โครงการเสนอบัณฑติ นิพนธ์
หวั ข้อเร่อื ง การพัฒนาพฤตกิ รรมความกล้าแสดงออกโดยใชก้ ระบวนการเรียรูแ้ บบกลุ่ม
(Kurt Lewin) ในรายวิชาสงั คมศกึ ษา ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที1่
Develop assertive behavior using group learning process (Kurt Lewin)
in social studies subjects. Secondary school level 1
อาจารยน์ เิ ทศ อาจารย์กุลชาติ ทกั ษไพบลู ย์
อาจารยท์ ีป่ รึกษา รศ.ดร.วทิ ยา วิสูตรเรืองเดช
เสนอโดย นางสาวชญาณี ราตรฤี กษ์
รหัสประจำตัว 6321126056
หลักสูตร ตรุศาสตร์บัณฑิต
สาขาวชิ า สังคมศึกษา
ปีการศึกษา 2565
โครงการเสนอบัณฑติ นิพนธ์
หวั ข้อเร่อื ง การพัฒนาพฤตกิ รรมความกล้าแสดงออกโดยใชก้ ระบวนการเรียรูแ้ บบกลุ่ม
(Kurt Lewin) ในรายวิชาสงั คมศกึ ษา ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที1่
Develop assertive behavior using group learning process (Kurt Lewin)
in social studies subjects. Secondary school level 1
อาจารยน์ เิ ทศ อาจารย์กุลชาติ ทกั ษไพบลู ย์
อาจารยท์ ีป่ รึกษา รศ.ดร.วทิ ยา วิสูตรเรืองเดช
เสนอโดย นางสาวชญาณี ราตรฤี กษ์
รหัสประจำตัว 6321126056
หลักสูตร ตรุศาสตร์บัณฑิต
สาขาวชิ า สังคมศึกษา
ปีการศึกษา 2565
ก
สารบัญ
หนา้
สารบัญ.................................................................................................................................ก
สารบัญตาราง.......................................................................................................................ง
บทท่ี
1 บทนำ......................................................................................................................1
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา.........................................................1
วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั ......................................................................................3
สมมตฐิ านการวจิ ัย..........................................................................................4
ขอบเขตของการวิจยั ......................................................................................4
ประโยชนท์ ไี่ ด้รบั จากการวิจยั ........................................................................4
นยิ ามศัพท์เฉพาะ...........................................................................................5
กรอบแนวความคิดในการวจิ ยั .......................................................................5
บทที่
2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง........................................................................6
กระบวนการเรยี นร้แู บบกล่มุ (Kurt Lewin)……….…….………….…..…………….8
ความหมาย..........................................................................................8
หลักการและแนวคดิ ทฤษฎที เ่ี กยี่ วขอ้ งกระบวนการกลุ่ม.....................9
ทฤษฎกี ระบวนการกล่มุ ในการเรยี นการสอน....................................12
ข
สารบัญ (ตอ่ )
ทฤษฎหี ลักการสอน..........................................................................13
ทฤษฎกี ารแบ่งประเภทของกลุม่ .......................................................15
รูปแบบและขน้ั ตอนการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม.........................17
พฤติกรรมความกล้าแสดงออก...................................................................18
ความหมายของพฤตกิ รรมความกล้าแสดงออก................................18
ทฤษฎพี ฤติกรรมการแสดงออก........................................................21
ลกั ษณะของพฤตกิ รรมความกล้าแสดงออก.....................................23
องคป์ ระกอบของพฤติกรรมการกลา้ แสดงออก................................28
หลักสูตรแกนกลาง.....................................................................................32
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551………….32
วิสยั ทศั น์……………………………………………………………………… 32
หลักการ .................................................................................32
จุดหมาย................................................................................. 33
สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน ....................................................33
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ .....................................................34
มาตรฐานการเรียนรู้ ...............................................................35
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้.................................................35
งานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง....................................................................................37
ค
สารบญั (ตอ่ )
บทที่
3 วธิ ีการดำเนนิ การวจิ ัย......................................................................................39
ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง.......................................................................40
แบบแผนการวจิ ัย......................................................................................40
เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั ...........................................................................41
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ..............................................................................43
การวิเคราะหข์ อ้ มลู ...................................................................................44
บรรณานุกรม........................................................................................................45
ง
สารบญั ตาราง
หนา้
ตารางท่ี
1. แบบแผนการวิจยั One Group Pretest – Posttest Design………………………………40
5
บทที1่
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
กระแสการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ทีห่ ลัง่ ไหลเข้าสปู่ ระเทศไทยในสังคมท่เี ปน็ ยุคดจิ ิทัล ส่งผลใหค้ า่ นิยมใน
สงั คมไทยเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว คนไทยบางส่วนไม่สามารถเลือกรบั ปรบั ใช้กบั การดำเนนิ ชีวติ ประจำวัน
ส่งผลให้วัฒนธรรมและวถิ ชี วี ติ แบบดั้งเดมิ ท่เี ป็นรากเหงา้ ของคนไทยถูกกลืน โดยวิถชี วี ิตแบบใหม่มีค่านยิ มยึด
ตนเองเปน็ หลักมากกว่าการคำนึงถึงสังคมสว่ นรวม รกั สนุกและความสบาย เชือ่ ขา่ วลอื ขาดความอดทน
ขาดวินัย วัตถุนยิ ม ยอมรบั คนทฐี่ านะมากกว่าคนดี มคี ุณธรรม มีพฤติกรรมทีไ่ ม่เหมาะสมหลายประการท่ี
ลอกเลยี นแบบวฒั นธรรมจากตา่ งประเทศ ชี้ให้เห็นว่าคนไทย ยงั ขาดทกั ษะในการคดั กรองและเลือกรับ
วัฒนธรรมทด่ี จี ากต่างประเทศมาปรับใช้ในชวี ิตประจำวนั ทำ ใหล้ ะทิง้ ค่านิยมที่ดีงามอันเปน็ เอกลักษณ์ของ
วฒั นธรรมไทยและลดคุณคา่ ของความเปน็ ไทย จึงจำเปน็ ตอ้ งใหค้ วามสำคญั กบั การวางรากฐานการปรบั เปลี่ยน
ใหค้ นมคี า่ นิยมตามบรรทัดฐานทีด่ ขี องสังคมไทย (แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579) ประกอบกับ
แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ.2560 - 2564) ได้กล่าวว่า คนไทยส่วนใหญ่ยงั มี
ปัญหาดา้ นคุณธรรม จริยธรรม และไมต่ ระหนักถึงความสำคญั ของการมีวินัย ความซื่อสัตย์สุจรติ และการมีจติ
สาธารณะ ทำให้ส่งผลต่อการดำรงชวี ิตของคนในสังคมไทย ดังนั้นบคุ คลท่ีจะอยู่รอดและดำรงชีวติ ได้อย่างมี
ความสุขตอ้ งสามารถปรับตวั ให้เขา้ กับการเปล่ียนแปลงของสงั คมที่รวดเร็วนไี้ ด้ โดยการท่ีบุคคล สามารถทจี่ ะ
กลา้ พูด กลา้ คิด กล้าทำ และกลา้ เผชิญสถานการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ดว้ ยเหตุน้ี พฤติกรรมกลา้
แสดงออกอยา่ งเหมาะสมจึงเป็นพฤติกรรมหนงึ่ ทช่ี ่วยใหเ้ ยาวชนสามารถปรับตัวใหเ้ ข้า กับสถานการณ์ต่าง ๆ
ไดอ้ ย่างเหมาะสมและวางรากฐานและพฒั นาใหค้ นไทยเปน็ คนดี มีสขุ ภาวะท่ีดี มคี า่ นยิ มทดี่ ี มีคณุ ธรรม
จรยิ ธรรม มรี ะเบยี บวินัย มีพฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงค์ มจี ติ สานกึ ทดี่ ตี ่อสังคม ส่วนรวม เป็นคนเก่งท่ีมที ักษะ
ความรคู้ วามสามารถและพัฒนาตนเองไดต้ ่อเนือ่ งตลอดชีวติ ให้สอดคล้องกบั ทักษะทีจ่ ำเป็นตอ่ การดำรงชีวติ ใน
ศตวรรษท่ี 21 และสามารถปรับตัวเทา่ ทนั กับการเปล่ียนแปลงรอบตวั ท่ีรวดเร็ว บนพน้ื ฐานของการมีสถาบัน
ทางสังคมทเี่ ข้มแข็งทัง้ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบนั ศาสนา สถาบนั ชุมชน และภาคเอกชนท่ี
ร่วมกนั พัฒนาทุนมนุษย์ให้มคี ุณภาพสงู อีกทงั้ ยงั เปน็ ทนุ ทางสงั คมสำคัญในการขบั เคลื่อนการพฒั นาประเทศ
การจัดการศึกษาในปัจจุบนั จงึ ตอ้ งปรับเปลีย่ นใหต้ อบสนองกบั ทิศทางการผลติ และการพัฒนา
กำลังคน โดยมุ่งเนน้ การจดั การเรียนการสอนเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมีทกั ษะในศตวรรษที่ 21 เพ่อื ใหไ้ ด้ ทง้ั ความรู้และ
6
ทกั ษะท่จี ำเปน็ ต้องใช้ในการดำรงชีวิต การประกอบอาชพี และการพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ
ทา่ มกลางกระแสแห่งการเปล่ียนแปลง โดยทักษะสำคัญจำเปน็ ในโลกศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยทักษะท่เี รียก
ตามคำย่อว่า 3Rs BCs โดย 3Rs ประกอบดว้ ย การอ่านออก (Reading) การเขยี นได้ (Writing) และการคิด
เลขเปน็ (Arithmetics) สว่ น BCs ประกอบด้วย ทกั ษะด้านการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและทกั ษะในการ
แก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะ ด้านการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม
(Creativity and Innovation) ทักษะดา้ นความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ (Cross – cultural
Understanding) ทักษะด้านความร่วมมือ การทาํ งานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration Teamwork
and Leadership) ทกั ษะด้านการ สือ่ สาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (Communications, Information
and Media Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and
ICT Literacy) ทกั ษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) และความมเี มตตา กรณุ า
มวี ินยั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม (Compassion) ซง่ึ เปน็ คุณลักษณะพืน้ ฐานสำคัญของทักษะขั้นต้นท้ังหมดท่ี
เก่ียวข้องกบั พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอยา่ งเหมาะสม และเป็นคุณลักษณะทเ่ี ด็กไทยจำเปน็ ตอ้ งมี (ณัฐพงษ์
เพราแกว้ , 2559)
พฤติกรรมการกลา้ แสดงออกทเ่ี หมาะสม ถอื เป็นส่ิงท่จี ําเป็นอย่างยงิ่ ต่อการดําเนินชีวิตในสงั คม
ปัจจบุ ัน เนื่องจากเปน็ ปัจจัยท่ีทําใหส้ ามารถเผชิญกบั สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม กลา้ ฟันฝา่ อปุ สรรค
ปัญหา และยงั ทําให้เป็นบคุ คลที่มีความมน่ั ใจในตนเอง ได้ในสิ่งทต่ี ้องการ และบุคคลท่ีพบเห็นจะให้เกยี รติมาก
ขึ้น จอรน์ สนั (Johnson, 2004) กล่าวว่าการที่คนเราจะเริ่มเปลยี่ นแปลงไปสู่พฤติกรรมการแสดงออกนน้ั
จะตอ้ งตระหนักไว้เสมอวา่ การเปล่ยี นแปลงนนั้ จะทําให้คนใกล้ชิดหรือคนท่เี กี่ยวข้อง แสดงพฤติกรรมโต้ตอบใน
ทา่ ทางลบต่อการเปลี่ยนแปลงนน้ั ไดเ้ นื่องจากวา่ ถ้าเราไมเ่ คยมีพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกแลว้ ไปแสดงออก
เลย การเปลี่ยนแปลงน้ันยากทผ่ี ใู้ กล้ชิดหรือคนที่เกี่ยวข้องจะยอมรับไดเ้ น่ืองจากพวกเราจะคุ้นเคยกบั สงิ่ ท่ีเรา
เปน็ ได้รับในสิง่ ทตี่ ้องการความกลวั วา่ จะสูญเสียเราจากไปจากการกระทํานน้ั ซ่งึ เราไมค่ วรจะยอ่ ท้อหรือ
เปลี่ยนใจทจ่ี ะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เนื่องจากเราอาจจะไมส่ ามารถท่ีจะไม่ใสใ่ จคนทเ่ี รารกั หรือคนทีส่ าํ คญั ใน
ชีวิตของเราได้อย่างไรก็ตามพฤตกิ รรมกลา้ แสดงออกเปน็ คุณสมบตั ทิ สี่ ามารถปลูกฝังและพัฒนาใหเ้ กิดขนึ้ ไดใ้ น
ตวั บคุ คลให้มกี ารกลา้ แสดงออกท่ีถูกต้องและเหมาะสมได้
ดังนน้ั จึงกลา่ วไดว้ ่า การทบ่ี ุคคลมพี ฤติกรรมการกล้าแสดงออกอยา่ งเหมาะสม ชว่ ยทาํ ใหม้ ีบคุ ลิกท่ีดี
ข้ึน สามารถปรับตวั มีความเชอ่ื มั่นในตนเอง กล้าแสดงออก กล้าพูดต่อหนา้ ผูอ้ ่ืน กลา้ เข้ารว่ มกิจกรรมไดร้ บั
การยอมรบั จากเพือ่ น มผี ลการเรยี นทด่ี ขี ้นึ สาํ หรับดา้ นการศกึ ษาพฤติกรรมการแสดงออกเปน็ สงิ่ ท่สี าํ คัญย่ิง
สําหรบั นกั เรียน เพราะจะต้องนําไปประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจําวนั การอยูร่ ว่ มกับผู้อืน่ ในสังคม และยังส่งผลต่อ
การทํางานในอนาคต ซง่ึ จะทําให้นักเรยี นเกดิ ความมนั่ ใจในการแสดงออกน้ันๆ มากข้นึ อยา่ งสมเหตุสมผลตาม
สถานการณ์ที่เกิดข้ึน ในทางกลบั กนั หากนกั เรยี นไม่มคี วามกลา้ แสดงออกก็จะสง่ ผลให้นกั เรียนขาดความ
7
เช่ือม่นั และอาจจะต้องเผชิญกับปญั หาทางด้านการตดิ ตอ่ หรือการมีปฏิสัมพนั ธ์กับบุคคลอืน่ ดว้ ย ซงึ่ จะทําให้
เกดิ ความยากลาํ บากในการเรียน อย่างไรกต็ ามพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกสามารถท่จี ะฝกึ ฝนและสามารถ
พฒั นาใหเ้ กิดขึ้นไดใ้ นตัวของบุคคลใหเ้ กดิ ความกลา้ แสดงออกและเหมาะสมตามสถานการณต์ า่ งๆ ได้จากการที่
ผู้วิจยั ไดป้ ฏบิ ตั ิการสอนในรายวิชาสังคมศกึ ษา ในภาคเรียนที่ 1/2565 ต้ังแต่สัปดาหท์ ่ี 1 ของการเรยี นการสอน
พบว่า นกั เรยี นสว่ นใหญ่ ยังขาดความกล้าแสดงออกในเรอ่ื งของการตอบข้อซักถามหรือใหแ้ สดงความคดิ เหน็
ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลให้นักศึกษาเกิดปญั หาการกล้าแสดงออกกับการเรยี นในระดับชั้นท่สี ูงขึน้ และวิชา
อืน่ ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ ง
จากความสําคัญดังกล่าว จะเหน็ ได้วา่ ความกลา้ แสดงออกมีความสําคัญต่อตวั นกั เรียนเองและสังคม
จงึ ควรได้รบั การชว่ ยเหลอื เพื่อที่จะไดพ้ ฒั นาบุคลกิ ภาพของตนเอง ดงั น้ัน ผ้วู ิจัยจึงได้ศกึ ษาจากขอบเขตเนื้อหา
รายวชิ านี้ เพื่อแก้ไขปัญหาการไมก่ ล้าแสดงออกของนักเรยี น โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบกลมุ่ (Kurt Lewin)
มาประยุกตก์ บั บทเรยี นเรื่อง “ภยั พิบตั ิและการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ” ผวู้ จิ ยั คาดหวงั วา่ หลงั จากการจัด
กจิ กรรมการเรียนในรูปแบบกระบวนการเรยี นรแู้ บบกลมุ่ (Kurt Lewin) จะชว่ ยสร้างพฤติกรรมการกลา้
แสดงออกและเปน็ ผู้มีบุคลิกภาพท่ีดีมากข้นึ เปน็ จุดเร่มิ ตน้ ในการชว่ ยให้นักเรียนสามารถพัฒนาพฤตกิ รรมการ
กล้าแสดงออกใหส้ ามารถประยุกต์ใชใ้ นชวี ิต ในสงั คมและเป็นส่วนหน่ึงท่ที าํ ให้นกั เรยี นประสบความสาํ เร็จใน
ดา้ นการเรยี นและการดาํ เนินชวี ติ ในอนาคตต่อไปได้
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
1. เพื่อพฒั นาพฤติกรรมความกลา้ แสดงออกโดยใชก้ ระบวนการเรยี รแู้ บบกลุ่ม
(Kurt Lewin) ในรายวิชาสงั คมศกึ ษา ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที1่
2. เพอื่ เปรยี บเทยี บพฤตกิ รรมในการแสดงออกของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที 1ี่ โดยใช้
กระบวนการเรยี นรูแ้ บบกลมุ่ (Kurt Lewin) ในรายวิชาสงั คมศกึ ษากอ่ นเรียนและหลงั เรยี น
8
สมมติฐานการวิจยั
1. เพอื่ พฒั นาพฤติกรรมความกล้าแสดงออกโดยใชก้ ระบวนการเรยี รู้แบบกลุม่
(Kurt Lewin) ในรายวิชาสังคมศกึ ษา ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่1
ขอบเขตของการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร เปน็ นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่1ี โรงเรยี นบางปะกอกวิทยาคมจำนวน 3 ห้อง
กล่มุ ตัวอยา่ ง เปน็ นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1/2 โรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม จำนวน 30 คน
ตวั แปรทศี่ กึ ษา
ตัวแปลอสิ ระ ได้แก่ รปู แบบการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุม่
ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ การพฒั นาความกล้าแสดงออกในชัน้ เรยี น
เนอ้ื หา
1.ขอบเขตเนอ้ื หา การใชก้ ระบวนการเรยี นรูแ้ บบกลมุ่ (Kurt Lewin) ในการพฒั นาพฤติกรรมความ
กล้าแสดงอย่างออกในรายวชิ าสงั คมศึกษามธั ยมศึกษาปีที่ 1 ในหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 6 เรอ่ื ง ภัยพบิ ัติและการ
จดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม
ระยะเวลาทใี่ ชใ้ นการศกึ ษา
ภาคเรียนท1่ี ตงั้ แตเ่ ดือนสงิ หาคมถงึ เดือนพฤศจิกายน
ประโยชน์ทไ่ี ดร้ ับจากการวิจยั
1. นกั เรยี นระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1 ได้รบั การพฒั นาศักยภาพในดา้ นความกลแสดงออกโดย
กระบวนการเรยี นรู้แบบกลมุ่ (Kurt Lewin)
2. เปน็ แนวทางสำหรบั การจัดการเรียนรูแ้ ละพฒั นากจิ กรรมการสอนของครูผูส้ อน
9
3. ผลการวิจยั จะเป็นประโยชน์ตอ่ การจดั การเรยี นการสอนในกลมุ่ สาระการเรยี นร้สู งั คมศึกษาและ
กลุ่มสาระการเรยี นรู้อนื่ ๆด้วย
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
กระบวนการเรียนรูแ้ บบกลุ่ม หมายถงึ กระบวนการเรยี นรู้ท่ีจดั ให้ผู้เรยี นได้รว่ มมือและช่วยเหลือกัน
ในการเรียนรู้ โดยแบ่งกลุม่ ผ้เู รียนที่มี ความสามารถตา่ งกันออกเปน็ กลุ่มเล็กๆ ซงึ่ เปน็ ลักษณะการรวมกลุ่ม
อย่างมีโครงสร้างท่ีชัดเจน มกี ารทำงาน รว่ มกนั มีการแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ มีการช่วยเหลือพง่ึ พาอาศยั ซึ่ง
กนั และกัน มคี วามรับผดิ ชอบร่วมกนั ท้ังในสว่ นตนและส่วนรวม
พฤตกิ รรมความกลา้ แสดงออก หมายถงึ กระบวนการในการฝึกพฤติกรรมของบคุ คลให้เป็นผ้กู ล้า
แสดงออกตามความรสู้ ึกนึกคิด และอารมณ์ตา่ งๆ ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพมีเหตุผลและเปน็ ทีย่ อมรบั ของสงั คม
เปน็ การรักษาสทิ ธขิ องตนเองโดยมไิ ด้ละเมดิ สิทธขิ องผู้อนื่ ซึ่งเมอ่ื กระทาหรอื แสดงออกไปแลว้ ไมม่ ีความ
ยากลำบากใจ หรือความวิตกกังวลในการแสดงออก
กรอบแนวความคดิ ในการวจิ ยั
กรอบแนวความคิดได้จากการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีและค้นควา้ จากวจิ ัยทเี่ ก่ียวข้อง ประกอบด้วย
แนวคดิ เกยี่ วกับทฤษฎีกระบวนกลมุ่ (Kurt Lewin) แนวคิดเก่ียวกบั การจัดการเรียนการสอน
(ทิศนา แขมมณี,2545, หนา้ 143 -145) และทฤษฎีเกย่ี วกับพฤติกรรมการแสดงออก (กุลวีณ์ เกษมสุข,2559)
โดยผวู้ ิจยั ไดน้ ำมาสังเคราะห์เปน็ กรอบแนวความคดิ การวจิ ยั ตวั แปรต้น คือ รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้
กระบวนการกลมุ่ ตวั แปรตาม คือ การพฒั นาความกล้าแสดงออกในช้นั เรียน ดังนี้
ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม
กรกรูปแบบการเรยี นรูโ้ ดยใช้ การการพฒั นาการกลา้ แสดงออก
กระบวนการกลมุ่ ในชนั้ เรียน
10
บทท2่ี
เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง
ในการวจิ ยั นผี้ วู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง และไดน้ าเสนอไดต้ ามหวั ขอ้ ตอ่ ไปนี้
1. กระบวนการเรยี นร้แู บบกลมุ่ (Kurt Lewin)
2. พฤติกรรมความกลา้ แสดงออก
3. การประเมนิ พฤตกิ รรมความกลา้ แสดงออก
4. หลกั สตู รแกนกลาง
5. งานวจิ ยั ภายในประเทศและต่างประเทศ
1. กระบวนการเรยี นรูแ้ บบกล่มุ (Kurt Lewin)
1.1 ความหมาย
1.2 หลักการและแนวคดิ ทฤษฎีกระบวนการกลมุ่
1.3 ทฤษฎีกระบวนการกลุ่มในการเรยี นการสอน
1.4 ทฤษฎีหลกั การสอน
1.5 ทฤษฎีการแบ่งประเภทของกลุม่
1.6 รปู แบบและข้ันตอนการสอนแบบกระบวนการกลุม่
2. พฤติกรรมความกล้าแสดงออก
2.1 ความหมาย
2.2 ทฤษฎีพฤติกรรมการกล้าแสดงออก
11
2.3 ลักษณะของพฤติกรรมการกลา้ แสดงออก
2.4 องค์ประกอบของพฤติกรรมการกล้าแสดงออก
3. หลักสตู รแกนกลาง
3.1 หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
3.1.1 วสิ ัยทศั น์
3.1.2 หลกั การ
3.1.3 จดุ หมาย
3.1.4 สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
3.1.5 คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
3.1.6 กลุ่มสาระการเรียนรู้
3.1.7 กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
4.งานวิจัยภายในประเทศและตา่ งประเทศ
12
กระบวนการเรยี นรู้แบบกลุ่ม(Kurt Lewin)
เคริร์ท เลวิน (Kurt Lewin) เป็นนกั จิตวทิ ยาสงั คมและนักวิทยาศาสตรช์ าวเยอรมนั โดยเร่ิมศึกษา
ตง้ั แตป่ ระมาณปี ค.ศ 1920 เปน็ ตน้ มา และได้มผี นู้ ำหลกั การของพลงั กลุ่มไปใชใ้ นการพัฒนาพฤติกรรมการ
ทำงานกลุม่ การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพและจดุ ประสงค์อืน่ ๆ วงการ รวมทง้ั ในวงการศึกษา
ความหมาย
1. อารีย์ ชมู ณี (2559, หนา้ 29) ได้ให้ความหมายของกระบวนการกลุม่ ไว้ว่า หมายถึงกระบวนการที่
สมาชิกภายในกลุ่มมีปฏสิ ัมพันธ์กันอยา่ งอิสระ และทุกคนมบี ทบาทหน้าท่ีทำกิจกรรมร่วมกันอย่างตอ่ เนื่องซง่ึ
กจิ กรรมนั้นเปน็ ชดุ ของกจิ กรรมทีท่ ำให้กลุ่มได้ผลงานอันเดียวกันและจากการท่ีไดผ้ ลงานนั้นทำใหส้ มาชกิ ทุก
คนได้รบั ความรคู้ วามเข้าใจเกิดทักษะคลา้ ยกัน และมคี วามรูส้ ึกทีด่ ตี ่อสมาชกิ ภายในกลุ่มดว้ ย
2. นันทวรรณ แก้วโชติ (2560) ได้กล่าววา่ วธิ สี อนแบบแบง่ กลุม่ ทำกิจกรรม หมายถงึ วิธจี ัด
กระบวนการเรยี นรู้ทีผ่ ู้สอนมอบหมายใหผ้ เู้ รยี นทำงานร่วมกันเป็นกล่มุ ชว่ ยกนั คน้ คว้าหรอื ทำกจิ กรรมที่ไดร้ ับ
มอบหมายใหส้ ำเรจ็ เพื่อช่วยใหเ้ กดิ ความเข้าใจในบทเรียนยิ่งขนึ้ ผู้เรยี นจะเกดิ การเรียนรู้ไดด้ ีเพราะได้ลงมือ
ปฏิบัติดว้ ยตนเอง
3. สมเกยี รติ ศรีรุ่งเรอื ง(2555: 68) ได้กลา่ ว่า การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้เพื่อให้นักเรยี นแสดงออกใน
ความร่วมมอื ในการปฏิบัติกจิ กรรมเป็นกล่มุ นักเรยี นมสี ่วนรว่ มในความสำเร็จของการดำเนนิ งานของกลุ่ม
การวิจยั ครั้งนผี้ ้วู ิจัยไดจ้ ัดกจิ กรรมการเรียนรู้รปู แบบซิปปาเพอื่ พัฒนาทักษะกระบวนการกลุ่ม 5 ด้าน คือ ด้าน
การมสี ว่ นรว่ มในการวางแผน การปฏิบัตงิ าน ดา้ นความรบั ผิดชอบและให้ความรว่ มมือในการปฏบิ ัติงาน ด้าน
การอภปิ รายและรว่ มแสดง ความคิดเหน็ ในกลุ่ม ดา้ นความตง้ั ใจเอา ใจใสแ่ ละความสำเร็จของงานและด้านการ
สรุปองคค์ วามรแู้ ละเสนองานกลุ่ม ทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรยี นวดั ได้โดยใชแ้ บบประเมนิ ทักษะ
กระบวนการกลุ่มซ่งึ เปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดับ
4. ฮเู บริ ์ด (Hubert, 1959 : 10, อ้างถึงใน รัชนี ศิลป์ศร 2542 : 34) ได้ให้ความหมายของ
กระบวนการกลมุ่ ว่า แรงผลักดันทเ่ี กดิ จากบุคคลต้งั แต่สองคนข้นึ ไปมารวมตัวกันโดยมีความสัมพนั ธ์มกี าร
สื่อสาร และมีการปรับตวั เข้าหากัน ซึ่งก่อให้เกดิ พลังขึน้ ในกลุม่ ขนาดของพลงั ที่จะเกิดมากหรือน้อยต่างกนั
ออกไป ตามสภาพการณข์ องแตล่ ะกลุ่ม โดยมผี เู้ รียนต้องเข้าไปมีสว่ นร่วมในประสบการณ์ท่ผี สู้ อนจัดขึน้ และ
วิเคราะหป์ ระสบการณจ์ ากการเรียนการสอน
5. จอนหส์ นั และคณะ (Johnson, Johnson and Holubec, อา้ งถงึ ใน วชิรา เล่าเรียนดี, 2545:25)
กระบวนการกลุ่ม หรอื การปฏบิ ตั งิ านกลมุ่ หรือกระบวนการกลมุ่ เป็นองค์ประกอบทสี่ ำคัญของการเรียนแบบ
ร่วมมอื กนั องค์ประกอบหนึ่ง กระบวนการจะปรากฏเมือ่ สมาชกิ รว่ มกนั อภิปราย จนบรรลุผลสำเรจ็ ตาม
13
เปา้ หมายกลุ่ม โดยท่ีสมาชิกทุกคนมีความสัมพันธท์ ดี่ ตี อ่ กัน การทำงานร่วมกนั ทำใหง้ านสำเรจ็ ตามเปา้ หมาย
และเป็นกระบวนการเรยี นรู้อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดประสทิ ธิภาพของสมาชกิ และบุคคลภายในกลุม่
สรปุ กระบวนการกลมุ่ หมายถึง ขนั้ ตอน วธิ กี าร พฤติกรรมและปฏิสัมพนั ธต์ า่ งๆที่เกิดขนึ้ ในการ
ทำงานกลุม่ ซึ่งจะช่วยใหก้ ลมุ่ ดำเนินงานไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ จนบรรลตุ ามเป้าหมาย ไดผ้ ลงานท่ีดีมี
ความรสู้ ึกและความสัมพันธ์ท่ีดตี ่อกัน
หลักการและแนวคิดทฤษฎีที่เกยี่ วข้องกระบวนการกลุ่ม
1. เยาวพา เดชะคปุ ด์ (2517, หนา้ 34) กล่าววา่ ควรเป็นกลุ่มขนาดเลก็ ประมาณ 5-15 คน จะชว่ ยให้
การทำงานหรือการเรยี นประสบผลดี โดยคมเพชร ฉัตรศภุ กุล (2530, หนา้ 26) กล่าวเพ่ิมเตมิ วา่ ขนาดของกล่มุ
เปน็ ปจั จยั สำคัญ กลุม่ ท่ีมีขนาดแตกต่างกนั จะทำให้กระสวน การปฏิสมั พนั ธ์แตกต่างกนั ไปด้วย ขนาดของกลมุ่
ไม่ควรเกินสบิ หา้ คน จะใหญ่เธอได้ข้นึ อย่กู ับความจำเปน็ ของสถานการณ์ และจุดมุ่งหมายของกลุม่
2. การศกึ ษาเก่ียวกบกระบวนการกลุ่มจำเปน็ จะต้องศึกษาถึงทฤษฏดี ้วย ซึ่งทฤษฎีเก่ยี วกับ
กระบวนการกลุม่ น้ี สุคนธส์ นิ ธพานนท์และคณะ (2545, หนา้ 81- 82) ไดร้ วบรวมและเรียบเรียงทฤษฎีเกย่ี ว
กบกลุ่มสัมพันธไ์ ว้หลายประการด้วยกัน คือ
2.1 ทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของเคิร์ท เลวนิ (Kurt Lewin) ทฤษฎนี ี้มีแนวคิดท่ีสำคัญ
สรปุ ได้ดังนค้ี ือ
2.1.1 พฤติกรรมจะเป็นผลมาจากพลังความสัมพนั ธ์ของสมาชกิ ในกลุ่ม
2.1.2 โครงสร้างของกลุ่มจะเกิดการรวมกลมุ่ ของบคุ คลที่มีลักษณะแตกต่างกัน
2.1.3 การรวมกลมุ่ แต่ละคร้ังจะต้องมีปฏสิ ัมพันธ์ระหวา่ งสมาชกิ ในกลมุ่ โดยเป็น
ปฏิสัมพนั ธใ์ นรปู การณ์กระทำ (Act) ความรสู้ กึ (Feel) และความคิด (Thought)
2.1.4 องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ดังกล่าวไวใ้ นข้อ1-3 จะกอ่ ใหเ้ กิดโครงสรา้ งของกลุ่มแต่
ละครั้ง ซง่ึ มลี ักษณะแตกตา่ งกันออกไปตามลักษณะของสมาชิกในกลุ่ม
2.1.5 สมาชิกในกลมุ่ จะมีการปรบั ตัวเขา้ หากัน และพยายามช่วยกนทำงานซ่ึงการท่ี
บุคคลพยายามปรับบุคลิกภาพของตนท่ีมีความแตกต่างกันนี้จะก่อให้เกิดความเป็นอันหนึง่ อนั เดยี วกนั และทำ
ให้เกดิ พลงั หรือแรงผลกั ดันของกล่มุ ท่ที ำใหก้ ารทำงานเปน็ ไปได้ด้วยดี
2.2 ทฤษฎปี ฏสิ ัมพนั ธ์ (Interaction Theory) ของ เบลล์ (Bales) โฮมาน (Homans)
14
และไวท์ (Whyte) แนวคดิ พื้นฐานของทฤษฎีนค้ี ือ
2.2.1 ปฏสิ มั พันธท์ างร่างกาย (Physical Interaction)
2.2.2 ปฏสิ มั พันธ์ทางวาจา (Verbal Interaction)
2.2.3 ปฏสิ ัมพันธท์ างจิตใจ (Emotional Interaction)
กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีกระทำผ่านการมีปฏิสัมพันธ์น้จี ะก่อใหเ้ กิดอารมณ์ความรสู้ ึก(Sentiment)ข้ึน
2.3 ทฤษฎีระบบ (System Theory) ทฤษฎนี ้ีมแี นวคิดสำคัญ คอื
2.3.1 กลุ่มจะประกอบดว้ ยโครงสรา้ งหรือระบบ ซึ่งจะมีการแสดงบทบาท
และการกำหนดตำแหน่งหนา้ ท่ขี องสมาชกิ อันถือว่าเป็นการลงทุน (Input) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ (Output)
อย่างใดอย่างหนึง่
2.3.2 การแสดงบทบาทตำแหน่งหน้าทข่ี องสมาชิกจะกระทำได้
โดยการสื่อสารระหว่างกนั (Communication) และจากการเปดิ เผยตัวเองในกลุ่ม (Open System)
2.4. ทฤษฎีสังคมมิติ (Sociometric Orientation) ของโมเรโน ทฤษฏนี ี้ มแี นวคิดท่ีสำคัญ
ดงั ตอ่ ไปนี้
2.4.1 การกระทำและจริยธรรมหรือขอบเขตการกระทำของกลุ่ม จะเกิด
ความสัมพนั ธร์ ะหวางสมาชิกในกล่มุ ซ่ึงจะศกึ ษาได้โดยใหส้ มาชิกเลือกสัมพันธ์ทางสงั คมระหว่างกัน
2.4.2 เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการศึกษาความสมั พันธค์ ือ การแสดงบทบาทจำลอง
(RolePlaying) หรอื การใชเ้ คร่อื งมือวดั การเลือกทางสังคม (Goniometric Test)
2.5 ทฤษฎจี ิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Orientation) ของ ซิกมันต์ ฟรอยด์
(Sigmund Freud) ทฤษฎีนี้มีแนวคดิ ทีส่ ำคญั คอื
2.5.1 เมอ่ื บุคคลอยู่ร่วมกนเป็นกลุ่มจะต้องอาศัยความจูงใจ
(Motivation Process) ซงึ่ อาจเป็นรางวลั หรอื ผลจากการทำงานในกลุ่ม
2.5.2 ในการรวมกลุ่ม บุคคลจะมีโอกาสแสดงตนอยางเปิดเผย หรอื พยายามป้องกัน
15
ปิดบงั ตนเอง โดยวธิ ีตา่ ง ๆ (Defense Mechanism) การใช้แนวคิดน้ีในการวิเคราะห์กลุ่มโดยให้บคุ คล
แสดงออกตามความเป็นจรงิ โดยใช้วธิ กี ารบำบดั ทางจิต (Therapy) ก็จะช่วยใหส้ มาชิกเกิดความเข้าใจตนเอง
และผ้อู ืน่ ไดด้ ียงิ ขนึ้
2.6 ทฤษฎีจติ วทิ ยาท่ัวไป (General Psychology) ทฤษฎีนม้ี แี นวคิดวา่ การใช้หลกั จติ วทิ ยา
ตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั การรบั รู้ การเรยี นรู้ ความคดิ ความเข้าใจ การให้แรงจูงใจ ฯลฯ จะช่วยให้เขา้ ใจพฤตกิ รรมของ
บุคคลในแง่การรวบรวมข้อมูล
3. ทฤษฎกี ระบวนการกลุ่ม ทฤษฎีกระบวนการกลุ่มเปน็ วทิ ยาการที่ศึกษาเก่ยี วกับกล่มุ คนเพ่ือนำ
ความรู้ ไปใช้ในการปรับเปล่ยี นเจตคตแิ ละพฤตกิ รรมของคนซึ่งจะนำไปสูก่ ารเสรมิ สรา้ งความสมั พันธแ์ ละการ
พัฒนาการ ทำงานของกลมุ่ คนใหม้ ีประสิทธภิ าพเพื่อนำหลักการของพลงั กลุม่ ไปใช้ในการพัฒนาพฤตกิ รรมการ
ทำงานกลุ่ม การพฒั นาบคุ ลิกภาพและจุดประสงค์อนื่ ๆ ในวงการตา่ ง ๆ รวมทัง้ ในวงการศกึ ษาด้วย
กระบวนการกลุม่ เปน็ เร่ือง ท่ีเกี่ยวข้องกับศาสตร์ด้านสังคมวทิ ยา นกั สงั คมวิทยาในปัจจบุ ันได้พยายามศึกษา
และนำความรู้ในเรอ่ื งกลมุ่ สัมพันธ์ มาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ ความหมายของกระบวนการกลุ่ม คอื ความรู้และ
หลกั การต่าง ๆ ที่อธบิ ายถงึ พฤติกรรมของ กลมุ่ (ทิศนา แขมมณี, 2550) และเปน็ ศาสตร์หนงึ่ ท่ีศึกษาเกย่ี วกับ
พฤติกรรมของกลุ่ม จะอธิบายถงึ การ เปลีย่ นแปลงภายในกลมุ่ พลังหรือสภาพการณต์ า่ ง ๆ ทมี่ อี ิทธพิ ลตอ่ กลมุ่
เป็นส่วนรวม รวมถงึ พฤติกรรมของบุคคล ในกลุ่มท่ีถูกกล่อมเกลาจากประสบการณ์ของกลมุ่ สามารถสรุป
สาระสำคญั ของกระบวนการกลุ่มไดด้ ังน้ี
3.1 กระบวนการกลมุ่ เปน็ ศาสตรห์ นงึ่ ที่ศึกษาเก่ยี วกับพฤติกรรมของกลมุ่ สามารถอธบิ ายถึง
การ เปล่ียนแปลงภายในกลุ่ม สภาพการณต์ า่ ง ๆ ที่มีอทิ ธิพลต่อกลุม่ เป็นส่วนรวม รวมถึงพฤติกรรมของบุคคล
ภายใน กลุ่มท่ถี ูกกล่อมเกลาจากประสบการณข์ องกลุ่มช่วยให้ผ้เู รียนเข้าใจกระบวนการของการทำงานร่วมกนั
ในกลมุ่ ได้
3.2 สามารถแบง่ กลมุ่ ออกได้หลายรปู แบบ เชน่ ยดึ ความสมั พันธข์ องสมาชิกในกลมุ่ ยดึ
จุดมุ่งหมาย ของการจดั กล่มุ เช่น กลุม่ ทางสงั คม กลุม่ ทางจิตวิทยา ยึดความร้สู กึ ของสมาชิก ยึดลักษณะการ
จัดระบบ ยึดความ สนใจของสมาชิก เปน็ ตน้
3.3 บคุ คลทีม่ ารวมกลมุ่ กนั ย่อมมบี ทบาทและหน้าทีใ่ นกลุ่มแตกตา่ งกนั ออกไป เช่น ผูน้ ำ
สมาชิก เลขานุการ ผสู้ งั เกตการณ์ ผใู้ หค้ ำปรกึ ษาแนะนำ ในการปฏิบัติงานของกลุ่มอาจมปี ัญหาตา่ ง ๆ เกิดข้ึน
สมาชิกใน กลุม่ จะตอ้ งรว่ มกนั แกป้ ญั หาเหลา่ นั้นให้ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี (ลกั ษณสภุ า บังบางพลู, 2554, หนา้ 6-7)
16
4. แนวคดิ พื้นฐานของกระบวนการกลุ่มก็คือ แนวคดิ ในทฤษฎภี าคสนาน ของเคิรท์ เลวิน ทีก่ ลา่ วโดย
สรุปไวด้ ังนี้
4.1. พฤตกิ รรมของบุคคลเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลมุ่
4.2 โครงสร้างของกลมุ่ จะเกิดจากการร่วมกลุ่มของบุคคลท่ีมีลักษณะแตกต่างกนั และจะมี
ลักษณะแตกตา่ งกันออกไปตามลักษณะของสมาชกิ กลมุ่
4.3 การรวมกลุ่มจะเกิดปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งสมาชิกในกลมุ่ ในด้านการกระทำ ความรสู้ กึ
และความคดิ
4.4 สมาชิกกลมุ่ จะมกี ารปรับตัวเขา้ หากันและจะพยายามช่วยกันทำงานโดยอาศยั
ความสามารถของแต่ละบุคคลซ่งึ จะทำให้การปฏิบตั งิ านลุลว่ งไปไดต้ ามเปา้ หมายของกลมุ่
สรปุ ไดว้ ่า พฤติกรรมของสมาชกิ ในกล่มุ ที่มีปฏิสมั พันธ์ต่อกันยอมก่อให้เกิดผลในการเปล่ียนแปลงของ
ทง้ั ตัวบคุ คลและกลุ่ม โดยอาศัยกิจกรรมตา่ งๆ เป็นตัวกาหนด แล้วจะทำให้เกิดผลงานทท่ี ำให้สมาชกิ แต่ละคน
มองเห็นคุณคา่ ของผลงานที่ไดท้ ำรว่ มกันมา
ทฤษฎีกระบวนการกลมุ่ ในการเรยี นการสอน
1. ทศิ นา แขมมณี(2545, หนา้ 142) ได้ศกึ ษาและคิดคน้ พร้อมทัง้ ใหค้ วามหมายของทฤษฎี
กระบวนการกลุ่มในการสอนว่าเปน็ การสอนทเี่ นน้ หรือให้ความสนใจเปน็ พิเศษในเรื่อง ของพฤตกิ รรมของคนท่ี
มีผลกระทบต่อกันและกนั โดยครูผู้สอนพยายามจดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้เปน็ ไปตามหลักการเรียนรขู้ อง
ทฤษฏกี ระบวนการกลมุ่ ดังนี้
1.1 การเรียนรู้เปน็ กระบวนการทตี่ ืน่ ตัวมชี ีวติ ชีวา (Active Leaning) การเรียนรูจ้ ะ
เกดิ ขนึ้ ได้ดีเม่ือผูเ้ รียนมบี ทบาทรบั ผดิ ชอบต่อการเรียนรูข้ องตนและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรยี นของตน
1.2 การเรียนรู้เกดิ ข้ึนไดจ้ ากแหล่งต่าง ๆ มใิ ช่จากแหล่งใดแหล่งหนึ่งเพยี งแหลง่
เดียวประสบการณ์ความรู้สกึ นกึ คิดของแตล่ ะบุคคลถือว่าเปน็ แหล่งการเรยี นร้ทู สี่ ำคัญ
1.3 การเรียนรู้ท่ีดีจะต้องเป็นการเรียนร้ทู ่เี กดิ จากความเขา้ ใจ การเรยี นรทู้ ่ีดีจะตอ้ ง
ช่วยให้ผูเ้ รียนเกิดความเขา้ ใจ และสามารถใช้การเรยี นรูน้ ้ันใหเ้ ป็นประโยชนไ์ ด้การเรยี นรู้ทีผ่ ูเ้ รียนเปน็ ผู้คน้ พบ
ด้วยตนเองมีส่วนชว่ ยให้ผูเ้ รียนเกดิ ความเข้าใจลึกซงึ้ และจดจำไดด้ ี
17
1.4 การเรียนร้กู ระบวนการมีความสำคัญ กระบวนการเป็นเครือ่ งมือในการแสวงหา
ความรูแ้ ละคำตอบต่าง ๆ ท่ีตนต้องการ ผลงานตา่ ง ๆ จะมีประสทิ ธิภาพมากน้อยเพียงใดข้ึนกับกระบวนการ
เป็นสำคญั ดงั นน้ั การเรยี นรู้ที่ดีจงึ ต้องเน้นกระบวนการดว้ ย
1.5 การเรยี นรทู้ มี่ ีความหมายตอ่ ผู้เรยี น คือการเรยี นรทู้ ีส่ ามารถนาไปใช้ใน
ชีวิตประจำวันได้การชว่ ยใหผ้ เู้ รียนได้ใชค้ วามรู้ จะช่วยให้ผู้เรยี นเกดิ ความเขา้ ใจในส่งิ นนั้ มากขน้ึ และเกิด
ความรเู้ พ่มิ ขนึ้
สรุปได้ว่า หลกั การเรยี นรตู้ ามทฤษฎีกลุ่มสัมพันธ์เน้นการเรยี นรู้ท่ีเกดิ จากความเข้าใจมีกระบวนการ
เรียนรทู้ ีใ่ ช้ในการแสวงหาความรตู้ ามท่ตี นต้องการและการเรยี นรู้ตอ้ งเกดิ จากแหลง่ เรียนรูอ้ ย่างหลากหลายโดย
ผูเ้ รยี นมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นของตนเองสามารถทำให้เกดิ ความรเู้ พ่มิ มากข้ึน
ทฤษฎีหลกั การสอน
1. ทิศนา แขมมณ(ี 2545, หนา้ 143 -145) กลา่ วถงึ หลักการสอนแบบกระบวนการกล่มุ ไว้ว่า
ความเช่อื ในหลกั การเรียนรดู้ งั กล่าวสะท้อนไปส่หู ลักการสอนทใ่ี ชใ้ นการสอนเร่อื งกระบวนการ
กลุ่มโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งมลี ักษณะ ดังนี้
1.1 ยดึ ผู้เรียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง โดยใหผ้ เู้ รยี นมีโอกาสเข้ารว่ มในกจิ กรรมการเรยี นอยางทั่วถึง
และมากที่สุดเทา่ ทจี่ ะทำได้(Active Participation) การท่ผี ู้เรียนมบี ทบาทเป็นผู้กระทำรับผดิ ชอบ
ตอ่ การเรยี นรู้ของตน จะชว่ ยให้ผู้เรียนเกดิ ความพร้อมและความกระตือรือรน้ ท่จี ะเรียนและเรยี น
อย่างมชี ีวิตชวี า
1.2 ยึดกลุม่ เป็นแหลง่ ความรู้ที่สำคัญ โดยใหผ้ ู้เรียนมโี อกาสปฏิสมั พันธก์ นในกลุ่มได้
พดู คุยปรึกษาหารือแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ และประสบการณซ์ ง่ึ กันและกนั (Group Interaction)
ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เหล่านี้จะช่วยใหผ้ ูเ้ รียนเกิดการเรยี นรู้เก่ยี วกับพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น และ
เรียนรู้ท่ีจะปรับตวั ใหส้ ามารถอยู่และทำงานร่วมกบั ผ้อู ่นื ได้ดี รวมทงั้ ชว่ ยให้ผู้เรียนไดร้ ูข้ ้อมูล และ
ทศั นะทก่ี วา้ งและหลากหลาย
1.3 ยดึ การคน้ พบด้วยตนเองเปน็ วิธกี ารสำคญั ในการเรียนรู้ โดยครู พยายามจดั
ประสบการณเ์ รยี นรู้ที่ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนไดค้ ้นหาและคน้ พบคำตอบด้วยตนเอง (Experiential
18
Learning) ท้ังนเ้ี พราะการค้นหาและค้นพบความจรงิ ใด ๆ จากประสบการณด์ ว้ ยตนเองนั้น ผเู้ รยี น
มักจะจดจำได้ดีและมีความหมายโดยตรงตอ่ ผเู้ รียนและมผี ลก่อใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม
1.4 เนน้ กระบวนการ (Process Oriented) โดยการส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รยี นไดค้ ิดวิเคราะห์ถึง
กระบวนการกล่มุ และกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำใหเ้ กิดผลงาน มิใชม่ งุ่ พจิ ารณาถงึ ผลงานแตเ่ พยี งอย่าง
เดยี ว ท้งั นเี้ พราะประสทิ ธภิ าพของผลงานขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของกระบวนการดว้ ย ดงั นัน้ การ
เรยี นรู้กระบวนการ จึงเปน็ สง่ิ จำเป็นท่จี ะช่วยใหผ้ ลงานดีข้ึน
1.5 เน้นการนำความรู้ไปใชใ้ นชวี ติ ประจ าวัน (Application of knowledge)
โดยให้ผู้เรียนมีโอกาส คิดหาแนวทางท่จี ะน าความร้คู วามเข้าใจไปใชใ้ นชวี ติ ประจ าวัน ครพู ยายามสง่ เสริมให้
เกดิ การปฏบิ ตั จิ รงิ เพ่ือช่วยใหผ้ ูเ้ รียนเกิดความเข้าใจสง่ิ ทเี่ รยี นลกึ ซึ้งข้นึ และเกดิ การเรยี นรู้เพิ่มข้ึน
จากหลักการสอนเรอื่ งกระบวนการกลุ่ม และหลักการเรียนรแู้ ละการสอนทเ่ี นน้ กระบวนการกลุม่
เราสามารถนาความรู้ โดยอาศยั วธิ สี อนแบบต่าง ๆ เข้าช่วย กล่าวคอื เม่ือครูจะจดั กิจกรรม
การเรียนการสอนก็ต้องตัง้ แนวใหแ้ กต่ นเองวา่
2. รปู แบบการสอนแบบกระบวนการกล่มุ รปู แบบการสอนแบบกระบวนการกลมุ่ (คณะกรรมการ
ศึกษาแห่งชาติ สำนกั งาน 2540 ) มีขั้นตอนดังนี้
2.1 ต้งั จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน ทง้ั จุดมุง่ หมายท่ัวไปและจดุ มุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม
2.2 การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ โดยเน้นให้ผเู้ รียนลงมอื ประกอบกจิ กรรมดว้ ยตนเอง
และมีการเพื่อทำงานเป็นกลมุ่ เพอ่ื ให้มปี ระสบการณใ์ นการทำงานกลมุ่ ซ่ึงมขี ้ันตอนดงั นี้
2.2.1 ขัน้ นำ เป็นการสรา้ งบรรยากาศและสมาธิของผูเ้ รยี นใหม้ ีความพร้อมในการ
เรียนการสอน การจดั สถานที่ การแบง่ นักเรยี นออกเป็นกลุ่มยอ่ ย แนะนำวิธดี ำเนินการสอน กตกิ าหรือ
กฎเกณฑก์ ารทำงาน ระยะเวลาการทำงาน
2.2.2 ขั้นสอน เป็นขนั้ ท่ีครูลงมือสอนโดยให้นักเรยี นลงมือปฏบิ ัติกิจกรรมเป็นกลุม่ ๆ
เพ่ือใหเ้ กดิ ประสบการณต์ รง โดยท่กี ิจกรรมตา่ ง ๆ จะต้องคัดเลือกให้เหมาะสมกบั เน้ือเรื่องในบทเรยี น เช่น
กจิ กรรม เกมและเพลง บทบาทสมมติ สถานการณจ์ ำลอง การอภปิ รายกลุ่ม เป็นต้น
19
2.2.3 ข้ันวเิ คราะห์ เมื่อดำเนินการจดั ประสบการณ์เรียนรู้แลว้ จะให้นักเรยี น
วเิ คราะหแ์ ละแสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมต่าง ๆ ความสมั พันธก์ นั ในกลุ่ม ตลอดจนความรว่ มมือใน
การทำงานรว่ มกนั โดยวิเคราะหป์ ระสบการณท์ ี่ได้รับจาการทำงานกลุ่มให้คนอืน่ ไดร้ บั รู้ เปน็ การถา่ ยทอด
ประสบการณ์การเรียนรู้ของกันแนะกัน ขัน้ วิเคราะห์จะช่วยให้ผูเ้ รียนเขา้ ใจตนเอง เขา้ ใจผอู้ น่ื และมองเหน็
ปญั หาและวธิ กี ารทำงานทเ่ี หมาะสม เพ่อื เป็นแนวทางในการปรบั ปรงุ การทำงาน เป็นการถ่ายโอน
ประสบการณ์การเรียนท่ดี ี จะช่วยใหผ้ ู้เรยี นสามารถค้นแนวคดิ ทตี่ ้องการดว้ ยตนเอง เปน็ การขยาย
ประสบการณ์การเรียนรู้ให้ถูกตอ้ งเหมาะสม
2.2.4 ขัน้ สรปุ และนำหลักการไปประยุกตใ์ ช้ นกั เรยี นสรุป รวบรวมความคิดให้เป็น
หมวดหมู่ โดยครูกระตุ้นให้แนวทางและหาข้อสรุป จากน้นั นำขอ้ สรุปท่ีคน้ พบจากเนื้อหาวิชาทีเ่ รยี นไป
ประยุกต์ใชใ้ ห้เขา้ กับตนเองและนำหลักการทไี่ ด้ไปใช้เพื่อการปรบั ปรงุ ตนเอง ประยุกต์ใช้ใหเ้ ข้ากับคนอ่นื
ประยุกตเ์ พ่ือแกป้ ัญหาและสร้างสรรค์สง่ิ ท่เี กิดประโยชน์ต่อสงั คม ชมุ ชน และดำรงชวี ิตประจำวนั เช่น การ
ปรับปรุงบคุ ลกิ ภาพ เกิดความเห็นอกเหน็ ใจ เคารพสิทธขิ องผูอ้ นื่ แกป้ ญั หา ประดษิ ฐ์ส่งิ ใหม่ เป็นต้น
2.2.5 ขัน้ ประเมนิ ผล เป็นการประเมนิ ผลว่า ผู้เรียนบรรลผุ ลตามจดุ มงุ่ หมาย
มากน้อย เพยี งใด โดยจะประเมนิ ทั้งดา้ นเน้ือหาวชิ าและดา้ นกลุม่ มนุษย์ สมั พันธ์ ได้แก่ ประเมินด้านมนุษย์
สัมพันธ์ ผลสมั ฤทธิ์ของกล่มุ เชน่ ผลการทำงาน ความสามัคคี คณุ ธรรมหรือคา่ นิยมของกล่มุ ประเมนิ
ความสัมพันธใ์ นกลมุ่ จากการให้สมาชิกตชิ มหรอื วจิ ารณ์แก่กนั โดยปราศจากอคติ จะทำให้ผู้เรียนสามารถ
ประเมนิ ตนเองได้และจะทำผู้สอนเข้าใจนักเรยี นได้ อันจะทำให้ผู้เรียนผสู้ อนเขา้ ใจปัญหาซ่ึงกันและกันอนั จะ
เป็นหนทางในการนำไปพิจารณาแก้ปัญหาและจดั ประสบการณ์การเรยี นรูใ้ หแ้ ก่นกั เรยี น
สรปุ ได้วา่ การสอนต้องเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคัญ แหลง่ ความรเู้ กดิ จากผเู้ รยี นทุกคนครูจดั ประสบการณ์ให้
ผเู้ รยี นสามารถคน้ หาคำตอบด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม และสามารถนำไปใชใ้ น
ชวี ติ ประจำวันไดโ้ ดยสามารถจดั การสอนด้วยวธิ ีการสอนแบบตา่ ง ๆ
ทฤษฎกี ารแบง่ ประเภทของกลุ่ม
1. พงษพ์ นั ธ์ พงษ์โสภา (2542, หนา้ 7) ได้แบง่ กลุม่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื
1.1 กลมุ่ ปฐมภูมิ (Primary group) กล่มุ ปฐมภูมนิ ้นี ับเปน็ ส่วนสำคัญเบอื้ งตน้ ของการจดั
ระเบียบทางสังคม ลกั ษณะท่ีสำคัญของกลมุ่ ปฐมภูมิคือ ความใกล้ชดิ สนิทสนมระหว่างสมาชิก
อีกทง้ั สัมพันธภาพทมี่ คี ุณค่า และทัศนคตทิ สี่ มาชกิ แสดงออกรว่ มกัน ตลอดถงึ คำนยิ มที่เกิดข้นึ จาก
20
ประสบการณ์ท่สี มาชกิ ทำกจิ กรรมรว่ มกัน เช่น กลมุ่ พ่ีน้องในวงศาคณาญาตเิ ดยี วกัน เปน็ ต้น
1.2 กลุ่มทุตยิ ภมู ิ (Secondary group) กลุม่ ประเภทน้ีหมายถงึ กลมุ่ ต่างๆในสังคมที่ไม่มี
ลกั ษณะของกลุ่มปฐมภมู ิ โดยทั่วไปแลว้ กลุ่มทุตยิ ภมู จิ ะมีลักษณะเปน็ กลุ่มใหญ่ จัดตงั้ ข้ึนเพือ่
วัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะมีการกำหนดหนา้ ที่ มอบหมายความรบั ผดิ ชอบ และความสัมพันธ์อนั เปน็ ท่ี
คาดหมายของแตล่ ะบุคคลในกล่มุ เช่น กลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย เป็นตน้
2. การแบ่งกลุม่ เพื่อใหน้ กั เรยี นปฏิบตั ิงานรว่ มกันนนั้ ผสู้ อนอาจจะแบ่งกลมุ่ โดยคำนงึ ถงึ วัตถปุ ระสงค์
การจดั การเรียนการสอน (คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ สำนักงาน 2534 : 230) เช่น
2.1 แบ่งกลุ่มตามเพศ ใช้ในกรณคี รุมีวัตถปุ ระสงค์ที่ช้ีเฉพาะลงไป เชน่ ตอ้ งการสำรวจความ
ระหว่างเพศหญิงและชาย ในดา้ นต่าง ๆ เชน่ ทัศนคติ คา่ นิยม ฯลฯ
2.2 แบง่ ตามความสามารถ ใช้ในกรณีท่ีครูมภี าระงานมอบหมายใหแ้ ตล่ ะกลุม่ แตกต่างไปตาม
ความสามรถ หรอื ตอ้ งการศึกษาความแตกต่างในการทำงานระหว่างกล่มุ ที่มคี วามสามารถสงู และตำ่
2.3 แบ่งตามความถนัด โดยแบ่งกลมุ่ ที่มคี วามถนดั เรอ่ื งเดยี วกนั ไว้ดว้ ยกัน
2.4 แบ่งกลุม่ ตามความสมัครใจ โดยให้สมาชิกเลอื กเข้ากลมุ่ ดบั คนทตี่ นเองพอใจ ซึ่งครทู ำได้
แต่ไม่ควรใช้บอ่ ยนกั เพราะจะทำใหน้ กั เรยี นขาดประสบการณใ์ นการทำงานกบั บคุ คลท่ีหลายหลาย
2.5 แบง่ กลมุ่ แบบเจาะจง ครูเจาะจงให้เด็กบางคนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เชน่ ให้เดก็ เรยี นเก่งกับ
เด็กทเี่ รยี นอ่อนเพื่อใหเ้ ด็กเรยี นเก่งชว่ ยเด็กท่เี รียนอ่อน หรือใหเ้ ด็กปรบั ตวั เข้าหากัน
2.6 แบง่ กลุ่มโดยการสุ่ม ไมเ่ ป็นการเจาะจงวา่ ให้ใครอยู่ใครกบั ใคร
2.7 แบง่ กลุ่มตามประสบการณ์ คือ การรวมกลุ่มโดยโดยพิจารณาเด็กท่ีมีประสบการณ์
คลา้ ยคลงึ กันมาอยู่ดว้ ยกนั เพื่อประโยชน์ในการชว่ ยกนั วเิ คราะหห์ รือแกป้ ญั หาใดปัญหาหน่งึ โดยเฉพาะ
รปู แบบและขน้ั ตอนการสอนแบบกระบวนการกลุม่
รปู แบบการสอนแบบกระบวนการกลมุ่ (คณะกรรมการศึกษาแหง่ ชาติ สำนกั งาน 2540 ) มีดงั นี้
1.ต้ังจดุ ม่งุ หมายของการเรียนการสอน ท้ังจดุ ม่งุ หมายทัว่ ไปและจดุ มุ่งหมายเชิงพฤติกรรม
2.การจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ โดยเนน้ ให้ผเู้ รยี นลงมอื ประกอบกจิ กรรมด้วยตนเองและมี
21
การเพ่ือทำงานเปน็ กล่มุ เพ่ือใหม้ ีประสบการณใ์ นการทำงานกล่มุ ซ่งึ มีขน้ั ตอนดังนี้
2.1. ขน้ั นำ เป็นการสร้างบรรยากาศและสมาธขิ องผูเ้ รยี นให้มคี วามพร้อมในการ
เรียนการสอน การจดั สถานท่ี การแบ่งนักเรยี นออกเปน็ กลุ่มยอ่ ย แนะนำวิธีดำเนนิ การสอน กติกาหรอื
กฎเกณฑ์การทำงาน ระยะเวลาการทำงาน
2.2. ขน้ั สอน เปน็ ขนั้ ท่คี รูลงมือสอนโดยใหน้ ักเรยี นลงมอื ปฏบิ ตั ิกิจกรรมเปน็ กลมุ่ ๆ
เพ่ือใหเ้ กดิ ประสบการณต์ รง โดยท่ีกิจกรรมตา่ ง ๆ จะตอ้ งคัดเลือกให้เหมาะสมกบั เนื้อเร่ืองในบทเรยี น เช่น
กิจกรรม เกมและเพลง บทบาทสมมติ สถานการณจ์ ำลอง การอภปิ รายกลมุ่ เป็นต้น
2.3. ขน้ั วเิ คราะห์ เม่ือดำเนินการจัดประสบการณเ์ รียนร้แู ล้ว จะให้นักเรยี นวเิ คราะหแ์ ละ
แสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกับพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ความสมั พันธ์กันในกลุม่ ตลอดจนความรว่ มมอื ในการทำงาน
รว่ มกัน โดยวิเคราะหป์ ระสบการณ์ที่ไดร้ ับจาการทำงานกลุ่มใหค้ นอืน่ ไดร้ บั รู้ เปน็ การถ่ายทอดประสบการณ์
การเรียนรู้ของกนั แนะกัน ขน้ั วเิ คราะหจ์ ะช่วยให้ผเู้ รียนเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อนื่ และมองเหน็ ปญั หาและวิธกี าร
ทำงานทเี่ หมาะสม เพือ่ เปน็ แนวทางในการปรับปรงุ การทำงาน เป็นการถา่ ยโอนประสบการณ์การเรยี นท่ดี ี จะ
ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นสามารถคน้ แนวคดิ ที่ต้องการด้วยตนเอง เปน็ การขยายประสบการณก์ ารเรียนรู้ให้ถูกต้อง
เหมาะสม
2.4. ขั้นสรุปและนำหลักการไปประยกุ ต์ใช้ นกั เรยี นสรุป รวบรวมความคิดใหเ้ ป็นหมวดหมู่
โดยครกู ระตุ้นให้แนวทางและหาขอ้ สรุป จากนัน้ นำข้อสรุปที่ค้นพบจากเน้ือหาวชิ าท่ีเรยี นไปประยุกต์ใช้ใหเ้ ข้า
กบั ตนเองและนำหลักการท่ีได้ไปใช้เพื่อการปรับปรงุ ตนเอง ประยุกต์ใชใ้ ห้เขา้ กับคนอนื่ ประยกุ ต์เพอื่ แกป้ ัญหา
และสร้างสรรค์สิ่งที่เกิดประโยชนต์ อ่ สงั คม ชุมชน และดำรงชีวิตประจำวนั เชน่ การปรับปรุงบคุ ลกิ ภาพ เกดิ
ความเห็นอกเหน็ ใจ เคารพสิทธิของผอู้ น่ื แกป้ ัญหา ประดษิ ฐ์สิ่งใหม่ เป็นต้น
2.5. ขน้ั ประเมินผล เปน็ การประเมินผลวา่ ผู้เรยี นบรรลผุ ลตามจุดมุ่งหมายมากน้อยเพยี งใด
โดยจะประเมินทั้งดา้ นเนื้อหาวิชาและดา้ นกลมุ่ มนุษย์สัมพันธ์ ไดแ้ ก่ ประเมินด้านมนุษย์สมั พนั ธ์ ผลสัมฤทธิข์ อง
กลมุ่ เช่น ผลการทำงาน ความสามัคคี คณุ ธรรมหรือคา่ นิยมของกลมุ่ ประเมินความสัมพันธใ์ นกลมุ่ จากการให้
สมาชิกติชมหรอื วจิ ารณ์แกก่ ันโดยปราศจากอคติ จะทำใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถประเมนิ ตนเองไดแ้ ละจะทำผูส้ อน
เขา้ ใจนักเรยี นได้ อันจะทำให้ผู้เรยี นผ้สู อนเข้าใจปญั หาซ่ึงกันและกันอันจะเป็นหนทางในการนำไปพจิ ารณา
แกป้ ัญหาและจดั ประสบการณ์การเรียนรใู้ หแ้ ก่นกั เรียน
22
พฤตกิ รรมความกลา้ แสดงออก
พฤติกรรม (Behavior) คือ กรยิ าอาการท่แี สดงออกหรอื ปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อเผชญิ กับสิ่งเร้า
(Stimulus) หรือสถานการณ์ตา่ ง ๆ อาการแสดงออกต่าง ๆ เหล่าน้ัน อาจเป็นการเคลอ่ื นไหวทสี่ ังเกตไดห้ รอื
วัดไดเ้ ช่น การเดิน การพูด การเขียน การคิด การเต้นของหัวใจ เปน็ ต้น ส่วนส่งิ เรา้ ทม่ี ากระทบแลว้ ก่อใหเ้ กดิ
พฤติกรรมก็อาจจะเป็นสง่ิ เร้าภายใน (Internal Stimulus) และสงิ่ เรา้ ภายนอก (ExternalStimulus) ส่ิงเร้า
ภายใน ได้แก่ ส่ิงเร้าที่เกดิ จากความต้องการทางกายภาพ เชน่ ความหวิ ความกระหาย ส่ิงเรา้ ภายในนจี้ ะมี
อทิ ธพิ ลสูงสุดในการกระตุน้ เด็กให้แสดงพฤติกรรม และเมือ่ เด็กเหลา่ นโี้ ตขึ้นในสงั คม ส่ิงเร้าใจภายในจะลด
ความสาํ คญั ลง สิ่งเรา้ ภายนอกทางสงั คมที่เด็กได้รบั รใู้ นสงั คมจะมีอิทธิพลมากกวา่ ในการกําหนดวา่ บุคคลควร
จะแสดงพฤติกรรมอย่างใดต่อผ้อู ื่นสิง่ เรา้ ภายนอก ไดแ้ ก่ สงิ่ กระตุ้นต่าง ๆ สงิ่ แวดล้อมทางสังคมทีส่ ามารถ
สัมผัสไดด้ ้วยประสาทท้ัง 5 คือ หตู า คอ จมูก
ความหมายของพฤตกิ รรมความกล้าแสดงออก
1. ธนน ลาภธนวิรุฬห์ (2562) ได้ให้ความหมายของ พฤตกิ รรมการกลา้ แสดงออกไวว้ า่ หมายถงึ
ความสามารถในการแสดงออกดา้ นการคดิ การพดู การกระทำ ซ่ึงรวมถงึ อารมณ์ความรูส้ ึก ทั้งนี้ความสามารถ
ในการแสดงออกดังกลา่ วของบุคคลต่อสถานการณ์ตา่ ง ๆ นั้นจะตอ้ งเป็นไปอยา่ งถกู ต้องและเหมาะสมเปน็ ที่
ยอมรบั ของสังคมโดยไมไ่ ปก้าวก่ายหรอื ล่วงละเมดิ สิทธิของผู้อนื่ และที่สำคัญ เมื่อเจา้ ตัวแสดงออกไปแลว้
จะต้องไม่ร้สู ึกผดิ ด้วย
2. นโิ ลบล แกว้ พ่วง (2558) พฤติกรรมการแสดงออกอย่างเหมาะสม หมายถงึ ลักษณะของบคุ คลที่
แสดงออกซ่งึ ความรูส้ ึก ความคดิ เหน็ ความต้องการต่าง ๆ ของบุคคลไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ดว้ ยความมันใจโดย
ปราศจากความวติ กกังวล และไม่ก้าวกา่ ยสทิ ธิของผู้อื่น
3. จติ ราภรณ์ ชีรนรวนชิ ย์ (2556: 10) ได้นยิ าม พฤตกิ รรมการกลา้ แสดงออก ไว้ว่า การที่บคุ คลใดมี
การกระทำหรอื ปฏิบัตทิ ่แี สดงออกตามความร้สู กึ นึกคดิ ความคิด ความเชื่อ ความสนใจ และอารมณข์ องตนเอง
ได้อยา่ งเปดิ เผย ตรงไปตรงมา อยา่ งถูกกาละเทศะโดยไมเ่ ป็นการละเมิดสิทธข์ิ องผ้อู ืน่
4. Wolfe (1982, อ้างใน สมโภชน์ เอ่ยี มสุภาษิต, 2541) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมกล้า
แสดงออกไว้วา่ เปน็ พฤติกรรมท่แี สดงออกถงึ อารมณ์และความรู้สกึ ต่างๆต่อผู้อ่ืนอย่างเหมาะสมโดยไม่เกิดความ
วิตกกงั วล
5. Alberti & Emmons (1986, อา้ งใน กัญญารตั น์ วงศ์เชษฐ์,2543) ก็ได้ให้คำจำกัดความของ
พฤติกรรมกลา้ แสดงออกวา่ เป็นการกระทำทบ่ี ุคคลสามารถทำในสง่ิ ท่ตี นเองสนใจเปน็ การเรียกรอ้ งโดย
23
ปราศจากความร้สู กึ วิตกกงั วล เป็นการแสดงออกของความรูส้ ึกอยา่ งตรงไปตรงมาด้วยความสบายใจหรอื เป็น
การกระทำตามสิทธิของตน และมกี ารพิจารณาถึงสิทธิของบคุ คลอนื่
6. Bower & Bower, 1976 ให้ความหมายวา่ พฤตกิ รรมทเี่ หมาะสมในการแสดงออก คือ
ความสามารถในการท่ีจะแสดงความรสู้ ึกทีจ่ ะเลือกว่าควรปฏิบัติอยา่ งไรที่จะแสดงสทิ ธิเมื่อมีความเหมาะสม
ท่จี ะเพิ่มความรู้สึก เหน็ คณุ ค่าในตนเอง ทจ่ี ะช่วยพัฒนาความม่ันใจในตนเองให้เกิดขน้ึ ที่จะแสดงความไม่เห็น
ด้วยเมื่อคิดว่ามีความสาํ คัญมากพอ และความสามารถในการที่จะดาํ เนินการ เพื่อปรับพฤตกิ รรมของตนเอง
และขอรอ้ งให้ผู้อ่ืนเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการต่อตา้ นเข้าด้วย
7. Jakubowski, 1973 ให้ความหมายว่า พฤตกิ รรมระหว่างบคุ คลหนงึ่ ซึง่ บุคคลลกุ ขึน้ เพ่ือแสดงสทิ ธิ
อันถกู ตอ้ งของเขาในวิถีทางท่ีไม่ละเมิดสิทธขิ องผอู้ ่นื เปน็ การแสดงความรสู้ กึ การคดิ และความเช่อื ออกมา
อยางตรงไปตรงมา จริงใจ และเหมาะสม
8. Salter (1949 อา้ งใน Berry C.A., 1980: 7) เปน็ บุคคลแรกท่ีได้ใหค้ ำจำกดั ความพฤติกรรมการ
กลา้ แสดงออกอยา่ งเหมาะสม ซึ่งอธบิ ายวา่ เป็นลกั ษณะของบคุ ลิกภาพ ท่ีมแี ละไม่มีในบางบุคคลคล้ายกบั
พฤติกรรมชอบเขา้ หาสงั คม หรอื พฤติกรรมตระหนี่ถีเ่ หนียว โดยพฤตกิ รรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม
เปน็ ความสามารถในการแสดงออกทางอารมณท์ ้ังบวกและลบ
9. ฮูเบิร์ด (Hubert, 1959 : 10, อ้างถงึ ใน รัชนี ศิลป์ศร 2542 : 34) ได้ใหค้ วามหมายของ
กระบวนการกลุ่มวา่ แรงผลักดันทีเ่ กิดจากบคุ คลตงั้ แตส่ องคนขนึ้ ไปมารวมตวั กันโดยมีความสมั พนั ธ์มีการ
สอื่ สาร และมีการปรับตัวเข้าหากัน ซงึ่ ก่อให้เกดิ พลงั ข้ึนในกลมุ่ ขนาดของพลงั ท่จี ะเกดิ มากหรอื น้อยต่างกนั
ออกไป ตามสภาพการณข์ องแตล่ ะกลุ่ม โดยมผี เู้ รียนต้องเข้าไปมีสว่ นรว่ มในประสบการณ์ทีผ่ ู้สอนจดั ขนึ้ และ
วิเคราะหป์ ระสบการณ์จากการเรียนการสอน
6. จอนห์สันและคณะ (Johnson, Johnson and Holubec, อา้ งถึงใน วชิรา เลา่ เรยี นดี, 2545:25)
กระบวนการกลุ่ม หรือการปฏิบตั งิ านกลุม่ หรือกระบวนการกลมุ่ เป็นองคป์ ระกอบที่สำคัญของการเรยี นแบบ
รว่ มมือกันองคป์ ระกอบหนง่ึ กระบวนการจะปรากฏเมื่อสมาชกิ รว่ มกันอภปิ ราย จนบรรลุผลสำเรจ็ ตาม
เป้าหมายกลุ่ม โดยท่ีสมาชิกทุกคนมีความสมั พนั ธท์ ดี่ ตี อ่ กนั การทำงานรว่ มกันทำใหง้ านสำเรจ็ ตามเป้าหมาย
และเปน็ กระบวนการเรยี นรู้อย่างตอ่ เน่ืองทำใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพของสมาชกิ และบุคคลภายในกลมุ่
7. Lazarus (1975: 53) กลา่ ววา่ พฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสมเก่ียวข้องกับ การแสดง
ความคิดเห็น การปฏิเสธคำขอร้องที่ไม่มีเหตุอันควรจากบุคคลอืน่ สามารถแสดงความ ต้องการหรือขอความ
ชว่ ยเหลอื จากบคุ คลอนื่ ได้
24
8. Fensterheim และ Bear (1975: 54) กลา่ ววา่ การมีพฤติกรรมการกลา้ แสดงออก อย่างเหมาะสม
เป็นเร่ืองของการแสดงทางอารมณอ์ ยา่ งเปน็ อสิ ระโดยปราศจากความวิตกกังวล บคุ คล สามารถแสดง
ความรู้สกึ นกึ คดิ และอารมณข์ องตนออกมาได้อย่างเหมาะสม โดยตระหนกั ถึงสทิ ธขิ อง ตนและผอู้ ่ืน ในทาง
กลบั กันบุคคลท่ีไม่กลา้ แสดงออกมักจะเกบ็ อารมณ์ ความรูส้ ึก และความนึกคิด ของตน ไม่สามารถจัดการ
อารมณ์ของตนได้เพราะบุคคลเช่ือว่าตนเองมปี มด้อย อาจรูส้ ึกถงึ ความไม่ สบายใจหรือความกลัว เชน่ อาจคิด
วา่ “ถา้ ฉนั ปฏเิ สธเขา เขาจะไม่ชอบฉนั ” “ถ้าฉนั พูดไม่ดกี ับเขาแลว้ เขาจะโกรธฉนั ” “เจ้านายจะไลฉ่ ันออกถ้า
ฉันขอขึ้นเงินเดือน” เปน็ ตน้
9. Lange et al. (1975: 37) กล่าวว่า พฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสม คือ การแสดง
ความรู้ ความเช่อื ความคิดเห็น และตอ้ งมีความตรงไปตรงมา ซอ่ื สตั ย์ และมกี ารกระทําทีส่ อดคล้องกับ
สถานการณต์ ่าง ๆ ตามสิทธิของตนเองและผู้อนื่
10. Rathus & Nevid (1977: 81) ไดใ้ หค้ ำจำกดั ความของพฤติกรรมกล้าแสดงออกวา่ เป็น
พฤติกรรม บุคคลไม่ยอมให้ผู้อื่นมาเอารัดเอาเปรียบ และสระทจี่ ะพูดหรือวะท่าในใหต้ นคดิ ว่า ถกู แต่ถา้ หากผล
ทไี่ ด้เป็นไปในทางลบ บคุ คลนั้นสามารถทจ่ี ะยอมรบั ได้ และผูท้ มี่ ีลกั ษณะเช่นนี้ เมื่อ ประสบปัญหาวา่ เกา เอา
เปรยี บอยูเ่ สมอ ก็สามารถที่จะปรบั สถานการณ์นนั้ ให้ถูกต้องโดยไมร่ ้สู ึก อะไร และสามารถบอกขอรอ้ งท่ีไม่มี
เหตผุ ลเพยี งพอใจ
11. Galassi and Galassi (1978) มองวา่ พฤตกิ รรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม เป็น
ความรู้สึก ความชนื่ ชอบ ความต้องการ หรือความคิดเหน็ ที่แสดงออกอยา่ งตรงไปตรงมา ซง่ึ ไม่ใช่การ คุกคาม
หรอื ทำร้ายบคุ คลอื่น อีกทงั้ พฤตกิ รรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสมไมเ่ ก่ียวข้องกบั ความ กังวลหรือความ
กลวั ทม่ี ากเกินไป
12. Kearney, Betty, Plax, และ Mccroskey (1984 อ้างใน ภารดี ศิรสิ ทุ ธิพฒั นา, 2550: 20) ระบุ
วา่ การกล้าแสดงออก หมายถึง ความสามารถของบคุ คลในการร้องขอ การแสดงความไม่เหน็ ดว้ ย สามารถ
แสดงสทิ ธิและความร้สู ึกของตนออกมาได้อยา่ งชัดเจน สามารถรักษาการส่ือสารของตน ผ้อู ืน่ ให้เป็นไปได้ และ
สามารถยืนอยบุ่ นความเป็นตันได้อาน Doty (1987: 169) กลา่ ววา่ พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่าง
เหมาะสม คือการแสดง ความรสู้ ึกและทัศนคติอย่างเปดิ เผย มีการปฏิบัติตนตามสิทธมิ นษุ ยชนและเสรีภาพ
ของตนเองตาม กาลเทศะ
จากทีก่ ลา่ วมาขา้ งต้น พฤติกรรมการกล้าแสดงออก จึงหมายถึง ความสามารถในการแสดงออก ดา้ น
การคิด การพูด การกระทำซ่ึงรวมถึงอารมณ์ความรู้สกึ ทั้งนี้ ความสามารถในการแสดงออกดังกลา่ วของบคุ คล
ต่อสถานการณ์ตา่ ง ๆ นนั้ จะต้องเปน็ ไปอยา่ งถกู ต้องและ เหมาะสมเป็นทยี่ อมรบั ของสงั คมโดยไม่ไปก้าวก่าย
25
หรอื ก้าวลว่ งละเมิดสิทธขิ องผู้อ่นื ซงึ่ เมื่อกระทำหรือแสดงออกไปแลว้ ไม่มีความลำบากใจ หรอื ความวติ กกงั วล
ในการแสดงออก
ทฤษฎพี ฤตกิ รรมการแสดงออก
1.กุลวีณ์ เกษมสุข(2559) ไดแ้ บ่ง พฤติกรรมกลา้ แสดงออกไวด้ ังนี้
1.1 การไม่กล้าแสดงออก คือ การแสดงออกซ่ึงละเลยการใช้สิทธิทพ่ี ึงมีของตนเอง
ประสบความลม้ เหลวทแ่ี สดงความรู้ ความคดิ เห็น ยอมตามผอู้ น่ื เลี่ยงความขัดแย้งทุกสถานการณ์สงั เกตได้
จากพฤติกรรม เช่น การหลบสายตาขณะสนทนากุมมืออยู่ข้างหลังผู้อ่นื มนี ้ำเสียงเดียวกันตลอด หรอื พูดเบา
เกนิ ไป ลังเลใจ พูดเสยี งส่ัน กระแอมไออนุ่ บ่อย ๆ เป็นตน้
1.2 การกา้ วรา้ ว ได้แก่ การแสดงออกซงึ่ ป้องกันสทิ ธสิ ่วนบคุ คลของตนหรอื วิธีรนุ แรง
ดา้ นความรู้สกึ ความคดิ เห็น ความต้องการตา่ ง ๆ ในทางที่ไม่เหมาะสม ล่วงเกินสทิ ธิผอู้ ื่น ชอบมอี ทิ ธิพล
เหนือกวา่ ต้องการเป็นผชู้ นะขู่บังคบั ผู้อื่น สังเกตได้จากการทำให้ผ้อู น่ื ด้อยกว่าตน เชน่ จ้องคสู่ นทนามากเกนิ ไป
พูดเสียงดังหรือเสยี งไมส่ อดคล้องกบั สถานการณห์ น้าตาดุดัน วางอำนาจใช้คำพดู เหน็บแนมเสียดสเี ยอ่ หย่งิ
หว้ น และชอบช้ีนวิ้ เปน็ ต้น
1.3 การแสดงออกทเ่ี หมาะสม หมายถึงการแสดงออกในทางป้องกนั สิทธสิ ่วนบุคคล
ของตนเองท้ังความรู้สึกความคดิ เหน็ ความต้องการอยา่ งตรงไปตรงมา จรงิ ใจและเหมาะสม กับสถานการณไ์ ม่
ล่วงเกินสิทธขิ องผู้อนื่ ส่อื สารอย่างตรงไปตรงมา ยอมรบั นับถือต่อกันมสี ัมพันธภาพที่ดตี ่อกัน อาจสังเกตไดโ้ ดย
การแสดงออกท่สี อดคล้องกับคำพูด น้ำเสียง เหมาะสมตามสถานการณ์ ประสานตากบั คู่สนทนาวางท่าทาง
ของร่างกายที่แสดงถงึ ความม่ันคง พูดไดค้ ล่องแคลว่ ไมเ่ คอะเขิน หรือลงั เลใจ มคี วามชดั เจนเน้นถอ้ ยคำสำคัญ
เปน็ ตน้
2.สมโภชน์เอีย่ มสุภาษิต (อ้างถงึ ใน ตรรกพร สขุ เกษม, 2558) ได้กลา่ วถึงขัน้ ตอนในการดำเนนิ การ
พัฒนาพฤติกรรมกล้าแสดงออก พอสรปุ ไดด้ ังต่อไปนี้
2.1 กำหนดสถานการณ์ท่ีทำใหบ้ คุ คลน้ันมปี ญั หาในการแสดงออกใหเ้ ฉพาะเจาะจง
เนอ่ื งจากความเชอ่ื พน้ื ฐานวา่ พฤติกรรมการกล้าแสดงออกน้นั มิใชเ่ ป็นลกั ษณะที่แสดงออกในทุกสถานการณ์
หากแตค่ วรแสดงออกในบางสถานการณ์ทีเ่ ฉพาะเจาะจงเท่านัน้ ซึง่ สภาพการณ์ท่เี จาะจงน้ันควรจะรวมทง้ั
เหตุการณท์ ี่เกดิ ข้ึน และการกระทำหรือคำพูดของบคุ คลในเหตกุ ารณ์นนั้
2.2 สอนใหบ้ คุ คลสามารถแยกแยะได้ระหว่างพฤตกิ รรมกล้าแสดงออก
26
( Assertive Behavior) พฤติกรรมกา้ วรา้ ว (Aggressive Behavior) และพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก (Non –
assertive Behavior) เพื่อให้เข้าใจลักษณะพฤติกรรมแต่ละประเภท ความแตกต่าง พร้อมทั้งผลทีจ่ ะเกิดขึ้น
จากการ แสดงพฤติกรรมดงั กลา่ ว
2.3 พัฒนาความเชื่อพนื้ ฐานเก่ยี วกบั พฤตกิ รรมการกล้าแสดงออก สิทธิส่วนบคุ คล
และสทิ ธขิ องผู้อื่นเพราะหลายคนมคี วามเช่ือว่าการกลา้ แสดงออกจะนำมาซ่งึ ความสัมพันธท์ หี่ า่ งเหนิ จงึ ควร
ชแ้ี จงให้เขา้ ใจว่า ทำไมถึงตอ้ งแสดงพฤติกรรมในลักษณะของการแสดงออกแทนทจ่ี ะแสดงออกอย่างทีเ่ คย
กระทำนอกจากนี้ ควรชแ้ี นะให้รจู้ กั แยกแยะวา่ อะไรคือสิทธิส่วนบคุ คล และอะไรคือสิทธิของผู้อ่นื เพราะ
ไม่เช่นน้ันแล้วการฝกึ การกล้าแสดงออกอาจนำไปสู่การกา้ วกา่ ยสิทธิของผอู้ ื่น
2.4 พัฒนาทกั ษะการแสดงออกในดา้ นทักษะท่ัวไป และทักษะเฉพาะเจาะจง
2.5 แสดงออกในเวลาทีเ่ หมาะสม
2.6 เนื้อหาในการพูด การแสดงออก จะไม่ไดร้ บั ความสนใจถา้ เน้ือหาท่ีพดู มีลกั ษณะของการ
ตำหนกิ วา้ งเกินไป หรืออ่อนแอเกินไป ซ่งึ เน้ือหาท่ีพดู ควรจะให้ชัดเจน เฉพาะเจาะจงและตรงไปตรงมา
3. Bower and Bower (1976, อา้ งใน รศั มีเช้ือเจด็ ตน, 2539) แบ่งพฤติกรรมท่ีมนษุ ย์แสดงออกเปน็
3 ลกั ษณะ คือ
3.1 ลักษณะที่ไม่กล้าแสดงออกพฤติกรรมทีเ่ รยี กว่าพฤติกรรมทไ่ี มก่ ล้าแสดงออก
(Non-Assertive Behavior)
3.2 ลกั ษณะท่มี ีความกล้าแสดงพฤติกรรม แต่มกี ารแสดงออกทรี่ ุนแรงเสยี หาย
เรียกว่าพฤติกรรมกา้ วร้าว(Aggressive Assertive Behavior)
3.3 ลักษณะท่มี ีความกล้าแสดงออกพฤติกรรมโดยมีการแสดงออกอย่างเหมาะสม
เรยี กว่าพฤติกรรมกลา้ แสดงออก
4.คอลเลย์ (Kelley) ไดก้ ล่าวว่าทฤษฎีกลา้ แสดงออกเปน็ ทฤษฎกี ารตอบสนองทางพฤติกรรมศาสตร์
แบบหนึ่งทน่ี ำมาใช้มาก โดยการจัดโปรแกรมการฝึกอบรมให้แกผ่ ทู้ มี่ ีความประสงค์จะปรับพฤติกรรมของเขา
เรยี กว่า ทฤษฎกี ารป้องกันสิทธิ คือ เป็นการแสดงสิทธิพงึ มีพงึ ได้ของตนเอง โดยไมเ่ ป็นการลว่ งละเมดิ หรอื กา้ ว
กา่ ยสิทธิของผอู้ ่ืน และการแสดงออกทเี่ หมาะสมในสถานการณท์ างสงั คมหลายๆ ดา้ น เป็นการสอนให้บุคคลมี
พฤติกรรมกล้าแสดงออกท่เี หมาะสมดว้ ย ซ่งึ จริงๆ แลว้ นอกจากนอกจากพฤตกิ รรมกลา้ แสดงออกทีเ่ หมาะสม
27
แล้ว บคุ คลอาจตอบสนองสถานการณต์ ่างๆ ได้อีก 2 ลกั ษณะ คือ พฤตกิ รรมไม่กล้าแสดงออก และพฤติกรรม
ก้าวรา้ ว
สรปุ ไดว้ ่า ทฤษฎกี ลา้ แสดงออกเป็นทฤษฎีการตอบสนองทางพฤติกรรมศาสตรแ์ บบหน่งึ ท่ีนำมาใช้แกผ่ ู้
ที่มีความประสงคจ์ ะปรับพฤติกรรม เป็นการแสดงสทิ ธิพึงมีพึงได้ของตนเอง โดยไมเ่ ปน็ การลว่ งละเมิดหรือกา้ ว
กา่ ยสทิ ธขิ องผ้อู นื่ และการ แสดงออกที่เหมาะสมในสถานการณ์ทางสังคมหลายๆ ด้าน เป็นการสอนให้บุคคลมี
พฤติกรรมกลา้ แสดงออกท่ีเหมาะสม
ลกั ษณะของพฤตกิ รรมความกล้าแสดงออก
1.กุลวณี ์ เกษมสขุ (2559) ได้แบ่งลกั ษณะของพฤตกิ รรม กลา้ แสดงออกเป็น 6 ลักษณะดังน้ี
1.1 การกล้าแสดงออกขน้ั พนื้ ฐาน (Basic Assertion) เป็นการแสดงออกเพื่อรกั ษาสิทธิ
ตลอดจนความ เช่อื ความรูส้ กึ และความคิดเห็น โดยไมจ่ ำเปน็ ต้องอาศัยทักษะทางสังคมอน่ื ๆ เชน่ ความ
เขา้ อกเขา้ ใจ การเผชิญหน้าการชกั จูงใจเป็นตน้
1.2 การกลา้ แสดงออกในลักษณะเขา้ อกเข้าใจ (Empathic Assertion) บอ่ ยครง้ั ท่ีคนเรามี
ความตอ้ งการทจี่ ะแสดงออกถึงความร้สู ึกหรอื ความต้องการท่ีมากไปกว่าการแสดงออกอย่างปกตวิ สิ ัย
โดยเฉพาะอย่างย่ิงเพื่อต้องการทจ่ี ะสอ่ื ใหร้ ู้ถงึ ความรสู้ กึ เข้าอกเข้าใจที่มตี ่อบุคคลอน่ื การกลา้ แสดงออกใน
ลกั ษณะเขา้ อกเขา้ ใจ จึงสมควรท่จี ะนำมาใช้ลกั ษณะของประโยคทแ่ี สดงถึงความรู้สกึ ดงั กลา่ วจะประกอบด้วย
ประโยคทบ่ี อกถึงการรบั รู้สภาพการณ์หรือความร้สู ึกของบุคคลอื่น และตามดว้ ยประโยคท่ียืนยันถงึ สทิ ธิของผู้
พูด
1.3 การกล้าแสดงออกในลักษณะของการเพ่ิมระดับ (Escalating Assertion) ในการแสดง
พฤติกรรมกล้าแสดงออกนนั้ ควรแสดงความรู้สึกทางลบให้นอ้ ยทีส่ ุดในขณะเดียวกนั ก็ให้ได้ผลตามที่ ต้องการ
แต่ถา้ แสดงออกลักษณะเชน่ นแี้ ลว้ ยงั ถกู ละเมิดสทิ ธสิ ่วนบคุ คลอยู่ผทู้ ่ีละเมิดจงึ ควรจะค่อยๆ เพม่ิ ระดับของ
ความเขม้ ของพฤตกิ รรมกล้าแสดงออกขึ้นไปหรืออาจจะใช้การเนน้ ความมันคงของการพูดของตนเองได้โดยไม่
จำเป็นต้องเพ่มิ ระดับของการกล้าแสดงออกจนอาจจะมีลักษณะใกลเ้ คยี งกบั ความก้าวร้าว
1.4 การกลา้ แสดงออกในลักษณะการเผชญิ หน้า (Confrontive Assertion) เป็นการกลา้
แสดงออกท่ีใชเ้ มื่อเหน็ คำพูดและการกระทำของบุคคลนั้นไมไ่ ปดว้ ยกนั ลักษณะของการกล้าแสดงลกั ษณะน้จี ะ
บอกอยา่ งเป็นวตั ถุวสิ ยั วา่ อะไรที่บคุ คลได้พดู ว่าจะทำและอะไรท่บี ุคคลน้นั ได้กระทำไปจริงๆ และหลงั จากนนั้
จะบอกถงึ สง่ิ ทีต่ อ้ งการ การแสดงออกนเ้ี ป็นการพูดไปตามความเป็นจรงิ ท่เี กิดข้นึ โดยไม่มีการตีความหรือ
ประเมนิ ค่าใดๆทั้งส้ิน
28
1.5 การกล้าแสดงออกในลักษณะของการใช้ภาษา ผม/ดฉิ นั (I-Language Assertion) ภาษา
ผม/ดิฉนั นมี้ ีประโยชน์อย่างมากต่อการแสดงออกถึงความรูส้ ึกทางลบไมว่ ่าความรสู้ กึ นนั้ จะเกดิ จากการทผ่ี ู้อื่น
พยายาม จะเขา้ มาย่งุ เก่ียวกบั ความรสู้ กึ หรอื สิทธสิ ่วนบุคคลของเขาตลอดจนความรู้สกึ ทางลบอันเกดิ จากที่
ผอู้ นื่ พยายามยัดเยยี ดและความคาดหวงั ของตนใหก้ ับเขาซึ่งประกอบด้วยประโยค 4 ประโยคคือ
1.5.1 ประโยคทบี่ อกถึงเหตุการณท์ เี่ กิดขนึ้
(ผู้พดู บอกว่าพฤตกิ รรมของบุคคลอยา่ งชัดเจน)
1.5.2 ประโยคทบ่ี อกถึงผลทีเ่ กิดขึ้น (ผู้พูดบอกวา่ พฤติกรรมของบคุ คลมีผลตอ่ ชวี ิต
หรอื ความรูส้ ึกของเขาอย่างไรอย่างเป็นรปู ธรรม)
1.5.3 ประโยคท่ีแสดงถงึ ความรสู้ กึ (ผพู้ ดู บอกถึงความร้สู ึก)
1.5.4 ประโยคทบี่ อกถึงส่ิงทอี่ ยากใหเ้ กิดขึ้น (ผู้พูดบอกวา่ เขาต้องการอะไร)
1.6 การกล้าแสดงออกและการชักจูง (Assertion and Persuasion) บอ่ ยครั้งท่เี ราต้องการ
เสนอความคิดเหน็ ใหเ้ ป็นท่ยี อมรับในทป่ี ระชมุ หรอื กลุ่ม โดยไมแ่ สดงความกา้ วรา้ วออกมา ซึง่ วิธีการที่จะเสนอ
ความคดิ ในกลมุ่ ให้ได้ผลนน้ั จะตอ้ งพิจารณา 2 ปจั จยั หลัก น่ันคอื เวลาและลกั ษณะของประโยคที่พูดซงึ่ แสดง
ความจรงิ ใจของผู้พูด
2. กฤตภัค ใจกลา้ (2561: 17) พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมน้นั มีลักษณะเปน็ ทกั ษะท่ี
เกดิ จากการเรยี นรูท้ างสังคม มีการใชส้ รรพนามแทนตนเอง มคี วามสุภาพ เคารพสทิ ธิของตนเองและผอู้ ื่นใน
การแสดงความคดิ เห็น สหี นา้ ทา่ ทาง ความร้สู ึกทั้งพอใจและไม่ พอใจ การกล่าวและการยอมรบั คำติชม การ
ถามหรือการขอร้อง การปฏเิ สธ โดยรกั ษาสทิ ธิของตนเอง ไว้ได้และไมล่ ะเมดิ สิทธขิ องผู้อ่นื มคี วามมั่นใจ
ชัดเจน และตรงไปตรงมา
4. Fensterheim และ Bear (1975) ได้มองลักษณะของการแสดงออกอย่างเหมาะสมในมิติ ที่
แตกต่างกันออกไปโดยได้แบง่ เปน็ 4 ลกั ษณะดังนี้
3.1 บคุ คลสามารถเปดิ เผยตนเองได้อยา่ งอิสระผ่านทางคำพูดและการแสดงออกสามารถพูด
ถงึ ความคิดความรูส้ ึก และความต้องการของตนเองได้อย่างเปน็ อิสระ
3.2 บคุ คลสามารถส่ือสารกับคนอื่นๆไดใ้ นทุกระดับ ท้งั กับคนแปลกหน้า เพ่อื นฝงู บคุ คลใน
29
ครอบครัว ซ่งึ การสอ่ื สารนจ้ี ะมลี ักษณะเปิดกวา้ ง จริงใจ มคี วามซ่อื สัตย์ และเหมาะสม
3.3 สามารถเปน็ ผูใ้ หค้ ำแนะนำไดแ้ ละทำในสิ่งที่ตนต้องการในทางกลับกันสามารถรอคอยสิง่
ทีจ่ ะเกิดข้นึ และสามารถทำให้สง่ิ นัน้ เกิดขน้ึ ได้
3.4 บุคคลสามารถแสดงถึงความเคารพในตนเองมีความตระหนักในตนเองว่าตนไม่สามารถ
เปน็ ผชู้ นะได้เสมอไปยอมรบั ข้อจำกดั และพยายามทำให้ดีที่สุดไม่ว่าจะแพ้หรือชนะเพื่อรักษาความเคารพใน
ตนเอง
5. Alberti & Emmons (1982: 19) กลา่ วว่าพฤตกิ รรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมมี 8
ลกั ษณะ ดังน้ี
4.1 มกี ารแสดงความคิดเหน็ หรอื ความร้สู ึกของตนเองอย่างชดั เจน
4.2 มคี วามซ่ือสัตย์
4.3 ตรงไปตรงมาและหนักแน่น
4.4 มีการพฒั นาตนเองและมีการพัฒนาความสมั พันธ์กบั ผู้อน่ื
4.5 เคารพสิทธิข์ องผู้อ่ืน
4.6 รูจ้ กั กาลเทศะ
4.7 มคี วามรบั ผิดชอบทางสังคม
4.8 มลี ักษณะนิสัยหรือทักษะท่เี กดิ จากการเรยี นร้ทู างสังคม
ดงั น้นั ลกั ษณะของพฤติกรรมกล้าแสดงออกเปน็ ความสามารถของบคุ คลในการรักษาสิทธิความเชื่อ
ความรสู้ ึก ความคิดเหน็ เปน็ การแสดงความรสู้ ึกท่แี ทจ้ รงิ ออกทางหนา้ ตา ทา่ ทาง การใชภ้ าษาใน การสอื่ ความ
ในประโยค
6. Salter (1949) ระบุลกั ษณะท่ีสำคัญของพฤติกรรมการแสดงออกอย่างเหมาะสมจาก ประสบการณ์
การทาํ งาน ดังนี้
5.1 การอารมณ์ทางคำพูด ซ่งึ แสดงให้เหน็ ถึงการแสดงความรู้สกึ อย่างเปิดเผย
5.2 การเจตนารมณ์ของคำพูด ซ่ึงต้องการแสดงความรูส้ กึ ทีต่ รงไปตรงมาและเป็น ธรรมชาติ
5.3 ความสามารถในการคัดค้านหรือแสดงความคดิ เหน็ ของบคุ คลอน่ื ในมุมมองของ ตนเอง
30
ได้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา
5.4 การใช้สรรพนามแทนตนเองว่า ฉนั “I message ซ่ึงแสดงแสดงใหเ้ ห็นถึงความ
รบั ผิดชอบคำพูดของตนเอง
5.5 การยอมรับคำชมเชย ซ่งึ ไม่ไดแ้ สดงถงึ ความทะนงตน แตเ่ ปน็ การแสดงการเคารพตนเอง
6. Lazarus (1977) กล่าวว่า พฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสมนัน้ จะ ครอบคลุม
ความสามารถในการแสดงออก 4 ประการ คอื
1.ความสามารถในการกล่าวปฏเิ สธ
2. ความสามารถในการขอร้อง
3.ความสามารถในการแสดงความรู้สึกท้งั ในทางบวกและทางลบ
4. ความสามารถในการเริ่มต้น ดำเนินไป และการสนิ้ สดุ สนทนา
7.Lange and Jakuboski (1970 อา้ งใน สมโภชน์ เอย่ี มสุภาษิต, 2553: 133)
ไดแ้ บ่ง ลกั ษณะของพฤติกรรมกลา้ แสดงออกเป็น 6 ลักษณะด้วยกนั ดังตอ่ ไปนี้
7.1 การกล้าแสดงออกข้นั พ้นื ฐาน (Basic Assertion) เปน็ การแสดงออกเพ่ือรักษาสิทธิ
ตลอดจนความเชื่อ ความรูส้ กึ และความคิดเห็นของตนเอง โดยไมจ่ ำเป็นท่ีจะตอ้ งอาศยั ทักษะ ทางสงั คมอ่นื ๆ
เช่น ความเข้าอกเข้าใจ การเผชญิ หน้า การชกั จงู เปน็ ต้น ตัวอยา่ งเช่น กรณี ที่ถูกสอดแทรกในขณะที่กำลัง พูด
อยู่ : คุณอาจจะพูดว่า “ขอโทษครับ ผมอยากจะขอพูดให้จบ เสียก่อน” กรณที ี่ถกู ถามดว้ ยคำถามทส่ี ำคญั แต่
ทวา่ คุณไม่ได้เตรียมตัวมากอ่ น : คณุ อาจจะพูดว่า “ผมอยากจะขอใชเ้ วลาสกั 2 - 3 นาที ในการทีจ่ ะคดิ
ทบทวนอกี คร้งั หน่งึ ”
7.2 การกลา้ แสดงออกในลักษณะการเข้าอกเข้าใจ (Empathic Assertion) คนเราจะมี
ความต้องการทจี่ ะ แสดงออกถงึ ความรู้สึกหรือความต้องการทีม่ ากไปกว่าการกลา้ แสดงออกอย่างปกติ
คุณสง่ วสิ ัย โดยเฉพาะอยา่ งย่ิง เพอื่ ต้องการท่จี ะสื่อใหร้ ถู้ ึงความรู้สึกของการเขา้ อกเขา้ ใจบุคคลอนื่ การกลา้
แสดงออกในลักษณะการเข้าอกเขา้ ใจจงึ สมควรท่ีจะนำมาใช้ ลกั ษณะของประโยคที่แสดงถงึ ความรูส้ ึก ดงั กลา่ ว
จะประกอบดว้ ย ประโยคทีบ่ อกถึงการรบั รู้ สภาพการณ์ หรอื ความรูส้ กึ ของบุคคลอน่ื และ ตามดว้ ยประโยคท่ี
ยืนยันถึงสทิ ธขิ องผพู้ ูด
31
7.3 การกลา้ แสดงออกในลักษณะของการเพิม่ ระดับ (Escalating Assertion) ในการ แสดง
พฤติกรรมกล้าแสดงออกนน้ั Rimm and Masters (1974 อา้ งใน สมโภชน์ เอ่ยี มสภุ าษติ , 2553) ได้เสนอไวว้ ่า
ควรจะแสดงออกในลกั ษณะที่จะก่อใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ หรืออารมณท์ างลบใหน้ ้อย ท่ีสุดในขณะเดียวกันต้องใหผ้ ล
ตามที่ต้องการ แต่ถ้าแสดงออกในลกั ษณะดงั กล่าวแล้ว ยังคงถูกละเมิด สิทธิส่วนบคุ คลอยู่ ผูท้ ่ถี กู ละเมิดจึง
ควรจะค่อย ๆ เพม่ิ ระดับของความเข้มของพฤติกรรมกล้า แสดงออกข้นึ ไป หรืออาจให้การเนน้ ความม่นั คงของ
การพดู ของตนเองก็ได้โดยไมจ่ ำเป็นต้องเพม่ิ ระดบั การกลา้ แสดงออก จนอาจมลี ักษณะใกล้เคียงกบั ความ
กา้ วร้าว
7.4 การกล้าแสดงออกในลักษณะของการเผชิญหนา้ (Confrontive Assertion) เป็นการ
กลา้ แสดงออกทีใ่ ชเ้ ม่ือเหน็ ว่าคำพูดและการกระทำของบุคคลนน้ั ไม่ไปด้วยกนั ลักษณะของการกลา้ แสดงออก
ลักษณะน้ีจะบอกอย่างเป็นวัตถุวสิ ยั ว่าอะไรท่บี ุคคลได้พูดวา่ จะทำและอะไรที่บคุ คลนัน้ ได้ กระทำไปจรงิ ๆ
และหลงั จากนั้นจะบอกถึงส่ิงทตี่ อ้ งการ การแสดงออกนจ้ี ะเป็นการพดู ไปตามความ เป็นจริงทเี่ กดิ ขึน้ โดยไม่มี
การตคี วามใด ๆ ท้งั สิน้
7.5 การกลา้ แสดงออกในลักษณะของการใช้ภาษา ผม/ดิฉัน (I - Language Assertion) มี
ประโยชนอ์ ยา่ งมากต่อการแสดงออกถึงความรสู้ ึกทางลบ ไมว่ ่าความรู้สกึ นั้นจะเกิดจากการทผ่ี อู้ ่ืน พยายามจะ
เข้ามาย่งุ เกีย่ วกบั ความรสู้ ึกหรอื สิทธสิ ว่ นบุคคลของเขา ตลอดจนความรสู้ ึกทางลบอันเกิด จากการทผี่ ู้อนื่
พยายามยัดเยียดค่านิยมและความคาดหวงั ของตนให้กับเขา
7.6 การกลา้ แสดงออกและการชักจูง (Assertion and Persuation) บ่อยครงั้ ทเี่ รา ต้องการ
ถามตนเองวา่ จะทำอย่างไรที่เสนอความคดิ เห็นต่างๆในการประชมุ หรอื ในกลมุ่ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ท่ี ยอมรับโดย ไม่
แสดงความก้าวร้าวออกมา ซง่ึ วิธีการที่จะเสนอความคิดในกลมุ่ ให้ได้ผลน้นั จะต้อง พจิ ารณา 2 ปัจจัยหลกั น้นั
คอื เวลาและลักษณะของประโยคที่พูดซ่ึงแนน่ อนที่สุดการพูดจะตอ้ งแสดงความจรงิ ใจของผพู้ ดู
สรุปไดว้ า่ พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมน้นั มีลักษณะเปน็ ทักษะที่เกิดจากการเรียนรู้
ทางสังคม มีการใชส้ รรพนามแทนตนเอง มีความสภุ าพ เคารพสทิ ธิของตนเองและผู้อน่ื ในการแสดงความ
คดิ เหน็ สีหนา้ ท่าทาง ความรูส้ ึกทั้งพอใจและไม่ พอใจ การกลา่ วและการยอมรับคำตชิ ม การถามหรือการ
ขอร้อง การปฏเิ สธ โดยรักษาสทิ ธิของตนเอง ไว้ไดแ้ ละไม่ละเมดิ สทิ ธขิ องผู้อนื่ มีความมั่นใจ ชดั เจน และ
ตรงไปตรงมา
องคป์ ระกอบของพฤติกรรมการกลา้ แสดงออก
32
1. Wolpe (1973: 86) ไดจ้ ำแนกองคป์ ระกอบของการกลา้ แสดงออกไว้ดงั นี้
1.1 การแสดงออกทางวาจาตามความรู้สึก และประสบการณ์ของตนเองโดยไมต่ ้อง
อา้ ง เหตผุ ล
1.2 การแสดงความรสู้ ึกทางใบหน้าใหเ้ หมาะสมกบั เน้อื หา เมื่อมีปฏิสัมพนั ธ์กบั คน
อน่ื
1.3 การแสดงความขัดแยง้ โดยไมฝ่ ืนใจหรือคล้อยตามในเรือ่ งทต่ี นไมเ่ ห็นดว้ ย โดย
แสดง อารมณ์ได้อยา่ งเหมาะสมในการแสดงความไม่เหน็ ดว้ ย
1.4 การใช้สรรพนามแทนตวั เองไดม้ ากทสี่ ุด
1.5 การแสดงความยอมรับการชมเชยของผู้อ่นื
1.6 การตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ และรวดเรว็ ทสี่ ดุ เทา่ ท่จี ะทำได้
2. Alberti & Emmons (1982: 19) กล่าววา่ องคป์ ระกอบที่สำคัญทสี่ ดุ ของพฤตกิ รรม การกลา้
แสดงออก มดี ังน้ี
1. วจนภาษา หรอื การแสดงออกทางคำพดู (Content) ไดแ้ ก่
1.1 การกล่าวความรสู้ ึกของตนเอง (Feelings)
1.2 การกลา่ วรกั ษาสทิ ธขิ องตนเอง (Rights)
1.3 การพูดด้วยความจรงิ ใจ (Facts)
1.4 การแสดงความคิดเหน็ (Opinions)
1.5 การกล่าวคำขอร้อง การแสดงความตอ้ งการ หรือการขอความช่วยเหลือ
(Requests)
1.6 การปฏเิ สธ (Limits)
2. อวจนภาษา หรอื การแสดงออกทางร่างกาย (Nonverbal Style)
2.1 การประสานสายตา (Eye Contact)
33
2.2 นำ้ เสียง (Voice Tone)
2.3 การวางตำแหนง่ ร่างกาย (Postures)
2.4 การแสดงออกทางใบหน้า (Facial expressions)
2.5 การเคลอ่ื นไหวรา่ งกาย (Gestures)
2.6 ระยะหา่ ง (Distances)
2.7 การฟงั (Listening)
3. ชลลดา ทวีคูณ (2556 อ้างใน นิโลบล แกว้ พ่วง, 2558: 17) ได้กลา่ ววา่ การแสดงออกที่ เหมาะสม
มีองค์ประกอบทสี่ ำคญั คือ ภาษาท่ีใช้ถ้อยคำและภาษาทีไ่ ม่ใช่ถอ้ ยคำหรือเรยี กกันว่าวจัน ภาษาและอวกนั
ภาษา ดงั น้ันการแสดงออกท่ีมิใชค่ ำพูดจึงเปน็ สิ่งสำคญั อกี ประการหนงึ่ ทจ่ี ะชว่ ย ส่งเสรมิ การแสดงออกให้
สมบรู ณม์ ากยิ่งขึ้นดงั นี้
1. การประสานสายตา (Eye Contact) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการสนทนาท่ดี จี ะ ช่วยให้เกิด
สัมพนั ธภาพท่ีดีกับคูส่ นทนา ส่วนการหันเหสายตาไปทางอื่นหรือชอบมองต่ำอย่เู สมอ นอกจากแสดงถึงการ
ขาดการใส่ใจคู่สนทนาแลว้ ยังดูเหมอื นว่าเป็นคนขาดความเชอื่ มน่ั ในตนเองอีก ด้วย
2. การวางทา่ ทางของร่างกาย (Body Posture) ท่าทางของการยนื หรือการนัง่ จะส่งผล ถึงความรสู้ ึก
ของผู้ฟังที่มีตอ่ ผู้พูดได้ ดังนัน้ หากคณุ ต้องลุกข้ึนยนื พูดก็ควรแสดงออกดว้ ยทา่ ทางท่ี คล่องแคล่ววอ่ งไวและยืน
ตัวตรงหรอื หากนั่งพูดกค็ วรแสดงออกดว้ ยท่าทีท่ีสบายตัวตั้งตรงวางแขนและ มือบนโตะ๊ และไม่ควรน่งั เท้าคาง
หรือเลน่ สงิ่ ของบนโต๊ะ
3. ระยะหา่ งและการสัมผสั กาย (Distance and Physical Contact) ระยะหา่ งของ การยนื หรือน่ัง
และการสัมผสั กายมคี วามสำคญั ตอ่ การสื่อสารของบุคคลเช่นกันซ่งึ ระยะหา่ งควรจะใกล้ หรือไกลเพยี งใดหรือ
ควรสมั ผัสกายหรอื ไม่ คงต้องข้ึนอย่กู ับความสนิทสนมกันท้ังของผู้พูดและของ
เขียนถึงผฟู้ ัง ท้งั น้ใี นสังคมไทยการสมั ผสั กายควรใชอ้ ย่างระมัดระวัง ย่งิ ตา่ งเพศกันดว้ ยแลว้ ในสังคมไทยไม่ควร
ใช้เลยจะดกี วา่
4. อากัปกริ ิยา (Gesture) อากัปกิริยาทน่ี ่าช่ืนชม หรือใช้เม่ือในการประกอบการพูดไดด้ ี
จะชว่ ยเนน้ ความเขา้ ใจ และความนา่ เชือ่ ถือในส่ิงที่พดู ได้มาก ต้องระมัดระวงั การชน้ี ิ้วเพราะทำให้ดู ไม่สุภาพ
ควรใชก้ ารแทนการ น้วิ ส่วนอากปั กิริยา เคร่งเครยี ดลุกลลี้ ุกลนหรือการใชม้ ีมาก เกนิ ไปอาจสง่ ผลให้คนบนขาด
ความนา่ เละผู้ฟังเกิดความเป็นหน่วยได้
34
5. การแสดงสหี น้า (Facial Expression) การแสดงสหี นา้ ท่ีเป็นธรรมชาตแิ ละตรงกบั
ถึงพูดนัน้ เป็นสิง่ สำคัญอยา่ งยิ่ง เพราะสีหน้าจะเนน้ ในส่งิ ท่ีคุณพูดวา่ จรงิ หรอื ไม่ตรงกนั ข้ามหากคุณ - หนา้ ไม่
ตรงกับพูด เช่น พดู ว่าโกรธแต่ หน้า บนโน หรือว่าโกรธหน้า แตง่ ควิ้ ขมวด ผฟู้ งั จะรูส้ กึ ได้ทันทีทค่ี ุณพูดนนั้ ไม่
เปน็ ความจรงิ ดงั นั้น คุณจึงต้องแสดงสีหน้าให้ตรงกับส่ิงท่ีพดู อย่างเปน็ รรมชาติ เนความรูส้ กึ จริงใจขยะผพู้ ูด
6. นำ้ เสียง (Voice Tone) การออกเสยี งสงู - ตำ่ และระดบั ของน้ำเสยี ง การใช้เสยี ง
เปน็ องคป์ ระกอบทส่ี ำคัญ อีกอย่างหนึ่งของการส่ือสาร คำพดู เหมือนกนั แตต่ ะโกนพูดด้วยความโกรธจะรับรู้
แตกต่างจาการตะโกนออกมาดว้ ยความรสู้ ึกท่รี ่นื เริงยนิ ดี หรือพดู อยา่ งกระซิบดว้ ย ความหวาดกลวั เสียงท่ีเบา
และระดบั เดียวกันโดยตลอดจะทำให้รู้สกึ วา่ ไม่ค่อยนา่ สนใจในขณะทเี่ สยี ง ตะโกนหรอื เสียงที่ดังกลบั สรา้ ง
ความรสู้ กึ ท่ีข่มขู่ และก่อให้เกิดการตอ่ ต้านได้ลักษณะของเสียงแบง่ ออกเป็น 3 ลักษณะดงั นี้
6.1 นำ้ เสยี ง ไดแ้ ก่ เสียงดุ เสียงสะอื้น เสยี งออ่ นหวาน หรือเสียงโกรธแค้น เป็นตน้
6.2 เสยี งสงู - ตำ่ ไดแ้ ก่ การเน้น คำพยางค์ เสยี งเรยี บสม่ำเสมอ หรอื เสียงสงู – ตำ่
คล้ายเสียงรอ้ งเพลง 6.3 ระดับเสยี ง ได้แก่ เสียงกระซิบ เพ่ือเรียกร้องความสนใจ เสยี งดัง เพือ่ แสดง อำนาจ
จึงควรรจู้ ักควบคุมการใช้เสียงให้ตรงกบั ความตอ้ งการและส่งเสริมในสิ่งท่ีตนพูดใหม้ ากทส่ี ุด
7. ความคลอ่ งแคลว่ (Fluency) คำพดู ทีห่ ลงั่ ไหลออกมาอย่างราบร่ืน ชดั เจน เปน็ สง่ิ ท่ีมี
คณุ ค่าอยา่ งยิง่ ต่อการสนทนา แต่การพูดได้เรว็ และพูดได้นานอาจไมก่ ่อใหเ้ กิดประโยชนแ์ ต่อยา่ งไร หากการพูด
นน้ั มีการสะดุดเป็นช่วง ๆ หรอื ผิดพลาดบ่อย ผฟู้ งั อาจจะรำคาญเบ่ือหน่ายและรสู้ กึ วา่ ผู้ พูดขาดความเชอื่ ม่นั
ในตนเองได้ ดังน้นั การพูดทดี่ ีจงึ ไมค่ วรพดู เร็วหรือช้าจนเกินไปที่สำคญั คือต้องมี ความชัดเจน ถกู ต้องและผู้ฟัง
สามารถเข้าใจไดด้ จี ึงเป็นการดีท่สี ุด
4. นโิ ลบล แก้วพว่ ง (2558: 6) ไดแ้ บง่ องค์ประกอบของพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่าง เหมาะสม
เปน็ 2 องค์ประกอบ ได้แก่
1. พฤตกิ รรมดา้ นภาษาท่าทาง
1.1 การประสานสายตา หมายถงึ การสบตาคู่สนทนา เพอ บอกใหร้ วู้ ่าผู้พูดนัน้ มี
ความจรงิ ใจในสงิ่ ที่พดู โดยไม่ใช่การจอ้ งหน้าคู่สนทนาท่จี ะสร้างความอดึ อัด
1.2 การวางท่าทาง หมายถงึ ทา่ ทางการยนื หรอื การนัง่ ท่ีผ่อนคลายไม่เครง่ ขรึม
เกนิ ไปและคล่องแคล่ววอ่ งไว
35
1.3 นำ้ เสยี ง หมายถึง ระดับความดงั และจงั หวะของนำ้ เสียงท่แี สดงถึงความรู้สึกท่ี
แทจ้ ริง
2. พฤตกิ รรมด้านภาษาถ้อยคำ
2.1 การพดู แสดงความรู้สึก หมายถึง สามารถแสดงออกถงึ ความชอบและความ
สนใจอย่างไมเ่ ขิน
2.2 การพดู เก่ยี วกบั ตนเอง หมายถึง สามารถพูดเร่ืองเล่าท่ีน่าสนใจและมีคณุ ค่าให้
ผู้อื่นทราบได้ เมอ่ื ถึงเวลาท่ีสมควรโดยไม่โมโ้ อ้อวด หรอื ผูกขาดการสนทนาคนเดยี ว
2.3 การพูดทักทาย หมายถงึ สามารถพดู แสดงความเป็นมิตรกบั บคุ คลทต่ี อ้ งการ
ร้จู ักกนั ใหม้ ากขนึ้ ด้วยท่าทางยมิ้ แยม้ แจ่มใสท่ไี ดพ้ บเจอ
2.4 การยอมรบั และกล่าวคำชมเชย หมายถึง สามารถกลา่ วคำชมเชยตอ่ ผู้อนื่ ได้ เม่ือ
เขาประสบความสำเร็จหรอื ภาคภมู ิใจกบั ส่งิ ใดสงิ่ หนง่ึ และสามารถยอมรับคำชมเชยดว้ ย
ความจริงใจ
2.5 การแสดงออกความคิดเห็น หมายถงึ สามารถแสดงความคดิ เหน็ ของตนท้ังเห็น
ด้วยและไมเ่ ห็นดว้ ยใหผ้ ู้อื่นได้รบั ฟงั
2.6 การกลา่ ววาจาเพ่ือรกั ษาสทิ ธิ หมายถึง เมอื่ ถูกเอาเปรียบอย่างไมย่ ุติธรรม
สามารถกลา่ วปฏเิ สธ สามารถแสดงสทิ ธิของตนเองและขอให้ผู้อนื่ ปฏิบัติต่อตนเองดว้ ยความ
ยตุ ธิ รรม โดยไมท่ ะเลาะหรอื โกรธผูอ้ นื่
สรุปไดว้ า่ พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมนน้ั มอี งคป์ ระกอบเป็นการส่ือสารทแ่ี สดง
ความร้สู ึกทางคำพูด ทา่ ทาง หรอื ท่เี รียกวา่ วจันภาษา ได้แก่ การกลา่ วแสดงความคิด ความรู้สึก การกล่าว
ขอร้อง แสดงความต้องการ หรือขอความช่วยเหลือ การกล่าวปฏิเสธหรือการกลา่ วรักษาสิทธิ การกล่าวและ
ยอมรับคำติชม และอวจันภาษา ไดแ้ ก่ น้ำเสยี ง การประสานสายตา การวางท่าทาง ระยะห่าง การสมั ผัส การ
แสดงออกทางใบหน้า และความไวใน การตอบสนอง
หลกั สตู รแกนกลาง
1.หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551
กระทรวงศกึ ษาธิการได้ประกาศใชห้ ลกั สตู รการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๔๔ ให้เป็น
หลกั สตู รแกนกลางของประเทศ โดยกำหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรเู้ ป็นเปา้ หมายและกรอบทิศทาง
36
ในการพฒั นาคณุ ภาพผู้เรียนใหเ้ ปน็ คนดี มปี ัญญา มีคณุ ภาพชีวติ ท่ดี แี ละมีขีดความสามารถในการแข่งขันใน
เวทีระดบั โลก ยดึ มัน่ ในระบบปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข มีความรู้
และทักษะพน้ื ฐาน รวมท้ังเจตคติท่จี ำเป็นต่อการศกึ ษา ตอ่ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชีวิต โดย
มงุ่ เนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อวา่ ทุกคนสามารถเรยี นร้แู ละพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
1.1.วิสัยทัศน์
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน มงุ่ พัฒนาผู้เรียนทุกคน ซงึ่ เป็นกำลังของชาติให้
เปน็ มนุษย์ท่ีมีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจติ สำนึกในความเปน็ พลเมอื งไทยและเปน็ พล
โลก ยดึ ม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข มคี วามรู้และทักษะ
พื้นฐาน รวมท้งั เจตคติ ท่จี ำเป็นต่อการศกึ ษาต่อ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชวี ติ โดยมุ่งเน้น
ผูเ้ รียนเป็นสำคญั บนพ้นื ฐานความเช่อื ว่า ทกุ คนสามารถเรยี นร้แู ละพัฒนาตนเองไดเ้ ต็มตามศักยภาพ
1.2 หลกั การ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน มีหลกั การท่สี ำคัญ ดังน้ี
1.2.1เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเปน็ เอกภาพของชาติ มจี ุดหมายและ
มาตรฐานการเรยี นรูเ้ ป็นเปา้ หมายสำหรบั พัฒนาเด็กและเยาวชนให้มคี วามรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบน
พืน้ ฐานของความเป็นไทยควบคู่กบั ความเป็นสากล
1.2.2 เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาเพอื่ ปวงชน ทปี่ ระชาชนทกุ คนมโี อกาสไดร้ ับ
การศึกษาอยา่ งเสมอภาค และมีคุณภาพ
1.2.3 เป็นหลักสตู รการศกึ ษาท่สี นองการกระจายอำนาจ ใหส้ งั คมมีสว่ นรว่ มในการ
จดั การศกึ ษาใหส้ อดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถน่ิ
1.2.4 เปน็ หลกั สตู รการศึกษาทม่ี ีโครงสรา้ งยดื หยนุ่ ท้ังดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาและ
การจดั การเรียนรู้
1.2.5 เป็นหลกั สตู รการศกึ ษาทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ
1.2.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรบั การศกึ ษาในระบบ นอกระบบ
และตามอัธยาศัยครอบคลมุ ทกุ กลมุ่ เปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์
37
1.3 จุดหมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มงุ่ พัฒนาผเู้ รียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสขุ
มีศกั ยภาพในการศกึ ษาต่อ และประกอบอาชพี จงึ กำหนดเป็นจดุ หมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรยี น เมอื่ จบ
การศึกษาข้นั พื้นฐาน ดงั นี้
1.3.1 มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มทพี่ ึงประสงค์ เหน็ คุณคา่ ของตนเอง
มวี นิ ัยและปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาทตี่ นนบั ถือ ยึดหลักปรชั ญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง
1.3.2 มีความรู้ ความสามารถในการส่อื สาร การคดิ การแก้ปญั หา
การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชวี ิต
1.3.3 มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มสี ุขนิสยั และรกั การออกกำลงั กาย
1.3.4 มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมนั่ ในวถิ ี
ชวี ิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข
1.3.5 มีจิตสำนกึ ในการอนุรักษว์ ฒั นธรรมและภูมิปญั ญาไทย การอนุรกั ษแ์ ละ
พฒั นาสิ่งแวดลอ้ ม มจี ติ สาธารณะที่ม่งุ ทำประโยชน์และสร้างสิ่งทด่ี งี ามในสงั คม และอยู่ร่วมกนั ในสงั คมอย่างมี
ความสุข
1.4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ม่งุ ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ สมรรถนะสำคญั ๕ ประการ ดังนี้
1.4.1 ความสามารถในการสอื่ สาร เป็นความสามารถในการรบั และสง่ สาร
มีวฒั นธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือ
แลกเปลยี่ นขอ้ มลู ขา่ วสารและประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทงั้ การ
เจรจาตอ่ รองเพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแยง้ ต่าง ๆ การเลอื กรับหรอื ไม่รบั ขอ้ มลู ข่าวสารด้วยหลกั เหตผุ ล
และความถูกต้อง ตลอดจนการเลอื กใชว้ ธิ ีการส่อื สาร ท่มี ีประสทิ ธภิ าพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบทม่ี ตี ่อตนเองและ
สังคม
1.4.2 ความสามารถในการคดิ เปน็ ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ การคดิ
38
สังเคราะห์ การคดิ อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมวี ิจารณญาณ และการคดิ เป็นระบบ เพ่ือนำไปส่กู ารสรา้ ง
องค์ความรู้หรอื สารสนเทศเพื่อการตดั สินใจเกยี่ วกบั ตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม
1.4.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ัญหาและ
อปุ สรรคต่าง ๆ ทีเ่ ผชิญไดอ้ ย่างถกู ต้องเหมาะสมบนพนื้ ฐานของหลกั เหตุผล คณุ ธรรมและขอ้ มลู สารสนเทศ
เข้าใจความสัมพนั ธ์และการเปลีย่ นแปลงของเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์ความรู้มาใช้
ในการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธภิ าพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบที่เกิดขน้ึ ตอ่
ตนเอง สังคมและสง่ิ แวดลอ้ ม
1.4.4 ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ เปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการ
ต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนนิ ชีวติ ประจำวัน การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเนือ่ ง การทำงาน และการ
อยรู่ ว่ มกันในสงั คมดว้ ยการสร้างเสริมความสมั พนั ธ์อนั ดีระหวา่ งบุคคล การจดั การปัญหาและความขดั แยง้ ต่าง
ๆ อย่างเหมาะสม การปรบั ตวั ใหท้ นั กบั การเปลยี่ นแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ ม และการรจู้ ักหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมไม่พงึ ประสงคท์ ีส่ ่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อ่ืน
1.4.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้
เทคโนโลยดี า้ นต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในดา้ นการ
เรียนรู้ การสอ่ื สาร การทำงาน การแกป้ ญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม
1.5 คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน มุ่งพัฒนาผ้เู รยี นให้มคี ณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
เพื่อใหส้ ามารถอยู่รว่ มกบั ผู้อ่นื ในสงั คมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังน้ี
1.5.1 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
1.5.2 ซ่ือสัตย์สจุ รติ
1.5.3 มีวินัย
1..5.4 ใฝเ่ รยี นรู้
1.5.5 อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง
1.5.6 มงุ่ ม่ันในการทำงาน
1.5.7 รกั ความเปน็ ไทย
39
1.5.8 มีจิตสาธารณะ
1.6 มาตรฐานการเรยี นรู้
การพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ กิดความสมดลุ ตอ้ งคำนึงถึงหลักพฒั นาการทางสมอง และพหปุ ัญญา
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐานจงึ กำหนดใหผ้ ู้เรียนเรยี นรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ดังน้ี
1.6.1 ภาษาไทย
1.6.2 คณิตศาสตร์
1.6.3 วทิ ยาศาสตร์
1.6.4 สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม
1.6.5 สุขศกึ ษาและพลศึกษา
1.6.6 ศิลปะ
1.6.7 การงานอาชีพและเทคโนโลยี
1.6.8 ภาษาตา่ งประเทศ
ในแต่ละกลุม่ สาระการเรยี นรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เปน็ เป้าหมายสำคญั ของการพัฒนา
คุณภาพผูเ้ รยี น มาตรฐานการเรียนรรู้ ะบุส่งิ ทผี่ ู้เรยี นพึงรู้ ปฏิบัติได้ มคี ุณธรรมจรยิ ธรรม และค่านยิ มท่ีพึง
ประสงค์ เมื่อจบการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน นอกจากนัน้ มาตรฐานการเรยี นรู้ยังเปน็ กลไกสำคัญ
1.7 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 1 ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเข้าใจประวตั ิ ความสำคญั ศาสดา หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาที่ตนนบั
ถอื และศาสนาอน่ื มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมน่ั และปฏิบตั ติ ามหลักธรรม เพอื่ อยรู่ ว่ มกันอย่างสันติสุข
มาตรฐาน ส 1.2 เขา้ ใจ ตระหนักและปฏบิ ัตติ นเป็นศาสนกิ ชนท่ดี ี และธำรงรกั ษาพระพุทธศาสนาหรอื
ศาสนาทีต่ นนบั ถือ
สาระที่ 2 หน้าท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนินชีวิตในสงั คม
มาตรฐาน ส 2.1 เขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ นตามหนา้ ที่ของการเปน็ พลเมืองดี มีค่านิยมท่ดี ีงาม และธำรงรกั ษา
ประเพณแี ละวัฒนธรรมไทย ดำรงชวี ติ อยู่รว่ มกันในสงั คมไทยและสงั คมโลกอย่างสันติสุข
40
มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปจั จุบัน ยดึ มน่ั ศรัทธาและธำรงรกั ษาไวซ้ ง่ึ การ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจดั การทรัพยากรในการผลติ และการบรโิ ภคการใช้ ทรพั ยากรทมี่ ี
อยู่จำกัดได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมท้งั เข้าใจหลกั การของเศรษฐกิจพอเพียง เพอื่ การดำรงชวี ิต
อย่างมีดุลยภาพ
มาตรฐาน ส.3.2 เข้าใจระบบ และสถาบนั ทางเศรษฐกจิ ต่าง ๆ ความสมั พนั ธท์ างเศรษฐกจิ และความจำเปน็
ของการร่วมมือกนั ทางเศรษฐกิจในสังคมโลก
สาระท่ี 4 ประวตั ิศาสตร์
มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคญั ของเวลาและยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วธิ กี าร
ทางประวตั ศิ าตรว์ ิเคราะห์เหตุการณ์ตา่ งๆ อยา่ งเปน็ ระบบ
มาตรฐาน ส 4.2 เขา้ ใจพฒั นาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบนั ในดา้ นความสัมพนั ธแ์ ละการ
เปลีย่ นแปลงของเหตกุ ารณ์อย่างตอ่ เนื่อง ตระหนักถึงความสำคญั และสามารถ วเิ คราะหผ์ ลกระทบทเ่ี กดิ ขนึ้
มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วฒั นธรรม ภมู ิปญั ญาไทย มีความรักความภูมิใจและธำรง
ความเป็นไทย
สาระท่ี 5 ภูมศิ าสตร์
มาตรฐาน ส 5.1 เขา้ ใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสมั พนั ธ์ของสรรพส่ิงซ่งึ มีผล ตอ่ กันและกนั ใน
ระบบของธรรมชาตใิ ชแ้ ผนท่ีและเคร่อื งมือทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหาวิเคราะห์ สรุป และใช้ขอ้ มูลภมู ิ
สารสนเทศอยา่ งมีประสิทธิภาพ
มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษยก์ บั สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพที่ ก่อให้เกิด การสร้างสรรค์
วฒั นธรรม มีจิตสำนกึ และมีส่วนร่วมในการอนุรกั ษ์ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพฒั นาทย่ี ง่ั ยืน
5.งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง
1. F.X. Mendez et al. (2002: 38) ได้ศกึ ษาทักษะทางสงั คมด้านพฤติกรรมการกล้า
แสดงออก อยา่ งเหมาะสมของวยั รนุ่ ทม่ี ีอายตุ ั้งแต่ 12-17 ปี ทอ่ี ยูใ่ นระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1-6
41
มีกลุ่มตวั อย่าง จํานวน 634 คน เปน็ เพศชาย 382 คน และเพศหญงิ 252 คน จากผลการศกึ ษา
พบว่า เพศหญิงมี ทักษะทางสงั คมเกี่ยวกับพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมมากกว่า
เพศชายอย่างมีนยั สำคญั ท่ีระดบั .01
2. Prakash N. R. & Devi S. N. (2014: 2570) ได้ศึกษาพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่าง
เหมาะสมของนักศึกษา จำนวน 100 คน โดยเปน็ เพศชายจำนวน 50 คน เพศหญิงจำนวน 50 คน จากผล
การศกึ ษาพบวา่ นักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงมีพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอยา่ งเหมาะสม แตกต่างกัน
อยา่ งมีนัยสำคัญที่ระดบั .05
3. C.G. Fragoso et al. (2017: 134) ได้ศกึ ษาเกยี่ วกบั พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่าง เหมาะสม
ของนักเรยี นโรงเรยี นในเขต Hidalgo ประเทศ Mexico ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาจำนวน 535 คน เปน็ เพศชาย
จำนวน 292 คน และเพศหญิงจำนวน 243 คน ทมี่ ีอายรุ ะหวา่ ง 11-17 ปี จากผล การศึกษาพบว่า นักเรยี น
ชายและนกั เรียนหญงิ มพี ฤตกิ รรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสมแตกตา่ ง กันอย่างมนี ัยสำคญั ทร่ี ะดบั .05
4. Narayanappa (2016: บทคดั ย่อ) ได้ศกึ ษาเกยี่ วกับพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่าง เหมาะสม
ของนักเรียนระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาจาํ นวน 240 คน จากการศึกษาพบวา่ นกั เรยี นชายและ นกั เรยี นหญงิ มี
พฤติกรรมการกล้าแสดงออกอยา่ งเหมาะสมแตกต่างกนั อย่างมีนยั สำคัญที่ระดบั .05
5. จติ ราภรณ์ ชรี นรวนชิ ย์ (2556: 75) ไดศ้ ึกษาเร่ืองพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกในชัน้ เรียน อยา่ ง
เหมาะสมของนักเรียนระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น โรงเรียนพระปฐมวิทยาลยั จังหวัดนครปฐม จากผล
การศกึ ษา พบวา่ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนตน้ โรงเรียนพระปฐมวิทยาลยั จงั หวัด นครปฐม ท่มี เี พศ
ตา่ งกนั มีพฤติกรรมการกล้าแสดงออกในชน้ั เรียนอย่างเหมาะสม ในภาพรวมไม่ แตกต่างกัน สว่ นในรายดา้ น
พบว่า ดา้ นการกล้าแสดงออกทางกายแตกต่างกัน อย่างมนี ัยสำคญั ทาง สถิติท่รี ะดับ .05 สว่ นดา้ นการกล้า
แสดงออกทางวาจาไม่แตกตา่ ง
6. จรญิ ญารักษ์ ชัยมงคล (2555, หน้า 42 -55) ได้ทดลอง การปรับพฤตกิ รรมการเรียนวิชา
คณติ ศาสตร์โดยใช้กระบวนการกล่มุ สำหรับนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โรงเรียนแม่ตืนวิทยา จังหวัดลำพนู
จำนวน 32 คน เครือ่ งมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แผนการจดั การเรียนรู้ วชิ าคณติ ศาสตร์ เพิ่มเตมิ เรอื่ งบทเรียน
ประยกุ ต์ 2 จำนวน 12 แผน แบบประเมนิ การเรียนรู้ แบบบันทึกหลังสอน และแบบประเมนิ การทำงานกลุ่ม
ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรเู้ พ่อื ปรบั พฤติกรรมการเรียนวิชา คณติ ศาสตรโ์ ดยใชก้ ระบวนการกลุม่
7. พระสรุ พล อาภรโณ (ไกรรอด)๕๗ วจิ ยั เรื่องการจดั กจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบกระบวนการ
กลุม่ สาระการเรียนรู้พระพุทธสาสนา ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๒ โรงเรยี นทวีธาภิเศกกรงุ เทพมหานคร
42
43
บทที่ 3
วิธีการดำเนินการวจิ ัย
การวจิ ยั น้ี เปน็ วจิ ยั ประเภท เชิงทดลอง โดยมวี ตั ถุประสงค์เพือ่ 1) เพื่อพัฒนาพฤติกรรม
ความกล้าแสดงออกโดยใช้กระบวนการเรยี รู้แบบกล่มุ (Kurt Lewin) ในรายวชิ าสังคมศกึ ษา 2) เพ่ือ
เปรยี บเทียบพฤตกิ รรมในการแสดงออกของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่1 โดยใช้กระบวนการเรียนรู้
แบบกลุ่ม(Kurt Lewin) ในรายวชิ าสังคมศึกษาก่อนเรียนและหลังเรียน โดยมีขั้นตอนการดำเนนิ การ
วจิ ัย แสดงในภาพที่ 3-1
ศศึกษาข้อมลู เบื้องต้น เกยี่ วกับแนวคดิ และทฤษีทเ่ี ก่ียวข้อง
1. ทฤษฎีกระบวนการเรยี นรู้แบบกลุ่ม (Kurt Lewin)
2. ทฤษฎีพฤติกรรมการกลา้ แสดงออก
พพพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และเคร่ืองมือวิจัย
ตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมือวจิ ยั
ดำเนนิ การทดลอง
ประเมนิ ผล
44
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั
3. แบบแผนการวจิ ยั
4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
5. สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการรวบรวมข้อมูล
ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากร คือ เปน็ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที 1่ี โรงเรียนบางปะกอกวทิ ยาคมจำนวน 3 หอ้ ง
จำนวน 90 คน
กลุ่มตัวอย่าง คือ เป็นนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1/2 กำลงั ศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 1 ปี
การศกึ ษา 2556โรงเรยี นบางปะกอกวทิ ยาคม จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีการสมุ่ กลมุ่ ตัวอย่างแบบกลมุ่
(Cluster sampling)
แบบแผนการวจิ ัย
การวิจยั นี้ เปน็ การวจิ ัยทดลอง แบบทดสอบก่อนและหลัง
กลุม่ ทดลอง สอบก่อน การทดลอง สอบหลัง
E T₁ X T₂
สัญลกั ษณท์ ี่ใช้ในรูปแบบการวจิ ยั
E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental) ทีไ่ ดร้ บั การเรียนการจัดการเรียนรดู้ ว้ ย กิจกรรมการ
เรียนรู้ตามรูปแบบ
X แทน กจิ กรรมการเรียนรู้ตามรปู แบบ
45
T₁ แทน การสอบวัดความสามารถในการแกป้ ัญหาเชงิ สร้างสรรคก์ ่อนเรียน ( pretest)
T₂ แทน การสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงสรา้ งสรรค์หลงั เรยี น (posttest)
เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ัย
การวิจยั ครัง้ น้ีผ้วู จิ ัยใช้แบบสอบถามและแบบสงั เกตถึงพฤติกรรมการกล้าแสดงออกโดยใช้
กระบวนการนำเสนอหน้าชน้ั เรียนเป็นเครอื่ งมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยมีแนวทางในการสรา้ ง
แบบสอบถามและแบบสังเกต แบบสอบถาม (Questionnaire) และแบบสงั เกต(Observation)
ผู้วจิ ยั ได้ดำเนนิ การสรา้ งและคดิ วิเคราะห์คณุ ภาพของเครื่องมอื ดงั รายละเอยี ดดังต่อไปนี้
เคร่ืองมอื ที่1 แบบสอบถาม
ขนั้ ตอนการสร้างเครื่องมือ
1. ศึกษาแนวคิดทฤษฎี และผลงานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั พฤติกรรมการกลา้ แสดงออก อย่าง
เหมาะสมและทฤษฎีกระบวนการเรยี นรแู้ บบกลุ่ม(Kurt Lewin)
2. สร้างแบบสอบถามทีม่ ีเน้ือหาครอบคลุมตามวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั และนิยามศัพท์และ
นำไปตรวจสอบความเที่ยงตรงทางเนื้อหา จากอาจารยท์ ่ปี รึกษาวจิ ยั
3. การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมอื
นำแบบสอบถาม ใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญ จำนวน 3 ทา่ น ตรวจสอบความเทีย่ งตรงเชงิ เนื้อหา
(Content Validity) โดยใชว้ ธิ ี หาค่าความสอดคลอ้ ง Index of Item Objective Congruence หรอื
IOC (Rovinelli and Hambleton, 1977 : 49-60) โดยมีเกณฑ์ในการให้คะแนนดังน้ี
คะแนน +1 หมายถงึ แนใ่ จว่าข้อคำถามวัดตรงตามนิยามศัพท์
คะแนน 0 หมาถงึ ไม่แนใ่ จว่าขอ้ คำถามวัดตรงตามนยิ ามศัพท์
คะแนน -1 หมายถึง แนใ่ จว่าขอ้ คำถามวัดไมต่ รงตามนยิ ามศัพท์
นำคะแนนทไ่ี ด้มาแทนค่าในสูตร ดงั นี้
IOC =
46
IOC คอื ความสอดคล้องระหว่างวัตถปุ ระสงค์กับแบบสอบถาม
ΣR คอื ผลรรวมคะแนนจากผ้เู ชยี่ วชาญท้ังหมด
N คือ จำนวนผ้เู ชี่ยวชาญ
4. นำแบบสังเกตพฤติกรรมการกล้าแสดงออกไปปรับปรงุ แก้ไขตามคำแนะนำของ
ผู้เชีย่ วชาญ
เกณฑ์ในการประเมินระดบั พฤตกิ รรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม ผูว้ ิจัยไดก้ ำหนดใน
การแปลความหมายข้อมลู ตามเกณฑข์ องเบสท์ (Best, 2006: 331) ซง่ึ แบ่งออกเปน็ 5 ระดบั ดังน้ี
ค่าเฉลย่ี 4.50 - 5.00 หมายถึง มีพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอยา่ งเหมาะสมอยู่ในระดบั มากทส่ี ดุ
ค่าเฉลยี่ 3.50 – 4.49 หมายถึง มีพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสมอยใู่ นระดบั มาก
ค่าเฉลย่ี 2.50 – 3.49 หมายถึง มพี ฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอย่างเหมาะสมอย่ใู นระดบั ปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.50 - 2.49 หมายถึง มพี ฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมอยูใ่ นระดับนอ้ ย
คา่ เฉลย่ี 1.00 - 1.49 หมายถึง มพี ฤติกรรมการกลา้ แสดงออกอยา่ งเหมาะสมอยู่ในระดับนอ้ ยทีส่ ดุ
เครื่องมอื ชิน้ ที่ 2
ขั้นตอนการสรา้ งเครื่องมือ
1. ผวู้ ิจัยศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การสงั เกตและบันทึกพฤติกรรม
2. ผวู้ จิ ยั สร้างแบบสงั เกตและบนั ทึกผลการกล้าแสดงออกหน้าชั้นเรยี น
3. นำแบบบันทกึ พฤติกรรมการกลา้ แสดงออกท่ผี ู้วิจัยสรา้ งข้ึนไปให้ผ้เู ชย่ี วชาญตรวจสอบ
ความเหมาะสมของข้อมูลที่ใชส้ งั เกตพฤติกรรมการกล้าแสดงออก
47
4. นำแบบสงั เกตพฤติกรรมการกลา้ แสดงออกไปปรับปรงุ แก้ไขตามคำแนะนำของ
ผู้เชยี่ วชาญ การใหค้ ะแนนพฤติกรรมการกลา้ แสดงออก มีลักษณะแบบตารางโดยมีการประเมนิ ให้
คะแนน 4 ระดบั คือ
ดีมาก 4 คะแนน
ดี 3 คะแนน
พอใช้ 2 คะแนน
ควรปรับปรงุ 1 คะแนน
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ผวู้ ิจยั ดำเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
1. ระยะก่อนทดลอง
โดยผวู้ ิจัยดำเนนิ การดงั น้ี
1.1 มหี นงั สือขออนญุ าตผ้อู ำนวนการโรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม
1.2 ขออนญุ าตผู้ปกครองเพอื่ ให้นกั เรียนรวมเขา้ เปน็ กลมุ่ ตัวอย่าง
1.3 ชแี้ จงวตั ถุประสงค์ ระยะเวลา และการเตรียมตัวในการเขา้ ร่วมเป็น
กลมุ่ ตัวอย่าง
1.4 ทดสอบกอ่ นเรยี น
2. ระยะทดลอง
ระยะทดลองจะนำการจดั กระบวนการเรียรู้แบบกลุ่ม(Kurt Lewin) ดำเนินการ
สอนตามแผนการเรียนรู้ ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1/2 ใช้เวลาในการสอนทั้งสิ้น 12
คาบ