The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichuda1345, 2022-03-24 02:21:08

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบ PPP (3Ps) ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกำแพงวิทยา

ครูอติวิชญ์

๔๒

กำแพงวิทยา หลังการเรยี นโดยใช้การจัดการเรียนร้แู บบ PPP (3Ps) ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรคั ติวสิ ต์สูงกว่า
ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 ทั้งนี้เป็นเพราะขั้นตอนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การ
จัดการเรียนรแู้ บบ PPP (3Ps) ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรคั ติวิสต์ของผู้สอนเนน้ ใหผ้ ู้เรยี นสรา้ งองค์ความรู้ด้วย
ตนเอง ด้วยการสรุปกฎเกณฑ์ของไวยากรณ์ผ่านวิธีการสอนต่าง ๆ ในชั้นเรียน ช่วยกันทำกิจกรรมการ
แลกเปลี่ยนความคิด และได้แก้ไขปัญหาร่วมกับผู้เรียนคนอื่น ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญา
และสามารถสื่อสารโดยใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้องได้ ซึ่งเป็นไป ตามแนวคิดของเพียเจต์ (Piaget,1972, อ้างถึงใน
ทิศนา แขมมณี, 2552 : 90-91) ที่กล่าวว่า ทฤษฎี การสร้างความรู้เป็นทฤษฎีพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา
ของบุคคล ที่มีการปรับตัวผ่านกระบวนการ ซึมซาบหรือดูดซึมและกระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญา
พัฒนาการจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรับ และซึมซาบข้อมูลหรือประสบการณ์ใหม่เข้าไปสัมพันธ์กับความรู้หรือ
โครงสรา้ งทางปัญญาท่มี ีอยู่เดิม หากไม่สมั พันธ์กันจะเกิดภาวะไมส่ มดุลข้ึน บคุ คลจะพยายามปรบั สภาวะให้อยู่
ในภาวะสมดุล โดยใช้กระบวนการปรับโครงสร้างทางปัญญาทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ถาวรด้วยตัวเอง
สามารถอธิบาย หลักการและนำความรู้มาใช้ในการปฏิบัติพัฒนาต่อยอดความรู้ไปสู่ภายนอก กลายเป็น
ความจำระยะยาว สอดคล้องกับ นิตยา ฉิมวงศ์ (2551: 3) ที่กล่าวเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด
ทฤษฎีนี้ว่า การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เป็นแนวทางที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ผู้เรียน
สามารถมองเห็นปัญหา ซักถาม และคิดวิเคราะห์หาเหตุผล แล้วเชื่อมโยงความคิดไปสู่แนวทางการ แก้ปัญหา
และชนาธิป พรกุล (2554: 72) กล่าวเกี่ยวกับทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ว่า ช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจให้
ผู้เรียน ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองจากการมีปฏสิ ัมพันธ์กบั สิง่ แวดล้อมและ เพื่อนร่วมชั้นโดยอาศัย
ความรู้และพน้ื ฐานจากประสบการณเ์ ดิม

ความรู้ที่เกิดขึ้นนี้เป็นความรู้ที่คงทนส่งผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไวยากรณ์
ภาษาองั กฤษของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา โดยใช้การจดั การเรยี นร้แู บบ PPP (3Ps)
ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ สอดคลอ้ งกับงานวิจัยท่ีเกิดขนึ้ ซ่งึ สอดคล้องกบั งานวิจัยของ จิราภรณ์ พิม
ใจใส (2553: บทคัดย่อ) ที่พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ เพื่อส่งเสริม
ความสามารถใน การเรียนรู้ของนกั ศึกษาพยาบาล โดยศกึ ษาความสามารถในการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาล
ทเ่ี รยี นดว้ ยรปู แบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้กบั รปู แบบการเรียนการสอนปกติ โดยทำ การ
ทดสอบก่อนและหลงั เรียนตอ่ เนือ่ งตามช่วงเวลาท่ีกำหนด ผลการวจิ ยั พบว่าคะแนนความสามารถ ในการเรียนรู้
ของนักศึกษาที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้กับรูปแบบ การเรียนการสอน
ปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติท่ีระดับ .05 ซึ่งคะแนนความสามารถใน การเรียนรู้สูงกว่านักศึกษา
พยาบาลที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนปกติ แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ ของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ที่ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้เองได้ และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้
บรรลวุ ัตถุประสงค์และสมมติฐาน

2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอ่ การเรียนการสอนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การจัดการ
เรียนรู้แบบ PPP (3Ps) ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคตวิ สิ ต์ ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกำแพง
วทิ ยา โดยภาพรวมมรี ะดบั ความพึงพอใจมากทีส่ ดุ เมอื่ พจิ ารณาความคดิ เห็นรายด้านพบว่า

๔๓

ด้านประโยชน์ มีระดับความพึงพอใจภาพรวมในระดับเห็นด้วยมากที่สุด มีระดับความพึงพอใจ
ภาพรวมในระดบั เห็นดว้ ยมากที่สุด โดยนกั เรยี นมคี วามเห็นว่าการเรียนการสอนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ โดยใช้
การจัดการเรียนรู้แบบ PPP (3Ps) ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ช่วยให้เรียนไวยากรณ์ได้ง่ายขึ้น และ
นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน นอกจากนี้นักเรียนยังสามารถประยุกตใ์ ช้สิ่งที่เรียนไดใ้ นชีวิตจริงการ
จัดการเรียนรแู้ บบ PPP (3Ps) ตามแนวคดิ ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพฒั นาการการเรยี นด้านไวยากรณ์ ช่วย
ให้เรยี นไวยากรณ์ได้งา่ ยข้ึนและนักเรียนเกิดการเรยี นรู้อยา่ งเปน็ ขั้นตอน นกั เรียนยังให้ความคิดเห็นอีกว่าการ
เรียนการสอนแบบนี้ ทำให้นักเรียนมคี วามมัน่ ใจในการใช้ภาษาอังกฤษ และทำให้นักเรียนมีความสนใจต่อการ
เรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมากขึ้น เพราะนักเรียนสามารถประยุกต์ใช้สิ่งที่เรียนได้ในชีวิตจริงสอดคล้องกับ
งานวิจัย ของ จิราภรณ์ พิมใจใส (2553 : 214) ที่พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้าง
ความรู้ เพอ่ื สง่ เสริมความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรยี นพยาบาล ซง่ึ พบว่าในด้านบรรยากาศท่ัวไประหว่าง
การเรียนการสอน ผู้เรียนให้ความเห็นว่าบรรยากาศเป็นมิตร เป็นกันเอง เอื้อต่อการ แลกเปลี่ยนความคิดกับ
เพื่อนภายในกลุ่ม ได้เรียนรู้ร่วมกัน นอกจากนี้ผู้เรียนให้ความเห็นว่า การเรียนการสอนแบบนี้ทำให้มีความรู้
เพ่ิมข้ึนเนื่องจากไดป้ ฏิบตั ิจรงิ ช่วยใหน้ กั เรียนรูจ้ กั คน้ คว้าหาความร้ดู ว้ ย ตนเอง แสดงให้เหน็ ถงึ การยอมรับและ
ความพึงพอใจตอ่ การจดั การเรียนรตู้ ามทฤษฎีคอนสตรัควิสต์ ทสี่ ่งผลให้ผ้เู รียนสามารถสร้างความรู้ และพัฒนา
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์ และสมมติฐานที่ตงั้ ไว้

รองลงมาคือ ด้านเนื้อหา มีระดับความพงึ พอใจภาพรวมในระดบั มากที่สดุ โดยนักเรียนมีความเห็นวา่
เน้ือหามีความเหมาะสมกบั ระดับชัน้ นกั เรียน เนื้อหามีความน่าสนใจ เข้าใจได้ง่ายและมีประโยชน์ ต่อนักเรียน
สอดคล้องกับงานวิจัยของเทิดศักดิ์ เป็ดทอง (2561) ที่พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลักภาษาไทย เรื่อง
ประโยค ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบ RM3S ตามแนวทฤษฎีการสร้าง
ความรู้ ซึ่งนักเรียนให้ความเห็นว่าทำให้นักเรียน เข้าใจเนื้อหา มากขึ้น สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ี
แจง้ ไวส้ ง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี น ได้แลกเปลี่ยน ความรูค้ วามคิด ส่งเสริม ใหผ้ ูเ้ รยี นสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมการ
เรยี นรรู้ ่วมกันของผู้เรยี น และทำใหผ้ ู้เรยี นกลา้ คดิ กล้าตัดสินใจ

ดา้ นสุดท้ายดา้ นกจิ กรรมการเรยี นการสอน ซง่ึ มีระดบั ความคดิ เห็นเทา่ กบั ด้านประโยชน์ โดยนักเรียน
เหน็ ว่ากิจกรรมการเรียนการสอนมคี วามน่าสนใจ สนกุ สนาน กระตุน้ ให้เกิดการเรยี นรู้ ลำดบั กจิ กรรมการเรียน
การสอนมีความเหมาะสมมีความสอดคล้องกับขั้นตอนการสอนช่วยให้ นักเรียนสร้างความรู้ความเข้าใจด้วย
ตนเองได้ นอกจากนี้กิจกรรมการเรยี นการสอนยังสง่ เสริมให้ นักเรียนได้ฝึกการทำงานรว่ มกันกบั เพื่อนสมาชกิ
ในกลุ่มและแก้ไขข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ได้ ที่สำคัญคือ นักเรียนสามารถสรุปโครงสร้างทางไวยากรณ์และ
นำไปใชไ้ ด้ ซึ่งผลการสรุปโดยรวมความ คิดเหน็ ของนักเรียนด้านนี้กย็ งั อยใู่ นระดบั เห็นดว้ ยมากทส่ี ดุ อาจเพราะ
นกั เรยี นมีความคดิ เหน็ บางสว่ นท่ีแตกต่างกนั ไปและกิจกรรมการเรียนการสอนอาจยังมีข้อบกพร่องท่ตี ้องแก้ไข
บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีคะแนนในระดับน้อยจนเกินไป เนื่องจากยังคงอยู่ในระดับเห็นดว้ ยมากท่ีสดุ แสดงให้
เห็น ถึงความพึงพอใจ และการยอมรับของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎี คอน
สตรคั ติวสิ ต์ สอดคล้องกับงานวิจัยของ ละเอียด มาดี (2546: 86) ท่จี ดั การเรยี นการสอนตาม แนวคิดทฤษฎี
คอนสตรัคตวิ สิ ต์ เพือ่ พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ างานบา้ นของนกั เรยี นชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ซ่ึงพบว่า

๔๔

โดยภาพรวมนักเรยี นมีความพึงพอใจต่อการสอนตามแนวคิดทฤษฎคี อน สตรัคติวสิ ต์ นักเรียน รู้สึกสนุกสนาน
เมื่อเรียนวิชางานบ้าน ซึ่งนักเรียนชอบวิธีสอนและการปฏิบัติตน ของครู นอกจากนี้นักเรียนได้ร่วมกันวาง
แผนการทำงานและลงมือปฏิบัติจริง สอดคล้องกับการศึกษาของ มนต์ชัย พงศกรนฤวงษ์ (2552: 141) ท่ี
พัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ทฤษฎี การสรา้ งความรู้ของนกั เรียนชา่ งอุตสาหกรรม ซึ่งพบว่าโดย
ภาพรวมนักเรยี นชา่ งอตุ สาหกรรมมี ความพึงพอใจตอ่ รูปแบบการเรยี นการสอนตามทฤษฎกี ารสร้างความรู้ อยู่
ในระดับมากท่ีสุด ในด้าน การจัดกจิ กรรมในการเรยี นภาพรวม พบว่า นักเรยี นชา่ งอุตสาหกรรมชอบเรียนด้วย
รูปแบบการเรียน การสอนนี้ เพราะนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมการเรยี นการสอนและรูปแบบการ
เรยี น การสอนนี้ทำใหน้ ักเรยี นมีความรับผิดชอบต่อตนเองในการเรยี น

ขอ้ เสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้
ผู้วจิ ัยมีข้อเสนอทค่ี วรจะนำไปใชป้ ระโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนดงั ต่อไปนี้
1. ผลจากการวิจัยพบว่า การเรียนรู้ด้วยการจัดการเรยี นรูแ้ บบ PPP (3Ps) ตามแนวคิดทฤษฎี

คอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3
ผู้เรียนสามารถพัฒนาความรู้ ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสูงขึ้น ดังนั้นครูผู้ปฏิบัติการสอนสามารถเพิ่มเติมปรับ
รายละเอียดของการจดั การเรยี น การสอนโดยการใช้การจดั การเรยี นรู้แบบ PPP (3Ps) ตามแนวคดิ ทฤษฎีคอน
สตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนไปใช้ให้เหมาะกับผู้เรียน
เวลาการฝกึ ฝนและให้เหมาะสมกับบรบิ ทในท้องถิ่นของตน

2. ผลจากการศึกษาพบว่า จากการใช้การจัดการเรียนรู้แบบ PPP (3Ps) ตามแนวคิดทฤษฎี
คอนสตรัคติวิสต์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรยี นชั้นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี
3 ผู้สอนควรคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนดว้ ย ผ้เู รียนทม่ี ีความสามารถทางการเรยี นสูงจะทำแบบกิจกรรม
ได้เสรจ็ กอ่ น

3. ในการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปปรับใช้ในการสร้างแบบฝึกเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักเรียนในระดับชั้นต่าง ๆ ได้ เพื่อให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และควรมีการ
สร้างแบบฝึกความรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษทุกระดับชั้นที่สอดคล้องกับหลักสูตร นำหลักภาษา โครงสร้าง
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษไปบูรณาการกับกลุ่มสาระอื่นๆ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และประสบผลสำเรจ็ ตามจุดมุ่งหมายการจัดการศกึ ษาของโรงเรยี นตอ่ ไป

2. ข้อแสนอแนะในการทำวิจยั ต่อไป
1. ควรมกี ารศกึ ษาเพ่ือเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นไวยากรณ์ภาษาองั กฤษของนักเรียน

จาก การจัดการเรียนรู้แบบ PPP (3Ps) ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ โดยใช้เวลาในการทดลองสอนให้
มากขึ้น และเพ่ิมเติมในดา้ นการฟัง และการพูดให้มีการฝึกฝนมากข้ึน

๔๕

2. ควรมีการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบว่าการการจัดการเรียนรู้แบบ PPP (3Ps) ตามแนวคิด
ทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสต์เหมาะสมกับเด็กกลมุ่ อ่อน กลุ่ม ปาน กลาง หรือกลุม่ เก่ง

๔๖

บรรณานกุ รม

Bickman, L. (2008). Ratios and proportions. Theses M.A. New York: Hofstra University.
Choi, Y. S. (2000). An empirical study of factors affecting successful implementation of

knowledge management. Doctoral Dissertation, University of Nebraska, Lincoln, NE.
U.S.A Unpublished.
Dickins, M., P., Rea, & Edward, G. W. (1988). Some Criteria for the Development of
Communicative Grammar Tasks. Oxford: Oxford University Press.
Driver, R., & Bell. (1986). Students Thinking and the Learning of Science; A Constructivist View.
School Science Review, 67(240), 443–456.
Goodman, E. (2004). Connected Mathematics Project: A constructivist view of mathematics
education in the middle grades. Theses M.A.E. Washington: Pacific Lutheran
University.
Harmer, J. (1983). The Practice of English Language Teaching. London: Longman.
Henry, W. C. H., Evelyn, W. M. C., & Terence, T. S. L. (2012). Examining the effectiveness of
adopting an inductive approach to the teaching of English grammar. เข้าถึงเมื่อ 30
มี.ค. 2562. เข้าถึงได้จาก http://www.edb.org.hk/HKTC/download/eras/1011/
Muhammed, Y. (2001). Deductive and Inductive Lessons for Saudi EFL Freshmen Students.
Saudi Arabia: King Khalid University.
Stoti, C. D. (1990). Teaching Grammar to Children Communicatively. s.l : s.n.
Thornbury, S. (2001). How to teach grammar. พิมพค์ รงั้ ที่ 3. Malaysia: Pearson Limited.
Van Syoc, B. (1963). Methods of teaching English as a foreign language. Bangkok: The Social
Science Association of Thailand Press.
กรมวิชาการ และกระทรวงศึกษาธิการ. (2545). คู่มือการจัดการสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร:
องค์การรบั สง่ สินค้าและพสั ดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.).
จินตนา สุจจานันท์. (2551). การเรียนการสอนโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ. เชียงใหม่: คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่.
จิระ ดีช่วย. (2554). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีคอนสตรักติวิซึมร่วมกับการคิดอย่าง มี
วิจารณญาณเพื่อเสริมสร้างมโนทัศน์ทางชีววิทยาและความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา หลักสูตร
และสอนบณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
จิราภรณ์ พิมใจใส. (2553). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ เพื่อส่งเสริม
ความสามารถในการเรยี นรู้ของนักศึกษาพยาบาล. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.

๔๗

ชนาธิป พรกุล. (2554). การสอนกระบวนการคดิ ทฤษฎีและการนำไปใช้. พิมพค์ ร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: วี พริ้นท์.
จำกดั .

ฐิตินันท์ กล้ารบ. (2550). การเปรียบเทียบผลการเรียนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษโดยวิธีอุปนัยและวิธีนิรนยั ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม.

ทิศนา แขมมณี. (2554). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
รูปแบบการเรียน การสอนทางเลือกที่หลากหลาย. พิมพ์ครั้งที่ 14. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่ง
จฬุ าลงกรณ.์

เทิดศกั ด์ิ เปด็ ทอง. (2561). การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลักภาษาไทย เร่อื งประโยค ของนกั เรียน ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ RM3S ตามแนว ทฤษฎีการสร้างความรู้.
วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและสอน บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.

ธูปทอง กว้างสวาสดิ์. (2549). การสอนภาษาอังกฤษ. มหาสารคาม: ภาควิชาหลักสูตรและการสอน: คณะ
ศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.

นิตยา ฉิมวงศ์. (2551). การเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนกลุ่มสาระการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์ เรื่อง ความน่าจะเป็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ที่
ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์และการสอนตามปกติ.
วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.

ปราณี วานิชเจริญธรรม. (2524). การศกึ ษาพืน้ ความรภู้ าษาอังกฤษด้านการอ่านและการใช้ภาษาของ นิสิตปี
ที่ 1 มหาวิทยาลัยศรีนครนทรวิโรฒประสานมิตร. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ
ประสานมิตร.

ฝนทพิ ย์ นดั ทะยาย. (2558). การพัฒนากระบวนการเรียนรโู้ ดยใช้แนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ ิสตป์ ระกอบการ
ใช้ สถานการณ์จำลองเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
คณะศกึ ษาศาสตร์ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.

พรศิริ อูปคำ และยุทธศักดิ์ ชื่นใจชน. (2558). การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้คำศัพท์โดยใช้
และไมใ่ ช้คำอุปสรรค ในวชิ าภาษาองั กฤษของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ ปริญญา
การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาองั กฤษ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร.

มนตช์ ัย พงศกรนฤวงษ.์ (2552). การพัฒนารูปแบบการเรยี นการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้เพ่ือส่งเสริม
ความสามารถในการสร้างความรขู้ องนักเรียนช่างอตุ สาหกรรม. วิทยานพิ นธ์ปริญญา ปรัชญาดุษฎี
บณั ฑติ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน.บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.

ระววิ รรณ ศรีครา้ มครัน. (2539). การสอนวชิ าภาษาองั กฤษ. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ละเอียด มาดี. (2546). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชางานบ้านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการ

เรียนการสอน ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต

๔๘

สาขาวิชาหลักสูตรและการนิเทศ ภาควิชาหลักสูตรและวิธีสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
ศิลปากร.
วราภรณ์ สีดำนิล. (2550). การพฒั นาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 2
ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิซึม. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สมนึก ภัททิยธนี. (2551). การวัดผลการศึกษามหาสารคาม: ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ส่าหรี กลุ สริ สิ วัสด์.ิ (2547). วธิ สี อนไวยากรณ:์ How to teach grammar. กรุงเทพฯ: เพยี ร์สนั เอ็ด ดูเคชั่น
อินโดไชนา่ .
สภุ ัทรา อักษรานเุ คราะห์. (2532). การสอนทักษะภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั .
หทัยชนันบ์ กานต์การันยกุล. (2555). การพัฒนาชุดกิจกรรมการออกแบบทางศิลปะด้วยสมุดร่างภาพ ตาม
แนวคิดทฤษฎคี อนสตรัคตวิ ิสซึม เพ่อื ส่งเสริมความคดิ สร้างสรรค์ในนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษา ปีที่ 4.
วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลปศึกษา ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัย
ศลิ ปากร.
อนุชา โสมาบุตร. (2556). ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Theory). เขา้ ถึงเมื่อ 30 กันยายน
2562. เข้าถึงได้จาก https://teacherweekly.wordpress.com/2013/09/25/constructivist-

theory/

เอกรินทร์ สังข์ทอง. (2541). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร โดยการใช้ทัศน
วัสดุของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. วิทยาเขต
ปตั ตานี มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.

๔๙

ภาคผนวก

๕๐

ภาคผนวก ก
เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวิจยั

1. ตวั อยา่ งแผนการจัดการเรียนร้ทู ีใ่ ช้ขน้ั ตอนการจัดการเรยี นรู้แบบ PPP
(3Ps) ตามแนวคิดทฤษฎคี อนสตรคั ติวสิ ต์

2. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลงั เรียน
3. แบบสอบถามความคดิ เห็น

๕๑

1. ตวั อย่างแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ขน้ั ตอนการจดั การเรียนรแู้ บบ PPP (3Ps) ตามแนวคดิ
ทฤษฎีคอนสตรัคตวิ สิ ต์ จำนวน 1 แผน

๕๒

แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 11

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ รหสั วชิ า อ23102 รายวชิ า ภาษาอังกฤษ
ปีการศึกษา 2564
ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 4 คาบ

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 Making Money Grammar: Wish

ชอื่ ครูผู้สอน นายอติวิชญ์ ชาวสวน

1. มาตรฐานการเรียนรู้
ต 1.1 ม.3/2, ต 1.1 ม.3/4, ต 2.2 ม.3/1

ตวั ชวี้ ัด
1. อา่ นออกเสยี งขอ้ ความ ข่าว โฆษณา และบทร้อยกรองสน้ั ๆ ถูกตอ้ งตามหลกั การอ่าน
2. เลือก/ระบุหัวข้อเรื่อง ใจความสำคัญ รายละเอียดสนบั สนุนและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเร่ือง
ทีฟ่ งั และอ่านจากสื่อประเภทตา่ ง ๆ พรอ้ มท้งั ใหเ้ หตผุ ลและยกตวั อยา่ งประกอบ
3. เปรยี บเทียบและอธิบายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการออกเสยี งประโยคชนดิ ตา่ ง ๆ
และการลำดบั คำตามโครงสรา้ งประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย

2. สาระสำคัญ
ปจั จุบันโลกมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงในการติดต่อส่ือสาร การคา้ และการทำธุรกรรมต่าง ๆ

ผ่านทางอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตามความสะดวกสบายจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อาจนำมาซึ่งความ
เสี่ยงหากผู้ใชเ้ ทคโนโลยีไม่มีความรู้ หรือขาดความรอบคอบ และอาจทำให้เกดิ การสูญเสียทรัพย์สินได้ ความรู้
ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับการเงินจึงมีความจำเป็นเพราะการทำธุรกรรมทางออนไลน์หลายอย่างนั้นเป็น
ภาษาอังกฤษ ทั้งคำศัพท์ และการอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งนักเรียนพบเจอในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การสมัคร
สมาชิก การซ้อื สินค้าออนไลน์ และอื่น ๆ ในบทเรยี นน้ีจึงมุ่งเนน้ คำศัพท์ที่เกี่ยวกับการเงิน และการทำธุรกรรม
ที่ต้องติดต่อกับธนาคาร คำศัพท์บอกปริมาณ และการคาดการณ์สิ่งทีจ่ ะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเรียนรู้จากการ
ฟงั การชมคลปิ สัน้ ๆ การอา่ นเรือ่ งราวท่ีเก่ยี วข้อง การอภิปราย การจับคสู่ นทนา แสดงบทบาทสมมติ และการ
ทำกิจกรรมกลุ่มเพอื่ สร้างสรรคผ์ ลงาน

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (K,P,A)
ดา้ นความรู้ (Knowledge)

1. นักเรยี นระบโุ ครงสรา้ งประโยคท่ีใช้กบั กริยา wish ได้
2. นกั เรยี นเลอื กใช้ tense ท่ีเหมาะสมกบั ความหมายของประโยคท่ีมีกรยิ า wish ได้

๕๓

3. นักเรียนแยกแยะความแตกต่างของการใช้คำว่า since และ for ในประโยค Present
perfect tense ได้

ดา้ นกระบวนการ (Process)
4. นักเรยี นอธบิ ายการใชโ้ ครงสร้างประโยคทกี่ ำหนดใหไ้ ด้
5. นักเรยี นแต่งประโยคจากข้อความที่กำหนดใหไ้ ด้

ด้านคุณลกั ษณะ (Attribute)
6. นักเรยี นมีความกระตอื รือร้นในการมสี ว่ นร่วมทำกิจกรรมในห้องเรียน
7. นักเรยี นมมี ารยาทในการวจิ ารณง์ านของผอู้ ื่น
8. นักเรียนยอมรับความคิดเห็นหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อืน่ เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงผลงาน

ของตน
9. นักเรียนช่ืนชมผลงานของผู้อ่ืนทท่ี ำไดด้ ี

๓. สาระการเรียนรู้
1. ไวยากรณ์
- S+ wish + past tense เพื่อกล่าวถึงความคาดหวัง หรือสิ่งที่ปรารถนาจะให้เป็น หรือให้

เกดิ ขึน้ ในปัจจบุ ัน เชน่ I wish I would be rich.
- Present perfect with since, for, how long
- I have studied here since I was 7 years old.
- I have studied here for 5 years.
- How long have you studied here?

๔. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
๔.1 ความสามารถในการส่อื สาร
๔.2 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ
4.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา

๕. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
๕.1 มีวินยั
๕.1.1 ประพฤตติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บขอ้ บงั คับของครอบครัว โรงเรยี น และสงั คม
๕.2 ใฝเ่ รียนรู้
๕.2.1 ตงั้ ใจเพียรพยายามในการเรียน และเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้
5.3 อยู่อย่างพอเพียง
5.3.1 มภี ูมิคมุ้ กนั ในตวั ท่ีดี ปรบั ตัวเพอ่ื อยูใ่ นสังคมได้อยา่ งมคี วามสุข

๕๔

๖. หลักฐานการเรียนรู้
๖.1 ชน้ิ งาน: -
๖.2 ภาระงาน: -

7. กิจกรรมการเรียนรู้: วิธีการสอน: ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบ PPP (3Ps) ตามแนวคิดทฤษฎี
คอนสตรคั ติวิสต์ Teaching English Grammar using Constructivism Theory (แพรไหม คำดวง, 2562)

ชว่ั โมงที่ 1 - 2 (On-site เลขคู่และเลขค่ี)
o Presentation stage
๗.1 ขัน้ กระตุ้นความสนใจ เวลาประมาณ 3๐ นาที

1. ครูทกั ทายนกั เรยี น
T: Good morning / Good afternoon. How are you?
Ss: I’m fine thank you. And you?
T: I’m doing well. Thank you.
ครถู ามนักเรยี นว่า นักเรยี นมีความหวงั หรอื ความใฝฝ่ นั หรอื ไม่ (Do you have any wishes

or dreams?)
2. ครูให้นกั เรยี นวาดภาพตวั เองลงในสมดุ เขียนสิ่งท่นี ักเรยี นอยากเป็น หรอื อยากให้เกิดขน้ึ

กับตวั นกั เรยี น โดยเขยี นลงในบอลลูนคำพดู ดังตัวอย่าง

I have more I have more
money. friends.

I

I win a jackpot I am a talent
lottery. footballer.

๕๕

๗.๒ ข้ันทบทวนความรู้เดมิ เวลาประมาณ 5๐ นาที
3. ครูบอกนักเรียนว่า ความใฝ่ฝันหรือความหวังนั้นเรียกว่า wish ซึ่งคำนี้สามารถเป็นได้ทั้ง

คำนามและคำกริยา
4. ครูถามนกั เรยี นต่อไปว่า ส่ิงทน่ี ักเรียนใฝฝ่ ันนั้นเป็นจรงิ หรือไม่ และเกดิ ข้นึ หรือยงั
5. ครูอธิบายว่า เมื่อเหตุการณ์นั้นไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้นนักเรียนจึงไม่สามารถใช้ Present

simple ในการเขยี นประโยคเหล่านไี้ ด้ ประโยคท่ีถกู ตอ้ งจะตอ้ งใชก้ ริยา wish
6. ครใู หน้ ักเรียนอ่านคำอธบิ าย Grammar Tips ในหนังสอื Student’s Book หนา้ 79

7. ครอู ธิบายดงั นี้
- เราใช้กริยา wish กบั ส่ิงท่เี ราอยากใหเ้ กิดขึน้ หรอื อยากให้เปน็ และตามดว้ ยประโยคใน

Past tense
- ดังตวั อย่าง เชน่
- I wish I was a millionaire. (ฉันอยากเป็นเศรษฐี แสดงว่าตอนนี้ยังไม่เป็น

เศรษฐ)ี
- I wish I didn’t have to do homework. (ฉันหวังว่าฉันจะไม่ต้องทำการบ้าน

แสดงว่าในตอนน้ีมีการบา้ นที่ต้องทำ)
- I wish I could speak French. (ฉันอยากพูดภาษาฝรั่งเศสได้ แสดงว่าตอนนี้ยัง

พูดภาษาฝรง่ั เศสไม่ได)้
- หากประธานของประโยคเปน็ เอกพจน์ wish ตอ้ งเติม es ดว้ ย เชน่
- He wishes he had more free time.

8. นกั เรยี นแกไ้ ขประโยคทน่ี กั เรยี นเขยี นในตอนแรกให้ถูกต้อง
9. ครสู ุ่มเรียกนักเรียน ให้อ่านประโยคของของตนประมาณ 5 คน
10. นักเรียนทำแบบฝึกหัดใน Student’s Book exercise 6 หน้า 79 และทำแบบฝึกหัด
Workbook exercise 7-9 หน้า 65 จากนัน้ นักเรียนรว่ มกนั เฉลยคำตอบ
11. นกั เรียน ดู clip สั้น ๆ เก่ยี วกับ since และ for จาก English Grammar Tips: 'Using FOR
and SINCE' จาก https://www.youtube.com/watch?v=-R26Y9_qo1w

๕๖

12. นกั เรียนลอกประโยคตวั อย่างจาก clip ลงในสมุด
- I have lived in France for 20 years.
- I have spoken French since 1995.
- I was married for 2 years.
- I have been a dad since my daughter was born.
- I have taught English for a very long time.

13. นกั เรียนอภิปรายและชว่ ยกันสรุปการใช้ since และ forโดยดคู ำอธิบาย Grammar
ใน Student’s Book หนา้ 80

14. ครูอธบิ ายเพ่มิ เติมดงั นี้
- Present perfect มีโครงสร้างคือ Subject + have/ has + past participle ใช้

กับเหตกุ ารณ์ทเี่ กดิ ขึ้นในอดตี และดำเนนิ ต่อเนอ่ื งมาถึงปจั จุบัน
- since และ for เป็นคำที่พบบ่อยใน Present perfect tense เพราะเป็นคำระบุ

ระยะเวลา หรอื จดุ เริ่มต้นของการกระทำในอดีต ที่ดำเนินต่อเนือ่ งมาถึงปัจจุบนั
- since แปลวา่ ต้งั แต่ ตามดว้ ยเวลาที่เริ่มการกระทำเช่น since last night, since

2014, since April และ ตามด้วย clause เชน่ since I was young.
- for แปลว่า เปน็ เวลา… มาแล้ว ตามด้วยระยะ หรือช่วงเวลา เชน่ for two years,

for three hours แต่จะไมต่ ามดว้ ย clause
- since และ for มักจะปรากฏในคำตอบของประโยค How long + present

perfect เพราะ How long + present perfect แปลวา่ นานแคไ่ หนแลว้
15. นักเรียนทำแบบฝึกหัด Student’s Book exercise 3-4 หน้า 80-81 จากนั้นนักเรียน

ร่วมกนั เฉลยคำตอบ

๕๗

๗.๓ ขัน้ สอนแบบอปุ นยั เพ่อื สร้างแนวความคดิ ใหม่ (Inductive) เวลาประมาณ 5๐ นาที
16. นกั เรียนจับค่กู ัน ฝึกสนทนา ถาม-ตอบ โดยใช้คำถาม How long + present perfect 5

คำถาม

17. ครูสมุ่ เรยี กนกั เรยี นยืนขึ้นสนทนา ประมาณ 5-10 คู่

ชว่ั โมงท่ี 3 – 4
o Practice stage
๗.๔ ขั้นการฝึกฝนผ่านกิจกรรม แลกเปลี่ยนความคดิ เวลาประมาณ 4๐ นาที

18. นกั เรียนอ่านประโยคตวั อย่างใน Student’s Book exercise 5 หน้า 81
19. ครูให้นักเรียนแต่งข้อความเป็นเรื่องของนักเรียนเอง โดยเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะสมจาก
ขอ้ ความท่ขี ีดเสน้ ใต้ ดงั ตวั อยา่ งต่อไปนี้

My parents don’t give me much money. I have saved money from my lunch
expense. I have saved 40 baht from 100 baht every Monday-Friday. I have saved 200 baht
every week. I wish I had enough money to go to Chiang Mai with my friends.

20. นกั เรียนฝึกพูดโดยไม่ต้องอา่ นบท
21. เมอ่ื นกั เรียนพดู ได้คล่องแลว้ ใหน้ ักเรียนออกมาพูดหน้าช้นั เรียนจนครบทกุ คน

๗.๕ ขัน้ ทบทวนความรใู้ หม่ เวลาประมาณ 5๐ นาที
28. ผสู้ อนทบทวนความรู้ให้นักเรียนโดยให้ผู้เรียนทั้งห้องชว่ ยกนั บอกโครงสร้างของประโยค และ

ให้นักเรียนสร้างประโยค Wish คนละหนึ่งประโยคและครูจะสุ่มให้เปิดไมค์พูดให้ครูและเพื่อนร่วมชั้นฟังทีละ
คน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ประโยคได้ในชีวิตจริง และจะได้รับคะแนนพิเศษถ้าประโยคถูกต้องครบถ้วน
สมบูรณ์ (1-3 คะแนน แล้วแตด่ ลุ ยพินิจของครูผู้สอน)

- ก่อนเร่ิมนำเสนอ ครใู หเ้ วลานกั เรยี นแต่งประโยค 5 – 10 นาที

o Production stage
๗.6 ข้ันประยุกต์ใช้ เวลาประมาณ 2๐ นาที

- เป็นขั้นที่ผู้เรียนนำความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดมาใช้ กล่าวคือผู้เรียน สามารถสร้างประโยคและใช้
สื่อสารกับผู้อื่นได้ โดยผู้สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรม Communicative Activities โดยผู้สอนให้ผู้เรียนทำ
กจิ กรรมทีไ่ ดใ้ ชก้ ารสื่อสาร ผูเ้ รยี นจะสามารถใช้ไวยากรณ์ถกู ต้อง และเหมาะสม

22. ครใู หน้ ักเรยี น 5 คน ออกมาเขยี นประโยค wish คนละ 1 ประโยคบนกระดาน
23. นกั เรยี นอา่ นประโยคและบอกความหมาย
24. นกั เรยี นระบุสง่ิ ที่นกั เรยี นพบว่า ยาก ในการเรียนวนั นโี้ ดยเขียนไว้บนกระดาน
25. นกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายสงิ่ ท่เี รยี นในวันนี้

๕๘

8. สอ่ื การเรยี นร/ู้ แหล่งเรยี นรู้
๘.1 PowerPoint presentation
๘.2 หนังสอื เรียน Maximize Student’s Book 3
๘.3 Maximize Student’s Book 3 Audio CD ซีดีบนั ทึกเสียง

9. การวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้

การประเมนิ ผล วธิ ีวัด เครือ่ งมอื วัด เกณฑ์การประเมนิ
แบบฝกึ หดั นกั เรียนทำแบบฝึกหัดได้
ดา้ นความรู้ Knowledge แบบฝกึ หัด ถกู ต้องมากกวา่ 80%
แบบฝึกหดั
1. นกั เรียนระบโุ ครงสรา้ งประโยค การทำแบบฝึกหดั นกั เรยี นสามารถแสดง
แบบสังเกตพฤติกรรมการ ความคิดเหน็ ได้อย่าง
ที่ใช้กบั กริยา wish ได้ ทำงานกลุ่ม สมเหตสุ มผล
แบบประเมินผลงาน นักเรยี นวางแผนการ
2. นกั เรยี นเลอื กใช้ tense ท่ี ทำงานเปน็ กลุ่มอยใู่ น
แบบสังเกตพฤติกรรม เกณฑร์ ะดบั ดี
เหมาะสมกบั ความหมายของ การทำแบบฝึกหดั รายบุคคล นักเรยี นมพี ฤติกรรมผา่ น
เกณฑ์ระดับดี
ประโยคทมี่ ีกรยิ า wish ได้ แบบสำรวจรายการ
พฤติกรรมนกั เรยี นด้าน พฤติกรรมนักเรยี นอยู่ใน
3. นักเรียนแยกแยะความแตกต่าง การทำแบบฝึกหดั ระดับพอใช้

ของการใช้คำวา่ since และ for ใน

ประโยค Present perfect tense

ได้

ด้านกระบวนการ Process

4. นกั เรียนอธบิ ายการใช้โครงสร้าง การทำงานกลุ่ม

ประโยคท่ีกำหนดให้ได้

5. นกั เรยี นแตง่ ประโยคจาก การทำงานกลุ่ม

ข้อความที่กำหนดให้ได้

ด้านคุณลักษณะ Attribute

6. นกั เรยี นมีความกระตือรือร้นใน การประเมินพฤติกรรม

การมีสว่ นรว่ มทำกิจกรรม รายบุคคล

ในห้องเรียน

7. นกั เรยี นมมี ารยาทในการวจิ ารณ์

งานของผู้อน่ื

8. นกั เรยี นยอมรับความคิดเห็น

หรอื คำวิพากษ์วิจารณ์ของผอู้ ื่น เพ่ือ

นำมาใช้ปรับปรงุ ผลงานของตน

9. นกั เรยี นช่นื ชมผลงานของผอู้ ื่น

ได้ดี

ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ - ตรวจความเรียบร้อย
มวี นิ ยั

๕๙

การประเมินผล วิธีวดั เครือ่ งมอื วดั เกณฑก์ ารประเมนิ
- สังเกตพฤติกรรมขณะ มวี ินัย ใฝ่เรยี นรู้ อยอู่ ยา่ ง
- เข้าเรยี นตรงเวลา จัดการเรยี นรู้ พฤติกรรมนกั เรยี นอยู่ใน
- ปฏบิ ตั ติ ามกฎระเบียบของห้อง - มกี ารจดบนั ทึกความรู้ พอเพียง เกณฑ์ระดับ 2 พอใช้
ใฝเ่ รียนรู้ อย่างเปน็ ระบบ
- มีการจดบนั ทกึ ความรู้อยา่ งเป็น - สรปุ ความรไู้ ดอ้ ย่างมี แบบประเมนิ สมรรถนะของ
ระบบ เหตุผล ผเู้ รยี น
- สรปุ ความรู้ได้อย่างมีเหตุผล - ปรบั ตวั เข้าหาผูอ้ ่ืนและ
อยูอ่ ย่างพอเพียง อย่ไู ด้อยา่ งมีความสุข
- มีภูมคิ มุ้ กนั ในตัวทด่ี ี ปรับตัวเพอ่ื
อยูใ่ นสังคมได้อยา่ งมคี วามสขุ สังเกตการณ์ทำกิจกรรม
ในชัน้ เรียน
ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น
- ความสามารถในการส่ือสาร
- ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต
- ความสามารถในการแก้ปญั หา

10. ความคิดเห็นของหวั หนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้
ไดต้ รวจแลว้ มีความคิดเห็นว่า
 สมควรนำแผนการจัดการเรยี นรูไ้ ปใชไ้ ด้
 สมควรปรับปรงุ คือ...........................................................................................................

............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................

ลงชอ่ื .................................................
(นางปาลิตา อาดุลเบบ)

หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาตา่ งประเทศ

๖๐

11. ความคิดเห็นรองผู้อำนวยการกลุ่มบรหิ ารวิชาการ
 องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้.....................................................................................
 มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชว้ี ดั /ผลการเรียนรู้สอดคล้อง...............................................................
 สาระสำคัญครอบคลุมชัดเจน.....................................................................................................
 สาระการเรยี นรู้มีความถูกตอ้ งตามหลักวิชาการ........................................................................
 จดุ ประสงค์การเรียนรมู้ ีความชัดเจนครอบคลมุ 3 ด้าน.............................................................
 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน........................................................................................................
 คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค.์ ........................................................................................................
 ระบุภาระงาน/ชน้ิ งาน...............................................................................................................
 กิจกรรมการเรยี นร้เู น้นผเู้ รยี นเป็นสำคัญ..................................................................................
 สื่อและอปุ กรณ์การเรยี นรู้........................................................................................................
 การวดั และการประเมินตามจดุ ประสงค์การเรียนร.ู้ ..................................................................
 บนั ทกึ หลงั สอน................................................................................................................ .........
 เสนอสง่ แผนการจัดการเรียนรตู้ ามขน้ั ตอนระบบงาน...............................................................

ลงช่อื .................................................
(นายอับดลรอศักด์ิ มณีโสะ๊ )

รองผ้อู ำนวยการกล่มุ บรหิ ารวชิ าการ

12. ความคดิ เหน็ ผอู้ ำนวยการโรงเรียน
 อนญุ าตให้ใชจ้ ดั การเรียนการสอนได้
 สมควรปรบั ปรุง คือ...........................................................................................................

............................................................................................................................. ...........................................
............................................................................................................................. ...........................................

ลงชื่อ .................................................
(นายสิรวุฒิ ยนุ ้ยุ )

ผอู้ ำนวยการโรงเรียนกำแพงวิทยา

๖๑

13. บันทึกหลงั การจดั กจิ กรรมการเรียนรูแ้ ผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 11
13.1 ผลการจดั การเรียนรู้ (ตามจุดประสงค์)
ด้านความรู้ Knowledge
- นักเรยี นตอบคำถามและออกเสยี งคำศัพท์ไดถ้ ูกตอ้ งมากกว่า 80%
- นกั เรยี นเลอื กคำศัพทเ์ พือ่ ใชใ้ นบรบิ ทท่เี หมาะสมได้ สามารถจบั ค่คู ำศัพท์กับความหมายหรือ

คำอธิบายภาษาอังกฤษได้อยา่ งถูกต้อง
- นักเรยี นทำแบบฝกึ หดั ไดถ้ ูกต้องมากกวา่ 80%
ด้านกระบวนการ (Process)
- นักเรียนไม่ได้ทำงานเป็นกลุ่ม แต่เปลี่ยนเป็นการถาม-ตอบกับครูเป็นรายบุคคลแทน ปรับ

กจิ กรรมการนำข้อมูลที่กำหนดใหม้ าประยกุ ต์ใช้ในการเขยี นและการสนทนา และกิจกรรมสร้างบทสนทนาจาก
ประสบการณ์และการเรียนรู้ในชั้นเรียน เป็นการแปลเนื้อเรื่องและเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ซึ่งโดยรวมอยู่ใน
เกณฑ์ระดบั ดี

นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างสมเหตุสมผล มีการวางแผนการทำงานเป็นกลุ่ม
อยใู่ นเกณฑ์ระดับดี และนักเรยี นสามารถนำเสนอได้ โดยผ่านเกณฑ์ระดบั ดี

- นักเรียนทำแบบฝึกหัดไดถ้ กู ตอ้ งมากกว่า 80%
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (Attribute)
- นกั เรียนมีพฤติกรรมโดยรวมผา่ นเกณฑ์ระดับดี

13.2. แนวทางแก้ไขปัญหานักเรียนที่ไม่ผ่านตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้หรือจุดประสงค์ (เพ่ือ
นำไปสู่ PLC)

- นักเรยี นทม่ี ีคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ จะเปิดโอกาสให้ทำการปรบั คะแนน

ลงช่ือ .................................................
(นายอติวชิ ญ์ ชาวสวน)
ครูผูส้ อน

๖๒

ภาคผนวก

๖๓

แบบสงั เกตการตอบคำถาม

คำชี้แจง ทำเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งระดบั คะแนนพฤติกรรมทนี่ กั เรยี นปฏบิ ัติดังน้ี
ระดับ 3 หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมให้เหน็ มาก
ระดบั 2 หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมให้เหน็ ปานกลาง
ระดับ 1 หมายถงึ แสดงพฤติกรรมให้เห็นนอ้ ย

พฤตกิ รรม/ สนใจและตงั้ ใจ ตอบคำถามได้ ตอบคำถาม การประเมนิ ผล
ระดบั คะแนน ฟังคำถาม ตรงประเด็น อย่างสมำ่ เสมอ
ลำดบั ท่ี รวม ผ่าน ไม่ หมายเหตุ
ช่ือ-สกุล 321321321 คะแนน ผา่ น

เกณฑก์ ารประเมิน
คะแนนตั้งแต่ 4-9 ผา่ น
8-9 = ดี
6-7 = ปานกลาง
4-5 = พอใช้
คะแนนต่ำกว่า 4 ไมผ่ า่ น

๖๔

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่

ช้ัน .................... จำนวน ................... คน
สังเกตพฤตกิ รรมวนั ท่ี .............. เดอื น ........................... พ.ศ. ......................

พฤติกรรมการทำงานกลุ่ม

เลขที่ ชือ่ -สกุล
ช่วยเห ืลอ ้ดานกำ ัลง รวม
ความคิด
การแนะนำ แนวทาง
โดยการ ูพดในส่ิง ี่ท
เ ็ปนประโยชน์
การ ูพดในสิ่ง ่ีทเ ็ปน
ประโยชน์ พยายาม
ช่วยเห ืลอสมาชิกใน
กลุ่ม ไม่นิ่ง ูดดาย
เอาใจใ ่สกับงาน
่รวม ักนแ ้กไข ัปญหา
พยายามทำงานใ ้ห
สำเ ็รจ

5 5 5 5 20

เกณฑก์ ารประเมนิ ในการสงั เกตพฤติกรรม มีดงั น้ี

คะแนน 18 – 20 ดมี าก

คะแนน 14 – 17 ดี

คะแนน 10 – 13 พอใช้

คะแนน 0 – 9 ควรปรับปรงุ

มเี กณฑใ์ หค้ ะแนนจากการสงั เกตพฤติกรรม คือ

เกณฑ์การให้คะแนน 5 คะแนน เมอ่ื นกั เรียนแสดงพฤติกรรมตามทต่ี ้องการเป็นประจำสมำ่ เสมอ

เกณฑ์การให้คะแนน 4 คะแนน เม่อื นักเรยี นแสดงพฤติกรรมตามทต่ี ้องการเป็นประจำ

เกณฑ์การให้คะแนน 3 คะแนน เมื่อนกั เรยี นแสดงพฤติกรรมตามที่ต้องการค่อนขา้ งจะสมำ่ เสมอ

เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมอ่ื นักเรียนแสดงพฤติกรรมตามทตี่ อ้ งการคอ่ นขา้ งน้อย

เกณฑ์การให้คะแนน 1 คะแนน เม่อื นกั เรยี นแสดงพฤติกรรมตามทตี่ อ้ งการน้อย

๖๕

แบบประเมนิ ผลงานนักเรียน

ช้ัน .................... จำนวน ................... คน
สังเกตพฤตกิ รรมวันที่ .............. เดือน ........................... พ.ศ. ......................

รายการประเมนิ สรุปผล
ผา่ น ไม่ผ่าน
เลขที่ ชอ่ื -นามสกลุ ผลงาน ความ ทำงานตาม ความคิด คะแนน ระดบั
ถกู ตอ้ งตาม สะอาด ขั้นตอน สรา้ งสรรค์ รวม คุณภาพ
สวยงาม (12)
สาระ

(3) (3) (3) (3)

๖๖

เกณฑ์การใหค้ ะแนนการประเมินผลงาน

รายการประเมนิ เกณฑ์การใหค้ ะแนน
1. ผลงานถกู ต้องตาม
สาระ 321
2. ความสะอาด
สวยงาม ผลงานถกู ต้องตามหลัก ผลงานถกู ต้องตามหลัก ผลงานถกู ต้องตามหลัก
3. ทำงานตามข้นั ตอน
วชิ า วชิ าเป็นสว่ นใหญ่ วชิ าเปน็ ส่วนน้อย
4. ความคิดสรา้ งสรรค์
มีความสะอาด สวยงาม มีความสะอาด สวยงาม มีความสะอาด สวยงาม

เรยี บรอ้ ย เรยี บร้อยเปน็ ส่วนใหญ่ เรยี บร้อยเปน็ สว่ นนอ้ ย

การทำงานมคี รบทุก การทำงานไม่ครบทุก การทำงานไม่มีขนั้ ตอน

ขั้นตอน ขน้ั ตอนและผิดพลาดบา้ ง มคี วามผิดพลาดต้อง

แกไ้ ข

ผลงานแสดงออกถึง ผลงานแสดงออกถึง ผลงานไม่แสดงออกถึง

ความคิดริเร่มิ สร้างสรรค์ ความคดิ ริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ ความคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์

แปลกใหม่ เกดิ จากการเลยี นแบบ

เกณฑก์ ารตัดสนิ คุณภาพ 0 (ปรับปรุง)
0 – 5 คะแนน หมายถงึ 1 (พอใช้)
6 – 8 คะแนน หมายถงึ 2 (ดี)
9 – 10 คะแนน หมายถึง 3 (ดมี าก)
11 – 12 คะแนน หมายถึง

หมายเหตุ ระดับคุณภาพ 0 ถอื ว่า ไม่ผ่าน

๖๗

แบบบันทกึ การประเมนิ ผลงาน

ชน้ั .................... จำนวน ................... คน
สังเกตพฤติกรรมวนั ที่ .............. เดอื น ........................... พ.ศ. ......................

ประเดน็ /คะแนน การใช้ภาษา เนื้อหา รวมคะแนน
8 12 20
เลขที่ ชอื่ - สกุล

เกณฑ์การให้คะแนนผลงานมดี ังน้ี ดีมาก
คะแนน 18 – 20 ดี
คะแนน 14 – 17 พอใช้
คะแนน 13 – 10 ควรปรับปรงุ
คะแนน 0 – 9

๖๘

ระดบั คะแนน 4 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน น้ำหนกั / คะแนน
กาปรรปะรเดะเ็นมนิ 32 1 ความสำคัญ รวม

1. การใช้ภาษา ออกเสียง ออกเสียง ออกเสียง ออกเสียงคำ/ 2 8
2. เนอ้ื หา ประโยคผดิ
คำศัพท์และ คำศพั ท์และ คำศัพท์และ หลักการ 3 12
ออกเสียงทำให้
ประโยคได้ ประโยคไดถ้ ูกต้อง ประโยคได้ ส่ือสารไมไ่ ด้ 5 20

ถกู ตอ้ งตามหลกั ตามหลกั การออก ถกู ต้อง

การออกเสียง เสยี ง เป็นสว่ นใหญ่

ออกเสยี งเน้น มีเสยี งเนน้ หนกั ขาดการออก

หนักในคำ/ ในคำ/ประโยค เสียงเนน้ หนัก

ประโยคอย่าง เปน็ ส่วนใหญ่

สมบูรณ์

มีรายละเอยี ด รายละเอียด มีรายละเอียด มรี ายละเอยี ด
เนื้อหาตรง ของเน้อื หามาก ของเนอ้ื หานอ้ ย ของเนื้อหา
กับลักษณะ แตย่ ังไมค่ รอบคลมุ น้อยมาก
ที่กำหนด ทงั้ หมด
มากที่สุด

รวม

๖๙

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล

พฤติกรรม ความสนใจ การแสดง การตอบ การยอมรับ ทำงาน หมายเหตุ
ที่ ความคดิ เห็น คำถาม ฟงั คนอ่ืน ตามท่ไี ดร้ ับ
มอบหมาย

ชอ่ื -สกลุ 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1

เกณฑ์การวดั ผล ให้คะแนนระดบั คุณภาพของแตล่ ะพฤติกรรมดงั น้ี
ดีมาก = 4 สนใจฟัง ไมห่ ลับ ไม่พดู คุยในชัน้ มีคำถามที่ดี ตอบคำถามถูกต้อง ทำงานส่งครบตรงเวลา
ดี = 3 การแสดงออกอยใู่ นเกณฑป์ ระมาณ 70%
ปานกลาง = 2 การแสดงออกอยใู่ นเกณฑ์ประมาณ 50%
ปรับปรุง = 1 เข้าชน้ั เรยี น แตก่ ารแสดงออกน้อยมาก

๗๐

แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์

ผูป้ ระเมนิ ❑ นักเรยี น ❑ เพอ่ื น ❑ ครู

คำช้ีแจง ให้ผปู้ ระเมนิ สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นและทำเครอื่ งหมาย ✓ ลงในช่องท่ีตรงกบั ระดับคณุ ภาพ

โดยประเมินตามเกณฑป์ ระเมินดงั น้ี

4 หมายถึง ดมี าก 3 หมายถึง ดี

2 หมายถงึ พอใช้ 1 หมายถึง ปรับปรุง

รายการประเมนิ

ท่ี ชือ่ สกลุ มีวนิ ยั ใฝ่เรยี นรู้ อยู่อยา่ งพอเพียง รวมคะแนน

1 4 3 2 1 4 3 2 1 4321
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15

ลงชอื่ ....................................................ผูป้ ระเมนิ
(……………………………………..)

เกณฑ์การประเมนิ

คะแนน ระดบั
16 – 20 ดมี าก
11 – 15
6 – 10 ดี
1–5 พอใช้
ปรับปรุง

๗๑

เกณฑก์ ารประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์

รายการ ระดับคุณภาพ

ประเมิน 4 3 2 1

มคี วามรับผดิ ชอบต่อหน้าท่ี มีความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี มคี วามรับผดิ ชอบต่อหน้าท่ี มคี วามรบั ผิดชอบต่อหน้าท่ี

มีวนิ ัย ทำงานเปน็ ระเบยี บ สง่ งานตรงเวลา ส่งงานช้า น้อย และส่งงานไม่ตรง
เวลา
สะอาด และสง่ งานตรงตอ่

เวลา

เขา้ เรยี นตรงเวลา ตงั้ ใจ เขา้ เรยี นตรงเวลา ตง้ั ใจ เขา้ เรียนตรงเวลา ตั้งใจ ไม่ตงั้ ใจเรียน และไมส่ นใจ

เรียน และมสี ว่ นรว่ มในการ เรยี น และมสี ว่ นร่วมในการ เรียน และมสี ว่ นรว่ มในการ ศกึ ษาคน้ คว้าหาความร้เู ปน็

ใฝเ่ รยี นรู้ เรยี นรู้ และเขา้ รว่ ม เรยี นรู้ และเขา้ รว่ ม เรียนรู้ และเขา้ รว่ ม ครง้ั คราว

กจิ กรรมการเรยี นรตู้ า่ ง ๆ กจิ กรรมการเรียนรตู้ า่ ง ๆ กิจกรรมการเรยี นรตู้ า่ ง ๆ

ทง้ั ภายในและภายนอก บ่อยครั้ง เป็นบางคร้งั

ห้องเรียนเป็นประจำ

ใช้ ความรู้ ข้อมลู ขา่ วสาร ใช้ ความรู้ ข้อมูล ใช้ ความรู้ ข้อมูล ไม่วางแผนการเรยี นและ

ในการวาง แผนการเรยี น ขา่ วสารในการวางแผนการ ข่าวสาร ในการวาง การใช้

การทำงานและใช้ในชวี ิต เรียนการทำงาน และใช้ใน แผนการเรียน ชีวติ ประจำวนั

อย่อู ยา่ ง ประจำวันยอมรับ การ ชีวติ ประจำ วัน ยอมรบั การทำงานและใช้

พอเพียง เปล่ียนแปลงของครอบครัว การเปลย่ี นแปลงของ ในชวี ิตประจำวนั

ชมุ ชน สงั คม สภาพ ครอบครัว ชมุ ชน รบั รูก้ ารเปลยี่ น แปลง ของ

แวดลอ้ ม และปรบั ตัวอยู่ สงั คมและ ครอบครวั ชุมชน

ร่วม กบั ผูอ้ น่ื ได้อย่างมี สภาพแวดล้อม และภาพแวดลอ้ ม

๗๒

แบบประเมินสมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน

ผู้ประเมิน ❑ นักเรียน ❑ เพอ่ื น ❑ ครู
คำช้ีแจง : ให้ผปู้ ระเมินสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน แล้วทำเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในช่องที่ตรงกบั ระดบั คณุ ภาพ

ระดับคณุ ภาพ

สมรรถนะด้าน รายการประเมนิ ดมี าก ดี พอใช้ ปรับปรงุ สรุปผล

(3) (2) (1) (0) การประเมิน

1.1 มคี วามสามารถในการรบั -ส่งสาร

1.2 มคี วามสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด

ความเขา้ ใจของตนเอง โดยใชภ้ าษาอยา่ งเหมาะสม  ดีมาก

1. ความสามารถ 1.3 ใชว้ ิธกี ารส่ือสารทเี่ หมาะสม มปี ระสิทธภิ าพ  ดี

ในการสือ่ สาร 1.4 เจรจาตอ่ รอง เพ่ือขจดั และลดปัญหาความขัดแยง้  พอใช้

ต่าง ๆ ได้  ปรับปรุง

1.5 เลือกรบั และไมร่ ับขอ้ มูลขา่ วสารด้วยเหตุผลและ

ถกู ต้อง

2.1 เรียนรูด้ ว้ ยตนเองไดเ้ หมาะสมตามวัย

2.2 สามารถทำงานกล่มุ รว่ มกบั ผอู้ ื่นได้  ดมี าก

2. ความสามารถ 2.3 นำความรทู้ ไี่ ด้ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวัน  ดี

ในการใช้ทักษะชีวติ 2.4 จดั การปญั หาและความขดั แย้งไดเ้ หมาะสม  พอใช้

2.5 หลกี เล่ียงพฤตกิ รรมไม่พงึ ประสงค์ท่สี ่งผลกระทบ  ปรบั ปรงุ

ตอ่ ตนเอง

3.1 สามารถแก้ปัญหาและอปุ สรรคต่าง ๆ ที่เผชญิ ได้

3.2 ใช้เหตผุ ลในการแกป้ ญั หา  ดมี าก

3.ความสามารถใน 3.3 เขา้ ใจความสมั พนั ธแ์ ละการเปลีย่ นแปลงในสงั คม  ดี

การแกป้ ญั หา 3.4 แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามรมู้ าใชใ้ นการป้องกนั  พอใช้

และแก้ไขปญั หา  ปรบั ปรุง

3.5 สามารถตดั สนิ ใจไดเ้ หมาะสมตามวยั

สรปุ ผลการประเมินสมรรถนะทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดบั คุณภาพ
❑ ดีมาก ❑ ดี ❑ พอใช้ ❑ ปรบั ปรุง

ข้อเสนอแนะ
.......................................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ....................................................ผ้ปู ระเมนิ
(……………………………………………………….)
วนั เดอื น ปี ทีป่ ระเมิน..........................................

๗๓

เกณฑ์การใหค้ ะแนนระดับคุณภาพ ใหร้ ะดับ 3 คะแนน
ดมี าก หมายถึง พฤตกิ รรมท่ีปฏิบัตนิ ้นั ชดั เจนและสม่ำเสมอ ให้ระดับ 2 คะแนน
ดี หมายถงึ พฤติกรรมทีป่ ฏบิ ตั นิ นั้ ชดั เจนและบอ่ ยครัง้ ให้ระดับ 1 คะแนน
พอใช้ หมายถึง พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบตั ิบางคร้ัง ให้ระดับ 0 คะแนน
ตอ้ งปรับปรงุ หมายถงึ ไม่เคยปฏิบตั ิพฤตกิ รรมน้นั เลย

เกณฑ์การสรปุ ผล ใช้หลกั การหาค่ากลางแบบฐานนิยม (MODE)

๗๔

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน

แผนการเรยี นรูท้ ่ี......เรอ่ื ง......................... ม. ......./....... ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 256๔

เลข ชื่อ-นามสกลุ ความสามารถ ความสามารถใน ความสามารถใน สรุปผล
ท่ี ในการสอื่ สาร การใชท้ กั ษะชวี ิต การแกป้ ัญหา การประเมนิ

3210 3210 3210

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20

ลงช่ือ ............................................ (ผ้ปู ระเมนิ )

(………………………………………….)

๗๕

สอื่ ประกอบการสอน
https://wordwall.net/th/resource/3130409/i-wish-if-only

๗๖

2. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรยี น

๗๗

แบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี น

แบบทดสอบชุดไวยากรณ์ (Grammatical) ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ วชิ าภาษาอังกฤษ รหัส อ23102 รายวิชาพน้ื ฐาน

คะแนนเต็ม 40 คะแนน เวลาสอบ 50 นาที ครูผู้สอน นายอติวชิ ญ์ ชาวสวน

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

คำชี้แจง 1. แบบทดสอบมีทั้งหมด 40 ขอ้ รวม 4 หนา้ แบง่ ออกเป็น 1 ตอน
2. ตอนที่ 1 มี 40 ข้อ รวม 40 คะแนน
3. ห้ามนำแบบทดสอบและกระดาษคำตอบออกจากห้องสอบโดยเด็ดขาด

ตอนท่ี 1 ให้นักเรียนเลือกคำตอบท่ีถกู ที่สดุ เพียงคำตอบเดยี ว โดยทำเครือ่ งหมาย (x) ลงในชอ่ งวา่ ง ก, ข, ค หรอื ง

Part 1: must/have to 5. If you are under 13 you _____ to get your

1. Yesterday I ________ finish my geography project. parents' permission.

a. must a. have

b. mustn't b. must

c. had to c. mustn’t

d. have to d. have not to

2. She will ________ wait in line like everyone else. 6. Your daughter may ________ try on a few

a. must different sizes.

b. have to a. have to

c. has to b. had to

d. had to c. must

d. must not

3. All employees ________ on time for work. 7. The doctor _____ get here as soon as he can.

a. must be a. must

b. mustn't b. mustn't

c. have to c. have to

d. had to d. had to

4. We ________ forget to take the chicken out of the 8. Do you _____ work next weekend?

freezer. a. have to

a. have to not b. must

b. must c. mustn't

c. mustn't d. had to

d. have to not

๗๘

9. Bicyclists _____ remember to signal when they turn. 15. If I _____ (go) out tonight, I _____ (go) to the
a. mustn't cinema.
b. must
c. has to a. go / will go
d. had to b. will go / goes
c. goes / will not go
10. Angela, you _____ leave your clothes all over the a. went / will go
floor like this.
16. If I can upload the files, I _______ them to
a. mustn't you by email.
b. must
c. have to a. send
d. had to b. will send
Part 2: 1st Conditional Sentence c. will be sending
11. If you_____ greasy food, you will become fat. d. will have sent
a. eat
b. will eat 17. You will get fined if you _______ the speed
c. eaten limit on the motorway.
d. eats
12. If your sister goes to Paris, she_____ a good time. a. exceed
a. has b. will have exceeded
b. will have c. are going to exceed
c. had d. will be exceeding
d. have
18. If I don't set my alarm to wake up at 7am, I
13. If he _____ that, he will be sorry. _______ to work on time.
a. will do
b. do a. won't have been
c. did b. won't get
d. does c. won't have got
a. won't be
14. If I leave now, I _____ in New York by 8:00 PM.
a. arrives 19. If you don’t hurry up and pack your
b. arrived suitcase, _______ our flight.
c. will arrive
d. will be a. we'll have missed
b. we'd have missed
c. we'll have been missing
d. we'll miss

20. I’ll take you with me to Cape Town – if
_______ enough money this month.

a. I'll make
b. I make
c. I'll have made
a. I made

Part 3: Wish ๗๙
21. I _____ to see the manager.
27. The neighbors are playing loud music now.
a. wish a. I wish they would stop.
b. wish not b. I wish they didn't play loud music.
c. does c. I wish they weren't playing loud music
d. don’t d. I wish they go to the studio.
22. He _____ to date you.
a. wishes 28. The neighbors play loud music.
b. wish a. I wish they would stop.
c. wished b. I wish they didn't play loud music.
d. wish not c. I wish they weren't playing loud music.
23. I _____ to bother you, but only you can help me. d. I wish they go to the studio.
a. don’t wish
b. wish 29. I have a boring job.
c. wish not a. I wish I didn't have a boring job.
d. didn’t wish b. I wish I wouldn't have a boring job.
24. We _____ you a happy birthday. c. I wish they weren't playing loud music.
a. wishes d. I wish they go to the studio.
b. wish
c. wished 30. I wish we ______ to stay at home this
d. wish not summer, but our savings are all gone.

25. Our flat is very small. I wish a. didn't have
a. it would be bigger. b. wouldn't have
b. it was bigger. c. hadn't had
c. Both a and b are possible d. have
d. It doesn’t big. Part 4: Modal verbs/Passive voice
31. We are not completely sure but Cindy
26. I have to work tomorrow. I wish _______ come back tomorrow.
a. I didn't have to work tomorrow. a. needn’t
b. I wouldn't have to work tomorrow. b. may
c. I want to work tomorrow. c. ought
d. I don't have to work tomorrow. d. must
32. When I was a child, in the summer
afternoons we ____________ play in the street
with boys and girls from the neighborhood.
a. won’t
b. must
c. would
d. could

๘๐

33. ______ I have some more wine, please? 37. I want to go abroad for my holiday. I've
a. Could already reserved my flight, but I haven't found a
b. Needn’t good hotel ____
c. Would
d. Have a. already
b. just
34. I ______ believe my eyes. Is George the one who is c. yet
standing over there? d. has
38. Their house _________ every year.
a. won’t a. is painting
b. mustn’t b. was painted
c. can’t c. is painted
d. haven’t d. been painted
35. He __________ have studied more for the final exam
and spend less time playing with the computer. 39. Thousands of cars ___________ every year.
a. would a. are produced
b. should b. producing
c. have to c. produced
d. must d. were producing
36. A: Have you ________ finished your homework? B:
No, I haven't finished it yet. 40. I am sorry, I can't come with you. I ____ that
a. already party.
b. just
c. yet a. don't invite
d. has b. am invited
c. invited
d. wasn't invited

 Good Luck 

๘๑

3. แบบสอบถามความคดิ เห็น

๘๒

แบบสอบถามความพงึ พอใจทมี่ ่ขี องนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจดั การเรยี นรู้แบบ PPP
(3Ps) ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรคั ติวสิ ต์ เพ่ือพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนไวยากรณภ์ าษาอังกฤษ

คำชีแ้ จง ใหท้ ำเครือ่ งหมาย ✓ ลงในช่องทีต่ รงกับระดับความคดิ เหน็ ดงั นี้
5 = มากที่สุด 4 = มาก 3 = ปานกลาง 2 = นอ้ ย 1 = น้อยทีส่ ดุ

ที่ รายการประเมนิ ระดับความคดิ เหน็
54321

ด้านกจิ กรรมการเรียนการสอน

1. กจิ กรรมการเรียนการสอนมคี วามนา่ สนใจ

2. ลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนมคี วามเหมาะสม

3. กจิ กรรมการเรียนการสอนชว่ ยใหน้ ักเรยี นสร้างความรูค้ วามเขา้ ใจดว้ ยตนเองได้

4. กจิ กรรมการเรยี นการสอนสง่ เสรมิ ให้นกั เรยี นไดฝ้ ึกการทำงานรว่ มกนั กบั เพ่ือน

สมาชิกในกลมุ่ และแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดรายการประเมนิ ทางไวยากรณ์ได้

5. กจิ กรรมการเรียนการสอนทำให้นกั ศกึ ษาเขา้ ใจเนือ้ หาสามารถสรุปโครงสร้าง

ทางไวยากรณ์และนำไปใช้ได้

6. กจิ กรรมการเรยี นการสอนมีความสอดคล้องกบั ขั้นตอนการสอน

ด้านเนอ้ื หา

7. เนื้อหามีความเหมาะสมกับระดบั ช้นั ของนกั เรยี น

8. เนอ้ื หามีความน่าสนใจและเข้าใจได้ง่าย

9. เน้อื หาที่ใช้สอนมปี ระโยชนต์ อ่ นักเรยี น

ด้านประโยชน์

10. การสอนไวยากรณต์ ามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรคั ตวิ สิ ตช์ ว่ ยให้เรียนไวยากรณไ์ ด้

ง่ายขน้ึ และนกั เรยี นเกดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งเป็นขั้นตอน

11. การสอนไวยากรณต์ ามแนวคดิ ทฤษฎีคอนสตรคั ตวิ สิ ต์ทำให้นักเรยี นมคี วาม

มัน่ ใจในการใช้ภาษาองั กฤษ

12. การสอนไวยากรณ์ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตท์ ำใหน้ ักเรียนมีความ

สนใจตอ่ การเรยี นไวยากรณภ์ าษาองั กฤษมากข้นึ

13. นักเรียนสามารถประยุกต์ใชส้ ่งิ ทเ่ี รยี นไดใ้ นชีวิตจรงิ

ขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

๘๓

ภาคผนวก ข
แบบประเมนิ เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย

๘๔

แบบประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรยี นรกู้ ารสอนไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ โดยใช้การจดั การ
เรยี นรูแ้ บบ PPP (3Ps) ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรัคติวิสต์ สำหรบั นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3
โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา

รายการประเมนิ ระดับคุณภาพ หมายเหตุ
54321

1. แผนการจดั การเรียนรู้มกี จิ กรรมสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การ

เรยี นรู้

2. แผนการจัดการเรยี นรมู้ ขี ั้นตอนของกิจกรรมที่สอดคล้องกับ

แนวคิดทฤษฎี คอนสตรคั ติวิสต์

3. แผนการจัดการเรียนรมู้ ขี นั้ ตอนขน้ั ตอนของกิจกรรมมีความ

ต่อเนื่อง เขา้ ใจง่าย

4. แผนการจดั การเรยี นรู้มขี นั้ ตอนทผี่ เู้ รยี นสามารถปฏิบตั ติ ามได้

5. แผนการจดั การเรียนรมู้ ีกจิ กรรมทกี่ ระตุน้ ใหผ้ ้เู รียนสรา้ งองค์

ความร้ไู ด้

6. แผนการจัดการเรียนรมู้ ีระยะเวลาในการจดั กิจกรรมเหมาะสม

7. แผนการจดั การเรียนรไู้ ด้กำหนดส่อื การสอนท่มี ีความเหมาะสม

กับการ สอนไวยากรณ์ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรัคตวิ สิ ต์

8. แผนการจัดการเรียนรไู้ ด้กำหนดการวัดและประเมนิ ผลที่มี

ความเหมาะสม

ตอนที่ 2 ข้อเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………….………..
(....................................................................)

ผเู้ ช่ียวชาญ

๘๕

แบบประเมินดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบทดสอบ

คำช้แี จง โปรดพจิ ารณารายการแบบทดสอบแลว้ ทำเครื่องหมาย (✓) ลงในชอ่ งระดบั ความคดิ เห็น และให้
ข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรงุ ต่อไปโดยกำหนดระดับความคดิ เหน็ ดงั น้ี

+1 แนใ่ จว่าขอ้ คำถามมีความสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์
0 ไมแ่ น่ใจวา่ ข้อคำถามมคี วามสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์
-1 แน่ใจวา่ ขอ้ คำถามไมส่ อดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์

ข้อท่ี วตั ถุประสงค์ รายการพิจารณา ระดับความ ขอ้ เสนอแนะ
คดิ เห็น
1 เพอื่ สรา้ งประโยค 1. Yesterday I ________ finish my
ทใี่ ช้ Must/Have to ได้ geography project. +1 ๐ -1
อยา่ งถูกต้องใน
สถานการณต์ ่างๆ a. must
b. mustn't
2 เพ่อื สรา้ งประโยค c. had to
ท่ใี ช้ Must/Have to ได้ d. have to
อยา่ งถูกต้องใน 2. She will ________ wait in line like
สถานการณต์ ่างๆ everyone else.
a. must
3 เพ่ือสร้างประโยค b. have to
ท่ใี ช้ Must/Have to ได้ c. has to
อย่างถูกต้องใน d. had to
สถานการณต์ ่างๆ
3. All employees ________ on time
4 เพอ่ื สร้างประโยค for work.
ที่ใช้ Must/Have to ได้
อยา่ งถูกต้องใน a. must be
สถานการณต์ ่างๆ b. mustn't
c. have to
d. had to

4. We ________ forget to take the
chicken out of the freezer.

a. have to not
b. must
c. mustn't
d. have to not

๘๖

ขอ้ ที่ วตั ถุประสงค์ รายการพิจารณา ระดับความ ขอ้ เสนอแนะ
คิดเหน็
5 เพือ่ สร้างประโยค 5. If you are under 13 you _____ to
ที่ใช้ Must/Have to ได้ get your parents' permission. +1 ๐ -1
อย่างถูกต้องใน
สถานการณต์ ่างๆ a. have
b. must
6 เพื่อสร้างประโยค c. mustn’t
ที่ใช้ Must/Have to ได้ d. have not to
อย่างถูกต้องใน 6. Your daughter may ________ try
สถานการณต์ ่างๆ on a few different sizes.
a. have to
7 เพือ่ สรา้ งประโยค b. had to
ท่ใี ช้ Must/Have to ได้ c. must
อย่างถูกต้องใน d. must not
สถานการณ์ต่างๆ 7. The doctor _____ get here as
soon as he can.
8 เพ่ือสรา้ งประโยค a. must
ที่ใช้ Must/Have to ได้ b. mustn't
อยา่ งถูกต้องใน c. have to
สถานการณ์ต่างๆ d. had to
8. Do you _____ work next
9 เพื่อสร้างประโยค weekend?
ที่ใช้ Must/Have to ได้ a. have to
อย่างถูกต้องใน b. must
สถานการณต์ ่างๆ c. mustn't
d. had to
10 เพอ่ื สร้างประโยค 9. Bicyclists _____ remember to
ทใ่ี ช้ Must/Have to ได้ signal when they turn.
อย่างถูกต้องใน a. mustn't
สถานการณต์ ่างๆ b. must
c. has to
d. had to
10. Angela, you _____ leave your
clothes all over the floor like this.
a. mustn't
b. must

๘๗

ระดับความ

ข้อท่ี วตั ถปุ ระสงค์ รายการพจิ ารณา คิดเห็น ขอ้ เสนอแนะ

11 เพื่อสร้างประโยค +1 ๐ -1
ที่ใช้ 1st Conditional
Sentence ได้ c. have to
อยา่ งถูกต้องใน
สถานการณ์ต่างๆ d. had to

12 เพอื่ สร้างประโยค 11. If you_____ greasy food, you will
ทใี่ ช้ 1st Conditional
Sentence ได้ become fat.
อย่างถูกต้องใน
สถานการณต์ ่างๆ a. eat

13 เพื่อสรา้ งประโยค b. will eat
ที่ใช้ 1st Conditional
Sentence ได้ c. eaten
อยา่ งถูกต้องใน
สถานการณต์ ่างๆ d. eats

14 เพื่อสรา้ งประโยค 12. If your sister goes to Paris,
ที่ใช้ 1st Conditional
Sentence ได้ she_____ a good time.
อยา่ งถูกต้องใน
สถานการณ์ต่างๆ a. has

15 เพื่อสรา้ งประโยค b. will have
ทใี่ ช้ 1st Conditional
Sentence ได้ c. had
อยา่ งถูกต้องใน
สถานการณ์ต่างๆ d. have

16 เพื่อสร้างประโยค 13. If he _____ that, he will be

sorry.

a. will do

b. do

c. did

d. does

14. If I leave now, I _____ in New

York by 8:00 PM.

a. arrives

b. arrived

c. will arrive

d. will be

15. If I _____ (go) out tonight, I

_____ (go) to the cinema.

a. go / will go

b. will go / goes

c. goes / will not go

d. went / will go

16. If I can upload the files, I

_______ them to you by email.

๘๘

ระดับความ

ข้อท่ี วัตถุประสงค์ รายการพิจารณา คดิ เหน็ ขอ้ เสนอแนะ

+1 ๐ -1

ที่ใช้ 1st Conditional a. send

Sentence ได้ b. will send
อยา่ งถูกต้องใน c. will be sending
สถานการณ์ต่างๆ d. will have sent

17 เพอ่ื สรา้ งประโยค 17. You will get fined if you _______

ที่ใช้ 1st Conditional the speed limit on the motorway.
Sentence ได้ a. exceed
อยา่ งถูกต้องใน b. will have exceeded
สถานการณ์ต่างๆ c. are going to exceed
d. will be exceeding

18 เพือ่ สรา้ งประโยค 18. If I don't set my alarm to wake

ท่ีใช้ 1st Conditional up at 7 am, I _______ to work on
Sentence ได้ time.
อย่างถูกต้องใน
สถานการณต์ ่างๆ a. won't have been
b. won't get
c. won't have got

d. won't be

19 เพือ่ สรา้ งประโยค 19. If you don’t hurry up and pack

ทใ่ี ช้ 1st Conditional your suitcase, _______ our flight.
Sentence ได้ a. we'll have missed
อยา่ งถูกต้องใน b. we'd have missed
สถานการณ์ต่างๆ c. we'll have been missing
d. we'll miss

20 เพ่อื สร้างประโยค 20. I’ll take you with me to Cape

ที่ใช้ 1st Conditional Town – if _______ enough money
Sentence ได้ this month.
อย่างถูกต้องใน
สถานการณ์ต่างๆ a. I'll make
b. I make
c. I'll have made

d. I made

21 เพอ่ื สรา้ งประโยค 21. I _____ to see the manager.

ทใ่ี ช้ Wish ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง a. wish
ในสถานการณต์ า่ งๆ b. wish not
c. does

๘๙

ระดับความ

ข้อที่ วตั ถปุ ระสงค์ รายการพิจารณา คดิ เห็น ขอ้ เสนอแนะ

+1 ๐ -1

d. don’t

22 เพื่อสร้างประโยค 22. He _____ to date you.

ที่ใช้ Wish ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง a. wishes
b. wish
ในสถานการณ์ตา่ งๆ c. wished

d. wish not

23 เพอ่ื สร้างประโยค 23. I _____ to bother you, but only

ทใ่ี ช้ Wish ไดอ้ ย่างถกู ต้อง you can help me.
a. don’t wish
ในสถานการณต์ า่ งๆ b. wish

c. wish not

d. didn’t wish

24 เพ่ือสรา้ งประโยค 24. We _____ you a happy birthday.

ทใี่ ช้ Wish ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง a. wishes
b. wish
ในสถานการณต์ า่ งๆ c. wished

d. wish not

25 เพอื่ สรา้ งประโยค 25. Our flat is very small. I wish

ที่ใช้ Wish ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง a. it would be bigger.
b. it was bigger.
ในสถานการณ์ตา่ งๆ c. Both a and b are possible

d. It doesn’t big.

26 เพอ่ื สรา้ งประโยค 26. I have to work tomorrow. I wish

ท่ใี ช้ Wish ไดอ้ ย่างถกู ต้อง a. I didn't have to work
ในสถานการณต์ า่ งๆ tomorrow.

b. I wouldn't have to work

tomorrow.
c. I want to work tomorrow.
d. I don't have to work

tomorrow.

27 เพ่อื สรา้ งประโยค 27. The neighbors are playing loud

ทใ่ี ช้ Wish ไดอ้ ย่างถกู ต้อง music now.
a. I wish they would stop.
ในสถานการณ์ตา่ งๆ

๙๐

ระดับความ

ขอ้ ท่ี วัตถุประสงค์ รายการพจิ ารณา คิดเหน็ ขอ้ เสนอแนะ

+1 ๐ -1

b. I wish they didn't play loud
music.

c. I wish they weren't playing
loud music.

d. I wish they go to the studio.

28 เพอ่ื สรา้ งประโยค 28. The neighbors play loud music.

ท่ีใช้ Wish ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง a. I wish they would stop.
b. I wish they didn't play loud
ในสถานการณ์ต่างๆ music.

c. I wish they weren't playing

loud music.
d. I wish they go to the studio.

29 เพอื่ สรา้ งประโยค 29. I have a boring job.

ทีใ่ ช้ Wish ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง a. I wish I didn't have a boring
job.
ในสถานการณ์ต่างๆ b. I wish I wouldn't have a

boring job.

c. I wish they weren't playing

loud music.

d. I wish they go to the studio.

30 เพื่อสรา้ งประโยค 30. I wish we ______ to stay at

ที่ใช้ Wish ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง home this summer, but our savings
are all gone.
ในสถานการณต์ า่ งๆ a. didn't have

b. wouldn't have

c. hadn't had

d. have

31 เพือ่ สรา้ งประโยค 31. We are not completely sure but
ทีใ่ ช้ Modal verbs ได้ Cindy _______ come back
อยา่ งถูกต้องใน tomorrow.
สถานการณต์ ่างๆ
a. needn’t
b. may
c. ought

d. must

๙๑

ระดับความ

ข้อที่ วตั ถปุ ระสงค์ รายการพิจารณา คดิ เหน็ ขอ้ เสนอแนะ

32 เพื่อสร้างประโยค +1 ๐ -1
ทใ่ี ช้ Modal verbs ได้
อยา่ งถูกต้องใน 32. When I was a child, in the
สถานการณต์ ่างๆ
summer afternoons we
33 เพื่อสรา้ งประโยค
ทใี่ ช้ Modal verbs ได้ ____________ play in the street with
อยา่ งถูกต้องใน
สถานการณ์ต่างๆ boys and girls from the

34 เพอ่ื สรา้ งประโยค neighborhood.
ทใี่ ช้ Modal verbs ได้
อยา่ งถูกต้องใน a. won’t
สถานการณ์ต่างๆ
b. must
35 เพอ่ื สร้างประโยค
ทใี่ ช้ Modal verbs ได้ c. would
อย่างถูกต้องใน
สถานการณ์ต่างๆ d. could

36 เพ่ือสรา้ งประโยค 33. ______ I have some more wine,
ที่ใช้ Passive voice ได้
อยา่ งถูกต้องใน please?
สถานการณ์ต่างๆ
a. Could

b. Needn’t

c. Would

d. Have

34. I ______ believe my eyes. Is

George the one who is standing over

there?

a. won’t

b. mustn’t

c. can’t

d. haven’t

35. He __________ have studied

more for the final exam and spend

less time playing with the computer.

a. would

b. should

c. have to

d. must

36. A: Have you ________ finished

your homework? B: No, I haven't

finished it yet.

a. already

b. just


Click to View FlipBook Version