 การคำนวณ เรื่อง กฏของโอห์ม โดยมี
คะแนนเต็ม 10 คะแนน แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่าง
ศักย์ไฟฟา้ เป็นขอ้ สอบแบบปรนัย จำนวน 10 ขอ้ คะแนนเต็ม 10 คะแนน แบบบันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ ใช้
บนั ทกึ พฤติกรรมของนกั เรียนในแต่ละขั้นตอนของการจดั กิจกรรม โดยบนั ผลหลังการจดั กิจกรรมแบบ PAOR

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการโดยช้ีแจงเกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียนรู้และข้อตกลง
เบ้ืองต้นในการจัดกิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจัดการ
เรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เรอ่ื ง ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟ้าและความต่าง
ศักย์ไฟฟ้า ประเมินการพัฒ นาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยมีวิธีในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทำ
แบบทดสอบวัดการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่าง
ศกั ย์ไฟฟ้า จำนวน 10 ข้อ ใช้เวลา 10 นาที ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรเู้ พื่อพัฒนาการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
ของนกั เรียนระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรยี นร้ทู ี่สง่ เสรมิ สมรรถนะวิทยาศาสตรต์ ามแนวทาง PISA
โดยได้ทำการเปิดช้ันเรียนและสะท้อนผลการจัดการเรียนการสอนจากผู้เชี่ยวชาญก่อนนำไปทดลองใช้กับกลุ่ม
ตัวอย่าง แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งหมด 5 คาบ คาบละ 50 นาที เก็บข้อมูลระหว่างเรียนและหลังเรียน
ด้วยแบบบันทึกคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แบบทดสอบหลังเรียน เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับ
ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ ภาพถา่ ย และแบบแสดงความพึงพอใจ

การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการ
จัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA แหล่งที่มาของข้อมูล ได้แก่ แบบสังเกตการ
จัดการเรียนรู้ แบบบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ แบบแสดงความพึงพอใจ เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ก่อนเรียน
และหลังเรยี น และคะแนนจากการทำชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยการหาคา่ รอ้ ยละ

39

สรุปผลการวจิ ัย
เพ่ือศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 เร่ือง ความสัมพันธ์

ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ ความต่างศักยไฟฟ้าโดยการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตาม
แนวทางPISA

จากกราฟแสดงความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ต่อการจัดการเรียนการสอน
เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะ
วทิ ยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA มรี ะดับความพงึ พอใจท่รี ะดบั มาก ซง่ึ เปน็ ไปตามสมมติฐาน

จากการบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ พบว่า นักเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้ไปถึง สมรรถนะ
วทิ ยาศาสตรต์ ามแนวทาง PISA และระดบั ทตี่ ้ังไว้ดงั นี้

สมรรถนะหลัก A : อธบิ ายปรากฏการณ์เชิงวทิ ยาศาสตร์
สมรรถนะยอ่ ย A1 : นำความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์มาใชส้ ร้างคำอธบิ ายทีส่ มเหตุสมผล

ระดับ 3 : นักเรียนสามารถใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนในการสร้างคำอธิบายเพ่ือแสดง
ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับปรากฏการณ์นั้นได้อยา่ งสมเหตุสมผล นักเรียนสามารถไปได้ถงึ ร้อยละ
100 ของนกั เรยี นทั้งหมด

สมรรถนะหลัก B : การประเมนิ และออกแบบกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
สมรรถนะย่อย B1 : สามารถระบุประเด็นปัญหาท่ีต้องการสำรวจตรวจสอบจาก

การศกึ ษาทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีกำหนดให้
ระดับ 2 : นักเรียนสามารถระบุประเด็นปัญหาท่ีสามารถนำไปสู่การออกแบบการทดลองอย่างง่ายได้

โดยระบุตวั แปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคมุ ได้ นักเรียนสามารถไปไดถ้ ึงรอ้ ยละ 80 ของนักเรยี นทงั้ หมด
สมรรถนะย่อย B2 : แยกแยะได้ว่าประเด็นปัญหาหรือคำถามใดสามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีการทาง

วิทยาศาสตร์
ระดับ 4 : นักเรียนสามารถแยกประเด็นปัญหาจากเหตุการณ์ที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึน้ มีตัวแปรอิสระ 2

ตัวแปรข้ึนไป โดยกำหนดได้ว่าประเด็นใดเป็นปัญหาหรือคำถามที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ (โดยอ้างเหตุผลของความสามารถในการวัดปริมาณของตัวแปร) นักเรียนสามารถไปได้ถึงร้อยละ
70 ของนกั เรียนทั้งหมด

สมรรถนะหลกั C : การแปลความหมายขอ้ มูลและการใช้ประจักษ์พยานในเชงิ วิทยาศาสตร์
สมรรถนะยอ่ ย C1 : แปลงขอ้ มลู ท่นี ำเสนอในรูปแบบหน่ึงไปสรู่ ูปแบบอน่ื

ระดับ 3 : นักเรียนสามารถแปลงข้อมูลดิบเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่มาจากสถานการณ์ภายใต้
เงือ่ นไขจำกัดแล้วนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจไดง้ ่าย นักเรียนสามารถไปได้ถงึ ร้อยละ 50 ของนักเรียนทั้งหมด

เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและ
ความต่างศักย์ไฟฟ้า ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและหลังการเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ทสี่ ่งเสริมสมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวทาง PISA

ผลการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริม
สมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า
พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา จำนวน 113 คน มีคะแนนสอบหลังเรียนผ่าน

40

เกณฑ์ ร้อยละ 60 จำนวน 109 คน คิดเป็นร้อยละ 96.46 ของนักเรียนทั้งหมด มีนักเรียนจำนวน 4 คน มี
คะแนนสอบหลงั เรียน ไม่ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 60 คิดเป็นร้อยละ 3.54 ของนกั เรียนทงั้ หมด

จากตารางที่ 2.1 พบว่าคะแนนผลการทำกิจกรรมการทดลอง เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า
กับความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยการจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา นักเรียนจำนวน 113 คน มีระดับคุณภาพระดับดี จำนวน 113 คน
คดิ เป็นร้อยละ 100 ของนักเรียนท้ังหมด และผ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน 113 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 100 ของ
นักเรยี นทง้ั หมด

จากตารางท่ี 2.2 จากคะแนนผลการประเมินการเขยี นกราฟความสัมพันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟา้ กบั ความ
ต่างศกั ย์ไฟฟา้ โดยการจัดการเรียนรทู้ ส่ี ง่ เสริมสมรรถนะวทิ ยาศาสตรต์ ามแนว PISA ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา นกั เรียนจำนวน 113 คน มรี ะดับคณุ ภาพระดับดี จำนวน 27 คน คิดเปน็ ร้อยละ
23.89 ระดับคณุ ภาพพอใช้ จำนวน 81 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 81.00 ของนักเรยี นท้ังหมด ระดับคุณภาพปรับปรุง
จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 4.43 ของนักเรียนทง้ั หมด และผ่านเกณฑ์การประเมนิ จำนวน 108 คน คดิ เป็น
ร้อยละ 95.57 ของนักเรยี นท้ังหมด ไมผ่ ่านเกณฑก์ ารประเมนิ จำนวน 5 คน คดิ เป็นร้อยละ 4.43 ของนกั เรียน
ท้ังหมด

จากตารางที่ 2.3 จากตารางแสดงคะแนนการคำนวณ เรื่อง กฏของโอห์ม โดยการจัดการเรียนรู้ท่ี
ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนว PISA ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา นักเรียน
จำนวน 113 คน ผ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน 107 คน คิดเป็นร้อยละ 94.69 ของนักเรียนท้ังหมด
ไมผ่ ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน 6 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 5.31 ของนกั เรียนทง้ั หมด ซึ่งเปน็ ไปตามสมมตฐิ าน

อภิปรายผล
จากการดำเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนกับผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 113 คน

ที่ศึกษาเกี่ยวกับผลการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ท่ี
ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่าง
ศักย์ไฟฟ้าพบว่า ผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจและมีคะแนนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการ
เรียนรู้ที่ส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA วิชาวิทยาศาสตร์ 6 เร่ือง ความสัมพันธ์ระหว่าง
กระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการท่ีผู้เรียนเกิด
ความกระตอื รือร้นและใหค้ วามร่วมมือเปน็ อยา่ งดีในการทำกิจกรรมทุกๆกจิ กรรม ผู้เรียนมอี ิสระทางความคิดเกิด
ความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ ทำให้นักเรียนสามารถสรุปองค์ความร้ดู ้วยตนเองได้ และสามารถนำความรู้ที่
ได้นำมาประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากน้ีส่งผลให้คะแนนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้มีคะแนนสูงข้ึนท้ัง
คะแนนชุดกจิ กรรมการเรียนรู้และคะแนนสอบหลังเรยี น

ข้อเสนอแนะ
1. การจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA ต้องมีการศึกษาและทำความ

เข้าใจในแต่ละสมรรถนะเสียก่อน เน่ืองจากว่าในแต่ละสมรรถนะนั้นจะไปตอบรับกับตัวชี้วัดและระดับที
เหมาะสมกับระดับช้ันเรียนของนักเรียน ดังน้ันครูผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจ เพ่ือจะได้จัดการเรียนรู้อย่าง
ถกู ต้องและเหมาะสม

2. การจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมสมรรถนะวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง PISA ต้องมีการจัดเตรียม เช่น การ
เลือกใช้วัสดุอปุ กรณ์ เพ่ือให้สอดคล้องกบั สถานการณ์ที่เตรยี มมา หรือเมื่อมีการยกตัวอยา่ งสถานการณ์ให้ครูลอง


Click to View FlipBook Version