The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichuda1345, 2022-04-05 01:14:49

การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความส าคัญโดยใช้แบบฝึกทักษะ ร่วมกับเทคนิค การสอนแบบ SQ4R ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ครูยุวดี

รายงานวิจยั ในชนั้ เรียน

การพฒั นาทกั ษะการอ่านจับใจความสาคัญโดยใชแ้ บบฝึกทักษะ รว่ มกับเทคนคิ
การสอนแบบ SQ4R ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

ยุวดี โอมณี
ตาแหน่งครู

ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวดั สตลู
สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษาสงขลา สตูล



ชอ่ื เรื่อง การพฒั นาทกั ษะการอ่านจับใจความสาคญั โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ รว่ มกบั เทคนคิ
การสอนแบบ SQ4R ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ผู้วิจัย นางยวุ ดี โอมณี
กลมุ่ สาระฯ โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จังหวดั สตูล
ปที ี่ศกึ ษา ปีการศกึ ษา 2564

บทคัดย่อ

การศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิการอ่านจับใจความสาคัญก่อนและหลัง
การสอนแบบ SQ4R ร่วมกบั แบบฝกึ ทกั ษะ สาหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2/3 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอ
ละงู จังหวัดสตูล จานวน 40 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษาได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ
แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่องการอ่านจับใจความสาคัญ วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหา
คา่ เฉลี่ย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และการทดสอบแบบกลุ่มตวั อยา่ งไม่เปน็ อสิ ระต่อกนั

ผลการวจิ ยั พบวา่ ก่อนเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญ ร่วมกับเทคนิคการ
สอนแบบ SQ4R นักเรียนทาคะแนนสูงสุดได้ 16 คะแนน คะแนนต่าสุด 5 คะแนน คะแนนเฉลี่ย (μ) 10.42
คะแนน และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (σ) 7.14 คะแนน และหลังเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเร่ืองการอ่านจับ
ใจความสาคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอนแบบ SQ4R นักเรียนทาคะแนนสูงสุดได้ 18 คะแนน คะแนนต่าสุด 6
คะแนน คะแนนเฉล่ีย (μ) 14.85 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 5.13 คะแนน แสดงให้เห็นว่า หลัง
เรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอนแบบ SQ4R นักเรียนมี
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสูงกวา่ กอ่ นเรยี น



สารบญั

หน้า

บทคดั ย่อ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข
สารบญั ตาราง…………………………………………………………………………………………………….………………………… ค
บทท่ี 1 บทนา……………………………………………………………….…………………………………………….………………… 1
1
ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา…………….…………………………………………………………………….. 3
วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั …………………………………..…………………………………………………………………… 3
สมมติฐานของงานวจิ ยั ………………………………………..……………………………………………….………………… 3
ขอบเขตของการวิจยั ……………………………………………..………………………………………………………………. 4
กรอบแนวคดิ การวิจยั .......................................................................................................................... 4
ประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ ากการวิจยั ................................................................................................................. 4
นยิ ามศัพท์เฉพาะ.................................................................................................................... ......... 5
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง……………….………………………………………………………………………… 5
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551.............................................................. 8
เทคนิคการสอนแบบ SQ4R............................................................................................................... 10
เอกสารเกยี่ วกับแบบฝกึ ทกั ษะ………………………………………………………………………………………………… 13
งานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้อง………………………………………………………………………………………………………………… 14
บทที่ 3 วิธีดาเนนิ การวิจัย………………………….………………………………………………………..………………………… 14
รูปแบบการวจิ ัย…………………………………………………………………………………………………………………….. 14
ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง…………………………………………………………………………………………………….. 14
เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล…………………………………………………………………………………….. 14
ขัน้ ตอนการสรา้ งและพัฒนาเครอ่ื งมือ………………………………………………………………………………………. 15
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ……………………………………………………………………………………………………………. 16
การวเิ คราะห์ข้อมลู ………………………………………………………………………………………………………………… 17
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล………………………………………………………….……………………………………………. 17
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล…………………………………………………………………………………………………………….. 19
บทท่ี 5 สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ……………………..…………………………………………….……………….. 21
สรปุ ผลการวจิ ัย……………………………………………………………………………………………………………………… 21
อภิปรายผล…………………………………………………………………………………………………………………………… 22
ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………. 23
บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………………………………….. 25
ภาคผนวก……………………………………………………………………………….…………………………………………….……… 26
ภาคผนวก ก รายช่อื ผ้เู ชีย่ วชาญ...................................……………………………..…………………………..... 28
ภาคผนวก ข ตรวจสอบเครอ่ื งมือ…………………………………………………………………............................. 32
ภาคผนวก ค เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ……………………………………………............................................



สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หน้า

1 ตวั ชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลางชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 .................................................................7

2 แสดงคะแนน คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนนกอ่ นและหลังเรียน....................... 17
3 แสดงคะแนน คา่ เฉล่ยี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของคะแนนก่อนและหลงั เรียน...................... 19

1

บทท่ี 1

บทนา

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา

หลกั สตู รการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ได้กลา่ วว่า การจัดการเรียนรูเปนกระบวนการสาคัญ
ในการนาหลักสตู รสูการปฏบิ ัติ หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน จึงเปนหลักสตู รทีม่ ีมาตรฐานการเรียนรู
สมรรถนะสาคัญและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคของผูเรียนเปนเปาหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่ง
สมรรถนะสาคัญทีม่ ุง่ ให้เกดิ กับผ้เู รยี นประการหนงึ่ ได้กล่าวถงึ ความสามารถในการสื่อสาร เปนความสามารถใน
การรบั และสงสาร มีวฒั นธรรมในการใชภาษาถายทอดความคิด ความรู ความเขาใจ ความรูสกึ และทัศนะของ
ตนเอง เพ่ือแลกเปล่ยี นขอมูลขาวสารและประสบการณอนั จะเปนประโยชนตอการพฒั นาตนเองและสังคม
(กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551)

สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย มุง่ เน้นพฒั นาทกั ษะทางภาษาของผู้เรียนในด้านการอ่าน การเขียน การฟัง ดู
พดู หลักการใชภ้ าษา วรรณคดแี ละวรรณกรรม โดยในสาระการอา่ น มุ่งเนน้ ให้นักเรียนอา่ นออกเสียงบทร้อยแก้ว
และบทร้อยกรองได้ถูกต้อง อ่านอย่างเข้าใจ สามารถจับใจความสาคัญของเรื่องที่อ่านได้ ดังนั้น การอ่านจับ
ใจความสาคัญ จึงเป็นทักษะที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนา ซึ่งความสาคัญของการอ่านจับใจความสาคัญเป็น
การทาความเข้าใจเรื่องที่อ่าน และเป็นพ้ืนฐานสาคัญมากสาหรับการอ่านระดับสูงต่อไป เช่น ถ้านักเรียนจับ
ใจความสาคัญเรื่องที่อ่านไม่ได้ ก็คงไม่สามารถอ่านเพื่อวิจารณ์ว่าเร่ืองน้ันดีหรือไม่ดีได้ (แววมยุรา เหมือนนิล.
2553 : 17)

การอ่านเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนทางความคิด ซ่ึงไม่ใช่เพียงการท่องจาตัวอักษรเท่านั้น ผู้ที่มีความ
เข้าใจในการอา่ นน้ัน ต้องเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านได้ด้วย การอ่านจึงถือว่าเป็นพื้นฐานการศึกษาท่ีสาคัญท่ี
จะใช้ค้นหาความรู้อื่น ๆ อันเป็นรากฐานสาคัญของการศึกษาทุกระดับช้ัน และยังเป็นเคร่ืองมือในการศึกษาเล่า
เรียนได้ตลอดชีวิต ผู้ที่จะประสบความสาเร็จในด้านการอ่านตั้งแต่เริ่มย่อมเป็นผู้ท่ีมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ทุก
แขนง การอ่านจึงเป็นทักษะสาคัญในการเรียนภาษา ซ่ึงเป็นกระบวนการที่ต้องฝึกฝนอย่างมีระบบ เพราะการ
อา่ นเปน็ ทกั ษะทส่ี ามารถฝึกได้ การฝกึ มากทาใหม้ คี วามสามารถในการอ่านเพม่ิ ข้ึนตามระดับ ซ่ึงจะเป็นการอ่านที่
มีประสิทธิภาพและมีความสามารถในการอ่านได้ถูกต้อง คล่อง รวดเร็ว เข้าใจเรื่องที่อ่านจับใจความสาคัญตอบ
คาถามได้ อ่านและตคี วามได้ สามารถวิเคราะหว์ จิ ารณ์ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพและอ่านแลว้ รจู้ กั จดบันทึกสามารถ
นาไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวนั ได้

การอ่านจับใจความสาคัญถือเป็นหัวใจสาคัญของการอ่านไม่เพียงแต่เฉพาะการอ่านออก หรืออ่านได้
เทา่ นน้ั แตต่ อ้ งสามารถบอกได้ คดิ ได้ วา่ เร่อื งทอ่ี ่านนัน้ เป็นอย่างไร ผู้เขียนต้องการบอกอะไรแก่ผู้อ่าน การอ่านจับ
ใจความสาคัญท่ีได้ผลดีจะช่วยให้ผู้อ่านประสบความสาเร็จในการเรียน หากฝึกฝนการอ่านจับใจความสาคัญอยู่
เสมอจะทาให้ผู้อ่านอ่านหนังสือเป็น การอ่านจับใจความสาคัญเป็นการอ่านเพ่ือทาความเข้าใจเน้ือเรื่อง เข้าใจ
จุดมงุ่ หมาย สาระสาคัญของเร่ืองที่อ่านได้ถูกต้อง ความคิดเห็นท่ีผู้เขียนต้องการแสดงต่อผู้อ่าน ตลอดจนวินิจฉัย
คุณค่าท่ีตนอ่านได้อ่านมีเหตุผล ซ่ึงต้องอาศัยกระบวนการคิดและประสบการณ์เดิมที่ผู้อ่านมีอยู่ เพื่อใช้ในการ
คาดเดาความหมายจากเร่อื งทอ่ี า่ น (กรมวชิ าการ. 2546.)

ผลการทดสอบโครงการ PISA (Progrom for lnternational Student Assessment) เป็นการทดสอบ
ทางวิชาการของนักเรียนในระดับนานาชาติ โดยกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพ่ือความร่วมมือและพัฒนาทาง
เศรษฐกิจ (OECD) พบว่า เด็กไทยได้ค่าเฉล่ียด้านการอ่านต่ากว่ามาตรฐานเด็กในกลุ่มประเทศ OECD เม่ือ

2

เปรียบเทียบกับ 70 ประเทศท่ัวโลก ระดับความสามารถด้านการอ่านของเด็กไทยเฉลี่ยอยู่ในอันดับท่ี 54
สอดคล้องกบั ขอ้ มลู การสารวจการอ่านหนังสือประชากรไทยของสานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าคนไทยอายุต้ังแต่
6 ปีขึ้นไป ใช้เวลาอ่านหนังสือนอกเวลาเรียนและเวลาทางาน วันละเฉลี่ย 39 นาที โดยกลุ่มที่ใช้เวลาอ่านมาก
ท่ีสุดคือ กลุ่มเยาวชน เฉล่ีย 46 นาที ซึ่งเป็นสัดส่วนเวลาอ่านหนังสือท่ีต่ามากเม่ือเปรียบเทียบกับหลาย ๆ
ประเทศ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับรายงานผลการศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทยในโรงเรียนหาดใหญร่ ฐั ประชาสรรค์ พบว่าปญั หาการอา่ นของผเู้ รียนคอื อา่ นแล้วจับใจความสาคัญไม่ได้
ไม่สามารถสรุปประเด็นได้ไม่สามารถแยกความรู้ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ไม่สามารถแยกใจความสาคัญได้ จาก
รายงานดงั กล่าว แสดงให้เห็นถึงปัญหาการอ่านภาษาไทย ถือเป็นปัญหาที่พบมากที่สุดในการสอนและควรได้รับ
การแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะการอ่านนับเป็นทักษะพื้นฐานสาคัญ หากผู้เรียนขาดทักษะในด้านน้ีทักษะในด้าน
อน่ื อาจบกพร่องตามไปดว้ ย

ปัญหาการอ่านจับใจความสาคัญ จึงจาเป็นอย่างยิ่งที่เยาวชนไทยต้องได้รับการพัฒนาทักษะด้านการ
อ่าน เพราะทกั ษะเหลา่ นเี้ ปน็ พนื้ ฐานสาคัญ การพัฒนาในด้านการอ่านจับใจความสาคัญ หากไม่เข้าใจในส่วนนี้ก็
จะยากต่อการเรียนในเน้ือหาระดับสูงขึ้น การจับใจความสาคัญได้แม่นยาและถูกต้อง ผู้เรียนไม่เพียงแต่มีความรู้
ในดา้ นน้ีเท่านั้นแต่สามารถต่อยอดได้ไม่ส้ินสุด ไม่เพียงแต่ในวิชาภาษาไทยเท่าน้ันแต่ยังสัมพันธ์ไปถึงรายวิชาอื่น
ๆ การมีทักษะในด้านน้ียังฝึกการวิเคราะห์ สังเคราะห์ แปลความ สรุปความ และตีความหมายของสิ่งที่อ่านได้
อาจกล่าวได้ว่าเช่ือมโยงถึงทักษะข้ันสูงสุดของการอ่าน หากได้รับการพัฒนาท่ีถูกจุด ถูกวิธี และใช้เคร่ืองมือท่ี
เหมาะสม เชือ่ ได้ว่าผ้เู รยี นจะพฒั นาได้อย่างไม่สิน้ สุด และมที กั ษะดา้ นการอา่ นอยา่ งดเี ยี่ยม

เหตุผลและความสาคัญ พบว่านักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ยังขาดทักษะการอ่านจับใจความ
สาคัญ ดังนั้นผู้วิจัยเช่ือว่าผู้เรียนสามารถพัฒนาได้ การพัฒนาทักษะด้านการจับใจความสาคัญ ทาให้รู้ใจความ
หลัก ใจความรอง ส่วนขยาย และสามารถวิเคราะห์เร่ืองราวท่ีอ่านได้ ท้ังนี้จึงต้องใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับ
ใจความสาคญั ซ่ึงเปน็ เครอ่ื งมือหรอื วิธีการอย่างหน่ึง ท่ีจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ทาให้ผู้เรียนมีกระบวนการคิด
ท่ีเป็นระบบ มีความคดิ รวยยอด สรา้ งสรรค์ และจดจาเนอื้ หาในบทเรยี นได้อย่างคงทน ทาให้ทราบความก้าวหน้า
ของตนเองในขณะกอ่ นท่ีจะพัฒนาและหลงั พัฒนา ผ้เู รยี นสามารถทบทวนความรู้ด้วยตนเอง และเม่ือนามาวัดผล
แลว้ สามารถทาให้ผ้สู อนรวู้ ่าผู้เรียนมีความบกพรอ่ งในดา้ นใด ทาการปรับปรงุ แก้ไข และพร้อมพฒั นาไดท้ ันที

แนวทางการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ ผู้วิจัยสนใจการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้
เทคนคิ การสอนแบบ SQ4R เพราะเปน็ เทคนิคการสอน ที่สอนอ่านอย่างระบบ เสริมสร้างความเข้าใจในการอ่าน
ท้ังการตีความ ขยายความ สรุปความ และการอ่านจับใจความสาคัญโดยการสอนแบบ SQ4R จะเน้นให้อ่านด้วย
ตนเอง อ่านซ้า ๆ จนกวา่ จะเข้าใจ และจดจาเรื่องราวที่อ่านได้ ผู้เรียนจะได้ฝึกกลวิธีการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อช่วยให้
เขา้ ใจเรอ่ื งทอี่ า่ น ทาให้ผูเ้ รยี นมปี ระสทิ ธภิ าพในการอา่ นดีกว่า (บุหลนั คาย่งิ . 2556.) เพราะการสอนแบบ SQ4R
จะผู้เรียนฝึกให้ตั้งคาถามแล้วตอบ การใช้คาถามจึงเป็นแนวทางให้ผู้เรียนอ่านอยู่ในขอบเขตท่ีตั้งไว้แล้วจะทาให้
เข้าใจเรื่องได้ดีข้ึนเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการอ่านจับใจความสาคัญในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2
ควรได้รับการพัฒนา หากผู้เรียนได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องโดยการใช้เคร่ืองมือและวิธีการท่ีเหมาะสม นั่นคือ
แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจโดยจัดทาชุดแบบฝึกทักษะที่
นา่ สนใจและใชเ้ ทคนคิ การสอนแบบ SQ4R เพอื่ ให้งา่ ยต่อการจดจาและการเรียนรู้มากข้ึน โดยเช่ือว่าจะสามารถ
ทาใหผ้ ้เู รยี นฝกึ ทักษะการอ่าน ในแตล่ ะระดบั ไดเ้ ป็นอย่างดี ท้ังนี้ผู้เรียนจะไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เพ่ิมความสนุกสนาน
กับการเรียน และมกี ารจดจาบทเรยี นไดอ้ ย่างยัง่ ยนื พัฒนาทักษะการเรยี นรขู้ องผู้เรียนได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ

3

วตั ถุประสงค์ของการวิจยั

เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องการอ่านจับใจความสาคัญ ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิค
การสอนแบบ SQ4R รว่ มกบั การใช้แบบฝึกทักษะเรื่องการอ่านจับใจความสาคัญ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
2 โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จงั หวดั สตลู

สมมติฐานการวจิ ัย

ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญ ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวัดสตูล หลังเรียนด้วยเทคนิค การสอนแบบ SQ4R
ร่วมกับการใชแ้ บบฝกึ ทักษะเรอ่ื งการอา่ นจับใจความสาคัญสงู กวา่ ก่อนเรยี น

ขอบเขตการวจิ ยั

ขอบเขตดา้ นประชากรและกลุม่ เป้าหมาย
ประชากรและกลุม่ เปา้ หมายทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยครั้งน้ี เปน็ นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2/3 ประจาปี
การศึกษา 2564 โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จังหวดั สตลู จานวน 40 คน
ขอบเขตดา้ นเนื้อหา
เทคนิคการสอนแบบ SQ4R และการสร้างแบบฝึกทักษะเร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญ เน้ือหาที่ใช้
ประกอบการสรา้ งคร้งั นี้ ผ้วู จิ ยั ได้ใช้เน้อื หาในกลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ได้แก่
ร้อยแก้ว บทความ
ขอบเขตด้านตวั แปร

ตัวแปรตน้ คือ เทคนคิ การสอนแบบ SQ4R ร่วมกับการใชแ้ บบฝึกทักษะ
เรอื่ งการอ่านจบั ใจความสาคัญ

ตวั แปรตาม คอื ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจ
ความสาคัญ

ขอบเขตด้านระยะเวลา
เดอื นตุลาคม - มนี าคม พ.ศ.2565

4

กรอบแนวคดิ การวิจยั

งานวจิ ัยเรือ่ งการพฒั นาผลสัมฤทธิก์ ารอา่ นจับใจความสาคัญ โดยการใช้แบบฝกึ ทักษะเรื่องการอ่านจับ
ใจความสาคญั ร่วมกับจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบ SQ4R สาหรบั นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกาแพง
วทิ ยา อาเภอละงู จังหวัดสตลู ผูว้ ิจัยได้ศึกษาคน้ คว้าจากเอกสารหลกั สูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
เทคนิคการสอนแบบ SQ4R แบบฝกึ ทักษะการอ่านและงานวิจยั ท่เี กี่ยวข้อง สามารถสรปุ เปน็ กรอบแนวคิด
ดังตอ่ ไปน้ี

แบบฝกึ ทักษะเร่ืองการอ่าน ผลสมั ฤทธดิ์ า้ นการอ่านจับใจความสาคญั
จบั ใจความสาคัญ รว่ มกบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
การใช้เทคนิคการสอน
แบบ SQ4R ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย

ประโยชนท์ ี่ได้รับจากการวิจยั

1. ผลการวิจัยสามารถนามาเป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย เรอ่ื ง การอ่านจับใจความสาคญั ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ใหส้ ูงขนึ้ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

2. ผลการวิจยั สามารถนามาเป็นแนวทางแก่ครูและผู้ท่ีเก่ียวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไป
ใช้ปรับปรงุ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ใหม้ ีประสิทธิภ์ าพมากย่ิงข้ึน

นยิ ามศพั ท์เฉพาะ

1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้เนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย เรอื่ งการอ่านจับใจความสาคญั ของนกั เรียน โดยวัดจากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
เรอื่ งการอา่ นจบั ใจความสาคญั ก่อนเรยี นและหลงั เรียนที่ผู้วิจัยสรา้ งขนึ้

2. การอ่านจับใจความสาคัญ หมายถึง การค้นหาสาระสาคัญของเรื่องท่ีอ่าน เป็นข้อความท่ีมีสาระ
ครอบคลมุ ข้อความอ่ืน ๆ ในย่อหน้าน้ันหรือเนื้อเร่ืองท้ังหมด ข้อความตอนหนึ่งหรือเร่ืองหนึ่งจะมีใจความสาคัญ
ทส่ี ุดเพยี งหนงึ่ เดียว ซงึ่ ใจความสาคญั กค็ ือสง่ิ ทีเ่ ป็นสาระสาคัญของเรือ่ ง

3. แบบฝกึ ทกั ษะ หมายถงึ ส่อื การเรียนการสอนท่สี ร้างข้ึนเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิด
ความรู้ ความเข้าใจเพ่ิมขึ้น โดยท่ีกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติในแบบฝึกน้ันจะครอบคลุมเน้ือหาที่เรียนไปแล้ว ทาให้
นกั เรยี นมีความร้แู ละทักษะมากขนึ้ และทาใหผ้ ูเ้ รียนมองเห็นความกา้ วหน้าจากผลการเรียนรู้ของตนเองได้

4. SQ4R หมายถึง คอื เทคนิคการสอนเพือ่ พฒั นาการอ่านให้มีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 6 ข้ันตอน
ไดแ้ ก่

4.1 S - Survey คือ การสารวจแบบกว้าง เพ่ือให้เห็นภาพรวมของเรื่องท่ีอ่าน โดยใช้วิธีการอ่านแบบ
คร่าว ๆ ขอบเขตของเนอื้ หาว่าเกี่ยวกบั เรื่องอะไร และมีประเดน็ สาคญั อะไรบา้ ง

4.2 Q - Question คอื การตั้งคาถามเก่ียวกับเน้ือเรอ่ื งทอี่ ่าน
4.3 R - Read คือ การอ่านเพื่อคน้ หาคาตอบ
4.4 R - Record คอื การทบทวน อ่านซา้ อยา่ งรอบคอบ
4.5 R - Recite คอื การสรปุ เร่อื งท่อี า่ นทงั้ หมด
4.6 R - Reflect คอื การสะทอ้ นเร่ืองทีอ่ า่ น วิเคราะห์ วจิ ารณเ์ ร่อื งที่อา่ นแล้วแสดงความคดิ เหน็
5. นักเรียน หมายถึง นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2/3 ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา จานวน 40 คน

5

บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวข้อง

การจัดการเรยี นรูโ้ ดยใช้วธิ ี SQ4R ร่วมกับแบบฝกึ ทกั ษะ ในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ เร่ืองการอ่าน
จับใจความสาคัญของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกาแพงวิทยา จังหวดั สตูล ผูว้ ิจัยไดศ้ กึ ษาเอกสารและ
งานวิจัยทเี่ กี่ยวข้อง เพอ่ื ใชเ้ ป็นแนวทางในการดาเนนิ การวจิ ยั ดังน้ี

1. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
2. เทคนิคการสอนแบบ SQ4R
3. แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านภาษาไทย
4. งานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง

1. หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

วิสัยทศั น์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ม่งุ พัฒนาผเู้ รียนทกุ คน ซึ่งเป็นกาลังของชาติ
ให้ เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพล
โลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะ
พ้ืนฐาน รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียน
เปน็ สาคญั บนพ้นื ฐานความเช่ือว่า ทุกคนสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
หลกั การ
1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็น
เป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐานของความเป็นไทย
ควบคกู่ ับความเปน็ สากล
2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและมี
คุณภาพ
3. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่ีสนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้
สอดคลอ้ งกับสภาพและความต้องการของท้องถ่นิ
4. เป็นหลักสตู รการศกึ ษาท่ีมีโครงสรา้ งยดื หยุ่นทั้งดา้ นสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้
5. เปน็ หลักสตู รการศกึ ษาท่เี น้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก
กลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์

6

จดุ หมาย
ม่งุ พัฒนาผเู้ รียนใหเ้ ปน็ คนดี มปี ญั ญา มคี วามสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพได้ โดย
กาหนดเปน็ จดุ หมายเพอ่ื ใหเ้ กดิ กับผเู้ รียนเม่ือจบการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน ดงั นี้
1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรอื ศาสนาทีต่ นนบั ถือ ยดึ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
2. มคี วามรู้ความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทักษะชวี ติ
3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจติ ท่ดี ี มสี ขุ นสิ ัย และรกั การออกกาลงั กาย
4. มีความรกั ชาติ มีจิตสานึกในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยึดมนั่ ในวถิ ชี วี ิตและการปกครองตาม
ระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุข
5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาส่ิงแวดล้อม มีจิต
สาธารณะที่มงุ่ ทาประโยชนแ์ ละสรา้ งสิ่งที่ดงี ามในสงั คม และอย่รู ว่ มกันในสังคมอยา่ งมคี วามสุข
สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน มงุ่ ให้ผู้เรยี นเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั นี้

1. ความสามารถในการสอื่ สาร เป็นความสามารถที่ใช้ในการรับสารและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้
ภาษาถา่ ยทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมรวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา
ความขัดแยง้ ตา่ ง ๆ การเลอื กรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้
วธิ กี ารสอื่ สาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคานงึ ถึงผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสงั คม

2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่ือนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ
เพ่ือการตัดสนิ ใจเกีย่ วกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ท่ีเผชิญได้
อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ
เปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน แก้ไขปัญหา
และมีการตัดสนิ ใจท่มี ปี ระสิทธิภาพ โดยคานึงถงึ ผลกระทบท่ีเกิดขนึ้ ต่อตนเอง สงั คมและสิ่งแวดลอ้ ม

4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ เป็นความสามารถในการนากระบวนการตา่ ง ๆ ไปใชใ้ นการ
ดาเนนิ ชีวติ ประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรยี นรู้อยา่ งตอ่ เน่ือง การทางาน และการอยู่ร่วมกนั ในสังคมดว้ ย
การสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหวา่ งบคุ คล การจัดการปญั หาและความขัดแย้งตา่ ง ๆ อยา่ งเหมาะสม การ
ปรบั ตัวให้ทนั กับการเปลยี่ นแปลงของสังคมและสภาพแวดลอ้ ม และการร้จู ักหลกี เลย่ี งพฤตกิ รรมไม่พงึ ประสงค์ที่
สง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การ
ทางาน การแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม

7

คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมี

ความสขุ ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังน้ี

1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

2. ซื่อสตั ยส์ จุ ริต

3. มีวินยั

4. ใฝเ่ รยี นรู้

5. อย่อู ย่างพอเพียง

6. ม่งุ มนั่ ในการทางาน

7. รกั ความเป็นไทย

8. มจี ติ สาธารณะ

หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย

การอ่าน การอา่ นออกเสียงคา ประโยค การอา่ นบทร้อยแกว้ คาประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อ

สร้างความเข้าใจ และการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ความรจู้ ากสิ่งท่อี ่าน เพ่ือนาไปปรับใชใ้ นชีวิตประจาวัน

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้

สาระท่ี 1 การอ่าน

มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความร้แู ละความคิดเพื่อนาไปใชต้ ดั สินใจ แก้ปัญหาในการดาเนินชวี ติ

และมนี ิสัยรกั การอ่าน

ตารางท่ี 1 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลางชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2

ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ม.2 1. อ่านออกเสยี งบทรอ้ ยแกว้ และ การอ่านออกเสียงประกอบดว้ ย
บทร้อยกรองได้ถูกตอ้ ง - บทร้อยแกว้ ที่เป็นบทบรรยายและ

บทพรรณนา

- บทร้อยกรอง เชน่ กลอน บทละคร

กลอนนทิ าน กลอนเพลงยาว และ

กาพย์ห่อโคลง

2. จบั ใจความสาคญั สรปุ ความ และ การอา่ นจับใจความจากสือ่ ต่าง ๆ เชน่
อธิบายรายละเอยี ดจากเรื่องท่ีอ่าน - วรรณคดใี นบทเรยี น
3. เขยี นผงั ความคิดเพ่ือแสดงความ - บทความ
เขา้ ใจในบทเรียนตา่ ง ๆ ท่ีอ่าน - บันทึกเหตกุ ารณ์
4. อภปิ รายแสดงความคิดเห็น และ - บทสนทนา
ข้อโตแ้ ย้งเกีย่ วกับเร่ืองท่ีอา่ น - บทโฆษณา
5. วเิ คราะห์และจาแนกข้อเท็จจรงิ - งานเขียนประเภทโนม้ นา้ วใจ
ข้อมลู สนบั สนุน และขอ้ คิดเห็นจาก - งานเขยี นหรือบทความแสดง
บทความท่ีอ่าน

ขอ้ เทจ็ จริง

8

6. ระบุข้อสังเกตการชวนเชื่อ - เรอ่ื งราวจากบทเรยี นในกลุ่มสาระ
การโนม้ น้าว หรือความสมเหตสุ มผล การเรยี นรภู้ าษาไทย และกลุ่มสาระ
ของงาน การเรียนรอู้ ่นื

7. อ่านหนังสอื บทความ หรือคา การอ่านตามความสนใจ เชน่
ประพนั ธอ์ ย่างหลากหลาย และ - หนงั สืออา่ นนอกเวลา
ประเมนิ คุณคา่ หรือแนวคิดทไี่ ด้จาก - หนงั สือทน่ี กั เรยี นสนใจแล
การอา่ น เพ่อื นาไปใช้แกป้ ญั หาใน
ชีวิต เหมาะสมกบั วยั
- หนงั สอื อา่ นท่ีครูและนกั เรยี น
8. มมี ารยาทในการอ่าน
กาหนดรว่ มกัน
มารยาทในการอา่ น

แนวการจัดกจิ กรรมการเรียนรกู้ ลุม่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย
1. เลอื กรปู แบบการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ผู้สอนต้องเลอื กรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่

หลากหลายและเหมาะสมกบั ผเู้ รยี น
2. คิดค้นเทคนิควิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผู้สอนสามารถคิดค้นรูปแบบการจัดกิจกรรม

เนือ้ หาวชิ า ความสนใจ และวยั ของผู้เรยี น ความสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด เวลาสถานที่ วัสดุ
อปุ กรณ์การเรยี นรรู้ ูปแบบอื่น ๆ และนาไปใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ปัจจัยตา่ ง ๆ

3. จัดกระบวนการเรียนรู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้มหี ลากหลายรปู แบบและลกั ษณะของผเู้ รียน
เน้นให้ผเู้ รียนฝกึ ปฏิบตั ติ ามกระบวนการเรียนรู้อย่างมีความสขุ และยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

2. เทคนิคการสอนแบบ SQ4R

เทคนิคการสอนแบบ SQ4R เป็นเทคนิคการอา่ น เพือ่ สารวจใจความสาคัญของเรื่องที่อ่านแล้วตั้งคาถาม
เปล่ียนใจความสาคัญสาคัญของเร่ืองให้เป็นคาถาม มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของเทคนิคการสอนแบบ
SQ4R ไวห้ ลายท่าน ดังนี้

พนิตนาฏ ชูฤกษ์ (2551 : 117) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เทคนิค SQ4R เป็นเทคนิคแบบสาเร็จรูปอีก
เทคนิคหน่ึง จะช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านตารา เป็นเทคนิคการอ่านแบบจากัดความเร็ว ช่วยให้การ
อา่ นมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ประกอบด้วย Survey (S), Question (Q), Read (R), Recite (R), Record (R),
และ Review (R) มรี ายละเอยี ดดงั น้ี

1. S - Survey ขั้นสารวจ ในข้ันน้ีใช้เวลาประมาณ 20 นาที ในการกวาดสายตา เพ่ือดูข้อมูลกว้าง ๆ
ของตาราและเปน็ การทาความเข้าใจว่าเร่ืองท่ีอ่านน้ันมีวิธีการเขียนอย่างไร โดยการสารวจข้อมูลจากส่วนต่าง ๆ
ในหนังสือ หลังจากนจี้ ึงสารวจข้อมูลในแตล่ ะบท ซง่ึ ควรทา การสารวจข้อมูลในแต่ละบทก่อนที่จะลงมืออ่านควร
ตีกรอบเนื้อหาที่ต้องอ่านแต่ละหัวข้อเรื่อง ดังนั้นควรสารวจข้อมูลดังน้ี คือ ชื่อเร่ือง วัตถุประสงค์ของแต่ละบท
บทสรุปของแต่ละบท หัวเรือ่ ง หลกั และหัวเร่ืองย่อย ภาพตา่ งๆ คาท่พี มิ พเ์ อียงหรือคาท่ขี ดี เสน้ ใต้ เป็นตน้

2. Q - Question การต้งั คาถาม ในข้นั นี้ตอ้ งตงั้ คาถามก่อนอ่าน ระหว่างอ่าน และหลังอ่าน โดยใช้
ข้อมูลจากการสารวจเนื้อหาคร่าว ๆ ในข้นั การสารวจ ดงั น้ันในขณะทเ่ี ราสารวจ เน้อื หา ควรตง้ั คาถามเก่ยี วกับ

9

ขอ้ ความทจี่ ะอ่าน และพยายามหาคาตอบ โดยเปลี่ยนชอ่ื เรื่องและหัวข้อย่อย ๆ มาเป็นคาถาม คาถามเหล่านี้จะ
ช่วยใหเ้ ขา้ ใจเหตผุ ลทีแ่ ท้จรงิ ของการอ่าน

3. R - Read เป็นการอ่านเพ่ือจับใจความหลักของสิ่งที่อ่านและการจัดการ ระบบข้อมูล ในข้ันน้ีต้อง
เป็นผู้อ่านในเชิงรุก คือมีคาถามอยู่ในใจในขณะอ่านและพยายามที่จะตอบ คาถามและจัดการกับข้อมูลเหล่านั้น
คาตอบท่ีได้จะเป็นข้อมูลสาคัญที่ให้รายละเอียดของเร่ือง ส่ิงสาคัญที่ต้องทาในข้ันตอนการอ่านคือ หาใจความ
สาคญั ของแต่ละบทหรอื แต่ละตอน มีสมาธิกับ สิ่งที่กาลังอ่านให้ความสาคัญเป็นพิเศษกับหัวเร่ืองและหัวข้อย่อย
ๆ และศกึ ษาตัวอย่าง เพราะ ตัวอย่างเปน็ ส่วนสาคัญทีท่ าให้สามารถจาประเดน็ สาคญั ในแต่ละเรอ่ื งได้

4. R - Recite การท่องจา ในขัน้ นี้เปน็ การสรปุ เรื่องที่อา่ น เราอาจจะบรรยาย ใจความสาคญั ของ
เนื้อหาเมื่ออา่ นจบในแตล่ ะหนา้ ทาความเข้าใจกบั เน้ือเร่ืองเพ่อื ให้แน่ใจว่าไดข้ ้อมลู ที่ถกู ตอ้ งจากสิง่ ที่อ่าน ทา
เชน่ น้ที กุ ๆ บท ขั้นตอนนจี้ ะช่วยให้เข้าใจเนื้อเร่ืองมากแค่ไหน อาจต้องทบทวนโดยการตอบคาถามท่ีตง้ั ไว้
ตอนต้น ถา้ ไมส่ ามารถตอบคาถามไดแ้ สดงวา่ ไม่เข้าใจ ตอ้ งกลับไปอ่านเพือ่ หาคาตอบอีกครงั้

5. R - Record การจดบันทึก ขั้นตอนน้ีควรจดบันทึกประเด็นสาคัญของแต่ละบท ไว้ในสมุดจด
บันทึกย่อ ส่ิงสาคัญที่ต้องทาในข้ันตอนการจดบันทึก คือ ขีดเส้นใต้คาและประโยค ซึ่งช่วยใน
การจดจา สรุปข้อมูลด้วยภาษาตนเอง พัฒนากระบวนการอ่านของตนเองควรหาวิธีท่ีเหมาะสมกับตัวเองท่ีสุด
เช่น ขีดเส้นใต้สองเส้น การสรุปความต้องใช้คาพูดหรือข้อความที่เป็นภาษาของเราเองเพื่อง่ายต่อการอานการ
ทบทวนบทเรียน

6. R - Review การทบทวน การทบทวนเน้อื หาเกา่ กอ่ นทีจ่ ะอ่านบทต่อไปทกุ ครั้ง เพื่อชว่ ยใหเ้ กดิ การ
เชื่อมโยงในเน้ือหาตารานัน้ ๆ จงึ ใช้เวลา 2-3 นาที ทบทวนอยา่ งสม่าเสมอทาให้เกิดความคงทนในการจา

และวิลเลียม, และเมนนุดี Williams, Menui (2557 : 18) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วิธีการอ่าน SQ4R
ประกอบดว้ ย 6 ขนั้ ตอนดงั น้ี

1. S - Survey คือการสารวจ เป็นการสารวจบทเรียนและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ หัวข้อท้ังหมด
รปู ภาพ ชาร์ท กราฟ อย่างครา่ ว ๆ เปน็ การฝกึ ท่ีสาคัญ

2. Q - Question คือ ตั้งคาถาม ให้ตั้งคาถามท่ีต้องการคาตอบเกี่ยวกับแต่ละส่วน
ของเนื้อหา

3. R - Read คือการอ่านให้อ่านแล้วขีดเส้นใต้จุดท่ีสาคัญและในขณะน้ันก็มองหาคาตอบสาหรับ
คาถามที่ตง้ั ไว้

4. R - Recite คอื การท่องจา ท่องจาบางอย่างเก่ียวกบั ส่ิงทีอ่ ่านรวมทัง้ คาตอบ สาหรบั คาถามที่ถาม
5. R - Review คือ การทบทวน เม่ือเสร็จส้ินการอ่านบทอ่าน ทบทวนเนื้อหา ทั้งหมดทันที และ
ทบทวนอีกครัง้ ภายใน 24 ช่วั โมงถัดไป
6. R - Reflect คือ การสะท้อน ขั้นตอนนี้จะช่วยช้ีถึงความคิดและมุ่งเน้นความเข้าใจ โดยสะท้อนให้
เหน็ ถึงการอ่าน
นอกจากนี้ สุคนธ์ สินธพานนท์ และคนอ่ืน ๆ ( 2554, 224) ไว้ให้ความหมายว่า เทคนิค
การสอนแบบ เอส คิว โฟร์ อาร์ เป็นเทคนิคการอ่านท่ีช่วยให้ผู้เรียนเลือกส่ิงที่คาดว่าจะรู้จากเร่ืองที่อ่าน เข้าใจ
แนวคิดของเร่ืองท่ีอ่านได้อ่านรวดเร็ว จดจาได้ดี และทบทวนเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงมาจากการ
สอนแบบ SQ3R ของ ฟรานซีส พ.ี โรบินสนั มที ง้ั หมด 6 ขน้ั ตอน ดงั นี้

10

1. S - Survey คือ การสารวจเพ่ือให้เห็นภาพกว้าง ๆ เก่ียวกับเร่ืองนั้น ๆ เพื่อดูขอบเขตของเนื้อหา
ของข้อเขียนอยา่ งนน้ั คร่าว ๆ

2. Q - Question คือ การตั้งคาถามเก่ียวกับเน้ือเร่ืองท่ีอ่าน การต้ังคาถามในขณะที่
อ่านจะชว่ ยให้เราต้งั ใจ และจดจอ่ อยู่กับสง่ิ ท่อี า่ น

3. R - Read คือ การอ่าน เพื่อค้นหาคาตอบให้แก่คาถามทีต่ งั้ ไว้ คาทีพ่ ิมพ์ ด้วยลักษณะที่แตกต่างไป
จากปกติ และภาพประกอบต่าง ๆ ซง่ึ ช่วยใหเ้ ข้าเนอ้ื เร่ือง เม่อื พบคาตอบ ท่ีต้องการควรทาเครื่องหมายไว้เพ่ือให้
มองเหน็ งา่ ย แลว้ เขยี นคาสาคัญไว้ในท่ีว่างด้านข้างหรือ ขอบของหนงั สือ แต่ยงั ไมต่ ้องบนั ทึกข้อความที่ได้จาก
การอา่ น เพราะอาจต้องอา่ นข้อเขียนน้ันซา้ อีก ถ้ายงั มีปัญหายังไม่เขา้ ใจดีพอ

4. R - Record คือ การทบทวนอ่านอย่างรอบคอบ ให้ผู้เรียนบันทึกข้อมูลที่ได้อ่านในข้ันตอนท่ี 3
บนั ทกึ เฉพาะส่วนท่ีสาคญั และจาเปน็ เป็นการบันทกึ ยอ่ ๆ ตามความเข้าใจ ของผูเ้ รียน

5. R - Recle คือการเขียนสรุปใจความสาคัญ ด้วยภาษาของตนเอง ถ้ามีข้อสงสัย ไม่แน่ใจในตอนใด
ตอนหนึง่ ใหก้ ลบั ไปอ่านซา้ ใหม่

6. R - Reflect คือ การวิเคราะห์ วิจารณ์เรื่องที่อ่านแล้วแสดงความคิดเห็น หรือโต้แย้งในประเด็นท่ี
เห็นดว้ ยและไมเ่ หน็ ด้วย โดยใช้เหตุผลสนบั สนุน อาจจะทาได้โดยการเชื่อมโยงความคิดจากเรื่องท่ีอ่านกับความรู้
เดมิ โดยใชภ้ าษาอย่างถกู ต้อง

สรุปได้ว่า เทคนิคการสอน แบบ SQ4R คือเทคนิคการสอนเพ่ือพัฒนาการอ่านให้มีประสิทธิภาพ
ประกอบไปดว้ ย 6 ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่

1. S - Survey คือ การสารวจแบบกว้าง เพ่ือให้เห็นภาพรวมของเรื่องที่อ่าน โดยใช้วิธีการอ่านแบบ
ครา่ วๆ ขอบเขตของเนือ้ หาวา่ เกยี่ วกบั เร่อื งอะไร และมีประเดน็ สาคัญอะไรบา้ ง

2. Q - Question คอื การตั้งคาถามเกี่ยวกบั เนื้อเรื่องที่อา่ น
3. R - Read คือ การอ่านเพ่ือค้นหาคาตอบ
4. R - Record คอื การทบทวน อ่านซา้ อย่างรอบคอบ
5. R - Recite คือ การสรุปเรอื่ งท่ีอ่านทง้ั หมด
6. R - Reflect คือ การสะท้อนเรื่องท่อี ่าน วเิ คราะห์ วิจารณเ์ รื่องที่อา่ นแล้วแสดง
ความคดิ เห็น

3. แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านภาษาไทย

แบบฝึกทกั ษะการอ่านภาษาไทย เปน็ สือ่ การสอนที่สร้างขน้ึ เพอื่ พัฒนาผเู้ รยี น ใหม้ ีความรู้และทักษะเพิม่

มากขึ้น มีรายละเอียดดงั นี้

3.1 ความหมายของแบบฝึกทักษะ

นักวิชาการศึกษาหลายท่าน ไดใ้ ห้ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ ไว้ดงั น้ี

ประภาพร ถ่ินอ่อง (2553 : 29) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่

สร้างข้ึนเพ่ือให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจเพ่ิมขึ้น โดยที่กิจกรรมที่ได้ปฏิบัติใน

แบบฝึกนั้นจะครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว ทาให้นักเรียนมีความรู้และทักษะมากขึ้น เพราะมีรูปแบบหรือ

ลักษณะทหี่ ลากหลาย

สอดคล้องกับที่สมพร ตอยยีบี (2554 : 32) ได้ให้ความหมายว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ท่ีช่วย

ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ต่าง ๆ จนเกิดความชานาญ และสามารถนาความรู้ไปใช้ได้

อยา่ งถูกต้อง

11

สุวิทย์ มูลคา และสนุ นั ทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้สรุปความสาคญั ของแบบฝกึ ทักษะวา่ แบบ
ฝึกทักษะมีความสาคัญต่อผู้เรียนไมน่ ้อย ในการทจี่ ะชว่ ยสง่ เสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรยี นได้เกดิ การเรยี นรู้และ
เข้าใจได้เร็วขึ้น ชดั เจนขึ้น กว้างขวางขึ้น ทาให้การสอนของครูและการเรยี นของนกั เรียนประสบผลสาเร็จอย่างมี
ประสิทธิภาพ และปราณี จณิ ฤทธิ์ (2552 : 32) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แบบฝึก หมายถึง งานท่คี รมู อบหมาย ให้
นกั เรยี นทาดว้ ยตนเองภายหลังจากได้เรยี นบทเรยี น เพื่อเป็นการทบทวนและฝกึ ทักษะในเรอ่ื งทเ่ี รียนผา่ นมาแลว้

นอกจากนี้พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ได้ระบุไว้ว่า แบบฝึกหัด หมายถึง แบบ
ตวั อย่างปัญหาหรอื คาสง่ั ที่ตงั้ ข้ึนเพือ่ ใหน้ กั เรยี นฝกึ ตอบ เปน็ ต้น

สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ เป็นสื่อการเรียนการสอนท่ีสร้างขึ้นเพ่ือให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจน
เกิดความรู้ ความเข้าใจเพิ่มข้ึน โดยที่กิจกรรมท่ีได้ปฏิบัติในแบบฝึกนั้นจะครอบคลุมเน้ือหาท่ีเรียนไปแล้ว ทาให้
นกั เรียนมคี วามรแู้ ละทกั ษะมากขึน้ และทาให้ผู้เรยี นมองเห็นความก้าวหน้าจากผลการเรียนรขู้ องตนเองได้

3.2 ส่วนประกอบของแบบฝกึ ทักษะ
3.2.1 คู่มือการใช้แบบฝึกทักษะ เป็นเอกสารสาคัญประกอบการใช้แบบฝึกว่าใช้เพื่ออะไร และมี

วิธีการอยา่ งไร ประกอบด้วย
- จดุ ประสงค์ในการใชแ้ บบฝกึ
- ขั้นตอนในการใชบ้ อกข้อ ตามลาดับการใช้
- เฉลยแบบฝึกในแต่ละชุด

3.2.2 แบบฝึกทักษะ เป็นสื่อท่ีสร้างขึ้นให้ผู้เรียนฝึกทักษะเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้อย่างถาวร มี
ส่วนประกอบดังนี้

- ช่ือชุดฝกึ ในแตล่ ะชุดย่อย
- จดุ ประสงค์
- คาสั่ง
- ชุดฝกึ
- แบบทดสอบก่อนและหลังเรยี น
3.2.3 รูปแบบของการสรา้ งแบบฝกึ ทักษะ
ในการที่จะจงู ใจใหผ้ ู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติ แบบฝึกจึงมีรูปแบบท่ีหลากหลาย ซึ่งจะเรียงลาดับ
จากงา่ ยไปหายาก ดังน้ี

1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่า ให้ผู้เรียนเลือกใส่เครื่องหมาย
ถูกหรือผิด

2. แบบจบั คู่ เป็นแบบฝกึ ประกอบด้วยคาถาม ซึ่งเป็นตัวยืนอยู่ทางขวามือ มาจับคู่กับคาถาม
ใหส้ อดคลอ้ งกัน โดยใช้หมายเลขหรอื รหัสคาตอบไปวาง ทว่ี า่ งหน้าข้อคาถาม

3. แบบเติมคาหรือแบบเติมข้อความ เป็นแบบฝึกท่ีมีข้อความไว้ให้ แต่จะเว้นช่องว่างให้
ผู้เรียนเตมิ ขอ้ ความทหี่ ายไป

4. แบบหลายตัวเลือก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ มี 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีเป็นคาถาม ชัดเจน
ไม่คลุมเครอื สว่ นที่ 2 เป็นตัวเลอื ก 3 – 5 ตวั กไ็ ด้

5. แบบอัตนยั คือ ความเรียงในแบบฝึกท่ีมีตวั คาถาม ผู้เรยี นเขียนบรรยายไมจ่ ากดั คาตอบ

12

3.3 ประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะ
นกั วิชาการศกึ ษา ได้อธบิ ายประโยชนข์ องแบบฝกึ ทักษะไว้ดงั นี้
ถวัลย์ มาศจรสั และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและแบบฝึกทักษะเป็นสื่อ
การเรียนรู้ ท่ีมุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา และการพัฒนาในการจัดการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้และ
สามารถเรยี นรไู้ ด้ โดยสรปุ ได้ดงั นี้

1. เปน็ สือ่ การเรยี นรู้ เพื่อพฒั นาการเรียนรใู้ หแ้ ก่ผเู้ รยี น
2. ผเู้ รยี นมสี อ่ื สาหรับฝกึ ทกั ษะดา้ นการอา่ น การคิด การคดิ วเิ คราะห์ และการเขยี น
3. เปน็ สื่อการเรยี นรสู้ าหรับการแก้ปญั หาในการเรยี นร้ขู องผู้เรียน
4. พฒั นาความรู้ ทักษะ และเจตคติด้านต่างๆ ของผ้เู รยี น
และสุวิทย์ มลู คา และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53 - 54) ไดส้ รุปประโยชน์ของแบบฝึกทกั ษะ
ดงั นี้
1. ทาให้เขา้ ใจบทเรยี นดีขนึ้ เพราะเปน็ เครอื่ งอานวยประโยชนใ์ นการเรียนรู้
2. ทาให้ครทู ราบความเขา้ ใจของนักเรียนทีม่ ีตอ่ บทเรยี น
3. ฝกึ ใหเ้ ดก็ มคี วามเช่ือมั่นและสามารถประเมนิ ผลของตนเองได้
4. ฝกึ ให้เดก็ ทางานตามลาพงั โดยมีความรับผดิ ชอบในงานท่ไี ด้รบั มอบหมาย
5. ช่วยลดภาระครู
6. ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่
7. ชว่ ยพัฒนาตามความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล
8. ชว่ ยเสรมิ ให้ทกั ษะคงทน ซ่งึ ลักษณะการฝึกเพือ่ ชว่ ยใหเ้ กิดผลดังกล่าวนน้ั ไดแ้ ก่

- ฝึกทันทหี ลังจากท่ีเดก็ ได้เรียนรใู้ นเรอื่ งนัน้ ๆ
- ฝึกซา้ หลายๆ ครั้ง
- เนน้ เฉพาะในเรื่องทผ่ี ิด
9. เป็นเครอื่ งมอื วดั ผลการเรียนหลงั จากจบบทเรยี นในแตล่ ะครงั้
10. ใชเ้ ป็นแนวทางเพ่ือทบทวนด้วยตนเอง
11. ชว่ ยใหค้ รมู องเหน็ จดุ เดน่ หรือปญั หาต่างๆของเดก็ ได้ชดั เจน
12. ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู
สรปุ ไดว้ า่ ประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะ เป็นส่ือการสอนทที่ าใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจบทเรยี นมากข้ึน ให้ผู้เรียนได้
ฝึกฝนด้วยตนเองอย่างเตม็ ท่ี อีกท้ังยังพฒั นาไปตามความแตกต่างระหวา่ งบุคคล

3.4 ลกั ษณะของแบบฝึกท่ดี ี
ลักษณะของแบบฝึกท่ีดีนั้นต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับนักเรียน ตลอดจนคานึงถึงจิตวิทยาเก่ียวกับสิ่ง
เร้าและการตอบสนองพัฒนาการของเด็ก และลาดับข้ันของการเรียน นอกจากน้ันจะต้องพิจารณาให้เหมาะสม
กบั วัย ความสามารถของเด็กซ่ึงแบบฝึกจะประกอบด้วยคาช้ีแจงและตัวอย่างสั้น ๆ ที่จะทาให้เด็กเข้าใจง่าย ใช้
เวลาเหมาะสมและมีลักษณะท่เี ก่ียวขอ้ งกับบทเรยี นที่เรียนไปแลว้ นอกจากนี้แบบฝกึ ควรมหี ลายแบบเพ่ือสร้าง
ความสนใจและทา้ ทายให้แสดงความสามารถ

13

4. งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง
นักวชิ าการศกึ ษาและนกั วิจัยหลายทา่ นได้ทาการวิจยั เกย่ี วกับการพัฒนาการอา่ นจบั ใจความสาคญั ไว้

ดงั น้ี
คมกฤช พ่มุ บุญนาก (2555 : บทคดั ย่อ) ไดท้ าการวจิ ยั เรอื่ ง การพัฒนาความสามารถด้านการอา่ นจับ

ใจความสาคญั คาประพนั ธ์ประเภทกลอนของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมาคมปา่ ไมแ่ หง่ ประเทศ
ไทยอุทิศ จังหวัดกาญจนบุรี โดยใช้แบบฝกึ ทักษะการอา่ นจับใจความสาคญั การอา่ นจบั ใจความสาคัญคาประพนั ธ์
ประเภทกลอน โดยทดลองกบั กลมุ่ ตวั อยา่ งทีไ่ ด้มาจากการสุ่มแบบงา่ ย ผลการศึกษาพบว่า

1. ความสามารถในการอา่ นจับใจความสาคญั คาประพันธ์ประเภทกลอน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 หลังจากที่ได้รับฝึกทักษะโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสาคัญคาประพันธ์ประเภทกลอน
มากกว่าก่อนใชอ้ ย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั นัยสาคัญ .05 ซงึ่ เป็นไปตามสมมุตฐิ าน

2. ระดบั ความพึงพอใจที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความคาประพันธ์ประเภทกลอนอยู่
ในระดับมากทีจ่ ดุ 8 ข้อ และ ระดับมาก 2 หัวข้อ โดยสรุปอยใู่ นระดับดีมาก

งานวิจัยของ สิริรัตน์ อะโน (2554 : 107) ซ่ึงทาการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการอ่านจับใจความสาคัญโดย
ใช้แบบฝึกการอ่านจับใจความสาคัญ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่าแบบฝึกทักษะการอ่านจับ
ใจความสาคญั มปี ระสิทธภิ าพเปน็ ไปตามเกณฑ์ 80/80 มคี า่ เฉลยี่ หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน และนักเรียนมีความ
พงึ ใจต่อการเรียนเรื่องการอา่ นจบั ใจความสาคัญ โดยรวมอยใู่ นเกณฑ์ระดบั มากทส่ี ดุ

สอดคล้องกับงานวิจัยของ พัชรา พราหมณี (2551 : 96) ได้ทาการวิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะ
การอ่านจับใจความสาคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึก
ทกั ษะการอ่านจบั ใจความสาคญั ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ พบว่า แบบฝึกทักษะการ
อ่านจับใจความสาคัญมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านจับ
ใจความสาคัญหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และผลการศึกษาเจตคติต่อการเรียนการอ่านโดยใช้แบบฝึกทักษะ
พบว่า นกั เรียนมเี จตคตติ อ่ การอ่านจบั ใจความสาคัญอยใู่ นเกณฑ์ชอบมากทีส่ ดุ

นอกจากนี้ ฮาชิบวน (Hasibuan , Azizah Khairiyah, 2553.) ได้ศึกษาเก่ียวกับผลของการใช้ รูปแบบ
SQ4R และ Accelerate กับความเข้าใจในการอา่ นของนกั เรยี นระดับมัธยมศกึ ษา พบว่านักเรียนที่ได้รับการสอน
โดยใช้รปู แบบ SQ4R มีความสามารถในการอ่านได้ดกี ว่านักเรียนท่ีได้รบั การสอนแบบ Accelerate

จากงานวจิ ยั ทก่ี ล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การพฒั นาผเู้ รียนโดยใชแ้ บบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการสอน
แบบ SQ4R เป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ช่วยปรับปรุง
และพัฒนาความเขา้ ใจในการอ่าน

14

บทท่ี 3
วิธีดาเนินการวิจยั

การวิจัยคร้ังน้ี มวี ตั ถุประสงคเ์ พือ่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเร่ืองการอา่ นจบั ใจความสาคัญ
กอ่ นและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทกั ษะ ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนกาแพงวิทยา โดยผู้วจิ ัยได้
ดาเนินการวจิ ยั ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้

1. ประชากร
2. เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการวิจยั
3. การสรา้ งเครื่องมอื วจิ ัย
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
5. การวิเคราะหข์ ้อมลู และสถิตทิ ใ่ี ช้

ประชากรและกลมุ่ เปา้ หมาย

กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/3 ประจาปีการศึกษา 2564
โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา จานวน 40 คน

เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการวิจยั

เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวจิ ัยครง้ั นี้ ประกอบด้วย
1.แผนการจดั การเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย เรื่องการอ่านจับใจความสาคญั
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2
2. แบบฝกึ ทักษะเรอ่ื งการอา่ นจับใจความสาคัญ จานวน 1 ชุด ไดแ้ ก่

แบบฝกึ ทกั ษะชดุ ที่ 1 เร่ืองการอา่ นจบั ใจความสาคัญประเภทบทรอ้ ยแก้ว
3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนกลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย เร่ืองการอา่ นจับใจความ
สาคญั เปน็ แบบทดสอบนักเรียนกอ่ นและหลงั ใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ SQ4R และใชแ้ บบฝึกทกั ษะเรื่องการอา่ น
จับใจความสาคัญ เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบมี 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ข้อ จานวน 1 ฉบบั

การสร้างเคร่อื งมอื ในการวจิ ัย

1. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญ ช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ผู้วิจัยไดด้ าเนินการตามขนั้ ตอน ดงั น้ี

1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองการอ่านจับ
ใจความสาคัญ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2

1.2 วเิ คราะห์มาตรฐานการเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
1.3 กาหนดหวั เรือ่ ง หนว่ ยการเรยี นรู้ยอ่ ย เวลาเรยี น
1.4 นาแผนการจดั การเรียนรทู้ ีส่ รา้ งขึน้ ใหผ้ ูเ้ ช่ียวชาญพิจารณาเพื่อตรวจสอบ
ความเหมาะสมและให้ข้อเสนอแนะ

15

1.5 ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของครูพ่ีเล้ียง และได้แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี
สมบรู ณ์

2. การสร้างแบบฝกึ ทักษะ ผูว้ จิ ยั ได้ดาเนนิ ตามขน้ั ตอน ดงั นี้
2.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เพอ่ื นามาสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ
2.2 แบบฝกึ ทกั ษะ จานวน 1ชดุ ไดแ้ ก่
2.2.1 แบบฝกึ ทักษะชุดที่ 1 เรอ่ื งการอ่านจบั ใจความสาคญั ประเภทบทร้อยแกว้
2.3 นาเสนอผู้เช่ยี วชาญ เพือ่ ตรวจสอบความถูกต้องและนามาแก้ไข
2.4 นาแบบฝกึ ทักษะทแี่ ก้ไขปรับปรุงแลว้ ไปทดลองใชก้ ับประชากร

3. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความสาคัญ
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ผ้วู ิจัยไดด้ าเนินการตามขัน้ ตอน ดงั นี้

3.1 ศึกษาเน้ือหากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ือง การอ่านจับใจความสาคัญ จากหลักสูตร
การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พ.ศ. 2551

3.2 ศึกษาวเิ คราะหจ์ ุดประสงคใ์ นหลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
3.3 กาหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ในหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย
3.4 สร้างแบบทดสอบตามจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ซ่ึงเป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ มี 4 ตัวเลือก
จานวน 1 ฉบบั จานวน 20 ข้อ
3.5 นาแบบทดสอบที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เช่ียวชาญด้านเน้ือหา จานวน 3 คน ตรวจสอบความถูกต้อง
ความเท่ียงตรงตามเนื้อหาและจุดประสงค์ โดยหาค่า IOC ซ่ึงการให้ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้กาหนด
เกณฑ์ ดังน้ี

+1 เมอ่ื แน่ใจวา่ ขอ้ สอบนัน้ วดั ได้ตรงตามเน้อื หาและจุดประสงค์
0 เมื่อไม่แนใ่ จว่า ข้อสอบน้ันวดั ไดต้ รงตามเนอื้ หาและจุดประสงค์
-1 เมือ่ แน่ใจว่า ขอ้ สอบนน้ั ไม่ไดว้ ัดไดต้ รงตามเนื้อหาและจดุ ประสงค์
3.6 ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบตามขอ้ เนอแนะของผ้เู ชย่ี วชาญ แลว้ คดั เลือกข้อสอบท่ีมีค่า IOC ต้ังแต่
0.5 ขึ้นไป ได้จานวนข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์จานวน 20 ข้อ แล้วนามาพิมพ์เป็นแบบทดสอบเพ่ือนาไปใช้ทดสอบ
ต่อไป

การเก็บรวบรวมข้อมูล

1. ดาเนนิ การทดสอบก่อนใช้แบบฝึกทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสาคัญกับประชากร นักเรียนจานวน
40 คน ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นกลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยเร่ืองการอา่ นจบั ใจความสาคัญ
ทผี่ วู้ จิ ยั สรา้ งข้นึ

2. ดาเนินการทดลองกบั ประชากร โดยใชแ้ บบฝึกทักษะการอา่ นจับใจความสาคัญจานวน 3 ชุด
3. หลังใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ ครบตามท่ีกาหนดไว้ ผู้วิจัยได้ทดสอบด้วย
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระภาษไทย เรื่องการอ่านจับใจความสาคัญกับกลุ่มเป้าหมายอีก
หนง่ึ ครง้ั

16

การวิเคราะหข์ อ้ มูลและสถติ ทิ ีใ่ ช้

1. การวเิ คราะห์ข้อมลู
เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองการอ่าน

จับใจความสาคัญ ก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูปจาก
คอมพวิ เตอร์ ใช้คา่ เฉลย่ี ( ) และค่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ( )

2. สถิติท่ใี ชใ้ นการวิจัย
2.1 หาค่าความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ืองการอ่านจับ

ใจความสาคัญ โดยใช้ดชั นีความสอดคลอ้ งของผเู้ ช่ียวชาญ (IOC)
2.2 หาคา่ เฉลี่ยของคะแนน ( )
2.3 หาค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ( )

17

บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล

การวจิ ยั ครง้ั น้ี มีวตั ถปุ ระสงค์เพือ่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนเร่อื งการอา่ นจบั ใจความสาคญั

กอ่ นและหลงั เรียนดว้ ยการใช้แบบฝึกทักษะเรื่องการอ่านจับใจความสาคญั รว่ มกบั เทคนิคการสอนแบบ SQ4R

ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จงั หวัดสตูล โดยผวู้ จิ ยั ไดเ้ สนอผลการ

วเิ คราะห์ข้อมลู เพื่อตอบวัตถุประสงคข์ องการวิจัย รายละเอยี ดดังนี้

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่านจับใจความสาคัญ ก่อนและหลังเรียนด้วยการใช้

แบบฝกึ ทักษะเร่อื งการอ่านจับใจความสาคญั ร่วมกับ เทคนิคการสอนแบบ SQ4R ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปรากฏ

ดังตารางที่ 2

ตารางที่ 2 แสดงคะแนน ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนก่อนและหลังเรียน ด้วย

การใช้แบบฝึกทกั ษะเรอื่ งการอ่านจบั ใจความสาคัญ ร่วมกับ เทคนิคการสอนแบบ SQ4R

นักเรียนคนที่ คะแนนก่อนเรยี นคะแนน คะแนนหลังเรยี นคะแนน คะแนนทีเ่ พิ่มข้ึน
เตม็ (20คะแนน) เต็ม (20คะแนน)
1 7
2 6 13 6
3 9 15 7
4 7 14 4
5 12 16 6
6 11 17 4
7 11 15 5
8 10 15 3
9 11 14 8
10 8 16 5
11 11 16 5
12 10 15 8
13 6 14 6
14 10 16 3
15 10 13 3
16 12 15 6
17 11 17 5
18 11 16 9
5 14

18

ตารางที่ 2 (ต่อ)

นักเรียนคนท่ี คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลงั เรยี น คะแนนท่เี พ่ิมขน้ึ
คะแนนเต็ม (20คะแนน) คะแนนเต็ม (20คะแนน)
19 4
20 11 15 2
21 14 16 7
22 9 16 8
23 5 13 4
24 14 18 4
25 11 15 2
26 13 15 3
27 11 14 4
28 10 14 3
29 14 17 2
30 16 18 3
31 13 16 2
32 13 15 0
33 6 6 2
34 6 8 2
35 12 14 1
36 14 15 4
37 9 13 5
38 9 14 3
39 13 16 6
40 12 18 6
μ 11 17 4.42
σ 4.44
10.42 14.85

7.14 5.13

จากตารางท่ี 2 จะเห็นได้ว่า ก่อนเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญ ร่วมกับ
เทคนิคการสอนแบบ SQ4R นกั เรยี นทาคะแนนสูงสุดได้ 16 คะแนน คะแนนต่าสุด 5 คะแนน คะแนนเฉล่ีย (μ)
10.42 คะแนน และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (σ) 7.14 คะแนน และหลังเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเร่ืองการ
อา่ นจับใจความสาคัญ ร่วมกบั เทคนิคการสอนแบบ SQ4R นักเรยี นทาคะแนนสงู สุดได้ 18 คะแนน คะแนนต่าสุด
6 คะแนน คะแนนเฉล่ีย (μ) 14.85 คะแนน และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (σ) 5.13 คะแนน

19

บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ

การวจิ ัยครงั้ นี้ มีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเรือ่ งการอา่ นจับใจความสาคญั

ก่อนและหลงั เรยี นดว้ ยการใช้แบบฝึกทกั ษะเรือ่ งการอ่านจับใจความสาคญั ร่วมกับ เทคนคิ การสอนแบบ SQ4R

ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวดั สตลู

กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประจาปีการศึกษา 2564

โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จงั หวัดสตลู จานวน 40 คน

เครอื่ งมือที่ใช้ในการวจิ ัยครั้งน้ี ประกอบดว้ ย 1) แผนการจดั การเรียนร้กู ลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย

เรื่องการอา่ นจับใจความสาคัญ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 2) แบบฝกึ ทกั ษะเรื่องการอา่ นจบั ใจความสาคญั จานวน 1

ชุด ได้แก่ แบบฝึกทักษะชุดท่ี 1 เรือ่ งการอา่ นจบั ใจความสาคัญประเภทบทร้อยแก้ว เรอ่ื งการอ่านจับใจความ

สาคญั 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนกลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย เร่ืองการอ่านจับใจความสาคญั

เปน็ แบบทดสอบนกั เรียนก่อนและหลังใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะเรื่องการอ่านจบั ใจความสาคัญ และใช้เทคนิคการสอน

แบบ SQ4R เปน็ แบบทดสอบชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ขอ้ จานวน 1 ฉบบั

การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ทาไดโ้ ดยการวเิ คราะหห์ าค่าเฉลยี่ (μ) และค่าสว่ นเบีย่ งเบน มาตรฐาน (σ) ของ

คะแนนทไี่ ดจ้ ากการทดสอบ

ตารางท่ี 3 แสดงคะแนน ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนก่อนและหลังเรียน ด้วย

การใช้แบบฝึกทกั ษะเรือ่ งการอ่านจับใจความสาคัญ ร่วมกับ เทคนิคการสอนแบบ SQ4R

นกั เรยี นคนที่ คะแนนก่อนเรียนคะแนน คะแนนหลังเรียนคะแนน คะแนนท่เี พิ่มข้นึ

เต็ม (20คะแนน) เต็ม (20คะแนน)

16 13 7

29 15 6
37 14 7
4 12 16 4

5 11 17 6
6 11 15 4
7 10 15 5

8 11 14 3
ตารางที่ 3 (ตอ่ )

20

นกั เรยี นคนที่ คะแนนก่อนเรียนคะแนน คะแนนหลังเรยี นคะแนน คะแนนทเ่ี พ่ิมข้นึ
เต็ม (20คะแนน) เตม็ (20คะแนน)
9 8
10 8 16 5
11 11 16 5
12 10 15 8
13 6 14 6
14 10 16 3
15 10 13 3
16 12 15 6
17 11 17 5
18 11 16 9
19 5 14 4
20 11 15 2
21 14 16 7
22 9 16 8
23 5 13 4
24 14 18 4
25 11 15 2
26 13 15 3
27 11 14 4
28 10 14 3
29 14 17 2
30 16 18 3
31 13 16 2
32 13 15 0
33 6 6 2
34 6 8 2
35 12 14 1
36 14 15 4
37 9 13 5
9 14

ตารางที่

21

3 (ตอ่ ) คะแนนก่อนเรียนคะแนน คะแนนหลงั เรยี นคะแนน คะแนนท่ีเพิ่มข้ึน
เตม็ (20คะแนน) เตม็ (20คะแนน)
นักเรียนคนที่ 3
13 16 6
38 12 18 6
39 11 17 4.42
40 10.42 14.85 4.44
μ
σ 7.14 5.13

จากตารางที่ 3 จะเห็นได้ว่า ก่อนเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญ ร่วมกับ
เทคนคิ การสอนแบบ SQ4R นกั เรยี นทาคะแนนสูงสุดได้ 16 คะแนน คะแนนต่าสุด 5 คะแนน คะแนนเฉล่ีย (μ)
10.42 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 7.14 คะแนน และหลังเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเรื่องการ
อ่านจบั ใจความสาคญั ร่วมกบั เทคนิคการสอนแบบ SQ4R นกั เรยี นทาคะแนนสงู สุดได้ 18 คะแนน คะแนนต่าสุด
6 คะแนน คะแนนเฉล่ีย (μ) 14.85 คะแนน และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (σ) 5.13 คะแนน

สรุปผลการวิจัย

ผลการวจิ ยั สรุปและนาเสนอตามลาดับดงั นี้
ก่อนเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเรื่องการอ่านจับใจความสาคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอนแบบ SQ4R
นักเรียนทาคะแนนสูงสุดได้ 16 คะแนน คะแนนต่าสุด 5 คะแนน คะแนนเฉลี่ย (μ) 10.42 คะแนน และส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 7.14 คะแนน และหลังเรียนด้วยการใช้แบบฝึกทักษะเรื่องการอ่านจับใจความสาคัญ
ร่วมกับเทคนิคการสอนแบบ SQ4R นักเรียนทาคะแนนสูงสุดได้ 18 คะแนน คะแนนต่าสุด 6 คะแนน คะแนน
เฉลี่ย (μ) 14.85 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) 5.13 คะแนน แสดงให้เห็นว่า หลังเรียนด้วยการใช้
แบบฝึกทักษะเรื่องการอ่านจับใจความสาคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอนแบบ SQ4R นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียน

อภปิ รายผล

จากผลการวจิ ยั สามารถอภปิ รายผลตามวัตถุประสงค์ของการวจิ ัย ดังน้ี
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเรื่องการอ่านจับใจความสาคญั ก่อนและหลงั เรยี นด้วยการ
ใชแ้ บบฝึกทกั ษะเรื่องการอ่านจบั ใจความสาคัญ รว่ มกบั เทคนคิ การสอนแบบ SQ4R ของนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษา
ปีท่ี 2 โรงเรียนหาดใหญ่รฐั ประชาสรรค์ อาเภอหาดใหญ่ จังหวดั สงขลา พบวา่ หลังจากที่นักเรยี นเรียนด้วยแบบ
ฝึกทักษะเรื่องการอา่ นจบั ใจความสาคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอนแบบ SQ4R นกั เรยี นมีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย เร่อื งการอา่ นจับใจความสาคัญสงู กวา่ ก่อนเรยี น ท้งั น้ีอาจเปน็ เพราะแบบฝกึ
ทกั ษะสร้างขนึ้ อยา่ งเปน็ ระบบ สอดคล้องกับศักยภาพของนักเรยี น คานงึ ถึงผเู้ รยี นเป็นสาคัญ ทาให้นักเรยี น
สามารถฝึกฝนทักษะการอ่านจับใจความได้ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับ ประภาพร ถิน่ ออ่ ง (2553 : 29) ได้
อธิบายไวว้ ่า แบบฝึกทักษะ สร้างข้นึ เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเองจนเกิดความรู้ ความเขา้ ใจเพ่มิ ข้ึน ทา

22

ให้นักเรยี นมคี วามรู้และทักษะมากขึ้น เพราะมีรูปแบบหรือลกั ษณะท่หี ลากหลาย และสอดคล้องกับ
สมพร ตอยยีบี (2554 : 32) ท่ีได้อธบิ ายไว้ว่า แบบฝกึ ทักษะเปน็ สอื่ การเรยี นรูท้ ช่ี ่วยให้นักเรียนได้ฝกึ ปฏิบตั เิ พ่ือ
พัฒนาทกั ษะและความรตู้ า่ ง ๆ จนเกดิ ความชานาญ และสามารถนาความรู้ไปใช้ได้อย่างถกู ต้อง ซ่ึงการพฒั นา
แบบฝึกทักษะครัง้ น้ีผู้จยั พฒั นาแบบฝึกทักษะรว่ มกบั การใชเ้ ทคนคิ SQ4R ซง่ึ เทคนคิ SQ4R ถอื เป็นเทคนิคการ
อ่านทม่ี ีประสทิ ธภิ าพ ตามที่ไดศ้ ึกษางานวจิ ยั ของฮาชบิ วน (Hasibuan , Azizah Khairiyah, 2553.) ได้ศึกษา
เกีย่ วกับผลของการใช้ รูปแบบ SQ4R กบั ความเขา้ ใจในการอ่านของนักเรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษา พบวา่ นกั เรยี นท่ี
ได้รับการสอนโดยใชร้ ูปแบบ SQ4R มคี วามสามารถในการอา่ นได้ดกี วา่

จากทไ่ี ดก้ ลา่ วไปขา้ งต้นเปน็ การยืนยันว่า การพฒั นาการอา่ นจับใจความสาคัญ โดยการใช้แบบฝึกทักษะ
เรื่องการอ่านจับใจความสาคัญ ร่วมกับเทคนิคการสอนแบบ SQ4R ที่ผู้วิจัยได้สร้างข้ึน ช่วยให้นักเรียนอ่านจับ
ใจความสาคญั ไดด้ ขี ึ้น

ขอ้ เสนอแนะ

1. ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัยในครง้ั น้ี
ครูผู้สอนควรศึกษาแบบฝึกทักษะ หรือคาสั่งท่ีจะให้ผู้เรียนปฏิบัติอย่างละเอียดก่อน เพื่อให้นักเรียนสามารถ

ปฏบิ ัติได้อยา่ งถูกตอ้ ง
2. ข้อเสนอแนะสาหรับการวจิ ัยครั้งต่อไป

2.1 ควรนาแบบฝึกทกั ษะเร่ืองการอ่านจับใจความสาคัญ ไปทดลองใชก้ บั นักเรียนหอ้ งอื่นในระดบั ชั้นเดียวกนั
2.2 ควรมกี ารวจิ ัยและพฒั นาเร่ืองการอา่ นจบั ใจความสาคญั สาหรบั วชิ าภาษาไทยในระดับชัน้ อนื่ ๆ เพื่อเปน็
สอื่ การเรียนการสอน

23

บรรณานกุ รม

จิรวดี จนั ทร์เสง้ . (2556). การสรา้ งชุดการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ สาหรับนกั เรียนชน้ั
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1. (วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑิต). มหาวทิ ยาลัยทักษณิ , สงขลา.

นรสิ รา สนุ นทราช. (2554). การพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจับใจความ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3. (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม,
มหาสารคาม.

นริ ัติศัย สุดเพาะ. (2556). การสร้างแบบฝกึ ทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปี
ที่ 2 โรงเรยี นมญั จาศึกษา จงั หวัดขอนแก่น. (วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต).
มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, นนทบุร.ี

ประสาทพร เพชรทอง. (2552). การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความสาคัญและเจตคติต่อการ
เรียนภาษาไทยเร่ืองของดีที่อาเภอด่านช้าง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างการจัดการ
เรียนรู้แบบธรรมชาติกับแบบปกติ. (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏ
เทพสตรี, ลพบุรี.

ปทั มา อัจนากิตติ. (2557). การพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความสาคัญและการอ่านแบบคิดวิเคราะห์
รายวิชาภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ท่ีได้รับวิธีสอนแบบ OK5R ร่วมกับเทคนิคผัง
กราฟิก. (วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาการศึกษามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยทกั ษิณ, สงขลา.

พรทิพย์ แจ่มหอม. (2555). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ ชุดนิทานและตานานพ้ืนบ้าน
จังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. (วิทยานิพนธ์
ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต). มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเทพสตรี, ลพบรุ ี.

วัชรินทร์ เรืองสุขสุด. (2561). เร่ืองผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้การ
เรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค CIRC สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตร
มหาบณั ฑิต). มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรรี มั ย์, บรุ ีรมั ย์.

วัชรี ภูนคิ ม. (2553). การพัฒนาการอา่ นจับใจความโดยใชแ้ บบฝึกทักษะ กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย
ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6. (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
มหาสารคาม.

วนั วดิ า กิจเจา. (2557). การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิการอ่านจับใจความสาคญั ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1
ที่จัดการเรียนรู้โดยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับ เทคนิค KWL Plus. (วิทยานิพนธ์
ศกึ ษาศาสตรม์ หาบัณฑิต). มหาวิทยาลยั ศิลปากร, นครปฐม.

ศิริพร ล้ีรชตาสุวรรณ. (2557). การพัฒนาความสามารถในการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทยด้วยวิธีอ่านแบบ
โอเคไฟว์อาร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสันกาแพง. (วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร
มหาบัณฑติ ). มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, เชยี งใหม.่

24

ศิรินทร์ทิพย์ ถานะกอง. (2556). การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสาคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โดยวิธีสอนแบบ OK5R ของนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 5. (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหา
บัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภฏั เชยี งราย, เชยี งราย.

ศิวิภา ชูเรือง. (2550). การศึกษาความเข้าใจในการอ่านภาษาไทยและความพึงพอใจต่อวิธีการสอนแบบ OK5R
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1. (วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยทักษิณ,
พทั ลุง.

สิริรัตน์ อะโน. (2553). การพัฒนาการอ่านจับใจความสาคัญโดยใช้แบบฝึกการอ่านจับใจความสาคัญสาหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3. (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยราชภัฏ
มหาสารคาม, มหาสารคาม.

สิทธิพงศ์ สิริวราพงศ์. (2550). การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทยสาหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านไผ่โทน (นวลราษฎร์วิทยา) อาเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่. (วิทยานิพนธ์
ครศุ าสตรมหาบัณฑติ ). มหาวิมยาลัยราชภฏั อุตรดิตถ์, อุตรดติ ถ์.

สุริภรณ์ ผดุงโภชน์. (2556). การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสาคัญของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนแมส่ ายประสทิ ธิ์ศาสตร์ สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษาเขต 36. (วิทยานิพนธ์
ศิลปศาสตรมหาบณั ฑติ ). มหาวิทยาลัยราชภฏั เชียงราย, เชียงราย.

25

ภาคผนวก

26

ภาคผนวก ก

รายช่อื ผเู้ ชยี่ วชาญเปน็ ผตู้ รวจสอบเครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจัย

27

รายช่ือผเู้ ช่ียวชาญเป็นผู้ตรวจสอบเครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั

1. นางสุวดี หมี ปอง โรงเรยี นกาแพงวิทยา
2. นางสาวโนรี หมนี หวัง โรงเรียนกาแพงวิทยาละงูพทิ ยาคม
3. นางสาวกติ ติพร สัจจะบุตร โรงเรียนกาแพงวทิ ยา

28

ภาคผนวก ข

ตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือ

- การคานวณหาค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ ง

29

ค่าความตรงเชิงเน้ือหาของข้อสอบ (IOC)

ระดับ คะแนนความคดิ เหน็ ของ ผลการ
พฤตกิ รรม วิเคราะห์
ขอ้ ท่ี ผเู้ ช่ียวชาญ รวม IOC
ใช้ได้
คนท่ี 1 คนที่ 2 คนท่ี 3 3 1.00 ใช้ได้
3 1.00 ใช้ได้
1. ความจา +1 +1 +1 2 0.66 ใช้ได้
2. ความจา 3 1.00 ใช้ได้
3. เขา้ ใจ +1 +1 +1 2 0.66 ใช้ได้
4. เข้าใจ 3 3 ใชไ้ ด้
5. เข้าใจ +1 +1 0 2 0.66 ใช้ได้
6 เข้าใจ 2 0.66 ใชไ้ ด้
7. เขา้ ใจ +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
8. เข้าใจ 3 1.00 ใชไ้ ด้
9. เข้าใจ 0 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
10. เขา้ ใจ 3 1.00 ใช้ได้
11. เขา้ ใจ +1 +1 +1 2 0.66 ใช้ได้
12. เขา้ ใจ 2 0.66 ใชไ้ ด้
13. เข้าใจ 0 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
14. เข้าใจ 3 1.00 ใช้ได้
15. เขา้ ใจ 0 +1 +1 3 0.66 ใช้ได้
16. เข้าใจ 3 1.00 ใชไ้ ด้
17. นาไปใช้ +1 +1 +1 3 0.66 ใชไ้ ด้
18. นาไปใช้ 3 1.00
19. นาไปใช้ +1 +1 +1
20. นาไปใช้
+1 +1 +1

+1 +1 +1

+1 0 +1

0 +1 +1

+1 +1 +1

+1 +1 +1

+1 +1 0

+1 +1 +1

+1 +1 0

+1 +1 +1

30

แสดงผลการวเิ คราะห์ความเชอ่ื มัน่ ของการพฒั นาทักษะการอ่านจับใจความสาคัญโดยใช้แบบฝึกทักษะ

ร่วมกบั เทคนคิ การสอนแบบ SQ4R ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย

ท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 X X2
คนท่ี

1 4 5 4 3 4 3 5 4 5 4 41 1681

2 5 4 5 5 4 4 5 5 4 5 46 2116

3 4 5 4 4 5 5 4 4 5 4 44 1936

4 5 4 5 4 4 4 4 4 4 4 42 1764

5 3 3 4 4 5 4 4 4 4 4 39 1521

6 3 3 4 3 4 5 4 4 3 3 36 1296

7 3 3 3 3 4 3 5 4 3 3 34 1156

8 4 4 4 4 5 4 4 5 4 4 42 1764

9 3 3 4 3 3 3 3 5 3 4 34 1156

10 3 3 5 3 3 3 3 3 3 3 32 1024

11 3 3 5 3 3 3 3 3 3 3 32 1024

12 3 3 5 3 3 3 3 3 3 3 32 1024

13 3 3 4 3 3 3 3 3 3 3 31 961

14 3 3 4 3 3 3 3 3 3 3 31 961

15 3 3 5 3 3 3 3 3 4 3 33 1089

16 3 3 4 3 3 3 3 3 3 5 33 1089

17 4 4 4 4 3 5 5 4 4 4 41 1681

18 3 3 5 3 3 5 5 3 3 3 36 1296

19 3 3 4 3 3 5 4 3 3 3 34 1156

20 4 4 5 4 4 5 4 3 4 4 41 1681

21 3 3 4 3 4 4 3 3 4 5 36 1296

22 3 3 5 3 3 4 3 3 5 3 35 1225

23 3 3 3 3 3 5 3 3 3 3 32 1024

24 3 3 3 3 3 4 3 3 3 5 33 1089

25 3 3 3 3 3 4 3 3 3 3 31 961

26 3 3 3 3 3 5 3 3 3 3 32 1024

27 3 3 3 3 3 4 3 3 3 3 31 961

28 3 3 3 3 3 4 3 3 3 5 33 1089

29 3 3 4 3 3 5 3 3 3 3 33 1089

30 5 5 5 5 4 5 4 4 4 4 45 2025

31

ที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 X X2
คนที่
43 1849
31 5 4 4 4 4 4 5 4 5 4 45 2025
44 1936
32 4 4 5 4 5 5 4 5 4 5 46 2116
45 2025
33 4 5 4 5 4 4 5 4 5 4 48 2304
46 2116
34 5 4 5 4 5 5 4 5 4 5 46 2116
43 1849
35 4 5 4 5 4 5 5 4 5 4 45 2025
1,640 63,878
36 5 5 5 4 5 5 5 5 4 5
 Si2 = 6.19
37 5 5 5 4 5 4 5 4 5 4

38 5 5 4 5 4 5 4 5 4 5

39 4 5 4 5 3 4 5 4 5 4

40 5 5 5 5 4 5 4 4 4 4

รวม 159 160 178 157 158 178 166 158 162 164

Si 0.83 0.83 0.74 0.75 0.78 0.77 0.83 0.75 0.78 0.79
Si2 0.69 0.68 0.55 0.57 0.61 0.60 0.69 0.56 0.61 0.63

32

ภาคผนวก ค

เครื่องมือทใี่ ชใ้ นงานวิจัย

1. แผนการจดั การเรียนรู้
2. ขอ้ สอบวัดผลการเรยี นรู้
3. แบบฝึกทักษะ
4. แบบประเมนิ ความสอดคลอ้ งของชุดฝกึ ทักษะ
5. แบบประเมนิ ความสอดคล้องของแผนการจัดการเรยี นรู้
6. แบบประเมนิ ความสอดคล้องของข้อสอบวดั ผลการเรียนรู้

33

แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 1

กล่มุ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย รหัสวิชา ท 22102 วิชาภาษาไทยพ้ืนฐาน

ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 1 ภาษาพาโนม้ น้าวใจ เรื่อง การจบั ใจความสาคัญ วธิ ีการจัดการเรียนรูแ้ บบ SQ4R

จานวน 2 ชั่วโมง ชอื่ ผ้สู อน นางยุวดี โอมณี

1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรูแ้ ละความคิดไปใช้ตัดสินใจแก้ปญั หา และสร้างวิสัยทศั น์ใน
การดาเนินชีวิต และมีนสิ ยั รักการอ่าน
ตัวช้ีวดั
ท 1.1 ม.2/2 จบั ใจความสาคญั สรุปความ และอธบิ ายรายละเอียดจากเรื่องท่ีอ่าน
ท 1.1 ม.2/7 อา่ นหนังสอื บทความ หรอื คาประพันธ์อยา่ งหลากหลาย และประเมินคุณค่าหรือแนวคิด

จากการอ่าน เพ่ือนาไปใชแ้ กป้ ัญหาในชวี ิต
ท 1.1 ม.2/8 มมี ารยาทในการอ่าน

2. สาระสาคญั
การอา่ นมีความสาคัญและจาเปน็ ในการแสวงหาความรู้และความเพลดิ เพลินในชีวติ ประจาวันเราต้อง

อา่ นส่ิงต่าง ๆ มากมายเพ่ือนาข้อมลู ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสงั คม นกั เรยี นจงึ จาเป็นต้องศกึ ษา
ความหมายการอา่ นจับใจความสาคญั และอธบิ ายขน้ั ตอนการอา่ นจับใจความสาคัญ สามารถจับใจความสาคัญ
ของเร่ืองท่ีอา่ นไดถ้ ูกตอ้ งตรงกับจดุ มงุ่ หมายของผู้เขยี น ได้อย่างมีมารยาท

จุดประสงค์การเรยี นรู้ (K,P,A)
1. ดา้ นความรู้ (K)
1.1. นกั เรยี นบอกความหมายการอ่านจบั ใจความสาคัญได้
1.2. นกั เรยี นอธบิ ายขน้ั ตอนการอา่ นจบั ใจความได้
๒. ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
นักเรยี นอ่านจบั ใจความได้
๓. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
มีนสิ ยั รกั การอ่าน

3. สาระการเรยี นรู้
1. ความหมายการอา่ นจับใจความ
2. ขน้ั ตอนการอ่านจับใจความ
3. ตวั อยา่ ง การอ่านจบั ใจความ
4. มารยาทในการอ่าน

4. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

34

5. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1. ใฝ่เรยี นรู้
2. มุ่งมนั่ ในการทางาน
3. ใฝ่เรยี นรู้
4. มงุ่ มนั่ ในการทางาน
5. รกั ความเป็นไทย

6. ช้นิ งาน/ภาระงาน
แบบทดสอบ
ศึกษาความร้จู าก Power Point
แบบฝึกทักษะเรือ่ งการอ่านจับใจความ

7. กจิ กรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงท่ี 1
1. ขัน้ นาสบู่ ทเรียน (ใชเ้ วลา 15 นาท)ี
1. ครใู หน้ ักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน
2. ครแู จง้ จดุ ประสงค์การเรียนรกู้ ารจัดการเรยี นการสอนด้วยวธิ ีการสอนอ่านแบบ SQ4R
3. ครตู ง้ั คาถามกบั นักเรยี นวา่ “นกั เรยี นเคยเขยี นงานประเภทใดบ้าง” (แนวคาตอบ : ผ้เู รียนตอบ

แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของตนเอง) จากน้ันครูเปิดบทความที่เตรียมไว้ให้นักเรียนดูและถามว่า “นัก
เรยี นรูห้ รือไม่ วา่ ส่งิ ทค่ี รเู ปิดให้ดเู ป็นงานเขียนประเภทใด” (แนวคาตอบ : บทความ)

2. ขัน้ สอน (ใช้เวลา 30 นาท)ี
2.1 ครูอธบิ ายเรอ่ื งความหมายของการอา่ น ความหมายของการอา่ นจับใจความสาคญั

หลักในการจับใจความสาคัญ การพจิ ารณาตาแหน่งใจความสาคญั ในแตล่ ะยอ่ หนา้ ประกอบการดู Power Point
เรื่อง การจบั ใจความสาคญั และอธิบายรายละเอียดจากเร่ืองที่อา่ นโดยให้นักเรียนศึกษาจากหนงั สอื ไปพร้อมกัน

ข้ันที่ 1 S - Survey คือ การสารวจแบบกว้าง เพื่อใหเ้ ห็นภาพรวมของเรือ่ งที่อ่าน โดยใช้
วิธีการอา่ นแบบคร่าว ๆ ขอบเขตของเนือ้ หาวา่ เกีย่ วกับเรื่องอะไร และมีประเด็นสาคัญอะไรบ้าง

2.2 นกั เรียนอา่ นขอ้ ความตอ่ ไปน้ี ดงั วา่ “ในอดตี น้ัน คนไทยส่วนมากมีความรู้ในทางชา่ งไม้
และการปลูกสร้างบา้ นเรือน เน่อื งจากถอื เปน็ คติวา่ ลกู ผู้ชายหนมุ่ ข้ึนมากต็ ้องฝกึ หดั ช่างไม้ ต้องปลูกสร้าง
บ้านเรือนเปน็ มักเริ่มต้นจากการเป็นลกู มือชว่ ยชา่ งผมู้ คี วามชานาญและเรียนรูจ้ ากประสบการณใ์ นการลงมือ
กอ่ สรา้ งงานจริง นอกจากนัน้ การท่ีคนไทยมจี ิตศรทั ธาในศาสนา จึงมกั ชว่ ยพระสร้างกฏุ สิ งฆ์ ศาลาการเปรยี ญ
หรือซอ่ มโบสถ์วิหาร จงึ ไดค้ วามรู้ทางช่างและการก่อสรา้ งเพ่ิมเติมจากวดั อีกดว้ ย”

ขนั้ ที่ 2 Q - Question คือ การต้งั คาถามเกยี่ วกบั เนื้อเรือ่ งที่อา่ น
2.3 ครูตั้งคาถามว่าข้อความข้างต้นกลา่ วถึงอะไร และมีใจความสาคัญว่าอยา่ งไร
ขั้นท่ี 3 R - Read คอื การอา่ นเพ่ือค้นหาคาตอบ
2.4 ครเู ฉลยว่า “ข้อความขา้ งตน้ กลา่ วถงึ ความร้ขู องชายไทยในอดีตและมใี จความ
สาคัญว่า ในอดีตน้ัน คนไทยสว่ นมากมคี วามร้ใู นทางช่างไมแ้ ละการปลูกสร้างบา้ นเรือน”
ขั้นท่ี 4 R - Record คอื การทบทวน อ่านซ้า อยา่ งรอบคอบ
2.5. นกั เรยี นอา่ นทาความเขา้ ใจเนอ้ื หาเรื่องการอ่านจบั ใจความ เพื่อตอบคาถามจากครูอีกครงั้
(เป็นการทดสอบความเข้าใจจากการอ่านด้วยตนเอง) หลักภาษาไทย หน้า 46

35

2.6. ครูอธบิ ายเน้ือหาเร่ืองการอา่ นจับใจความให้นักเรยี นฟังสลับกับการตงั้ คาถามเพ่ือทดสอบ
ความเขา้ ใจเร่ืองการอ่านจบั ใจความของนักเรียน

2.6. นักเรียนรบั เอกสารตัวอย่างการอ่านจับใจความพร้อมอ่านทาความเขา้ ใจเพอ่ื ขดี เส้นใต้
ประเดน็ ทีเ่ ป็นใจความสาคัญ สว่ นประเดน็ ใดท่นี ักเรียนเห็นว่าใจความสาคญั อยูก่ ระจัดกระจายใหน้ ามาเรียบเรยี ง
ใหม่

๓.ขนั้ สรุป (ใชเ้ วลา 5 นาท)ี
ขัน้ ท่ี 5 R - Recite คอื การสรปุ เรื่องที่อา่ นทัง้ หมด
ขน้ั ท่ี 6 R - Reflect คอื การสะท้อนเร่ืองท่ีอ่าน วิเคราะห์ วจิ ารณ์เร่ืองทีอ่ า่ นแลว้ แสดง

ความคดิ เหน็
ตัวแทนของหอ้ งสรุปเน้ือหาท่เี รยี นกนั ในวันน้ีและครูใหน้ ักเรียนกลบั ไปทบทวนเร่อื งการอ่านจับ

ใจความเพ่ือทาแบบฝึกทักษะในชั่วโมงต่อไป

ช่วั โมงท่ี 2
1. ขน้ั นาสบู่ ทเรียน (ใชเ้ วลา 10 นาท)ี
1.1. ครตู ้งั คาถามนักเรียนว่าชั่วโมงทผี่ า่ นมาเรยี นเรือ่ งอะไร
1.2. ครเู ฉลยวา่ การอา่ นจับใจความสาคญั พร้อมกับอธบิ ายความหมายการอ่านจับใจความ
2. ขัน้ สอน(ใชเ้ วลา 35 นาที)
2.1. นักเรียนทบทวนเรือ่ งการอ่านจบั ใจความในหนังสือหลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ๒

หน้า ๔๖ พร้อมรบั ฟังคาอธบิ ายเพม่ิ เติมจากครู
2.2. ครใู หน้ ักเรยี นพิจารณาข้อความต่อไปนว้ี า่ กล่าวถงึ สัตว์ชนดิ ใดและกล่าวถึงสิ่งใดเปน็ สาคัญ

ดงั ว่า “นกพริ าบสชี มพูมีถนิ่ ฐานอย่บู นเกาะมอรติ สั ในทวปี แอฟริกา อาศยั อยู่ในป่าละเมาะ อาหารของพวกมนั คือ
ดอกไม้ ผลไม้ และเมล็ดพืชเล็ก ๆ นกพิราบสีชมพมู ีจานวนลดลงเป็นอย่างมาก เนอื่ งมาจากการลา่ ของมนษุ ย์
ปจั จุบันนกพิราบสีชมพูมีอย่ใู นป่าประมาณ ๒๕ ตวั และในสวนสตั วป์ ระมาณ ๒ ตวั ”

2.3. ครูเฉลยว่าข้อความข้างต้นกล่าวถงึ “นกพริ าบสีชมพูพร้อมกับประวตั ิของมัน” ตอ่ มาครู
ยกตวั อย่างอกี หนงึ่ ขอ้ ความพร้อมกบั ให้นกั เรยี นบอกใจความสาคญั ดังวา่ “...ป้าสมศรีเป็นแมค่ า้ ขายถ่าน รา้ น
ของแกเปน็ ห้องแถวสองหอ้ งติดกัน อยตู่ ลาดริมคลองหา่ งจากหอ้ งแถวของฉันไปเพียงร้อยกว่าเมตรเทา่ นน้ั เอง”

2.4. ครเู ฉลยวา่ ใจความสาคัญของข้อความขา้ งตน้ คือ “ป้าสมศรีเปน็ แม่ค้าขายถ่าน”
2.5. ครแู จกแบบฝึกทักษะเร่ือง การอ่านจบั ใจความให้นักเรียนพรอ้ มเอกสารคาตอบ

3.ข้ันสรุป(ใช้เวลา 5 นาท)ี
นกั เรยี นส่งแบบฝึกทกั ษะเรื่อง การอ่านจับใจความ พร้อมกับให้ตัวแทนของหอ้ งสรปุ เน้ือหาที่

เรยี นกนั ในวนั นี้

8.สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้
- หนังสอื เรยี น หลกั ภาษาและการใชภ้ าภาษาไทยช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2
- ตวั อยา่ งเรือ่ งการอา่ นจับใจความ
- แบบทดสอบ

36

9. การวดั และการประเมนิ ผล

ส่งิ ท่ีวดั วธิ กี ารวดั ผล เครือ่ งมอื วัดผล เกณฑก์ ารประเมนิ ผล
ตรวจงาน ผา่ นเกณฑ์ 60%
1.ดา้ นความรู้ (K) 1.1บอกความหมาย
1.1. นกั เรียนบอกความหมาย การอา่ นจบั ใจความ
การอา่ นจบั ใจความได้ 1.2. อธิบายขั้นตอน
1.2. นกั เรยี นอธิบายขั้นตอน
การอา่ นจบั ใจความได้ การอา่ นจบั ใจความ

๒. ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)

นักเรยี นอ่านจับใจความได้ อ่านจับใจความ แบบประเมินแบบ ผา่ นเกณฑ์ 60%
ผา่ นเกณฑ์ 80%
ฝกึ ทกั ษะ

๒. ดา้ นเจตคต/ิ คณุ ลักษณะ(A) สงั เกตพฤตกิ รรมการ แบบสงั เกต

มีนิสัยรกั การอ่าน เรยี น พฤติกรรมการ
เรยี น

10. ความคิดเหน็ ของหัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย
............................................................................................................................. ....................................................
........................................................................................................................... ...............................................
................................................................................................................... ..............................................................
........................................................................................................................... ...............................................

ลงชอื่
(นางสุวดี หมี ปอง)

หวั หน้ากลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย

37

11. ความคดิ เหน็ รองผู้อานวยการกลุม่ บรหิ ารวิชาการ

 องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนรู.้ ........................................................................................
 มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรียนรสู้ อดคล้อง...................................................................
 สาระสาคญั ครอบคลมุ ชดั เจน.........................................................................................................
 สาระการเรยี นร้มู คี วามถูกตอ้ งตามหลักวิชาการ.............................................................................
 จุดประสงค์การเรยี นรู้มคี วามชดั เจนครอบคลุม 3 ดา้ น..................................................................
 สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น.............................................................................................................
 คุณลักษณะอนั พึงประสงค.์ .............................................................................................................
 ระบภุ าระงาน/ชิ้นงาน.....................................................................................................................
 กิจกรรมการเรยี นรู้เนน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคญั ........................................................................................
 สอื่ และอปุ กรณ์การเรียนรู้..............................................................................................................
 การวดั และการประเมินตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้.........................................................................
 เสนอส่งแผนการจดั การเรยี นรู้ตามขนั้ ตอนระบบงาน.....................................................................
 บันทึกหลังสอน...............................................................................................................................

ลงชอื่
( นายอับดลรอศกั ด์ิ มณโี สะ๊ )

รองผอู้ านวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ

12. ความคิดเห็นผอู้ านวยการโรงเรียน
 อนญุ าตใหใ้ ช้จดั การเรียนการสอนได้
 ควรปรับปรงุ คือ.
............................................................................................................................. ......................................
............................................................................................. ............................................................
............................................................................................................................. ......................................
.........................................................................................................................................................

ลงช่ือ
(นายสริ วฒุ ิ ยุนยุ้ )

ผอู้ านวยการโรงเรียนกาแพงวิทยา

38

13. บนั ทกึ หลงั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 1
13.1 ผลการจดั การเรียนร้(ู ตามจดุ ประสงค์)

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

13.2. แนวทางแก้ปัญหานกั เรยี นทไ่ี มผ่ า่ นตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้หรอื จดุ ประสงค์(ใชน้ วัตกรรมเนน้ )
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่ือ………………………………………
(นางยุวดี โอมณี)
ครผู ู้สอน

39

แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 2

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย รหัสวิชา ท 22102 วชิ าภาษาไทยพนื้ ฐาน

ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 ภาษาพาโนม้ นา้ วใจ เรอ่ื ง การจบั ใจความสาคญั วธิ ีการจัดการเรยี นรแู้ บบ SQ4R

จานวน 1 ช่ัวโมง ชือ่ ผ้สู อน นางยวุ ดี โอมณี

1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอา่ นสร้างความรู้และความคดิ ไปใช้ตดั สนิ ใจแก้ปญั หา และสรา้ งวิสยั ทศั น์ใน
การดาเนินชีวิต และมนี ิสยั รักการอา่ น
ตัวช้วี ดั
ท 1.1 ม.2/2 จับใจความสาคญั สรุปความ และอธิบายรายละเอยี ดจากเรอ่ื งที่อา่ น
ท 1.1 ม.2/7 อา่ นหนังสอื บทความ หรอื คาประพันธ์อย่างหลากหลาย และประเมินคุณค่าหรือแนวคิด

จากการอ่าน เพื่อนาไปใช้แก้ปญั หาในชีวิต
ท 1.1 ม.2/8 มมี ารยาทในการอา่ น

2. สาระสาคัญ

การอ่านเป็นทกั ษะท่ีมีความจาเป็นอย่างยิ่งตอ่ การศึกษาหาความรู้ การอ่านจับใจความสาคัญเป็นวธิ ี
หน่ึงของการอ่านท่ชี ว่ ยใหก้ ารอา่ นมปี ระสทิ ธิภาพมากขนึ้ เพราะทาใหผ้ ู้อา่ นเข้าใจเนือ้ หาได้อยา่ งรวดเรว็ และชว่ ย
ลดเวลาในการอา่ น

บทความ คืองานท่ีเขยี นประกอบดว้ ยขอ้ มูลอันเป็นขอ้ เท็จจรงิ กับการแสดงความคิดเห็นต่อเร่อื งใดเรอ่ื ง
หน่งึ ซ่งึ ความคดิ เห็นควรจะมีเหตุผลและเปน็ ไปในทางสร้างสรรค์ การอา่ นจับใจความสาคัญเป็นการอา่ นทนี่ าเอา
วธิ คี ิดอย่างมีวิจารณญาณมาใช้ในการรับสารจากการอ่าน ทง้ั นีเ้ พื่อประเมินส่ิงท่ีอา่ นและตดั สนิ ใจ ในอา่ นหนงั สือ
บทความ หรือคาประพันธอ์ ย่างหลากหลาย และประเมินคุณค่าหรือแนวคดิ จากการอา่ น เพอื่ นาไปใชแ้ ก้ปญั หา
ในชวี ิต ได้อยา่ งเขา้ ใจเน้ือเรอื่ งและเหตุการณ์อย่างต่อเนอื่ ง

จุดประสงค์การเรยี นรู้ (K,P,A)
ดา้ นความรู้ (K)
1 อธิบายรายละเอียดจากเรื่อง ที่อ่าน
2 ประเมนิ คุณคา่ หรือแนวคิดจากการอ่าน

ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
จับใจความสาคัญจากเรอ่ื งท่ีอ่าน

ด้านเจตคติ (A)
นกั เรยี นมีนิสยั รกั การอ่าน

40

3. สาระการเรียนรู้
การอ่านบทความ

4. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ใฝเ่ รียนรู้
2. มงุ่ มนั่ ในการทางาน
3. ใฝเ่ รยี นรู้
4. มุ่งมั่นในการทางาน
5. รักความเป็นไทย

6. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
1. อ่านจับใจความ
2. ทาแบบทดสอบ

7. สื่อการเรยี นร/ู้ แหลง่ เรียนรู้
1. แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจบั ใจความ
2. ใบกิจกรรมกล่มุ เร่อื ง การอ่านบทความ

8. กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

1 ขน้ั นาเข้าสบู่ ทเรยี น ( ใชเ้ วลา 10 นาที )

1.1. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สนทนาเกีย่ วกบั การอ่าน โดยครตู ง้ั คาถามกระต้นุ ความคดิ ของนกั เรยี น
เกยี่ วกับการอา่ นจับใจความสาคญั ในการอ่านบทความสนั้ ๆ

1.2. นกั เรียนเคยอ่านบทความหรอื ไม่ หากเคยนกั เรยี นคิดวา่ บทความแสดงความคิดเหน็ มีความแตกตา่ ง
จากการแสดงความคิดเหน็ โดยทัว่ ไปที่เราแสดงหรอื ไม่ อย่างไร เพื่อเปน็ การกระตุ้นความคดิ

1.3. ครูแบง่ นักเรยี นเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 - 5 คน คละกันตามความสามารถ คือ เก่ง ปานกลางและออ่ น

2.ข้ันสอน ( ใช้เวลา 35 นาที )

การจัดการเรยี นรู้แบบ SQ4R มีข้นั ตอนดังน้ี

ข้ันท่ี 1 Survey (S) นกั เรยี นอา่ นแบบครา่ ว ๆ
นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มรบั แบบฝึกทักษะบทความแสดงความคิดเหน็

ความหลากหลายและความไม่สมบรู ณ์แบบ คือความงามในอุดมคติยุคใหม่ โดยให้นักเรยี นอา่ นครา่ ว ๆ ขอบเขต
ของเนื้อหาวา่ เกี่ยวกับเรอ่ื งอะไร และมปี ระเดน็ สาคัญอะไรบ้าง

41

ขนั้ ท่ี 2 Q - Question คือ การตัง้ คาถามเกยี่ วกับเนื้อเรื่องที่อ่าน
นกั เรยี นทาแบบฝึกทักษะ โดยต้งั คาถามจากบทความทอี่ า่ น การต้ังคาถามจะช่วยใหผ้ อู้ ่าน

เข้าใจได้เรว็ ข้ึน ควรพยายามตง้ั คาถามให้ได้ เพราะจะชว่ ยให้การอ่านขน้ั ต่อไปเปน็ ไปอย่างมจี ดุ มุง่ หมายและ
สามารถจับประเด็นสาคญั ได้ถูกต้อง

ขั้นท่ี 3 Read (R1) คอื การอ่านเพื่อค้นหาคาตอบ
นกั เรยี นอ่านบทความซ้าอีกครัง้ อยา่ งละเอยี ดเพื่อใหเ้ ขา้ ใจประเดน็ สาคญั ของเนอ้ื หาโดยไม่

ตอ้ งจดบันทึกและในขณะเดยี วกนั ก็ค้นหาคาตอบสาหรับคาถามท่ีไดต้ ้ังไว้หรอื ในขณะท่กี าลงั อา่ นถา้ นึกคาถามได้
อีก ก็อาจจดบนั ทึกเพมิ่ เติมไว้ในแบบฝกึ ทักษะ แล้วต้งั ใจอ่านตอ่ ไปจนกว่าจะได้รับคาตอบทต่ี อ้ งการ

ขั้นที่ 4 Record (R2) คือ การทบทวน อา่ นซา้ อย่างรอบคอบ
นกั เรียนทาแบบฝกึ ทักษะเรื่อง ทาไมไม่ควรหา้ มเด็กรอ้ งไห้? เมอ่ื การร้องไห้อาจมีประโยชน์

มากกว่าท่คี ดิ โดยตอบคาถามจากแบบฝึกทักษะทีน่ ักเรียนไดต้ ง้ั ไว้ มุ่งจดบนั ทึกในสิ่งท่ีสาคัญและจาเป็นโดยใช้
ขอ้ ความอยา่ งรัดกมุ หรือยอ่ ๆ ตามความเข้าใจของนกั เรียนเพอ่ื ให้เข้าใจไดง้ ่ายข้ึนและสามารถจาคาตอบนน้ั ได้
โดยคาตอบน้นั ต้องคงความหมายเดิมของเรื่องเอาไวแ้ ละเรียงลาดบั เหตุการณ์แล้วเล่าใหเ้ พอ่ื นในกลมุ่ ฟัง

ข้ันท่ี 5 Recite (R3) คอื การสรปุ เรือ่ งท่ีอ่านท้งั หมด
นักเรียนเขียนสรุปใจความสาคัญโดยใชส้ านวนของตนเองถ้ายงั ไม่แน่ใจบทใดหรอื ตอนใดให้

กลบั ไปอา่ นซา้ ใหม่

ขั้นท่ี 3 ข้ันสรุป ( ใชเ้ วลา 15 นาที )
ขัน้ ที่ 6 Reflect (R4) คือ การสะทอ้ นเร่ืองท่ีอา่ น วิเคราะห์ วจิ ารณเ์ ร่ืองท่ีอา่ นแลว้ แสดงความคิดเห็น
ขัน้ ทบทวนเปน็ ขน้ั กจิ กรรมทใ่ี ห้นกั เรียนวิเคราะหว์ ิจารณบ์ ทอ่านที่นักเรียนได้อา่ นแลว้ แสดง

ความคดิ เหน็ ในประเดน็ ที่มีความคิดเหน็ สอดคลอ้ งหรือเหน็ แตกต่างเพ่ือใช้ประกอบการทบทวนเรือ่ งท่ีอ่าน
ทง้ั หมด ในข้ันตอนน้ีเปน็ การตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นว่าจดจาหรอื เขา้ ใจเร่ืองราวทง้ั หมดได้มากน้อยแค่
ไหนหากส่วนไหนทย่ี ังจดจา ไม่ได้ก็กลับไปอ่านซ้าและทบทวน ซ่งึ จะชว่ ยให้นักเรียนเข้าใจแนวคิดทีช่ ดั เจนและมี
ความคงทนในการจดจาอีกด้วย และครูใหน้ ักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียนเร่อื งการอ่านจับใจความ

8.สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้
- หนังสอื เรยี น หลกั ภาษาและการใชภ้ าภาษาไทยชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2
- ตวั อยา่ งเรือ่ งการอา่ นจบั ใจความ
- แบบทดสอบ

42

9. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้

การประเมินผล(ด้าน) วธิ ีการวัด เครือ่ งมือการวัด เกณฑ์การ
(จดุ ประสงค์การเรียนรู้) ตรวจสมุดจดบนั ทึก ประเมนิ
ทาแบบทดสอบ แบบประเมนิ สมุดจด
1.ด้านความรู้ (K) บนั ทกึ ผา่ นเกณฑ์
1.1 อธิบาย รายละเอียดจากเรือ่ งที่อา่ น 60%
1.2 ประเมินคุณคา่ หรอื แนวคดิ จาก แบบทดสอบ
การอ่าน ผ่านเกณฑ์
2.ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 60%
จับใจความสาคัญจากเร่ืองที่อ่าน
ผา่ นเกณฑ์
3.ดา้ นเจตคติ (A) สงั เกตพฤตกิ รรมการ แบบสงั เกตพฤติกรรม 80%
นักเรยี นมีนสิ ยั รักการอ่าน เรยี น การเรียน

สงั เกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม
กลมุ่ กลมุ่

10. ความคดิ เหน็ ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
............................................................................................................................. ....................................................
..........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ....................................................
........................................................................................................................... ...............................................

ลงชื่อ
(นางสุวดี หีมปอง)

หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย

43

11. ความคดิ เห็นรองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวิชาการ

 องค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นร้.ู ........................................................................................
 มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้วี ดั /ผลการเรยี นรู้สอดคลอ้ ง...................................................................
 สาระสาคญั ครอบคลมุ ชัดเจน.........................................................................................................
 สาระการเรยี นรู้มคี วามถูกต้องตามหลกั วชิ าการ.............................................................................
 จุดประสงค์การเรยี นรู้มคี วามชัดเจนครอบคลุม ๓ ด้าน..................................................................
 สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน.............................................................................................................
 คุณลกั ษณะอันพึงประสงค.์ .............................................................................................................
 ระบภุ าระงาน/ชิ้นงาน.....................................................................................................................
 กจิ กรรมการเรียนรเู้ น้นผเู้ รยี นเป็นสาคญั ........................................................................................
 ส่ือและอปุ กรณ์การเรียนรู.้ .............................................................................................................
 การวดั และการประเมนิ ตามจุดประสงค์การเรยี นรู.้ ........................................................................
 เสนอส่งแผนการจัดการเรยี นรตู้ ามข้นั ตอนระบบงาน.....................................................................
 บันทึกหลังสอน................................................................................................................ ...............

ลงชอ่ื
( นายอบั ดลรอศกั ดิ์ มณโี ส๊ะ)

รองผู้อานวยการกลุ่มบริหารวิชาการ

12. ความคิดเหน็ ผู้อานวยการโรงเรียน
 อนุญาตให้ใชจ้ ดั การเรียนการสอนได้
 ควรปรับปรงุ คือ.
............................................................................................................................. ......................................
............................................................................................. ............................................................
............................................................................................................................. ......................................
.........................................................................................................................................................

ลงช่ือ
(นายสิรวุฒิ ยุนุ้ย)

ผอู้ านวยการโรงเรียนกาแพงวิทยา

44

13. บันทึกหลงั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรแู้ ผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2
13.1 ผลการจดั การเรียนรู้(ตามจดุ ประสงค์)

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

13.2. แนวทางแก้ปญั หานักเรยี นที่ไมผ่ า่ นตวั ชว้ี ัด/ผลการเรียนร้หู รอื จุดประสงค์(ใช้นวัตกรรมเน้น)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื ………………………………………
(นางยวุ ดี โอมณี)
ครผู ้สู อน

13. บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูแ้ ผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 2
13.1 ผลการจัดการเรยี นรู้(ตามจุดประสงค์)

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

45

13.2. แนวทางแกป้ ัญหานักเรยี นทีไ่ ม่ผ่านตวั ชว้ี ดั /ผลการเรยี นรหู้ รอื จดุ ประสงค์(ใช้นวัตกรรมเน้น)
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………
(นางยวุ ดี โอมณี)
ครูผ้สู อน

46

แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน
เรอื่ ง การอา่ นจับใจความสาคญั

คาชแ้ี จง : 1. ข้อสอบฉบบั นีเ้ ปน็ แบบปรนัยมจี านวน 20 ข้อ (10 คะแนน)
2. เลอื กคาตอบทถี่ ูกต้องเพียงคาตอบเดียว แล้วทาเคร่อื งหมายกากบาทลงในกระดาษคาตอบ

อา่ นขอ้ ความตอ่ ไปนแี้ ลว้ ตอบคาถามขอ้ 1 – 2
การตักบาตรเป็นการเตรียมอาหารคาวหวานเพอื่ ใสใ่ นบาตรให้แก่พระภิกษุสงฆ์ที่มารับบิณฑบาตในตอน

เช้า เม่ือก่อนคนไทยนิยมตักบาตรทุกวันแต่ในปัจจุบันด้วยวิถีชีวิตท่ีเร่งรีบขึ้น ทาให้บางคนเลือกตักบาตรเฉพาะ
ในบางโอกาส เชน่ วันครบรอบวนั เกดิ วนั ปใี หม่ และวันมงคลต่าง ๆ เพื่อเปน็ การเสรมิ บุญให้กับตนเอง เริ่มจาก
ตกั ขา้ วกอ่ นตามดว้ ยกับข้าว และของหวาน เมือ่ พระสงฆ์ปิดฝาบาตรให้วางดอกไม้ซ่ึงส่วนมากนิยมใช้ดอกบัวและ
ดอกดาวเรืองวางลงบนฝาบาตร แล้วน่ังพนมมือรับพรจากพระสงฆ์ หลังจากนั้นก็กรวดน้าเพื่ออุทิศส่วนกุศล
ให้แกเ่ จา้ กรรมนายเวรและผลู้ ่วงลับเปน็ ลาดบั สุดท้าย

1. ขอ้ ความน้ีกล่าวถงึ เร่ืองใด ข. การกรวดน้า
ก. การทาบุญ ง. การรับพรจากพระสงฆ์
ค. การตักบาตร

2. ขนั้ ตอนสุดทา้ ยของการตักบาตรคือขอ้ ใด ข. การวางดอกไมล้ งฝาบาตร
ก. การรับพร ง. การกรวดนา้ เพื่ออุทศิ ส่วนกุศล
ค. การเตรียมอาหารคาวหวาน

อ่านข้อความตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถามขอ้ 3 - 4

ตลาดน้าดาเนินสะดวก แหล่งอารยธรรมดั้งเดิมของชาวราชบุรีท่ีนับวันจะเลือนหายไป หากจะมองถึง
การคมนาคมขนสง่ เพียงอย่างเดียว คนไทยในสมัยโบราณต้องพ่ึงพาอาศัยแหล่งน้าธรรมชาติ หรือแม่น้าลาคลอง
ในการเดินทาง เพราะมีความสะดวกในการเคลื่อนที่ขนถ่ายสินค้าได้ทีละมาก ๆ การขนส่งและการเดินทางของ
คนไทยในอดีต จึงใช้เรือเป็นพาหนะเคล่ือนที่ไปตามลาน้า คูคลอง จึงก่อให้เกิดแหล่งชุมชนข้ึนตามริมฝั่งแม่น้า
ถึงแม้ปัจจุบันการคมนาคมขนส่งจะเจริญก้าวหน้าไปมาก จนเราเร่ิมจะไม่ค่อยเห็นคุณค่ามันไปเสียแล้ว แต่อย่า
ลมื ว่าสายน้าหลอ่ เล้ยี งชวี ิตเราไม่เห็น

3. การคมนาคมของคนในอดีตใช้พาหนะใด ข. รถไฟ
ก. เรอื ง. จักรยานยนต์
ค. รถยนต์
ข. ชาวราชบรุ ี
4. ข้อความน้ีกลา่ วถึงเร่ืองใด ง. ตลาดน้าดาเนินสะดวก
ก. การขนส่ง
ค. วถิ ีชวี ิตคนสมยั ก่อน


Click to View FlipBook Version