The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปรับหลักสูตรปีการศึกษา 2563 มาตรฐานหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ. 2551 (ปรับปรุง 2560) บูรณาการสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nus Enjoyed, 2020-10-17 23:00:40

หลักสูตรรายวิชาสังคมศึกษา ชั้น ป.4

ปรับหลักสูตรปีการศึกษา 2563 มาตรฐานหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ. 2551 (ปรับปรุง 2560) บูรณาการสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น

Keywords: หลักสูตร

๒. ปรตั ถะ ประโยชนผ์ อู้ น่ื
๓. อภุ ยตั ถะ ประโยชนท์ ง้ั สองฝ่าย (พ.ธ. หนา้ ๑๓๑ – ๑๓๒)

อายตนะ ทีต่ ่อ เครือ่ งตดิ ตอ่ แดนตอ่ ความรู้ เคร่อื งรู้ และสิง่ ทถี่ กู รู้ เช่น ตาเป็นเครอื่ งรู้ รูปเป็น ส่ิงท่ีรู้ หู
เปน็ เครือ่ งรู้ เสียงเปน็ ส่งท่ีรู้ เปน็ ตน้ จดั เปน็ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่

๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖
๒. อายตนะภายนอก หมายถงึ เครอ่ื งตอ่ ภายนอก สงิ่ ท่ีถูกรู้ มี ๖ คือ

๒.๑ รูป คอื รปู

๒.๒ สทั ทะ คือ เสียง
๒.๓ คนั ธะ คอื กลิ่น

๒.๔ รส คอื รส
๒.๕ โผฏฐัพพะ คือ สิ่งต้องกาย
๒.๖ ธัมมะ หมายถึง ธรรมารมย์ คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจ หรือสิ่งที่ใจรู้ อารมณ์ ๖ ก็เรียก (พ.ศ.

หนา้ ๔๑๑)
อายตนะภายใน เครอ่ื งต่อภายใน เคร่ืองรบั รู้ มี ๖ คือ

๑. จักขุ คอื ตา
๒. โสตะ คือ หู
๓. ฆานะ คอื จมูก

๔. ชวิ หา คือ ลนิ้
๕. กาย คอื กาย

๖. มโน คอื อนิ ทรีย์ ๖ กเ็ รยี ก (พ.ศ.หนา้ ๔๑๑)
อรยิ วัฑฒิ ๕ ความเจรญิ อยา่ งประเสรฐิ หลกั ความเจริญของอารยชน มี ๕ คือ

๑. ศรัทธา ความเชอ่ื ความม่นั ใจในพระรตั นตรยั ในหลักแหง่ ความจริง ความดอี ันมีเหตผุ ล

๒.ศลี ความประพฤติดี มีวนิ ยั เลยี้ งชีพสุจรติ
๓. สตุ ะ การเลา่ เรียน สดับฟัง ศกึ ษาหาความรู้

๔. จาคะ การเผื่อแผ่เสียสละ เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจช่วยเหลือ ใจกว้าง พร้อมที่จะรบั ฟังและร่วมมือ ไม่
คับแคบ เอาแตต่ ัว
๕. ปญั ญา ความรอบรู้ รู้คิด รพู้ ิจารณา เขา้ ใจเหตผุ ล รจู้ ักโลกและชวี ติ ตามความเป็นจริง (พ.ธ. หนา้

๒๑๓)
อิทธิบาท ๔ คุณเครื่องให้ถึงความสำเรจ็ คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเรจ็ แห่งผลทีม่ ุ่งหมาย มี ๔ ประการ คือ

๑. ฉนั ทะ ความพอใจ คอื ความต้องการท่จี ะทำใฝใ่ จรักจะทำสิง่ นนั้ อยเู่ สมอแล้วปรารถนาจะทำ ให้
ได้ผลดยี ง่ิ ๆ ขึน้ ไป
๒. วิริยะ ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่

ทอ้ ถอย
๓. จิตตะ ความคิด คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำและทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้

ฟงุ้ ซา่ นเลอ่ื นลอย
๔. วิมังสา ความไตร่ตรอง หรือทดลอง คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณา ใคร่ครวญ ตรวจตราหาเหตุผล
และตรวจสอบข้อย่งิ หยอ่ นในสงิ่ ท่ที ำน้ัน มกี ารวางแผน วัดผลคิดค้นวิธีแก้ไขปรบั ปรุง ตัวอย่างเช่น ผู้

ทำงานทว่ั ๆ ไปอาจจำสน้ั ๆ วา่ รกั งาน สูง้ าน ใสใ่ จงาน และทำงานด้วยปญั ญา เป็นตน้ (พ.ธ. หน้า
๑๘๖-๑๘๗)

อบุ าสกธรรม ๗ ธรรมทเ่ี ปน็ ไปเพื่อความเจริญของอุบาสก
๑. ไมข่ าดการเย่ียมเยือนพบปะพระภิกษุ

๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม
๓. ศกึ ษาในอธิศีล
๔. มีความเลอื่ มใสอยา่ งมากในพระภิกษุทกุ ระดบั

๕. ไมฟ่ งั ธรรมดว้ ยต้ังใจจะคอยเพ่งโทษตเิ ตยี น
๖. ไม่แสวงหาบุญนอกหลักคำสอนในพระพทุ ธศาสนา

๗. กระทำการสนับสนุน คอื ขวนขวายในการอปุ ถมั ภบ์ ำรงุ พระพุทธศาสนา (พ.ธ. หนา้ ๒๑๙ – ๒๒๐)
อุบาสกธรรม ๕ สมบตั ขิ องอุบาสก ๕ คือ

๑. มีศรัทธรา

๒. มศี ลี บริสทุ ธ์ิ
๓. ไม่ถือมงคลตืน่ ข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคลคือมุ่งหวงั ผลจากการกระทำ และการงานมิใช่จากโชค

ลาภ และส่ิงท่ีตื่นกันว่าขลังศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ
๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
(พ.ศ. หน้า ๓๐๐)

อบุ าสกธรรม ๗ ผ้ใู กลช้ ดิ พระศาสนาอยา่ งแทจ้ ริง ควรตั้งตนอยใู่ นธรรมที่เป็นไปเพอ่ื ความเจรญิ ของอุบาสก มี
๗ ประการ ไดแ้ ก่

๑. ไมข่ าดการเย่ยี มเยอื นพบปะพระภกิ ษุ
๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม
๓. ศกึ ษาในอธิศลี คือ ฝกึ อบรมตนใหก้ า้ วหนา้ ในการปฏิบตั ิรักษาศีลขน้ั สงู ขน้ึ ไป

๔. พร่ังพร้อมดว้ ยความเลอ่ื มใส ในพระภิกษทุ ง้ั หลายท้ังที่เปน็ เถระ นวกะ และปูนกลาง
๕. ฟงั ธรรมโดยความต้งั ใจ มใิ ช่ มาจบั ผดิ

๖. ไมแ่ สวงหาทกั ขิไณยภายนอก หลกั คำสอนน้ี คือ ไมแ่ สวงหาเขตบญุ นอกหลักพระพุทธศาสนา
๗. กระทำความสนับสนุนในพระพทุ ธศาสนานี้ คือ เอาใจใส่ทำนุบำรงุ และช่วยกจิ กรรม (ธรรมนูญชวี ิต
, หนา้ ๗๐ – ๗๐)

อุเบกขา มี ๒ ความหมายคือ
๑. ความวางใจเป็นกลาง ไม่เองเอยี งดว้ ยชอบหรือชงั ความวางใจเฉยได้ไมย่ นิ ดยี นิ ร้าย เม่ือใช้ปัญญา

พจิ ารณาเห็นผลอนั เกดิ ข้นึ โดยสมควรแก่เหตุและร้วู ่าพึงปฏบิ ัตติ อ่ ไปตามธรรม หรอื ตามควรแก่เหตนุ ั้น
๒. ความรู้สึกเฉย ๆ ไมส่ ุข ไม่ทกุ ข์ เรยี กเต็มวา่ อุเบกขาเวทนา (อทกุ ขมสขุ ) (พ.ศ. หนา้ ๔๒๖ – ๔๒๗)
อปุ าทาน ๔ ความยึดมั่น ความถือมัน่ ด้วยอำนาจกิเลส ความยึดติดอนั เน่อื งมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็น

ทีต่ ง้ั
๑. กามุปาทาน ความยึดมนั่ ในกาม คอื รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะท่ีนา่ ใคร่ นา่ พอใจ

๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมนั่ ในทฏิ ฐหิ รือทฤษฎี คือ ความเหน็ ลทั ธิ หรอื หลกั คำสอนต่าง ๆ ๓. สีลัพพ
ตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบวิธี
ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่าง ๆ กัน ไปอย่างงมงายหรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้

เปน็ ไปด้วยความรู้ ความเข้าใจตามหลกั ความสัมพันธแ์ หง่ เหตุและผล

๔. อัตตาวาทุปาทาน ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญ หมายอยู่ในภายในว่ามี
ตัวตน ที่จะได้ จะมี จะเป็น จะสูญสลาย ถูกบีบคั้น ทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาส่งิ

ตา่ ง ๆ ได้ไม่มองเหน็ สภาวะของสง่ิ ทัง้ ปวง อนั รวมทัง้ ตวั ตนว่าเป็นแตเ่ พียงสง่ิ ทีป่ ระชมุ ประกอบกันเข้า
เป็นไปตามเหตปุ ัจจัยทงั้ หลายท่ีมาสัมพนั ธก์ นั ล้วน ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๘๗)

อปุ นสิ ัย ๔ ธรรมท่พี ่งึ พิง หรอื ธรรมช่วยอุดหนนุ
๑. สงขฺ าเยกํ ปฏเิ สวติ พิจารณาแลว้ จึงใช้สอยปจั จัย ๔ คือ จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสัช เป็น
ตน้ ที่จำเปน็ จะตอ้ งเกี่ยวขอ้ งและมปี ระโยชน์

๒. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ พิจารณาแล้วอดกล้ันไดแ้ ก่ อนิฏฐารมณ์ ต่าง ๆ มีหนาวรอ้ น และทุกขเวทนา
เปน็ ต้น

๓. สงขฺ าเยกํ ปริวชฺเชติ พิจารณาสง่ิ ท่เี ป็นโทษ ก่ออนั ตรายแกร่ า่ งกาย และจิตใจแล้วหลีกเว้น ๔. สงฺ
ขาเยกํ ปฏิวโิ นเทติ พจิ ารณาสง่ิ ท่เี ป็นโทษ ก่ออนั ตรายเกิดขึ้นแลว้ เชน่ อกุศลวิตกมกี ามวิตก พยาบาท
วิตก และวิหิงสาวิตก และความชั่วร้ายทั้งหลายแล้วพิจารณาแก้ไข บำบัดหรือขจัดให้สิ้นไป (พ.ธ.

หน้า ๑๗๙)
โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อความชัว่ (พ.ศ. หนา้ ๔๓๙)

โอวาท คำกล่าวสอน คำแนะนำ คำตักเตอื น โอวาทของพระพทุ ธเจา้ ๓ คือ
๑. เวน้ จากทจุ รติ คือ ประพฤติช่ัวด้วยกาย วาจา ใจ (ไมท่ ำช่วั ทั้งปวง)
๒.ประกอบสจุ ริต คอื ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ (ทำแต่ความดี)

๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง โลภ โกรธ หลง เป็นต้น (ทำจิตของตนให้สะอาด
บรสิ ุทธ)ิ์ (พ.ศ. หน้า ๔๔๐)

สังคมศาสตร์ การศกึ ษาความสมั พันธข์ องมนษุ ย์ โดยใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์
สงั คมศึกษา การเรียนรูเ้ พื่อพัฒนาตนให้อย่รู ่วมในสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี ณุ ภาพ
คณุ ธรรม(virtue) และจรยิ ธรรรม(moral or morality or ethics) คณุ ธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความ

ดี จริยธรรมมีความหมายเช่นเดียวกับศีลธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติกรรมปฏิบัติความ
ประพฤตหิ รือหนา้ ท่ที ช่ี อบ ทค่ี วรปฏบิ ตั ใิ นการครองชวี ติ ดังนั้นคุณธรรมจรยิ ธรรม จึงหมายถงึ สภาพ

คุณงามความดีที่ประพฤติปฏิบัติหรือหน้าที่ที่ควรปฏิบัติในการครองชีวิต หรือคุณธรรมตามกรอบ
จรยิ ธรรม สว่ นศีลธรรมและจรยิ ธรรม มคี วามหมายใกล้เคียงกัน คณุ ธรรมจะมีความหมายทเี่ นน้ สภาพ
ลกั ษณะ หรอื คุณสมบตั ิที่แสดงออกถงึ ความดงี าม สว่ นจรยิ ธรรม มีความหมายเน้นที่ ความประพฤติ

หรือการปฏิบัติที่ดีงาม เป็นที่ยอมรับของสังคม นักวิชาการมักใช้คำทั้งสองคำนี้ในความหมายนัย
เดยี วกันและมกั ใชค้ ำสองคำดงั กล่าวควบคู่กนั ไป เปน็ คำว่า คณุ ธรรมจรยิ ธรรม ซง่ึ รวมความหมายของ

คุณธรรมและจริยธรรม นน่ั คือมีความหมายเนน้ ท้ังสภาพ ลกั ษณะหรอื คุณสมบัติ และความประพฤติ
อันดีงาม เป็นที่ยอมรับของสังคม (โครงการเร่งสร้างคุณลักษณะที่ดีของเด็กและเยาวชนไทย ศูนย์
คณุ ธรรม หน้า ๑๑ -๑๒)

การเมือง ความรเู้ กย่ี วกับความสัมพันธ์ระหวา่ งอำนาจในการจัดระเบียบสงั คมเพ่อื ประโยชน์และความสงบ
สุขของสังคม มีความสัมพันธ์ต่อกันโดยรวมทั้งหมดในส่วนหนึ่งของชีวิตในพื้นที่หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ

อำนาจ อำนาจชอบธรรม หรืออทิ ธิพล และมีความสามารถในการดำเนนิ การได้
ข้อมลู สิง่ ท่ีได้รบั รู้และยงั ไมม่ ีการจัดประมวลใหเ้ ป็นระบบ เมอื่ จัดระบบแล้วเรยี กว่า สารสนเทศ
ค่านิยม การกำหนดคณุ คา่ และพฒั นาจนเป็นบคุ ลิกภาพประจำตวั

คุณคา่ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ เช่น ความดี ความงาม ความดีเปน็ คณุ ค่าของจริยธรรม ความงามเปน็ คุณค่า
ทางสุนทรียศาสตร์ สิ่งท่ีตอบสนองความต้องการได้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า คุณค่าเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้

คุณค่าเปลี่ยนไปไดต้ ามเวลา และคณุ ค่ามักเปล่ยี นแปลงไปตามววิ ัฒนาการของความเจริญ
บทบาท การกระทำทีส่ งั คมคาดหวังตามสถานภาพทบ่ี ุคคลครองอยู่

หนา้ ที่ เป็นความรบั ผิดชอบทางศีลธรรมของปัจเจกชนซ่งึ สังคมยอมรับ
สถานภาพ ตำแหน่งท่ีแต่ละคนครองอยใู่ นสถานทห่ี น่ึง ในช่วงเวลาหนึง่
บรรทัดฐาน ข้อตกลงของสังคมที่กำหนดให้สมาชิกประพฤติ ปฏิบัติ บางทีเรียกปทัสถาน สามารถใช้บรรทัด

ฐานของสงั คม (social norms) เป็นมาตรฐานความประพฤติในทางจริยธรรมได้ ซึ่งแยกออกเปน็
ก. วิถีประชา (folkways) ได้แก่ แบบแผนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สังคมยอมรับ และได้

ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมา มักเกี่ยวข้องกับเร่ืองการดำเนินชีวิต และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม
จะไมม่ กี ฎเกณฑเ์ คร่งครัดแนน่ อนตายตวั

ข. กฎศีลธรรมหรือจารีต (mores) เป็นมาตรฐานความประพฤติของสังคมที่มีการกำหนด

เก่ียวกบั จริยธรรมทีเ่ ข้มขึ้น ในกรณีมีผู้ฝา่ ฝนื อาจมกี ารลงโทษ แมว้ ่าในบางครง้ั จะไมม่ ีการเขียนไว้เป็น
ลายลกั ษณอ์ กั ษรกต็ าม เช่น การลวนลามสตรีในชนบท ตอ้ งลงโทษดว้ ยการเสียผี

ค. กฎหมาย (law) เป็นมาตรฐานความประพฤติที่รัฐกำหนดให้สมาชิกของรัฐพงึ ปฏิบัติหรือละ
เว้นการปฏิบตั ิ และกำหนดวิธกี ารปฏบิ ัตกิ ารลงโทษสำหรบั ผฝู้ า่ ฝืน
สทิ ธิ ขอ้ เรียกรอ้ งของปัจเจกชนซ่ึงสังคมยอมรับ

สิทธิทางศีลธรรม เป็นขอ้ เรียกรอ้ งทางศีลธรรมของปจั เจกชนซ่งึ สังคมยอมรบั
ประเพณี เปน็ ความประพฤติของคนหมู่หน่งึ อย่ใู นทแี่ หง่ หนงึ่ ถอื เปน็ แบบแผนกันมาอย่างเดียวกันและสืบกัน

มานาน ประเพณี คือ กิจกรรมที่มีรูปแบบของชุมชนหรือสังคมหนึ่งที่จัดขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ใด
จุดประสงคห์ นึง่ และกำหนดการจัดกิจกรรมในช่วงเวลาแน่นอนสม่ำเสมอ กิจกรรท่ีเป็นประเพณีอาจ
มองได้อีกประการหนง่ึ ว่าเป็นแบบแผนการปฏบิ ตั ขิ องกลมุ่ เฉพาะหรอื ทางศาสนา

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คือการ
ประกาศเจตนารมณ์ ในการร่วมมือระหว่างประเทศทีม่ ีความสำคัญในการวางกรอบเบื้องต้นเกี่ยวกับ

สิทธิมนุษยชนและเป็นเอกสารหลักด้านสิทธิมนุษยชนฉบับแรก ซึ่งที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่ง
สหประชาชาติ ให้การรบั รองตามขอ้ มตทิ ่ี ๒๑๗ A (III) เม่ือวันท่ี ๑๐ ธนั วาคม ๒๔๙๑ โดยประเทศไทย
ออกเสยี งสนนั สนุน

วัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย เป็นการศึกษา วิเคราะห์เกี่ยวกับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาในเรื่องเกี่ยวกับ
ความเป็นมา ปัจจัยพื้นฐานและผลกระทบจากภายนอกที่มอี ิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย

วัฒนธรรมท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย รวมทั้งวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของมนุษยชาติโลก ความสำคัญ
และผลกระทบทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การดำเนนิ ชวี ิตของคนไทยและมนษุ ยชาติ ต้งั แต่อดตี ถึงปจั จุบัน
สัมมาชีพ การประกอบอาชพี สุจริตและเหมาะสมในสงั คม

ประสทิ ธภิ าพ ความสามารถในการทำงานจนสำเรจ็ หรือผลการกระทำทีไ่ ด้ผลออกมาดีกวา่ เดิม รวมท้ังการใช้
ทรัพยากรตา่ งๆ อย่างค้มุ ค่า โดยไมใ่ ห้เกิดความสูญเปลา่ หรือความสูญเสีย ทรัพยาการต่างๆ พิจารณา

ไดจ้ ากเวลา แรงงาน วตั ถุดบิ เครื่องจกั ร ปรมิ าณและคุณภาพ ฯลฯ
ประสิทธผิ ล ระดับความสำเรจ็ ของวตั ถปุ ระสงค์ หรอื ผลสำเรจ็ ของงาน
สนิ ค้า หมายความวา่ ส่ิงของท่ีสามารถซอ้ื ขาย แลกเปลีย่ น หรือโอนกนั ได้ ไมว่ ่าจะเกดิ โดยธรรมชาติหรือเป็น

ผลิตผลทางการเกษตร รวมตลอดถงึ ผลิตภณั ฑท์ างหัตถกรรมและอตุ สาหกรรม

ภมู ปิ ญั ญา สว่ นหนง่ึ ของประเพณี หรือเป็นกจิ กรรมเฉพาะตัวก็ได้ เช่น พิธถี วายสังฆทาน พิธีบวชนาค พิธีบวช
ลูกแก้ว พิธีขอฝน พธิ ไี หว้ครู พธิ แี ตง่ งาน

มนษุ ยชาติ การเกดิ เปน็ มนุษย์มาจาก มนุษย์ = ผมู้ จี ิตใจสูง กบั ชาติ = เกดิ โดยปกติหมายถงึ มนษุ ย์ ทั่ว ๆ
ไป

มรรยาท พฤติกรรมที่สงั คมกำหนดว่าควรประพฤตเิ ป็นวัฒนธรรม วดั จากความเหมาะสมและไม่เหมาะสม
ระบบ การนำส่วนต่าง ๆ มาปรบั เรยี งต่อให้ทำงานประสานตอ่ เนือ่ งกันจนดเู ป็นส่งิ เดียวกนั
กระบวนการ กรรมวธิ หี รอื ลำดบั การกระทำซึง่ ดำเนินการต่อเนอ่ื งกนั ไปจนสำเรจ็ ลง ณ ระดบั หนง่ึ

วเิ คราะห์ การแยกแยะให้เห็นคุณลักษณะของแตล่ ะองคป์ ระกอบ
เศรษฐกิจ ความรู้เกี่ยวกับการกิน การอยู่ของมนุษย์ในสังคม ว่าด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดการผลิต

การกระจายผลผลติ และการบริโภค
สหกรณ์ แปลว่าการทำงานร่วมกัน การทำงานร่วมกันนี้ลึกซึ้งมาก เพราะว่าต้องร่วมมือกันในทุกด้าน ทั้งใน

ด้านงานทีท่ ำดว้ ยร่างกาย ทั้งในด้านงานที่ทำด้วยสมอง และงานการที่ทำดว้ ยใจ ทุกอย่างน้ีขาดไมไ่ ด้

ตอ้ งพร้อม (พระราชดำรสั พระราชทานแกผ่ ูน้ ำสหกรณก์ ารเกษตร สหกรณ์นคิ มและสหกรณป์ ระมงทั่ว
ประเทศ ณ ศาลาดุสิตดาลัย ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖)

ทรัพยส์ นิ ทางปัญญา หมายถงึ ผลงานอนั เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น หรอื สรา้ งสรรค์ของมนุษย์ ซึ่งเน้นที่
ผลผลิตของสติปัญญาและความชำนาญ โดยไม่คำนึงถึงชนิด ของการสร้างสรรค์หรือวิธีในการ
แสดงออก ทรัพยส์ ินทางปัญญา อาจเปน็ สง่ิ ที่จับต้องได้ เช่นสนิ ค้า ตา่ ง ๆ หรือ เป็นสิ่งท่ีจับต้องไม่ได้

เช่น บริการ แนวความคิด กรรมวิธีและทฤษฎีต่าง ๆ เป็นต้น ทรัพย์สินทางปัญญามี ๒ ประเภท
ท ร ั พ ย ์ ส ิ น ท า ง อ ุ ต ส า ห ก ร ร ม ( Industrial property) แ ล ะ ล ิ ข ส ิ ท ธ ิ ์ ( Copyright)

๑. ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม มีสิทธิบัตร แบบผังภูมิของวงจรรวม เครื่องหมายการค้า ความลับ
ทางการคา้ ช่อื ทางการคา้ สิ่งบ่งช้ีทางภมู ิศาสตร์
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หมายความว่า ชื่อ สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทนแหล่ง

ภูมศิ าสตร์ และทสี ามารถบง่ บอกวา่ สินค้าทเ่ี กิดจากแหลง่ ภมู ศิ าสตรน์ ัน้ เป็น สนิ คา้ ทม่ี คี ณุ ภาพ ชอื่ เสยี ง
หรอื คุณลกั ษณะเฉพาะของแหลง่ ภมู ิศาสตร์ดังกลา่ ว

๒. ลิขสทิ ธิ์ คือ งานหรอื ความคดิ สร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศลิ ปกรรม ดนตรกี รรม
งานภาพยนตร์ หรืองานอ่นื ใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศลิ ปะ แผนกวทิ ยาศาสตร์ ลขิ สทิ ธิ์ยงั รวมทั้ง
สิทธขิ า้ งเคยี ง (Neighbouring Right)

เหตุ ภาวะเงอื่ นไขทจ่ี ำเปน็ ท่ีทำใหส้ ่งิ หนง่ึ เกิดข้นึ ตามมา เรียกวา่ ผล
เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณท์ ีเ่ กดิ ขนึ้

อำนาจ ความสามารถในการบบี บังคบั ให้สิง่ หนึ่ง (คนหน่งึ ...) กระทำตามที่ปรารถนา
อทิ ธพิ ล อำนาจบังคบั ทกี่ อ่ ให้เกิดความสำเรจ็ ในสิ่งใดส่ิงหนึง่
เอกลกั ษณ์ ลกั ษณะท่มี คี วามเปน็ หนึง่ เดยี ว ไม่มีท่ีใดเหมอื น

การคิดเชิงพื้นที่ (spatial thinking) การระบุ การวิเคราะห์ และการทำความเข้าใจ ที่ตั้ง ขนาด แบบรูป
และ แนวโนม้ ของความสัมพันธเ์ ชงิ ภูมศิ าสตรก์ บั เวลา ทเ่ี ก่ียวข้องกับขอ้ มลู ปรากฏการณ์ และประเดน็

ตา่ งๆ ทางภมู ศิ าสตร์
การจัดการทรัพยากร (resource management) การนำสิ่งต่างๆ มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิด

ประโยชนใ์ นการดำรงชพี ของมนุษย์ ด้วยการจัดหา การเก็บรักษา การซ่อมแซม การใช้อย่างประหยัด

และการสงวนเพ่อื ใหท้ รพั ยากรเหล่านน้ั สามารถให้ผลไดอ้ ย่างยาวนาน

การจัดการสิ่งแวดล้อม (environmental management) การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพเพ่ือ
หลีกเล่ยี งและป้องกันไมใ่ หเ้ กิดผล กระทบต่อสงิ่ ทอี่ ย่รู อบตัวเรา เช่น การป้องกันมลพิษทางน้ำด้วยการ
ไม่ทิ้งขยะ และสิ่งปฏิกูลลงในน้ำ และการบำบัดน้ำเสียก่อนทิ้งหรือปล่อยลงในแหล่งน้ำ สาธารณะ
เป็นส่วนหน่งึ ของการจดั การสง่ิ แวดล้อม

การตั้งถิ่นฐาน (settlement) การเขา้ ไปตัง้ บ้านเรอื นทอ่ี ยอู่ าศยั ในบริเวณที่ไมเ่ คยมีผใู้ ดอาศัยอยู่กอ่ น

การขยายเขตเมือง กระบวนการกลายเป็นเมือง (urbanization) การที่สัดสว่ นของประชากรที่อาศัยอย่ใู น
เขตเมืองเพ่ิมขึ้น ซึ่งอาจเนื่องมาจาก สาเหตุสำคัญ คือ (๑) ผู้คนย้ายถิ่นจากชนบทเข้ามาอาศัยอยู่ใน
เมืองมากขึ้น (๒) มีการขยายเขตพื้นที่ที่เรียกว่าเป็นเขตเมืองออกไป (๓) นิยามของคำว่า เมือง
เปลยี่ นไปจนครอบคลุมพนื้ ทแี่ ละประชากรมากขน้ึ

การเปล่ียนแปลงทางกายภาพ (physical change) การทโ่ี ครงสร้าง รปู ร่าง และลกั ษณะของส่งิ แวดล้อมทั้ง
ทางธรรมชาตแิ ละท่มี นุษยส์ รา้ งขึน้ แตกต่างไปจากเดิม การเปลย่ี นแปลงของสง่ิ แวดล้อมทางธรรมชาติ
เช่น แม่น้ำเปลี่ยนทางเดิน ดินถล่ม แผ่นดินทรุด การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น
เชน่ การแผว้ ถางทดี่ ิน เพอื่ ใช้เพาะปลูก การขยายถนน

การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (climate change) การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
เป็นผลมาจาก ปรากฏการณ์โลกร้อนและกิจกรรมของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน ความถี่และความรุนแรงของการเกิดพายุ รวมถึงการ
เปลย่ี นแปลงของระดับน้ำทะเล และ การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของบรรยากาศโลก

การบริโภคอย่างรับผิดชอบ (responsible consumption) การบริโภคสิ่งที่มีความจำเป็นต่อชีวิต โดย
บริโภคอย่างพอดี พอมี พอกิน พอใจ ในสิ่งที่มีและได้รับ มีการคำนึงถึงทั้งในวันนี้และวันหน้าและ
ดำเนินชีวติ อย่างมีสตอิ ยู่ในทางสายกลาง โดยอาศัยความเพียร ความรอบรู้ รอบคอบ ความระมัดระวงั
รู้จักการประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ เพื่อค้นหาข้อจำกัดที่ตนมี และนำมาใช้ประกอบการ
ตัดสนิ ใจในการเลือก รูปแบบการบริโภคทีก่ ่อใหเ้ กดิ ความสมดลุ ระหว่างความสุขในการดำเนินชีวิต ท่ี
สามารถพึ่งตนเองได้กับทรัพยากรที่มีจำกัดในโลกนี้ รวมถึงมีการแบ่งปันให้กับสังคมรอบข้าง และมี
ความเอือ้ อาทรต่อระบบนิเวศ

การรู้เรื่องภูมิศาสตร์ (geo-literacy) ความสามารถในการใช้ความเข้าใจและการให้เหตุผลทางภูมิศาสตร์
(geographic reasoning) เพื่อการตัดสินใจเชิงภูมิศาสตร์อย่างเป็นระบบ ในการแก้ไขปัญหาและ
การวางแผนในอนาคต โดยอาศัยความรู้ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) การเข้าใจปฏิสัมพันธ์
(interaction) ของระบบ ธรรมชาติและระบบมนุษย์ 2) การเข้าใจการเกิดปรากฏการณ์ในแต่ละ
สถานที่ ผ่านการเชื่อมโยงระหว่างกัน (interconnection) และ 3) การเข้าใจความหมายโดยนัย
(implication) ระหว่างความรู้เรอ่ื งการมีปฏสิ มั พันธ์กับการเชอ่ื มโยงระหว่างกนั ของส่ิงต่าง ๆ

ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ (geographic data) รายละเอียดของสิ่งที่ปรากฏอยู่บนพื้นโลกหรือใกล้พื้นโลก ซ่ึง
อธิบายได้ด้วย ตำแหน่ง หรือที่ตั้ง (location) ที่สามารถอ้างอิงกับพื้นโลก และรายละเอียด อันเป็น
ลักษณะประจำ (attribute) เช่น โรงเรียนตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งค่าพิกัด ๑๕ องศาเหนือ ๑๐๑ องศา
ตะวันออกในระบบพิกัดภูมิศาสตร์ และมีรายละเอียดที่เปน็ ลักษณะประจำ เช่น ชื่อโรงเรียน จำนวน
ครู จำนวนนักเรียน

เครอ่ื งมือทางภูมิศาสตร์ (geographic tools) อปุ กรณท์ ่ชี ว่ ยให้ทราบตำแหนง่ ท่ีตัง้ ขอบเขต ความสัมพันธ์
ของข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และทันสมัยอยู่เสมอ สามารถจัดเก็บหรือเรียกใช้ได้อย่างเป็น

ระบบ เป็นประโยชน์ต่อการเดินทาง การพฒั นาเศรษฐกิจสังคม การวางแผนการใชท้ ี่ดินและผังเมือง
เครือ่ งมอื ทางภูมศิ าสตร์มีหลายประเภท ไดแ้ ก่

• ประเภทใช้ขอ้ มูล เชน่ แผนท่ี ลูกโลก ภาพถา่ ยทางอากาศ ภาพจากดาวเทยี ม

• ประเภทเครื่องมอื เช่น เทอร์โมมเิ ตอร์ เข็มทิศ เทปวัดระยะ

• ประเภทจัดเก็บและเรียกใช้ เช่น การรับรู้จากระยะไกล (RS) ระบบการกำหนดตำแหน่ง

บนโลก (GPS) ระบบสารสนเทศ ภูมศิ าสตร์ (GIS)

คำถามเชงิ ภูมิศาสตร์ (geographic question) ขอ้ สงสัยที่เกี่ยวขอ้ งกับ “ท่ตี ้งั ” (location) เช่น อะไรต้ังอยู่
ท่ใี ด เหตุใด จึงไปตง้ั อยู่ในที่นั้นๆ และทีต่ งั้ นั้นๆ มีความสำคญั อย่างไร เช่น ไรน่ าอย่ทู ี่ใด เหตุใดจงึ ทำไร่
ทำนาในบริเวณน้นั มปี ัจจัยทางภูมิศาสตรใ์ ดบา้ งทที่ ำให้บรเิ วณ ดังกล่าวเหมาะสมแกก่ ารทำไร่ หรือทำ
นา แทนทีจ่ ะทำอุตสาหกรรม หรือใช้ ประกอบกจิ กรรมอ่นื ๆ การตงั้ คำถามเชิงภูมศิ าสตร์จะช่วยให้ผู้
ถามมที ักษะ ในการให้เหตุผลเชงิ ภมู ิศาสตร์ (geographic reasoning) ได้ดีข้นึ สามารถ ระบุประเด็น
และปัญหาเชิงภูมิศาสตร์ ตลอดจนสามารถพัฒนาคำถามวิจัยใหม่ๆ และตั้งสมมติฐานเชิงภูมิศาสตร์
เพอ่ื การศกึ ษาค้นควา้ ได้ลกึ ซ้ึงย่ิงขึ้น กระบวนการให้ได้มาซึ่งคำตอบเชิงภูมิศาสตร์เร่ิมท่ีผู้เรียนจะต้อง
ตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ แล้วเก็บรวบรวมและประมวลข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึง
วเิ คราะหข์ ้อมูลเหลา่ นน้ั เพื่อตอบคำถามเชิงภูมศิ าสตรท์ ีไ่ ด้ตัง้ ไว้

ชีวภาค (biosphere) ส่วนของผิวโลกและบริเวณใกล้เคียงผิวโลกรวมทั้งชั้นบรรยากาศซึ่งเป็นที่อยู่ ของ
ส่ิงมีชีวติ ท้ังหลาย

ทรัพยากร (resource) สิ่งทั้งปวงอันมีค่าเทียบได้กับทรัพย์ เช่น ทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรธรรมชาติ
ทรัพยากรน้ำ

ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resource) สง่ิ ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติ และมนษุ ยส์ ามารถนำมาใช้
ประโยชน์ได้ เช่น บรรยากาศ ดิน น้ำ ป่าไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์ป่า แร่ธาตุ พลังงาน และกำลัง แรงงาน
มนุษย์

ธรณีภาค (lithosphere) ส่วนของโลกที่เป็นของแข็งหุ้มห่ออยู่ชั้นนอกสุดของโลก มีความหมายถึง (1)
ส่วนของโลกที่ประกอบด้วยหินและดิน ซึ่งแตกต่างไปจากอุทกภาค บรรยากาศภาค และชีวภาค
(2) ชั้นนอกสุดของโลกที่มีการแบ่งตามสมบัติทางภายภาพ (physical property) เป็นชั้นที่เย็นและ
แข็งอยู่เหนือชั้นธรณี ภาคชั้นกลาง (asthenosphere) ซึ่งร้อนและมสี ภาพพลาสติก หากเทียบกับ
โครงสร้างของโลกซ่ึงแบ่งตามส่วนผสมของแร่ท่ีเป็นองค์ประกอบชั้นน้ี รวมทั้งช้ันเปลือกโลกท้งั หมด
แนวแบง่ เขตโมโอโรวิชกิ และช้นั บาง ๆ ของ แมนเทิล (mantle) มีความหนารวมทั้งสน้ิ ระหว่าง 40-
80 กิโลเมตร

บรรยากาศ (atmosphere) อากาศทีห่ ้มุ ห่อโลก
ปฏิสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (spatial interaction) การกระทำระหว่างกันในพื้นที่ อาทิ การเดินทางติดต่อ การ

เคลื่อนยา้ ยและ การขนสง่ สิง่ ตา่ งๆ ระหวา่ งสถานที่ สง่ิ ทีเ่ คลือ่ นยา้ ยอาจเปน็ ความรู้ ความคิด ข่าวสาร
พลังงาน สนิ คา้ หรอื ประชากรก็ได้
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ (geographic factor) ปัจจัยทางกายภาพและชีวภาพในพื้นที่หนึ่ง เช่น ภูมิอากาศ
การกระจาย ของพืชพรรณและสัตว์ป่า ชนิดดิน ลกั ษณะภูมิประเทศ ทส่ี ง่ ผลตอ่ การ ดำรงชีวิตของ
มนษุ ย์ภายในพนื้ ท่นี นั้ ทั้งนี้ กจิ กรรมทางพ้นื ท่ีของมนุษย์และ ลักษณะเฉพาะของมนุษย์ในพ้ืนท่ีหน่ึง
ๆ เช่น พฤตกิ รรม ความเชือ่ เศรษฐกิจ ลักษณะที่ถา่ ยทอดทางพันธุกรรม รายได้ อายุท่คี าดเมื่อแรก

เกิด ได้รับ อทิ ธพิ ลจากปจั จัยทางภมู ิศาสตร์และ / หรือปัจจยั ทไี่ ม่ใช่ภูมิศาสตร์ในระดับที่แตกต่างกัน
ไป

ปัญหาทางกายภาพ (physical problem) การเปลี่ยนแปลงสภาพของพื้นผิวโลก โดยมีตัวกระทำจาก
กระบวนการทางธรรมชาตแิ ละมนษุ ย์ ทำให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงอย่างช้า ๆ หรือ ทนั ทที นั ใด ส่งผล

กระทบตอ่ สิง่ มีชีวติ ท้ังทางตรงและทางอ้อม และกอ่ ให้เกิด ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เช่น
ภัยธรรมชาติ ผลกระทบจากการเปล่ยี นแปลงภมู ิอากาศ และปญั หาสิ่งแวดล้อม
แผนท่ี (map) ส่อื รูปแบบหนีง่ ที่ถา่ ยทอดขอ้ มลู ของโลกในรปู ของกราฟกิ โดยการยอ่ ส่วนให้เล็กลงด้วยมาตรา

ส่วนขนาดต่างๆ และเส้นโครงแผนที่แบบต่างๆ ให้เข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ด้วยการใช้สัญลักษณ์
แผนที่แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ (1) แผนที่อ้างอิง (general reference map) เช่น แผนที่ภูมิ

ประเทศ แผนที่ชุด และ (2) แผนที่เฉพาะเรื่อง (thematic map) เช่น แผนที่ประชากร แผนท่ี
ยทุ ธศาสตร์
แผนท่ภี ูมิประเทศ (topographic map) แผนทีแ่ สดงรายละเอยี ดของพนื้ ผวิ โลก เชน่ ภูมลิ ักษณ์ รวมท้ังสิ่งที่

เกิดข้ึนเองตามธรรมชาตแิ ละที่ มนุษย์สรา้ งขึน้ ตามปกติมักเป็นแผนท่มี าตราส่วนใหญ่
แผนที่เฉพาะเรอื่ ง (thematic map) แผนท่ที แ่ี สดงเรอื่ งราวทเ่ี ป็นประเดน็ เฉพาะอยา่ ง หรือเป็นแผนที่แสดง

ข้อมลู เชงิ พ้ืนท่ีท่ีเกยี่ วขอ้ ง กับสาขาวชิ าใดวิชาหนงึ่
ภูมิศาสตร์ (geography) วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่เชื่อมระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์กับสังคมศาสตร์ นัก

ภมู ศิ าสตร์ศึกษาลักษณะของพ้ืนผิวโลกและผลท่ีมตี ่อมนุษย์ โดยเนน้ ที่ตัง้ และ ความสัมพันธ์ระหว่าง

มนษุ ย์กับส่งิ แวดลอ้ ม เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจลกั ษณะทาง กายภาพ ความเปน็ อยขู่ องมนุษย์ โดยใชเ้ ทคนิค
ทางภูมิศาสตร์ช่วยในการศึกษา สืบค้น วิเคราะห์และอธิบายสาเหตุการเกิดปรากฎการณ์ทางพื้นท่ี

หรือสรา้ ง แบบจำลองเพือ่ คาดการณ์ผลท่ีจะเกิดขน้ึ ในพน้ื ท่ีศึกษาเมอื่ กำหนดลกั ษณะ สภาพแวดล้อม
ทางกายภาพและ/หรอื ทางสังคมใหก้ ับพน้ื ทีน่ ้นั ๆ
ภัยพิบัติ (disaster) ในทางสากล หมายถึง การหยุดชะงักอย่างรุนแรงของการปฏิบัติหน้าที่ของชุมชน หรือ

สงั คมอันเป็นผลมาจากการเกิดภัยทางธรรมชาตหิ รือเกิดจากมนุษย์ ซ่ึงสง่ ผลตอ่ ชีวิต ทรัพย์สิน สังคม
เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง เกินกว่าความสามารถของชุมชนหรือสังคมที่ได้รับ

ผลกระทบดังกล่าวจะรับมือไดโ้ ดยใชท้ รพั ยากรทีม่ อี ยู่
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (จีไอเอส) (geographic information system [GIS]) เครื่องมือที่ทำงาน

ด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อการจัดเก็บ จัดการ วิเคราะห์ และแสดงภาพข้อมูลภูมิศาสตร์บนแผนที่ จีไอเอ

สเชื่อมโยงตำแหน่งภูมิศาสตร์ บนพื้นโลกเข้ากับข้อมูลลักษณะประจำของตำแหน่งนั้นๆ เช่น
เชื่อมโยงตำแหน่งของโรงเรียนเข้ากบั ข้อมูลชื่อโรงเรยี น จำนวนครู จำนวนนักเรียนของโรงเรยี นนัน้ ๆ

เชื่อมโยงตำแหน่งแนวเส้นถนนเข้ากับข้อมูลชือ่ ถนน ประเภทถนน จำนวน ช่องทาง ปริมาณรถ ของ
ถนนนั้นๆ เชอื่ มโยงตำแหน่งเส้นรอบรูปพ้นื ท่ีจงั หวัดกับ ขอ้ มูลชื่อจังหวัด จำนวนประชากรแต่ละช่วง
อายุ สดั สว่ นคนจนของจังหวัดน้ันๆ การเช่ือมโยงขอ้ มลู นจ้ี ะทำให้ผู้ใช้เครือ่ งมอื นี้สามารถมองเห็นแบบ

รูปของข้อมูล เข้าใจความสัมพันธ์ของข้อมูล รวมถึงแนวโน้มของข้อมูล เช่น การแทนตำแหน่ง
โรงเรยี นดว้ ยสัญลักษณ์วงกลมทีม่ ขี นาดตามจำนวนนกั เรยี น จะทำให้ เหน็ แบบรูปขนาดของโรงเรียนที่

กระจายอยู่ในพื้นที่ การแทนตำแหน่งเส้นถนน ด้วยสัญลักษณ์เส้นที่มีระดับสีเข้มอ่อนตามปริมาณ
ยานพาหนะ จะทำให้เห็นแบบ รูปของการจราจรบนถนน การแทนตำแหน่งพื้นที่ของจังหวัดด้วย
สัญลักษณ์ที่มี ระดับสีเข้มอ่อนตามจำนวนผูส้ ูงอายุ ของเมื่อ 10 ปีที่แล้ว 5 ปีที่แล้ว และปี ปัจจุบัน

จะทำใหเ้ ห็นแนวโนม้ การเปลีย่ นแปลงของจำนวนผูส้ ูงอายุในจงั หวดั ตา่ งๆ

ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (จีพีเอส) (global positioning system [GPS]) ระบบสัญญาณวิทยุใน
อวกาศของสหรัฐอเมรกิ าท่ีช่วยระบุตำแหน่งบนโลกในรปู แบบสามมิติ (คา่ ละติจดู ค่าลองจจิ ดู และค่า

ความสูง) ด้วยความแม่นใน ระดับเมตร และเซนติเมตร และให้ค่าเวลาที่มีความละเอียดระดับนาโน
วินาที ณ ทกุ หนแหง่ บนโลก จีพีเอสประกอบดว้ ย 3 ส่วน คอื สว่ นอวกาศ ประกอบดว้ ยดาวเทียมของ

รฐั บาลสหรฐั อเมริกาอยา่ งนอ้ ย 24 ดวง โคจรรอบโลกทกุ ๆ 12 ชวั่ โมง ส่วนภาคพื้นดนิ ประกอบด้วย
สถานีเฝ้าสังเกตและดูแล รักษาดาวเทียม ส่วนผู้ใช้ ได้แก่ เครื่องรับสัญญาณจีพีเอส ซึ่งทำหน้าท่ี
ประมวลผลสัญญาณจากดาวเทียม และคำนวณผลลัพธ์เป็นตำแหน่งและเวลา อย่างไรก็ตาม ใน

ปจั จุบันหลายประเทศไดพ้ ฒั นาระบบทส่ี ามารถให้คา่ ตำแหนง่ บนพื้นโลกดว้ ยดาวเทียม เช่น กาลเิ ลโอ
(Galileo) พัฒนาโดยสหภาพยุโรป โกลนาส (GLONASS) พัฒนาโดยประเทศรสั เซีย ระบบเหล่าน้ีมี

ชอื่ เรียกโดยรวม ว่า ระบบดาวเทียมนำหนบนโลก หรือ จีเอ็นเอสเอส (global navigation satellite
system [GNSS])
ลักษณะทางกายภาพ (physical characteristic) ลักษณะตามธรรมชาติของสถานที่แห่งหนึ่งๆ ซึ่ง

ประกอบข้ึนจากส่งิ แวดล้อมและ ทรัพยากรธรรมชาติ เชน่ ภมู ิประเทศ ภูมอิ ากาศ แม่น้ำ ดิน แร่ธาตุ
พชื พรรณ ธรรมชาติ สัตว์ และทรัพยากรธรรมชาตอิ น่ื ๆ

สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) สรรพสิ่งที่มองเห็นได้ ประกอบด้วยสิ่งแวดล้อมทาง
ธรรมชาติ เชน่ ดนิ น้ำ ตน้ ไม้ สัตว์ และสิ่งแวดลอ้ มท่ีมนุษยส์ รา้ งข้ึน เชน่ ตกึ บา้ น รถยนต์

ส่งิ แวดลอ้ มทางสังคม (social environment) สรรพสิง่ ทม่ี นุษย์สร้างขึ้นแต่ไม่ใช่วตั ถุ เชน่ ศาสนา ความเชื่อ

ประเพณี การเมอื ง กฎหมาย
เหตุผลทางภูมิศาสตร์ (geographic reason) การแสวงหาคำตอบและการอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆท่ีได้พบ

เห็นในพืน้ ท่ี รวมทั้งทำความเข้าใจเกย่ี วกับความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านนั้ ในเชิงเหตุและผลท่ีก่อให้เกิด
ปรากฏการณ์นนั้ ท้ังปัจจยั จากภูมิศาสตรก์ ายภาพและ/หรือภูมิศาสตรม์ นุษย์
อตุ สาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมโรงงาน (manufacturing industry) อตุ สาหกรรมแขนงหน่ึงท่ีเปลี่ยน

รูปวัตถุดิบเป็นวัตถุสำเร็จรูป โดยใช้ เครื่องจักรเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานและดำเนินอยู่ตาม
โรงงาน ตรงกนั ขา้ มกบั อตุ สาหกรรมประเภทหัตถศิลป์ ซ่งึ ใช้แรงงานจากมอื เป็นส่วนมาก

อุทกภาค (hydrosphere) ส่วนที่เป็นน้ำทั้งหมดบนพื้นผิวโลกที่นอกเหนือไปจากส่วนที่เป็นของแข็งของ
เปลอื กโลกและสว่ นบรรยากาศที่หุม้ ห่อ


Click to View FlipBook Version