47
5. “นกพิราบสชี มพมู ีถนิ่ ฐานอยู่บนเกาะมอริตสั ในทวปี แอฟริกา อาศัยอยใู่ นป่าละเมาะ
อาหารของพวกมนั คอื ดอกไม้ ผลไม้ และเมลด็ พชื เล็ก ๆ นกพริ าบสีชมพูมีจานวนลดลงเปน็ อย่างมาก
เนือ่ งมาจากการล่าของมนุษย์ ปัจจบุ นั นกพิราบสีชมพูมีอย่ใู นปา่ ประมาณ 25 ตวั และในสวนสัตว์
ประมาณ 2 ตวั ”
ข้อความนี้กลา่ วถึงสง่ิ ใดเป็นสาคญั ข. อาหารของนกพิราบสีชมพู
ก. ปรมิ าณจานวนนกพริ าบ ง. ที่อย่อู าศยั ของนกพริ าบสีชมพู
ค. ประวตั ิของนกพิราบสีชมพู
6. “...ป้าสมศรีเป็นแม่ค้าขายถา่ น ร้านของแกเปน็ ห้องแถวสองหอ้ งติดกัน อยู่ตลาดริมคลองหา่ งจาก
หอ้ งแถวของฉนั ไปเพยี งร้อยกว่าเมตรเท่านน้ั เอง...”
ขอ้ ความใดเป็นใจความสาคญั
ก. อย่ตู ลาดรมิ คลอง
ข. ป้าสมศรเี ป็นแม่คา้ ขายถ่าน
ค. รา้ นของแกเป็นห้องแถวสองห้องติดกนั
ง. หา่ งจากหอ้ งแถวของฉันไปเพยี งร้อยกว่าเมตร
7. “เครอ่ื งดื่มเพอ่ื สขุ ภาพทส่ี มบูรณ์แบบท่สี ดุ เม่ือมีการประชมุ หลายบรษิ ทั เขาเสิร์ฟน้าขิงร้อนแทน
เครื่องดื่มอย่างอ่ืน ผ้เู ขา้ รว่ มประชมุ พอใจทีจ่ ะด่ืมมาก เพราะน้าขิงเปน็ ยอดสมุนไพรบารงุ สุขภาพอนามัย
นอกจากนา้ ขิงจะด่ืมสดช่นื แลว้ ยังคมุ ธาตุของรา่ งกาย ขับลม แกท้ ้องเฟอ้ เรอเปรี้ยวได้อีกดว้ ย”
สารทไ่ี ดอ้ า่ นเป็นสารประเภทใด ข. เชิญชวน
ก. ให้ข้อคิด ง. ให้ความเพลิดเพลิน
ค. ให้ความรู้
8. ประกาศ
ผู้ที่จะไปทาใบขออนุญาตขับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ก็ตาม โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง อย่าได้
ตดิ ใจตคอ่ วกาบั มบสคุ าคคลัญภขาอยงนปอรกะกขาน้ั ศตนอี้คนอื ใอนะกไารรดาเนินงานไมย่ งุ่ ยากอะไร เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ให้ย่ืนเรื่องราว
พรอ้ มคารอ้ ง ซ่งึ ขอไดจ้ ากประชาสัมพนั ธ์แผนกขับข่ี โดยไม่ต้องเสยี ค่าคาร้องแตอ่ ยา่ งใด
ก. ขน้ั ตอนในการทาใบอนุญาตขบั รถยนต์ไม่ยุ่งยาก
ข. การทาใบอนุญาตขบั รถยนต์หรอื จักรยานยนตต์ ้องเตรียมเอกสารใหพ้ ร้อม
ค. การทาใบอนุญาตขบั รถยนตห์ รอื จักรยานยนต์ควรติดตอ่ กบั เจ้าหนา้ ทโ่ี ดยตรง
ง. การย่นื เรือ่ งราวทาใบอนุญาตขับรถยนต์หรือจกั รยานยนต์ไม่ต้องเสยี ค่าคาร้อง
48
อ่านเรอ่ื งตอ่ ไปน้แี ลว้ ตอบคาถามขอ้ 9 – 10
โปรตนี เป็นสารอาหารที่มีความสาคญั ต่อการเจรญิ เติบโต โดยเฉพาะในระยะต้ังครรภ์ ความตอ้ งการของ
โปรตีนจะเพม่ิ ข้ึน นอกจากน้รี ะยะการใหน้ มบุตรกม็ ีความต้องการโปรตีนด้วย ขณะเดียวกนั เด็กท่ีอยูใ่ นวัยท่ีกาลงั
เจรญิ เตบิ โตจะมคี วามตอ้ งการโปรตีนมากกวา่ ผ้ใู หญ่ ดังน้นั อาหารทมี่ ีโปรตีนสูงจงึ เป็นอาหารท่คี วรไดร้ ับ
อาหารทมี่ ีโปรตีนสงู ไดแ้ ก่ ไข่ นม ถ่วั เหลือง เน้ือสัตว์ตา่ ง ๆ เช่น เนอื้ ไก่ เนือ้ เป็ด ปลาทู เนือ้ วัวไม่ติด
มนั จะมโี ปรตนี ประมาณ 20 ตอ่ 100 กรัมของอาหาร ส่วนไขจ่ ะมโี ปรตีนประมาณ 13 กรมั ต่อ 100 กรัมของ
อาหาร และถว่ั เหลอื งเปน็ พืชที่มโี ปรตีนสูงถงึ ร้อยละประมาณ 34 การกินอาหารที่มโี ปรตีนสูง โดยเฉพาะคนท่ีอยู่
ในประเทศที่พัฒนาแลว้ พบว่า ไดร้ บั โปรตนี ปรมิ าณสงู กวา่ คนในประเทศท่ีกาลังพัฒนา ซ่ึงคนส่วนใหญจ่ ะขาด
อาหาร การไดร้ ับโปรตีนสงู เกินไปจะไมม่ ปี ระโยชน์ ตรงกันขา้ มจะเพ่ิมความเสย่ี ง เชน่
อาจเปน็ โรคอว้ น เนอื่ งจากอาหารทีม่ โี ปรตีนสูงมักจะเปน็ เน้ือสัตวต์ ดิ มัน ถ้าเป็นเด็กหรือทารกร่างกายไม่
สามารถทจี่ ะปรับตวั กบั ปรมิ าณโปรตีนสูง ๆ ท่กี ินเขา้ ไป
การกนิ อาหารทม่ี โี ปรตนี สงู จะทาให้กินอาหารอื่นได้นอ้ ยลง โอกาสที่จะทาใหเ้ กิดการขาดสารอาหาร
ชนิดอืน่ เปน็ ไปได้สงู และการกนิ อาหารทม่ี โี ปรตีนสูงทาให้ร่างกายต้องกินแคลเซียมสูงดว้ ย เพราะทาให้ร่างกาย
เพมิ่ การกาจัดแคลเซียมออกจากร่างกาย
ดังนนั้ การกินอาหารจึงควรมีโปรตนี ในปริมาณท่ีพอเหมาะ
9. ประโยคใจความสาคัญของเรือ่ งนค้ี ือข้อใด
ก. การกินอาหารท่ีมโี ปรตีนสูงทาให้อ่ิมเรว็ ข้ึน
ข. ควรกินอาหารทมี่ ีโปรตนี ในปรมิ าณพอเหมาะ
ค. โปรตนี เปน็ สารอาหารท่มี ีความสาคัญต่อการเจริญเตบิ โต
ง. อาหารทีม่ โี ปรตนี สูง ไดแ้ ก่ เน้อื สตั วต์ า่ ง ๆ ไข่ นม ถั่วเมลด็ แหง้
10. จากเนื้อความขา้ งต้นผู้เขียนมีจดุ ประสงค์อย่างไร
ก. แนะนา ข. ชแี้ จง ค. ใหค้ วามรู้ ง. ให้ความเพลดิ เพลนิ
11. ข้อใดไม่มคี วามเก่ยี วขอ้ งกับการอ่านจบั ใจความสาคญั
ก. การจบั ใจความสาคญั เปน็ ทกั ษะเบื้องตน้ ของการรบั สาร
ข. ใจความสาคัญคือความคิดสาคัญหรือประเดน็ สาคัญของเรอ่ื ง
ค. การจับใจความสาคัญสามารถทาได้ทงั้ การรับสารดว้ ยการอา่ นและการฟัง
ง. การจบั ใจความสาคญั ด้วยการฟังไม่จาเปน็ ต้องเตรยี มความพร้อมก่อนการฟัง
49
12 “ทอ้ งฟ้ามอี ยู่แบบท้องฟ้า ก้อนเมฆลอยอยูแ่ บบกอ้ นเมฆ พระอาทิตย์สาดแสงในแบบของพระอาทิตย์
นกรอ้ งแบบทีม่ ันร้อง ดอกไม้สวยงามเป็นธรรมชาติของดอกไม้ ลมพดั เพราะมันคือลม หอยทากเดนิ ช้าอยา่ งที่
หอยทากเปน็ เหมือนธรรมชาตกิ าลงั กระซบิ บอกฉนั ว่ามันเพยี งเปน็ ของมันอยา่ งน้นั มันไม่รอ้ งขอ ฉันจะมองเห็น
มัน หรือไม่เห็นมัน มันไมเ่ รยี กรอ้ งใหต้ ้องช่ืนชม ต้องแลกเปล่ยี น ต้องขอบคุณ เป็นของมันอยา่ งนน้ั ไม่ได้ต้องการ
อะไร มนั เพียงแตเ่ ปน็ ไป ทกุ อยา่ งเปน็ ธรรมชาตขิ องมัน” ใจความสาคญั ของข้อความน้ตี รงกับข้อใด
12. ใจความสาคัญของข้อความนีต้ รงกับข้อใด
ก. ธรรมชาติไม่เคยสนใจมนุษย์
ข. ธรรมชาตไิ ม่เคยเรยี กร้องอะไรจากมนษุ ย์
ค. ธรรมชาติไมต่ อ้ งการคาชนื่ ชมจากมนษุ ย์
ง. ทกุ อยา่ งที่เปน็ ธรรมชาติ ล้วนมคี วามสวยงาม
(1)ธรรมชาติของเดก็ อยากแสดงออก (2)เดก็ ชอบวาดรูป (3)ดงั น้นั พอ่ แม่ ครหู รอื ผปู้ กครองจะต้องจดั
อปุ กรณ์วาดรูปให้เด็กต้ังแตเ่ ขายงั เลก็ มากๆ (4)และการได้วาดรูปรว่ มกันจะกระตนุ้ การแสดงออก
ปลุกความคิดสร้างสรรค์ไร้ขอบเขต
13. ขอ้ ความหมายเลขใดเป็นใจความสาคัญของข้อความน้ี
ก. หมายเลข 1 ข. หมายเลข 2 ค. หมายเลข 3 ง. หมายเลข 4
“ปนี ค้ี นกรงุ แห่ลอยกระทงกนั เยอะขึน้ เจ้าหนา้ ที่ กทม. ระดมเก็บซากกระทงจากแมน่ า้
เจา้ พระยาและคคู ลองต่าง ๆ ในเขตกรงุ เทพมหานครได้กว่า 4 แสนใบ และท่ีนา่ ดีใจอยา่ งยิง่ ก็คือพบ
กระทงทีใ่ ชว้ สั ดุโฟมมีปริมาณลดลงมาก”
จากข้อความดังกล่าว จงตอบคาถาม ข้อ 14-15
14. เจ้าหน้าทผี่ ู้เกยี่ วขอ้ งกบั งานนี้โดยตรงควรเปน็ ใคร
ก. พนักงานกวาดขยะ ข. เจา้ หนา้ ท่สี านักงาน
ง. พนักงานประตูระบายน้า
ค. พนกั งานเก็บขยะ
ค. คนลอยกระทง ง. จานวนกระทง
15. ส่ิงใดที่มีปริมาณลดลง
ค. หนงั สอื สารคดีง. หนังสือแนะนาการท่องเทย่ี ว
ก. ขยะ ข. กระทงโฟม
16. ข้อความนี้จะพบในหนงั สือประเภทใด
ก. หนังสือเรียน ข. หนังสือพิมพ์
50
ใช้ขอ้ ความตอ่ ไปนตี้ อบคาถามขอ้ 17-18
ส่งิ ทด่ี ที ส่ี ุดในชวี ติ ของคนคนหน่ึง ไม่ไดห้ มายความวา่ ส่งิ นัน้ จะต้องดีงามสาหรับทุกชวี ิตเสมอไป
จงเลือกเอาเฉพาะสงิ่ ทด่ี ี พอดีเหมาะสมกบั ชวี ิตของเรามากทสี่ ุด
17. ข้อใดเป็นสาระสาคัญทีผ่ ู้พดู ตอ้ งการเสนอมากท่ีสุด
ก. คนเรามีทรรศนะทตี่ ่างกนั ข. คนเรามีโอกาสในชีวติ ตา่ งกัน
ค. คนเรามีการดาเนินชีวิตที่ต่างกนั ง. คนเรามีจุดมงุ่ หมายในชีวติ ต่างกนั
18. ขอ้ ใดเปน็ จุดมุ่งหมายของผูพ้ ดู ข้อความนี้
ก. ปลอบใจ ข. จรรโลงใจ ค. ให้กาลงั ใจ ง. โนม้ น้าวใจ
อ่านบทความต่อไปนี้แล้วตอบคาถามขอ้ 19-20
นักการทูตตา่ งประเทศเคยปรารภวา่ เพลงสรรเสรญิ พระบารมขี องคนไทยนัน้ มีความไพเราะเพราะพรงิ้
เหลอื เกนิ คาแปลทถ่ี อดความหมายมาเปน็ ภาษาองั กฤษแล้วมีความลึกซึ้งทีฟ่ งั แล้วชวนขนลุก และสามารถบง่
บอกถงึ ความรู้สกึ ผูกพันของคนไทยที่มตี ่อในหลวง มคี วามภาคภมู ิใจแทนพระองค์ทา่ นจริงๆ แตเ่ ด็กไทยบางคนคง
ไม่ทราบกระมังว่าระหวา่ งการบรรเลงเพลงอนั มีความศกั ดิ์สิทธเ์ิ ชน่ น้ี รวมถงึ ในตา่ งประเทศทีเ่ ขากระทากนั อยู่ เรา
จกั ต้องยนื ตรงถวายความเคารพอย่างท่สี ดุ ไม่คุยและไม่เล่น ในบางประเทศเอามือกมุ หัวใจแลว้ ขับร้องตามอย่าง
พรอ้ มเพรียงกัน จะชว่ ยธารงเกียรตยิ ศและคุณแห่งความดนี ้ีไว้ เพลงอันมคี วามศกั ดิ์สิทธ์ทิ ี่กล่าวถงึ นี้ แสดงถึง
ความรัก ความหวงแหนและความภมู ิใจของคนไทยทงั้ ชาตโิ ดยแท้
19. เพราะเหตุใดชาวตา่ งประเทศจึงมีความเหน็ ว่าเพลงสรรเสริญพระบารมี มีความศักดส์ิ ิทธิ์
ก. เพราะมคี วามไพเราะเพราะพร้ิง
ข. เพราะเป็นเพลงท่ีใชส้ รรเสริญพระบารมีในหลวง
ค. เพราะเมอื่ ใครได้ยนิ แล้วก็ต้องแสดงความเคารพด้วยความสารวม
ง. เพราะเนื้อเพลงบอกถงึ ความผูกพันของคนไทยที่มีตอ่ ในหลวง
20. บทความน้ีผู้กล่าวมีนา้ เสียงอย่างไร
ก. ซาบซึ้งความหมายทแ่ี ปลเปน็ ภาษาตา่ งประเทศ
ข. อิจฉาคนไทยที่มีในหลวง
ค. ภาคภูมิใจแทนคนไทย
ง. ชืน่ ชมและตาหนิ
51
แบบฝกึ ทักษะพฒั นาความสามารถการอ่านจับใจความ งานเขียนประเภทบทความ
เร่อื ง ทาไมไมค่ วรหา้ มเดก็ ร้องไห?้ เมอื่ การร้องไห้อาจมปี ระโยชน์มากกว่าทค่ี ิด
คาชีแ้ จง อ่านบทความต่อไปนี้ แล้วตอบคาถามใหถ้ ูกต้อง
เม่อื เรว็ ๆ น้มี ีดราม่าโรงเรยี นประถมฯ แห่งหนงึ่ ประกาศรับสมคั รเด็กเขา้ ศึกษา โดยให้ผ่านการ
ทดสอบ ตา่ ง ๆ โดยมขี อ้ หน่งึ บอกว่าหากเด็ก ‘ร้องไห้’ จะโดนหักคะแนน ทาให้เกิดเสียงวิจารณ์จานวนมากว่า
เป็นเกณฑ์ท่ไี ม่ เหมาะสมจนสุดท้ายต้องยกเลิกเง่อื นไขดังกล่าวออกไป การรอ้ งไห้ในทารก เด็กเล็ก รวมถึงเด็กโต
ถกู ถกเถยี งมานานวา่ ควรจดั การอย่างไร ควรปล่อยให้เด็กร้องไห้ ไหม แล้วการปล่อยใหเ้ ด็กรอ้ งไหใ้ นท่ีสาธารณะ
เปน็ เรื่องเสียมารยาทหรือเปล่า ซง่ึ อยา่ งแรกท่ีเราควรทาความเข้าใจ ก่อนคอื การร้องไห้เป็นธรรมชาตขิ องมนุษย์
กลไกนี้ถกู สรา้ งข้นึ มาดว้ ยเหตุผลบางอย่าง และเหตผุ ลนน้ั อาจเปน็ ประโยชนก์ วา่ ทเี่ ราคิด บทความที่เผยแพร่
ผา่ นทาง Harvard Health Publishing โดย Harvard Medical School ระบวุ ่า ในทางการแพทยก์ ารร้องไห้
เปรียบเสมอื นกับยาระบาย ระหว่างที่เราขับน้าตาทางอารมณ์ (Emotional Tears) ออกมา รา่ งกายจะหล่งั ออก
ซโิ ทซินและเอ็นดอร์ฟนิ ซึง่ เป็นสารบรรเทาความเจบ็ ปวด เป็นกลไกท่ที าให้มนุษย์ ปลดปลอ่ ยความเครยี ด ความ
อดึ อดั จากความรู้สึกไมพ่ อใจ ความอยตุ ธิ รรม ความนอ้ ยใจ หรอื อารมณ์ ในทางลบอ่ืน ๆ ซึ่งหากเก็บไว้โดยไม่ได้
รบั การปลดปล่อยอาจสง่ ผลเสยี ในระยะยาวท้ังทางร่างกายและทางจิตใจ นอกจากประโยชนท์ างร่างกาย บางคร้ัง
การรอ้ งไหย้ ังสง่ ผลดีต่อการพัฒนาตวั ตนด้วย โดยเฉพาะ อย่างย่งิ ในชว่ งวัยเด็ก ศาสตราจารย์แพทริเซีย ฮาวเลย์
(Patricia Hawley) จาก University of Missouri ไดศ้ ึกษา ผลกระทบต่อเดก็ จากการท่ีผู้ปกครองหรือคนใกล้ชิด
บอกใหเ้ ดก็ หยดุ ร้องไหด้ ว้ ยวธิ ีทแ่ี ตกตา่ งกนั ไปได้แก่
1. บงั คบั ให้เด็กหยดุ ร้องไห้ด้วยการขม่ ขู่
2. บอกวา่ การร้องไห้เป็นเร่ืองของคนอ่อนแอ
3. ไมส่ ง่ั ใหเ้ ดก็ หยดุ ร้องไหท้ นั ที แตช่ ้ีใหเ้ ห็นวา่ การร้องไห้ไม่สามารถแก้ปญั หาได้ และแนะนา
วิธแี สดงอารมณ์แบบอืน่
4. ชว่ ยเด็กจดั การกบั ปญั หาท่ตี ้องต้นเหตุของการรอ้ งไห้
แพทรเิ ซียพบวา่ การจดั การในรูปแบบ 1 และ 2 ซึง่ เปน็ วธิ ีทก่ี ดดนั ใหเ้ ด็กหยุดร้องไห้อย่าง
รวดเร็วโดยไม่พิจารณาปัจจยั อนื่ ๆ นนั้ สง่ ผลเสยี ตอ่ อารมณ์และการพฒั นาตวั ตนของเด็ก แตก่ ารแก้ปัญหาแบบ 3
และ 4 ที่ ผ้ปู กครองให้ความยืดหยุ่น ถามความเหน็ เสนอทางแก้ปญั หาชว่ ยใหเ้ ด็กรูจ้ กั ควบคมุ ตวั เองและรู้จัก
การแกป้ ัญหา ในระยะยาว
52
ทีผ่ า่ นมา หลายครั้งการร้องไหข้ องเด็กในท่ีสาธารณะถูกมองวา่ เปน็ เรอื่ งเสยี มารยาท และไม่
สมควรหลายองค์กรทว่ั โลกจึงออกมารณรงค์ให้มองการรอ้ งไห้ของเหล่าเด็กเล็กเป็นเรอื่ งปกติ และยกเรอื่ ง
‘สิทธใ์ิ นการร้องไห้ขน้ึ มา’ ซึ่งเมอ่ื 3 ปกี ่อน ญ่ปี นุ่ เองก็มาเคล่ือนไหวเรื่องนีเ้ ช่นกนั โดยเรยี กรอ้ งให้สังคมมองการ
ร้องไห้ของเด็กเป็นเร่ืองปกติ เพอ่ื ลดความกังวลของเด็กและผูป้ กครองเมื่อต้องพาลกู หลานออกไปทสี่ าธารณะ
อยา่ งไรกต็ าม ต้องบอกก่อนว่าการรอ้ งไหอ้ าจจะไม่ได้มีแต่ข้อดเี สมอไป และใชว่ ่าเราควรปล่อย
ปะละเลยการรอ้ งไห้ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในทารกท่ียงั ไม่สามารถส่อื สารในอนื่ ได้ แมจ้ ะมีการศึกษาบอกไวว้ า่
การปลอ่ ยให้เด็กทารกร้องไห้และหยุดไปเองจะช่วยใหพ้ วกเขาควบคมุ ตัวเองได้มากขนึ้ ***แตไ่ ม่ใชว่ ่าควรใชว้ ิธีน้ี
ทกุ คร้งั เสมอไป*** ผ้ปู กครองควรพจิ ารณาในแตล่ ะสถานการณ์วา่ อะไรเป็นสาเหตุที่ทาให้เด็กเสียใจ เพราะหาก
ปลอ่ ยใหร้ อ้ งไห้โดยไมไ่ ด้รับการใส่ใจหรือดแู ล อาจสง่ ผลเสียต่อตวั เดก็ ในทา้ ยท่ีสุด
(The MATTER : ออนไลน์ https://thematter.co/brief/167087/167087)
53
แบบฝกึ ทกั ษะท่ี 1.2
คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนตง้ั คาถามจานวน 10 ข้อ จากเร่อื ง “ทาไมไม่ควรหา้ มเดก็ ร้องไห้? เม่อื การรอ้ งไห้อาจมี
ประโยชนม์ ากกว่าท่ีคดิ ”
1. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
2. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
3. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
4. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
5. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
54
6. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
7. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
8. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
9. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
10. …………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
55
แบบฝึกทักษะที่ 1.3
คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนจดบันทึกใจความสาคญั จากการอ่านเรื่อง “เรื่อง ทาไมไมค่ วรหา้ มเดก็ รอ้ งไห้? เมื่อการร้องไหอ้ าจ
มีประโยชน์มากกวา่ ทค่ี ิด”
ใคร
ทำอะไร
ทไี่ หน
อย่ำงไร
56
แบบฝกึ ทกั ษะที่ 1.4
คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นจดบนั ทึกจากการอ่านเรื่อง ทาไมไม่ควรห้ามเด็กร้องไห้? เม่อื การรอ้ งไห้อาจมปี ระโยชน์
มากกวา่ ทค่ี ิด เขียนสรปุ ในรูปแบบของแผนผังความคิด
ทาไมไม่ควรห้ามเดก็ ร้องไห้? เม่อื การ
รอ้ งไห้อาจมปี ระโยชน์มากกว่าทจี ะคิด
มากกวา่ ทคี่ ิด
57
แบบฝึกทกั ษะท่ี 1.5
คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ จากบทความ เรือ่ งทาไมไม่ควรห้ามเดก็ ร้องไห้? เมอื่ การรอ้ งไหอ้ าจ
ประโยชน์มากกว่าที่คิด
1. การร้องไห้มปี ระโยชน์อยา่ งไร
............................................................................................................................. ......................
............................................................................................................................. ......................
2. สาเหตอุ ะไรบา้ งทเ่ี ด็กร้องไห้
............................................................................................................................. ......................
........................................................................................................... ........................................
3. นักเรียนคิดวา่ การร้องไหข้ องเดก็ ผิดกฎหมายหรือว่าเปน็ ปกติ อย่างไร
............................................................................................................................. ......................
............................................................................................................................. ......................
4. เมื่อเดก็ ร้องไห้ควรปฏิบตั ิอย่างไร
...................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ......................
5. การร้องไห้ของเด็กในทส่ี าธารณะถูกมองวา่ เปน็ เรอื่ งเสยี มารยาทหรือไม่อย่างไร แสดงความคิดเห็น
............................................................................................................................. ......................
.............................................................................................................................................. .....
6. เม่ือถงึ ทะเลทรายพ่อคา้ เดินทางชว่ งเวลาใดเพราะอะไร
...................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ......................
7. ขอ้ ดใี นการร้องไห้
.................................................................................................................................... ...............
.................................................................................................................. .................................
8. ขอ้ เสียในการร้องไห้
............................................................................................................................. ......................
............................................................................................................................. ......................
9. หากเด็ก ‘รอ้ งไห้’ จะโดนหักคะแนน เห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด
..................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................
10. การบงั คบั ใหเ้ ด็กหยดุ ร้องไห้ มีผลอย่างไร
............................................................................................................................. ....................
.................................................................................................................................................
58
แบบประเมินแผนการจัดการเรยี นรู้ การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสาคญั โดยใช้แบบฝึกทักษะ
ร่วมกับเทคนคิ การสอนแบบ SQ4R ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
(สาหรบั ผ้เู ชี่ยวชาญ)
คาชีแ้ จง
โปรดพิจารณาวา่ แผนการจัดการเรยี นรู้ การพฒั นาผลสัมฤทธิ์การอ่านจบั ใจความของนักเรยี น
ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ดว้ ยวิธกี ารสอนอา่ นแบบ SQ4R รว่ มกบั แบบฝกึ ทักษะ มีความสอดคลอ้ งเหมาะสมตาม
รายการประเมนิ ได้แก่ 1) ความสอดคล้องเหมาะสมของวตั ถุประสงค์ 2) ความสอดคล้องเหมาะสมของกิจกรรม
การเรียนรู้ และ 3) ความสอดคล้องเหมาะสมของวิธีการวดั และประเมนิ ผล โปรดทาเครอื่ งหมาย ✓ ตามความ
คิดเหน็ ของท่าน ลงในช่อง ระดับความสอดคลอ้ งเหมาะสม ดังตอ่ ไปน้ี
5 หมายถงึ มคี วามสอดคลอ้ ง/เชื่อมโยง/เหมาะสมมากทส่ี ุด
4 หมายถงึ มีความสอดคลอ้ ง/เชื่อมโยง/เหมาะสมมาก
3 หมายถงึ มคี วามสอดคลอ้ ง/เช่ือมโยง/เหมาะสมปานกลาง
2 หมายถงึ มคี วามสอดคลอ้ ง/เชื่อมโยง/เหมาะสมนอ้ ย
1 หมายถงึ มีความสอดคลอ้ ง/เช่ือมโยง/เหมาะสมนอ้ ยท่สี ดุ
รายการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ ระดับความสอดคล้อง
เหมาะสม
1. ความสอดคล้องเหมาะสมของวัตถุประสงค์
1.1 วตั ถปุ ระสงคส์ อดคล้องกบั แนวคิด 54321
1.2 วัตถุประสงคส์ อดคล้องกบั เน้ือหาสาระ
1.3 วตั ถปุ ระสงคเ์ หมาะสมกับระดับผเู้ รียน
2. ความสอดคล้องเหมาะสมของกิจกรรมการเรียนรู้
2.1 กิจกรรมการเรยี นรสู้ อดคล้องกบั แนวคิด
2.2 กจิ กรรมการเรียนรูส้ อดคล้องกบั วัตถุประสงค์
2.3 กจิ กรรมการเรียนรู้สอดคล้องกบั เน้ือหาสาระ
2.4 กจิ กรรมการเรียนรเู้ หมาะสมกับระดับผเู้ รียน
2.5 เวลาในการจดั กจิ กรรมการเรียนร้เู หมาะสม
2.6 การลาดับกิจกรรมการเรียนร้เู หมาะสม
2.7 การใช้สอ่ื ในกิจกรรมการเรยี นรู้เหมาะสม
3. ความสอดคล้องเหมาะสมของวิธกี ารวดั และประเมนิ ผล
3.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผลสอดคลอ้ งกบั แนวคดิ
3.2 วิธกี ารวดั และประเมินผลสอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์
3.3 วิธีการวดั และประเมินผลสอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หาสาระ
3.4 เคร่ืองมือวดั มีความเหมาะสม ชัดเจน
3.5 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนมีความถูกต้อง เหมาะสม
รวม
59
ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เติม
สรุปผลการประเมิน มคี วามเหมาะสมในระดบั ⬜ คะแนน 30-44 ปานกลาง
⬜คะแนน 60-75 ดีมาก ⬜ คะแนน 45-59 ดี
⬜ คะแนน 15-29 พอใช้ ⬜ ต่ากวา่ 15 ควรปรบั ปรงุ
ลงชอ่ื ผ้ปู ระเมนิ
()
60
แบบประเมนิ ความสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้
คาชแ้ี จง โปรดพจิ ารณาวา่ ข้อสอบแตล่ ะขอ้ จากแบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่านจบั ใจความ
สาคัญ กลุม่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 2 วัดตรงตามจุดประสงคก์ ารเรียนรทู้ ่รี ะบไุ ว้หรือไมโ่ ดย
มีรายระเอียดการพจิ ารณาดงั นี้
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ข้อสอบ พฤติกรรมท่ีวัด ผลการประเมนิ ขอ้ เสนอแนะ
+1 0 -1
61