การพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ผา่ น
การจดั กิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้นั
ร่วมกบั แบบฝึกทักษะ เรอื่ ง พนั ธุศาสตร์ประชากร
ของ
นางสาริญา แมเราะ
โรงเรยี นกาแพงวิทยา ตาบลกาแพง อาเภอละงู จังหวดั สตลู
ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
ชอ่ื เร่อื ง การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ผา่ น
การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขนั้ รว่ มกบั
ผวู้ จิ ยั แบบฝึกทกั ษะ เรื่อง พนั ธุศาสตร์ประชากร
กลมุ่ สาระฯ
ปกี ารศกึ ษา นางสาริญา แมเราะ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2564
บทคดั ย่อ
การวจิ ยั ครั้งน้ศี ึกษาการพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี
ที่ 5 ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ันร่วมกับแบบฝึกทักษะ
เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากร ของนักเรียนโรงเรียนกาแพงงวิทยา จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2564 จานวน 2 ห้องเรียน รวม 83 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) โดยใชเ้ วลาในการจดั กจิ กรรมการทดลองวิทยาศาสตร์บนฐานการสืบเสาะวิทยาศาสตร์ 6
ชั่วโมง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ข้นั แบบฝกึ ทกั ษะเรอ่ื ง พนั ธศุ าสตรป์ ระชากร แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบ
วดั ความพึงพอใจ ดาเนินการทดลองแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง (One
group Pretest-Posttest Design) วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการ
ทดสอบค่าทีชนดิ กลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent group)
ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนท่ีได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบ
เสาะหาความรู้ 5 ข้ัน หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ริ ะดับ .01 นักเรียนมีคะแนน
ทดสอบผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 60 ของคะแนนเตม็ ) มากกวา่ ร้อยละ 80 ของจานวนนักเรียนทงั้ หมด และ
นกั เรยี นมคี วามพึงพอใจตอ่ การจดั การเรยี นรู้โดยใช้ด้วยการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความรู้
5 ขัน้ ในระดบั มากท่ีสุด
สารบญั หน้า
(ก)
บทคัดย่อ (ข)
สารบญั (ง)
รายการตาราง (จ)
รายการภาพประกอบ
บทที่ 1
1 บทนา 1
2
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา 2
คาถามวิจยั 2
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 3
สมมตฐิ านของการวจิ ัย 3
ความสาคัญและประโยชนข์ องการวิจยั 4
ขอบเขตของการวิจยั 4
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 6
กรอบแนวคิด 6
2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง 10
การจดั การเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 12
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 16
การพฒั นาชุดฝึกทักษะ 18
ความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรียนรู้ 20
งานวจิ ยั ที่เก่ยี วข้อง 20
3 วิธีดาเนินการวิจัย 21
แบบแผนการวิจัย 21
กลุ่มที่ศกึ ษา 21
เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวจิ ัย 24
การสรา้ งและการหาคณุ ภาพเครื่องมือ 24
การเก็บรวบรวมข้อมลู 25
การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
สถิติท่ีใช้ในการวจิ ยั
สารบญั (ต่อ)
หน้า
4 ผลการวิจยั 28
ข้อมลู พน้ื ฐานของกลุ่มตัวอยา่ ง 28
ผลการเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนชวี วิทยา 29
ผลการศกึ ษาผลผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนชวี วทิ ยาท่ีมีคะแนนทดสอบผา่ นเกณฑ์……..... 30
ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ 30
5 สรปุ ผลการวิจยั และขอ้ เสนอแนะ 32
สรุปผลการวิจัย 34
อภิปรายผลการวจิ ยั 34
ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวจิ ัยไปใช้ 36
ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครงั้ ตอ่ ไป 36
บรรณานกุ รม 37
ภาคผนวก 39
ภาคผนวก ก เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ 40
ภาคผนวก ข เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 80
ภาคผนวก ค คุณภาพของเครอื่ งมอื การวิจยั 85
ภาคผนวก ง ภาพแสดงการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 89
รายการตาราง
ตาราง หนา้
1 ผลการเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา 29
2 ผลการศึกษาผลผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นชวี วิทยาที่มีคะแนนทดสอบผา่ นเกณฑ์……….... 30
3 ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจต่อการจัดการเรยี นรู้……………………………………………………. 30
4 คา่ ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรู้ 86
5 ค่าดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
วิชาชีววิทยา 87
6 คะแนนวัดผลสัมฤทธิ์กอ่ นเรียนและหลังเรยี นของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 …….... 88
รายการภาพประกอบ หน้า
5
ภาพประกอบ
1 กรอบแนวคิดวจิ ยั
บทที่ 1
บทนา
ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา
ความเจรญิ กา้ วหน้าทางวิทยาการด้านต่าง ๆ ที่เปล่ียนแปลงไปจากยุคอดีต ส่งผลกระทบต่อ
การดาเนินชีวิตของมนุษย์ ท้ังการดาเนินชีวิตประจาวันและการประกอบอาชีพ ดังจะเห็นได้จาก
ส่ิงประดิษฐ์ต่างๆ ถูกคิดค้นข้ึนมาเพ่ือรองรับความสะดวกสบายของมนุษย์ท่ีเราพบในปัจจุบันล้วน
แล้วแต่เป็นผลผลติ ที่เกดิ จากความรู้และความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสาคัญ
ทาใหค้ วามรู้ดา้ นวทิ ยาศาสตรก์ ลายเป็นประเดน็ หลักท่ีจะช่วยพัฒนาประชากรและประเทศให้มีความ
เจริญก้าวหน้ามาก ดังนั้นทุกคนจึงจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อท่ีจะมี
ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน สามารถนาความรู้ไปใช้อย่างมี
เหตผุ ล สร้างสรรค์ และมคี ุณธรรม (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน, 2551) จากท่ีกล่าว
มา แสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ มคี วามสาคญั ตอ่ มนุษยเ์ ปน็ อยา่ งย่ิง
การจดั การเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้เป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนวิทยาศาสตร์ ซ่ึงทาให้
ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้วยคนเอง นอกจากนี้สามารถช่วยแก้ปัญหา
เกี่ยวกับการเรียนของนักเรียนได้ ผู้วิจัยจึงสนใจจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานขึ้นเพ่ือ
เสริมสร้างพลงั ความสามารถของนักเรียนแต่ละคนให้เต็มขีดความสามารถ โดยประยุกต์ ใช้หลักการ
เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง เนน้ บรรยากาศในการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนมีอิสระในการคิด สามารถแก้ปัญหา
สถานการณต์ ่าง ๆ ท่เี กดิ ขึน้ ให้เช่ือมโยงกบั เนื้อหาทีเ่ รยี นได้
เน่ืองด้วยบริบทของโรงเรียนกาแพงวิทยา จังหวัดสตูล มีการจัดการเรียนการสอนที่เน้น
รูปแบบการบรรยายเป็นส่วนใหญ่ผู้เรียนทาหน้าท่ีเป็นผู้รับเพียงทางเดียวซ่ึงทาให้ขาดการเชื่อมโยง
เนอ้ื หาไดเ้ รยี นและการบรู ณาการของเนอื้ หากับสภาพความเป็นจรงิ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ซง่ึ อาจจะเกิดจากจานวน
ชั่วโมงการสอนในชั้นเรียนมีระยะเวลาที่จากัดทาให้ผู้สอนต้องป้อนเน้ือหาให้ผู้เรียนเพียงอย่างเดียว
จานวนผ้เู รียนในแต่ละห้องมีจานวนมากทาให้ผสู้ อนดูแลผเู้ รียนอย่างไม่ท่ัวถึง ดังนั้นการจัดการเรียนรู้
ในห้องเรยี นสว่ นใหญข่ องครูเป็นการสอนแบบบรรยาย (Passive learning) เพ่ือท่ีจะให้ทันกับเนื้อหา
สาระที่ทางหลักสูตรสถานศึกษาได้กาหนดไว้ ดังน้ัน นักเรียนจึงเป็นฝ่ายรับข้อมูลทางเดียว เน้นการ
จดจาแทบไมม่ ีการฝึกใหม้ กี ารใช้กระบวนการพัฒนาทางความคิด ทาให้นักเรียนรู้สึกเบื่อในการเรียน
ไม่มีสิ่งเร้าส่ิงกระตุ้นให้นักเรียน ได้คิดเป็นทาเป็น ดังน้ัน การจัดการเรียนรู้โดยใช้ แบบฝึกทักษะ
ร่วมกับวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นจากการใช้แบบฝึกทักษะ
ในการประมวลความรู้ อภิปรายกลุ่มเพื่อหาเหตุผล สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทางาน
เป็นกลมุ่ และสอื่ สารกับผอู้ ่ืนไดด้ ขี ้นึ และมปี ระสิทธิภาพ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และฝึกฝนการสร้างองค์
ความรู้ด้วยกระบวนการคิดและการแก้ปัญหาที่มีความหมายต่อตนเอง (สานักงานเลขาธิการสภา
การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2550: 20) ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการลงมือทาด้วยตนเอง (Learning
by Doing) และเป็นวิธีที่สามารถจูงใจผู้เรียนให้มีความสนใจเรียนเป็นอย่างมาก ดังงานวิจัยของมีฉัตร
ศรีเท่ยี ง (2552 : 175-186) ได้พฒั นาการจดั กิจกรรมการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์แบบสบื เสาะหาความรู้ 5
ขั้นโดยใช้แบบฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นส่ือเร่ือง อาหารและสารเสพติด กลุ่ม
ตัวอยา่ งท่ใี ช้ ในการศกึ ษาค้นคว้า เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนโนนเทพ ผลการวิจัย
พบว่านักเรียนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเกณฑ์ท่ีเช่ือถือและยอมรับได้ สามารถนาไปใช้ใน
การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน เพือ่ ให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้ังไว้ มีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรยี นอย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติ ท่รี ะดบั .05
จากขอ้ มลู ข้างตน้ ผูว้ ิจยั ได้ตระหนักถงึ ความสาคัญในการเรียนการสอนวิชาชีววิทยาซึ่งเป็นสิ่ง
ทีอ่ ยรู่ อบตวั เรารวมถงึ ตัวเราเองดว้ ย ฉะน้นั ปญั หาท่ีเกิดขึ้นจากการสอนนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5
คือนกั เรียนไม่สามารถเชอ่ื มโยงข้อมูล ตคี วาม วิเคราะห์ขอ้ มูลและสรปุ ผล รวมถึงผู้วิจัยเห็นปัญหาการ
ทางานกลุ่มรว่ มกันของนกั เรียนทข่ี าดการรว่ มมือกัน ทาให้ผู้วิจัยสนใจศึกษา การจัดการเรียนรู้โดยใช้
แบบฝึกทักษะเร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรผ่านจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ขน้ั เพื่อพัฒนาใหผ้ เู้ รียนมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา และความพึงพอใจต่อการจัดการ
เรียนรู้ เพ่ือเป็นการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดขึ้นในห้องเรียนและ นาผลมาใช้ในการปรับปรุงในการจัดการ
เรยี นร้ใู นสาระการเรียนอ่ืน ๆ เพอื่ ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ กบั นกั เรียนต่อไป
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
1. เพอื่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าชวี วิทยา กอ่ นเรยี นและหลังเรียนของนักเรียน
ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์
ประชากร
2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบ
เสาะหาความรู้ 5 ขนั้ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนมีคะแนนทดสอบผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 60 ของ
คะแนนเตม็ ) คิดเปน็ รอ้ ยละ 80 ของจานวนนักเรยี นทั้งหมด
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ขนั้ โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากร
สมมติฐานของงานวจิ ัย
1. นกั เรียนทไี่ ด้รบั การจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะเร่ือง
พันธศุ าสตรป์ ระชากร มผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าชีววิทยา หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน
ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รบั
2. เปน็ แนวทางให้นักเรยี นเห็นความสาคญั และสนใจเรียน วิชาชีววทิ ยามากข้ึน
3. เปน็ แนวทางให้นกั เรยี นไดพ้ ฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนชีววิทยา โดยการพัฒนาการจัด
กจิ กรรมการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน โดยใช้แบบฝึกทักษะเร่ือง พันธุศาสตร์
ประชากร
4. เป็นแนวทางในการปรับปรงุ และพฒั นาการเรียนการสอนวิชา ชีววิทยา เพื่อให้นักเรียนมี
ความร้คู วามเข้าใจมากขนึ้
5. เป็นแนวทางสาหรับครูผู้สอนในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ต่อวิชาต่าง ๆ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ โดยการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้นั โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ เรื่อง พนั ธุศาสตร์ประชากร
ความสาคัญและประโยชน์ของการวจิ ัย
1. เป็นแนวทางให้นกั เรยี นเห็นความสาคญั และสนใจเรยี น วชิ าชวี วทิ ยามากข้นึ
2. เปน็ แนวทางใหน้ ักเรียนได้พฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนชวี วิทยา โดยการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นแนวทางในการปรับปรุง
และพัฒนาการเรียนการสอนวชิ า ชีววิทยา เพอื่ ใหน้ กั เรยี นมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจมากขน้ึ
ขอบเขตของการวจิ ัย
1. ประชากร
ประชากรสาหรับการวิจัยครั้งน้ีเป็นนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1
ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรยี นกาแพงวิทยา จังหวัดสตูล จานวน 6 หอ้ ง รวมทัง้ สนิ้ 271 คน
2. กลุ่มตวั อยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 และ 5/2 ภาค
เรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนกาแพงวิทยา จังหวัดสตูล จานวน 2 ห้อง นักเรียน 83 คน โดย
ใชว้ ธิ ีการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
3. เนือ้ หาทใี่ ชใ้ นการศึกษา
6. สาหรับเนื้อหาท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นเนือ้ หาวิชาชวี วิทยา 3 เรือ่ ง พนั ธศุ าสตร์ประชากร
ตามหนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานชีววิทยา ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี
4. ตัวแปรในการวิจยั
4.1 ตวั แปรอิสระ ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ขัน้ โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ
4.2 ตวั แปรตาม ได้แก่
4.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
4.2.2 ความพงึ พอใจต่อการจัดการเรยี นรู้
5. ระยะเวลาทใ่ี ช้ในการศกึ ษา
ระยะเวลาท่ีใช้ในการดาเนินงานวิจัย คือ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 รวม
ระยะเวลา 2 สัปดาห์ จานวน 6 ชวั่ โมง
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
7. ผลการจดั การเรียนรู้การเรียนร้วู ิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบ
ฝึกทักษะเร่ือง พันธุศาสตร์ประชากร หมายถึง การพัฒนาแบบฝึกทักษะ ในเนื้อหาพันธุศาสตร์
ประชากร มาใช้จัดการเรียนการสอนร่วมในข้ันตอนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีท้ังหมด 5
ขน้ั ตอน คอื
1) ขัน้ สรา้ งความสนใจ
2) ขั้นสารวจและคน้ หา
3) ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ
4) ขน้ั ขยายความรู้
5) ขนั้ ประเมนิ ผล
2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของนักเรียนแต่ละบุคคลใน
การเรียนรู้วิชาชีววิทยา เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากร ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 และ 5/2
ซึ่งวัดได้จากการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามจุดประสงค์การ
เรียนรู้ เปน็ แบบเลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 10 ข้อ โดยใช้ในการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) และ
ทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยวัดระดับความรู้ ดังน้ี 1) ด้านความรู้ความจา 2) ด้านความเข้าใจ
3) ด้านการนาไปใช้ และ 4) ดา้ นการวเิ คราะห์
3. ความพึงพอใจตอ่ การจัดการเรยี นรู้ หมายถึง พฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออก
ถงึ ความรู้สกึ ตอ่ การจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมการลงมือปฏิบัติบนฐานการสืบเสาะหาความรู้โดยจะ
ประเมนิ จากแบบ วัดความพึงพอใจตอ่ การจัดการเรียนรูท้ ีผ่ ูว้ ิจัยไดส้ ร้างขึ้น
กรอบแนวคดิ วจิ ยั
การวิจัยในคร้ังนี้ ดาเนินการวิจัยโดยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ันร่วมกับ
แบบฝึกทกั ษะ เร่ือง พนั ธศุ าสตรป์ ระชากร สรปุ กรอบการวิจยั ได้ดงั นี้
ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคดิ วจิ ัย ตวั แปรตาม
ตัวแปรต้น 1. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
2. ความพึงพอใจต่อการ
การจัดการเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ จดั การเรียนรู้
(5E) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนโดยใช้แบบฝึก
ทักษะเรื่อง พันธศุ าสตร์ประชากร ดังนี้
1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement)
2) ขนั้ สารวจ/ขั้นสารวจข้อมูลเพอื่ การ
คน้ พบ (Exploration)
3) ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป
(Explanation)
4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
5) ข้นั ประเมินผล (Evaluation)
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้อง
การวิจยั เรือ่ ง การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี
5 ผา่ นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ันร่วมกับแบบฝึกทักษะ เร่ือง
พนั ธุศาสตร์ประชากร ผู้วจิ ัยไดด้ าเนินการศึกษาค้นควา้ เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ดังตอ่ ไปน้ี
1. การจัดการเรยี นรแู้ บบสืบเสาะหาความรู้
2. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
3. การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะ
4. ความพึงพอใจต่อการจดั การเรยี นรู้
5. งานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง
1. การจัดการเรยี นรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้
1.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้
คาว่า “Inquiry” ท่ีเก่ยี วขอ้ งกบการจัดการเรยี นรู้น้ัน นักการศึกษาได้ใชช้ ือ่ ต่าง ๆ กันไป
เชน่ การสืบสอบ การสืบสวนสอบสวน การสอบสวน การค้นพบ การแก้ปัญหา การสืบเสาะ และการ
สืบเสาะหาความรสู้ าหรับการวิจัยครั้งน้ีผู้วิจัย ใช้คาว่า “การสืบเสาะหาความรู้ ” ส่วนใน การจัดการ
เรียนการสอนโดยเน้นการใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้น้ัน การวิจัยครั้งน้ีใช้คาว่า “การจัดการ
เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (inquiry-based learning) ซึ่ง Budnitz (2003) ได้กล่าวว่า การ
สืบเสาะหาความรเู้ ป็นแนวคดิ ทมี่ คี วามซับซ้อนและมีความหมายแตกต่างกนไปตามบริบทที่ใช้ ั และผู้
ทีใ่ ห้คาจากดั ความ
กรมวิชาการ (2544) อธิบายว่า นักเรียนจะสรา้ งองคค์ วามรู้ดว้ ยตวั เองผ่านกิจกรรม การ
สังเกต การตั้งคาถาม การวางแผนการทดลอง การสารวจตรวจสอบ กระบวนการแก้ปัญหาการ
สบื คน้ ข้อมูล การอภปิ ราย และการส่อื สารความรู้เพื่อใหผ้ ้อู ่นื เขา้ ใจ โดยกิจกรรมตา่ ง ๆ ต้องเน้นให้
ผ้เู รียนได้คดิ ได้มีส่วนรว่ มวางแผน ลงมอื ปฏิบตั ิ สืบคน้ ขอ้ มลู รวบรวมขอ้ มลู ตรวจสอบ วเิ คราะห์
ขอ้ มูล สรา้ งอธบิ ายเกี่ยวกบั ข้อมูลทีไ่ ดเ้ พอื่ นาไปสู่คาตอบของปัญหาหรือคาถาม และในท่ีสุ ด นกั เรยี น
ไดส้ ร้างองค์ความรูน้ อกจากนี้ กิจกรรมตา่ งๆ ควรสนับสนนุ ใหน้ กั เรียนได้มปี ฏสิ ัมพันธ์ซงึ่ กันและกัน
จากแนวคดิ ดังกล่าว สรปุ ความหมายของการสบื เสาะหาความรู้ ได้ว่าเป็นวิธีการ จัดการ
เรียนรู้วิธีหน่ึงในการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ท่ีให้นักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วย ตนเอง
โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระต้นุ ใหน้ ักเรียนมคี วามอยากรอู้ ยากเห็น เสาะ แสวงหาความรู้
โดยการถามคาถาม และพยายามค้นหาคาตอบ นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการ เรียนรู้ตลอดเวลา
ให้โอกาสแกน่ กั เรยี นไดฝ้ ึกคิด ฝกึ สังเกต ฝึกนาเสนอ ฝึกวิเคราะห์วิจารณ์ ฝึกสร้าง องค์ความรู้ โดยที่
ครเู ป็นผกู้ ากบั ควบคมุ ดาเนนิ การให้คาปรกึ ษา เป็นผูส้ นบั สนนุ ชแี้ นะ ชว่ ยเหลือ ตลอดจนแกปัญหาท่ี
อาจเกิดข้ึนระหว่างการเรียนการสอน ให้กาลังใจ กระตุ้น ส่งเสริมให้นักเรียน คิดและเรียนรู้ด้วย
ตนเอง รวมท้งั รว่ มแลกเปล่ียนเรยี นรู้
1. ขนั้ ตอนในการจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้
สุนีย์ เหมะประสิทธิ์(2543, น. 10 -11) ได้นาวัฏจักรการเรียนรู้ 5E ของโครงการ
ศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ สาขาชีววิทยาของสหรัฐอเมริกา (Biological Science Curriculum
Studies หรอื BSCS) มาทดลองดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกบเด็กไทย โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนสามารถ
ร่วมกนั แสวงหา ค้นพบและสรา้ งองคค์ วามรู้ด้วยตนเอง อีกท้งั ยงั ใหน้ ักเรียนมีโอกาสประสบ ผลสาเร็จ
ในการเรยี นและเรยี นรู้อย่างมีความสุข ภายใตส้ ภาพการณท์ ่ีจาลองหรอื ทเ่ี ป็นจริงเพ่ือให้ เหมาะสมกบ
นักเรยี นไทย มีขนั้ ตอน 5 ข้นั ดงั นี้
1. ข้ันนา (Engagement Phase) เป็นขั้นที่ครูผู้สอนกระตุ้นเพื่อสร้างความ
สนใจแก่ นกั เรยี นหรอื ตรวจสอบ ทบทวนความรู้และประสบการณ์เดิมของนักเรียน เพื่อนาเข้าสู่การ
เรียนรู้ บทเรียนใหม่
2. ขั้นสารวจ/ขั้นสารวจข้อมูลเพื่อการค้นพบ (Exploration Phase) เป็นข้ัน
ที่ นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมโดยอาจปฏิบัติเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล โดยนักเรียนสามารถนาความรู้
และประสบการณ์เดิมมาสัมพนั ธ์กบความรู้ใหม่จึงทาให้นักเรียนสามารถค้นพบหรือสร้างความรู้ ด้วย
ตนเอง โดยครูผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้อานวยความสะดวกในการเรียนรู้เป็นท่ีปรึกษาและเป็นผู้กระตุ้น
ให้นักเรียนเกิดการค้นพบ สร้างความรู้ด้วยตนเอง กล่าวโดยสรุป ขั้นนี้เป็นขั้นที่นักเรียนเกิด หรือ
คน้ พบมโนทัศน์
3. ขั้นอธิบาย/ขั้นนาเสนอข้อมูลเพ่ือการค้นพบ (Explanation Phase) เป็น
ข้ันที่ นักเรียนอธิบายหรือนาเสนอมโนทัศน์หรือความรู้ที่ค้นพบในข้ันที่ 2 โดยอาจใช้ความรู้และ
ประสบการณเ์ ดิมเป็นฐาน ประกอบกบหลักฐานและข้อมูลท่ีค้นพบใหม่ ครูผู้สอนมีบทบาทในการ ต้ัง
คาถามและใหค้ วามรูห้ รอื ข้อมลู เพ่มิ เตมิ เพ่ือให้นักเรยี นกระจา่ งชดั ยิงข้ึน
4. ข้ันขยายหรือประยุกต์ใช้มโนทัศน์/ขั้นประยุกต์ใช้ (Elaboration Phase)
เป็นข้ัน ท่ีนักเรียนประยุกต์ใช้มโนทัศน์ในสถานการณ์ใหม่ หรือในสภาพการณ์ที่เป็นจริง หรืออาจ
ขยาย มโนทัศน์น้ัน ๆ ให้กว้างข้ึน จนก่อให้เกิดความรู้ท่ีลึกซึ้งหรือมโนทัศน์อ่ืนๆท่ีสัมพันธ์หรือ
เกี่ยวข้อง
5. ข้ันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Exhibition Phase) เป็นขั้นที่ดัดแปลงจากรูป
แบบเดิม คือ ขั้นประเมินผล (Evaluation Phase) ทั้งนี้เพราะชุดกิจกรรมน้ีได้ระบุดัชนีบ่งช้ีผลการ
เรียนรู้ หรือ หลักฐานการเรียนรู้ไว้ในทุกข้ันของกิจกรรมการเรียนการสอน น้ันคือ การวัดและ
ประเมินผลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา จึงเปล่ยี นขน้ั ที่ 5 เปน็ ข้ันแลกเปลยี่ นเรียนรูซ้ ง่ึ มงุ่ ใหน้ กั เรยี นนาผล
การ ประยุกต์ใช้หรือผลการค้นพบความรู้จากขั้นที่4 มาจัดแสดงเพ่ือแลกเปล่ียนความรู้ ความคิด
ทักษะ และเจตคติต่อการทากิจกรรมต่าง ๆ โดยมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกนและปฏิสัมพันธ์กับครูอัน
กอ่ ให้เกิด สังคมแหง่ การเรียนรู้
กระทรวงศึกษาธิการ (2545, น. 37) เสนอข้ันตอนของการสอนแบบสืบเสาะหา
ความรู้ไว้ดงั นี้
1. สร้างสถานการณ์หรือปัญหาจากเนื้อหาให้สอดคล้องกับจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดและแกปัญหาน้ัน สถานการณ์ควรเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัว ดึงดูด
ความสนใจของนักเรยี นและโยงไปสูก่ ารออกแบบการค้นควา้ ได้
2. ใชค้ าถามในการอภิปรายเพือ่ นาไปสู่แนวทางการหาคาตอบของปัญหาและ
ควร เปน็ คาถามท่ีนักเรยี นนาไปสู่การคาดคะเนคาตอบทีเ่ ป็นไปได้ (สมมตฐิ าน)
3. ใช้คาถามเพื่อนาไปสู่การออกแบบการค้นคว้า การกาหนดเคร่ืองมือ เก็บ
รวบรวมขอ้ มูล การกาหนดแหล่งขอ้ มลู
4. นักเรียนดาเนินการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งค้นคว้าที่กาหนดทาการบันทึก
ผล และจัดหมวดหมูข่ อ้ มูลความรู้ท่ีไดจ้ ากการศึกษาคน้ ควา้
5. ใช้คาถามในการอภิปรายเพ่ือสรุปผลการศึกษาค้นคว้า การใช้คาถามต้อง
อาศัย ขอ้ มูลจากการสบื คน้ ของนกั เรยี นเปน็ หลัก เพื่อนาไปสู่คาตอบในการแกสถานการณ์หรือปัญหา
ข้ า ง ต้ น แ ล ะ ค ว ร จ ะ มี ค า ถ า ม ที่ ฝึ ก ใ ห้ นั ก เ รี ย น น า ค ว า ม รู้ ท่ี ไ ด้ ไ ป ใ ช้ ใ น ส ถ า น ก า ร ณ์ ท่ี พ บ เ ห็ น ใ น
ชีวิตประจาวนั หรือเรื่องที่เรียนต่อไป
สาขาชีววิทยา สสวท. (2546, น. 219-220) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
แบบสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีความสอดคล้องกบการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ (learning
cycle) ที่นาเสนอโดยนักการศึกษากลุ่ม BSCS (Biological Science Curriculum Study)
ประกอบด้วยข้ันตอนสาคัญ 5 ข้นั ตอน ดงั น้ี
1. ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนาเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องท่ี
สนใจ สถานการณ์หรือปัญหาทส่ี รา้ งขึ้น ซง่ึ อาจเกิดขน้ึ เองจากความสงสยั หรืออาจเริ่มจากความสนใจ
ของ ตัวนกั เรียนเอง หรือเกิดจากการอภปิ รายในกลุ่ม เรือ่ งท่ีนา่ สนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กาลังเกิด
ข้ึนอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องท่ีเช่ือมโยงกบความรู้เดิมท่ีเพ่ิงเรียนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้
นักเรียนสร้างคาถาม กาหนดประเด็นท่ีจะศึกษา ในกรณี ที่ยังไม่มีประเด็นใดที่น่าสนใจ ครูอาจให้
ศกึ ษาจากสื่อตา่ ง ๆ หรอื เป็นผู้กระตุ้นดว้ ยการเสนอประเด็นข้ึนมาก่อน แต่ไม่ควรให้นักเรียน ยอมรับ
ประเดน็ หรือคาถามทคี่ รูกาลังสนใจเป็นเรอ่ื งท่ีจะใช้ ศึกษา เม่ือมีคาถามท่ีน่าสนใจและ นักเรียนส่วน
ใหญ่ยอมรับให้เป็นประเดน็ ท่ีตอ้ งการศกึ ษา จงึ รว่ มกันกาหนดขอบเขตและแจกแจง รายละเอียดของ
เร่ืองที่จะศกึ ษาใหม้ คี วามชดั เจนย่ิงขน้ึ
2. ข้ันการสารวจค้นหา (Exploration) เม่ือทาความเข้าใจในประเด็นหรือ
คาถามที่ สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกาหนดแนวทางการสารวจ ตรวจสอบ
ต้ังสมมติฐาน กาหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือ
ปรากฏการณ์ต่างๆ วิธีการตรวจสอบ อาจทาได้หลายวิธี เช่น ทาการทดลอง ทากิจกรรมภาคสนาม
การใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์ จาลอง (simulation) การศึกษาข้อมูลจาก
เอกสารอ้างอิงหรือจาก แหล่งข้อมลู ตา่ งๆ เพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมลู อยา่ งเพียงพอที่จะใชใ้ นขั้นต่อไป
3. ขัน้ อภิปรายและลงขอ้ สรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจาก
การ สารวจตรวจสอบแล้ว จึงนาขอ้ มูลขอ้ สนเทศท่ีไดม้ าวเิ คราะห์ แปลผล สรุปผลและนาเสนอผลท่ีได้
ในรูปต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สร้างแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ หรือรูปวาด สร้างตาราง การค้นพบ
ในขั้นน้ีอาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมติฐานที่ต้ังไว้หรือไม่ เกี่ยวข้องกบประเด็นที่ได้
กาหนดไว้ แต่ผลที่ไดจ้ ะอยู่ในรูปใดก็ สามารถสรา้ งความรูแ้ ละช่วยใหเ้ กดิ การเรียนรู้
4. ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนาความรู้ท่ีสร้างข้ึนไปเชื่อมโยง
กับ ความรู้เดิม หรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพ่ิมเติม หรือนาแบบจาลองหรือข้อสรุปท่ีได้ไปใช้อธิบาย
สถานการณ์ หรือเหตุการณ์อ่ืนๆ ซึ่งก็จะช่วยให้เชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆ และทาให้เกิดความรู้
กวา้ งขวางขึ้น
5. ขั้นประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ
ต่าง ๆ ว่า นักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนาไปสู่การนาไป
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นเรอื่ งอื่นๆ
1.2 ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของการจัดการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้
การจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้นั้นสามารถทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ด้วย
ตนเอง และสร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง ด้วยการสารวจตรวจสอบและค้นหาขอ้ มูลดว้ ยตนเอง จึงทาให้
ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้ทคี่ งทนและมีระเบียบแบบแผน เข้าใจและจดจาสิ่งนั้นได้ดี แต่ทั้งน้ีก็ ยังมีข้อจา
กดในการจัดการเรียนการสอน ซ่ึงนักการศึกษาได้เสนอข้อดีและข้อจากัดของการสอน แบบสืบ
เสาะหาความรูไ้ ว้ดังนี้
ภพ เลาหไพบูลย์ (2542, น. 156–157) ได้กลา่ วถงึ ข้อดีและข้อจากัดของการสอน แบบ
สืบเสาะหาความรู้ ไวด้ ังนี้
ขอ้ ดีของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้คอื
1. ผู้เรียนมีโอกาสได้พัฒนาการคิดอย่างเต็มท่ี ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจึงมี ความ
อยากรู้อยู่ตลอดเวลา ่
2. ผูเ้ รยี นมีโอกาสไดฝ้ ึกความคิดและฝึกการกระทา ทาให้ได้เรียนรู้วิธีจัดระบบ ความคิด
และวิธีแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทาให้ความรู้คงทนและถ่ายโยงการเรียนรู้ได้ กล่าวคือ สามารถ
จดจาไดน้ าน และนาไปใชส้ ถานการณใ์ หมไ่ ดอ้ ีกด้วย
3. ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลางของการเรียนการสอน
4. ผ้เู รียนสามารถเรยี นรู้มโนมติและหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้เร็วขึ้น
5. ผ้เู รยี นจะเป็นผู้ท่มี ีเจตคตทิ ดี่ ตี อ่ การเรียนวทิ ยาศาสตร์
ขอ้ จากัดของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ คือ
1. ใชเ้ วลามากในการสอนแตล่ ะครั้ง
2. ถ้าสถานการณ์ท่ีครูสร้างข้ึนไม่ทาให้น่าสงสัยแปลกใจ จะทาให้นักเรียนเบื่อ หน่าย
และถ้าครไู ม่เขา้ ใจบทบาทหนา้ ที่ในการสอนวธิ นี ้ี มงุ่ ควบคมุ พฤตกิ รรมของผเู้ รยี นมาก เกินไป จะทาให้
ผ้เู รยี นไม่มีโอกาสสืบเสาะหาความรดู้ ว้ ยตนเอง
3. นักเรยี นทม่ี ีระดบั สติปัญญาตา่ และเนอ้ื หาวชิ าค่อนขา้ งยาก ผู้เรียนอาจจะไม่ สามารถ
ศกึ ษาหาความรู้ด้วยตนเองได้
4. ผเู้ รียนบางคนท่ยี ังไม่เป็นผูใ้ หญ่พอ อาจขาดแรงจูงใจท่ีจะศึกษาปัญหา และ ผู้เรียนที่
ต้องการแรงกระตุ้นเพ่ือให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนมาก ๆ อาจจะพอตอบคาถามได้ แต่
ผูเ้ รยี นอาจไมป่ ระสบความสาเร็จในการเรียนดว้ ยวธิ ีน้ีเทา่ ที่ควร
5. ถ้าใช้การสอนแบบนี้อยู่เสมออาจทาให้ความสนใจของผู้เรียนในการศึกษา ค้นคว้า
ลดลง
2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
2.1 ความหมายของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
นักการศกึ ษาไดใ้ ห้ความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นไว้ ดังนี้
ไพศาล หวังพานิช (2526: 89) ให้ความหมายผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า เป็น
คุณลักษณะและความสามารถของบคุ คลอันเกดิ จากการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม
ภพ เลาหไพบูลย์ (2542: 295) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือ
พฤติกรรมทแ่ี สดงออกถงึ ความสามารถในการกระทาสิ่งหนึ่งส่ิงใดได้จากที่ไม่เคยกระทาได้หรือกระทา
ไดน้ อ้ ยก่อนทจี่ ะมีการเรยี นรซู้ ่งึ เป็นพฤติกรรมท่สี ามารถวดั ได้
นิยม ศรียะพันธ์ุ (2541: 34) ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนว่า เป็น
ความสาเร็จ หรือความสามารถของบุคคลเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์การ
เรียนรทู้ ่ีเกดิ จากการเรยี นการสอน
สุรพี นั ธุ์ พันธุ์ธรรม (2553: 79) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า เป็นความรู้
ความเข้าใจ สมรรถภาพของผู้เรียนท้ังด้านความรู้ และทักษะที่เกิดขึ้นจากการได้รับการสอนและ
ความสามารถของนักเรียนท่ีบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ในบทเรียนวัดโดยใช้เครื่องมือวัดผล
สัมฤทธิ์
พัชรินทร์ ชูกล่ิน (2554: 44) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า เป็น
ความสามารถในการเรียนรู้ด้านสตปิ ญั ญาของผู้เรียนซ่งึ สามารถวดั ได้จากพฤติกรรมท่ีเกดิ ข้นึ กับผู้เรียน
หลังจากการเรียนรู้
จากความหมายของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นข้างตน้ สรปุ ไดว้ ่า ความสามารถของแต่ละ
บุคคลท่ีได้จากการสังเกต การเก็บข้อมูล การวางแผน การวิเคราะห์ การฝึกฝนจนเกิดความชานาญ
และสามารถวดั ได้โดยการใชเ้ คร่อื งมอื ในการประเมิน
2.2 ความหมายแบบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถทางสมองด้านต่าง ๆ ท่ีนักเรียนได้รับ
ประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการเรียนรู้ ซ่ึงมีนักวัดผลการศึกษาหลายท่าน ได้ให้
ความหมายของสัมฤทธิท์ างการเรียน ไว้ดงั นี้
สมนึก ภัททิยธานี (2537: 45) ได้กล่าวว่า แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็น
แบบทดสอบทีใ่ ชว้ ดั สมรรถภาพของสมองในด้านต่างๆ ท่ีนักเรียนได้รบั จากการเรียนรู้
เยาวดี วิบูลย์ศรี (2540: 28) ได้กล่าวว่า แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น
แบบทดสอบทใี่ ช้วัดความรู้เชงิ วิชาการ เน้นการวัดความสามารถจากการเรียนรู้ในอดีต หรือในสภาพ
ปัจจุบนั
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายถงึ แบบทดสอบทใ่ี ช้วดั ความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการท่ีนักเรียนได้เรียนรู้มาแล้ว
วา่ บรรลุผลสาเร็จตามจุดประสงคท์ กี่ าหนดไวเ้ พยี งใด
นัสรินทร์ บือซา (2558: 20) ได้กล่าวว่า แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง
แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ความสามารถที่ได้จากการเรียนรู้ เพื่อวัดความรู้หรือความสามารถนั้น
บรรลตุ ามจุดประสงค์การเรียนท่ีมงุ่ หวงั ไว้หรือไม่
จากความหมายของแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สามารถสรุปได้ว่า แบบวัด
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่าน
กระบวนการสอนในรูปแบบต่าง ๆ ว่าบรรลุตามจดุ ประสงค์การเรียนท่ีกาหนดไวห้ รอื ไม่
2.3 การประเมนิ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรมทพี่ งึ ประสงค์ ท่ีต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียน ได้
มีนกั วิชาการกล่าวไว้ดังนี้
Bloom (1956 อา้ งถึงใน ภพ เลาหไพบูลย์, 2542: 329) ได้กล่าวถึงลาดับข้ันของที่ใช้
ในการเขยี นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมดา้ นพทุ ธพิสยั ไว้ 6 ขั้นดงั นี้ คอื
1. ความรู้ความจา หมายถึง การระลึกหรือท่องจาความรู้ต่าง ๆ ท่ีได้เรียนมาแล้ว
โดยตรงในขั้นนรี้ วมถึง การระลกึ ถงึ ข้อมูล ข้อเท็จจรงิ ต่าง ๆ ไปจนถงึ กฎเกณฑ์ ทฤษฎจี ากตารา ดังนั้น
ขั้นความรคู้ วามจาจึงจดั ไดว้ า่ เป็นขนั้ ตา่ สดุ
2. ความเขา้ ใจ หมายถึง ความสามารถจบั ใจความสาคญั ของเน้ือหาท่ีได้เรียนหรืออาจ
แปลความจากตวั เลข การสรปุ การย่อความต่าง ๆ การเรยี นรูใ้ นขั้นนีถ้ ือวา่ เปน็ ขั้นท่ีสูงกว่าการท่องจา
ตามปกติอีกขน้ั หนง่ึ
3. การนาไปใช้ หมายถึง ความสามารถที่จะนาความรู้ที่นักเรียนได้เรียนมาแล้วไปใช้
ในสถานการณ์ใหม่ ดังนั้น ในขั้นนี้จึงรวมถึงความสามารถในการเอากฎ มโนทัศน์หลักสาคัญ วิธีการ
นาไปใช้ การเรียนรู้ในขั้นนี้ ถือว่านักเรียนจะต้องมีความเข้าใจในเนื้อหาเป็นอย่างดีเสียก่อนจึงจะนา
ความรูไ้ ปใช้ได้ ดังน้นั จึงจดั อันดับใหส้ งู กวา่ ความเข้าใจ
4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถท่ีจะแยกแยะเน้ือหาวิชา ลงไปเป็น
องค์ประกอบย่อย ๆ เหล่านั้น เพ่ือท่ีจะได้มองเห็นหรือเข้าใจความเกี่ยวโยงต่าง ๆ ในข้ันน้ีจึงรวมถึง
การแยกแยะหาส่วนประกอบย่อย ๆ หาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อย ๆ เหล่านั้นตลอดจนหลัก
สาคัญต่าง ๆ ที่เข้ามาเก่ียวข้อง การเรียนรู้ในขั้นน้ีถือว่าสูงกว่าการนาเอาไปใช้และต้องเข้าใจท้ัง
เนือ้ หาและโครงสร้างของบทเรยี น
5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถท่ีจะนาเอาส่วนย่อย ๆ มาประกอบกันเป็น
สิ่งใหม่ การสังเคราะห์จึงเกี่ยวกับการวางแผน การออกแบบการทดลอง การตั้งสมมติฐานการ
แกป้ ญั หาท่ียาก การเรยี นรู้ในระดับนี้เป็นการเน้นพฤติกรรมท่ีสร้างสรรค์ ในอันที่จะสร้างแนวคิดหรือ
แบบแผนใหม่ ๆ ข้นึ มา ดงั นนั้ การสังเคราะห์เปน็ สิง่ ทส่ี ูงกวา่ การวเิ คราะหอ์ ีกขนั้ หนงึ่
6. การประเมนิ ค่า หมายถึง ความสามารถท่ีจะตดั สนิ ใจเก่ยี วกับคุณค่าต่าง ๆ ไม่ว่าจะ
เปน็ คาพดู นวนยิ าย บทกวี หรอื รายงานการวจิ ยั การตดั สินใจดงั กล่าว จะต้องวางแผนอยู่บนเกณฑ์ท่ี
แน่นอน เกณฑ์ดังกล่าวอาจจะเป็นส่ิงท่ีนักเรียนคิดขึ้นมาเอง หรือนามาจากที่อื่นก็ได้การเรียนรู้
ในขนั้ นถ้ี ือวา่ เปน็ การเรียนรขู้ ้ันสงู สุดของความรู้ความจา
3. การพฒั นาแบบฝึกทักษะ
3.1 ความหมายของแบบฝึกทักษะ
ราชบัณฑิตยสถาน (2546:641) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า หมายถึง
แบบฝึกหัดหรือ ชุดการสอนท่ีเป็นแบบฝึกท่ีใช้เป็นตัวอย่าง ปัญหาหรือคาส่ังท่ีต้ังขึ้นให้นักศึกษาฝึก
ตอบ
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาประถมแห่งชาติ (2540:147) ได้ให้ความหมายของ
ชุดฝึกไวว้ ่า เปน็ สอื่ การสอนประเภทหนึ่ง สาหรับนักศึกษาปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและมี
ทกั ษะเพิ่มขน้ึ สว่ นใหญ่แบบฝึกทกั ษะ จะอยู่ท้ายบทเรียนของหนงั สอื เรยี น ่
มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช ( 2537: 490) ได้เสนอความหมายของแบบฝึกปฏิบัติ
ว่า หมายถึงคมู่ ือนักศกึ ษา ทน่ี ักศกึ ษาตอ้ งใชค้ วบคู่ไปกบการเรียนการสอน เป็นส่วนท่ีนักศึกษาบันทึก
สาระสาคัญและทาแบบฝึกหัดด้วย มีลักษณะคล้ายกบแบบฝึกหัด แต่ครอบคลุมกิจกรรมท่ีผู้เรียนพึง
กระทามากกวาแบบฝึกหัด ซึ่งอาจกาหนดแยกเป็นแต่ละหน่วย เรียกว่า “ Worksheet ” หรือ
“กระดาษคาตอบ” ซง่ึ ผ้เู รียนตอ้ งถอื ตดิ ตัวเวลาประกอบกจิ กรรมต่างๆ หรืออาจรวมเป็นเล่ม เรียกว่า
“ Workbook ” โดยเยบ็ รวมเรียงตามลาดับ ตงั้ แต่หน่วยที่ 1 ข้ึนไป แบบฝึกปฏิบัติเป็นสมบัติส่วนตัว
ของนกั ศกึ ษาแต่ต้องเกบ็ ไวท้ ่ีชดุ การสอนเป็นตวั อย่าง 1 ชุด เสมอ
ปรชี า ช้างขวญั ยนื และคณะ (2543 : 130) กล่าวถึง ความหมายของแบบฝึกปฏิบัติว่า
แบบฝึกปฏบิ ตั ิ คอื หนังสอื ทผ่ี ู้เรยี นใช้ควบคู่ไปกบตาราเรียน หรืออาจจะใช้เป็นคู่มือสาหรับการศึกษา
ควบคูไ่ ปกบสื่ออื่น ๆ ทท่ี าหนา้ ทแี่ ทนครหู รือตารา
พรชัย ผาดไทสง (2545:31) กล่าวถึงชุดฝึกหมายถึง ส่ือการสอนท่ีใช้ในการ
ประกอบการสอน โดยให้นักศึกษาเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมเองช่วยให้นักศึกษามีพัฒนาการในการ
เรียนรทู้ ักษะทเ่ี พิ่มข้ึน และนกั ศึกษาเรียนรู้อยา่ งสนุกสนาน
จากความหมายของชุดฝึกสรุปได้ว่า ชุดฝึกเป็นสื่อการสอนท่ีช่วยเสริมทักษะและครู
สามารถใชแ้ บบฝึกทักษะ ช่วยพัฒนาการเรียนรู้เพื่อนามาใช้สอนหรือให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ
ได้ดขี ึน้ หลงั จากท่ไี ด้เรียนบทเรยี นแล้ว
3.2. ความสาคัญของแบบฝกึ ทกั ษะ
ชยาภรณ์ พิณพาทย์ (2542:118) กลา่ วว่าแบบฝึกทักษะ มีความสาคญั และจาเปน็ ต่อ
การเรยี นทักษะคอมพิวเตอรม์ ากเพราะจะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจบทเรียนยิ่งขน้ึ สามารถจดจาเน้อื หา
ในบทเรียนได้เป็นอย่างดี และผเู้ รยี นยังเกดิ ความสนกุ สนานในขณะทีเ่ รียนละยังทราบความกาวหน้า
ของตนเอง สามารถนาแบบฝึกทบทวนเนอ้ื หาเดิมของตนเองได้
พิทักษ์ (2552:1) ไดก้ ล่าวถึงความสาคัญของแบบฝึกทักษะ ไว้ว่า แบบฝึกทักษะ ช่วย
ทาให้ นักศึกษาทบทวนความเขา้ ใจ และฝกึ ฝนทกั ษะสาหรบั การเรียนรู้ในแขนงวิชาหนึ่ง ทาให้ความรู้
ความเข้าใจและทักษะเหล่านั้นได้รับการพัฒนามากข้ึน การฝึกทักษะจะทาให้พันธะระหว่างส่ิงเร้า
และการตอบสนองมันคงขึ้น
จากความสาคญั ของแบบฝกึ ทกั ษะ ทกี่ ลา่ วมาสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ ที่ครูนามาเป็น
สือ่ การสอน จะชว่ ยให้นกั ศกึ ษาพฒั นาทักษะต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ดังน้ันแบบฝึกทักษะ จึงมีความสาคัญจึง
มีความสาคัญในการช่วยเหลือนกั ศึกษาเข้าใจเนื้อหาได้เป็นอย่างดี
3.3. ลักษณะทดี่ ขี องแบบฝกึ ทกั ษะ
ในการสรา้ งแบบฝึกทักษะ สาหรับเด็ก มอี งค์ประกอบหลายประการซ่ึงนักการศึกษา
หลายทา่ นไดใ้ ห้ขอ้ เสนอแนะเก่ยี วกบชุดฝกึ ที่ดไี ว้ ดงั น้ี
ศศิธร วิสุทธิแพทย์ (2518-72) ได้ศึกษาพบวาชุดฝึกหรือแบบฝึกทักษะ ท่ีนักศึกษา
สนใจและกระตือรอื ร้นทจี่ ะทามลี ักษณะดงั นี้
1. ใช้หลักจิตวิทยา
2. ให้ความหมายตอ่ ชวี ติ
3. สานวนภาษาง่าย ๆ
4. ปลกุ ความสนใจ
5. เหมาะกับวยั และความสามารถ
6. คิดไดเ้ รว็ และสนุก
7. อาจศกึ ษาด้วยตนเองได้
นิภา ชวนะพานิช (2551:15) ได้กล่าวว่า สิ่งที่จะช่วยให้นักศึกษามีพัฒนาการทาง
ภาษาทดี่ ีขนึ้ คือ แบบฝึกทกั ษะ หรือแบบฝึกหัด เพราะจะทาให้ผู้เรียนมีโอกาสได้นาความรู้ท่ีเรียนไป
ฝกึ ให้มคี วามเข้าใจมากยิงขึ้น
วลี สมุ พี ันธ์ (2530:189-190) ได้กล่าวถึง ลักษณะของชุดฝึกที่ดีวา ่ ต้องมีลักษณะ
ดังน้ี
1. เกี่ยวขอ้ งกบบทเรยี นที่เรียนมาแลว้
2. เหมาะสมกบระดบั วยั ละความสามารถของเด็ก
3. มีคาช้ีแจงสน้ั ๆ ทจ่ี าทาใหเ้ ดก็ เขา้ ใจวธิ ีทาไดง้ า่ ย คาชี้แจงหรือคาส่ังส้นั กะทัดรดั
4. ใช้เวลาที่เหมาสม คอื ไม่ใชเ้ วลาท่ีนานหรอื เร็วจนเกินไป
5. เป็นท่นี า่ สนใจและทา้ ทายใหแ้ สดงความสามารถ
สมมาตร มศี รี (2530-78) ได้เสนอแนะเกี่ยวกบแบบฝึกทักษะ ไว้ว่า แบบฝึกทักษะ
ทด่ี ีจะต้องเก่ียวกับบทเรยี น เหมาะสมกับวยั ของนกั ศกึ ษา มีคาสั่งหรือคาอธิบาย มีคาแนะนาการใช้ มี
รูปแบบที่น่าสนใจ แบบมีกจิ กรรมฝึกหลาย ๆ แบบ
วันชัย เพชรเรือง (2531-73)ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกบเกี่ยวกบลักษณะของแบบฝึก
ทกั ษะ ไว้ว่า
1. แบบฝึกทกั ษะ แตล่ ะชดุ ควรใชจ้ ติ วิทยาเข้ามาช่วย เช่น มีการสร้างแรงจูงใจ
ให้กับเด็กเกิดความอยากรูอ้ ยากเห็น และกระตือรือร้นที่อยากจะทากิจกรรมนั้นๆ และเม่ือจบการฝึก
แตล่ ะครง้ั ควรเสรมิ แรงใหเ้ ดก็ ทุกคร้งั เพ่ือที่เดก็ จะได้ทากิจกรรมต่อๆไปเม่อื ตนเองประสบผลสาเร็จ
2. การสร้างแบบฝึกทักษะ แต่ละครั้ง ควรให้นกั ศึกษามีส่วนรว่ มด้วยเพ่ือเด็กจะ
ไดเ้ กดิ ความรู้สกึ ภมู ใิ จที่เป็นเจ้าของกจิ กรรมและเต็มทก่ี ระทากิจกรรมน้ัน ๆ ไดบ้ รรลเุ ป้าหมาย
3. สานวนภาษาไม่ควรใช้คายากเกินไป เพราะเด็กจะเกิดความท้อถอยและไม่
งา่ ยจนเกิดความเบือ่ หน่าย
River (1998:97-105) ไดก้ ลา่ วถึงแบบฝกึ ทักษะ ทด่ี ีไว้ ดังน้ี
1. ต้องมกี ารฝึกนกั ศกึ ษามากพอสมควรในเร่ืองหน่ึง ๆ ก่อนที่จะมีการฝึกเร่ือง
อน่ื ตอ่ ไป ทั้งนี้แบบฝึกทกั ษะ ควรสร้างขน้ึ เพอื่ การสอนมิใชเ่ พ่อื ทดสอบ
2. เป็นชุดฝึกทเ่ี นน้ ใหน้ ักศกึ ษาใชค้ วามคิดเสมอ
3. คาศัพท์หรอื ประโยคท่ใี ช้เก่ียวกบชีวิตประจาวนั ของนกั ศกึ ษา
4. ชุดฝึกควรมีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายการปฏิบัติ
ดงั นัน้ จะเหน็ ว่าลกั ษณะที่ดขี องแบบฝกึ ทกั ษะ นั้น ควรมีลกั ษะทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย ควรมีคาอธิบายท่ี
ชัดเจน เป็นแบบฝึกทักษะ ที่มีหลายแบบให้มีความน่าสนใจ ทันสมัย มีความเหมาะสมกับวัยของ
ผเู้ รยี นและความสามารถของผเู้ รยี น ทา้ ทายใหน้ ักศึกษาไดใ้ ชค้ วามสามารถและฝึกตนเอง
3.4. ทฤษฎีและหลกั จิตวิทยาทเี่ กีย่ วข้องกบั การสร้างแบบฝกึ ทักษะ
พรรณี ชูทัย (2555:142) ได้กล่าวถึงหลักความสาคัญและทฤษฎีการเรียนรู้ทาง
จติ วทิ ยาเพื่อนามาสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ ดังนี้
1. ความใกล้ชิด หมายถึง กรณีที่วาถ้าใช้สิ่งเร้าและการตอบสนองท่ีเกิดขึ้น ใน
เวลาใกล้เคยี งกัน จะสรา้ งความพอใจให้แกผ่ ูเ้ รียนเปน็ อย่างมาก
2. การฝึกเป็นการกระทาให้ผู้เรียนได้ทาซ้า ๆ เพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจที่
แม่นยา
3. กฎแห่งผล คือ การเรียนรู้ได้ทราบผลปฏิบัติงานของตนด้วย มีการเฉลย
คาตอบให้ จะช่วยให้นักศึกษาทราบข้อบกพร่อง เพ่ือปรับปรุงตนเองเป็นการสร้างความพอใจ ให้
เกดิ ขึน้ แก่ผูเ้ รียน
4. กฎการจูงใจ คือ การจัดชุดฝกึ เรียงลาดับจากชุดที่ง่ายไปหาชุดที่ยากขึ้นควร
มีภาพประกอบและมหี ลายรส หลายรปู แบบ
จากหลักจิตวทิ ยาและทฤษฎที เ่ี ก่ยี วขอ้ งกบการสรา้ งแบบฝึกทักษะ สรุปได้ว่าในการ
สร้าง แบบฝกึ ทกั ษะ ควรคานึงถงึ จิตวทิ ยาในการเร้าให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและตอบสนองด้วยการ
แสดงออก ความหลากหลายของชดุ ฝึกและควรคานงึ ถงึ ความพร้อมและวยั ของผ้เู รียน
3.4.1 การสร้างแบบฝึกทกั ษะ
แบบฝึกทักษะ เป็นเคร่ืองมือที่สาคัญ ครูจาเป็นต้องใช้ในการฝึกทักษะ
คอมพิวเตอร์ ดังน้ันครูต้องมีความรู้เกี่ยวกบการสร้างแบบฝึกทักษะ เพ่ือมี่จะสามารถสร้างแบบฝึก
ทักษะ ที่ดี มีประสิทธิภาพสูงเหมาะสมกบระดับความสามารถ ั ของผู้เรียนมากท่ีสุด จ้ึงต้องอาศัย
ทฤษฎีท่ีเกยี่ วกบการสร้าง แบบฝึกทักษะ มาเป็นแนวทางในการสรา้ ง มีนกั การศึกษาได้กล่าวหลักการ
สรา้ งแบบฝึกทักษะ ทด่ี ีไวใ้ นลกั ษณะตา่ ง ๆ ดงั น้ี
วรินทรา วัชรสิงห์ (2537:11-92) ได้เสนอแนวคิดในการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้
ดงั นี้
1. เทคนิคการยกตวั อย่าง คอื ผสู้ อนควรยกตัวอย่างง่าย ๆ เพื่อให้เกิดความ
เขา้ ใจอย่างรวดเรว็ และถูกต้อง ครูควรยกตัวอย่างประกอบหลายๆเพ่ือให้ ่ นักศึกษาเกิดความสนใจ
และเขา้ ใจมากยงิ ขึ้น
2. เทคนิคการใช้วสั ดุประกอบการทาแบบฝึกทกั ษะ
2.1. ให้ผู้เรียนช่วยทาวัสดุประกอบการเรียน ในการทาแบบฝึกทักษะ
ผู้สอนควรจะให้ผู้เรียนช่วยทาวัสดุประกอบการเรียนเพ่ือเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง
พฒั นาทกั ษะทางกายและทาใหผ้ เู้ รียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
2.2. ผ้สู อนรู้จกั ใชว้ สั ดุจากส่ิงแวดล้อม ซึ่งหาได้ไม่ยากนัก และควรเลือก
ใหเ้ หมาะสมกับเนื้อหา
2.3. ผู้สอนรู้จักเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบการเรียนท่ีหาได้ง่ายและ
ประหยดั เพื่อให้เขา้ ใจสภาพเศรษฐกิจและสังคม วัสดุที่ใช้ไม่จาเป็นต้องหายาก ราคาแพง เพราะเรา
ใชว้ สั ดปุ ระกอบการเรยี นเพื่อให้เกิดกาความเข้าใจและเกดิ มโนคติทดี่ ี
3.4.2. ขอ้ ดีของแบบฝกึ ทักษะ
วิมลรตั น์ สุนทรโรจน์ ( 2545 : 69 ) ได้กล่าวถึงแนวคิดเกี่ยวกบข้อดี ั ของ
แบบฝึกทกั ษะ ไวด้ งั น้ี
1. ทาใหค้ รูทราบความเขา้ ใจของนักศกึ ษาทม่ี ีต่อบทเรยี น
2. ทาใหน้ กั ศกึ ษาเขา้ ใจบทเรยี นมากยิ่งข้ึน
3. ครูไดแ้ นวทางในการพฒั นาการเรียนการสอนเพอ่ื ชว่ ยเหลือนกั ศึกษาได้ดี
ทสี่ ุดตาม
4. ความสามารถของนักศกึ ษา
5. ฝึกใหน้ ักศกึ ษามีความเช่อื มันและสามารถประเมินผลงานของตนเองได้
6. ฝกึ ให้นกั ศึกษาไดท้ างานด้วยตนเอง
7. ฝกึ ใหน้ กั ศกึ ษามีความรับผิดชอบต่องาน
8. คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึก
ทกั ษะของ
9. ตนเอง โดยไม่คานงึ ถึงเวลาหรอื ความกดดนั อ่นื
10. แบบฝึกช่วยเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทน ลักษณะการฝึกจะช่วยให้
เกิดผลดงั กล่าว ไดแ้ ก่ ฝึกทนั ทีหลังจากเรียนเน้ือหา ฝกึ ซ้า ๆ ในเรอื่ งทีเ่ รยี น
4. ความพึงพอใจตอ่ การจัดการเรียนรู้
4.1 ความหมายของความพงึ พอใจ
Good (1973: 161) ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพหรือระดับความพงึ พอใจท่ี เป็น
ผลมาจากความสนใจและเจตคติของบุคคลทม่ี ีตอ่ งาน
ธีรพงศ์ แกน่ อนิ ทร์ (2545: 36) ได้ใหค้ วามหมายความพึงพอใจตอ่ การเรยี นการ
สอนวา่ เปน็ ความรสู้ กึ พงึ พอใจตอ่ การปฏบิ ัติของนักศกึ ษาในระหว่างการเรียนการสอน การปฏิบัตขิ อง
ผสู้ อน และสภาพโดยท่วั ไปของบรรยากาศห้องเรียน
วมิ ลสิทธ์ิ หรยางกูร (2546: 35) ไดใ้ ห้ความหมายความพงึ พอใจว่าเปน็ การให้ คา่
ความรูส้ ึกของคนท่ีสมั ผัสกับโลกทัศนเ์ กีย่ วกับการจัดการสภาพแวดลอ้ ม โดยคา่ ความรูส้ กึ ของคน จะมี
ความแตกต่างกนั เช่น ความรู้สึกดี-เลว สนใจ-ไม่สนใจ พอใจ-ไมพ่ อใจ
ศภุ ิสรา โททอง (2547: 47) ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรสู้ ึกนกึ คิด ชอบ พอใจ
หรือมีเจตคติที่ดีตอ่ การทางานหรอื การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในเชงิ บวก
สรปุ ความหมายความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ว่าเป็นความพอใจของ ผู้เรียนที่
แสดงออกถึงความรู้สึกต่อการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน โดยใช้แบบฝึก
ทกั ษะ เร่อื ง พนั ธุศาสตร์ประชากรเพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 หลงั จากท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ไปแล้ว ซ่ึงจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลได้รับตามท่ีตนเองคาดหวังไว้
มาก นอ้ ยเพยี งใด
4.2 แนวคิดทฤษฏีทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความพึงพอใจ
ทฤษฎีการเรยี นรูข้ อง Maslow
เชอื่ วา่ มนษุ ยท์ ุกคนมคี วามตอ้ งการพ้ืนฐานตามธรรมชาติเป็นลาดับข้ัน คือ ขั้นความ
ต้องการทางร่างกาย (physical need) ข้ันความต้องการความม่ันคงปลอดภัย (safety need) ข้ัน
ความต้องการความรัก (love need) ข้ันความต้องการยอมรับและการยกย่องจากสังคม (esteem
need) และขั้นความต้องการท่ีจะพัฒนาศักยภาพของตนเอย่างเต็มท่ี (self-actualization) หาก
ความตอ้ งการข้ันพื้นฐานได้รับการตอบสนองอย่างพอเพียงสาหรับตนในแต่ละขั้น มนุษย์จะสามารถ
พฒั นาตนไปสู่ข้ันท่ีสูงขึ้น
Maslow เป็นนักจติ วทิ ยากลมุ่ มนุษยนิยม ซึ่งนกั จิตวิทยากลมุ่ นี้เชอ่ื วา่ โดยธรรมชาติ
แล้วมนุษย์เกิดมาดีและพร้อมที่จะทาสิ่งดี ถ้าความต้องการของมนุษย์ได้รับการ ตอบสนองอย่าง
เพยี งพอ Maslow เป็นผู้หน่ึงที่ได้ศึกษาค้นคว้าถึงความต้องการของมนุษย์ โดยมองเห็นว่ามนุษย์ทุก
คนล้วนแต่มีความต้องการที่จะสนองความต้องการให้กับตนเองทั้งส้ิน ซึ่ง ความต้องการมนุษย์ มี
มากมายหลายอย่างด้วยกัน เขาได้นาความต้องการเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็น ลาดับจากข้ันต่าไปข้ัน
สูงสุดเป็น 5 ขน้ั ด้วยกัน
1. ความตอ้ งการดา้ นรา่ งกาย (physical need) เปน็ ความตอ้ งการขน้ั พื้นฐาน
ไดแ้ ก่ ความต้องการอาหาร น้าดื่ม อากาศ การพักผอ่ น ความตอ้ งการทางเพศ ความ
ต้องการความอบอุ่น ต้องการขจัดความเจ็บป่วย และต้องการรักษาความสมดุลของร่างกาย ทุกคน
ต้องการสิ่งเหล่าน้ีเหมือนกัน อาจแตกต่างกันเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับเพศ วัย และสถานการณ์
ฯลฯ ความต้องการปจั จยั 4 ดังกลา่ วข้างต้น หากเพียงพอแลว้ มนษุ ยจ์ ะพัฒนาในขนั้ ต่อไป
2. ความต้องการความม่ันคงปลอดภัย (safety need) เม่ือได้รับความพึงพอใจ
ทางด้านร่างกายแล้ว มนุษย์จะพัฒนาไปสู่ข้ันที่สองคือ ความรู้สึกม่ันคงปลอดภัย ส่ิงที่แสดงถึงความ
ตอ้ งการขั้นนี้คือ การที่มนุษย์ชอบอยู่อย่างสงบ มีระเบียบวินัย ไม่รุกรานผู้อ่ืน ความต้องการระดับน้ี
อาจแยกย่อยได้ดังนี้
2.1) ความม่ันคงในครอบครัว การมีบา้ นแขง็ แรงปลอดภยั มคี วามรัก ใคร่
ปรองดองกนั ในครอบครัว
2.2) ความมน่ั คงปลอดภยั ในอาชพี มีรายไดย้ ุติธรรม ไมถ่ กู ไล่ออก งานไม่
เสีย่ งอันตราย ผบู้ ังคบั บญั ชาดมี ีความยตุ ธิ รรม ฯลฯ
2.3) มีหลักประกันชวี ิต เช่น มผี ดู้ แู ลเอาใจใสย่ ามชรา ยามเจ็บไข้
3. ความต้องการความรักและความเปน็ เจา้ ของ (love need)
3.1) ความต้องการมเี พ่ือน
3.2) ความตอ้ งการการยอมรับจากกล่มุ
3.3) ตอ้ งการแสดงความคิดเหน็ ในกลุ่ม
3.4) ต้องการรกั คนอืน่ และไดร้ ับความรักจากคนอืน่
3.5) ต้องการความรูส้ กึ วา่ สงั คมเป็นของตน
4. ความตอ้ งการเกยี รตยิ ศชอื่ เสียง และความภาคภูมิใจ (esteem need) ได้แก่
4.1) ตอ้ งการยอมรับความคดิ เหน็ หรอื ขอ้ เสนอ
4.2) ต้องการเกยี รติยศช่ือเสียงจากสังคม
4.3) ตอ้ งการนบั ถอื ตนเอง มคี วามม่ันใจตนเอง ไมต่ ้องพึ่งผอู้ นื่
4.4) ตอ้ งการไดร้ ับการยกย่องนับถือจากผอู้ น่ื
4.5) ตอ้ งการความม่นั ใจในตนเอง และรูส้ กึ ตนเองมคี ุณค่า
5. ความตอ้ งการตระหนักในตนเอง (self-actualization need) ไดแ้ ก่
5.1) ต้องการรู้จกั ตนเอง ยอมรบั ตนเอง เปิดใจรบั ฟังคาวิจารณ์
5.2) ตอ้ งการรู้จกั แกไ้ ขตนเองในสว่ นทย่ี ังบกพร่อง
5.3) ต้องการพัฒนาตนเองพร้อมท่ีจะรับฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อ่นื เกี่ยวกับตนเอง
5.4) ต้องการค้นพบความจรงิ พรอ้ มที่จะเปิดเผยตนเองโดยไมม่ ี การปกป้อง
5.5) ตอ้ งการเป็นตัวของตัวเอง ประสบความสาเร็จดว้ ยตัวเอง
แนวคดิ ตามทฤษฏีของMaslow จึงเปน็ แนวทางหน่ึงในการพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้มี คุณธรรม
จริยธรรม บุคคลท่ีพัฒนาถึงขั้นตระหนักในตนเอง (self-actualization) เป็นบุคคลท่ีมี จริยธรรม มี
วินัยในตนเอง และมีบุคลิกภาพประชาธิปไตย การพัฒนาจากข้ันต้นไปสู่ขั้นต่อ ๆ ไปน้ัน ต้องอาศัย
ความ “พอ” ของบคุ คล ซ่ึงความพอน้ี นอกจากจะขึ้นกับสภาพทางกายแล้ว ยังข้ึนอยู่กับ ความรู้สึก
พอดีดว้ ย จึงมไิ ดห้ มายความวา่ ทกุ คนจะตอ้ งไดร้ บั การสนองตอบความต้องการพ้ืนฐาน เท่า ๆ กัน แต่
เปน็ ไปตามลาดบั ขน้ั เหมอื น ๆ กนั
งานวิจัยท่ีเกีย่ วขอ้ ง
มีฉัตร ศรีเที่ยง (2552 : 175-186) ได้พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขน้ั โดยใช้แบบฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นส่ือเรื่อง อาหาร
และสารเสพตดิ กลุ่มตวั อยา่ งที่ใช้ ในการศึกษาค้นคว้า เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/2 โรงเรียน
โนนเทพ อาเภอโนนนารายณ์ จงั หวดั สุรินทร์ สานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาสุรินทร์ เขต 2 ภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2552 จานวน 30 คน จาก 1 ห้องเรียน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster
Random Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้ามี 3 ชนิด คือ (1) แผนการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรูแ้ บบสืบเสาะ หาความรู้ 5 ขน้ั โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นสื่อ เร่ือง
อาหารและสารเสพตดิ จานวน 11 แผน (2) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง อาหารและ
สารเสพติด ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 40 ข้อซ่ึงมีค่า
อานาจจาแนกตั้งแต่ 0.21 ถึง 0.73 และมีค่าความเชื่อมั่นท้ังฉบับเท่ากับ 0.73 (3) แบบวัดทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นแบบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 40 ข้อ ซึ่งมีค่าอานาจ
จาแนกตั้งแต่ 0.21 ถึง 0.74 และมีค่าความเชื่อม่ันท้ังฉบับเท่ากับ 0.77 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ t-test (Dependent Samples) ผล
การศึกษาพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นสื่อ เร่ือง อาหารและสารเสพติด ช้ันมัธยมศึก ษาปีที่ 2 มี
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเกณฑ์ท่ีเช่ือถือและยอมรับได้ สามารถนาไปใช้ในการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอน เพ่อื ใหน้ กั เรยี นบรรลตุ ามจดุ ประสงค์การเรียนรู้ทีต่ งั้ ไว้
จิตสดุ า ไขว้วงค์ (2551 : บทคดั ย่อ) ไดว้ จิ ยั การพัฒนาแบบฝึกทักษะ การคิดสร้างสรรค์
สาหรับนักศึกษา ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ใน การวิจัยคร้ังนี้ คือนักศึกษาช้ัน
ประถมศกึ ษาปี ที่ 2 โรงเรียนบ้านนารังกา สานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาศรสี ะเกษ เขต 4 ผลการ วิจัย
พบว่า 1. แบบฝึกทักษะ การคิดสร้างสรรค์ นักศึกษาช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมี
ประสทิ ธภิ าพ 90.35/87.63 2. ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาหลังการฝึกด้วยแบบ
ฝึกทกั ษะ การคิดสร้างสรรคส์ งู กว่าก่อนใช้แบบฝกึ ทกั ษะ การคิดสร้างสรรค์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .01
ชูศักด์ิ สุระประวัติวงศ์ (2551 : บทคัดยอ) ไ ด้วิจัยการพัฒนาแบบฝึกทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ท่ี 5 จานวน 19
คน ที่โรงเรยี นบา้ นหนองไฮ ในเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะ มี
ประสิทธิภาพเท่ากับ 87.04/86.84 คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนร้อยละ 20 อย่างมี
นัยสาคญั ทางสถิติ ที่ระดบั .01
สุพัตรา สัตยากูล (2552: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการ
เรยี นรู้
วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ผลการวิจัยพบวา แบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ชน้ั ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 มีประสทิ ธิภาพ 83.14/82.58 2. นักศกึ ษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลังเรียนสูงกวา ก่อนเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .01
ประภาวดี แก่นจันทร์หอม (2550: บทคัดยอ) การพัฒนาแบบฝึกทักษะ การอ่านจับ
ใจความสาคญั ภาษาไทยสาหรับ นักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1ผลการวิจัยพบว่าแบบฝึกทักษะ การ
อ่านจับใจความสาคัญภาษาไทยสาหรับ นักศึกษาช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพรวมอยู่ใน
เกณฑ8์ 5.90/85.38 ผลสัมฤทธิ์ดา้ นทักษะการอา่ นจบั ใจความสาคัญภาษาไทยก่อนเรียนกบหลังเรียน
ของ นกั ศึกษากลุ่มทเ่ี รียน โดยการสอนแบบปกติในทุกด้าน มีคะแนนหลังเรียนสูงกวาก่อนเรียนอย่าง
มี นัยสาคัญทางสถิติท่ี .01
อุไรวรรณ์ บุญล้อม (2550 : บทคัดยอ) ได้วิจัยการพัฒนาแบบฝึกทักษะ การอ่าน
ภาษาไทยเพ่ือจับใจความของนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปี ท่ี 4 ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกทักษะ
การอ่านภาษาไทยเพ่ือจับใจความของนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ
88.30/84.85 2. หลังการใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านภาษาไทยเพ่ือจับใจความ นักศึกษาชั้น
ประถมศึกษาปี ที่ 4 มผี ลสัมฤทธ์ิทางการอ่านจบั ใจความสงู กวาก่อนใชช้ ุดฝึกอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ
ทีร่ ะดับ .01
บทที่ 3
วิธีดาเนินการวจิ ยั
การวิจยั เรือ่ ง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผ่านการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นร่วมกับแบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุ
ศาสตร์ประชากร ผู้วจิ ัยได้กาหนดขน้ั ตอนในการดาเนนิ การวิจยั ตามลาดับ ดงั นี้
1. แบบแผนการวจิ ยั
2. กลุ่มทศี่ กึ ษา
3. เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวิจัย
4. การสร้างและการหาคุณภาพเคร่อื งมือ
5. การเก็บรวบรวมข้อมลู
6. การวิเคราะหข์ ้อมลู
7. สถิติท่ีใช้ในการวจิ ัย
1. แบบแผนการวจิ ัย
การวิจัยในคร้ังนี้ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental Design) แบบ
ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างเพียงกลุ่มเดียว มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (The One-Group
Pretest-Posttest Design) (วรรณี แกมเกต,ุ 2555: 139-141)
ซ่งึ มีแบบแผนการวจิ ยั ดงั นี้
E O1 X O2
สัญลักษณ์ท่ีใช้ในแบบแผนการวิจัย
E แทน กลุ่มทดลองเป็นนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5/1 และ 5/2
O1 แทน การทดสอบกอ่ นเรยี นโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนและเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์แบบมาตราส่วน
ประเมินค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ
X แทน การจัดการเรยี นรูโ้ ดยแบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขนั้ โดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะ เร่ือง พันธศุ าสตรป์ ระชากร
O2 แทน การทดสอบหลังเรียนโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรยี นและเจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตร์
2. กล่มุ ท่ีศึกษา
2.2 ประชากร
ประชากรสาหรับการวิจัยครั้งน้ีเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศกึ ษา 2564 โรงเรียนกาแพงวทิ ยา จงั หวดั สตลู จานวน 6 หอ้ ง รวมทั้งสนิ้ 271 คน
2.3 กล่มุ ตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้องเรียน
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนกาแพงวิทยา จังหวัดสตูล
จานวน 2 หอ้ ง รวมท้ังส้นิ 73 คน โดยใช้วธิ ีการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
2.4 เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจัย
2.4.1 แผนการจดั การเรยี นรู้ จานวน 1 แผน มีข้ันตอนการสร้างดงั น้ี
2.4.1.1 ศกึ ษาหลกั การ และทาความเข้าใจวธิ กี ารจัดการเรยี นรู้แบบสบื
เสาะหาความรู้ (5E) มที ัง้ หมด 5 ขั้นตอน ดงั นี้
1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement)
2) ขนั้ สารวจ/ขน้ั สารวจขอ้ มูลเพือ่ การคน้ พบ (Exploration)
3) ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
5) ขนั้ ประเมนิ ผล (Evaluation)
2.4.1.2 ศึกษาหลกั สูตรการศึกษาขนั้ พน้ื ฐานของโรงเรยี น ผลการเรียนรู้ช่วง
ชั้นท่ี 4 (ม.4-ม.6) มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์วิเคราะห์จุดประสงค์และเน้ือหาจาก
หนังสอื แบบเรียน สสวท. ประกอบกับเอกสารคูม่ ือครวู ิชาชีววทิ ยา และเอกสารอ่ืน ๆ เพ่มิ เติม
2.4.1.3 ศกึ ษาและทาความเข้าใจหลักสูตรสถานการศึกษาขั้นพ้ืนฐานฉบับ
ปรบั ปรงุ พุทธศกั ราช 2560 เร่อื ง พนั ธศุ าสตร์ประชากรคาอธิบายรายวิชา เน้ือหาและผลการเรียนรู้ท่ี
กาหนดไว้ในหลกั สตู ร โดยผู้วจิ ยั ออกแบบแผนการจัดการเรียนรแู้ ผน เรือ่ ง พันธุศาสตร์ประชากร
2.4.1.4 สรา้ งการจัดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน โดย
ใชแ้ บบฝึกทกั ษะ เร่อื ง พันธศุ าสตร์ประชากรจานวน 1 แผน เวลา 6 ช่ัวโมง ซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้
ประกอบดว้ ย จุดประสงคข์ องการเรียนการสอน เน้ือหาวิชา กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการสอน
การประเมินผล
2.4.1.5 นาแผนการจัดการเรียนรทู้ ผ่ี ูว้ จิ ัยสร้างขน้ึ ให้ผเู้ ชยี่ วชาญการสอนวิชา
ชวี วทิ ยา จานวน 3 ท่าน เพอ่ื พจิ ารณาตรวจสอบองค์ประกอบภายในแผนการจดั การเรยี นรูต้ ามแบบ
ประเมินที่ผวู้ ิจัยสรา้ งขน้ึ โดยประเมนิ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ
เกณฑ์คุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยมเี กณฑ์การประเมิน ดังนี้
5 หมายถงึ มคี วามเหมาะสม มากท่ีสุด
4 หมายถงึ มีความเหมาะสม มาก
3 หมายถงึ มีความเหมาะสม ปานกลาง
2 หมายถงึ มีความเหมาะสม นอ้ ย
1 หมายถึง มีความเหมาะสม นอ้ ยที่สุด
จากนน้ั นาความคดิ เห็นของผู้เชยี่ วชาญมาหาค่าเฉลี่ย (X) และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.)
และแปลความหมายโดยใช้เกณฑ์ ดังน้ี
คา่ เฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถงึ แผนการจดั การเรยี นรมู้ ีความเหมาะสมมากที่สุด
ค่าเฉล่ยี 3.51-4.50 หมายถงึ แผนการจัดการเรยี นรู้มคี วามเหมาะสมมาก
คา่ เฉล่ยี 2.51-3.50 หมายถงึ แผนการจัดการเรยี นรมู้ คี วามเหมาะสมปานกลาง
ค่าเฉลย่ี 1.51-2.50 หมายถงึ แผนการจัดการเรยี นรมู้ ีความเหมาะสมน้อย
คา่ เฉลีย่ 1.00-1.50 หมายถงึ แผนการจดั การเรียนรู้มีความเหมาะสมนอ้ ยทส่ี ุด
ค่าเฉลีย่ คะแนนประเมนิ ของผูเ้ ช่ยี วชาญมคี า่ ต้ังแต่ 3.51 ขึน้ ไป และมีค่าเบ่ยี งเบน
มาตรฐานไมเ่ กิน 1.00 แสดงวา่ องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนร้มู คี วาม
เหมาะสมสอดคลอ้ งกนั (วเิ ชียร เกตุสิงห์, 2538: 8-11)
2.4.1.6 นาแผนการจัดการเรยี นรู้ไปใช้กบั กลมุ่ ตัวอยา่ ง
2.4.2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มขี ้นั ตอนการสรา้ งดงั น้ี
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากร
แบบทดสอบแบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 10 ขอ้
2.4.2.1 ศกึ ษาทฤษฏี วิธกี ารสรา้ ง เทคนิคการเขยี นข้อสอบแบบเลือกตอบ
โดยจะตอ้ งศกึ ษาเน้ือหาแบบเรยี นชวี วิทยา ศกึ ษาค่มู อื ครวู ชิ าชีววทิ ยา เรือ่ งการถ่ายทอดลกั ษณะทาง
พนั ธุกรรมและเอกสารอ่นื ๆ ทเี่ ก่ยี วข้อง
2.4.2.2 สรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นชีววทิ ยา จานวน 1 ขอ้
2.4.2.3 นาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนชวี วิทยาท่ีสรา้ งขน้ึ เสนอ
ตอ่ ผเู้ ชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพ่อื ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างขอ้ คาถามกบั เนอ้ื หา/จดุ ประสงค์ (item
objective congruence: IOC) โดยผลพจิ ารณาอาจให้คะแนนดงั นี้
+1 หมายถงึ แนใ่ จว่าขอ้ คาถามวดั ไดต้ รงเนือ้ หา/นยิ าม/จุดประสงค์
0 หมายถงึ ไม่แน่ใจวา่ ขอ้ คาถามวัดได้ตรงเนอื้ หา/นิยาม/จุดประสงค์
-1 หมายถึง แนใ่ จว่าข้อคาถามวัดไมต่ รงเนื้อหา/นิยาม/จดุ ประสงค์
2.4.2.4 นาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นชวี วทิ ยาทไี่ ด้ไปทดลองคร้ัง
ที่ 1 กับนกั เรียนทีเ่ คยเรียนเน้อื หาเรอ่ื ง พนั ธุศาสตรป์ ระชากรมาแล้ว โดยผู้วิจัยทดลองกับนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา
2.4.2.5 นาแบบทดสอบท่ีได้ไปใช้สอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนชีววิทยา
เร่ือง พนั ธุศาสตร์ประชากรกับกลุ่มตัวอย่าง
2.4.3 แบบสารวจความพึงพอใจ มีขัน้ ตอนดังน้ี
แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขนั้
โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5
ระดบั ของลเิ คิร์ท (Likert Scale) จานวน 20 ขอ้ มีลาดบั ขัน้ ตอนดงั นี้
2.4.3.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้องกบั ความพงึ พอใจต่อการจัดการ
เรียนรู้เพ่ือหากรอบวัดความพึงพอใจให้ครอบคลุมด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ และข้ันตอนการ
จดั การเรยี นรู้
2.4.3.2 สร้างแบบวดั ความพงึ พอใจตอ่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขนั้ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรโดยให้ครอบคลุมด้าน
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ซึ่งประกอบด้วย บทบาทผู้สอน บทบาทผู้เรียน วิธีการจัดการเรียนรู้ การ
วัดและประเมินผล และประโยชน์ท่ีผู้เรียนได้รับ โดยแบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม
วิทยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้นั โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากรเป็นแบบ
มาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดับ ของลเิ คริ ท์ (Likert Scale) จานวน 30 ข้อ แยกเป็น
รายดา้ นทง้ั หมด 5 ด้าน คือ บทบาทผู้สอน ด้านบทบาทผู้เรียน ด้านวิธีการจัดการเรียนรู้ ด้านการวัด
และประเมนิ ผล และดา้ นประโยชน์ท่ไี ดร้ บั โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดงั น้ี
พงึ พอใจมากทส่ี ดุ ให้คะแนน 5 คะแนน
พงึ พอใจมาก ใหค้ ะแนน 4 คะแนน
พึงพอใจปานกลาง ให้คะแนน 3 คะแนน
พงึ พอใจนอ้ ย ให้คะแนน 2 คะแนน
พึงพอใจน้อยทส่ี ุด ให้คะแนน 1 คะแนน
2.4.4.3 นาคะแนนจากผู้เชยี่ วชาญมาหาความสอดคล้องระหว่างข้อคาถาม
กับองค์ประกอบการจดั การเรยี นรู้ และหาคา่ ความเชอื่ ม่ันของแบบวัดความพงึ พอใจต่อการจัดการ
เรียนร้ทู ้งั ฉบบั โดยใช้สตู รสมั ประสิทธแ์ิ อลฟา (Coefficient Alpha) ของ ครอนบัค (Cronbach)
2.4.3.4 จัดทาแบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรฉบับ
สมบรู ณ์ จานวน 20 ข้อ เพอื่ ใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากกลมุ่ ท่ศี กึ ษาในการวิจยั ต่อไป
2.5 ขน้ั การเก็บรวบรวมข้อมลู
ในการวจิ ัยครงั้ น้ี ผู้วิจยั ได้ทดลองและเก็บข้อมลู ในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564
จานวน 6 ช่วั โมง โดยดาเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลดงั นี้
2.5.1 ผวู้ ิจัยวเิ คราะห์ปัญหาการจัดการเรยี นรู้ วชิ าชีววิทยา เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากร
จากการทีไ่ ดส้ อบถามครแู ละสัมภาษณ์นักเรียนท่ีเคยเรียนเรื่องนี้มาแล้ว รวมท้ังศึกษาสภาพแวดล้อม
ทางสังคม บรบิ ทของชัน้ เรียน และปัญหาต่าง ๆ ของนกั เรียน
2.5.2 ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้นักเรียนกลุ่มที่ศึกษาทราบ และอธิบายถึง
บทบาทหนา้ ทข่ี องนักเรยี นและผูว้ จิ ยั
2.5.3 ทาการทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนชวี วทิ ยาและแบบทดสอบการคิดวิเคราะห์เร่ือง พนั ธุศาสตรป์ ระชากร
2.5.4 ดาเนินการจัดการเรียนรู้ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรโดยจัดการเรียนรู้ตาม
แผนการจัดการเรียนรูท้ ีเ่ ตรียมไว้
2.5.5 นาข้อมูลที่ได้จากแบบการสังเกตในชั้นเรียนของนักเรียนเกี่ยวกับการจัดการ
เรียนรู้มาทาการวิเคราะห์เพื่อนาข้อเสนอแนะไปเป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ให้มี
คุณภาพยิง่ ข้ึน
7.6 เมื่อเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู้แล้วทาการทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้ด้วย
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวิชาชีววิทยา เรอื่ ง พนั ธศุ าสตรป์ ระชากรและวัดความพึงพอใจ
ต่อการจัดการเรียนรู้
2.5.7 ตรวจผลการสอบแล้วนาคะแนนท่ีได้ไปวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติโดยใช้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์
2.5.8 นาข้อมูลท่ีได้จากเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ ประมวลผล
และเรียบเรยี งนาเสนอในรูปความเรยี ง
2.6 ขน้ั การวเิ คราะหผ์ ล
2.6.1 วิเคราะหค์ ุณภาพเครื่องมือ
1. หาค่าดัชนีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
ชีววทิ ยา ซง่ึ ดูจากค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ คาถามกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยใช้วิธีหา
คา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (IOC)
2. หาค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง (IC) ระหว่างขอ้ สอบกบั ขนั้ ตอนในการคดิ วเิ คราะห์
3. หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IC) ของแบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการ
เรยี นรู้และหาค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยการวิเคราะห์หาค่า
สัมประสทิ ธิแ์ อลฟาของครอนบัค
2.6.2 วเิ คราะห์ข้อมลู
1. ทดสอบความแตกต่างของคะแนนของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา
ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การทดสอบทีชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน
(t-test dependent)
2. การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาและการคิดวิเคราะห์ต่อการ
จดั การ เรียนร้โู ดยคะแนนในแตล่ ะขอ้ เท่ากบั 1 คะแนน ถ้านักเรียนตอบถกู ได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0
คะแนน
3. การวิเคราะห์ผลการวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการหา
ค่าเฉล่ีย (Mean) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของคะแนนจากแบบวัดความพึง
พอใจต่อ การจัดกจิ กรรมวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุ
ศาสตรป์ ระชากรแปลผลคา่ เฉล่ยี ของ คะแนนความพึงพอใจดงั น้ี
คา่ เฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจในระดบั มากทส่ี ุด
ค่าเฉล่ีย 3.50 – 4.49 หมายถึง มีความพงึ พอใจในระดบั มาก
ค่าเฉลยี่ 2.50 – 3.49 หมายถงึ มีความพงึ พอใจในระดับปานกลาง
ค่าเฉลย่ี 1.50 – 2.49 หมายถึง มีความพงึ พอใจในระดบั น้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.49 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับนอ้ ยท่ีสุด
2.6.3 สถติ ิทใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
1. สถิติพนื้ ฐาน
1.1 ร้อยละ โดยใช้สูตร P ดงั นี้
n
เมอ่ื P แทน ร้อยละ
f แทน ความถีท่ ตี่ ้องการแปลงให้เป็นรอ้ ยละ
n แทน จานวนความถท่ี ้ังหมด
1.2 คา่ เฉลี่ย (Mean : x )
เม่อื x แทน ค่าเฉลย่ี
x แทน ผลรวมของขอ้ มลู ท้งั หมด
N แทน จานวนข้อมูลทง้ั หมด
1.3 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
. . √∑
เมือ่ S.D. แทน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
X แทน
คะแนนระดบั การประเมนิ
x แทน
N แทน ค่าเฉลี่ย
จานวนข้อมูลทัง้ หมด
2. สถติ ิทีใ่ ช้ในการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ
2.1 ค่าความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สาระการเรยี นรู้พ้ืนฐาน เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากรคานวณได้จาก
สูตร (ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี, 2556: 108)
∑
I
เมอ่ื IOC แทน คา่ สัมประสิทธิค์ วามสอดคล้อง
แทน ผลรวมของคะแนนจากผเู้ ชี่ยวชาญทงั้ หมด
N แทน จานวนผู้เชย่ี วชาญ
2.2 ค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ การวิเคราะห์ ความ
ยากง่ายเป็นการวิเคราะห์รายข้อ ใชส้ ูตร (ราตรี นนั ทสุคนธ์, 2555: 232)
P R
N
เมื่อ P แทน คา่ ความยาก
R แทน จานวนนักเรยี นท่ที าขอ้ น้นั ถูก
N แทน จานวนนักเรยี นท้งั หมด
2.3 คานวณหาค่าอานาจจาแนกรายข้อของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ การหา
อานาจจาแนก เป็นการดูความเหมาะสมของรายข้อว่า ข้อคาถามสามารถจาแนกกลุ่มเก่งและกลุ่ม
ออ่ นไดจ้ รงิ หรอื จาแนกผทู้ ่ีมคี ุณลักษณะสูงจากผู้มีคณุ ลักษณะต่าได้ใชส้ ูตร (เยาวดี วิบูลยศ์ รี, 2545)
r RU RL
N
เมื่อ r แทน คา่ อานาจจาแนก
จานวนนกั เรียนในกลุ่มสูงทีต่ อบถกู
RU แทน
RL แทน จานวนนักเรยี นในกลุ่มต่าที่ตอบถูก
N แทน จานวนนกั เรียนในกลุ่มสงู หรอื กลมุ่ ตา่
2.4 สถิติท่ีใช้ในการหาค่าความเท่ียงของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนชวี วทิ ยา โดยใชส้ ตู รของ Kuder-Richardson หรือ KR-20 (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2556: 73) ดังนี้
rtt k k 1 1 pq
σ2
เมอ่ื rtt แทน คา่ ความเชื่อมั่นของเคร่อื งมอื วดั
k แทน จานวนขอ้ ของเคร่ืองมือวัด
p แทน
q แทน ความยากของขอ้ สอบแต่ละข้อ
σ2 แทน สัดสว่ นที่ตอบผิด (1-p)
ความแปรปรวนของคะแนนรวมของ
แบบทดสอบท้งั ฉบับ
หาได้จาก σ2 N X
N
2.5 ค่าความเท่ียง (Reliability) ของแบบวัดความพึงพอใจ ความสอดคล้อง
ภายใน โดยใช้วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ( ronbach’s Alpha oe icient ล้วน สายยศ
และองั คณา สายยศ. 2538: 200)
= k k 1
เมอื่ แทน ความเทยี่ งของแบบสอบถาม
k แทน จานวนข้อคาถาม
S2i แทน ผลรวมของความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อ
s2t แทน
ความแปรปรวนของคะแนนรวมทง้ั ฉบับ
3. สถิติทีใ่ ช้ในการทดสอบสมมตฐิ าน
3.1 สถิติท่ีใช้ในการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจากการ
ทดสอบกอ่ นเรียน และหลงั เรยี นโดยการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้
แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรโดยใช้การทดสอบค่าวิกฤตที (t-test) แบบ Dependent
Sample วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใชส้ ูตร
t= D โดย df = n -1
nD2 (D)2
n1
เม่อื t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบค่าวิกฤติเพื่อทราบ
ความมนี ัยสาคญั
D แทน คา่ ผลต่างระหวา่ งคคู่ ะแนน
n แทน จานวนคูข่ องกลุ่มตัวอยา่ ง
บทท่ี 4
ผลการวิจัย
การวิจยั ครั้งนเี้ ปน็ การวจิ ัยการพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่
5 ผา่ นการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นร่วมกับแบบฝึกทักษะ เรื่อง
พันธศุ าสตรป์ ระชากร ได้นาเสนอผลการวิจยั ตามลาดับ ดงั น้ี
1. ข้อมลู พนื้ ฐานของกล่มุ ตวั อยา่ ง
2. ผลการวจิ ัยแบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น ดงั ต่อไปนี้
2.1 ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
2.2 ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรยี นรู้
1. ข้อมูลพืน้ ฐานของกลมุ่ ตัวอย่าง
1.1 ขอ้ มูลพื้นฐานของโรงเรียน
โรงเรียนกาแพงวิทยา จังหวัดสตูล เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ต้ังอยู่เลขท่ี 145 หมู่
ท่ี 1 ถนน ละงู-ทุ่งหว้า ตาบล กาแพง อาเภอละงู จังหวัด สตูล รหัสไปรษณีย์ 91110 มีเนื้อที่ทั้งหมด
พื้นท่ี 27 ไร่ 3 งาน 74 ตารางวา มีครูประจาการและบุคลากรรวมทั้งหมด 100 คน จานวนชาย 30
คน และหญิง 70 คน รวมทั้งหมด 100 คน โรงเรียนได้สอนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ถึงระดับ
มัธยมศึกษาปีท่ี 6 มีนักเรียนทั้งหมด 1,609 คน นักเรียนชาย 613 คน นักเรียนหญิง 996 คน
แบ่งเปน็ นกั เรียนระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น 940 คน และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 669 คน
โดยนกั เรยี นสว่ นใหญน่ ับถือศาสนาศาสนาอสิ ลาม
1.2 ข้อมลู พ้ืนฐานของกลุ่มตัวอย่าง
กลมุ่ ตวั อยา่ งสาหรับการวิจัยในครั้งน้ีเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 และ 5/2
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรียนกาแพงวิทยา จังหวัดสตูล ซ่ึงผู้วิจัยดาเนินการจัดการเรียน
การสอนด้วยตนเอง จานวนนักเรียนทั้งหมดมีท้ังส้ิน 83 คน เพศชาย 24 คน คิดเป็นร้อยละ 28.92
และ เพศหญงิ 59 คน คดิ เป็นร้อยละ 71.09
2. ผลการวจิ ัย
2.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากร
ระหว่างก่อนและหลังท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้
แบบฝึกทกั ษะ เร่อื ง พันธศุ าสตร์ประชากรท่ีมตี ่อผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน วชิ าชวี วิทยา
ผวู้ จิ ยั ได้นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นชวี วทิ ยา เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรไปใช้
กับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ เร่อื ง พันธุศาสตร์ประชากรผลปรากฏดงั ตาราง 1
ตาราง 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนชีววิทยา ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ท่ี
ได้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุ
ศาสตร์ประชากร
การทดสอบ n คะแนนเตม็ ̅ S.D. t-test p-value
กอ่ นเรยี น 83 10 3.98 1.04
20.17** .000
หลังเรยี น 83 10 6.84 0.97
** p < .01
จากตาราง 1 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาชีววิทยาของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ข้นั โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากร ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.98 ส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.04 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.84 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.97
และเมื่อทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ท่ี
ได้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุ
ศาสตร์ประชากร ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้
อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01
2.2 ผลการศึกษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบ
สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนมีคะแนนทดสอบผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ
60 ของคะแนนเตม็ ) คดิ เปน็ รอ้ ยละ 80 ของจานวนนักเรยี นท้งั หมด
ผวู้ จิ ยั ไดน้ าแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นชวี วิทยา เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากรไปใช้
กับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 และ 5/2 หลังการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ข้นั โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตรป์ ระชากรผลปรากฏดงั ตาราง 2
ตาราง 2 ผลการการศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบ
เสาะหาความรู้ 5 ขัน้ โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ ของนักเรียนมีคะแนนทดสอบผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 60 ของ
คะแนนเต็ม) คดิ เป็นรอ้ ยละ 80 ของจานวนนักเรียนท้งั หมด
กล่มุ ตัวอย่าง n คะแนนเต็ม จานวน/คน รอ้ ยละ
นกั เรียนทีผ่ า่ นเกณฑ์ 92.77
นักเรียนทีไ่ ม่ผา่ นเกณฑ์ 83 10 77 7.23
83 10 6
จากตาราง 2 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากร มีนักเรียนผ่านเกณฑ์จานวน 77 คน
คิดเป็น ร้อยละ 92.77 และนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 6 คน คิดเป็น ร้อยละ 7.23 สรุปได้ว่า
นักเรียนมีคะแนนทดสอบผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม) มากกว่าร้อยละ 80 ของจานวน
นกั เรียนทั้งหมด
2.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบ
เสาะหาความรู้ 5 ข้ัน โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ เรือ่ ง พนั ธุศาสตร์ประชากร
ผู้วิจัยได้ใช้แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้
วิทยาศาสตรแ์ บบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขน้ั โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากรมีทั้งหมด
5 ดา้ น โดยนาข้อมูลที่ไดม้ าวิเคราะห์ค่าทางสถิติ ผลปรากฏดงั ตารางที่ 2
ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและระดับความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขัน้ โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ เรื่อง พนั ธุศาสตรป์ ระชากร
ขอ้ กจิ กรรม ค่าเฉลยี่ S.D. ผลการ
ประเมนิ
1 ครแู จง้ ผลการเรียนรู้ให้นักเรยี นทราบอย่างชัดเจน 4.90 0.30 มากทีส่ ุด
2 ครูจัดกิจกรรมการเรยี นรูส้ นุกและน่าสนใจ 4.76 0.49 มากที่สดุ
3 เนอ้ื หาสาระทสี่ อนทนั สมัยเสมอ 4.95 0.22 มากทส่ี ุด
ข้อ กิจกรรม คา่ เฉลยี่ S.D. ผลการ
ประเมนิ
4 ครูใช้สอื่ ประกอบการเรียนการสอนทเ่ี หมาะสมและหลากหลาย 4.98 0.16 มากทส่ี ดุ
มากทส่ี ุด
5 ครใู ช้คาถามกระตุ้นความคิด ซักถามนกั เรยี นบ่อย ๆ 4.93 0.26 มากท่สี ุด
มากที่สุด
6 ครูประยกุ ตส์ าระทีส่ อนเขา้ กบั เหตกุ ารณ์ปัจจุบัน/สภาพแวดลอ้ ม 4.95 0.22 มากที่สุด
มากทส่ี ดุ
7 ครสู ่งเสรมิ นักเรียนไดฝ้ กึ ปฏบิ ตั จิ ริง มกี ารจดั การและการแกป้ ญั หา 4.76 0.49 มากท่สี ุด
มากทส่ี ดุ
8 ครูใหน้ กั เรยี นฝึกกระบวนการคดิ คดิ วเิ คราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ 4.93 0.26 มากทส่ี ุด
มากทสี่ ดุ
9 ครสู ง่ เสริมใหน้ กั เรยี นทางานรว่ มกนั ทงั้ เปน็ กลมุ่ และรายบคุ คล 4.76 0.49 มากที่สุด
มากท่สี ุด
10 ครใู ห้นกั เรยี นแสวงหาความรจู้ ากแหลง่ เรยี นร้ตู ่าง ๆ 4.78 0.42 มากที่สุด
มากที่สดุ
11 ครมู กี ารเสรมิ แรงให้นักเรียนท่รี ว่ มกจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.93 0.26 มากที่สดุ
มากทส่ี ุด
12 ครูเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนซักถามปัญหา 4.98 0.16 มากทส่ี ดุ
มากทีส่ ดุ
13 ครูคอยกระตุน้ ให้นกั เรยี นตน่ื ตัวในการเรยี นเสมอ 4.80 0.40
14 ครสู อดแทรกคุณธรรมและค่านยิ มที่ดีงามในวชิ าท่ีสอน 4.68 0.52
15 ครูยอมรับความคิดเห็นของนกั เรยี นที่ต่างไปจากครู 4.93 0.26
16 นักเรยี นมสี ว่ นร่วมในการวัดและประเมนิ ผลการเรียน 4.93 0.26
17 ครูมีการประเมนิ ผลการเรยี นด้วยวิธีการทหี่ ลากหมายและยุตธิ รรม 4.85 0.36
18 ครูมคี วามตั้งใจในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน 4.93 0.26
19 บคุ ลิกภาพ การแตง่ กาย และการพดู จาของครูเหมาะสม 4.95 0.22
20 ครูเขา้ สอนและออกช้นั เรียนตรงตามเวลา 4.90 0.30
ค่าเฉลยี่ 4.88 0.32
จากตารางท่ี 3 แสดงใหเ้ หน็ วา่ นกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ข้ัน โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากรมีค่าเฉลี่ยรวมความพึงพอใจต่อการ
จดั การเรยี นรู้มคี า่ เทา่ กับ 4.88 อยู่ในระดับมากที่สุด
บทท่ี 5
สรุปผลการวจิ ัย อภปิ ราย ขอ้ เสนอแนะ
การวิจัยคร้ังนี้เป็นรูปแบบการวิจัยเบื้องต้น (Pre - experimental design) เพ่ือ การพัฒนา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ข้นั รว่ มกบั แบบฝกึ ทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากร โรงเรียนกาแพงวิทยา
จังหวัดสตูล สรปุ ได้ ดังน้ี
วัตถุประสงค์ของการวิจยั
1. เพือ่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าชวี วทิ ยา กอ่ นเรียนและหลังเรยี นของนักเรียน
ท่ีไดร้ ับการจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขัน้ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ เรอ่ื ง พันธศุ าสตร์
ประชากร
2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบ
เสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ ของนักเรียนมีคะแนนทดสอบผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 60 ของ
คะแนนเต็ม) คิดเป็นร้อยละ 80 ของจานวนนักเรียนทัง้ หมด
3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ขนั้ โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ เร่ือง พนั ธุศาสตร์ประชากร
สมมติฐานของงานวจิ ยั
1. นักเรยี นทไ่ี ด้รับการจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขน้ั โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง
พนั ธุศาสตรป์ ระชากรมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวิชาชีววทิ ยา หลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียน
ประชากร
ประชากรสาหรับการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรียนกาแพงวิทยา จงั หวดั สตูล จานวน 6 หอ้ ง รวมท้งั ส้ิน 271 คน
2.3 กลุม่ ตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้องเรียน
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนกาแพงวิทยา จังหวัดสตูล
จานวน 2 ห้อง รวมท้งั ส้ิน 73 คน โดยใช้วธิ ีการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
เนื้อหาทใี่ ชใ้ นการศึกษา
สาหรับเนื้อหาท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเนื้อหาวิชาชีววิทยา เรื่อง พันธุศาสตร์
ประชากร ตามหนงั สอื เรยี นสาระการเรียนรู้พ้ืนฐานชีววิทยา ของสถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี
ตัวแปรในการวิจยั
4.3 ตวั แปรอิสระ ได้แก่ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ขนั้ โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ
4.4 ตัวแปรตาม ได้แก่
4.4.1 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
4.4.2 ความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรียนรู้
ระยะเวลาทใี่ ช้ในการศกึ ษา
ระยะเวลาที่ใช้ในการดาเนินงานวิจัย คือ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 รวม
ระยะเวลา 2 สปั ดาห์ จานวน 6 ชว่ั โมง
เครื่องมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย
1. เคร่ืองมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้จัดกิจกรรมการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากร
จานวน 1 แผน 6 ช่ัวโมง
2. เครอื่ งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบดว้ ย
2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
สาระการเรียนรู้พ้ืนฐานเร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก
จานวน 10 ข้อ
2.2 แบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหา
ความรู้ 5 ข้ัน โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า
(Rating Scale) 5 ระดบั ของลเิ คิร์ท (Likert Scale) จานวน 20 ข้อ
การวิเคราะหข์ อ้ มลู
ผู้วิจัยนาข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมจากเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยแต่ละประเภทมาทา
การวเิ คราะหท์ างสถิตโิ ดยดาเนินการวิเคราะห์ข้อมลู ดังนี้
1. การวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์สาระการเรยี นรูเ้ พม่ิ เตมิ เรื่อง พันธศุ าสตร์ประชากรดังนี้
1.1 หาค่าเฉล่ีย ( x ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนจาก
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชวี วิทยา เรื่อง พันธุศาสตรป์ ระชากร
1.2 ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยา เรื่อง
พันธุศาสตรป์ ระชากรระหว่างก่อนกบั หลงั การจดั การเรียนรู้ โดยใช้สถิติการทดสอบที ชนิดกลุ่มตัวอย่าง
ไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent group)
2. วิเคราะหข์ ้อมูลของแบบวัดความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรียนร้ดู ังนี้
3.1 วิเคราะห์ผลการวดั ความพึงพอใจต่อการจดั การเรยี นร้โู ดยวิธีการ หาคา่ เฉล่ีย
(̅ ) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนจากแบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้วิชา
ชีววิทยา โดยการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง
พันธุศาสตร์ประชากรแปลผลคา่ เฉลย่ี ของคะแนนความพงึ พอใจ
สรุปผลการวจิ ัย
1. นกั เรยี นทีไ่ ดร้ บั การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดย
ใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ เรื่อง พนั ธุศาสตร์ประชากรมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรยี นอย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .01
2 นักเรยี นท่ไี ดร้ ับการจดั การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ บบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขน้ั โดยใช้
แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากรมี นักเรียนมีคะแนนทดสอบผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 60 ของ
คะแนนเตม็ ) มากกว่ารอ้ ยละ 80 ของจานวนนกั เรยี นท้ังหมด
3. นักเรยี นที่ไดร้ บั การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้
แบบฝึกทกั ษะ เรอื่ ง พนั ธุศาสตร์ประชากรมคี วามพึงพอใจต่อการจดั การเรยี นรู้ในระดบั มาก
อภปิ รายผลการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5
ผา่ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสบื เสาะหาความรู้ 5 ขัน้ ร่วมกับ แบบฝึกทักษะ เร่ือง
พนั ธศุ าสตรป์ ระชากร ผวู้ ิจยั จะนาเสนอการอภปิ รายผลตามหัวขอ้ ดังน้ี
จากตาราง 1 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาของ
นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้
แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากร ก่อนเรียนมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 3.98 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เท่ากับ 1.04 หลังเรียนมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 6.84 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.97 และเมื่อทดสอบ
ความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชวี วิทยาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีได้รับการจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากร
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .01
1. นกั เรยี นทไ่ี ด้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน โดยใช้
แบบฝึกทักษะ เร่อื ง พนั ธุศาสตรป์ ระชากรมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนชีววิทยาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .01
จากผลการวจิ ัยพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 และ 5/2 ท่ีได้รับการจัดการ
เรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากรมี
คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาก่อนเรียนเฉล่ีย เท่ากับ 3.98 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10
คะแนน และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาหลัง จัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมวิทยาศาสตร์
แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง พันธุศาสตร์ประชากรเฉลี่ยเท่ากับ 6.84
คะแนน คะแนนเตม็ 10 คะแนน และนกั เรียนมคี ะแนนหลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สาคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01 เนื่องจากการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) และแบบฝึกทักษะ เป็น
วิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยเป็นรูปแบบท่ีเกิดข้ึนจากแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้
แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยเน้นการสร้างความรู้ใหม่ ซ่ึงความรู้ใหม่ได้มาจากการ
เช่ือมโยงความรู้เดิม ของผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดขั้นสูงต่อไป โดยผู้เรียนต้องใช้
กระบวนการทางานแบบ กลมุ่ เพ่อื ระดมความคิดและแก้ปัญหาเป็นหลักซ่ึงต้องอาศัยความเข้าใจ โดย
การเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E) จะมีลักษณะสาคัญนั้นคือ การจัดสภาพการเรียนรู้ของ
นักเรียนตามสภาพจริงโดยการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นักเรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองตาม
ความสามารถของตนเองโดยการเปิดโอกาสให้ นักเรียนค้นคว้าข้อมูล เนื้อหาอ่ืนเพิ่มเติมจากหนังสือ
ท่ัวไป หนงั สอื เรยี น หรอื อินเทอรเ์ นต็ โดยนักเรียน สามารถใชก้ ระบวนการที่หลากหลายในการค้นคว้า
จากปัญหาทค่ี รูเปน็ ผูก้ าหนดให้ ทาใหน้ กั เรยี นเกดิ การเรยี นรู้วิธกี ารหาคาตอบโดยการใช้กระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ที่ไดศ้ ึกษาในบทเรียนก่อนหนา้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ
และขั้นตอนในการหาคาตอบเพ่ือความเข้าใจ ความถูกต้องในการหาคาตอบ ทั้งน้ียังมีกิจกรรมการ
จากแบบฝกึ ทักษะ ทาให้นักเรียนมีโอกาสได้ลงมือปฏบิ ตั กิ ิจกรรมดว้ ยตนเอง เกิดกระบวนการคิด การ
คน้ หาคาตอบ
ด้วยเหตุนี้ผลการวิจัยสรุปได้ว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบ
สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์ประชากรมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ชีววิทยาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสาคัญที่ระดับ .01 ซงึ่ เป็นไปตามสมมติฐานทต่ี ัง้ ไว้
2. นักเรียนทีไ่ ด้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้
แบบฝกึ ทักษะ เรือ่ ง พันธุศาสตร์ประชากร มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาผ่านเกณฑ์จานวน 77 คน
คิดเป็น ร้อยละ 92.77 และนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์จานวน 6 คน คิดเป็น ร้อยละ 7.23 สรุปได้ว่า
นักเรียนมีคะแนนทดสอบผ่านเกณฑ์ (ร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม) มากกว่าร้อยละ 80 ของจานวน
นกั เรียนท้งั หมด
3. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น
โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ เร่ือง พนั ธศุ าสตร์ประชากรมีความพงึ พอใจต่อการจดั การเรียนรู้ในระดับมาก
จากผลการวิจยั พบวา่ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4/2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดย
ใช้กิจกรรมวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่ือง พันธุศาสตร์
ประชากรมีความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรียนรใู้ นระดบั มาก โดยมี คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.13 จากการ
ประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ทั้ง 5 ด้าน คือบทบาท ด้านผู้สอน บทบาทด้านผู้เรียน
ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านการวัดและประเมินผลและ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมาก ทั้งหมด โดยมีคะแนนเฉลี่ยในแต่ละ
ด้านคือ บทบาทด้านผู้สอนเท่ากับ 4.47 บทบาทด้านผู้เรียนเท่ากับ 3.85 ด้านการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้เท่ากับ 4.29 ด้านการวัดและประเมินผลเท่ากับ 4.23 และ ด้านประโยชน์ ที่ได้รับจากการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้เทา่ กับ 3.84
ขอ้ เสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอแนะในการนาผลวจิ ัยไปใช้
1.1 ควรส่งเสริมให้นักเรียนสามารถบูรณาการร่วมกับวิชาเคมีหรือศาสตร์สาขา ที่
เก่ยี วขอ้ งเพอ่ื ทนี่ กั เรยี นนาเอาความรทู้ ่ีศึกษาไปประยุกต์ใช้ร่วมกัน
1.2 ครูผู้สอน จะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องแผนการจัดการเรียนรู้ ให้มีความ
สอดคลอ้ งกับเน้อื หาและการจัดกจิ กรรมทีม่ ีความหลากหลายให้มากขึ้น การวางแผนการจัด กิจกรรม
การเรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละคาบ สถานท่ีจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สภาพแวดล้อม รวมถึง หนังสือ
อ่านเพ่ิมเตมิ ใบความรู้ และวัสดุอุปกรณท์ ่จี าเป็นต้องใช้ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ เพอ่ื ให้ การเรียน
การสอนมปี ระสทิ ธิภาพสงู สุด
1.3 ครูผู้สอนควรช้ีแจงก่อนการจัดการเรียนรู้ เพ่ือให้นักเรียนเข้าใจรูปแบบและ
วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้การดาเนินการจัดการเรียนรู้สามารถพัฒนาและส่งเสริม
นักเรยี นได้เตม็ ตามศักยภาพ
2. ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครง้ั ตอ่ ไป
2.1 ควรมีการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น
โดยใช้แบบฝึกทักษะ เร่อื ง พันธุศาสตรป์ ระชากรกับตัวแปรอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการแก้ปัญหา
การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ เปน็ ตน้
2.2 ควรมีการศกึ ษาผลการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ข้ัน
โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ เรอื่ ง พนั ธศุ าสตรป์ ระชากรกับการสอนในสาระวิทยาศาสตร์อ่ืน ๆ เช่น วิชาเคมี
วชิ าฟสิ ิกส์ วิชาคณิตศาสตร์ เป็นต้น
2.3 ควรมีการศกึ ษาเปรียบเทียบความแตกต่างทางด้านระดับชั้นเรียน เพศ ใน การ
จดั การเรยี นรู้
บรรณานกุ รม
ชูศักด์ิ สุระประวัติวงศ์. (2551). การพัฒนาแบบฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์กลุ่มสาระ
การ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่5. วิทยานิพนธ์ คม. (หลักสูตรและการสอน)
บุรรี ัมย:์ บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ราชภัฎบุรรี ัมย์.
ทิศนา แขมมณ.ี (2557). ศาสตรก์ ารสอน: องค์ความรู้เพื่อการจดั กระบวนการเรยี นรูท้ ่ีมีประสิทธิภาพ.
กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
พรธณา เจือจารย์. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การใช้
เคร่ืองมือโปรแกรม Microsoft Word 2016 วิชาคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ สาหรับ
นักศึกษาระดับประกาศนียบัติวิชาชีพช้ันปีที่ 3 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัย
เทคโนโลยอี รรถวิทย์พณชิ ยการ. วทิ ยาลยั เทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ , กรงุ เทพฯ.
พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์, และ พเยาว์ ยนิ ดีสุข. (2558ก). รเู้ นื้อหากอ่ นสอนเก่ง. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
_________. (2558ข). การจดั การเรยี นรูใ้ นศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
มฉี ัตร ศรีเท่ียง. (2552). การพัฒนาการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความรู้
5 ขั้น โดยใช้แบบฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นส่ือ เรื่อง อาหารและสาร
เสพติด ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม).
รชั นกี ร หงส์พนัส. (ม.ป.ป.). การเรยี นรูแ้ บบใชป้ ญั หาเป็นฐาน: ความหมายสกู่ ารเรยี นการสอน กล่มุ สาระ
การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม. วารสารมนษุ ยศาสตร์ปริทรรศน์, 26(1), 44-53.
ร่งุ แกว้ แดง. (2541). ปฎวิ ัตกิ ารศกึ ษาไทย (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรุงเทพฯ: สานักพมิ พม์ ติชน.
วิไลพร โกศัลวติ ร.์ (2552). การพัฒนาหลกั สตู รฝกึ อบรมการปฏบิ ตั กิ าร: การพฒั นานวัตกรรม.
อบุ ลราชธานี. คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอุบลราชธานี.
ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี. (2556). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดมิ (พิมพ์ครง้ั ที่ 7). กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์
แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
สพุ ัตรา สัตยากลู . (2552). การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะ กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรช์ นั้
ประถมศกึ ษาปีที่ 5. วทิ ยานพิ นธ์การศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการพัฒนาหลกั สตู รและ
การเรยี นการสอน. อบุ ลราชธาน:ี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี.
สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. (2550). การจัดการเรยี นร้แู บบใชป้ ัญหา.
กรงุ เทพฯ: กลมุ่ ส่งเสรมิ นวตั กรรม การเรียนรขู้ องครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา.
สานกั มาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนร้.ู (2550). แนวทางการจดั การเรยี นรู้ แบบใชป้ ัญหา
เปน็ ฐาน. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก
เคร่อื งมือที่ใช้ในการจัดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขน้ั
โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ เรอื่ ง พันธศุ าสตรป์ ระชากร
ของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5
1. ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้
2. ตัวอยา่ งแบบฝกึ ทักษะการเรียนรู้
ภาคผนวก ข
เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
1. ตวั อยา่ งแบบวัดความพงึ พอใจต่อการจัดการเรียนรู้
2. ตวั อย่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าชวี วทิ ยา
นักเรียนประเมนิ
แบบประเมินความพงึ พอใจของนกั เรยี นทีม่ ีตอ่ การจดั การเรยี นรูข้ องครูผู้สอน
งานนเิ ทศการเรียนการสอน กลุม่ บริหารวิชาการ โรงเรยี นกาแพงวิทยา
ชื่อ-สกลุ นกั เรียน.................................................................... ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่.ี ..............เลขที.่ ..........
รายวิชา……………………………....................................................รหสั วิชา…………................................……
กลุ่มสาระการเรยี นร.ู้ .……………….……………...……....................ภาคเรยี นที่.............ปกี ารศึกษา..............
คาชแ้ี จง (ใหน้ กั เรยี นทาเคร่ืองหมาย ลงในช่องระดับคณุ ภาพ โดยพิจารณาจากเกณฑก์ าร
ประเมิน)
ข้อ กิจกรรม มากท่สี ดุ ระดับการประเมิน น้อยที่สุด
(1)
(5) มาก ปานกลาง น้อย
(4) (3) (2)
1 ครูแจ้งผลการเรยี นรใู้ ห้นักเรยี นทราบอยา่ งชัดเจน
2 ครูจดั กิจกรรมการเรยี นรู้สนกุ และนา่ สนใจ
3 เนือ้ หาสาระที่สอนทนั สมยั เสมอ
4 ครูใช้สื่อประกอบการเรียนการสอนทเ่ี หมาะสมและหลากหลาย
5 ครูใชค้ าถามกระตุน้ ความคิด ซักถามนกั เรียนบอ่ ย ๆ
6 ครปู ระยุกต์สาระทส่ี อนเข้ากบั เหตุการณ์ปัจจุบนั /สภาพแวดลอ้ ม
7 ครสู ่งเสริมนกั เรยี นได้ฝกึ ปฏิบตั จิ ริง มกี ารจดั การและการแก้ปญั หา
8 ครูให้นกั เรียนฝึกกระบวนการคิด คดิ วิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์
9 ครสู ง่ เสริมให้นกั เรยี นทางานรว่ มกันท้ังเปน็ กล่มุ และรายบุคคล
10 ครใู หน้ ักเรียนแสวงหาความร้จู ากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ
11 ครมู กี ารเสริมแรงให้นักเรยี นทีร่ ว่ มกิจกรรมการเรยี นการสอน
12 ครูเปิดโอกาสให้นกั เรียนซกั ถามปัญหา
13 ครูคอยกระตุ้นให้นกั เรยี นต่ืนตัวในการเรยี นเสมอ
14 ครสู อดแทรกคณุ ธรรมและคา่ นยิ มที่ดีงามในวชิ าที่สอน
15 ครยู อมรับความคดิ เหน็ ของนักเรียนทตี่ ่างไปจากครู
16 นักเรียนมสี ่วนร่วมในการวัดและประเมินผลการเรียน
ข้อ กิจกรรม มากท่สี ดุ ระดบั การประเมนิ นอ้ ยที่สดุ
(1)
(5) มาก ปานกลาง นอ้ ย
(4) (3) (2)
17 ครูมีการประเมินผลการเรยี นดว้ ยวิธีการท่หี ลากหมายและยตุ ธิ รรม
18 ครมู คี วามตง้ั ใจในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
19 บคุ ลิกภาพ การแตง่ กาย และการพดู จาของครเู หมาะสม
20 ครูเขา้ สอนและออกชน้ั เรียนตรงตามเวลา
คะแนนรวม
คา่ เฉล่ยี
เกณฑก์ ารประเมนิ
5 มากทีส่ ุด หมายถึง นกั เรยี นมีความพึงพอใจตอ่ การจัดการเรยี นรูข้ องครผู ูส้ อนในดับมากท่ีสุด
4 มาก หมายถึง นักเรยี นมคี วามพงึ พอใจต่อการจัดการเรยี นรขู้ องครูผ้สู อนในดบั มาก
3 ปานกลาง หมายถงึ นักเรยี นมีความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรียนรู้ของครผู ู้สอนในดับปานกลาง
2 น้อย หมายถึง นักเรยี นมีความพึงพอใจตอ่ การจัดการเรยี นรู้ของครูผ้สู อนในดับน้อย
1 น้อยทีส่ ุด หมายถึง นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนร้ขู องครูผ้สู อนในดบั น้อยท่สี ุด
ข้อเสนอแนะ
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
.............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................
ลงชอื่ ผ้ปู ระเมิน
(...........................................................)
วนั ที่.............เดอื น..........................พ.ศ..............
ภาคผนวก ค
คณุ ภาพของแบบทดสอบและแบบวดั
1. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นชวี วิทยา
2. แบบวัดความพงึ พอใจตอ่ การเรยี นวชิ าชวี วิทยา