มาตรฐานหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ นั พ้นื ฐาน
พ.ศ. 2551 (ปรับปรุง 2560)
นางสาวนุษบา สขุ ญาณกจิ
ครูผสู้ อน
โรงเรยี นเทศบาลวัดเขียน
สำนกั การศกึ ษา เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา
สาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4
ในหลักสูตรโรงเรยี นเทศบาลวัดเขียน
พุทธศกั ราช 2563
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
สำนกั การศกึ ษา เทศบาลนครพระนครศรีอยธุ ยา
จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา
คำนำ
หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนเทศบาลวัดเขียน
พุทธศักราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ได้จัดทำข้ึนตามแนวทางที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และเป็นไปตามมาตรา 27 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่งกำหนดให้สถานศกึ ษามีหน้าที่จัดทำสาระของ
หลกั สตู รสถานศึกษาตามหลกั การ จุดหมายของหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐานกำหนด เพ่อื ตอบสนอง
ต่อความตอ้ งการในส่วนทเี่ กย่ี วกับสภาพปัญหาในชมุ ชนและสงั คม ภูมิปญั ญาท้องถ่นิ คุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์
การจัดการเรยี นการสอนในศตวรรษท่ี 21 และ การน้อมนำหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2 เงอ่ื นไข 3
หลักการ 4 มิติ มาใช้ในการบูรณาการ การเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ที่ดี และ เป็น
สมาชิกท่ดี ขี องครอบครัว ชมุ ชน สังคมและประเทศชาติ
สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมในหลักสูตรโรงเรียนเทศบาลวัดเขียน
พุทธศักราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ฉบับนปี้ ระกอบดว้ ย ความนำ คุณภาพผู้เรียน โครงสรา้ งเวลาเรยี น สาระมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชวี้ ดั
รายปี คำอธบิ ายรายวิชา การจัดหนว่ ยการเรยี นรู้ แนวทางการจดั การเรียนรู้ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
สอ่ื การเรียน แหล่งเรียนรู้ ซงึ่ ทางโรงเรียนไดก้ ำหนดไว้ในสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ในหลักสูตรโรงเรียน พุทธศักราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ฉบับนี้ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจ และสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและ
บรรลุผลตามท่ตี ้องการ
สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมในหลักสูตรโรงเรียนเทศบาลวัดเขียน
พุทธศักราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ฉบับน้ี สำเรจ็ ลลุ ว่ งไปด้วยดีก็ดว้ ยความรว่ มมือจากคณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พน้ื ฐานของโรงเรียน
ผู้ปกครองนักเรียน คณะครูและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมดำเนินการ ทางโรงเรียนจึง
ขอขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสน้ี
ประกาศโรงเรียน โรงเรยี นเทศบาลวดั เขียน
เรื่อง ให้ใช้หลักสูตร โรงเรียนเทศบาลวัดเขียน พทุ ธศกั ราช 2563
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
................................................................................
เพื่อให้การจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และกรอบ
หลักสูตรท้องถิ่นของโรงเรียนเทศบาลวัดเขียน และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2545
และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบบั ที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 27 กำหนดให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานมีหน้าที่จัดทำสาระ
ของหลักสูตร ตามที่หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กำหนด ดงั นน้ั สถานศึกษาจึง
ได้จัดทำหลักสูตรโรงเรียนเทศบาลวัดเขียน พุทธศักราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ขนึ้ ซ่งึ ประกอบด้วย กลุม่ สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และระเบียบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ หลักสูตรโรงเรียนเทศบาล
วัดเขยี น พทุ ธศักราช 2563 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง
พ.ศ. 2560)
ทงั้ นี้ หลกั สูตรโรงเรียนเทศบาลวดั เขยี น ได้ทำการปรับหลักสตู รทุกกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 ) ได้รับความเห็นชอบให้ใช้
หลักสูตรโรงเรียนเทศบาลวดั เขยี น ในคราววาระการประชุมคร้ังที่ 1 /2563 เมอ่ื วันท่ี 7 เดือน พฤษภาคม
พ.ศ. 2563 จงึ ประกาศให้ใช้หลักสตู รโรงเรยี นเทศบาลวัดเขยี น พุทธศกั ราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ดงั นี้
ปกี ารศึกษา 2561 ใหใ้ ชใ้ นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 และ 4 และช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1
ปีการศึกษา 2562 ให้ใช้ในชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1, 2, 4 และ 5 และชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 และ 2
ตัง้ แต่ปีการศึกษา 2563 เปน็ ตน้ ไปใหใ้ ช้ในทุกชน้ั เรียน
ประกาศ ณ วนั ที่ 12 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2563
........................................ .......................................
( นายพสิ ษิ ฐ์ โชตอิ คั รสมติ ) (นางสดุดี งามภูพนั ธ)์
ประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน ผู้อำนวยการโรงเรยี นเทศบาลวดั เขียน
สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ความนำ
วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ว่าด้วยการอยูร่ ่วมกันในสงั คมที่มีความสัมพันธ์กันและมีความ
แตกตา่ งอย่างหลากหลาย เพ่ือช่วยใหผ้ ู้เรียนสามารถปรับตนเองเขา้ กับบริบทสภาพแวดลอ้ ม เป็นพลเมืองดี มี
ความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมทีเ่ หมาะสม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ไดก้ ำหนดสาระการเรยี นร้ใู นหวั ข้อตา่ งๆ ไว้ ดังนี้
ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของ
พระพุทธศาสนาหรือศาสนาทต่ี นนับถอื
หน้าทพ่ี ลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนินชีวติ ระบบการเมอื งการปกครองในสังคมปจั จบุ นั
เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ
ประวตั ศิ าสตร์ เวลาและยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ วิธีการทางประวตั ิศาสตร์
ภูมิศาสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร แลภูมิอากาศของ
ประเทศไทย และภูมิภาคตา่ งๆของโลก
วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงวิชาที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงแวดลอ้ ม
จงึ ชว่ ยให้ผ้เู รียนมีความรู้ความเข้าใจว่ามนุษย์ดำรงชวี ิตอย่างไร และเขา้ ใจถงึ การพฒั นา การเปลี่ยนแปลงตาม
ยุคสมัย ตามกาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่างๆ ทำให้เกิดความเข้าใจในตนเองและเข้าใจผู้อื่น ยอมรับในความ
แตกต่าง มีคุณธรรม มีความอดทน อดกลั้น สามารถนำความรูไ้ ปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต มีคุณภาพชีวติ ที่ดี
อยู่ในสังคมอยา่ งเป็นสุข เปน็ พลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลก อันเป็นเป้าหมายทแี่ ท้จรงิ ของการเรียน
วชิ าสงั คมศึกษา
โรงเรยี นเทศบาลวัดเขียนได้จัดการการเรียนรู้สงั คมศกึ ษาศาสนาและวัฒนธรรม และพัฒนาผู้เรียนให้
รู้จักใช้ความคิด เหตุผล คิดวิเคราะห์ ทักษะการอยู่รว่ มกับผู้อื่น เข้าใจถึงการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงตามยุค
สมยั ทำให้เกดิ ความเข้าใจในตนเองและเข้าใจผู้อ่ืน ยอมรบั ในความแตกตา่ ง มคี ณุ ธรรม เพือ่ ที่จะพฒั นาวิธีการ
เสาะแสวงหาความรู้ใหม่ และพัฒนาผเู้ รยี นใหเ้ หน็ คุณค่าของตนเองและสงั คม โครงสร้างของวิชาที่จัดไว้อย่าง
กลมกลืน อันจะส่งผลถึงการสร้างจิตใจของมนุษยใ์ ห้มีความละเอียด รอบคอบ สุขุมเยือกเย็นและมีคุณธรรม
เมอื่ ผู้เรียนไดผ้ ่านการเรยี นในวิชาสังคมศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม
สารบญั หนา้
ก
คำนำ ข
ประกาศโรงเรียน ค
สารบญั ๑
ความนำ ๒
แผนภาพ สาระ มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ช้วี ัด 3
เป้าหมายของการจดั การเรียนการสอน 3
เรียนรู้อะไรในสงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 4
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 4
คณุ ภาพผูเ้ รียน ๖
โครงสรา้ งเวลาเรยี น กลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม 7
ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลางและสาระการเรียนรู้ทอ้ งถน่ิ 15
คำอธบิ ายรายวิชา 17
โครงสร้างรายวชิ า 18
แนวการจัดการเรียนรู้ 21
การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ภาคผนวก 26
- อภธิ านศัพท์
แผนภาพ สาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชวี้ ัดกล่มุ สาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4
มาตรฐาน ส 1.1 มาตรฐาน ส 2.1
ส 1.1 ป.4/1, ส 1.1 ป.4/2 ส 2.1 ป.4/1
ส 1.1 ป.4/3, ส 1.1 ป.4/4 ส 2.1 ป.4/2
ส 1.1 ป.4/5, ส 1.1 ป.4/6 ส 2.1 ป.4/3
ส 1.1 ป.4/7, ส 1.1 ป.4/8 ส 2.1 ป.4/4
ส 2.1 ป.4/5
มาตรฐาน ส 1.2 สาระท่ี 1 ศาสนา สาระที่ 2 มาตรฐาน ส 2.2
ส 1.2 ป.4/1 ศีลธรรม จรยิ ธรรม หนา้ ท่ีพลเมือง
ส 1.2 ป.4/2 วฒั นธรรม และ ส 2.2 ป.4/1
ส 1.2 ป.4/3 การดาเนินชีวติ ใน ส 2.2 ป.4/2
ส 2.2 ป.4/3
สงั คม
มาตรฐาน ส 3.1 สาระท่ี 3 สาระที่ 5 มาตรฐาน ส 5.1
เศรษฐศาสตร์ ภมู ศิ าสตร์
ส 3.1 ป.4/1 ส 5.1 ป.4/1
ส 3.1 ป.4/2 มาตรฐาน ส 5.2 ส 5.1 ป.4/2
ส 3.1 ป.4/3 ส 5.2 ป.4/1 ส 5.1 ป.4/3
ส 5.2 ป.4/2
มาตรฐาน ส 3.2 ส 5.2 ป.4/3
ส 3.2 ป.4/1
ส 3.2 ป.4/2
* ตัวชี้วัดทีเ่ ป็นแถบสนี ำ้ เงนิ คือ ตวั ชี้วัดทต่ี ้องรู้
เปา้ หมายของการจดั การเรียนการสอน
1) ผเู้ รยี นมคี วามรู้ความสามารถ มที ักษะ และนำความรู้ไปพัฒนาคุณภาพชวี ติ และสรา้ งสรรค์สงั คม
2) ผเู้ รยี นน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงในการดำเนนิ ชวี ติ ได้
3) ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ในรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วฒั นธรรม
4) ผเู้ รยี นมีความรู้ ความเข้าใจ วา่ มนษุ ย์ดำรงชีวติ อยา่ งไรในสังคมโลกมีการเปลย่ี นแปลงอย่างรวดเร็ว
ตลอดเวลาและการอยู่ร่วมกันในสงั คม การปรับตัวตามสภาพแวดลอ้ ม การจัดการทรัพยากรทมี่ อี ยอู่ ยา่ งจำกัด
5) ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม มีจิตสาธารณะ ค่านิยมที่ดีงามและรักความเป็นไทย มีความอดทน
อดกลั้น ยอมรับในความแตกต่างสามารถอยูใ่ นสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ และ
สังคมโลก
เรียนรู้อะไรในสงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าดว้ ยการอยู่รว่ มกนั ในสังคม ที่มีความเช่ือม
สัมพันธก์ นั และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกบั บริบทสภาพแวดล้อม
เป็นพลเมืองดี มีความรับผดิ ชอบ มคี วามรู้ ทกั ษะ คณุ ธรรม และค่านยิ มท่เี หมาะสม โดยไดก้ ำหนดสาระต่างๆ
ไว้ ดงั น้ี
• ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรม
ของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลกั ธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพฒั นาตนเอง และการอยู่
รว่ มกนั อยา่ งสนั ติสุข เป็นผู้กระทำความดี มคี า่ นิยมทด่ี ีงาม พฒั นาตนเองอยเู่ สมอ รวมทั้งบำเพ็ญประโยชน์ต่อ
สงั คมและสว่ นรวม
• หน้าทพ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดำเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองในสงั คมปจั จุบันการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข ลกั ษณะและความสำคัญ การเปน็ พลเมือง
ดี ความแตกตา่ งและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชอ่ื ปลกู ฝังค่านิยมดา้ นประชาธปิ ไตยอันมี
พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ สทิ ธิ หน้าที่ เสรภี าพการดำเนินชวี ติ อยา่ งสนั ติสุขในสงั คมไทยและสังคมโลก
• เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหารจัดการ
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนำหลักเศรษฐกิจ
พอเพยี งไปใชใ้ นชวี ิตประจำวัน
• ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของ
มนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ผลกระทบที่เกิดจาก
เหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย
วฒั นธรรมและภมู ปิ ัญญาไทย แหลง่ อารยธรรมทีส่ ำคัญของโลก
• ภูมิศาสตร์ ลักษณะทางกายภาพของโลก การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ปัญหาทางกายภาพและ
ภัยพิบัติ ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกัน แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ กำไรใช้ภูมิสารสนเทศ
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพกับการสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต กิจกรร มทาง
เศรษฐกิจ และสังคม ความร่วมมือด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในประเทศและระหว่างประเทศ และการ
จดั การทรัพยากร และสิง่ แวดลอ้ มเพ่ือการพัฒนาอย่างยัง่ ยืน
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ ๑ ศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม
มาตรฐาน ส ๑.๑ รู้ และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือ
ศาสนาที่ตนนับถือ และศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่าง
สันติสขุ
มาตรฐาน ส ๑.๒ เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัตติ นเป็น ศาสนิกชนที่ดีและธำรงรักษาพระพุทธศาสนา
หรอื ศาสนาทต่ี นนบั ถือ
สาระท่ี ๒ หนา้ ท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดาเนินชีวิตในสังคม
มาตรฐาน ส ๒.๑ เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ดีงาม และธำรง
รักษาประเพณี และวฒั นธรรมไทย ดำรงชีวติ อยู่รว่ มกนั ใน สังคมไทย และสังคมโลกอย่างสันตสิ ขุ
มาตรฐาน ส ๒.๒ เขา้ ใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปจั จุบนั ยดึ ม่นั ศรทั ธาและธำรงรักษาไว้
ซึง่ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมุข
สาระที่ ๓ เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส ๓.๑ เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การใช้
ทรพั ยากรทมี่ ีอย่จู ำกัดได้อย่างมีประสิทธภิ าพและคุ้มค่า รวมทั้งเขา้ ใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือการ
ดำรงชวี ิตอยา่ งมีดลุ ยภาพ
มาตรฐาน ส ๓.๒ เขา้ ใจระบบและสถาบนั ทางเศรษฐกิจตา่ ง ๆ ความสัมพันธท์ างเศรษฐกิจและความ
จำเปน็ ของการร่วมมือกันทางเศรษฐกจิ ในสงั คมโลก
สาระที่ ๕ ภูมิศาสตร์
มาตรฐาน ส ๕.๑ เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกัน
ใช้แผนที่และเครื่องมอื ทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลตามกระบวนการทางภูมิศาสตร์
ตลอดจนใช้ภูมสิ นเทศอย่างมีประสทิ ธภิ าพ
มาตรฐาน ส ๕.๒ เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดการ
สร้างสรรคว์ ถิ ีการดำเนนิ ชีวิต มีจิตสำนึกและมสี ว่ นรว่ มในการจัดการทรัพยากรและ ส่งิ แวดล้อมเพ่อื การพัฒนา
ท่ยี งั่ ยืน
คุณภาพผเู้ รียน
จบช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6
• ไดเ้ รยี นรู้เร่ืองของจังหวดั ภาค และประเทศของตนเอง ทั้งเชงิ ประวตั ิศาสตร์ ลักษณะทางกายภาพ
สังคม ประเพณี และวฒั นธรรม รวมท้ังการเมืองการปกครอง สภาพเศรษฐกิจโดยเนน้ ความเปน็ ประเทศไทย
• ได้รบั การพฒั นาความรู้และความเข้าใจ ในเรือ่ งศาสนา ศลี ธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตามหลักคำ
สอนของศาสนาท่ตี นนับถอื รวมทง้ั มีส่วนร่วมศาสนพิธี และพิธกี รรมทางศาสนามากยิง่ ขน้ึ
• ได้ศึกษาและปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของท้องถ่ิน จังหวัด
ภาค และประเทศ รวมท้ังไดม้ สี ่วนรว่ มในกิจกรรมตามขนบธรรมเนยี มประเพณี วัฒนธรรม ของทอ้ งถิ่นตนเอง
มากยิง่ ข้นึ
• ได้ศึกษาเปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่างๆของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
ได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์
ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์เพือ่ ขยายประสบการณ์ไปสูก่ ารทำความเข้าใจ ในภูมิภาค ซีกโลกตะวนั ออก
และตะวนั ตกเกย่ี วกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยมความเชื่อ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วัฒนธรรม การ
ดำเนนิ ชวี ิต การจัดระเบียบทางสงั คม และการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมจากอดตี ส่ปู จั จบุ ัน
• เข้าใจหลกั การแก้ปญั หาเบอ้ื งต้น มที ักษะการใชค้ อมพวิ เตอร์ในการคน้ หาข้อมูล เก็บรักษา ข้อมูล
สร้างภาพกราฟิก สร้างงานเอกสาร นำเสนอข้อมูล และสร้างชิ้นงานอย่างมีจิตสำนึกและรับผิดชอบ รู้และ
เขา้ ใจเกี่ยวกับอาชีพ รวมท้งั มีความรู้ ความสามารถและคุณธรรมทีส่ ัมพันธก์ ับอาชีพ
โครงสรา้ งเวลาเรยี น กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
รายวิชาพ้ืนฐาน ระดับประถมศึกษา
รายวชิ า ระดับชน้ั เวลาเรยี นรายปี (ชว่ั โมง)
ส 11101 สงั คมศึกษาฯ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 80
ส 12101 สังคมศกึ ษาฯ ประถมศึกษาปที ่ี 2 80
ส 13101 สงั คมศกึ ษาฯ ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 80
ส 14101 สังคมศกึ ษาฯ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 80
ส 15101 สังคมศึกษาฯ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 80
ส 16101 สงั คมศึกษาฯ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 80
ส 11102 ประวัติศาสตร์ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 40
ส 12102 ประวตั ิศาสตร์ ประถมศึกษาปีที่ 2 40
ส 13102 ประวัติศาสตร์ ประถมศึกษาปีที่ 3 40
ส 14102 ประวัติศาสตร์ ประถมศึกษาปที ี่ 4 40
ส 15102 ประวตั ิศาสตร์ ประถมศกึ ษาปที ่ี 5 40
ส 16102 ประวัติศาสตร์ ประถมศึกษาปีที่ 6 40
รายวิชาเพ่มิ เติมระดบั ประถมศกึ ษา (หน้าท่พี ลเมือง)
ระดับช้ัน รหัส ชื่อรายวิชา เวลาเรียนรายปี
(ชวั่ โมง)
ชนั้ ป.1 ส 11231 หนา้ ที่พลเมือง 1 40
ชัน้ ป.2 ส 12232 หนา้ ที่พลเมือง 2 40
ช้นั ป.3 ส 13233 หนา้ ที่พลเมือง 3 40
ชั้น ป.4 ส 14234 หน้าทพี่ ลเมือง 4 40
ชน้ั ป.5 ส 15235 หน้าท่ีพลเมอื ง 5 40
ชน้ั ป.6 ส 16236 หนา้ ทพี่ ลเมอื ง 6 40
สาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั ช้นั ปี
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลางและสาระการเรยี นรทู้ ้องถน่ิ
สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม
มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเข้าใจประวตั ิ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตน
นับถือ และศาสนาอื่น มีศรัทธาท่ถี กู ตอ้ ง ยึดมน่ั และปฏบิ ตั ิตามหลักธรรม เพื่ออยู่รว่ มกันอย่างสันติสุข
ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน
ป.4 ส 1.1 ป.4/1 อธิบาย • ความสำคัญของพระพุทธศาสนา การรว่ มกจิ กรรมทางศาสนา
ความสำคัญของ - พระพุทธศาสนา ในฐานะทเี่ ป็นเครื่อง ในชมุ ชน เช่น ทำบุญตกั
พระพทุ ธศาสนา หรือศาสนา ยึดเหนย่ี วจติ ใจ บาตร งานบวช งานทอดกฐนิ
ท่ีตนนบั ถือ ในฐานะเป็นศูนย์ - เปน็ ศนู ยร์ วมการทำความดี และ ทอดผา้ ป่าบำรุง
รวมจติ ใจของศาสนกิ ชน พัฒนาจิตใจ เช่น ฝึกสมาธิ สวดมนต์
พระพทุ ธศาสนา
ศกึ ษาหลักธรรม บรู ณปฏสิ งั ขรณ์ศาสนสถาน
- เป็นที่ประกอบศาสนพิธี
(การทอดกฐิน การทอดผา้ ปา่ การเวยี น
เทียน การทำบุญ)
- เปน็ แหล่งทำกิจกรรมทางสังคม เช่น
การจดั ประเพณีทอ้ งถน่ิ การเผยแพรข่ ้อมูล
ขา่ วสารชุมชน และการสง่ เสรมิ พฒั นาชุมชน
ส 1.1 ป.4/2 สรุปพุทธ • สรปุ พทุ ธประวตั ิ (ทบทวน) ศึกษาเรือ่ งราวพทุ ธประวัติ
ประวตั ติ ั้งแตบ่ รรลุธรรมจนถงึ - ตรสั รู้ จากจติ รกรรมฝาผนังของวดั
ประกาศธรรม หรอื ประวตั ิ - ประกาศธรรม ได้แก่ ในชมุ ชน
ศาสดาทีต่ นนบั ถอื ตามท่ี : โปรดชฎลิ
: โปรดพระเจา้ พิมพสิ าร
กำหนด : พระอัครสาวก
: แสดงโอวาทปาฏิโมกข์
ส 1.1 ป.4/3 เหน็ คุณคา่ และ • พทุ ธสาวก พทุ ธสาวิกา ศึกษาเรื่องเลา่ และบุคคล
ปฏบิ ัติตนตามแบบอยา่ งการ - พระอรุ เุ วลกัสสปะ ตัวอยา่ งในชุมชน
ดำเนนิ ชวี ิตและข้อคิดจาก
• ชาดก
ประวตั สิ าวก ชาดก/เรือ่ งเล่า - กุฏทิ ูสกชาดก
และศาสนกิ ชนตวั อยา่ ง ตามที่ - มหาอุกกุสชาดก
กำหนด • ศาสนิกชนตวั อย่าง
ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถ่นิ
- สมเด็จพระมหติ ลาธเิ บศร อดุลยเดช
วิกรมพระบรมราชชนก
- สมเด็จพระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี
ส 1.1 ป.4/4 แสดงความ • พระรตั นตรยั การร่วมกิจกรรมทางศาสนา
เคารพ พระรัตนตรยั ปฏบิ ตั ิ : ศรัทธา 4 เชน่ ไหว้พระสวดมนต์ประจำ
- พระพุทธ
ตามไตรสิกขาและหลักธรรม : พทุ ธคุณ 3 สัปดาห์ น่งั สมาธิ แผ่เมตตา
โอวาท 3 ในพระพุทธศาสนา - พระธรรม รักษาศีล ทำบุญตกั บาตร
: หลักกรรม
หรอื หลักธรรมของศาสนาที่ - พระสงฆ์
ตนนบั ถอื ตามทก่ี ำหนด
• ไตรสกิ ขา
- ศลี สมาธิ ปญั ญา
• โอวาท 3
- ไมท่ ำชว่ั
: เบญจศีล
: ทจุ ริต 3
- ทำความดี
: เบญจธรรม
: สุจริต 3
: พรหมวิหาร 4
: กตญั ญูกตเวทตี อ่ ประเทศชาติ
: มงคล 38
➢ เคารพ
➢ ถอ่ มตน
➢ ทำความดีใหพ้ ร้อมไว้ก่อน
- ทำจิตให้บริสุทธ์ิ (บรหิ ารจิตและเจริญ
ปญั ญา)
• พทุ ธศาสนสภุ าษติ
ส 1.1 ป.4/5 ชน่ื ชมการทำ - สุขา สงฆฺ สสฺ สามคฺคี ขา่ วเร่อื งราวของพลเมอื งดใี น
ความดีของตนเอง บุคคลใน ความพร้อมเพรียงของหมใู่ ห้เกดิ สุข
- โลโกปตถฺ มฺภกิ า เมตฺตา
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
ตวั อยา่ งการกระทำความดีของตนเองและ
บคุ คลในครอบครวั ในโรงเรียน และใน
ช้นั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรทู้ ้องถิน่
ครอบครัว โรงเรยี นและ ชุมชน จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา
ชุมชนตามหลกั ศาสนา พร้อม
ทงั้ บอกแนวปฏบิ ัตใิ นการ
ดำเนนิ ชวี ิต
ส 1.1 ป.4/6 เหน็ คุณคา่ และ • สวดมนต์ไหว้พระสรรเสริญคณุ พระ การร่วมกิจกรรมทางศาสนา
สวดมนต์ แผ่เมตตา มสี ติท่ี รตั นตรยั และแผ่เมตตา เช่น ไหวพ้ ระสวดมนต์ประจำ
เปน็ พ้ืนฐานของสมาธิใน - รู้ความหมายของสติสมั ปชัญญะ สปั ดาห์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา
พระพทุ ธศาสนา หรือการ สมาธิและปัญญา รกั ษาศลี ทำบญุ ตักบาตร
พฒั นาจติ ตามแนวทางของ
ศาสนาท่ีตนนบั ถือ - รวู้ ิธปี ฏบิ ัตขิ องการบริหารจิตและ
ตามทกี่ ำหนด เจริญปญั ญา
- ฝึกการยืน การเดิน การนั่ง และการ
นอน อยา่ งมีสติ
- ฝึกการกำหนดร้คู วามรสู้ กึ เมอ่ื ตา
เห็นรูป หูฟงั เสียง จมกู ดมกลน่ิ ลิ้นลิ้มรส
กายสัมผัสสิ่งทีม่ ากระทบ ใจรับรธู้ รรมารมณ์
- ฝึกให้มสี มาธิในการฟัง การอา่ น การ
คิด การถาม และการเขยี น
ส 1.1 ป.4/7 ปฏิบัตติ นตาม • หลกั ธรรมเพอื่ การอยู่รว่ มกันอยา่ ง ความสามัคคี เสียสละ
หลกั ธรรมของศาสนาท่ตี นนับ สมานฉันท์ ชว่ ยงานและกจิ กรรมต่าง ๆ
ถือ เพ่ือการอยู่ร่วมกันเปน็ - เบญจศลี – เบญจธรรม ของชุมชน
ชาติไดอ้ ยา่ งสมานฉนั ท์ - ทุจรติ 3 – สจุ รติ 3
- พรหมวิหาร 4
- มงคล 38
: เคารพ
: ถ่อมตน
: ทำความดใี หพ้ รอ้ มไว้กอ่ น
- พุทธศาสนสภุ าษติ
: ความพรอ้ มเพรียงของหมู่ให้เกดิ สขุ
: เมตตาธรรมคำ้ จนุ โลก
: กตญั ญูกตเวทตี อ่ ประเทศชาติ
ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น
• ประวตั ิศาสดา ประวัติศาสดาของศาสนา
ส 1.1 ป.4/8 อธิบายประวัติ อสิ ลาม
ศาสดาของศาสนาอ่ืนๆ - พระพทุ ธเจา้
โดยสังเขป - มฮุ มั มดั
- พระเยซู
มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดี และธำรงรักษาพระพุทธศาสนาหรือ
ศาสนาท่ตี นนบั ถอื
ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถนิ่
ป.4 ส 1.2 ป.4/1 อภิปราย • ความรเู้ บ้ืองตน้ และความสำคัญของ มีส่วนร่วมในการบำรงุ
รกั ษาศาสนสถานในชุมชน
ความสำคญั และมีส่วนร่วม ศาสนสถาน เช่น วัดราชประดิษฐาน
ในการบำรุงรักษาศาสน วัดอนิ ทาราม และวัด
สถานของศาสนาทีต่ นนบั ถอื • การแสดงความเคารพตอ่ ศาสนสถาน แมน่ างปล้มื
• การบำรุงรกั ษาศาสนสถาน
ส 1.2 ป.4/2 มมี รรยาทของ • มรรยาทของศาสนิกชน การร่วมกิจกรรมทางศาสนา
ความเป็นศาสนกิ ชนทีด่ ี
ตามที่กำหนด - การปฏิบัติตนท่เี หมาะสมตอ่ พระภิกษุ เช่น ไหวพ้ ระสวดมนต์ประจำ
- การยนื การเดิน และการน่ังที่ สปั ดาห์ น่ังสมาธิ ทำบุญ
ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา
เหมาะสมในโอกาสต่าง ๆ
ส 1.2 ป.4/3 ปฏิบัติตน • การปฏบิ ัติตนในศาสนพธิ ี การร่วมกจิ กรรมทางศาสนา
ในศาสนพธิ ี พิธกี รรมและ - การอาราธนาศีล เช่น ไหวพ้ ระสวดมนต์ ทำบุญ
วนั สำคัญทางศาสนา ตามท่ี - การอาราธนาธรรม ตกั บาตร อาราธนาศีลและ
- การอาราธนาพระปริตร
กำหนดได้ถกู ตอ้ ง - ระเบยี บพธิ ีและการปฏิบตั ิตนในวนั สมาทานศีล
ธรรมสวนะ
สาระที่ 2 หนา้ ท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชีวติ ในสงั คม
มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ดีงาม และธำรงรักษา
ประเพณีและวฒั นธรรมไทย ดำรงชวี ติ อยูร่ ่วมกันในสงั คมไทยและสงั คมโลกอย่างสนั ติสุข
ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง สาระการเรียนรทู้ ้องถ่ิน
ป.4 ส 2.1 ป.4/1 ปฏิบัตติ นเปน็ • การเขา้ รว่ มกจิ กรรมประชาธปิ ไตยของ • การปฏบิ ัตติ นเป็น
พลเมืองดตี ามวิถี ชมุ ชน เช่น การรณรงค์การเลือกต้ัง สมาชกิ ของครอบครวั และ
โรงเรยี น
ประชาธิปไตยในฐานะสมาชกิ • แนวทางการปฏิบตั ติ นเป็นสมาชกิ ที่ดี
ทีด่ ีของชุมชน • มารยาททางสังคม
ของชมุ ชน เช่น อนุรกั ษ์ส่งิ แวดลอ้ ม สา
ธารณสมบัติ โบราณวัตถุและโบราณสถาน
การพฒั นาชุมชน
ส 2.1 ป.4/2 ปฏบิ ัตติ นใน • การเป็นผนู้ ำและผตู้ ามที่ดี การปฏิบตั ติ นตามหนา้ ท่ที ่ี
การเป็นผนู้ ำและผูต้ ามที่ดี - บทบาทและความรบั ผดิ ชอบของ ได้รบั มอบหมาย เชน่ หัวหน้า
ผูน้ ำ หอ้ ง หัวหนา้ เวรประจำวนั
- บทบาทและความรับผดิ ชอบของผู้
ตามหรอื สมาชิก
- การทำงานกลมุ่ ให้มปี ระสิทธิผลและ
ประสทิ ธภิ าพ และประโยชนข์ องการ
ทำงานเปน็ กลมุ่
ส 2.1 ป.4/3 วเิ คราะหส์ ิทธิ สทิ ธิพ้นื ฐานของเดก็ เชน่ สิทธิท่ีจะมีชีวิต • การรู้จกั ใช้สิทธิของ
ตนเอง
พื้นฐานทเ่ี ดก็ ทุกคนพึงไดร้ บั สิทธิท่จี ะได้รบั การปกป้อง สิทธทิ ่จี ะไดร้ บั
• การปฏบิ ัติตนในการ
ตามกฎหมาย การพฒั นา สทิ ธิท่ีจะมีส่วนรว่ ม เคารพสทิ ธขิ องตนเองและ
ผู้อื่น
ส 2.1 ป.4/4 อธิบายความ วัฒนธรรมในภาคตา่ งๆ ของไทยทแ่ี ตกต่าง ความแตกตา่ งทางวัฒนธรรม
ของกลมุ่ คนในชมุ ชน
แตกตา่ งทางวฒั นธรรมของ กนั เชน่ การแตง่ กาย ภาษา อาหาร
โครงการหม่บู ้านศีล 5และ
กล่มุ คนในท้องถิ่น โรงเรียนศลี 5
ส 2.1 ป.4/5 เสนอวธิ กี ารที่ • ปญั หาและสาเหตุของการเกดิ ความ
จะอยู่ร่วมกันอย่างสนั ตสิ ุขใน ขดั แย้งในชวี ิตประจำวนั
ชวี ิตประจำวนั
• แนวทางการแก้ปัญหาความขดั แยง้
ด้วยสันติวธิ ี
มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธาและธำรงรักษาไวซ้ ึง่
การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ
ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถนิ่
โครงการประชาธปิ ไตยใน
ป.4 ส 2.2 ป.4/1 อธิบายอำนาจ • อำนาจอธิปไตย โรงเรยี น และชมุ ชน
อธิปไตยและความสำคัญของ • ความสำคญั ของการปกครองตาม การเลือกต้งั สภานกั เรยี น และ
ระบอบประชาธิปไตย หัวหน้าห้อง
ระบอบประชาธิปไตย
โครงการพระราชดำริในจังหวดั
ส 2.2 ป.4/2 อธบิ ายบทบาท บทบาทหนา้ ทขี่ องพลเมืองในกระบวนการ พระนครศรีอยุธยา เชน่
โครงการศูนย์ศลิ ปาชีพบางไทร
หนา้ ทข่ี องพลเมอื งใน เลือกตง้ั ท้ังกอ่ นการเลอื กตั้ง ระหว่างการ โครงการสายใยรกั แห่ง
ครอบครวั โครงการทูบี
กระบวนการเลอื กต้งั เลอื กต้งั หลังการเลือกตั้ง นมั เบอรว์ ัน
ส 2.2 ป.4/3 อธิบาย • สถาบันพระมหากษัตริย์ในสงั คมไทย
ความสำคัญของสถาบนั • ความสำคญั ของสถาบัน
พระมหากษัตรยิ ต์ ามระบอบ พระมหากษัตริย์ในสังคมไทย
ประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็
ประมุข
สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส 3.1 เขา้ ใจและสามารถบริหารจดั การทรพั ยากรในการผลิตและการบรโิ ภค การใช้ทรพั ยากร ท่ี
มีอยจู่ ำกัดไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มคา่ รวมทง้ั เขา้ ใจหลกั การของเศรษฐกิจพอเพยี ง เพื่อการดำรงชีวิต
อยา่ งมดี ุลยภาพ
ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรทู้ อ้ งถ่ิน
ป.4 ส 3.1 ป.4/1 ระบปุ จั จัยท่มี ี • สนิ คา้ และบริการท่ีมีอยหู่ ลากหลายใน ปจั จยั ทม่ี ีผลตอ่ การเลือกซื้อ
ผลต่อการเลือกซือ้ สินค้าและ ตลาดท่ีมีความแตกตา่ งดา้ นราคาและ สินคา้ และบรกิ ารของครอบครัว
บรกิ าร คุณภาพ
• ปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ การเลือกซื้อสนิ ค้าและ
บริการที่มมี ากมาย ซ่งึ ขนึ้ อยู่กบั ผ้ซู ้ือ ผขู้ าย
และ ตวั สินคา้ เช่น ความพงึ พอใจของผซู้ อื้
ราคาสนิ ค้า การโฆษณา คุณภาพของสนิ คา้
ส 3.1 ป.4/2 บอกสิทธิ • สิทธพิ น้ื ฐานของผูบ้ รโิ ภค การร้จู กั รกั ษาสิทธพิ ื้นฐานของ
พน้ื ฐานและรกั ษา
ผลประโยชน์ของตนเองใน • สนิ คา้ และบรกิ ารทีม่ ีเครอื่ งหมายรับรอง ตนเองในฐานะผบู้ ริโภค และ
แนะนำคนในครอบครวั ได้
ฐานะผู้บริโภค คณุ ภาพ
• หลักการและวิธกี ารเลอื กบริโภค
ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ทอ้ งถน่ิ
ส 3.1 ป.4/3 อธิบาย • หลกั การของเศรษฐกจิ พอเพียง • โครงการโรงเรียนพอเพียง
หลกั การของเศรษฐกิจ
พอเพยี งและนำไปใชใ้ น • การประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอเพยี งในการ ท้องถิน่
ชีวิตประจำวันของตนเอง
ดำรงชวี ิต เช่น การแต่งกาย การกินอาหาร - ศูนยก์ ารเรยี นรธู้ นาคาร
การใชจ้ ่าย ขยะรีไซเคลิ
- ศูนย์การเรียนรู้รยี ูส
มาตรฐาน ส 3.2 เขา้ ใจระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสมั พันธ์ทางเศรษฐกิจและความจำเป็น
ของการร่วมมอื กันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก
ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรทู้ ้องถ่ิน
ป.4 ส 3.2 ป.4/1 อธบิ าย • อาชพี สินค้าและบริการตา่ ง ๆ ท่ีผลิต ความสัมพนั ธ์ทางเศรษฐกิจของ
ความสมั พนั ธ์ทางเศรษฐกิจ คนในชุมชนหวั รอ
ของคนในชมุ ชน ในชุมชน
• การพ่ึงพาอาศยั กนั ภายในชุมชนทาง
ด้านเศรษฐกจิ เช่น ความสมั พันธร์ ะหวา่ งผู้
ซือ้ ผู้ขาย การกูห้ นี้ยมื สนิ
• การสร้างความเข้มแข็งให้ชมุ ชนด้วย
การใชส้ ่ิงของท่ผี ลติ ในชุมชน
ส 3.2 ป.4/2 อธบิ ายหน้าท่ี • ความหมายและประเภทของเงนิ กจิ กรรมสหการรา้ นคา้ ของ
เบื้องตน้ ของเงิน • หนา้ ทีเ่ บอ้ื งต้นของเงินในระบบ โรงเรยี น
เศรษฐกิจ
• สกุลเงินสำคัญที่ใชใ้ นการซอ้ื ขาย
แลกเปล่ยี นระหว่างประเทศ
สาระที่ 5 ภมู ศิ าสตร์
มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซึง่ มีผลต่อกัน ใช้แผนท่ีและ
เครอ่ื งมอื ทางภมู ิศาสตรใ์ นการค้นหา วิเคราะห์ และสรปุ ขอ้ มูลตามกระบวนการทางภูมศิ าสตร์ ตลอดจนใช้ภูมิ
สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรูท้ อ้ งถิ่น
ลักษณะทางกายภาพของจงั หวดั ตนเอง
ป.4 ส 5.1 ป.4/1 สบื คน้ และ ลักษณะทางกายภาพของ
อธบิ ายข้อมลู ลกั ษณะทาง อำเภอพระนครศรอี ยุธยา โดย
กายภาพในจังหวดั ของตน ใชแ้ ผนที่และ รูปถา่ ย
ด้วยแผนทีแ่ ละรูปถ่าย
ชั้น ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ท้องถน่ิ
ส 5.1 ป.4/2 ระบแุ หลง่ แหล่งทรัพยากรและสถานที่สำคัญในจังหวัด แหลง่ ทรพั ยากรและสถานท่ี
ทรัพยากรและสถานท่ีสำคัญ ของตน สำคญั ในอำเภอ
ในจงั หวดั ของตนเองด้วยแผน พระนครศรีอยุธยา
ทีแ่ ละรูปถ่าย
ส 5.1 ป.4/3 อธิบายลักษณะ ลกั ษณะทางกายภาพท่มี ีผลตอ่ แหลง่ ลกั ษณะทางกายภาพที่ส่งผล
ทางกายภาพที่สง่ ผลต่อแหลง่ ทรพั ยากรและสถานที่สำคญั ในจงั หวัด ต่อแหลง่ ทรพั ยากรและ
ทรพั ยากรและสถานที่สำคัญ สถานท่สี ำคญั ในทอ้ งถนิ่
ในจังหวัด
มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกดิ การสร้างสรรคว์ ิถี
การดำเนนิ ชวี ติ มีจิตสำนึกและมีสว่ นร่วมในการจัดการทรัพยากร และส่ิงแวดล้อม เพื่อการพฒั นาท่ยี ง่ั ยืน
ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ทอ้ งถิ่น
ป.4 ส 5.2 ป.4/1 วิเคราะห์ สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพท่ีส่งผลตอ่ การ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพท่ี
สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพท่ี ดำเนนิ ชวี ติ ของคนในจงั หวดั ส่งผลตอ่ การดำเนนิ ชีวติ ของ
สง่ ผลต่อการดำเนนิ ชีวติ ของ คนในท้องถน่ิ
คนในจังหวัด
ส 5.2 ป.4/2 อธบิ ายการ การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดลอ้ มในจงั หวดั และผล การเปล่ยี นแปลงสิ่งแวดลอ้ ม
เปลย่ี นแปลงสง่ิ แวดลอ้ มใน ท่เี กิดจากการเปล่ยี นแปลง เช่น การตั้งถน่ิ ในทอ้ งถิ่นและผลท่เี กิดจาก
จังหวดั และผลที่เกดิ จากการ ฐาน การยา้ ยถิน่ การเปล่ยี นแปลงนนั้
เปลยี่ นแปลง
ส 5.2 ป.4/3 นำเสนอ การจดั การสิง่ แวดลอ้ มในจงั หวดั แนวทางการจดั การ
แนวทางการจดั การ สงิ่ แวดล้อมในโรงเรียน
สงิ่ แวดลอ้ มในจังหวัด
คำอธบิ ายรายวชิ า
ส ๑๔๑๐๑ สงั คมศึกษา ศาสนาฯ๔ กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ เวลา ๘๐ ช่ัวโมง
สังเกต ศกึ ษาคน้ ควา้ อภิปราย ซกั ถาม แสดงความคิดเหน็ รวบรวมขอ้ มลู สืบค้น ข้อมลู สรปุ ใจความ
สำคญั เกย่ี วกบั ความสำคญั ทางศาสนา และศาสดาของศาสนาพุทธ คัมภีรท์ างศาสนาที่ตนนบั ถือ หลกั ธรรมของ
ศาสนา การบริหารจิตและเจริญปัญญา ชื่นชมการทำความดีของบุคลากรในสังคม แปลความหมายในคัมภีร์
ศาสนาที่ตนนับถือ เสนอแนวทางการกระทำของตนเองและผู้อื่นในฐานะพลเมืองดีของสังคม สิทธิเด็ก เพ่ือ
ป้องกันตวั เองและสังคม เปรยี บเทยี บความแตกต่างของวัฒนธรรมในทอ้ งถ่ินการยอมรบั คุณค่าของกันและกัน
การรวมกลุม่ ทั้งภาครัฐและเอกชน ชื่นชมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์เป็นประมขุ
การรวมกลุ่มภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาท้องถิ่น อำนาจอธิปไตย ปฏิบัติตามกฎหมายในชีวิตประจำวัน
วิเคราะห์ ผู้ผลิต ผู้บริโภค วิธีการของเศรษฐกจิ การหารายได้ การออม การลงทุน ผลผลิตทางด้านเศรษฐกจิ
การตลาด การธนาคาร สถาบันการเงินอน่ื ๆ ภาษีท่เี กย่ี วข้องในชวี ิตประจำวนั การพึง่ พา การแข่งขันทางด้าน
เศรษฐกจิ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ แผนท่แี ละเครอ่ื งมือทางภูมิศาสตร์ ความแตกตา่ งของสงิ่ แวดล้อมทางธรรมชาติ
โดยใช้กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการกลุม่ กระบวนการเผชิญสถานการณแ์ ละ
แก้ปัญหาผ่านกระบวนการ ชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ ( PLC )
โดยใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ จำแนก แยกแยะ การฝึกปฏิบัติจริง การทำโครงงานกระบวนการ
เรียนรู้ ๕ ขั้นตอน ( 5 STEPs) ศึกษาเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวม มีการคิดแยกแยะ โดยระบบคดิ ฐาน ๒ และระบบคิดฐาน ๑๐ ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและ
การทุจริต ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต เกี่ยวกับการทำการบ้าน การทำเวร การสอบ การแต่ง
กายและกจิ กรรมนักเรยี นภายในโรงเรียน STRONG จิตพอเพียงตอ่ การต่อต้านการทุจริต ไดแ้ ก่การดำรงชีวิต
ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความโปร่งใส ความตื่นรู้และต้านทุจริต การมุ่งไปข้างหน้าและความเออ้ื
อาทร รหู้ นา้ ทขี่ องพลเมืองและรับผิดชอบต่อสังคมในการตอ่ ตา้ นทุจรติ การเคารพสทิ ธหิ น้าที่ตนเองและผู้อื่น
การเคารพสิทธิหนา้ ที่ตอ่ ชมุ ชนและสังคม ปฏิบัติตนตามกฎ ระเบียบ กติกาและกฎหมาย ความรับผิดชอบต่อ
สงั คมและพลเมอื งทด่ี ี )
เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิต มีคุณธรรม จริยธรรม มี
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สามารถดำเนนิ ชวี ิตอย่างสันติสขุ ในสังคมไทย และสงั คมโลกสามารถนำความรู้ไป
ใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์โดยใชห้ ลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและสามารถนำไปประยุกต์ใชก้ ับชวี ิตประจำวันได้
อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม เพ่อื ให้มีความตระหนกั และเห็นความสำคญั ของการต่อตา้ นและการป้องกันการทุจริต
รหสั ตวั ชว้ี ดั
ส ๑.๑ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓ , ป.๔/๔ , ป.๔/๕ , ป.๔/๖ , ป.๔/๗, ป.๔/๘
ส ๑.๒ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓
ส ๒.๑ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓ , ป.๔/๔ , ป.๔/๕
ส ๒.๒ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓
ส ๓.๑ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓
ส ๓.๒ ป.๔/๑ , ป.๔/๒
ส ๕.๑ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓
ส ๕.๒ ป.๔/๑ , ป.๔/๒ , ป.๔/๓
รวม ๓๐ ตวั ช้วี ดั
โครงสรา้ งรายวิชา
รายวิชา สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4
รหัสวชิ า ส 14101 เวลา 80 ชัว่ โมง / ปี
ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ เนอื้ หา จำนวน น้ำหนัก
1. ศาสนานา่ รู้ ตวั ชีว้ ัด (ชว่ั โมง) คะแนน
พระพทุ ธศาสนา และศาสนาทตี่ นนับถือเป็นศูนย์รวม
ส 1.1 จิตใจของศาสนกิ ชน จงึ ควรศึกษาพุทธประวตั ิ หรือ 6 10
ป.4/1, ประวัตขิ องศาสดาทีต่ นนบั ถอื ประวัตสิ าวก ชาดก/
ป.4/2, เร่ืองเล่าและศาสนิกชนตัวอย่าง อย่างเหน็ คณุ ค่าและ
ป.4/3, ยดึ ถือคุณธรรมท่ไี ดเ้ ป็นแบบอย่างการดำเนินชีวติ
ป.4/8
2. หลักธรรม ส 1.1 การแสดงความเคารพพระรตั นตรัย ปฏิบตั ิตาม 6 20
นำชวี ติ ป.4/4, ไตรสิกขาและโอวาท 3 ในพระพทุ ธศาสนา หรอื 6
ป.4/5, หลักธรรมของศาสนาทต่ี นนับถือ ช่นื ชมการทำความ 10
ป.4/6, ดี เห็นคณุ ค่าของการสวดมนต์ แผเ่ มตตา มสี ติและ 10
ป.4/7 ใช้สมาธิในการพฒั นาจิต เพอ่ื อยู่ร่วมกันอย่าง
สมานฉนั ท์ 10
3. ศาสนพิธที ่ีควร ส 1.2 10
การมสี ว่ นร่วมในการบำรุงรกั ษาศาสนสถาน มี 70
สบื สาน ป.4/1, มรรยาทความเปน็ ศาสนิกชนท่ีดี โดยปฏิบตั ิตนใน 30
ศาสนพธิ ี และวนั สำคัญทางศาสนาไดถ้ ูกตอ้ ง
ป.4/2,
ป.4/3
4. พลเมืองดีกับความ ส 2.1 การปฏบิ ตั ิตนเป็นพลเมอื งดีในวถิ ปี ระชาธปิ ไตยอันมี 10
พระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข เปน็ สมาชิกทีด่ ีของ
รบั ผิดชอบต่อสงั คม ป.4/1, ชุมชน ในบทบาทผนู้ ำและผู้ตาม และปฏิบตั ิหน้าทีใ่ น 5
กระบวนการเลือกตง้ั ตามอำนาจอธิปไตย มีความ 6
(บูรณาการหลักสูตร ป.4/2 รบั ผดิ ชอบตอ่ สังคมในการเคารพสทิ ธหิ น้าที่ต่อ 39
ตนเอง ต่อผอู้ นื่ และตอ่ สังคม เคารพกฎ ระเบียบ 1
ตอ่ ต้านทจุ รติ ) ส 2.2 กตกิ าและกฎหมาย
ป.4/1, อนสุ ัญญาวา่ ดว้ ยสทิ ธิเด็ก เพ่ือให้ความค้มุ ครองแก่
เดก็ และปกปอ้ งสทิ ธิของพวกเขา
ป.4/2,
วฒั นธรรมของกลุม่ คนในแตล่ ะทอ้ งถิ่นมีความ
ป.4/3 แตกตา่ งกนั มีการเปลีย่ นแปลงไปตามกาลเวลาการ
รจู้ กั เรียนรู้ ยอมรับในความแตกต่าง เพือ่ หลกี เลี่ยง
5. สิทธิเด็กขั้นพน้ื ฐาน ส 2.1 ความขดั แยง้
ป.4/3 ระหว่างเรยี น
6. วัฒนธรรม ส 2.1 ทดสอบปลายภาคเรียนท่ี 1
หลากหลายสูค่ วาม ป.4/4,
เป็นหนึง่ เดยี ว ป.4/5
ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ เนื้อหา จำนวน นำ้ หนกั
7. บรโิ ภคตามสทิ ธิ ตัวชว้ี ัด (ช่ัวโมง) คะแนน
อยา่ งคมุ้ คา่ ความสัมพนั ธ์ทางเศรษฐกิจของคนในชุมชน ปัจจัยที่
ส 3.1 มีผลต่อการเลอื กซ้ือสินค้าและบริการ ในฐานะ 11 10
8. เศรษฐกิจพอเพียง ป.4/1, ผูบ้ รโิ ภคควรศึกษาและปฏบิ ัติตามสทิ ธิพ้นื ฐาน และ
ป.4/2 รกั ษาผลประโยชน์ของตนเอง 7
9. เรียนรู้ภมู ศิ าสตร์ ส 3.2
ป.4/1 การนำหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใชใ้ นการ 8 9
10. ชีวติ กับ
สิง่ แวดลอ้ ม ส 3.1 ดำเนินชีวติ ของตนเอง และการบรหิ ารจดั การ 9
ป.4/1 ครอบครวั ให้อย่ดู ีกนิ ดี
ส 3.2 70
ป.4/2 แผนท่แี ละเครื่องมอื ทางภมู ิศาสตร์ใช้บอกลักษณะ 10 30
ทางกายภาพและอธบิ ายความความสมั พนั ธ์ของ
ส 5.1 ลกั ษณะทางกายภาพท่ีสง่ ผลตอ่ แหล่งทรพั ยากรและ 10
ป.4/1, สถานท่ีสำคญั ในจงั หวดั
ป.4/2, 39
ป.4/3 การเปลีย่ นแปลงสงิ่ แวดล้อมทางกายภาพสง่ ผลตอ่ 1
การดำเนินชวี ิตของคนในสังคม ซงึ่ มนุษย์จำเป็นต้อง
ส 5.2 ปรบั ตัวให้เข้ากบั การเปลีย่ นแปลงและเสนอแนว
ป.4/1, ทางการจดั การสง่ิ แวดลอ้ มได้
ป.4/2,
ป.4/3 ระหว่างเรยี น
ทดสอบปลายภาคเรียนท่ี 2
แนวการจดั การเรยี นรู้
1. หลกั การจัดการเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ให้มีคุณภาพในทุกรายวชิ า
และทุกชั้นปีไดน้ ั้นจะตอ้ งจัดให้เหมาะสมกับวยั และวุฒิภาวะของผูเ้ รียนโดยใหผ้ ูเ้ รียนมีส่วนรว่ มในการจัดการ
เรียนรู้ของตนเอง พัฒนาและขยายความคิดของตนเองจากความรู้ที่ได้เรียน ผู้เรียนต้องได้เรียนสังคมศึกษา
ศาสนาและวฒั นธรรม ทงั้ ในส่วนกวา้ งและลกึ
หลักการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมให้มีประสิทธิภาพ
ได้แก่
1. จัดการเรียนการสอนที่มีความหมาย โดยเน้นแนวคิดที่สำคัญๆ ที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ทัง้ ใน
และนอกโรงเรยี นได้ เป็นแนวคิด ความรูท้ คี่ งทน ย่งั ยนื มากกว่าท่ีจะศกึ ษาในสิง่ ท่ีเป็นเนื้อหา ข้อเท็จจริงท่ี
มากมายกระจดั กระจาย แต่ไม่เป็นแกน่ สาร
2. จัดการเรียนการสอนที่บูรณาการ โดยบูรณาการตั้งแต่หลักสูตร หัวข้อที่จะเรียนเชื่อมโยง
เหตุการณ์ พัฒนาการต่างๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่เกิดขึ้นในโลกเข้าด้วยกัน บูรณาการความรู้ ทักษะ
ค่านิยมและจริยธรรม ลงสู่การปฏิบัติจริง ด้วยการใช้แหล่งความรู้ สื่อและเทคโนโลยีตา่ งๆและสัมพันธ์กบั
วชิ าตา่ งๆ
3. จัดการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนา ค่านิยม จริยธรรม จัดหัวข้อหน่วยการเรียนที่สะท้อน
ค่านิยม จริยธรรม บรรทัดฐานในสังคม การนำไปใช้จริงในการดำเนินชีวิต ช่วยให้ผู้เรียนได้คิดอย่างมี
วิจารณญาณ ตดั สินใจแก้ปญั หาตา่ งๆ ยอมรบั และเขา้ ใจความคดิ เห็นทแี่ ตกตา่ งไปจากตน และรบั ผดิ ชอบต่อ
สังคมสว่ นรวม
4. จัดการเรียนการสอนที่ท้าทาย คาดหวังให้ผู้เรียนได้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งในส่วนตนและ
การเปน็ สมาชิกกลุ่ม ให้ผู้เรียนใชว้ ิธีการสืบเสาะ จัดการกบั การเรียนรู้ของตนเอง ใสใ่ จและเคารพในความคิด
ของผู้เรยี น
5. จัดการเรียนการสอนที่เน้นการปฏบิ ัติ ให้ผู้เรยี นไดพ้ ฒั นาการคิดตัดสินใจสร้างสรรค์ความรู้ดว้ ย
ตนเอง จัดการตัวเองได้ มีวินัยในตนเองทัง้ ด้านการเรียนและการดำเนินชวี ิต เน้นการจัดกิจกรรมท่เี ป็นจริง
เพื่อใหผ้ ู้เรียนนำความรู้ ความสามารถไปใชใ้ นชวี ิตจรงิ
ครูผู้สอนกลุ่มสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ต้องมีความเชื่อว่าผู้เรียนทกุ คนเรียนรู้ได้ ถึงแม้วา่ ผู้เรียน
จะมีความแตกต่างกนั ทางด้านปจั เจกบุคคลแต่ก็สามารถบรรลุเป้าหมายแห่งความสำเร็จได้ในระดับเดียวกันแต่
อาจจะต่างกนั ในเรือ่ งระยะเวลา
2. กระบวนการเรียนรู้
ในการเรียนการสอนหากนักเรียนไมส่ ามารถทน่ี ั่งฟงั ไดน้ านๆ เกิน 20 นาที สงิ่ เหล่านี้มีผลตอ่ การเรยี น
ของนักเรียนอย่างหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้ วิธกี ารควบคมุ พฤติกรรม ของนักเรียนนน้ั สามารถทำไดห้ ลายวธิ ี เช่น
- การแบง่ กลุ่มให้กลุ่มควบคมุ กนั เอง
- การเสริมแรงดว้ ยการใหร้ างวัล
- การลงโทษ ใช้วิธีการตดั สิทธิใ์ นผลประโยชน์ทเ่ี ด็กพึงจะได้รับเชน่ ไม่ให้ทำงานร่วมกับคนอนื่ งด
กจิ กรรมบางอยา่ ง ทเ่ี พอ่ื นไดท้ ำกัน
ให้นกั เรียนมีสว่ นรวมในการเรียนการสอน ครคู วรงดเวน้ การสอนดว้ ยการบรรยายมากเกินไป ถ้าจะใช้
ก็พยายามใช้ให้นอ้ ยๆ เวลาสอนตอ้ งยดึ นกั เรยี นเปน็ ศูนยก์ ลางใหน้ กั เรียนมีสว่ นรว่ มมากทส่ี ุด เช่น แบ่งกลมุ่ ให้
อภปิ ราย แสดงบทบาทสมมตุ ิ จัดนทิ รรศการด้วยตนเอง การชว่ ยผลิตส่ือ หรอื ให้นักเรยี นมหี นา้ ทชี่ ่วยเก็บส่ือ
เม่ือสอนเสร็จ หรือเตรยี มสอ่ื ขณะสอน
สร้างความสนใจเรื่องทจ่ี ะเรยี นในชวั่ โมงดว้ ยการใชส้ ื่อ หรอื เกม หรือกิจกรรมอ่นื ๆ เพอื่ ให้นักเรียน
กระตอื รอื ร้น สนใจทีจ่ ะเรยี นในเน้ือเรือ่ งท่ีจะสอน เพราะถ้านักเรยี นมีความสนใจเมอื่ เร่มิ แลว้ การเรียนย่อม
ตอ่ เนอื่ งไปในทางท่ีดี เช่น จะสอนประวตั ิศาสตร์เรื่องการกู้เอกราชของพระเจ้าตากสนิ ครูอาจใช้รูปภาพ หรอื
อัดเสียงจากละครโทรทศั นม์ าให้ฟัง เพือ่ จะนำเขา้ สู่การสอนเรอ่ื งทจ่ี ะเรยี น
ครสู อนวชิ าสังคม ควรเลอื กเหตกุ ารณท์ ่ีเกดิ ขน้ึ จริง หรอื กำลงั เกดิ กับสังคม มาเป็นตวั อย่างในการสอน
วิชาสงั คม นักเรียนจะได้เข้าใจอย่างถ่องแทถ้ ึงเหตุการณ์ของคนท่วั ไป มาเกร่นิ นำเพ่ือโยงสัมพนั ธก์ ับเร่อื งที่สอน
หรือนำเรื่องที่เกดิ ขึน้ นำมาอภปิ รายรว่ มกัน เช่น การอดอาหารประท้วงรา่ งรัฐธรรมนญู เม่ือ พ.ศ. 2534 ของ
กลุม่ นกั ศกึ ษา ประชาชน ครูจะใชเ้ ร่ืองน้ีกล่าวนำสนทนา เพอ่ื สอนเรอ่ื งรัฐธรรมนญู ในระบอบประชาธปิ ไตย
หรือใชข้ ่าวที่เกิดขึน้ เป็นเน้ือหาแล้วให้นกั เรยี นอภิปรายรว่ มกัน โดยกำหนดหวั ข้อใหค้ รอบคุลมเรื่องท่สี อน
การสอนวชิ าสังคมศึกษา ไมค่ วรจำเจอย่ใู นห้องเรียนอยา่ งเดียว เชน่ ใหน้ ักเรยี นไปสัมภาษณ์คนใน
ชมุ ชนบา้ ง บางคร้ังอาจให้นักเรยี นไดป้ ฏิบัตจิ รงิ เช่น การใชบ้ รกิ ารสหกรณร์ ้านคา้ หรือการสร้างสถานการณ์
จำลองให้ทดลองปฏิบัติ เชน่ การเลอื กตงั้
3. การออกแบบการจัดการเรยี นรู้
การเรยี นรูแ้ บบลงมือปฏบิ ตั ิ (Active Learning) มาประยกตุ ์ใชใ้ นการจดั การเรยี นรสู้ ังคมศึกษา 5
รปู แบบ ได้แก่
1. การจดั การเรียนรู้แบบการใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem-based learning)
2. การจดั การเรยี นร้แู บบการใช้โครงงานเปน็ ฐาน (Project-based learning)
3. การจัดการเรียนรู้แบบการใช้ความคิดสรา้ งสรรค์ เป็นฐาน (Creativity-based learning)
4. การจดั การเรยี นรแู้ บบสะเตม็ ศกึ ษา (STEM education)
5. การศกึ ษาบทเรยี นและวธิ ีการแบบเปดิ (Lesson study & open approach)
4. บทบาทของผู้สอนและผ้เู รยี น
4.1 บทบาทของผสู้ อน
ครูต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสังเกตสำรวจเพ่ือให้เหน็ ปัญญามีปฏิสัมพนั ธ์กับผู้เรียนเช่นแนะนำถามให้
คิดหรือสร้างความรู้ได้ด้วยตนเองและการคิดค้นตอ่ ไปให้การทำงานเป็นกลุ่มประเมินความคิดรวบยอดของผู้
ระยะตรวจสอบความคดิ และทักษะการคิดต่างๆการแก้ปญั หาและพฒั นาผเู้ รียนให้เคารพความคิดและเหตุผล
ของผอู้ นื่
ครมู บี ทบาทในการใช้คำถามอย่างไรทกุ คร้งั ทผี่ ู้เรยี นเสนอแนวคำตอบแนะนำให้เสนอความรแู้ บบต่างๆ
เช่นการเชื่อมโยงโมเดลอุปมาอุปไมยแผนผังความคิดเรื่องที่ค้นพบได้จากไหนได้ข้อสรุปอะไรบ้างใครได้รับ
ประโยชน์จากเร่ืองนี้และได้อะไรการประเมินปฏิบัติการโดยประเมินการใช้ข้อมูลร่วมกันการคน้ หาและนิยาม
ปญั หาการได้มาซง่ึ ความรู้
ครูเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการ จัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน
ประกอบด้วย กระบวนการ 8 ประการ และบรรยากาศ 9 ประการ ดงั นี้
กระบวนการ 8 ประการประกอบด้วย
1. สร้างแรงบันดาลใจกระตุน้ ความอยากรู้
2. เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นคน้ หารวบรวมข้อมลู แยกแยะและนำมาสรา้ งเปน็ ความรู้
3. การสอนจะสอนเม่อื มคี ำถาม
4. ผูเ้ รียนมโี อกาสหาทางแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง
5. ใชเ้ กมเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการเรียนรู้
6. แบ่งกลุ่มทำโครงงาน
7. ให้ผู้เรียนนำเสนอผลงานแบบสรา้ งสรรค์
8. ใชก้ ารวัดผลด้านตา่ งๆตามเป้าหมายท่ีไดอ้ อกแบบไว้
บรรยากาศ 9 ประการประกอบดว้ ย
1. ให้ผู้เรยี นมีเวลาศกึ ษาคน้ ควา้ อภิปรายและนำเสนอมากทีส่ ดุ
2. หลกี เล่ียงการอธบิ ายอย่างละเอียดแตจ่ ะต้องคำถามเพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นสนใจตอ่
3. ครตู ้องหลกี เล่ยี งการตัดสินแบบเด็ดขาดเช่นถกู ผดิ
4. ครูสนบั สนุนใหผ้ ูเ้ รยี นคิด
5. ใชเ้ รื่องทผี่ เู้ รยี นสนใจเป็นเน้อื หาสำหรบั การศกึ ษาคน้ คว้าและตามดว้ ยเนอ้ื หาตามตำรา
6. ควรใช้เวลาเรียนมากกวา่ 90 นาทีบูรณาการรายวิชาที่เกี่ยวโยงกบั ปญั หาโดยมีกลุม่ ครู 2-3 คน
จัดการเรียนรูร้ ่วมกนั
7. เนน้ ใหผ้ เู้ รยี นสนใจพฒั นาตนเองและครวู ัดผลเพ่ือรายงานให้ผู้เรยี นทราบการพัฒนาในแต่ละด้าน
8. ผเู้ รียนตอ้ งเรียนรู้ด้วยความสมัครใจความสนใจและให้ความรว่ มมอื ครคู วรหลกี เล่ยี งการลงโทษ
9. ครูเป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่นักเรยี นคิดนำเสนอและเรยี นรูไ้ ปพรอ้ มกันครูควรให้กำลังใจและแสดง
ความคดิ เหน็ ในโอกาสท่เี หมาะสม
4.2 บทบาทของผูเ้ รียน
ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบตั ิ และสร้างความรู้ไปพร้อมกันด้วยตนเอง บทบาทที่คาดหวังจากผู้เรียนคอื มีความ
ยินดรี ว่ มกจิ กรรมดว้ ยความสมคั รใจเรียนรไู้ ดเ้ อง รูจ้ ักแสวงหาความรจู้ ากแหล่งความรู้ต่าง ๆแกไ้ ขปญั หาอย่างมี
เหตผุ ลมคี วามรู้สึก และความคิดเป็นของตนเองวิเคราะห์พฤติกรรมของตนเองและผ้อู ื่นได้มกี ารช่วยเหลือซ่งึ กัน
และกนั รับผิดชอบงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายและนำสิง่ ทีเ่ รียนรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตจรงิ ได้
5. การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
การประเมนิ ผลการเรยี น
๑. การประเมินผลการเรียนรู้รายวิชาพนื้ ฐานและรายวชิ าเพ่ิมเตมิ
๑.๑ ครูผู้สอนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ เป็นผู้
กำหนดวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ในแต่ละรายวิชา ซึ่งทั่วไปจะมีการประเมินใน
ระหว่างเรียนและการประเมินเมื่อจบการเรียนแต่ละรายวิชา
๑.๒ เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินจะต้องมีหลากหลายและสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่
คาดหวัง โดยทว่ั ไปจะต้องมกี ารประเมินกลางภาคเรยี น ปลายภาคเรียน การประเมินจากผลงาน การประเมิน
จากแฟ้มสะสมผลงาน การสอบปฏบิ ัติ การสัมภาษณ์ รวมถึงการประเมินโดยใช้แบบสงั เกตและแบบบันทึกต่าง
ๆ แล้วปรับผลการประเมินจากเคร่ืองมือและวิธีการประเมินรูปแบบต่าง ๆ ให้เป็นคะแนน โดยทั่วไปจะปรับ
คะแนนเต็มให้เปน็ ๑๐๐
๑.๓ การให้ระดับผลการเรยี นของแต่ละรายวิชา จะใช้วิธีองิ เกณฑห์ รอื ตวั ชี้วดั ตามมาตรฐาน
หรอื ผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวัง โดยจะให้ระดบั ผลการเรยี นตามคะแนนผลการสอบและการประเมิน ดังน้ี
๔ หมายถงึ ผลการเรียน ดีเย่ียม ได้คะแนนรอ้ ยละ ๘๐ - ๑๐๐
๓.๕ หมายถึง ผลการเรยี น ดมี าก ไดค้ ะแนนร้อยละ ๗๕-๗๙
๓ หมายถึง ผลการเรยี น ดี ได้คะแนนร้อยละ ๗๐-๗๔
๒.๕ หมายถึง ผลการเรยี น ค่อนขา้ งดี ได้คะแนนรอ้ ยละ ๖๕-๖๙
๒ หมายถงึ ผลการเรยี น น่าพอใจ ได้คะแนนรอ้ ยละ ๖๐-๖๔
๑.๕ หมายถงึ ผลการเรยี น พอใช้ ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๕๕-๕๙
๑ หมายถงึ ผลการเรียน ผ่านเกณฑข์ ั้นตำ่ ไดค้ ะแนนร้อยละ ๕๐-๕๔
๐ หมายถึง ผลการเรียน ต่ำกว่าเกณฑข์ ั้นต่ำ ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ ๑-๔๙
๑.๔ ตดั สนิ ผลการเรียนเป็นรายวิชา นักเรียนต้องมีเวลาเรยี นตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่าร้อย
ละ ๘๐ ของเวลาเรยี นท้งั หมดในรายวิชาน้ัน ๆ
๑.๕ นักเรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด และผ่านมาตรฐานตามเกณฑ์ที่โรงเรียน
กำหนด
๑.๖ นักเรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา นักเรียนที่มีระดับผลการเรียน
รายวชิ าใดวิชาหน่งึ เปน็ “๐” หรือ “๑” จะต้องทำกจิ กรรมหรือเรยี นเสริมตามที่ครูผู้สอนกำหนด โดยความ
เห็นชอบของคณะกรรมการบรหิ ารหลกั สตู รและงานวชิ าการของโรงเรยี น แลว้ จงึ สอบแก้ตัวได้ไม่เกนิ ๒ ครงั้
๑.๗ ในกรณที ี่ไมส่ ามารถใหร้ ะดับผลการเรียนเป็น ๘ ระดบั ให้ใช้ตัวอกั ษรระบเุ งอื่ นไขของผล
การเรยี น ดังนี้
“มส” หมายถึง นักเรียนไม่มีสิทธิ์เข้ารับการวัดผลปลายภาคเรียน เนื่องจาก
นักเรียนมีเวลาเรียนไม่ถึงร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนในแต่ละรายวิชา และไม่ได้รับการผ่อนผันให้เข้ารับการ
วัดผลปลายภาคเรียน
“ร” หมายถึง รอการตดั สนิ และยงั ตัดสินผลการเรียนไมไ่ ด้ เน่ืองจากนักเรียนไม่
มีข้อมูลผลการเรียนรายวิชานั้นครบถ้วน ได้แก่ ไม่ได้วัดผลกลางภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไม่ได้ส่งงานที่
มอบหมายให้ทำซึ่งงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินผลการเรียนหรือมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ประเมินผลการ
เรยี นไมไ่ ด้
๒. การประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
การประเมินจะใหเ้ ป็นผา่ นและไม่ผ่าน กรณที ่ีผา่ นให้ระดบั ผลการประเมินเป็นดเี ย่ียม ดี และ
ผา่ น ดงั นี้
๒.๑ การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน เพื่อการเลื่อนชั้นและจบการศึกษา โดย
กำหนดเกณฑก์ ารตัดสนิ เป็น ๔ ระดับ ดังนี้
ดีเยี่ยม หมายถึง มผี ลงานแสดงถึงความสามารถในการอา่ น
คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขยี นท่มี คี ุณภาพดีเลศิ อยูเ่ สมอ
ดี หมายถงึ ผลงานแสดงถงึ ความสามารถในการอ่าน
คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขียนท่มี ีคณุ ภาพเป็นท่ียอมรบั
ผ่าน หมายถงึ ผลงานแสดงถงึ ความสามารถในการอา่ น
คดิ วิเคราะหแ์ ละเขยี นท่ีมคี ุณภาพเป็นทย่ี อมรบั แต่
ยงั มีข้อบกพร่องบางประการ
ไมผ่ า่ น หมายถึง ไมม่ ผี ลงานแสดงถงึ ความสามารถในการอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียนหรือถ้ามผี ลงาน ผลงานน้ัน
ยงั มีข้อบกพร่องที่ต้องได้รบั การปรับปรงุ แกไ้ ข
หลายประการ
๒.๒ การประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ครอบคลมุ ดังต่อไปนี้
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
๒. ซื่อสัตยส์ จุ ริต
๓. มวี นิ ยั
๔. ใฝเ่ รียนรู้
๕. อยู่อย่างพอเพยี ง
๖. มุง่ มัน่ ในการทำงาน
๗. รกั ความเปน็ ไทย
๘. มีจิตสาธารณะ
โดยมีเกณฑ์การประเมนิ ดังน้ี
ดีเยยี่ ม หมายถึง ผู้เรยี นปฏบิ ตั ิตนตามคณุ ลักษณะจนเปน็ นิสัยและ
นำไปใช้ในชวี ติ ประจำวันเพอื่ ประโยชน์สขุ ของตนเอง
และสังคม
ดี หมายถึง ผู้เรียนมคี ณุ ลกั ษณะในการปฏิบัตติ ามกฎเกณฑ์
เพ่ือใหเ้ ปน็ ท่ียอมรับของสงั คม
ผ่าน หมายถึง ผเู้ รยี นรับรแู้ ละปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑแ์ ละเงื่อนไขท่ี
โรงเรยี นกำหนด
ไม่ผ่าน หมายถึง ผ้เู รยี นรบั รแู้ ละปฏิบัตไิ ดไ้ มค่ รบตามกฎเกณฑแ์ ละ
เงอื่ นไขทีโ่ รงเรยี นกำหนด
แนวทางการวัดและประเมินผล
เนื่องจากการเรียนรู้ในสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมี
ความรู้ ทักษะกระบวนการคุณธรรมและค่านยิ มทดี่ งี าม มงุ่ ใหผ้ เู้ รยี นเป็นผ้ลู งมอื ปฏิบตั ิแสวงหาความรู้ มีการ
ทำโครงงาน เป็นผผู้ ลติ ผลงาน มกี ารทำงานกล่มุ และจัดทำแฟ้มสะสมงานด้วย
ในการวัดและประเมินผลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เน้นความสามารถและคุณลักษณะที่แท้จริงของผู้เรียน
จะตอ้ งใช้วิธกี ารและเครือ่ งมอื ทห่ี ลากหลาย เชน่
1. การทดสอบ เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบการเรียนรู้ ความคิด ความก้าวหน้าในสาระการ
เรียนรู้ มีเครื่องมือวดั หลายแบบ เช่นแบบเลือกตอบ แบบเขียนตอบ แบบบรรยาย แบบเติมคำสัน้ ๆ แบบ
ถูกผดิ แบบจบั คู่ เป็นต้น
2.การสังเกต เป็นการประเมินพฤติกรรม อารมณ์ การมีปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียน ความสัมพันธ์ใน
ระหว่างการทำงานกลมุ่ ความรว่ มมือในการทำงาน ความอดทน วธิ ีการแก้ปญั หา การใชเ้ คร่ืองมืออุปกรณ์
ตา่ งๆในระหว่างการเรียนการสอน ซึ่งผสู้ อนสามารถสังเกตได้ตลอดเวลา
3. การสมั ภาษณ์ เปน็ การสนทนาซกั ถามพูดคยุ เพอื่ คน้ หาขอ้ มูลที่ไม่อาจพบเห็นอย่างชดั เจน ในส่ิงที่
นักเรียนประพฤติปฏิบัติในการทำงาน โครงงาน การทำงานกลุ่ม กิจวัตรประจำวัน ผู้ให้ข้อมูลอาจเป็น
นักเรียนเอง เพอื่ นรว่ มงาน รวมทัง้ ผ้ปู กครองนักเรียนดว้ ย
4. การประเมินภาคปฏิบัติ เป็นการประเมินการกระทำ การปฏิบัติงานรายเดียวและกลุ่ม เพ่ือ
ประเมินการสร้างผลงานชิ้นงานให้สำเร็จ การสาธิต การนำเสนอ การค้นคว้าด้วยตนเอง การแสดงออกถึง
ทกั ษะและความสามารถของผู้เรียนให้ปรากฏในงานท่ีสร้างขนึ้ การประเมนิ ภาคปฏิบตั ิจะตอ้ งจัดทำเคร่ืองมือ
ประเมิน โดยผู้สอนจัดทำประเด็นการประเมิน และองค์ประกอบการประเมินและเครื่องมือประกอบการ
ประเมินด้วย
5. การประเมินแฟ้มสะสมงาน เป็นการประเมินความสามารถในการผลิตผลงาน การบูรณาการ
ความรู้ ประสบการณ์ ความพยายาม ความรสู้ ึก ความคดิ เห็นของนกั เรียน การรวบรวมผลงาน
การคดั เลือกผลงาน การสะทอ้ นความคิดเห็นตอ่ ผลงาน รวมท้ังการประเมนิ ผลงาน
เกณฑ์การให้คะแนน
๑. อตั ราส่วนคะแนนระหว่างภาคตอ่ ปลายภาค = ๗๐ : ๓๐
๒. คะแนนระหว่างเรียนแบง่ เก็บดงั นี้
๒.๑. คะแนนด้านความรู้ ๔๐ คะแนน
๒.๒. คะแนนดา้ นทกั ษะ ๒๐ คะแนน
๒.๓. คะแนนดา้ นคณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์ ๑๐ คะแนน
๓. คะแนนสอบปลายภาค ๓๐ คะแนน
๔.การตดั สินผลการเรียน
คะแนนต่ำกวา่ ๕๐ คะแนน ผลการเรยี น ๐
คะแนนระหว่าง ๕๐ -๕๔ คะแนน ผลการเรียน ๑
คะแนนระหวา่ ง ๕๕ -๕๙ คะแนน ผลการเรียน ๑.๕
คะแนนระหวา่ ง ๖๐ -๖๔ คะแนน ผลการเรียน ๒
คะแนนระหว่าง ๖๕ -๖๙ คะแนน ผลการเรียน ๒.๕
คะแนนระหวา่ ง ๗๐ -๗๔ คะแนน ผลการเรียน ๓
คะแนนระหว่าง ๗๕ -๗๙ คะแนน ผลการเรียน ๓.๕
คะแนนมากกว่า ๘๐ คะแนนขึน้ ไป ผลการเรยี น ๔
เวลาเรยี น
ผูเ้ รียนตอ้ งมเี วลาเรียนไม่นอ้ ยกว่า ๘๐%
การตดั สนิ ผลการเรียน
1. ผเู้ รยี นตอ้ งมีเวลาเรยี นไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรยี น
2. ผ้เู รยี นตอ้ งไดร้ บั การประเมินทุกผลการเรียนรู้ และผ่านทกุ ขอ้ โดยแต่ละผลการ
เรยี นรู้ผ่านไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 หรือมีคณุ ภาพในระดับ ผ่าน ขนึ้ ไป
3. ผเู้ รยี นต้องได้รบั การประเมินการอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขียน มผี ลการประเมนิ ระดับผา่ นขึ้นไป
4. ผู้เรยี นตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ มีผลการประเมนิ ระดบั ผา่ นขน้ึ ไป
ภาคผนวก
อภิธานศพั ท์
กตัญญกู ตเวที ผู้รอู้ ปุ การะทท่ี า่ นทำแลว้ และตอบแทน แยกออกเปน็ ๒ ข้อ
๑. กตัญญู ร้คู ณุ ทา่ น
๒. กตเวทตี อบแทนหรือสนองคุณทา่ น
ความกตัญญกู ตเวทวี ่าโดยขอบเขต แยกได้ เปน็ ๒ ระดบั คอื
๒.๑ กตัญญกู ตเวทีตอ่ บคุ คลผู้มคี ุณความดีหรอื อปุ การะต่อตนเป็นสว่ นตวั
๒.๒ กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้ได้บำเพ็ญคุณประโยชน์หรือมีคณุ ความดี เกื้อกูลแก่
ส่วนรว่ ม(พ.ศ.หนา้ ๒-๓)
กตัญญกู ตเวทตี ่ออาจารย์ / โรงเรยี น ในฐานะทเ่ี ป็นศษิ ย์ พึงแสดงความเคารพนับถอื อาจารย์
ผู้ เปรียบเสมือนทิศเบ้ืองขวา ดังนี้
๑. ลกุ ตอ้ นรับ แสดงความเคารพ
๒. เขา้ ไปหา เพื่อบำรงุ รับใช้ ปรึกษา ซักถาม รบั คำแนะนำ เป็นตน้
๓. ฟังดว้ ยดี ฟงั เปน็ รูจ้ กั ฟงั ให้เกิดปัญญา
๔. ปรนนิบตั ิ ชว่ ยบริการ
๕. เรียนศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจังถือเปน็ กจิ สำคัญดว้ ยดี
กรรม การกระทำ หมายถงึ การกระทำทีป่ ระกอบด้วยเจตนา คอื ทำด้วยความจงใจ ประกอบด้วย
ความจงใจหรือจงใจทำดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ในตกลงไปตายเป็นกรรม
แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินไว้ใช้ สัตว์ตกลงไปตายเองไมเ่ ป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำท่ีตนขุดไว้อยู่ในท่ซี ึ่งคน
จะพลดั ตกได้ง่ายแลว้ ปล่อยปละละเลย มคี นตกลงไปก็ไม่พ้นกรรม) การกระทำท่ดี ีเรียกว่า “กรรมดี”
ทชี่ ่ัวเรยี กวา่ “กรรมชั่ว” (พ.ศ. หนา้ ๔)
กรรม ๒ กรรมจำแนกตามคณุ ภาพ หรอื ตามธรรมท่เี ป็นมูลเหตมุ ี ๒ คือ
๑. อกศุ ลกรรม กรรมท่ีเป็นอกุศล กรรมชวั่ คือเกดิ จากอกุศลมลู
๒. กุศลกรรม กรรมทเี่ ปน็ กุศล กรรมดี คอื กรรมท่เี กิดจากกุศลมูล
กรรม ๓ กรรมจำแนกตามทวารคอื ทางทก่ี รรมมี ๓ คอื
๑. กายกรรม การกระทำทางกาย
๒. วจกี รรม การกระทำทางวาจา
๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ
กรรม ๑๒ กรรมจำแนกตามหลักเกณฑเ์ กย่ี วกบั การใหผ้ ล มี ๑๒ อย่าง คือ
หมวดท่ี ๑ วา่ ด้วยปากกาล คือจำแนกตามเวลาท่ีใหผ้ ล ได้แก่
๑. ทิฏฐธรรมเวทนยี กรรม กรรมท่ีให้ผลในปัจจุบัน คอื ในภพนี้
๒. อุปชั ชเวทนียกรรม กรรมท่ใี ห้ผลในภาพทจี่ ะไปเกิด คอื ในภพหน้า
๓. อปราบปรเิ วทนยี กรรม กรรมท่ใี หผ้ ลในภพต่อ ๆ ไป
๔. อโหสกิ รรม กรรมเลกิ ให้ผล
หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คอื การให้ผลตามหน้าท่ี ไดแ้ ก่
๕. ชนกกรรม กรรมแตง่ ให้เกิด หรือกรรมท่ีเป็นตวั นำไปเกดิ
๖. อุปตั ถมั ภกกรรม กรรมสนับสนนุ คือ เขา้ สนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม
๗. อุปปีฬกกรรม กรรมบีบค้ัน คอื เข้ามาบีบคั้นผลแห่งชนกกรรม และอุปตั ถัมภกกรรมนั้นใหแ้ ปรเปล่ียน
ทเุ ลาเบาลงหรือสนั้ เขา้
๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามทีเ่ ข้าตัดรอนให้ผลของกรรมสองอย่างน้ัน
ขาดหรือหยดุ ไปทเี ดยี ว
หมวดที่ ๓ วา่ โดยปานทานปริยาย คือจำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่
๙. ครกุ รรม กรรมหนกั ให้ผลกอ่ น
๑๐. พหลุ กรรม หรอื อาจณิ กรรม กรรทีท่ ำมากหรือกรรมชินใหผ้ ลรองลงมา
๑๑. อาสันนกรรม กรรมจวนเจยี น หรอื กรรมใกลต้ าย ถ้าไม่มีสองข้อกอ่ นกจ็ ะใหผ้ ลก่อนอนื่ ๑๒. กตัต
ตากรรม หรอื กตตั ตาวาปนกรรม กรรมสกั ว่าทำ คือเจตนาออ่ น หรือมใิ ช่เจตนาอยา่ งนน้ั ให้ผลต่อเม่ือ
ไม่มกี รรมอื่นจะให้ผล (พ.ศ. หนา้ ๕)
กรรมฐาน ทีต่ ้ังแหง่ การงาน อารมณเ์ ปน็ ท่ตี ้ังแห่งการงานของใจ อบุ ายทางใจ วธิ ฝี ึกอบรมจิต
มี ๒ ประเภท คือ สมถกรรมฐาน คือ อุบายสงบใจ วิปสั สนากรรมฐาน อุบายเรอื งปญั ญา
(พ.ศ. หน้า ๑๐)
กุลจิรัฏตธรรม ๔ ธรรมสำหรับดำรงความมั่นคงของตระกูลให้ยั่งยืน เหตุที่ทำให้ตระกูลมั่งคั่งตั้งอยู่ได้นาน
(พ.ธ. หนา้ ๑๓๔)
๑. นฏั ฐคเวสนา คือ ของหายของหมด รู้จกั หามาไว้
๒. ชิณณปฏสิ ังขรณา คือ ของเกา่ ของชำรดุ รู้จักบูรณะซ่อมแซม
๓. ปริมติ ปานโภชนา คือ รูจ้ กั ประมาณในการกินการใช้
๔. อธปิ จั จสลี วันตสถาปนา คอื ตั้งผ้มู ีศลี ธรรมเปน็ พอ่ บ้านแม่เรอื น (พ.ธ. หนา้ ๑๓๔)
กุศล บุญ ความดี ฉลาด สงิ่ ทดี่ ี กรรมดี (พ.ศ. หนา้ ๒๑)
กศุ ลกรรม กรรมดี กรรมท่ีเปน็ กศุ ล การกระทำที่ดีคอื เกดิ จากกศุ ลมลู (พ.ศ. หน้า ๒๑)
กุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแหง่ กรรมดี ทางทำดี กรรมดอี นั เปน็ ทางนำไปสสู่ คุ ตมิ ี ๑๐ อย่างไดแ้ ก่
ก. กายกรรม ๓ (ทางกาย) ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการทำลายชีวิต ๒. อทินนาทานา
เวรมณี เวน้ จากถอื เอาของท่เี ขามไิ ด้ให้ ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เวน้ จากประพฤติผิดในกาม
ข. วจีกรรม ๔ (ทางวาจา) ได้แก่ ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ ๕. ปิสุณายวาจาย เวรมณี
เว้นจากพูดส่อเสียด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี
เวน้ จากพดู เพอ้ เจอ้
ค. มโนกรรม ๓ (ทางใจ) ๘. อนภิชฌา ไม่โลกคอยจ้องอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไม่คิดร้าย
เบียดเบยี นเขา ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เหน็ ชอบตามคลองธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๑)
กศุ ลมูล รากเหง้าของกศุ ล ต้นเหตขุ องกศุ ล ต้นเหตขุ องความดี ๓ อย่าง
๑. อโลภะ ไมโ่ ลภ (จาคะ)
๒. อโทสะ ไม่คดิ ประทุษร้าย (เมตตา)
๓. อโมหะ ไมห่ ลง (ปัญญา) (พ.ศ. หนา้ ๒๒)
กุศลวิตก ความตรกึ ท่เี ปน็ กุศล ความนกึ คดิ ทดี่ งี าม ๓ คอื
๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกปลอดจากกาม
๒. อพยาบาทวิตก ความตรกึ ปลอดจากพยาบาท
๓. อวิหสิ าวติ ก ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน (พ.ศ. หนา้ ๒๒)
โกศล ๓ ความฉลาด ความเช่ียวชาญ มี ๓ อย่าง
๑. อายโกศล คือ ความฉลาดในความเจริญ รอบรทู้ างเจริญและเหตขุ องความเจริญ
๒. อปายโกศล คอื ความฉลาดในความเสือ่ ม รอบรู้ทางเส่ือมและเหตุของความเส่อื ม
๓. อปุ ายโกศล คอื ความฉลาดในอบุ าย รอบร้วู ิธแี ก้ไขเหตุการณ์และวิธที ่จี ะทำใหส้ ำเร็จ
ทง้ั ในการปอ้ งกนั ความเส่ือมและในการสรา้ งความเจรญิ (พ.ศ. หน้า ๒๔)
ขนั ธ์ กอง พวก หมวด หมู่ ลำตวั หมวดหนงึ่ ๆ ของรปู ธรรมและนามธรรมทัง้ หมดที่แบง่ ออกเปน็
ห้ากอง ได้แก่
รปู ขันธ์ คือ กองรูป
เวทนาขันธ์ คือ กองเวทนา
สัญญาขันธ์ คือ กองสญั ญา
สังขารขนั ธ์ คือ กองสงั ขาร
วญิ ญาณขนั ธ์ คอื กองวิญญาณ
เรยี กรวมว่า เบญจขนั ธ์ (พ.ศ. หน้า ๒๖ - ๒๗)
คารวธรรม ๖ ธรรม คือ ความเคารพ การถอื เปน็ ส่ิงสำคัญทีจ่ ะพงึ ใส่ใจและปฏิบตั ิด้วย ความเอ้ือเฟ้ือ หรือ
โดยความหนักแนน่ จรงิ จังมี ๖ ประการ คือ
๑. สตั ถุคารวตา ความเคารพในพระศาสดา หรือพุทธคารวตา ความเคารพในพระพุทธเจ้า ๒. ธัมม
คารวตา ความเคารพในพระธรรม
๓. สังฆคารวตา ความเคารพในพระสงฆ์
๔. สกิ ขาคารวตา ความเคารพในการศึกษา
๕. อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท
๖. ปฏสิ ันถารคารวตา ความเคารพในการปฏสิ นั ถาร (พ.ธ. หน้า ๒๒๑)
คหิ ิสขุ (กามโภคีสุข ๔) สุขของคฤหัสถ์ สขุ ของชาวบ้าน สุขทช่ี าวบ้านควรพยายามเข้าถึงใหไ้ ด้สม่ำเสมอ สุขอัน
ชอบธรรมท่ผี คู้ รองเรือนควรมี ๔ ประการ
๑. อัตถสิ ขุ สขุ เกดิ จากความมีทรพั ย์
๒. โภคสุข สขุ เกิดจากการใชจ้ า่ ยทรัพย์
๓. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เปน็ หน้ี
๔. อนวัชชสุข สขุ เกดิ จากความประพฤตไิ มม่ ีโทษ (ไม่บกพร่องเสยี หายท้งั ทางกาย วาจา และใจ) (พ.ธ.
หน้า ๑๗๓)
ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสำหรับฆราวาส ธรรมสำหรับการครองเรือน หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ ๔
ประการ ได้แก่
๑. สัจจะ คอื ความจรงิ ซื่อตรง ซอื่ สัตย์ จริงใจ พูดจรงิ ทำจรงิ
๒. ทมะ คือ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัด ดัดนิสัย แก้ไข
ข้อบกพรอ่ ง ปรบั ปรุงตนใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ดว้ ยสตปิ ญั ญา
๓. ขนั ติ คอื ความอดทน ตั้งหนา้ ทำหน้าท่ีการงานดว้ ยความขยันหม่นั เพียร เข้มแขง็ ทนทาน ไม่
หวัน่ ไหว มัน่ ในจุดหมาย ไมท่ ้อถอย
๔. จาคะ คือ เสยี สละ สละกเิ ลส สละความสุขสบาย และผลประโยชน์สว่ นตนได้ ใจกวา้ ง พรอ้ มทจ่ี ะ
รับฟังความทุกข์ ความคิดเห็นและความต้องการของผู้อื่น พร้อมที่จะร่วมมือช่วยเหลือ
เออ้ื เฟือ้ เผื่อแผไ่ ม่คบั แคบเห็นแก่ตัวหรือ เอาแตใ่ จตวั (พ.ธ. หน้า ๔๓)
จติ ธรรมชาติท่ีรู้อารมณ์ สภาพทนี่ กึ คดิ ความคิด ใจ ตามหลักฝ่ายอภธิ รรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ แบ่งโดย
ชาตเิ ปน็ อกุศลจิต ๑๒ กุศลจติ ๒๑ วิปากจติ ๓๖ และกริ ิยาจติ ๘ (พ.ศ. หน้า ๔๓)
เจตสิก ธรรมทีป่ ระกอบกับจิต อาการหรือคุณสมบตั ิต่าง ๆ ของจิต เชน่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา
เมตตา สติ ปญั ญาเป็นตน้ มี ๕๒ อยา่ ง จดั เปน็ อญั ญสมานาเจตสกิ ๑๓ อกุศลเจตสกิ ๑๔ โสภณเจตสิก
๒๕ (พ.ศ. หน้า ๔๙)
ฉันทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยินดี ความต้องการ ความรักใคร่ในสิ่งนั้น ๆ ๒. ความยินยอมความ
ยอมให้ที่ประชุมทำกิจนั้น ๆ ในเมื่อตนมิได้ร่วมอยู่ด้วย เป็นธรรมเนียมของภิกษุที่อยู่ในวัดซึ่งมีสีมา
รวมกนั มสี ทิ ธทิ ี่จะเข้าประชุมทำกิจของสงฆ์ เว้นแตภ่ กิ ษุน้ันอาพาธ จะเขา้ ร่วมประชมุ ด้วยไม่ได้ ก็มอบ
ฉันทะคอื แสดงความยนิ ยอมให้สงฆ์ทำกิจน้ัน ๆ ได้ (พ.ศ. หนา้ ๕๒)
ฌาน การเพง่ การเพง่ พนิ ิจดว้ ยจิตทีเ่ ป็นสมาธิแนว่ แน่ มี ๒ ประเภท คอื
๑. รปู ฌาน
๒. อรปู ฌาน (พ.ศ. หน้า ๖๐)
ฌานสมบตั ิ การบรรลฌุ าน การเขา้ ฌาน (พุทธธรรม หนา้ ๙๖๔)
ดรุณธรรม ธรรมท่ีเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ คอื ขอ้ ปฏิบตั ิที่เปน็ ดุจประตูชัยอนั เปิดออกไปสู่ความสุข ความ
เจริญกา้ วหน้าแห่งชีวิต ๖ ประการ คือ
๑. อาโรคยะ คือ รักษาสขุ ภาพดี มใิ ห้มีโรคทัง้ จิตและกาย
๒. ศีล คือ มรี ะเบยี บวินยั ไม่ก่อเวรภยั แก่สังคม
๓. พทุ ธานุมัติ คือ ไดค้ นดเี ป็นแบบอยา่ ง ศกึ ษาเยีย่ งนิยมแบบอย่างของมหาบุรุษพุทธชน ๔. สุตะ คือ
ต้ังเรยี นรใู้ หจ้ ริง เลา่ เรยี นคน้ ควา้ ให้รู้เชย่ี วชาญใฝส่ ดบั เหตุการณใ์ หร้ ูเ้ ท่าทนั
๕. ธรรมานุวตั ิ คอื ทำแต่สิ่งทถ่ี กู ตอ้ งดงี าม ดำรงมน่ั ในสุจรติ ท้งั ชวี ิตและงานดำเนินตามธรรม
๖. อลีนตา คือ มีความขยันหมั่นเพียร มีกำลังใจแข็งกล้าไม่ท้อแท้เฉื่อยชา เพียรก้าวหน้าเรื่อยไป
(ธรรมนูญชีวิต บทที่ ๑๕ คนสบื ตระกูล ขอ้ ก. หน้า๕๕)
หมายเหตุ หลักธรรมข้อนี้เรียกชื่ออีกย่างหนึ่งว่า “วัฒนมุข” ตรงคำบาลีว่า “อัตถทวาร” ประตูแห่ง
ประโยชน์
ตัณหา (๑) ความทะยานอยาก ความดนิ รน ความปรารถนา ความแส่หา มี ๓ คอื
๑. กามตณั หา ความทะยานอยากในกาม อยากไดอ้ ารมณ์อันน่ารักนา่ ใคร่
๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ อยากเป็นนน่ั เปน็ นี่
๓. วิภวตณั หา ความทะยานอยากในวิภพ อยากไมเ่ ปน็ น่ันไม่เป็นนี่ อยากพรากพน้ ดบั สญู ไปเสยี
ตนั หา (๒) ธดิ ามารนางหนึง่ ใน ๓ นาง ทอ่ี าสาพระยามารผู้เปน็ บิดา เข้าไปประโลมพระพุทธเจ้าด้วยอาการต่าง
ๆ ในสมัยที่พระองค์ประทบั อยูท่ ีต่ ้นอชปาลนิโครธ ภายหลังตรัสรู้ใหม่ ๆ (อีก ๒ นางคือ อรดีกับราคา)
(พ.ศ. หนา้ ๗๒)
ไตรลกั ษณ์ ลักษณะสาม คือ ความไมเ่ ทย่ี ง ความเป็นทุกข์ ความไมใ่ ช่ตวั ตน
๑. อนิจจตา (ความเป็นของไม่เทีย่ ง)
๒. ทกุ ขตา (ความเปน็ ทุกข์)
๓. อนัตตา (ความเป็นของไมใ่ ช่ตน) (พ.ศ. หนา้ ๑๐๔)
ไตรสกิ ขา สกิ ขาสาม ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ี่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คอื
๑. อธศิ ลี สกิ ขา หมายถึง สกิ ขา คือ ศีลอันย่ิง
๒. อธจิ ติ ตสกิ ขา หมายถึง สิกขา คอื จิตอนั ยิง่
๓. อธปิ ัญญาสกิ ขา หมายถงึ สิกขา คือ ปญั ญาอนั ยงิ่ เรยี กกนั ง่าย ๆ วา่ ศลี สมาธิ ปัญญา (พ.ศ.
หน้า ๘๗)
ทศพิธราชธรรม ๑๐ ธรรม สำหรบั พระเจ้าแผน่ ดิน คุณสมบตั ิของนักปกครองที่ดี สามารถปกครองแผ่นดนิ โดย
ธรรม และยงั ประโยชนส์ ุขให้เกดิ แกป่ ระชาชน จนเกดิ ความชื่นชมยินดี มี ๑๐ ประการ คือ
๑. ทาน การใหท้ รัพยส์ นิ สิง่ ของ
๒. ศลี ประพฤติดงี าม
๓. ปริจจาคะ ความเสียสละ
๔. อาชชวะ ความซือ่ ตรง
๕. มทั ทวะ ความอ่อนโยน
๖. ตบะ ความทรงเดช เผากเิ ลสตัณหา ไมห่ มกมุ่นในความสุขสำราญ
๗. อักโกธะความไมก่ ร้วิ โกรธ
๘. อวหิ ิงสา ความไมข่ ม่ เหงเบียดเบยี น
๙. ขนั ติ ความอดทนเขม้ แขง็ ไม่ทอ้ ถอย
๑๐. อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม (พ.ศ. หน้า ๒๕๐)
ทฏิ ธมั มิกตั ถสงั วัตตนิกธรรม ๔ ธรรมทเี่ ป็นไปเพือ่ ประโยชนใ์ นปจั จบุ ัน คือ ประโยชน์สขุ สามญั ทมี่ องเหน็ กันใน
ชาตนิ ี้ ทีค่ นทวั่ ไปปรารถนา เช่น ทรัพย์ ยศ เกยี รติ ไมตรี เป็นตน้ มี ๔ ประการ คอื
๑.อุฏฐานสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยความหมัน่
๒. อารกั ขสัมปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยการรกั ษา
๓. กลั ยาณมิตตตา ความมเี พ่อื นเป็นคนดี
๔. สมชีวติ า การเลีย้ งชพี ตามสมควรแก่กำลังทรพั ย์ท่ีหาได้ (พ.ศ. หนา้ ๙๕)
ทุกข์ ๑. สภาพทที่ นอยูไ่ ด้ยาก สภาพทคี่ งทนอยไู่ ม่ได้ เพราะถูกบีบคนั้ ด้วยความเกิดขน้ึ และดับสลาย เน่อื งจาก
ตอ้ งไปตามเหตปุ ัจจยั ที่ไม่ขนึ้ ต่อตัวมันเอง
๒. สภาพท่ที นไดย้ าก ความรู้สกึ ไม่สบาย ได้แก่ ทกุ ขเวทนา (พ.ศ. หนา้ ๙๙)
ทุกรกิริยา กิริยาที่ทำได้ยาก การทำความเพียรอันยากที่ใคร ๆ จะทำได้ เช่น การบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรม
วิเศษ ดว้ ยวิธที รมานตนต่าง ๆ เช่น กลนั้ ลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) และอด
อาหาร เป็นต้น (พ.ศ. หนา้ ๑๐๐)
ทุจรติ ๓ ความประพฤตไิ มด่ ี ประพฤติช่ัว ๓ ทาง ไดแ้ ก่
๑. กายทจุ รติ ประพฤตชิ ว่ั ทางกาย
๒. วจีทจุ ริต ประพฤตชิ ่ัวทางวาจา
๓. มโนทุจริต ประพฤตชิ ่วั ทางใจ (พ.ศ. หน้า ๑๐๐)
เทวทูต ๔ ทูตของยมเทพ สื่อแจ้งข่าวของมฤตยู สัญญาณที่เตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิต มีให้มีความ
ประมาท ได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ๓ อย่างแรกเรียกเทวทูต ส่วนสมณะเรียกรวมเป็น
เทวทูตไปด้วยโดยปริยายเพราะมาในหมวดเดียวกัน แต่ในบาลีท่านเรียกว่านิมิต ๔ ไม่ได้เรียกเทวทูต
(พ.ศ. หนา้ ๑๐๒)
ธาตู ๔ สิง่ ทท่ี รงภาวะของมนั้ อยเู่ องตามธรรมดาของเหตุปัจจัย ไดแ้ ก่
๑. ปฐวีธาตุ หมายถึง สภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อท่ี เรียกชื่อสามัญว่า ธาตุเข้มแข็งหรือธาตุดิน ๒.
อาโปธาตุ หมายถงึ สภาวะที่เอิบอาบดูดซึม เรยี กสามัญว่า ธาตุเหลว หรือธาตุนำ้
๓. เตโชธาตุ หมายถงึ สภาวะท่ีทำใหร้ ้อน เรียกสามัญว่า ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถึง สภาวะท่ีทำให้
เคลื่อนไหว เรยี กสามญั วา่ ธาตลุ ม (พ.ศ. หน้า ๑๑๓)
นาม ธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปแต่น้อมมาเป็นอารมณ์
ของจิตได้ (พ.ศ. หนา้ ๑๒๐)
นยิ าม ๕ กำหนดอนั แน่นอน ความเป็นไปอันมีระเบยี บแนน่ อนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ
๑. อุตุนิยาม(กฎธรรมชาติเกี่ยวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะ ดิน น้ำ
อากาศและฤดูกาล อนั เป็นสง่ิ แวดลอ้ มสำหรับมนุษย์)
๒. พชี นิยาม (กฎธรรมชาตเิ กีย่ วกับการสบื พนั ธุม์ ีพนั ธกุ รรมเป็นต้น)
๓. จติ ตนิยาม (กฎธรรมชาติเกย่ี วกับการทำงานของจติ )
๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกับพฤติกรรมของมนุษย์ คอื กระบวนการใหผ้ ลของการกระทำ)
๕. ธรรมนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ ก่ียวกับความสมั พันธแ์ ละอาการที่เปน็ เหตุ เป็นผลแกก่ ันแห่งสิง่ ทงั้ หลาย
(พ.ธ. หน้า ๑๙๔)
นวิ รณ์ ๕ สิง่ ทกี่ ั้นจิตไม่ใหก้ ้าวหน้าในคุณธรรม ธรรมทกี่ นั้ จิตไม่ให้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมท่ีทำจิตให้เศร้า
หมองและทำปัญญาให้ออ่ นกำลงั
๑. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม ความตอ้ งการกามคุณ)
๒. พยาบาท (ความคดิ ร้าย ความขัดเคอื งแคน้ ใจ)
๓. ถนี มทิ ธะ (ความหดหูแ่ ละเซ่อื งซึม)
๔. อทุ ธัจจกกุ กจุ จะ (คามฟุง้ ซ่านและร้อนใจ ความกระวนกระวายกลุ้มกงั วล)
๕. วจิ ิกจิ ฉา (ความลงั เลสงสยั ) (พ.ธ. หนา้ ๑๙๕)
นิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง ภาวะปลอดทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึง
พระนิพพาน (พ.ศ. หนา้ ๑๒๗)
บารมี คุณความดที ี่บำเพญ็ อย่างย่ิงยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่งมี ๑๐ คอื ทาน ศลี เนกขมั มะ ปัญญา วิริยะ
ขนั ติ สจั จะ อธษิ ฐาน เมตตา อุเบกขา (พ.ศ. หนา้ ๑๓๖)
บญุ กริ ิยาวัตถุ ๓ ที่ต้ังแหง่ การทำบุญ เรอ่ื งทจ่ี ดั เป็นการทำความดี หลักการทำความดี ทางความดมี ี ๓ ประการ
คือ
๑. ทานมยั คือทำบุญดว้ ยการใหป้ นั สง่ิ ของ
๒. ศลี มัย คอื ทำบุญดว้ ยการรักษาศีล หรือประพฤติดีมรี ะเบียบวินยั
๓. ภาวนมัย คอื ทำบญุ ด้วยการเจรญิ ภาวนา คอื ฝึกอบรมจิตใจ (พ.ธ. หนา้ ๑๐๙)
บุญกิรยิ าวตั ถุ ๑๐ ทตี่ ้ังแห่งการทำบุญ ทางความดี
๑. ทานมัย คอื ทำบญุ ดว้ ยการใหป้ ันสิง่ ของ
๒. สลี มัย คือ ทำบุญดว้ ยการรักษาศีล หรอื ประพฤติดี
๓. ภาวนมยั คอื ทำบุญดว้ ยการเจริญภาวนา คือฝกึ อบรมจิตใจ
๔. อปจายนมัย คอื ทบุญด้วยการประพฤตอิ ่อนน้อมถอ่ มตน
๕. เวยยาวัจจมัย คือ ทำบุญด้วยการช่วยขวนขวาย รับใช้
๖. ปัตติทานมยั คอื ทำบญุ ด้วยการเฉลย่ี ส่วนแหง่ ความดใี หแ้ กผ่ ู้อื่น
๗. ปตั ตานโุ มทนามยั คอื ทำบุญด้วยการยนิ ดีในความดขี องผอู้ ่นื
๘. ธมั มสั สวนมัย คอื ทำบญุ ด้วยการฟังธรรม ศึกษาหาความรู้
๙. ธัมมเทสนามัย คอื ทำบุญดว้ ยการส่งั สอนธรรมใหค้ วามรู้
๑๐. ทฏิ ฐชุ ุกรรม คือ ทำบญุ ดว้ ยการทำความเห็นให้ตรง (พ.ธ. หน้า ๑๑๐)
บุพนิมิตของมัชฌมิ าปฏิปทา บุพนิมิต แปลว่า สิ่งที่เป็นเครื่องหมายหรือสิ่งบ่งบอกล่วงหน้า พระพุทธองค์ตรัส
เปรียบเทียบว่า ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น ย่อมมีแสงเงินแสงทองปรากฏให้เห็นก่อนฉันใด ก่อนท่ี
อริยมรรคซึ่งเป็นข้อปฏิบัติสำคัญในพระพุทธศาสนาจะเกดิ ขึ้น ก็มีธรรมบางประการปรากฏขึ้นก่อน
เหมือนแสงเงนิ แสงทองฉันนั้น องค์ประกอบของธรรมดงั กล่าว หรือบุพนมิ ิตแหง่ มชั ฌิมาปฏปิ ทา ไดแ้ ก่
๑. กลั ปย์ าณมิตตตา ความมีกัลยาณมติ ร
๒. สีลสัมปทา ถงึ พรอ้ มด้วยศลี มวี นิ ยั มีความเปน็ ระเบยี บในชวี ติ ของตนและในการอยู่ร่วมในสังคม
๓. ฉันทสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยฉันทะ พอใจใฝ่รักในปัญญา สัจธรรม ในจริยธรรม ใฝ่ร้ใู นความจริงและ
ใฝท่ ำความดี
๔. อตั ตสมั ปทา ความถงึ พรอ้ มด้วยการท่จี ะฝึกฝน พัฒนาตนเอง เหน็ ความสำคญั ของการท่ีจะต้องฝึก
ตน
๕. ทฏิ ฐิสปั ทา ความถึงพรอ้ มดว้ ยทิฏฐิ ยึดถอื เช่ือถือในหลกั การ และมคี วามเห็นความเขา้ ใจพ้ืนฐานท่ี
มองสงิ่ ท้งั หลายตามเหตุปัจจยั
๖. อัปปมาทสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอเห็นคุณค่าของ
กาลเวลา เห็นความเปล่ียนแปลงเป็นส่ิงกระตุ้นเตอื นให้เรง่ รดั การคน้ หาให้เขาถึงความจริงหรือในการ
ทำชีวติ ท่ดี งี ามให้สำเรจ็
๗. โยนิโสมนสิการ ร้จู ัดคิดพิจารณา มองสิ่งท้งั หลายใหไ้ ด้ความรู้และได้ประโยชน์ทจ่ี ะเอามาใช้พัฒนา
ตนเองย่งิ ๆ ขน้ึ ไป (แสงเงนิ แสงทองของชวี ิตท่ี ดงี าม: พระธรรมปฎิ ก) (ป.อ. ปยุตโฺ ต)
เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อย่าง ทค่ี วรประพฤตคิ กู่ ันไปกบั การรักษาเบญจศลี ตามลำดับขอ้ ดังน้ี
๑. เมตตากรุณา
๒. สัมมาอาชีวะ
๓. กามสงั วร (สำรวมในกาม)
๔. สัจจะ
๕. สติสมั ปชญั ญะ (พ.ศ. หนา้ ๑๔๐ – ๑๔๑)
เบญจศีล ศลี ๕ เวน้ ฆ่าสัตว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผดิ ในกาม เวน้ พดู ปด เว้นของเมา (พ.ศ. หน้า ๑๔๑)
ปฐมเทศนา เทศนาครัง้ แรก หมายถึง ธัมมจกั รกปั ปวัตตนสูตรทพี่ ระพุทธเจา้ ทรงแสดงแกพ่ ระปัญจวัคคยี ใ์ นวันขึ้น
๑๕ คำ่ เดือน ๘ หลังจากวันตรสั รสู้ องเดอื น ทีป่ ่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี (พ.ศ. หน้า ๑๔๗)
ปฏจิ จสมุปบาท สภาพอาศยั ปจั จยั เกดิ ข้นึ การทสี่ ่ิงทั้งหลายอาศัยกนั จึงมีขึน้ การทีท่ ุกขเ์ กิดข้นึ เพราะอาศัยปัจจัย
ต่อเน่ืองกนั มา (พ.ศ. หนา้ ๑๔๓)
ปริยตั ิ พทุ ธพจน์อนั จะพงึ เล่าเรยี น สงิ่ ที่ควรเล่าเรยี น การเล่าเรยี นพระธรรมวนิ ัย (พ.ศ. หน้า ๑๔๕)
ปธาน ๔ ความเพยี ร ๔ อยา่ ง ได้แก่
๑. สังวรปธาน คือ การเพียรระวังหรือเพียรปิดกัน้ (ยบั ยัง้ บาปอกุศลธรรมที่ยังไมเ่ กดิ ไม่ใหเ้ กดิ ข้นึ )
๒. ปหานปธาน คอื เพยี รละบาปอกุศลทเี่ กิดขึ้นแลว้
๓. ภาวนาปธาน คอื เพยี รเจรญิ หรอื ทำกศุ ลธรรมที่ยงั ไมเ่ กดิ ให้เกิดขึน้
๔. อนุรักขนาปธาน คือ เพยี รรักษากุศลธรรมทเ่ี กิดขึน้ แล้วไม่ให้เส่ือมไปและทำให้เพ่ิมไพบูลย์ (พ.ศ. หน้า
๑๔๙)
ปปัญจธรรม ๓ กิเลสเครื่องเนิ่นช้า กิเลสที่เป็นตัวการทำให้คิดปรุงแต่งยึดเย้ือพิสดาร ทำให้เขาห่างออกไปจาก
ความเป็นจรงิ ง่าย ๆ เปดิ เผย กอ่ ให้เกดิ ปญั หาตา่ ง ๆ และขัดขวางไมใ่ หเ้ ข้าถงึ ความจรงิ หรือทำให้ไม่อาจ
แก้ปญั หาอยา่ งถกู ทางตรงไปตรงมา มี ๓ อยา่ ง คือ
๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก ความปรารถนาทีจ่ ะบำรุงบำเรอ ปรนเปรอตน ความยากไดอ้ ยากเอา)
๒. ทิฏฐิ (ความคดิ เหน็ ความเช่อื ถอื ลักธิ ทฤษฎี อดุ มการณต์ ่าง ๆ ทีย่ ดึ ถือไว้โดยงมงายหรือโดยอาการ
เชดิ ชูวา่ อยา่ งน้ีเทา่ นนั้ จรงิ อย่างอ่ืนเท็จทง้ั นนั้ เป็นต้น ทำใหป้ ดิ ตวั แคบ ไม่ยอมรบั ฟังใคร ตัดโอกาสท่ีจะ
เจริญปัญญา หรือคดิ เตลิดไปข้างเดียว ตลอดจนเป็นเหตุแห่งการเบียดเบยี นบบี คนั้ ผู้อื่นที่ไม่ถืออย่างตน
ความยึดติดในทฤษฎี ฯลฯ คอื ความคดิ เหน็ เปน็ ความจรงิ )
๓. มานะ (ความถอื ตวั ความสำคัญตนว่าเปน็ นัน่ เป็นนี่ ถือสงู ถือต่ำ ยิ่งใหญ่เทา่ เทียมหรือด้อยกว่าผู้อื่น
ความอยากเดน่ อยากยกชตู นใหย้ ิง่ ใหญ่) (พ.ธ. หนา้ ๑๑๑)
ปฏิเวธ เข้าใจตลอด แทงตลอด ตรัสรู้ รทู้ ะลปุ รโุ ปรง่ ลลุ ่วงดว้ ยการปฏิบัติ (พ.ศ. หน้า ๑๔๕)
ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรม คือ ผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน(พ.ธ.
หน้า ๑๒๕)
ปญั ญา ๓ ความรอบรู้ เข้าใจ รู้ซึง้ มี ๓ อยา่ ง คือ
๑. สุตมยปัญญา (ปัญญาเกิดแต่การสดบั การเลา่ เร่ือง)
๒. จินตามนปัญญา (ปญั ญาเกดิ แตก่ ารคิด การพจิ ารณาหาเหตุผล)
๓. ภาวนามยปญั ญา (ปญั ญาเกิด แต่การฝึกอบรมลงมอื ปฏบิ ัต)ิ (พ.ธ. หนา้ ๑๑๓)
ปัญญาวุฒิธรรม ธรรมเป็นเครื่องเจริญปัญญา คุณธรรมที่ก่อให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งปัญญา
๑. สปั ปุรสิ สังเสวะ คบหาสัตบรุ ุษ เสวนาทา่ นผู้ทรง
๒. สทั ธมั มสั สวนะ ฟงั สัทธรรม เอาใจใส่ เลา่ เรียนหาความร้จู รงิ
๓. โยนโิ สมนสิการ ทำในใจโดยแยบคาย คิดหาเหตผุ ลโดยถูกวิธี
๔. ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมถูกต้องตามหลัก คือ ให้สอดคล้องพอดี ขอบเขตความหมาย และ
วัตถุประสงค์ทีส่ ัมพันธ์กับธรรมข้ออื่น ๆ นำสิ่งที่ไดเ้ ล่าเรียนและตริตรองเห็นแลว้ ไปใช้ปฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ ง
ตามความมุ่งหมายของสง่ิ นน้ั ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๒ – ๑๖๓)
ปาปณกิ ธรรม ๓ หลกั พอ่ คา้ องค์คณุ ของพอ่ ค้ามี ๓ อยา่ ง คือ
๑. จกั ขมุ า ตาดี (รู้จกั สินค้า) ดูของเปน็ สามารถคำนวณราคา กะทุน เก็งกำไร แมน่ ยำ
๒. วธิ ูโร จัดเจนธุรกิจ (รแู้ หล่งซอ้ื ขาย รู้ความเคลอ่ื นไหวความต้องการของตลาด สามารถในการจัดซ้ือจัด
จำหน่าย ร้ใู จและรจู้ ักเอาใจลกู คา้ )
๓. นิสสยสัมปันโน พร้อมด้วยแหล่งทุนอาศัย (เป็นที่เชื่อถือไว้วางในในหมู่แหล่งทุนใหญ่ ๆ หาเงินมา
ลงทุนหรอื ดำเนินกิจการโดยง่าย ๆ) (พ.ธ. หน้า ๑๑๔)
ผสั สะ หรอื สมั ผัส การถูกตอ้ ง การกระทบ ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวญิ ญาณ
มี ๖ คือ
๑. จักขสุ มั ผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รปู + จกั ขุ - วิญญาณ)
๒. โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู คอื หู + เสียง + โสตวิญญาณ)
๓. ฆานสมั ผัส (ความกระทบทางจมกู คือ จมูก + กลิน่ + ฆานวิญญาณ)
๔. ชวิ หาสมั ผัส (ความกระทบทางล้ิน คือ ล้นิ + รส + ชิวหาวิญญาณ)
๕. กายสมั ผัส (ความกระทบทางกาย คอื กาย + โผฏฐพั พะ + กายวิญญาณ)
๖. มโนสมั ผสั (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวญิ ญาณ) (พ.ธ. หน้า ๒๓๓)
ผวู้ ิเศษ หมายถงึ ผสู้ ำเร็จ ผู้มีวิทยากร (พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕)
พระธรรม คำสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้าทัง้ หลักความจริงและหลกั ความประพฤติ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓)
พระอนุพุทธะ ผู้ตรัสรู้ตาม คือ ตรัสรู้ด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน(พ.ศ.
หนา้ ๓๗๔)
พระปจั เจกพุทธะ พระพทุ ธเจ้าประเภทหนึ่ง ซ่ึงตรัสรู้เฉพาะตวั มไิ ดส้ ่ังสอนผอู้ น่ื (พ.ศ. หนา้ ๑๖๒)
พระพทุ ธคุณ ๙ คุณของพระพุทธเจา้ ๙ ประการ ไดแ้ ก่
๑. อรหํ เป็นผ้ไู กลจากกเิ ลส
๒. สมมฺ าสมั ฺพุทโฺ ธ เป็นผูต้ รสั รชู้ อบได้โดยพระองคเ์ อง
๓. วชิ ฺชาจรณสมฺปนโฺ น เป็นผู้ถงึ พรอ้ มด้วยวิชชาและ จรณะ
๔. สุคโต เป็นผเู้ สดจ็ ไปแลว้ ดว้ ยดี
๕. โลกวิทู เปน็ ผู้รโู้ ลกอย่างแจ่มแจ้ง
๖. อนุตฺตโร ปุรสิ ทมมฺ สารถิ เปน็ ผู้สามารถฝกึ บุรษุ ทสี่ มควรฝึกได้อย่างไมม่ ใี ครย่งิ กว่า
๗. สตถฺ า เทวมนสุ ฺสานํ เปน็ ครผู ู้สอนเทวดาและมนษุ ย์ทัง้ หลาย
๘. พุทฺโธ เป็นผูร้ ู้ ผู้ต่นื ผู้เบกิ บาน
๙. ภควา เป็นผู้มโี ชค มคี วามเจริญ จำแนกธรรมสัง่ สอนสตั ว์ (พ.ศ. หน้า ๑๙๑)
พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้โดยชอบแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้
ประพฤตชิ อบดว้ ยกาย วาจา ใจ (พ.ศ. หนา้ ๑๘๓)
พระภกิ ษุ ชายผูไ้ ดอ้ ุปสมบทแล้ว ชายที่บวชเป็นพระ พระผู้ชาย แปลตามรูปศพั ทว์ ่า ผ้ขู อหรือผู้มองเห็นภัยใน
สังขารหรือผู้ทำลายกิเลส ดูบริษัท ๔ สหธรรมิก บรรพชิต อุปสัมบัน ภิกษุสาวกรูปแรก ได้แก่
พระอญั ญาโกณฑัญญะ (พ.ศ. หนา้ ๒๐๔)
พระรัตนตรยั รัตนะ ๓ แก้วอันประเสริฐ หรือสิ่งล้ำค่า ๓ ประการ หลักที่เคารพบูชาสูงสุดของ
พทุ ธศาสนกิ ชน ๓ อย่าง คอื
๑. พระพุทธเจ้า (พระผู้ตรสั รเู้ อง และสอนให้ผอู้ ่ืนรู้ตาม)
๒.พระธรรม (คำส่งั สอนของพระพุทธเจ้า ทัง้ หลกั ความจรงิ และหลกั ความประพฤติ)
๓. พระสงฆ์ (หมสู่ าวกผู้ปฏบิ ัตติ ามคำสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ) (พ.ธ.หนา้ ๑๑๖)
พระสงฆ์ หมชู่ นทีฟ่ ังคำส่งั สอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบตั ิชอบตามพระธรรมวินยั หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า
(พ.ศ. หน้า ๑๘๕)
พระสมั มาสัมพุทธเจ้า หมายถึง ท่านผ้ตู รสั รเู้ อง และสอนผู้อื่นใหร้ ู้ตาม (พ.ศ. หน้า ๑๘๙)
พระอนุพุทธะ หมายถึง ผู้ตรัสร้ตู าม คือ ตรัสรดู ว้ ยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง
สอน ไดแ้ ก่ พระอรหันต์สาวกทั้งหลาย (พ.ศ. หน้า ๓๗๔)
พระอรยิ บุคคล หมายถงึ บคุ คลผู้เปน็ อริยะ ท่านผู้บรรลุธรรมวิเศษ มโี สดาปัตติผล เป็นต้น มี ๔ คือ
๑. พระโสดาบนั
๒. พระสกทาคามี (หรือสกทิ าคามี)
๓. พระอนาคามี
๔. พระอรหันต์
แบง่ พสิ ดารเป็น ๘ คือ
พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค และพระผู้ต้ังอยู่ในโสดาปัตตผิ ลคู่ ๑
พระผ้ตู ้งั อยู่ในสกทาคามมิ รรค และพระผตู้ ้ังอยู่ในสกทาคามีผลคู่ ๑
พระผตู้ ัง้ อยู่ในอนาคามมิ รรค และพระผตู้ งั้ อยูใ่ นอนาคามิผลคู่ ๑
พระผ้ตู ั้งอยใู่ นอรหัตตมรรค และพระผ้ตู ั้งอยใู่ นอรหตั ตผลคู่ ๑ (พ.ศ. หน้า ๓๘๖)
พราหมณ์ หมายถึง คนวรรณะหนึ่งใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณ์เป็นวรรณะ
นักบวชและเปน็ เจ้าพธิ ี ถือตนวา่ เปน็ วรรณะสูงสุด เกดิ จากปากพระพรหม (พ.ศ. หน้า ๑๘๕)
พละ ๔ กำลงั พละ ๔ คือ ธรรมอนั เป็นพลงั ทำใหด้ ำเนินชวี ติ ดว้ ยความมนั่ ใจ ไมต่ อ้ งหวาดหวัน่ ภัย ต่าง
ๆ ได้แก่
๑. ปัญญาพละ กำลงั คอื ปญั ญา
๒. วิริยพละ กำลังคือความเพยี ร
๓. อนวชั ชพละ กำลงั คือการกระทำท่ีไมม่ ีโทษ
๔. สังคหพละ กำลงั การสงั เคราะห์ คือ เกอื้ กูลอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื ไดด้ ี (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖)
พละ ๕ พละ กำลัง พละ ๕ คือ ธรรมอันเป็นกำลัง ซึ่งเป็นเครื่องเกื้อหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจำพวก
โพธปิ ักขิยธรรม มี ๕ คือ สัทธา วิรยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖)
พุทธกิจ ๕ พระพทุ ธองค์ทรงบำเพญ็ พุทธกิจ ๕ ประการ คือ
๑. ปุพพฺ ณฺเห ปณิ ฑฺ ปาตญจฺ ตอนเช้าเสด็จออกบณิ ฑบาต เพอื่ โปรดสตั ว์ โดยการสนทนาธรรมหรอื การ
แสดงหลักธรรมใหเ้ ขา้ ใจ
๒. สายณฺเห ธมมฺ เทสนํ ตอนเย็น แสดงธรรมแกป่ ระชาชนท่ีมาเฝ้าบริเวณที่ประทับ
๓. ปโทเส ภิกฺขโุ อวาทํ ตอนคำ่ แสดงโอวาทแก่พระสงฆ์
๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ ตอนเที่ยงคืนทรงตอบปัญหาแก่พวกเทวดา
๕. ปจฺจูเสว คเต กาเล ภพฺพาภพเฺ พ วิโลกนํ ตอนเช้ามืด จวนสวา่ ง ทรงตรวจพิจารณาสตั วโ์ ลกว่าผู้ใดมี
อปุ นิสยั ทจ่ี ะบรรลุธรรมได้ (พ.ศ. หน้า ๑๘๙ - ๑๙๐)
พทุ ธคณุ คุณของพระพทุ ธเจ้า คือ
๑. ปญํ ญาคณุ (พระคณุ คือ ปญั ญา)
๒. วิสทุ ธิคุณ (พระคุณ คือ ความบริสทุ ธิ)์
๓. กรุณาคุณ (พระคุณ คอื พระมหากรณุ า) (พ.ศ. หนา้ ๑๙๑)
ภพ โลกเป็นทอี่ ยู่ของสัตว์ ภาวะชวี ิตของสัตว์ มี ๓ คอื
๑. กามภพ ภพของผยู้ ังเสวยกามคณุ
๒. รปู ภพ ภพของผู้เขา้ ถงึ รปู ฌาน
๓. อรปู ภพ ภพของผ้เู ข้าถึงอรปู ฌาน (พ.ศ. หนา้ ๑๙๘)
ภาวนา ๔ การเจรญิ การทำให้มขี ้นึ การฝกึ อบรม การพัฒนา แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ไดแ้ ก่
๑. กายภาวนา
๒. สลี ภาวนา
๓. จิตตภาวนา
๔. ปัญญาภาวนา (พ.ธ. หน้า ๘๑ – ๘๒)
ภูมิ ๓๑ ๑.พ้นื เพ พนื้ ชัน้ ท่ดี นิ แผ่นดนิ
๒. ช้นั แหง่ จิต ระดับจติ ใจ ระดบั ชวี ติ มี ๓๑ ภมู ิ ไดแ้ ก่ อบายภูมิ ๔ (ภูมิทปี่ ราศจากความเจริญ)
- นิรยะ (นรก)
– ติรจั ฉานโยนิ (กำเนิดดิรัจฉาน)
– ปิตตวิ ิสัย (แดนเปรต)
- อสรุ กาย (พวกอสรู )
กามสุคติภมู ิ ๗ (กามาวจรภูมทิ ี่เปน็ สคุ ติ ภูมทิ เี่ ป็นสคุ ติซ่ึงยังเกยี่ วข้องกับกาม)
- มนุษย์ (ชาวมนษุ ย์)
– จาตุมหาราชกิ า (สวรรคช์ ั้นท่ีทา้ วมหาราช ๔ ปกครอง)
- ดาวดงึ ส์ (แดนแห่งเทพ ๓๓ มีท้าวสักกะเป็นใหญ่)
-ยามา (แดนแหง่ เทพผปู้ ราศจากความทุกข)์
- ดุสิต (แดนแห่งผูเ้ อบิ อม่ิ ด้วยสริ สิ มบัติของตน)
- นิมมานรดี (แดนแห่งเทพผยู้ นิ ดีในการเนรมิต)
- ปรนิมมิตวสวัตตี (แดนแห่งเทพผู้ยังอำนาจให้เป็นไปในสมบตั ิที่ผู้อื่นนิรมิตให้) (พ.ธ. หน้า
๓๑๖-๓๑๗)
โภคอาทิยะ ๕ ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์ ในการที่จะมีหรือเหตุผลในการที่จะมีหรือครอบครองโภค
ทรพั ย์
๑. เลยี้ งตวั มารดา บิดา บตุ ร ภรรยา และคนในปกครองท้ังหลายให้เป็นสขุ
๒. บำรงุ มิตรสหายและร่วมกิจกรรมการงานให้เปน็ สขุ
๓. ใชป้ ้องกันภยนั ตราย
๔. ทำพลี คือ ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ อติถิพลี ต้อนรับแขก ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ล่วงลับ ราช
พลี บำรงุ ราชการ เสยี ภาษี เทวตาพลี สักการะบำรงุ ส่ิงท่ีเช่อื ถือ
๕. อปุ ถัมภ์บำรุงสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤตชิ อบ (พ.ธ. หนา้ ๒๐๒ -๒๐๓)
มงคล ส่ิงท่ที ำให้มีโชคดีตามหลกั พระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมทีน่ ำมาซ่ึงความสุข ความเจรญิ มงคล ๓๘
ประการ หรือ เรยี กเต็มว่า อดุ มมงคล (มงคลอันสูงสุด) ๓๘ ประการ (ดูรายละเอยี ดมงคลสูตร) (พ.ศ.
หนา้ ๒๑๑)
มิจฉาวณชิ ชา ๕ การคา้ ขายท่ีผดิ ศีลธรรมไมช่ อบธรรม มี ๕ ประการ คือ
๑. สตั ถวณิชชา ค้าอาวุธ
๒. สัตตวณชิ ชา ค้ามนุษย์
๓. มังสวณชิ ชา เลย้ี งสตั ว์ไวข้ ายเนอ้ื
๔. มัชชวณิชชา ค้าขายน้ำเมา
๕. วิสวณชิ ชา คา้ ขายยาพิษ (พ.ศ. หนา้ ๒๓๓)
มรรคมอี งค์ ๘ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ ึงความดับทุกข์ เรยี กเต็มว่า “อรยิ อัฏฐงั คิกมรรค” ไดแ้ ก่
๑. สัมมาทฎิ ฐิ เห็นชอบ
๒. สัมมาสงั กัปปะ ดำริชอบ
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
๔. สมั มากัมมนั ตะ ทำการชอบ
๕. สัมมาอาชีวะ เลีย้ งชพี ชอบ
๖. สมั มาวายามะ เพียรชอบ
๗.สัมมาสติ ระลกึ ชอบ
๘. สัมมาสมาธิ ตง้ั จิตมน่ั ชอบ (พ.ศ. หนา้ ๒๑๕)
มจิ ฉัตตะ ๑๐ ภาวะทผี่ ดิ ความเปน็ สิ่งท่ีผดิ ไดแ้ ก่
๑. มิจฉทิฏฐิ (เห็นผิด ได้แก่ ความเห็นผิดจากคลองธรรมตามหลักกุศลกรรมบถ และความเห็นที่ไม่
นำไปสู่ความพน้ ทุกข)์
๒. มจิ ฉาสงั กัปปะ (ดำริผิด ได้แก่ ความดำรทิ ่ีเป็นอกศุ ลทัง้ หลาย ตรงขา้ มจากสัมมาสงั กัปปะ)
๓. มจิ ฉาวาจา (วาจาผิด ได้แก่ วจที ุจรติ ๔)
๔. มจิ ฉากมั มนั ตะ (กระทำผิด ได้แก่ กายทจุ ริต ๓)
๕. มิจฉาอาชวี ะ (เลีย้ งชีพผิด ไดแ้ ก่ เลี้ยงชพี ในทางทุจรติ )
๖. มิจฉาวายามะ (พยายามผิด ไดแ้ ก่ ความเพยี รตรงข้ามกับสมั มาวายามะ)
๗. มิจฉาสติ (ระลึกผิด ได้แก่ ความระลึกถงึ เร่ืองราวที่ลว่ งแล้ว เช่น ระลึกถึงการไดท้ รัพย์ การได้ยศ
เป็นตน้ ในทางอกุศล อันจดั เป็นสติเทียม) เปน็ เหตชุ ักนำใจใหเ้ กิดกิเลส มโี ลภะ มานะ อสสา มจั ฉริยะ
เป็นตน้
๘. มิจฉาสมาธิ (ตั้งใจผิด ได้แก่ ตั้งจิตเพ่งเล็ง จดจ่อปักใจแน่วแน่ในกามราคะพยาบาท เป็นต้น หรือ
เจริญสมาธิแลว้ หลงเพลนิ ติดหมกมนุ่ ตลอดจนนำไปใช้ผิดทาง ไมเ่ ปน็ ไปเพื่อญาณทัสสนะ และความ
หลดุ พ้น)
๙. มิจฉาญาณ (รู้ผิด ได้แก่ ความหลงผิดที่แสดงออกในการคิดอุบายทำความชั่วและในการพิจารณา
ทบทวน วา่ ความช่วั น้นั ๆ ตนกระทำได้อย่างดแี ล้ว เป็นต้น)
๑๐. มจิ ฉาวิมตุ ติ (พน้ ผดิ ไดแ้ ก่ ยังไม่ถงึ วิมตุ ติ สำคญั วา่ ถงึ วิมตุ ติ หรอื สำคญั ผดิ ในสิ่งที่มิใช่วิมุตติ) (พ.ธ.
หน้า ๓๒๒)
มติ รปฏริ ปู คนเทยี มมติ ร มิตรเทียม มใิ ชม่ ิตรแท้ มี ๔ พวก ไดแ้ ก่
๑. คนปอกลอก มลี กั ษณะ ๔ คอื
๑.๑ คิดเอาได้ฝา่ ยเดยี ว
๑.๒ ยอมเสยี แตน่ อ้ ยโดยหวังจะเอาใหม้ าก
๑.๓ ตัวเองมภี ัย จึงมาทำกจิ ของเพอ่ื น
๑.๔ คบเพอ่ื นเพราะ เห็นแกป่ ระโยชน์ของตวั
๒. คนดแี ตพ่ ูด มีลกั ษณะ ๔ คือ
๒.๑ ดแี ต่ยกเรอื่ งท่ีผ่านมาแล้วมาปราศรยั
๒.๒ ดีแต่อา้ งสิ่งที่ยงั มดี ี แตอ่ า้ งสง่ิ ท่ยี งั ไมม่ มี าปราศรัย
๒.๓ สงเคราะหด์ ว้ ยสิ่งที่ไรป้ ระโยชน์
๒.๔ เมอ่ื เพ่อื นมกี ิจอา้ งแต่เหตุขดั ข้อง
๓. คนหัวประจบมีลักษณะ ๔ คือ
๓.๑ จะทำชั่วกค็ ล้อยตาม
๓.๒ จะทำดกี ็คลอ้ ยตาม
๓.๓ ตอ่ หน้าสรรเสรญิ
๓.๔ ลบั หลงั นนิ ทา
๔. คนชวนฉิบหายมลี กั ษณะ ๔
๔.๑ คอยเปน็ เพอ่ื นดื่มน้ำเมา
๔.๒ คอยเป็นเพือ่ นเทีย่ วกลางคนื
๔.๓ คอยเปน็ เพื่อนเที่ยวดูการเลน่
๔.๔ คอยเปน็ เพือ่ นไปเล่นการพนนั (พ.ธ. หน้า ๑๕๔ – ๑๕๕)
มิตรน้ำใจ ๑. เพื่อนมที กุ ข์พลอยทุกขด์ ้วย
๒. เพ่อื นมีสุขพลอยดีใจ
๓. เขาตเิ ตียนเพอ่ื น ช่วยยับย้งั แก้ไขให้
๔. เขาสรรเสริญเพอ่ื น ชว่ ยพูดเสรมิ สนบั สนนุ (พ.ศ. หน้า ๒๓๔)
รปู ๑. สิ่งที่ต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่าง ๆ อันขัดแย้ง สิ่งที่เป็นรูปร่างพร้อมทั้งลกั ษณะ อาการของมนั
ส่วนรา่ งกาย จำแนกเปน็ ๒๘ คือ มหาภูตรปู หรอื ธาตุ ๔ และอปุ าทายรูป
๒. อารมณท์ ่ีรไู้ ดด้ ว้ ยจกั ษุ สงิ่ ทปี่ รากฏแก่ตา ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรืออายตนะภายนอก
๓. ลกั ษณนามใช้เรยี กพระภิกษุสามเณร เชน่ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ (พ.ศ. หนา้ ๒๕๓)
วัฏฏะ ๓ หรือไตรวัฎฎ์ การวนเวียน การเวียนเกิด เวียนตาย การเวียนว่ายตายเกิด ความเวียนเกิด หรือ
วนเวียนด้วยอำนาจกิเลส กรรม และวิบาก เช่น กิเลสเกิดขึ้นแล้วให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้วย่อม
ได้ผลของกรรม เมื่อได้รับผลของกรรมแล้ว กิเลสก็เกิดอีกแล้ว ทำกรรมแล้วเสวยผลกรรมหมุนเวียน
ตอ่ ไป (พ.ธ. หน้า ๒๖๖)
วาสนา อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สัง่ สมอบรมมาเป็น
เวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาท่ี
เคยชนิ ไม่ได้ เชน่ คำพดู ติดปาก อาการเดินทีเ่ ร็วหรือเดินตว้ มเต้ยี ม เป็นต้น ท่านขยายความว่า วาสนา
ทเ่ี ปน็ กศุ ลก็มี เปน็ อกศุ ลก็มี เปน็ อพั ยากฤต คอื เปน็ กลาง ๆ ไม่ดีไมช่ ั่วก็มี ท่ีเป็นกศุ ลกบั อพั ยากฤตนั้น
ไม่ต้องละ แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับ
สว่ นทเ่ี ป็นเหตใุ หเ้ กิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ตา่ ง ๆ ส่วนแรก พระอรหนั ต์ทุกองคล์ ะได้
แตส่ ว่ นหลงั พระพุทธเจ้าเท่าน้นั ละได้ พระอรหันตอ์ ื่นละไมไ่ ด้ จงึ มคี ำกล่าววา่ พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลส
ทงั้ หมดได้ พร้อมทง้ั วาสนา; ในภาษาไทย คำว่าวาสนามีความหมายเพ้ยี นไป กลายเป็นอำนาจบุญเก่า
หรือกุศลท่ีทำให้ได้รับลาภยศ (ไม่มีใน พ.ศ. ฉบับที่พิมพเ์ ป็นเล่ม แต่ค้นได้จากแผ่นซีดีรอม พ.ศ. ของ
สมาคมศษิ ย์เก่ามหาจฬุ าฯ)
วิตก ความตรกึ ตริ กายยกจติ ขึน้ สอู่ ารมณ์ การคิด ความดำริ “ไทยใชว้ ่าเปน็ หว่ งกังวล” แบง่ ออกเป็นกุศลวิตก ๓
และอกศุ ลวติ ก ๓ (พ.ศ. หนา้ ๒๗๓)
วิบัติ ๔ ความบกพรอ่ งแหง่ องค์ประกอบต่าง ๆ ซงึ่ ไมอ่ ำนวยแกก่ ารทก่ี รรมดีจะปรากฏผล แต่กลับเปิดช่องให้
กรรมชว่ั แสดงผล พดู สัน้ ๆ วา่ ส่วนประกอบบกพรอ่ ง เปดิ ช่องใหก้ รรมชว่ั วบิ ัติมี ๔ คือ
๑. คติวบิ ัติ วิบัตแิ ห่งคติ หรือคติเสีย คือเกิดอยูใ่ นภพ ภมู ิ ถิน่ ประเทศ สภาพแวดลอ้ มทไี่ มเ่ หมาะ ไม่
เกอื้ กลู ทางดำเนนิ ชีวิต ถ่ินท่ีไปไมอ่ ำนวย
๒. อุปธิวิบัติ วิบัติแห่งร่างกาย หรือ รูปกายเสีย เช่น ร่างกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม กิริยา
ท่าทางนา่ เกลียด ไมช่ วนชมตลอดจนสุขภาพท่ีไมด่ ี เจบ็ ปว่ ย มีโรคมาก
๓. กาลวบิ ตั ิ วบิ ตั ิแหง่ กาลหรอื หรือกาลเสีย คือเกิดอยูใ่ นยคุ สมยั ทบ่ี ้านเมืองมีภยั พิบัตไิ ม่สงบเรียบร้อย
ผู้ปกครองไมด่ ี สังคมเสื่อมจากศีลธรรม มากด้วยการเบียดเบียน ยกย่องคนชัว่ บีบคั้นคนดี ตลอดจน
ทำอะไรไม่ถกู าลเวลา ไมถ่ ูกจังหวะ ๔. ปโยควิบตั ิ วิบัตแิ หง่ การประกอบ หรอื กจิ การเสีย เช่น ฝกั ใฝ่ใน
กิจการหรือเร่ืองราวที่ผิด ทำการไมต่ รงตามความถนัด ความสามารถ ใชค้ วามเพยี รไมถ่ ูกต้อง ทำการ
คร่ึง ๆ กลาง ๆ เปน็ ตน้ (พ.ธ. หน้า ๑๖๐- ๑๖๑)
วิปัสสนาญาณ ๙ ญาณในวิปัสสนา ญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา เป็นความรู้ที่ทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจ
สภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเปน็ จริง ไดแ้ ก่
๑. อทุ ยัพพยานปุ สั สนาณาณ คอื ญาณอันตามเห็นความเกดิ และดับของเบญจขนั ธ์
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันตามเห็นความสลาย เมื่อเกิดดับก็คำนึงเด่นชัด ในส่วนดับของ
สงั ขารทง้ั หลาย ตอ้ งแตกสลายทัง้ หมด
๓. ภยตูปฏั ฐานญาณ คือ ณาณอันมองเห็นสงั ขาร ปรากฏเป็นของน่ากลวั
๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงเห็นโทษของสังขารทั้งหลาย ว่าเป็นโทษบกพร่องเปน็
ทกุ ข์
๕. นพิ พิทานุปสั สนาญาณ คอื ญาณอันคำนึงเห็นความหน่ายของสงั ขาร ไมเ่ พลนิ เพลิน ตดิ ใจ
๖. มญุ จติ กุ ัมยตาญาณ คือ ญาณอันคำนงึ ด้วยใครพ่ น้ ไปเสีย คือ หนา่ ยสงั ขารทงั้ หลาย ปรารถนาท่ีจะ
พน้ ไปเสีย
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง เมื่อต้องการจะพ้นไปเสยี เพื่อมองหา
อุบายจะปลดเปลื้องออกไป
๘. สงั ขารเุ ปกขาณาณ คอื ญาณอนั เป็นไปโดยความเปน็ กลางต่อสังขาร คือ พจิ ารณาสงั ขารไมย่ นิ ดียิน
รา้ ยในสังขารทั้งหลาย
๙. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ คือ ณาณอันเป็นไปโดยอนุโลกแก่การหยั่งรู้อริยสจั แล้วแล้ว
มรรคญาณใหส้ ำเรจ็ ความเปน็ อริยบคุ คลต่อไป (พ.ศ. หน้า ๒๗๖ – ๒๗๗)
วิมตุ ติ ๕ ความหลดุ พ้น ภาวะไร้กเิ ลส และไมม่ ที ุกข์ มี ๕ ประการ คือ
๑. วิกขมั ภนวมิ ุตติ ดับโดยข่มไว้ คือ ดับกิเลส
๒. ตทงั ควิมตุ ติ ดับกเิ ลสดว้ ยธรรมทเ่ี ป็นคปู่ รบั ธรรมที่ตรงกันข้าม
๓. สมุจเฉทวมิ ุตตดิ บั ดว้ ยตดั ขาด ดับกเิ ลสเสรจ็ สน้ิ เดด็ ขาด
๔. ปฏปิ ัสสัทธิวิมุตติ ดับด้วยสงบระงับ โดยอาศยั โลกุตตรมรรคดบั กิเลส
๕. นสิ รณวิมุตติ ดบั ด้วยสงบระงบั คือ อาศัยโลกุตตรธรรมดับกิเลสเด็ดขาดเสร็จส้ิน (พ.ธ. หนา้ ๑๙๔)
โลกบาลธรรม ธรรมคมุ้ ครองโลก ไดแ้ ก่ ปกครองควบคมุ ใจมนุษยไ์ ว้ใหอ้ ยู่ในความดี มิใหล้ ะเมดิ ศลี ธรรม และ
ใหอ้ ยกู่ ันดว้ ยความเรยี บรอ้ ยสงบสุข ไม่เดอื ดรอ้ นสบั สนวุน่ วาย มี ๒ อย่างไดแ้ ก่
๑. หริ ิ ความอายบาป ละอายใจตอ่ การทำความชว่ั
๒. โอตตปั ปะ ความกลัวบาปเกรงกลัวตอ่ ความชวั่ และผลของกรรมชวั่ (พ.ศ. หนา้ ๒๖๐)
ฤาษี หมายถึง ผู้แสวงธรรม ได้แก่ นักบวชนอกพระศาสนาซึ่งอยู่ในป่า ชีไพร ผู้แต่งคัมภีร์พระเวท
(พ.ศ. หน้า ๒๕๖)
สติปัฏฐาน ๔ ที่ตั้งของสติ การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รูเ้ ห็นตามความเป็นจริง คือ ตามสิ่งนั้น ๆ
มันเปน็ ของมนั เอง มี ๔ ประการ คอื
๑. กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน (การตง้ั สติกำหนดพิจารณากายใหร้ ูเ้ ห็นตามเปน็ จริงว่า เปน็ แตเ่ พยี งกาย
ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา) ท่านจำแนกวิธีปฏิบัติได้หลายอย่าง คือ อานาปานสติ กำหนดลม
หายใจ ๑ อิริยาบถ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ ๑) สัมปชัญญะ สร้างสัมปชัญญะในการกระทำความ
เคลอ่ื นไหวทกุ อยา่ ง ๑) ปฏิกลู มนสกิ าร พจิ ารณาส่วนประกอบอนั ไมส่ ะอาดท้งั หลายท่ปี ระชุมเข้าเป็น
ร่างกายนี้ ๑) ธาตมุ นสกิ าร พิจารณาเห็นร่างกายของตน โดยสกั ว่าเป็นธาตแุ ตล่ ะอย่างๆ
๒. เวทนานุปัสสาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาใหร้ ู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียง
เวทนา ไม่ใช่สตั วบ์ ุคคลตัวตนเราเขา) คอื มีสติรชู้ ัดเวทนาอันเปน็ สุขกด็ ี ทุกข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ทั้งท่ีเป็น
สามสิ และเปน็ นิรามสิ ตามทเี่ ปน็ ไปอย่ขู ณะน้ัน ๆ
๓. จิตตานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน (การตั้งสติกำหนดพจิ ารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงจิต
ไมใ่ ชส่ ัตว์บคุ คลตวั ตนเราเขา) คอื มสี ติรชู้ ัดจิตของตนทมี่ รี าคะ ไม่มรี าคะ มีโทสะ ไม่มโี ทสะ มีโมหะ
ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไร ๆ ตามที่เป็นไปอยู่ใน
ขณะนัน้ ๆ
๔. ธมั มานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน (การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รเู้ หน็ ตามเปน็ จรงิ ว่า เป็นแต่เพียง
ธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนของเรา) คือ มีสติรู้ชัดธรรมทั้งหลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ
๑๒ โพชฌงค์ ๗ อรยิ สัจ ๔ วา่ คืออะไร เปน็ อย่างไร มใี นตนหรือไม่ เกิดขน้ึ เจริญบริบูรณ์และดับได้
อย่างไร เป็นต้น ตามทเ่ี ป็นจรงิ ของมนั อย่างน้ัน ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๖๕)
สมณะ หมายถึง ผู้สงบ หมายถึงนักบวชทัว่ ไป แต่ในพระพุทธศาสนา ท่านให้ความหมายจำเพาะ หมายถึงผู้
ระดับบาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผู้ปฏิบัติเพื่อระงับบาป ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระ
อริยบุคคล (พ.ศ. หน้า ๒๙๙)
สมบัติ ๔ คือ ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งช่วยเสริมส่งอำนวยโอกาสให้กรรมดี
ปรากฏผล และไมเ่ ปดิ ชอ่ งให้กรรมชัว่ แสดงผล มี ๔ อย่าง คือ
๑. คติสมบัติ สมบัติแห่งคติ ถึงพร้อมด้วยคติ หรือคติให้ คือ เกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศที่เจริญ
เหมาะหรือเกื้อกลู ตลอดจนในระยะสนั้ คอื ดำเนนิ ชีวติ หรือไปในถน่ิ ท่ีอำนวย
๒. อุปธิสมบัติ สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยร่างกาย คือมีรูปร่างสวย ร่างกายสง่างาม หน้าตา
ทา่ ทางดี นา่ รกั น่านิยมเลือ่ มใส สุขภาพดี แข็งแรง
๓. กาลสมบตั ิ สมบตั แิ หง่ กาล ถงึ พร้อมด้วยกาลหรอื กาลให้ คอื เกิดอยู่ในสมยั ทีบ่ ้านเมืองมีความสงบ
สขุ ผู้ปกครองดี ผูค้ นมีคุณธรรมยกยอ่ งคนดี ไม่ส่งเสรมิ คนชว่ั ตลอดจนในระยะเวลาสน้ั คือ ทำอะไร
ถูกกาลเวลา ถกู จงั หวะ
๔. ปโยคสมบัติ สมบัติแห่งการประกอบ ถึงพรอ้ มด้วยการประกอบกิจ หรือกจิ การให้ เชน่ ทำเรอื่ งตรง
กบั ทเ่ี ขาต้องการ ทำกจิ ตรงกับความถนัดความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูกหลักครบถ้วน ตาม
เกณฑ์หรือเต็มอัตรา ไม่ใช่ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือเหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเรื่องกัน รู้จักจัดทำ รู้จัก
ดำเนนิ การ (พ.ธ. หน้า ๑๖๑ – ๑๖๒)
สมาบัติ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพึ่งเข้าถงึ ; สมาบตั มิ ีหลายอย่าง เชน่ ณานสมบตั ิ ผลสมาบตั ิ อนปุ ุพพวหิ ารสมาบัติ
(พ.ศ. หน้า ๓๐๓)
สติ ความระลกึ ได้ นึกได้ ความไมเ่ ผลอ การคุมใจได้กบั กจิ หรอื คมุ จติ ใจไวก้ ับสิง่ ท่เี ก่ียวข้อง จำการทีทำ
และคำพูดแม้นานได้ (พ.ศ. หนา้ ๓๒๗)
สงั ฆคณุ ๙ คณุ ของพระสงฆ์
๑. พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ พี ระภาคเป็นผปู้ ฏบิ ตั ดิ ี
๒. เปน็ ผู้ปฏบิ ตั ิตรง
๓. เป็นผปู้ ฏิบัติถกู ทาง
๔. เป็นผูป้ ฏบิ ตั ิสมควร
๕. เปน็ ผู้ควรแก่การคำนับ คอื ควรกบั ของทเี่ ขานำมาถวาย
๖. เป็นผคู้ วรแกก่ ารตอนรบั
๗. เปน็ ผคู้ วรแกท่ กั ษณิ า ควรแก่ของทำบญุ
๘. เปน็ ผู้ควรแก่การกระทำอญั ชลี ควรแก่การกราบไหว้
๙. เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก เป็นแหล่งปลูกฝังและเผยแพร่ความดีที่ยอดเยี่ยมของโลก(พ.ธ.
หนา้ ๒๖๕-๒๖๖)
สังเวชนยี สถาน สถานท่ตี ง้ั แห่งความสังเวช ที่ทใี่ ห้เกิดความสังเวช มี ๔ คอื
๑. ที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือ อุทยานลุมพินี ปัจจุบันเรียกลุมพินีหรือรุมมินเด (Lumbini หรือ
Rummindei)
๒. ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ ควงโพธิ์ ที่ตำบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh – Gaya) ๓. ที่
พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา คอื ปา่ อิสปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ปัจจบุ นั เรยี กสารนาถ
๔. ทพี่ ระพทุ ธเจ้าปรนิ ิพพาน คอื ท่ีสาลวโนทยาน เมืองกุสนิ ารา หรือกสุ ินคร บัดนเ้ี รียกกาเซีย (Kasia
หรือ Kusinagara) (พ.ศ. หน้า ๓๑๗)
สันโดษ ความยินดี ความพอใจ ยินดีด้วยปจั จัย ๔ คือ ผ้านุ่งห่ม อาหารที่นอนที่นัง่ และยาตามมีตามได้ ยินดี
ของของตน การมีความสุข ความพอใจด้วยเครือ่ งเลี้ยงชีพท่ีหามาไดด้ ้วยเพียรพยายามอนั ชอบธรรม
ของตน ไมโ่ ลภ ไม่รษิ ยาใคร (พ.ศ. หนา้ ๓๒๔)
สนั โดษ ๓ ๑. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามท่ีได้ คอื ได้สิ่งใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจดว้ ยสิ่ง
นัน้ ไม่ได้เดือดรอ้ นเพราะของที่ไม่ได้ ไม่เพง่ เลง็ อยากได้ของคนอืน่ ไม่ริษยาเขา
๒. ยถาพลสนั โดษ คือ ยนิ ดีตามกำลัง คือ พอใจเพียงแคพ่ อแก่กำลังรา่ งกาย สุขภาพ
และขอบเขตการใชส้ อยของตน ของทเ่ี กินกำลังกไ็ ม่หวงแหนเสยี ดายไมเ่ ก็บไวใ้ ห้
เสียเปล่า หรอื ฝนื ใชใ้ ห้เป็นโทษแกต่ น
๓. ยถาสารุปปสนั โดษ ยนิ ดตี ามสมควร คือ พอใจตามทส่ี มควร คอื พอใจตามที่
สมควรแกภ่ าวะฐานะแนวทางชวี ิต และจดุ หมายแหง่ การบำเพญ็ กจิ ของตน เช่น
ภกิ ษพุ อใจแตอ่ งอนั เหมาะกับสมณภาวะ หรอื ไดข้ องใชท้ ่ีไม่เหมาะสมกับตนแต่จะมี
ประโยชน์แกผ่ ูอ้ ่นื กน็ ำไปมอบให้แกเ่ ขา เปน็ ต้น (พ.ศ. หนา้ ๓๒๔)
สทั ธรรม ๓ ธรรมอันดี ธรรมท่แี ท้ ธรรมของสัตบรุ ุษ หลักหรอื แก่นศาสนา มี ๓ ประการ ไดแ้ ก่
๑. ปริยตั ิสทั ธรรม (สทั ธรรมคือคำสงั่ สอนอันจะตอ้ งเลา่ เรยี น ได้แก่ พุทธพจน)์
๒. ปฏบิ ัตสิ ทั ธรรม (สทั ธรรมคอื สงิ่ พึงปฏบิ ัติ ได้แก่ ไตรสิกขา คอื ศลี สมาธิ ปัญญา)
๓. ปฏเิ วธสัทธรรม (สัทธรรมคือผลอันจะพึงเข้าถึง หรือบรรลุด้วยการปฏิบตั ิ ได้แก่
มรรค ผล และนพิ พาน (พ.ธ. หน้า ๑๒๕)
สัปปรุ ิสธรรม ๗ ธรรมของสัตบรุ ุษ ธรรมทที่ ำใหเ้ ปน็ สตั บรุ ุษ คณุ สมบตั ขิ องคนดี ธรรมของผูด้ ี
๑. ธัมมัญญุตา คอื ความรูจ้ กั เหตุ คอื รู้หลักความจริง
๒. อตั ถัญญุตา คอื ความรจู้ ักผล คือรคู้ วามมงุ่ หมาย
๓. อตั ตัญญตุ า คือ ความรจู้ ักตน คอื ร้วู ่าเราน้นั ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลงั
ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม เปน็ ตน้
๔. มัตตญั ญุตา คือ ความร้จู ักประมาณ คอื ความพอดี
๕. กาลญั ญตุ า คือ ความรู้จกั กาล คอื รู้จกั กาลเวลาอนั เหมาะสม
๖. ปริสญั ญุตา คอื ความรูจ้ ักบริษัทคือรู้จกั ชุมชนและรจู้ ักที่ประชมุ
๗. ปคุ คลัญญุตา หรอื ปคุ คลปโรปรญั ญตุ า คือ ความรูจ้ กั บคุ คล คอื ความแตกตา่ ง
แหง่ บุคคล (พ.ธ. หนา้ ๒๔๔)
สัมปชญั ญะ ความร้ตู ัวทว่ั พร้อม ความรู้ตระหนัก ความรู้ชัดเข้าใจชัด ซงึ่ สง่ิ นึกได้ มกั มาคู่กับสติ
(พ.ศ. หน้า ๒๔๔)
สาราณยี ธรรม ๖ ธรรมเป็นทต่ี ง้ั แห่งความให้ระลกึ ถงึ ธรรมเป็นเหตใุ หร้ ะลึกถงึ กนั หลักการอยู่รว่ มกนั เรยี ก
อกี อยา่ งวา่ “สาราณยี ธรรม”
๑. เมตตากายกรรม มีเมตตากายกรรมทั้งตอ่ หน้าและลบั หลงั
๒. เมตตาวจกี รรม มเี มตตาวจกี รรมทัง้ ตอ่ หนา้ และลับหลัง
๓. เมตตา มโนกรรม มเี มตตามโนกรรมทัง้ ตอ่ หน้าและลบั หลัง
๔. สาธารณโภคี แบ่งปันสิง่ ของท่ไี ด้มาไมห่ วง แหน ใช้ผู้เดยี ว
๕. สีลสามัญญตา มีความประพฤติร่วมกันในข้อที่เป็นหลักการสำคัญที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นส้ิน
ทุกข์หรือขจดั ปัญหา
๖.ทฏิ ฐสิ ามัญญตา มีความเห็นชอบดงี าม เชน่ เดียวกบั หมูค่ ณะ (พ.ธ. หน้า ๒๓๓-๒๓๕)
สขุ ๒ ความสบาย ความสำราญ มี ๒ อย่าง ไดแ้ ก่
๑. กายกิ สขุ สขุ ทางกาย
๒. เจตสิกสุข สขุ ทางใจ อีกหมวดหนึ่งมี ๒ คอื
๑. สามสิ สุข สุของิ อามิส คอื อาศยั กามคุณ
๒. นริ ามิสสุข สขุ ไมอ่ ิงอามสิ คอื อิงเนกขมั มะ (พ.ศ. หนา้ ๓๔๓)
ศรทั ธา ความเช่อื ความเช่อื ถือ ความเช่ือมัน่ ในสงิ่ ที่ดีงาม (พ.ศ. หนา้ ๒๙๐)
ศรัทธา ๔ ความเชอ่ื ที่ประกอบดว้ ยเหตผุ ล ๔ ประการคือ
๑. กัมมสัทธา (เชื่อกรรม เชอ่ื ว่ากรรมมอี ยู่จริง คือ เชือ่ วา่ เมอ่ื ทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งที่รู้
ยอ่ มเปน็ กรรม คือ เปน็ ความชว่ั ความดี มีขึ้นในตน เปน็ เหตปุ จั จยั กอ่ ใหเ้ กิดผลดีผลร้ายสืบเน่ืองต่อไป
การกระทำไม่วา่ งเปล่า และเชอ่ื วา่ ผลทตี่ อ้ งการจะสำเรจ็ ได้ดว้ ยการกระทำ มใิ ช่ด้วยอ้อนวอนหรอื นอน
คอยโชค เปน็ ตน้
๒. วิปากสัทธา (เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมทีส่ ำเร็จตอ้ งมี
ผล และผลตอ้ ง มเี หตุ ผลดีเกดิ จากกรรมดี และผลชว่ั เกดิ จากกรรมช่ัว
๓. กัมมัสสกตาสัทธา (ความเชื่อที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของจะต้อง
รบั ผิดชอบเสวยวบิ ากเป็นไปตามกรรมของตน
๔. ตถาคตโพธสิ ัทธา (เช่อื ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มัน่ ใจในองคพ์ ระตถาคตว่าทรงเป็นพระสัมมา
สมั พุทธะ ทรงพระคุณทง้ั ๙ ประการ ตรัสธรรม บญั ญตั ิวนิ ยั ไวด้ ว้ ยดี ทรงเปน็ ผู้นำทางท่ีแสดงให้เห็น
ว่ามนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ดังท่ี
พระองค์ไดท้ รงบำเพ็ญไว้ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๔)
สงเคราะห์ การชว่ ยเหลือ การเอือ้ เฟ้อื เกื้อกูล (พ.ศ. หน้า ๒๒๘)
สังคหวตั ถุ ๔ เรื่องสงเคราะห์กัน คุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจของผู้อื่นไว้ได้ หลักการสงเคราะห์ คือ
ช่วยเหลือกันยึดเหนีย่ วใจกันไว้ และเป็นเครื่องเกาะกุมประสานโลก ได้แก่ สังคมแห่งหมูส่ ัตวไ์ ว้ ดุจ
สลกั เกาะยึดรถทก่ี ำลังแลน่ ไปให้คงเปน็ รถ และวิง่ แลน่ ไปไดม้ ี ๔ อยา่ งคอื
๑. ทาน การแบง่ ปันเอ้อื เฟื้อเผ่อื แผก่ ัน
๒. ปิยวาจา พูดจานา่ รัก นา่ นยิ มนับถอื
๓. อัตถจริยา บำเพญ็ ประโยชน์
๔.สมานัตตนา ความมีตนเสมอ คือ ทำตัวให้เข้ากันได้ เช่น ไม่ถือตัว ร่วมสุข ร่วมทุกข์กัน เป็นต้น
(พ.ศ. หน้า ๓๑๐)
สัมมัตตะ ความเป็นถูก ภาวะที่ถูก มี ๑๐ อย่าง ๘ ข้อต้น ตรงกับองคม์ รรคทั้ง ๘ ข้อ เพิ่ม ๒ ข้อท้าย คือ ๙.
สัมมาญาณ รู้ชอบได้แก่ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวิมุตติ พ้นชอบได้แก่อรหัตตผล
วิมุตติ; เรียกอีกอย่าง อเสขธรรม ๑๐ (พ.ศ. หนา้ ๓๒๙)
สุจริต ๓ ความประพฤตดิ ี ประพฤติชอบตามคลองธรรม มี ๓ คือ
๑. กายสจุ ริต ประพฤติชอบทางกาย
๒. วจีสจุ รติ ประพฤติชอบทางวาจา
๓. มโนสจุ ริต ประพฤติชอบทางใจ (พ.ศ. หนา้ ๓๔๕)
หิริ ความละอายตอ่ การทำชว่ั (พ.ศ. หนา้ ๓๕๕)
อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแหง่ อกุศลกรรม ทางความช่ัว กรรมชว่ั อนั เป็นทางนำไปสคู่ วามเส่อื ม ความทุกข์ หรือ
ทคุ ติ
๑. ปาณาตบิ าต การทำชวี ิตใหต้ กล่วง
๒. อทินนาทาน การถอื เอาของท่เี ขามไิ ดใ้ ห้ โดยอาการขโมย ลักทรพั ย์
๓. กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤตผิ ดิ ทางกาม
๔. มสุ าวาท การพดู เทจ็
๕. ปสิ ุณวาจา วาจาสอ่ เสียด
๖. ผรสุ วาจา วาจาหยาบ
๗. สมั ผปั ปลาปะ พดู เพ้อเจ้อ
๘. อภชิ ฌา เพ่งเลง็ อยากได้ของเขา
๙. พยาบาท คิดร้ายผู้อื่น
๑๐. มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผิดจากคลองธรรม (พ.ธ. หน้า ๒๗๙, ๓๐๙)
อกุศลมลู ๓ รากเหง้าของอกศุ ล ต้นตอของความช่วั มี ๓ คือ
๑. โลภะ (ความอยากได้)
๒. โทสะ (ความคดิ ประทษุ รา้ ย)
๓. โมหะ (ความหลง) ๘ (พ.ธ. หนา้ ๘๙)
อคติ ๔ ฐานะอันไม่พึงถึง ทางความประพฤติที่ผิด ความไม่เที่ยงธรรม ความลำเอียง มี ๔ อย่างคือ
๑. ฉันทาคติ (ลำเอยี งเพราะชอบ)
๒. โทสาคติ (ลำเอยี งเพราะชัง)
๓. โมหาคติ (ลำเอยี งเพราะหลง พลาดผิดเพราะเขลา)
๔. ภยาคติ (ลำเอยี งเพราะกลวั ) (พ.ธ. หนา้ ๑๗๔)
อนัตตา ไมใ่ ช่อตั ตา ไมใ่ ช่ตัวตน (พ.ศ. หน้า ๓๖๖)
อบายมุข ช่องทางของความเส่ือม เหตุเครื่องฉิบหาย เหตุย่อยยับแห่งโภคทรัพย์ ทางแห่งความพินาศ (พ.ศ.
หน้า ๓๗๗)
อบายมุข ๔ ๑. อิตถีธตุ ตะ (เปน็ นักเลงหญิง นักเทย่ี วผู้หญงิ )
๒. สุราธตุ ตะ (เปน็ นักเลงสุรา นกั ดืม่ )
๓. อกั ขธตุ ตะ (เป็นนกั การพนัน)
๔. ปาปมิตตะ (คบคนช่วั ) (พ.ศ. หน้า ๓๗๗)
อบายมขุ ๖ ๑. ติดสรุ าและของมนึ เมา
๑.๑ ทรพั ยห์ มดไป ๆ เห็นชัด ๆ
๑.๒ กอ่ การทะเลาะววิ าท
๑.๓ เปน็ บ่อเกดิ แหง่ โรค
๑.๔ เสียเกียรติ เสยี ชือ่ เสียง
๑.๕ ทำให้ไม่ร้อู าย
๑.๖ ทอนกำลงั ปญั ญา
๒. ชอบเทยี่ วกลางคืน มโี ทษ ๖ อยา่ งคือ
๒.๑ ช่อื ว่าไม่รกั ษาตน
๒.๒ ชือ่ ว่าไม่รกั ษาลกู เมยี
๒.๓ ชือ่ วา่ ไมร่ ักษาทรพั ยส์ มบตั ิ
๒.๔ เป็นที่ระแวงสงสัย
๒.๕ เป็นเปา้ ใหเ้ ขาใส่ความหรือข่าวลือ
๒.๖ เป็นทม่ี าของเรื่องเดือดร้อนเป็นอันมาก
๓. ชอบเทีย่ วดกู ารละเลน่ มีโทษ โดยการงานเส่อื มเสยี เพราะมใี จกังวลคอยคิดจ้อง กับ
เสยี เวลาเม่อื ไปดสู ่ิงน้นั ๆ ท้ัง ๖ กรณี คือ
๓.๑ รำทไ่ี หนไปที่นั่น
๓.๒ – ๓.๓ ขับรอ้ ง ดนตรี เสภา เพลงเถิดเทงิ ทไี่ หนไปที่นัน่
๔. ตดิ การพนนั มโี ทษ ๖ คือ
๔.๑ เม่อื ชนะยอ่ มก่อเวร
๔.๒ เมื่อแพ้ก็เสยี ดายทรัพย์ทเ่ี สียไป
๔.๓ ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชดั ๆ
๔.๔ เข้าทป่ี ระชมุ เขาไมเ่ ชือ่ ถือถ้อยคำ
๔.๕ เป็นทห่ี มิน่ ประมาทของเพ่อื นฝูง
๔.๖ ไมเ่ ป็นท่ีพงึ ประสงคข์ องผู้ที่จะหาคคู่ รองให้ลกู ของเขา เพราะเหน็ วา่ จะเล้ียงลกู
เมียไม่ได้
๕. คบคนชั่วมีโทษโดยนำให้กลายเปน็ คนชัว่ อย่างท่ีตนคบทงั้ ๖ ประเภท คือ ไดเ้ พื่อนที่
จะนำใหก้ ลายเป็น
๕.๑ นักการพนัน
๕.๒ นกั เลงหญิง
๕.๓ นกั เลงเหลา้
๕.๔ นักลวงของปลอม
๕.๕ นกั หลอกลวง
๕.๖ นกั เลงหัวไม้
๖. เกยี จครา้ นการงาน มีโทษโดยทำใหย้ กเหตุต่าง ๆ เป็นขอ้ อ้างผิดเพย้ี น ไมท่ ำการ
งานโภคะใหมก่ ็ไม่เกิด โภคะที่มอี ยกู่ ็หมดส้นิ ไป คือ ให้อา้ งไปทง้ั ๖ กรณีว่า
๖.๑ – ๖.๖ หนาวนัก รอ้ นนกั เยน็ ไปแลว้ ยงั เชา้ นัก หวิ นัก อิม่ นัก แลว้ ไมท่ ำ
การงาน (พ.ธ. หน้า ๑๗๖ – ๑๗๘)
อปริหานิยธรรม ๗ ธรรมอันไมเ่ ปน็ ทตี่ ัง้ แหง่ ความเสือ่ ม เป็นไปเพ่ือความเจริญฝ่ายเดยี วมี ๗ ประการ ไดแ้ ก่
๑. หมน่ั ประชมุ กนั เนอื งนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจกรรมที่พึงทำ ๓. ไม่
บญั ญัติส่ิงทม่ี ิได้บัญญัตไิ ว้ (อนั ขดั ต่อหลกั การเดิม)
๔. ทา่ นเหล่าใดเปน็ ผู้ใหญ่ ควรเคารพนบั ถอื ทา่ นเหล่านัน้
๕. บรรดากุลสตรี กลุ กมุ ารที ้ังหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉดุ คร่า ขนื ใจ
๖. เคารพสกั การบูชา เจดยี ์หรืออนสุ าวรยี ์ประจำชาติ
๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกันอันชอบธรรมแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย (รวมถึงพระภิกษุ ผู้
ปฏิบัตดิ ี ปฏิบตั ิชอบด้วย) (พ.ธ. หนา้ ๒๔๖ – ๒๔๗)
อธิปไตย ๓ ความเป็นใหญ่ มี ๓ อย่าง คือ
๑. อัตตาธิปไตย ความมตี นเป็นใหญ่ ถือตนเปน็ ใหญ่ กระทำการดว้ ยปรารภตนเป็นประมาณ
๒. โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเป็นใหญ่ กระทำการด้วยปรารภนิยมของโลกเป็น
ประมาณ
๓. ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่ ถือธรรมเป็นใหญ่, กระทำการด้วยปรารภความถูกต้อง เป็น
จริง สมควรตามธรรมเป็นประมาณ (พ.ธ. หน้า ๑๒๗-๑๒๘)
อรยิ สัจ ๔ ความจริงอนั ประเสรฐิ ความจริงของพระอริยะ ความจรงิ ทที่ ำให้ผู้เข้าถึงกลายเปน็ อรยิ ะมี ๔ คือ
๑. ทกุ ข์ (ความทุกข์ สภาพท่ีทนไดย้ าก สภาวะท่บี บี คน้ั ขัดแย้ง บกพรอ่ ง ขาดแกน่ สารและความเท่ียง
แท้ ไมใ่ หค้ วามพงึ พอใจแท้จรงิ ไดแ้ ก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกบั สิง่ อันไมเ่ ปน็ ทรี่ ัก การพลัด
พรากจากส่ิงทร่ี ัก ความปรารถนาไมส่ มหวัง โดยยอ่ ว่า อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เป็นทุกข์
๒. ทุกขสมุทัย (เหตเุ กิดแหง่ ทุกข์ สาเหตุใหท้ ุกขเ์ กิด ไดแ้ ก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และ
วภิ วตณั หา) กำจดั อวิชชา สำรอกตณั หา สิ้นแลว้ ไมถ่ กู ย้อม ไม่ติดขดั หลดุ พน้ สงบ ปลอดโปรง่ เป็น
อสิ ระ คือ นพิ พาน)
๓. ทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ภาวะที่เข้าถึงเมือ่ กำจัดอวิชชา สำรอก
ตัณหาสิน้ แลว้ ไม่ถกู ยอ้ ม ไม่ตดิ ขอ้ ง หลุดพน้ สงบ เปน็ อสิ ระ คือ นิพพาน)
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ปฏิปทาที่นำไปสู่ความดับแห่งทุกข์ ข้อปฏิบัติใหถ้ งึ ความดับทุกข์ ได้แก่
อรยิ อฏั ฐงั คกิ มรรค หรอื เรียกอกี อย่างหนงึ่ วา่ มัชฌมิ ปฏปิ ทา แปลว่า ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ ๘
นี้ สรปุ ลงในไตรสกิ ขา คอื ศีล สมาธิ ปญั ญา) (พ.ธ. หนา้ ๑๘๑)
อรยิ อฏั ฐคิกมรรค ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ ๘ (ศีล สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หน้า ๑๖๕)
อัญญาณุเบกขา เป็นอุเบกขาฝ่ายวิบัติ หมายถึง ความไม่รู้เรื่อง เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยโง่ เฉยเมย (พ.ธ. หน้า
๑๒๖)
อัตตา ตัวตน อาตมัน ปถุ ชุ นยอ่ มยึดมั่นมองเห็นขนั ธ์ ๕ อยา่ งใดอย่างหนง่ึ หรอื ทัง้ หมดเป็นอัตตา หรือยึดถือ
วา่ มอี ัตตา เนื่องด้วยขนั ธ์ (พ.ศ. หนา้ ๓๙๘)
อตั ถะ เรอ่ื งราว ความหมาย ความมุง่ หมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดบั คอื
๑. ทิฏฐธิ ัมมกิ ตั ถะ ประโยชน์ในชีวติ น้ีหรอื ประโยชน์ในปัจจุบัน เป็นที่มงุ่ หมายกันในโลกนี้ ได้แก่ ลาภ
ยศ สุข สรรเสริญ รวมถงึ การแสวงหาสิ่งเหลา่ น้มี าโดยทางที่ชอบธรรม
๒. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์เบื้องหน้า หรือประโยชน์ที่ล้ำลึกกว่าที่จะมองเห็นกันเฉพาะหน้า เป็น
จดุ หมายขั้นสูงขนึ้ ไป เป็นหลักประกนั ชีวติ เมื่อละจากโลกน้ไี ป
๓. ปรมตั ถะ ประโยชน์สงู สุด หรือประโยชน์ที่เป็นสาระแท้จริงของชวี ติ เป็นจดุ หมายสงู สุดหรือที่หมาย
ขนั้ สดุ ทา้ ย คือ พระนพิ พาน อกี ประการหนึง่ หมายถึง
๑. อตั ตตั ถะ ประโยชนต์ น