The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

2. ตรวจงานแปลมัทธิว บทนำ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-04 01:16:16

2. บทนำ

2. ตรวจงานแปลมัทธิว บทนำ

พระวรสารตามคาบอกเล่าของนักบญุ มทั ธิว:

บทนา ข้อศีกษาวิพากษ์1 และข้อคิดไตรต่ รอง2

จาก The Gospel of Matthew by M. Eugene Boring3 และ พระเยซูเจา้ แหง่ นาซาเรธ็ โดย โจเซฟ รตั ซงิ เกอร์
ถอดความและเรยี บเรยี ง โดย ววิ ฒั น์ แพร่สริ ิ และคณะ4

บทนา

การจดั ทาคาอธบิ ายตคี วามพระวรสารนักบุญมทั ธวิ น้ี ยดึ หลกั แนวปฏบิ ตั สิ าหรบั การตคี วามพระคมั ภรี ์

โดยคณะกรรมการพระคมั ภรี แ์ ห่งสนั ตะสานกั โดยพระคารด์ นิ ลั โจเซฟ รตั ซงิ เกอร์ (พระสนั ตะปาปาเบเนดกิ ต์ ท่ี 16: ค.ศ.
2006-2013) เสนอต่อพระสนั ตะปาปา ยอห์น ปอล ท่ี 2 เม่อื วนั ท่ี 23 เมษายน ค.ศ. 1993 กบั ได้เขา้ รบั การศกึ ษา
หลกั สูตรผนู้ างานอภบิ าลทใ่ี ชพ้ ระคมั ภรี เ์ ป็นฐาน จดั โดยคณะสงฆแ์ ห่งพระวจนาตถ์ ณ ศูนยอ์ บรมการประกาศ

ขา่ วดี เนมี กรุงโรม ประเทศอติ าลี การเขา้ รบั การศกึ ษาเรยี นรูห้ ลกั สตู รอบรมพระคมั ภรี ์ พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ :

ตดิ ตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้าในดนิ แดนศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ผสานกบั พระสมณสาสน์เร่อื งพระวาจาของพระเป็นเจ้า

ประสบการณ์ในงานอภบิ าลชุมชนวดั และการศกึ ษาเลก็ น้อย ระหว่าง ปี ค.ศ. 1982-2015 และตงั้ ใจเรยี นรูแ้ ปล

แบบถอดความกับใช้เป็นข้อคิดไตร่ตรองประกอบงานอภิบาล เป็นบทเทศน์ในมิสซาวนั อาทิตย์และ มิสซา

ประจาวนั จากหนังสอื ศกึ ษาวพิ ากษ์และข้อคดิ ไตร่ตรอง พระวรสารนักบุญมทั ธวิ โดย เอ็ม ยูจนี โบรง่ิ จาก

หนังสอื ชุด The New Interpreters’ Bible ของสานักพมิ พ์ Abingdon, U.S.A. ตงั้ แต่ปี ค.ศ. 2011 ประกอบกบั

หนงั สอื พระเยซูเจา้ แห่งนาซาเรธ็ โดย โจเซฟ รตั ซงิ เกอร์ (พระสนั ตะปาปาเบเนดกิ ต์ ท่ี 16) แปลโดยบาทหลวง

ทศั ไนย์ คมกฤส ค.ศ. 2013 นามาประมวลกนั

เรม่ิ จากเรยี นรูจ้ กั พระวรสารเป็นหนังสอื ผลงานการรวบรวม เรยี บเรยี งขอ้ ความข่าวสาร หลากหลาย
รปู แบบจากตน้ ฉบบั หลายประเภท เช่น ฉบบั ทเ่ี ขยี นดว้ ยลายมอื (Manuscripts) ฯลฯ บนั ทกึ ชวี ติ และพนั ธกจิ ของ
พระเยซูคริสตเจ้าเก่ียวกับข่าวดีแห่งอาณาจักรพระเป็ นเจ้า คาว่า Gospel หรือพระวรสาร (Eujagge”lion
Euaggelion5) ซง่ึ เป็นคาทเ่ี รมิ่ ใชส้ อ่ื ประกาศสอนถงึ ขา่ วดตี งั้ แต่ในพระศาสนจกั รยุคแรกเรม่ิ ชุดหนงั สอื พระวรสาร
มี 4 เล่ม คอื พระวรสารนักบุญมทั ธวิ นักบุญมาระโก นักบุญลูกา และนักบุญยอหน์ ไดร้ บั การรบั รองอย่างเป็น

ทางการ และเป็นส่วนหน่ึงในสารบบของพระคมั ภรี ใ์ นภาคพนั ธสญั ญาใหม่ มเี น้ือหาสาระเพ่อื ใชใ้ นการประกาศ

สอน อา้ งองิ และตคี วามหมายสบื เน่ืองกบั พระคมั ภรี เ์ ลม่ อ่นื ๆ

พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นพระวรสารฉบบั “ยอดนิยม” ในศาสนาครสิ ตย์ คุ แรกเรมิ่ จดั เป็นหนังสอื ลาดบั

แรกของหนังสอื ทุกเล่มในพระคมั ภรี ใ์ หม่ด้วยความเขา้ ใจว่าเป็นหนังสอื พระวรสารท่เี ขยี นขน้ึ เป็นเล่มแรก และ

เป็นเล่มทบ่ี รรดาปิตาจารยแ์ ห่งพระศาสนจกั ร (Church Fathers) ไดย้ กขอ้ ความมาใชอ้ า้ งองิ บ่อยทส่ี ุด มเี หตุผล

1 ขอ้ ศกึ ษา (study) เป็นผลจากการศกึ ษาตวั บทพระวรสารหรอื พระคมั ภรี อ์ ย่างมหี ลกั วชิ าการและใชว้ ธิ กี ารทถ่ี ูกต้องเหมาะสม เพ่อื รถู้ งึ ความหมายและคุณค่าจาก
เน้ือหาสาระและสงิ่ สาคญั ท่ขี อ้ ความตวั บทหรอื จุดประสงค์ของผูเ้ ขยี นต้องการส่อื ให้ทราบ การวพิ ากษ์ (to comment or to criticize or critical analysis) เป็นผล
การศกึ ษาเชงิ วจิ ารณ์ใหข้ อ้ คดิ เหน็ และวเิ คราะห์ ตชิ มอย่างสมเหตุสมผลหรอื มขี อ้ เทจ็ จรงิ หรอื หลกั ฐานประกอบสนับสนุน แตกต่างจากวจิ ารณ์ แบบเป็นเพยี งความ
คดิ เหน็
2 คดิ ไตรต่ รอง (Reflection) เป็นผลจากการคดิ สะทอ้ นความคดิ คดิ เปรยี บเทยี บ คิดวเิ คราะหส์ งั เคราะหอ์ ย่างมวี จิ ารณญาณ และอยา่ งเหมาะสมกบั เน้ือหาสาระทงั้
จากสาระยอ่ ยและสาระแบบองคร์ วม เพอ่ื นามาใชป้ ระโยชน์ในสถานการณ์ปัจจบุ นั หรอื เป็นบทเรยี นรแู้ ก่ตนและสงั คม
3 M. Eugene Boring: I. Whlie and Elizabeth M. Briscoe Professor of New Testament. Brite Divinity School, Texas Christian University; Fort Worth,
Texas. (Christian Church [Disciples of Christ]
4 คณะจดั ทา ถอดความและเรยี บเรยี ง: บาทหลวง ดร. ววิ ฒั น์ แพรส่ ริ ,ิ น.ส. เขมลกั ษณ์ ดปี ระวตั ิ ผแู้ ปล และนางอรทลู เตมิ คุนานนท์ ผตู้ รวจทาน
5 Eujagge”lion เดิมในอาณาจกั รโรมนั ใช้เป็นคาศพั ท์เก่ียวกบั การประกาศ โองการต่างๆ ของจกั รพรรดแิ ห่งโรม และให้ถือว่าทุกสง่ิ ท่เี ป็นข่าวดี เป็นสงิ่ ดแี ก่
ประชาชนทุกคนและอาณาจกั รดว้ ย มทั ธวิ และลกู าไดน้ าคาศพั ทน์ ้ีมาใชก้ บั พระวรสารของพระเยซูเจา้

1

หลายขอ้ ทท่ี าใหผ้ อู้ ่านในปัจจุบนั สามารถเขา้ ใจได้ไม่ยากว่าหนงั สอื เล่มน้ีไดร้ บั สทิ ธพิ เิ ศษดงั กล่าวคอื พระวรสาร
นกั บุญมทั ธวิ มโี ครงสรา้ งทไ่ี ดร้ บั การออกแบบอย่างดี รปู แบบลกั ษณะการเขยี นเออ้ื ต่อการจดจา มเี น้ือหาคาสอน
สาคญั เป็นทร่ี จู้ กั คุน้ เคย จดั ลาดบั และใหค้ วามหมายอย่างชดั เจนเขา้ ใจงา่ ย และเน้ือหาสาระเป็นขอ้ อา้ งองิ ปรากฏ
อย่ใู นพระวรสารเล่มอ่นื ดว้ ย (เช่น มหาบุญลาภแปดประการ บทสวดขา้ แต่พระบดิ าฯ คาสารภาพของนักบุญเปโตร และขอ้ พระธรรมคาสอน
อุปมา นิทานเปรยี บเทียบต่างๆ) ผู้อ่านจะทราบดีว่าเน้ือหาเหล่านัน้ อยู่ท่ีใดในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ วธิ กี ารเขยี น
วตั ถุประสงค์เด่นชดั และเล่าเร่ืองมลี กั ษณะแตกต่างจากพระวรสารนักบุญมาระโกและพระวรสารนักบุญลูกา
เหตุผลสาคญั อกี ประการหน่ึงคอื ผเู้ ขยี นเป็นอคั รสาวกประจกั ษ์พยาน (Apostolic Eyewitness) ของพระเยซูเจา้
นกั บญุ มทั ธวิ เรม่ิ ตน้ นิพนธด์ ว้ ยการจดั เรยี งลาดบั วงศต์ ระกลู (Genealogy) เหมอื นกบั หนงั สอื ปฐมกาล (Genesis)
แห่งพระคมั ภีร์พนั ธสญั ญาเดิม เร่อื งการไถ่กู้มนุษย์ให้รอดพ้น (Redemption) ของพระเยซูเจ้า เป็นเร่อื งการ
สรา้ งใหม่ (New Creation) ซ่ึงการเล่าลาดบั วงศ์ตระกูลเป็นบนั ทกึ สาคญั ของยุคสมยั แห่งพนั ธสญั ญาเดมิ แต่
ผอู้ ่านสมยั ใหมอ่ าจดวู า่ เป็นบนั ทกึ หรอื สงิ่ เกย่ี วขอ้ งทไ่ี ม่สาคญั และไม่จาเป็น แตผ่ ูน้ พิ นธพ์ ระวรสารประสงคใ์ ชเ้ ป็น
วธิ กี ารสอ่ื หรอื เป็นสะพานทช่ี ่วยใหเ้ หน็ ความเช่อื มโยงระหวา่ งพระวรสารกบั พระคมั ภรี ข์ องชนชาตอิ สิ ราเอล หรอื
ทบทวนการตคี วามของผอู้ ่านในยุคสมยั ก่อนในเสน้ ทางแห่งพระสญั ญาสภู่ ารกจิ แห่งพระเมสสยิ าห์ ทป่ี รากฏเป็น
จรงิ ในองคพ์ ระเยซูเจา้ ใหผ้ อู้ ่านรุน่ ต่อมาไดม้ องเหน็ ความต่อเน่ืองและภารกจิ ทท่ี รงทาให้พระสญั ญาแหง่ การไถ่กู้
ใหร้ อดพน้ สาเรจ็ เป็นจรงิ

กระบวนการตคี วามพระวรสารตอ้ งใชห้ ลกั และวธิ กี ารอย่างมหี ลกั เกณฑท์ เ่ี หมาะสมและดาเนินการอยา่ ง
มจี ติ สานึก กล่าวคอื เป็นสง่ิ สาคญั ท่ผี อู้ ่านจะตอ้ งตคี วามอย่างสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะตามธรรมชาตขิ องพระวรสาร
เอง เช่นเดยี วกบั พระวรสารเล่มอ่นื ๆ ของพระคมั ภีร์พนั ธสญั ญาใหม่ กล่าวคอื ดาเนินการตคี วามหรอื ทบทวน
ตคี วามหมายตามแนวทางท่สี มณสภาว่าดว้ ยพระคมั ภรี ค์ าทอลกิ ไดใ้ หห้ ลกั เกณฑ์สาหรบั การตคี วามและความ
เขา้ ใจพระคมั ภรี อ์ ย่างเป็นเหตุเป็นผล พสิ ูจน์ทบทวนตรวจสอบได้ในแง่มุมทางประวตั ศิ าสตร์ วรรณกรรมและ
ความหมายอย่างเป็นระบบหรอื อย่างเป็นเชงิ ระบบ (คณะกรรมาธกิ ารพระคมั ภรี แ์ หง่ สนั ตะสานัก, 1993) กบั ในฐานะทพ่ี ระวร
สารเป็นบนั ทกึ เหตุการณ์และขอ้ เทจ็ จรงิ ในประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ เป็นสงิ่ ทเ่ี กดิ ข้ึนจรงิ ในประวตั ศิ าสตรข์ องโลกและใน
ประวตั ศิ าสตรแ์ ห่งความรอดพน้ แต่ไม่ใช่บนั ทกึ ประวตั ศิ าสตรโ์ ดยตรงหรอื ทงั้ หมด ในเวลาเดยี วกนั เป็นบนั ทกึ
การตคี วาม(Interpretation) หรอื การทบทวนตคี วามหมาย (Reinterpretation) จากเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ จรงิ
และในความทรงจาทร่ี ะลกึ หรอื หวนระลกึ ได6้ ซง่ึ เม่อื ตรวจสอบกบั หลกั การ หลกั ธรรมและสจั ธรรมทไ่ี ดป้ รากฏให้
เห็น จงึ เกดิ เป็นบทเรยี นหรอื สามารถถอดความเป็นบทเตอื นใจ ได้พบสมั ผสั กบั รสพระธรรมท่แี ฝงซ่อนอยู่ใน
เหตุการณ์หรอื สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ หรอื เกดิ จากบุคคลนนั้ ๆ สามารถเป็นคตธิ รรม เป็นแสงสวา่ งนาทางชวี ติ กล่าวคอื เป็น
บทเรยี นทไ่ี ดร้ บั โดยทางจติ ทส่ี ามารถสมั ผสั เพง่ พศิ และ/หรอื การสอ่ งสวา่ งของพระจติ เจา้ ในทานองเดยี วกนั เม่อื
ราลกึ และพจิ ารณาแล้วพบว่าเหตุการณ์หรอื ขอ้ เท็จจรงิ ท่เี กิดข้นึ เป็นสงิ่ ท่ถี ูกต้อง มคี ุณค่าความหมายแก่ชวี ติ
เหมอื นกบั ธรรมบญั ญตั ิ หลกั ศลี ธรรมอย่างเหมาะสมหรอื อย่างลกึ ซ้งึ ยง่ิ เม่อื ไดน้ ามาปฏบิ ตั แิ ลว้ พบว่าบนั ดาลสงิ่
ดีๆ และคุณค่าดีงามแก่ชีวิตหรอื ผู้ปฏิบัติตามหรอื ศรทั ธา ทงั้ ยงั มีความเป็นเหตุเป็นผล สมเหตุสมผล เป็น
หลกั การสาคญั แบบไม่ขน้ึ กบั เวลา(อกาลโิ ก) เกดิ ความหมายและคุณค่าอยา่ งลกึ ซง้ึ แปรเปลย่ี นไปตามบรบิ ทและ

6 นกั บุญมทั ธวิ ใชว้ ธิ กี าร Reinterpretation เป็นหลกั ในการเลา่ เรอื งและอธบิ ายความหมายอยา่ งเป็นขนั้ ตอนและเป็นระบบในการนิพนธพ์ ระวรสาร
ท่านไดต้ ระหนกั รใู้ นมุมมองทแ่ี ตกตา่ งภายใตแ้ สงสวา่ งแหง่ พระเยซเู จา้ ผทู้ รงกลบั คนื พระชนมช์ พี และพระจติ เจา้

2

เจตคติ มองเหน็ แยกแยะความแตกต่างจากความเหมอื น และมองเหน็ ความเหมอื นในความแตกตา่ ง ซง่ึ นาคุณคา่
ทม่ี ากกว่าแก่ประชาชนอย่างเหมาะสมตามบรบิ ท สภาพแวดลอ้ มหรอื สถานการณ์ และสุดทา้ ยการตคี วามตอ้ ง
ดาเนินไปบนพน้ื ฐานของขอ้ เทจ็ จรงิ อย่างเป็นไปตามแก่นสาระในตวั เองหรอื วตั ถุวสิ ยั บนพน้ื ฐานแห่งเทววทิ ยา
(โจเซฟ รตั ซงิ เกอร,์ “พระเยซเู จา้ แห่งนาซาเรธ็ ” หน้า 404-416) กล่าวคอื ภายในจติ ใจผอู้ า่ นและตคี วามทแ่ี สวงหาพระเป็นเจา้ สจั
ธรรม ความดแี ละความงดงามภายใต้พระจติ เจา้ องคค์ วามสว่างทส่ี ่องแสงสว่างดลบนั ดาลในจติ ใจหรอื โดยพระ
บตุ ร พระวจนาตถห์ รอื พระวาจาของพระเป็นเจา้ (ในพระคมั ภรี ์ สารแห่งความรอดพน้ ทพ่ี ระเป็นเจา้ ทรงเปิดเผยแสดงแก่มนุษย)์ ทงั้ น้ี
เน่ืองจากพระวรสารนักบุญมทั ธวิ เป็นหนังสอื ท่นี ิพนธใ์ นรูปแบบวรรณกรรมตคี วามในแบบการทบทวนตคี วาม
(Reinterpretation) ในมมุ มองทแ่ี ตกต่างหรอื มมุ มองใหม่เชงิ ศาสนาเกย่ี วกบั เหตกุ ารณ์ทางประวตั ศิ าสตรท์ เ่ี กดิ ขน้ึ
จรงิ นาพาผคู้ นทอ่ี ยใู่ นสถานการณ์ทางประวตั ศิ าสตรแ์ บบหน่งึ ใหต้ ระหนกั ไตรต่ รองถงึ สถานการณ์ทแ่ี ตกต่างกนั
ของตน อย่างเกิดคุณค่าและมคี วามหมาย ดงั นัน้ การ(ทบทวน)ตีความพระวรสารเพ่อื ใช้ในชวี ติ และพนั ธกจิ ของ
พระศาสนจกั รจงึ ควรดาเนินบนพ้นื ฐานของขอ้ เทจ็ จรงิ ทางประวตั ศิ าสตร์ วรรณกรรม เทววทิ ยาและ/หรอื ศาสนา
ไปพร้อมๆ กนั แนวทางเหล่าน้ีไม่สมควรแยกออกจากกนั และกนั หรอื ไม่เก่ียวข้องกนั แต่ต้องคานึงถึงความ
สอดคลอ้ งไปกบั ธรรมชาตขิ องพระวรสารเองดว้ ย

1. พระวรสารมทั ธิวในมมุ มองทางประวตั ิศาสตร์

คาวจิ ารณ์เชงิ ประวตั ศิ าสตร์ : การตคี วามเน้อื หาทมี่ หี ลายระดบั ชนั้
พระวรสารจดั เป็นเอกสารเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ เน่ืองจากแต่ละเล่มเป็นการอธบิ ายความหมายเชงิ เทววทิ ยา

เก่ยี วกบั บุคคลในประวตั ศิ าสตรผ์ ูห้ น่ึง และจดั รวบรวมขน้ึ มาพรอ้ มกบั อธบิ ายสถานการณ์ทางประวตั ศิ าสตรท์ ่ี
เกิดข้นึ จรงิ อภิปรายลกั ษณะบรบิ ททางประวตั ิศาสตร์ ได้แก่ เร่อื งคาบอกเล่า (Saying) เหตุการณ์ต่างๆ ใน
ประวตั ศิ าสตรท์ ่เี ช่อื ถอื ได้ และขอ้ คาสอนทเ่ี ป็นสจั ธรรมสาหรบั ทุกยุคสมยั (อกาละ, อกาลโิ ก -Timeless) ผูเ้ ขยี น
แสดงความคดิ เหน็ (Commentary) ขอ้ วพิ ากษ์ศกึ ษาหรอื ขอ้ คดิ ไตร่ตรองเพมิ่ เตมิ ในมุมมองท่ตี นเขา้ ใจสาหรบั
ผู้อ่านร่วมสมยั ไม่ได้มุ่งเน้นสู่ผู้อ่านยุคใดยุคหน่ึงหรอื ยุคปัจจุบนั โดยตรง แต่มุ่งบอกเล่าตามสถานการณ์(ทาง
ประวตั ศิ าสตร)์ ตามกาลเวลายคุ สมยั และสถานท่ี กบั อกี สถานการณ์หน่งึ ซง่ึ แตกตา่ งแต่คลา้ ยกนั สมั พนั ธก์ นั

เช่นเดยี วกนั พระวรสารนักบุญมทั ธวิ กบั หนังสอื เล่มอ่นื ๆ ในพระคมั ภรี ใ์ หม่ มธี รรมชาตเิ ป็นเอกสารทาง
ประวตั ศิ าสตร์ เล่าเร่อื งขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จรงิ และเหตุการณ์ในประวตั ศิ าสตร์ การตคี วามท่ถี ูกตอ้ งเหมาะสมจะตอ้ ง
อ่าน วเิ คราะห์ ทาความเขา้ ใจเน้ือหาโดยพจิ ารณาคานึงถึงบรบิ ทแวดล้อมดงั้ เดมิ เราควรให้เอกสารบอกเล่า
เร่อื งราวกบั ผคู้ นในยุคสมยั นนั้ ตามกรอบความคดิ ของพวกเขาและอธบิ ายถงึ สงิ่ ทพ่ี วกเขาใหค้ วามสาคญั และถา้
หากเอกสารน้ีพดู กบั เราในสง่ิ ทเ่ี ราใหค้ วามสาคญั ดว้ ย (ซง่ึ พระศาสนจกั รทุกยุคทุกสมยั เขา้ ใจและเชอ่ื มนั่ เชน่ นนั้ น่จี งึ เป็นเหตุผลทเ่ี รา
ศกึ ษาพระคมั ภรี )์ เทา่ กบั วา่ ถอ้ ยคาในพระคมั ภรี บ์ อกเลา่ กบั มนุษยท์ ุกคนอยา่ งแทจ้ รงิ ไมไ่ ดเ้ ป็นเพยี งภาพสะทอ้ นของ
ความปรารถนา อุดมคติ หรอื ความกงั วลของมนุษย์(เชงิ อตั วสิ ยั ) ไม่ใชค้ วามรสู้ กึ ส่วนบุคคลเป็นหลกั ในการตคี วาม
ใดๆ ซ่ึงอาจจะทาให้เราไม่เห็นความต่างระหว่างความหมายแบบโบราณท่ีแท้จรงิ ภายใต้บริบทดงั้ เดิมกับ
ความหมายแบบยุคสมยั ใหม่ภายใตบ้ รบิ ทของสมยั ใหม่ของเน้ือหานนั้ ประเดน็ น้ีทาให้เราไม่ควรเพกิ เฉยกบั การ
คน้ หาว่าสง่ิ น้ี “หมายความว่าอย่างไรในสมยั นัน้ ” หากเราต้องการจะคน้ พบว่าพระวาจา(ขอ้ ความในพระคมั ภรี )์
“หมายความวา่ อย่างไรในสมยั น้ี” ในกาลเวลา สภาพแวดลอ้ ม สถานการณ์และสถานทข่ี องเรา

3

ความปรารถนาของผู้อ่านชาวครสิ ต์ท่ีต้องการจะนาถ้อยคาในพระวรสารนักบุญมทั ธิวมาปรบั ใช้กบั
สถานการณ์ของตนเองถอื เป็นผลพลอยได้จากลกั ษณะเหตุการณ์อนั เฉพาะเจาะจงของเร่อื งราวเก่ยี วกบั พระ
ครสิ ต์ พระเยซูเจา้ แห่งนาซาเรธ็ พระองคท์ รงเป็นชาวยวิ พูดภาษาอราเมอกิ อาศยั อย่ใู นดนิ แดนปาเลสไตน์ใน
ศตวรรษท่ีหน่ึง ทรงเป็นพระบุคคลท่ีมีตวั ตนอยู่ในประวตั ิศาสตร์ในกรอบเวลาท่ีแน่ชดั ไม่ใช่มนุษยชาติโดย
ภาพรวม ซ่งึ เอกสารในสารบบพระคมั ภรี ์ ภาคพนั ธสญั ญาใหม่ทงั้ หมดทส่ี ่อื ถงึ ความหมายของเหตุการณ์น้ีเป็น
เอกสารประวตั ศิ าสตรอ์ นั เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ อย่างชดั เจน และเป็นเหตุการณ์ท่นี ่ายนิ ดแี บบการเฉลมิ ฉลอง เพราะใน
เม่อื หลกั คาสอนน้ีเล่าถงึ การปรากฏของพระเมสสยิ าห์ว่าไดร้ บั การยนื ยนั ใหเ้ ราแน่ใจว่าทรงเป็นพระเยซูเจา้ ผูม้ ี
ตวั ตนในประวตั ศิ าสตร์ ในความเป็นพระครสิ ต์ของพระเยซูเจา้ ย่อมหมายความว่าโลกและชวี ติ มนุษยไ์ ดร้ บั การ
ยนื ยนั เชน่ กนั หรอื กล่าววา่ พระผเู้ ป็นเจา้ ไมไ่ ดเ้ พยี งแสดงองคป์ รากฏในความสมบูรณ์แบบนิรนั ดรภาพ (Eternal
Absolutes) หรอื เหนือธรรมชาตเิ พยี งอย่างเดยี วเท่านัน้ แต่พระองคย์ งั ปรากฏอย่ใู นประวตั ศิ าสตร์ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ย
ความคลุมเครอื (Historical Ambiguities) แหง่ ชวี ติ น้แี ละโลกน้เี ชน่ กนั

การตคี วามเชงิ ประวตั ศิ าสตรต์ อ้ งเหมาะสมกบั การเผยแสดงทางประวตั ศิ าสตร์ (Historical Revelation)
เม่อื ทรงเป็นพระเยซูครสิ ต์ท่มี ตี วั ตนในประวตั ศิ าสตร์ และพระคมั ภรี ์ไดบ้ นั ทกึ เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ เชงิ ประวตั ศิ าสตร์
สง่ิ น้ีจงึ หมายความว่าการตคี วามทงั้ หมดจะมีกรอบชดั เจน ประกอบจากสว่ นแยกย่อยเลก็ ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งสมั พนั ธ์
กบั ความเป็นจรงิ ของประวตั ศิ าสตรแ์ ละมนุษย์ทม่ี ขี อบเขตจากดั ผเู้ ป็นนักตคี วาม เม่อื จะต้องตดั สนิ ความหมาย
ต่างๆ พึงยดึ หลกั วธิ กี ารศึกษาประวตั ิศาสตร์ คอื ตีความบนฐานของขอ้ เท็จจรงิ ไม่ใช่ในความสมบูรณ์อนั ไร้
ขอบเขต และจากการตคี วามบนฐานสงิ่ เป็นจรงิ ซง่ึ มขี อบเขตจากดั เป็นสงิ่ เกดิ ขน้ึ ไดอ้ ย่างพสิ จู น์ตรวจสอบได้ และ
เป็นสงิ่ ดที ส่ี ุดเท่าทเ่ี ราจะทาได้ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์โดยตวั เอง ไม่อาจเกย่ี วขอ้ งกบั ความสมบูรณ์แบบอนั ไร้
ขอบเขต (Absolutes) และกระบวนการศกึ ษาเชน่ น้ีไมใ่ ช่สง่ิ ไม่ดหี รอื ไมถ่ ูกตอ้ ง แตเ่ ป็นกระบวนการทใ่ี ชว้ ทิ ยาการ
การศกึ ษาอยา่ งมหี ลกั เกณฑแ์ ละบนพน้ื ฐานของขอ้ พสิ จู น์ตรวจสอบได้ จงึ เป็นสงิ่ น่ายนิ ดแี ละอธบิ ายถงึ พระวจนะ
ของพระเป็นเจ้า ท่สี ่อื ผ่านการเผยแสดงเป็นปรากฎการณ์จรงิ อย่างมีหลกั ฐานท่สี ามารถไดร้ บั การตคี วามตาม
หลกั การและกระบวนการทางวชิ าการตรวจสอบพสิ จู น์ความเป็นจรงิ แท้ยนื ยนั โดยนกั ประวตั ศิ าสตร์ ต่อไปเรา
จะพจิ ารณาสว่ นตา่ งๆ ตอ่ ไปน้ี ในมติ ติ า่ งๆ ในการตคี วามเชงิ ประวตั ศิ าสตรใ์ นบนั ทกึ ของพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ

2. เนื้อหาสาระของพระวรสารมทั ธิว นักศกึ ษาทุกคนผศู้ กึ ษาพระวรสารน้ีต่างทราบว่าเป็นฉบบั ทม่ี กี าร

เรยี บเรยี งข้นึ ใหม่ เน่ืองจากต้นฉบบั ท่แี ท้จรงิ นัน้ สูญหายไป7 เช่นเดยี วกบั หนังสอื เล่มอ่นื ๆ ในพระคมั ภรี ์ ภาค
พนั ธสญั ญาใหม่ อยา่ งไรกต็ าม นกั ศกึ ษาวจิ ารณ์เน้ือหา(พระคมั ภรี )์ ได้ดาเนินการทาตรวจสอบจนไดเ้ น้ือหาสาระ

7 จากหลกั ฐานการคน้ พบถ้าทค่ี มุ ราน ใกลท้ ะเลตาย สนั นิษฐานวา่ เป็นทพ่ี กั หลบซ่อนของชาวอสิ ราเอล ผหู้ นีภยั สงครามจากเยรซู าเลม็ ชว่ งปี กคศ.
134 - 104 และช่วงอาณาจกั รโรมทาลายกรงุ เยรซู าเลม็ ปี ค.ศ. 66-70 ชาวอสิ ราเอลไดใ้ ชภ้ เู ขาคมุ รานเป็นทห่ี ลบภยั และบาเพญ็ พรตดว้ ย พบว่า ทถ่ี ้า
คมุ รานเป็นทเ่ี กบ็ เอกสาร มว้ นหนงั สอื พระคมั ภรี จ์ านวนมาก ซง่ึ นามาหลบซ่อนภยั ทน่ี ่ี คาดวา่ นามาจากกรงุ เยรซู าเลม็ ใหร้ อดพน้ จากการเผาทาลาย
เมอื ง จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Qumran และอ่นื ๆ

4

พระวรสารนักบุญมทั ธวิ ใกลเ้ คยี งกบั ต้นฉบบั ดงั้ เดมิ มากทส่ี ุดและเป็นฉบบั ทด่ี ที ส่ี ุดออกมา ท่ผี ่านการตรวจสอบ
ความเช่อื มนั่ ”ระดบั มาก”ในความถูกตอ้ ง ถงึ แมจ้ ะไมห่ มดทงั้ ฉบบั พระคมั ภรี ์ ภาคพนั ธสญั ญาใหมภ่ าษากรกี สอง
ฉบบั ทน่ี ิยมใชก้ นั อย่างกวา้ งขวางทส่ี ุดน้ี มผี ูเ้ รยี บเรยี งคณะเดยี วกนั (UBSGNT and Nestle-Atland 27) ดงั นัน้
เน้ือหาทงั้ สองฉบบั จงึ เหมอื นกนั ระบบการวเิ คราะห์ (Critical Apparatus) ของพระคมั ภรี ฉ์ บบั The Greek New
Testament4 (UBSGNT) พบว่าในพระวรสารนักบุญมัทธิวมีชุดคาอ่านเป็ นตัวแปรท่ีแต กต่างกัน (Variant
Readings) 160 แห่ง โดยเลอื กมาเฉพาะขอ้ ความท่ีสาคญั สาหรบั การแปลเป็นภาษาอ่ืน ส่วนพระคมั ภีร์ฉบบั
Novum Testamentum Greece 27 (Nestle-Atland 27) มีชุดคาอ่านเป็นตัวแปร(ท่ีแตกต่างกนั )ในพระวรสาร
นกั บุญมทั ธวิ มากกวา่ 1,000 แหง่ ซง่ึ เป็นสว่ นทเ่ี ลอื กมาเฉพาะขอ้ ความทม่ี คี วามสาคญั ต่อการศกึ ษาอธบิ าย สว่ น
เน้ือหาฉบบั ทไ่ี ฮน์รคิ กรฟี เวน (Heinrich Greeven) จดั วางโครงสรา้ งเรยี บเรยี งใหม่แตกต่างกบั ฉบบั UBSGNT
และ Nestle-Atland 27 ทงั้ หมด 160 แห่ง แสดงวา่ ในหน่ึงบทจะมี 6 ตอน ทพ่ี ระคมั ภรี ภ์ าษากรกี ทงั้ สองฉบบั เหน็
แตกต่างออกไปในเร่อื งถ้อยคาท่อี ยู่ในต้นฉบบั ดงั้ เดมิ ของพระวรสาร พระคมั ภีร์ ฉบบั NRSV (New Revised
Standard Version) นัน้ ยดึ เน้ือหาตามมาตรฐานฉบบั UBSGNT และ Nestle-Atland 27 ส่วนท่แี ตกต่างมนี ้อย
มาก สว่ นพระคมั ภรี ฉ์ บบั NIV (New International Version) ยดึ ตามเน้ือหาจากหลายๆ แหล่งทส่ี รรหารวบรวม
และจดั วางโครงสรา้ งโดยผแู้ ปล ดงั นัน้ ความแตกต่างระหว่างฉบบั NRSV กบั NIV ไม่ใช่การแปลทแ่ี ตกต่างกนั
แต่อยทู่ ก่ี ารไตรต่ รองของผแู้ ปลทเ่ี ลอื กใชค้ าและถอ้ ยคาแตกต่างกนั จากตน้ ฉบบั ภาษากรกี

3. การวิเคราะห์แหล่งที่มา (Source Analysis) บางครงั้ เรยี ก “วรรณกรรมวจิ ารณ์” (Literary Criticism)

เป็นวธิ กี ารศกึ ษาตรวจสอบว่าผู้ประพนั ธ์ได้เน้ือหามาจากแหล่งใด มลี กั ษณะและรูปแบบเป็นอย่างไร ในช่วง
ศตวรรษทส่ี บิ เก้าและศตวรรษทย่ี ส่ี บิ ตอนตน้ มีขอ้ สรุปทางวชิ าการว่าแหล่งทม่ี าสาคญั ของเน้ือหาในพระวรสาร
นักบุญมทั ธิว คอื พระวรสารนักบุญมาระโก กบั ชุดรวบรวมคาพูดสอนของพระเยซูเจ้า (Sayings of Jesus)
พร้อมคาบรรยายเพม่ิ เตมิ เลก็ น้อย ซ่ึงเรยี กว่า แหล่ง(ขอ้ มูล) “Q” แต่ในช่วงเวลาไม่นานมาน้ี มที ศั นะทางความ
คดิ เห็นใหม่ท่ีแตกต่างเก่ียวกบั แหล่งท่ีมาหลกั จากการตงั้ ข้อสงสยั และตัง้ คาถามมาศึกษาพิจารณาวนิ ิจฉัย
ทงั้ หมดในช่วง 30 ปีท่ีผ่านมา กลบั มีความเห็นท่ีเป็นเอกฉันท์อย่างสอดคล้องและท่ียึดตามหลกั ความเช่ือ
(Dogmatism) น้อยลงกวา่ แต่ก่อน กบั หลกี เลย่ี งโดยใชว้ ธิ แี กป้ ัญหาแบบงา่ ยๆ นนั่ คอื นกั วชิ าการสว่ นใหญ่เช่อื วา่
นักบุญมทั ธวิ ใช้ขอ้ มูลแหล่ง “Q” (ในรปู แบบท่แี ตกต่างไปจากท่นี ักบุญลูกาใชเ้ ลก็ น้อย) และใช้พระวรสารนักบุญมาระโก (ใน
รูปแบบท่ปี รบั เปล่ยี นเล็กน้อยจากท่ีปรากฏในพระคมั ภีร์ใหม่) รวมทงั้ ใช้แหล่งเอกสารอ่นื ๆ ในกระแสธรรมประเพณีของตน
(เรยี กแหล่ง “M”) ซง่ึ เป็นแหล่งทม่ี าหลกั ในการนิพนธพ์ ระวรสาร สว่ นขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ (Commentary) พจิ ารณา
จากมุมมองหรอื สมมุตฐิ านว่านักบุญมทั ธวิ ใชแ้ หล่งทม่ี าทงั้ สองแห่ง เช่นเดยี วกบั สมมตฐิ านการศกึ ษาพระวรสาร
สหทรรศน์

4. การวิจารณ์รปู แบบ (Form Criticism) แหล่งท่มี าหลกั ของการเขยี นพระวรสารนักบุญมทั ธวิ คอื ธรรม

ประเพณี เรอ่ื งบอกเล่าดว้ ยวาจา (Oral Tradition) ซง่ึ ถ่ายทอดเล่าสบื ต่อกนั มาแบบปากเปล่าเป็นเวลาหลายสบิ ปี
หลงั เหตุการณ์การกลบั คนื พระชนมช์ พี เลา่ สาระเน้อื หาของเรอ่ื งราวและคาสอนของพระเยซูครสิ ตไ์ ดถ้ า่ ยทอดต่อ
กนั จากปากต่อปากในชวี ติ ของชุมชนชาวครสิ ต์ ในลกั ษณะเร่อื งเล่าจากคนหน่ึงไปส่อู กี คนหน่ึง กบั บนั ทกึ ท่ีเป็น

5

ชุดรวมเร่อื งเล่าดงั กล่าว ซ่ึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ชีวติ ของพระเยซูครสิ ต์” แต่เป็นพยานยนื ยนั ถึงความหมาย
ทงั้ หมดของเหตุการณ์(บนั ดาลใจ)เก่ยี วกบั พระครสิ ต์ ซ่ึงอยู่ในรูปแบบของคาเทศนา คาสอน การสกั การบูชา
ความขดั แยง้ และการช้แี จงแถลงไขต่างๆ ของพระศาสนจกั รตามความเขา้ ใจความหมายของคาสอนของพระ
ครสิ ตแ์ ละคุณค่าต่อชวี ติ ของชาวครสิ ต์ ในสมยั นนั้ ๆ ซง่ึ ไดเ้ ล่าส่อื สารและรบั ฟังต่อๆ กนั มา ดงั นนั้ แต่ละตอนของ
เร่อื งเล่าจงึ เป็นคาพยานยนื ยนั ทางศาสนาถึงความหมาย ความศรทั ธาของชาวครสิ ต์และเป็นสงิ่ ท่ีปรารถนา
เผยแพร่ ออกไปอย่างกว้างขวาง ส่ือสาร-คุณค่า ความหมายกบั ตีความใหม่อย่างต่อเน่ืองและเหมาะสมกบั
สถานการณ์ตา่ งๆ ทเ่ี ปลย่ี นไป

ขณะทพ่ี ระศาสนจกั รถ่ายทอดคาสอนของพระเยซูเจา้ ธรรมประเพณี และเร่อื งเล่าเกย่ี วกบั พระครสิ ต์ ใน
รูปแบบวธิ ีการและเน้ือหาท่ีแตกต่างกนั หลายอย่าง จากอิทธิพลแวดล้อมของประเพณีชาวยิวและชาวกรกี
(Jewish and Hellenistic Environment) ซ่ึงพระศาสนจกั รได้ยอมรบั มาและดดั แปลงอย่างเหมาะสม รายการ
รูปแบบและวตั ถุดบิ ท่ใี ช้จากผลการศกึ ษาของรูดอล์ฟ บุลท์แมน (Rudolf Bultman) และเสรมิ ด้วยพฒั นาการ
หลายอย่างในปัจจุบนั ไดจ้ ดั เน้ือหาวตั ถุดบิ รปู แบบงานเขยี นเป็นประเภทหลกั ๆ และแบ่งเป็นประเภทยอ่ ยๆ ได้
อกี ดงั น้ี

1. เน้อื หาวตั ถุดบิ ของประเภท “คาพดู ” (Saying Material)
A. คตพิ จน์ (Apothegms) หรอื คาพูดสอนใจของพระเยซูเจ้า ซ่ึงทาหน้าท่เี ป็น “สาระขอ้ คดิ ” (Punch
Line) ในบริบทท่ีเป็ นการบรรยายเร่ืองสัน้ ๆ บางครงั้ เรียกว่า “Pronouncement Stories” หรือ
กระบวนทศั น์ (Paradigm) รปู แบบทเ่ี กย่ี วขอ้ ง คอื เกรด็ เร่อื งเล่า (Chreia) ซง่ึ มกี รอบโครงสรา้ งการ
บรรยายเรอ่ื งน้อยกวา่
B. คาพดู ของพระหรอื คาสงั่ สอน (Dominical Sayings) หรอื คาพดู ของพระเยซูเจา้ ทแ่ี พรก่ ระจายอย่ใู น
ขนบธรรมเนยี มของผคู้ น โดยไมอ่ ยใู่ นโครงสรา้ งแบบการบรรยายเรอ่ื ง
(1) Logia มชี อ่ื หน่งึ วา่ “สภุ าษติ ” หรอื “คตสิ อนใจ” (มธ. 6:27-28; 7:6; 10:10ข)
(2) คาพดู เกย่ี วกบั การทานายหรอื วนั สน้ิ โลก (มธ. 5:3; 10:32-33; 11:22-24; 16:28)
(3) คาพดู เกย่ี วกบั กฎหมายและกฎเกณฑข์ องพระศาสนจกั ร (มธ. 6:2-4, 5-6, 16-18)
(4) คาพดู ทข่ี น้ึ ตน้ ดว้ ย “เรา8” (“I” sayings) (มธ. 5:17)
(5) คาพดู เปรยี บเทยี บและเรอ่ื งอุปมา (มธ 13: 3-9; มก. 4:3-9)

2. เน้อื หาประเภทเรอ่ื งเล่า (Narrative Material)
A. เรอ่ื งเล่าเกย่ี วกบั ปาฏหิ ารยิ ์ (มธ 8:23-27; 9:1-8)
B. เรอ่ื งราวทเ่ี ป็นประวตั ศิ าสตรแ์ ละตานาน (มธ 3: 13-17; มก. 1:9-11)

การวิจารณ์รูปแบบ (Form Criticism) ปกติรูปแบบและเน้ือหากับการส่ือความหมายจะผูกสมั พันธ์
เกย่ี วขอ้ งกนั อย่างไม่สามารถแยกไดง้ า่ ย การศกึ ษาตอ้ งวเิ คราะห์รปู แบบ สภาพทต่ี งั้ (ทอ้ งถนิ่ ) การสอ่ื ความ และ
ความหมายของขอ้ ความแต่ละตอนในธรรมประเพณี ในช่วงระหว่างการถ่ายทอดเรอ่ื งราวแบบปากต่อปาก (Oral
Transmission) พจิ ารณาดูว่ารปู แบบของขอ้ ความ สาระเน้ือหาเพ่อื รบั รคู้ วามหมายทต่ี อ้ งการส่อื สารถงึ ผอู้ ่านว่า

8 พระคมั ภรี ์ หรอื พระวรสาร ฉบบั ภาษาไทย ใชส้ รรพนาม “เรา” ในรปู แบบบุรุษท่ี 1 พหพุ จน์ สาหรบั พระเป็นเจา้ พระเยซูเจา้ เดมิ จะใชส้ รรพนาม “We” เป็น
ความหมายคาแปลสาหรบั “I” ในฉบบั ภาษาองั กฤษ

6

เป็นอย่างไร การวจิ ารณ์รูปแบบเป็นขนั้ ตอนหน่ึงของการอธบิ ายตีความหมาย (Exegesis) ท่ีดแี ละเหมาะสม
กระบวนการศกึ ษาวเิ คราะหน์ ้ีจะนาไปส่โู อกาสใหผ้ ตู้ คี วามสมยั ใหม่สามารถสมั ผสั ไดถ้ งึ พลวตั รการเปลย่ี นแปลง
(Dynamism) ของชุมชนชาวครสิ ต์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสมยั พระศาสนจกั รยุคแรกเรม่ิ ในการรกั ษาสบื ต่อถ่ายทอดธรรม
ประเพณี และขอ้ คาสอนของชุมชนในอดตี อยา่ งสตั ยซ์ ่อื การปรบั ขยายหรอื เปลย่ี นธรรมประเพณีอยา่ งสรา้ งสรรค์
กบั ในบรบิ ท สถานการณ์ใหม่ๆ หรอื สง่ิ ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป และรบั รูอ้ ย่างเหมาะสมกบั มุมมองดา้ นเทววทิ ยาของ
พระวรสารนักบุญมทั ธวิ ซ่งึ บ่งแสดงถงึ พระเยซูเจา้ ทรงประทบั อย่เู คยี งขา้ งพระศาสนจกั รของพระองคใ์ นฐานะ
ครผู สู้ อน (Teacher) ตลอดชว่ งเวลาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์

การวจิ ารณ์การจดั เรยี บเรยี ง (Redaction Criticism) การศกึ ษาว่าผู้นิพนธ์พระวรสารเลอื กสรร จดั เรยี บ
เรยี ง และเสรมิ แต่งธรรมประเพณีอย่างไรในการเขยี นพระวรสาร เรยี กว่า การวจิ ารณ์การจดั เรยี บเรยี ง ใน
กรณีศกึ ษาพระวรสารของนกั บุญมทั ธวิ โดยตดิ ตามวา่ ท่านไดร้ วบรวมเน้ือหาทงั้ หมดขน้ึ มาอย่างไรและนาเน้ือหา
จากแหล่ง “Q” และพระวรสารนักบุญมาระโกมาเขยี นใหม่อย่างไร หรอื ปรบั กระบวนการวธิ กี ารใหม่ๆ ในการ
ตคี วามหมายในสถานการณ์ท่เี ปล่ยี นไป เช่น การทบทวนตคี วามเร่อื งราวของซามูแอลและบรรดากษตั รยิ ์ใน
หนังสอื พงศาวดาร 1-2 มาเล่าใหม่อย่างน่าเล่อื มใส มที กั ษะลลี าและให้จนิ ตภาพท่สี ่อื ความหมายในพระคมั ภรี ์
แบบ Midrashic Imagination อย่างดี เขา้ ใจได้ การวเิ คราะห์แหล่งทม่ี าจงึ ตรวจสอบว่าท่านใชข้ อ้ มลู วตั ถุดบิ จาก
แหล่งใดสาหรบั เขยี นพระวรสาร ในปัจจุบนั โดยใช้วธิ นี ้ีตรวจสอบแต่ละตอนของเน้ือหา ธรรมประเพณีท่นี ามา
เขยี น ว่ามที ่มี าจากแหล่งใด ส่วนการวจิ ารณ์การจดั เรยี บเรยี งจะยอ้ นกลบั มามุ่งเน้นท่คี วามหมายของรูปแบบ
ทงั้ หมดในขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยของเอกสารทงั้ เลม่ โดยพจิ ารณาเป็นพเิ ศษถงึ แนวโน้มดา้ นเทววทิ ยาของผเู้ ขยี นพระวร
สาร (Evangelist) ตรวจสอบขอ้ ความทเ่ี พมิ่ ละเวน้ และปรบั เปลย่ี นเน้ือหาสาระในตน้ ฉบบั เมอ่ื ศกึ ษาเพมิ่ มากขน้ึ
พบว่าผู้เขยี นพระวรสารได้ปรบั เปล่ยี นสถานะจาก ผู้เรยี บเรยี ง เป็นผู้เขยี น มากข้นึ ระเบยี บวธิ เี ช่นน้ีเรยี กว่า
“การวจิ ารณ์การประพนั ธ”์ (Composition Criticism) และมแี นวโน้มปรบั ลกั ษณะเป็นแบบกวา้ งกวา่ วจิ ารณ์วธิ กี าร
จดั เรยี บเรยี ง กลายเป็น “วรรณกรรมวจิ ารณ์” (Literacy Criticism) ดงั ทจ่ี ะกลา่ วตอ่ ไป

การวิจารณ์ธรรมประเพณี (Tradition Criticism) และการศึกษาพระวรสารเชิงประวตั ิศาสตร์ “สาม
ลกั ษณะ” เป็นการศกึ ษาทาความเขา้ ใจเกย่ี วกบั บรบิ ท สภาพทต่ี งั้ (Setting) ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งราวหรอื คากล่าว
(สอน) วา่ มคี วามหมายอย่างไรในยคุ สมยั ก่อนพระวรสารของนกั บุญมทั ธวิ ไมว่ า่ จะเป็นเร่อื งราวชวี ติ ของพระเยซู
เจ้าและชวี ติ ของกลุ่มครสิ ตชนด้วย อาจจะได้เพม่ิ สงิ่ ท่ีเขา้ ใจชดั เจนข้นึ แต่บางครงั้ เราจาเป็นต้องพจิ ารณาว่า
เร่อื งราวหน่ึงหรอื คากล่าวหน่ึงมคี วามหมายอย่างไร ส่วนการศกึ ษาวพิ ากษ์ (Commentary) ของหนังสอื เล่มน้ี
ประสงคศ์ กึ ษาเพอ่ื เปิดทางสคู่ วามหมายของเน้ือหาในพระวรสารในเวลาและสถานทใ่ี นยคุ สมยั ซง่ึ นกั บุญมทั ธวิ ได้
เขยี นขน้ึ ใชว้ ธิ ตี รวจวเิ คราะห์จากหลกั ฐาน วรรณกรรมและแหล่งขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั ซง่ึ จะช่วยใหก้ าร
ตคี วามไดพ้ บความหมาย ความแตกต่างของบรบิ ท สถานการณ์ เน้ือหาสาระในช่วงเวลา ระหว่างชวี ติ ของพระ
เยซูเจา้ ก่อนการกลบั คนื พระชนมช์ พี และความหมายทเ่ี กดิ ขน้ึ หลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี ในชวี ติ ครสิ ตชนและ
สงั คมศาสนจกั รสมยั นกั บุญมทั ธวิ ซง่ึ มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งหรอื ความสาคญั ช่วยใหเ้ ขา้ ใจถงึ จุดประสงคข์ องผเู้ ขยี นหรอื
สง่ิ ทต่ี อ้ งการสอ่ื ใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจ

การวเิ คราะหเ์ พอ่ื รบั รถู้ งึ ธรรมประเพณีในสมยั ของพระเยซูเจา้ จนถงึ สมยั ทพ่ี ระวรสารไดร้ บั การเขยี นขน้ึ
ถอื เป็นสง่ิ สาคญั ในการทาความเขา้ ใจธรรมชาตแิ ละความหมายของรปู แบบทงั้ หมดของเน้อื หาคาสอนตามสารบบ

7

พระคมั ภรี ์ วธิ กี ารทใ่ี ช้บ่อยครงั้ ในการศกึ ษา “การวจิ ารณ์ธรรมประเพณี” จงึ ตรวจสอบพจิ ารณาอย่างครอบคลุม
ถงึ ธรรมประเพณีทงั้ หมด ตงั้ แต่สมยั พระเยซูเจา้ จนถงึ สมยั ทพ่ี ระวรสารไดร้ บั การเขยี นจนเสรจ็ สมบูรณ์ และเป็น
กระบวนการศกึ ษาแบบพลวตั ร ถงึ การเคล่อื นตวั ของธรรมประเพณี ทงั้ ในช่วงการประกาศ(สอน)ข่าวดี การ
ตคี วามใหม่ และกระบวนการสง่ ตอ่ ถา่ ยทอดขา่ วดที งั้ หมดในรปู แบบตา่ งๆ ในยคุ สมยั แรกเรม่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง

เราใชว้ ธิ กี ารตงั้ คาถามทางประวตั ศิ าสตร์ “สามลกั ษณะ” วเิ คราะหก์ บั “คากล่าว” ทกุ ตอน หรอื “เรอ่ื งราว”
ทุกเร่อื งทพ่ี ระวรสารบอกเล่า ไดแ้ ก่ 1) ธรรมประเพณีของขอ้ ความตอนน้ีบอกอะไรเราเกย่ี วกบั ชวี ติ จรงิ ของเยซู
แห่งนาซาเร็ธหรอื ไม่ หากว่าใช่ แล้วสิ่งนัน้ มีความหมายอย่างไรในสถานการณ์แวดล้อมสมยั นัน้ 2) ธรรม
ประเพณีน้ี ได้ถ่ายทอดต่อกนั ในพระศาสนจกั รในสมยั ของพระเยซูเจา้ ไปจนถงึ สมยั ทม่ี กี ารรวบรวมพระวรสาร
เป็นคาพูด เป็นงานเขยี น หรือว่าทงั้ สองรูปแบบ หากเป็นเช่นนัน้ เกดิ การเปล่ยี นแปลงอะไรบ้างในยุคสมยั นัน้
และมคี วามหมายอย่างไรในสถานการณ์แวดล้อมนัน้ 3) ผู้เขยี นพระวรสารได้มสี ่วนอย่างไรบ้างในการเขยี น
รูปแบบทงั้ หมด(Final Form) ของพระวารสารน้ี และเน้ือหาสาระทงั้ หมดมคี วามหมายอย่างไรในบรบิ ทของ
ผเู้ ขยี นพระวรสาร ในทางปฏบิ ตั ิ กระบวนการทางประวตั ศิ าสตรท์ าใหเ้ ราจาเป็นตอ้ งเรม่ิ จากรปู แบบทงั้ หมดของ
พระวรสารก่อน แลว้ ยอ้ นหลงั ไล่ไปตามลาดบั ชนั้ จนถงึ พระเยซูครสิ ตท์ อ่ี ย่ใู นประวตั ศิ าสตร์ จากนนั้ ค่อยเดนิ หน้า
อกี ครงั้ ตามประวตั ศิ าสตรข์ องธรรมประเพณีไปจนถงึ รูปแบบทงั้ หมดของเน้ือหาในพระวรสาร เราสนั นิษฐานว่า
การออกประกาศขา่ วดขี องพระเยซูเจา้ สงั่ สอนประชาชนน่าจะอย่ใู นช่วงปี 30 ศกั ราชกลาง (Common Era: CE)
และพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ได้รบั การเขยี นข้นึ ในช่วงปี 90 ศกั ราชกลาง ดงั นัน้ ผู้อธบิ ายตีความทุกส่วนของ
เน้อื หาในพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ จงึ ควรแยกแยะระหว่างความหมายตามแบบของพระเยซูเจา้ ในยคุ ปี 30 ศกั ราช
กลาง ความหมายตามแบบของพระศาสนจกั รยุคแรกเรมิ่ ในช่วงปี 30-90 ศกั ราชกลาง และความหมายตาม
เน้อื หาและสถานการณ์ในสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ เองในยคุ ปี 90 ศกั ราชกลาง

เม่อื วเิ คราะห์เช่นนัน้ เราไม่ควรเขา้ ใจผดิ ว่าเน้ือหาท่ี “แท้จรงิ ” คอื ส่วนท่ี “ยอ้ นไปถงึ สมยั พระเยซูเจา้ ”
เท่านัน้ นักบุญมทั ธิวเหมือนกับผู้เขยี นพระวรสารท่านอ่ืนและบุคคลอ่ืนๆ ก่อนหน้าน้ี ผู้เขียนพระคมั ภีร์ได้
ถ่ายทอดธรรมประเพณี การบอกเล่าแบบปากต่อปากและตคี วามดว้ ยการนาไปเล่าใหม่ ปรบั เปลย่ี นใหม่ ตดั ต่อ
และขยายบางขอ้ ความ รวมถงึ การสรา้ งเรอ่ื งราวและคากล่าวใหม่ๆ เน่ืองจากนกั บุญมทั ธวิ เป็นชาวยวิ คนหน่ึง ได้
มคี วามรูพ้ ระคมั ภรี อ์ ย่างแม่นยา ซ่ือสตั ย์ต่อความเช่อื คาสอนและธรรมบญั ญตั ิ มชี วี ติ อยู่ในธรรมประเพณีอนั
ยาวนานของชาวยวิ และพระคมั ภรี ไ์ บเบล้ิ จงึ สามารถตคี วามอย่างฉลาดเฉียบแหลม มหี ลกั เกณฑแ์ ละน่าเช่อื ถอื
สมเหตุสมผล ซ่ึงถือเป็นการตคี วามใหม่แบบถูกต้องตามกฎหมาย ดงั ท่พี บได้จากหนังสอื เฉลยธรรมบญั ญัติ
สามารถนาเร่อื งราวในพระคมั ภีร์มาเล่าใหม่อย่างสร้างสรรค์ ซ่ึงมกี ารนาเร่อื งราวของหนังสอื อพยพ หนังสอื
พงศาวดารและเร่อื งราวของดาวดิ มาเล่าใหม่ และทงั้ สองกรณีต่างมกี ารปรบั เปลย่ี นและขยายเร่อื งราวเหล่านัน้
รวมถงึ การสรา้ งคากล่าวและบทพดู ใหมๆ่ ใหก้ บั ตวั ละครในเน้ือเรอ่ื งดว้ ย

แมว้ ่าการศกึ ษาพฒั นาการของธรรมประเพณีทอ่ี ยู่ “เบ้อื งหลงั ”งานเขยี นเชงิ ประวตั ศิ าสตรน์ ้ีจะมคี ุณค่า
แต่วตั ถุประสงคแ์ ละระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ตั ขิ องการศกึ ษาคาสอนและสาระทป่ี ระกาศในพระศาสนจกั รกค็ อื เน้ือหาพระ
คมั ภรี ใ์ นรปู แบบทเ่ี ป็นเอกสารสารบบพระคมั ภรี ท์ ไ่ี ดร้ บั การรบั รองในปัจจุบนั พระวรสารของนกั บุญมทั ธวิ ทงั้ หมด
เป็นเอกสารได้รบั การยอมรบั อย่างแท้จรงิ ในฐานะพระคมั ภีร์ของพระศาสนจกั ร ไม่ใช่เพยี งแค่รบั แบบเรยี บๆ
งา่ ยๆ ว่าเป็นเพยี งเอกสารทางประวตั ศิ าสตร์ หรอื รบั เฉพาะบางสว่ นทม่ี คี วาม “เป็นประวตั ศิ าสตร”์ มากกว่าสว่ น

8

อ่นื เท่านัน้ แต่เป็นเอกสารทไ่ี ดร้ บั การรบั รองเน้ือหาทงั้ หมด ซ่งึ เป็นสารหรอื ข่าวดที พ่ี ระศาสนจกั รประกาศสอน
และสอ่ื สารถงึ ความหมายของเหตุการณ์เกย่ี วกบั พระครสิ ตเจา้

การทบทวนตคี วามเอกสารศกั ดสิ ์ ทิ ธแิ ์ ละธรรมประเพณี โดยนกั บุญมทั ธวิ (Matthew’s Reinterpretation
of Sacred Documents and Traditions) ท่านนกั บุญมทั ธวิ ยดึ ถอื พระคมั ภรี ฉ์ บบั ภาษาฮบี รแู ละแนวคดิ หลกั ตาม
ความเช่ือศรัทธาในองค์พระเป็ นเจ้าแท้พระองค์เดียว กับธรรมประเพณีอย่างซ่ือสัตย์ ซ่ึงมีอิทธิพลและ
คุณประโยชน์ต่อท่านอย่างมาก รวมทงั้ จากแนวคดิ ทางศาสนาทอ่ี ย่ใู นสมยั เฮเลนนิสตกิ (Hellenistic Period) แต่
งานเขยี นของท่านไม่ได้ใหค้ วามสาคญั และสะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ อทิ ธพิ ลทางวรรณกรรมจากงานเขยี นของคนต่าง
ศาสนาเลย สง่ิ ทท่ี า่ นอ่านดเู หมอื นจะจากดั อยเู่ พยี งเอกสารทางศาสนาของชาวครสิ ตแ์ ละชาวยวิ เทา่ นนั้

แหล่งขอ้ มลู ของชาวยวิ (Jewish Sources) เอกสารชุดหน่ึงทเ่ี ราอาจแน่ใจได้ว่ามอี ยใู่ นชุมชนของนกั บุญ
มทั ธวิ และมอี ทิ ธพิ ลอย่างล้าลกึ ต่อการเขยี นพระวรสารของท่านคอื พระคมั ภรี ฉ์ บบั เจด็ สบิ LXX จากพระวรสาร
แมพ้ บว่ามคี วามตงึ เครยี ดระหว่างนักบุญมทั ธวิ และชุมชนชาวยวิ แต่ไม่ไดส้ ่งผลให้ท่านสนใจคมั ภรี ์ของชาวยวิ
(ฉบบั ภาษาฮบี รู)น้อยลง ในทางตรงขา้ ม ท่านกลบั ใส่ใจท่จี ะแสดงให้เห็นว่าท่านซ่ือสตั ย์และเขา้ ใจพระคมั ภีร์
ศาสนาของชาวยวิ อย่างแตกฉาน และสามารถตคี วามอธบิ ายอย่างเขา้ ถงึ ความหมายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ได้
อย่างดโี ดยพระเยซูครสิ ต์และในคาสอนของพระศาสนจกั รของพระเยซูเจ้า (ดูบทเสรมิ เร่อื ง (excursus) “มทั ธวิ ในฐานะผู้

ตคี วามคมั ภรี ศ์ าสนา” หน้า 151 – 154 ซ่งึ จะเป็นการอภปิ รายเก่ยี วกบั เน้ือหา ภาษาและรูปแบบตวั บท ของเน้ือหาพระคมั ภรี ท์ ม่ี ใี นสมยั ของนักบุญ
มทั ธวิ รวมถงึ วตั ถุประสงคแ์ ละวธิ กี ารทน่ี กั บญุ มทั ธวิ นาพระคมั ภรี ศ์ าสนามาใช)้

พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ไม่มกี ารยกขอ้ ความโดยตรงมาจากพระคมั ภรี น์ อกสารบบหรอื พระคมั ภรี ส์ ารบบ
ทส่ี อง (Apocryphal/Deuterocanonical Books) หรอื งานเขยี นอ่นื ๆ ทอ่ี ย่นู อกฉบบั ภาษาฮบี รู (Hebrew Canon)
แต่ถงึ กระนนั้ กเ็ หน็ ไดช้ ดั วา่ นกั บุญมทั ธวิ คนุ้ เคยกบั แนวคดิ และขอ้ ความทใ่ี ชใ้ นพระคมั ภรี ส์ ารบบทส่ี องและหนงั สอื
ในกลุ่มงานเขียนนอกสารบบ (Pseudepigraphal Writings) เห็นได้จากการท่ีในพระวรสารมีการพาดพิงถึง
เอกสารเหล่านัน้ ถงึ 78 ครงั้ (มกี ารอา้ งถงึ พระคมั ภรี น์ อกสารบบ 58 ครงั้ อา้ งถงึ เน้ือหาจากงานเขยี นนอกแบบ
บญั ญตั ิ (Extra-canonical) 20 ครงั้ เชน่ มคั คาบี 4 ครงั้ และเอโนค 1 ครงั้ )

แหล่งขอ้ มลู ของชาวครสิ ต์ (Christian Sources) จดหมายของนกั บุญเปาโลและธรรมประเพณีทส่ี บื เน่ือง
มา บางครงั้ มผี ใู้ หค้ วามเหน็ วา่ นกั บุญมทั ธวิ รจู้ กั และตอบรบั แนวคดิ ของท่านนกั บุญเปาโลและการตคี วามศาสนา
ครสิ ต์ตามคาสอนของนักบุญเปาโล (เช่นใน 5:19) หรอื บา้ งกบ็ อกว่านักบุญมทั ธวิ ไดอ้ ่านจดหมายของนักบุญเปาโล
และไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากจดหมายเหล่านนั้ อยา่ งมาก และแมว้ า่ พระวรสารจะเขยี นขน้ึ ทเ่ี มอื งอนั ตโิ อค (Antioch) หรอื
บรเิ วณใกลเ้ คยี ง (โปรดดูดา้ นล่าง) ท่ซี ง่ึ นักบุญเปาโลเคยประกาศสอน (กท. 2:11, กจ. 13:1, 14:26, 15:22) แต่อทิ ธพิ ลระยะ
ยาวของนักบุญเปาโลมตี ่อเมอื งอนั ตโิ อคน้อยมาก ซง่ึ แทบจะไม่มผี ลกระทบต่อศาสนาครสิ ต์ในชุมชนของนกั บุญ
มทั ธวิ และไม่มขี อ้ บ่งช้ใี หเ้ หน็ ว่างานเขยี นของนักบุญมทั ธวิ ได้รบั อทิ ธพิ ลเชงิ วรรณกรรมจากสาระคาสอนของ
นกั บญุ เปาโลเลย

9

บนั ทกึ รวบรวมคาบอกเล่าจากแหล่ง “Q9” ซ่งึ เป็นแหล่งหลกั ฐานสาคญั ทค่ี ้นพบมว้ น
แผ่นหนังจารกึ พระคมั ภีร์ และฉบบั ท่เี ขยี นเป็นลายมอื (Manuscripts) นับตงั้ แต่ช่วงต้นของ
ประวตั ศิ าสตรพ์ ระศาสนจกั รในสมยั นกั บุญมทั ธวิ หรอื อาจจะนบั ตงั้ แต่เร่ิมคน้ พบแหล่ง “Q” ซง่ึ
เป็นหลกั ฐานทน่ี ่าเชอ่ื ถอื ไดใ้ นธรรมประเพณศี กั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องชุมชน สนั นษิ ฐานวา่ มกี ารนาเอกสาร
น้ีมาอ่านประกอบพิธีบูชาในหมู่คณะของนักบุญมทั ธิวสมยั นัน้ และได้จดั รูปแบบและยึดถือเป็นหลักความ
ประพฤติ (Ethos) ตามธรรมประเพณีครสิ ตชนในสมยั นักบุญมทั ธวิ แหล่ง “Q” ไม่ไดเ้ ป็นเพยี งแหล่งขอ้ มลู เดยี ว
สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ ผูเ้ ขยี นพระวรสาร แต่เป็นสว่ นหน่ึงของประวตั ศิ าสตรท์ ่ที า่ นมสี ว่ นรว่ มดว้ ย เอกสารน้ียอมรบั
ความเท่ยี งตรงของลกั ษณะทางกฎหมายของศาสนาครสิ ต์ในหมู่ชาวยวิ ในยุคเรมิ่ แรก (cf. Q 16:17 =มธ. 5:18) นัก
บุญมทั ธวิ ใหค้ วามเคารพเอกสารจากแหล่ง Q เมอ่ื เกดิ ความทบั ซอ้ นขน้ึ ระหว่างเน้ือหาพระวรสารนกั บุญมาระโก
กบั เอกสารแหลง่ Q ท่านจะเลอื กใชเ้ อกสารแหลง่ Q ซง่ึ เก่าแกก่ ว่าและถกู ตอ้ งแม่นยากวา่ (ดู 10:10 = ลก. 10:4; cf. มก.
6:8-9) นักบุญมทั ธวิ ไดด้ าเนินการทบทวนการตคี วามเอกสารแหล่ง Q อย่างมาก ไมใ่ ช่เพยี งแคป่ รบั เปลย่ี นเน้ือหา
(เพยี งเลก็ น้อย)ในเอกสารน้ีซง่ึ เป็นสว่ นหน่ึงของธรรมประเพณีในพระศาสนจกั รสมยั ของทา่ น แต่หลกั ๆ กค็ อื การ
ผสานเน้อื หาจากแหล่ง Q เสรมิ ความเขา้ ไปในโครงสรา้ งการบรรยายเร่อื งของพระวรสารนกั บญุ มาระโก อาจเป็น
เพราะเอกสารแหล่ง Q รูปแบบดงั้ เดมิ เป็นเอกสารทไ่ี ม่แน่นอนตายตวั มกี ารเพมิ่ ขยายเน้ือหาอย่ตู ลอด พรอ้ มท่ี
จะขยายเพม่ิ ขน้ึ อกี เม่อื มี “คากล่าวของพระเยซูเจา้ ผฟู้ ้ืนคนื พระชนมช์ พี ” ใหม่ๆ จากผูป้ ระกาศสอน(ข่าวด)ี ชาว
ครสิ ต์ การนาเน้ือหาเอกสารน้ีผสานใสเ่ ขา้ ไปในโครงสรา้ งเร่อื งราวก่อนการฟ้ืนคนื พระชนมช์ พี ในคาบรรยายของ
พระวรสารนักบุญมาระโก ทาใหน้ ักบุญมทั ธวิ สามารถเกบ็ รกั ษาคาพูดทพ่ี ระเยซูครสิ ต์ไดก้ ล่าวไวก้ บั พระศาสน

9 แหล่งขอ้ มลู Q (อาจเรยี ก เอกสาร Q, พระวรสาร Q, คากลา่ วสอนหรอื คาพดู ในพระวรสาร Q, หรอื เรยี กแหล่ง Q จากภาษาเยอรมนั Quelle) เป็นแหลง่ ทม่ี ี
ผลงานหรอื รวบรวมเอกสารทเ่ี ขยี นเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร และขอ้ มลู วตั ถุดบิ น้เี ป็นสาระทไ่ี ดร้ บั สบื ทอดมาจากธรรมประเพณีการเล่าตอ่ กนั มาแบบปาก
เปล่า (Oral Tradition) ในพระศาสนจกั รยุคแรก ทม่ี สี มมตฐิ านวา่ เป็นคาตรสั สอนของพระเยซูเจา้ หรอื พระวาจา (logia). แหล่ง Q เป็นขอ้ มลู วตั ถดุ บิ ท่ี
พบในเน้อื หาสาระของหนงั สอื พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ และนกั บญุ ลกู า แต่ไมพ่ บในพระวรสารนกั บุญมาระโก จงึ ถอื วา่ พระวรสารนกั บญุ มาระโกเป็นอกี
แหลง่ ขอ้ มลู หน่งึ

ตามหลกั ฐานเอกสารขอ้ มลู ฉบบั แรกสดุ คอื พระวรสารนกั บุญมาระโก แหลง่ ขอ้ มลู Q เป็นขอ้ สมมตฐิ านทต่ี งั้ ขน้ึ ในชว่ ง ปี ค.ศ. 1900 และ
เป็นหลกั พน้ื ฐานของนกั การศกึ ษาทไ่ี ดร้ บั ทุนการศกึ ษาพระวรสารในสมยั ใหม่ ท่ี B.H. Streeter ไดน้ าเสนอเป็นหลกั เกณฑใ์ นการศกึ ษาพระวรสารและ
ไดเ้ ป็นทน่ี ยิ มใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวาง คอื ขอ้ มลู ทเ่ี ขยี นเป็นภาษากรกี โบราณ Koine Greek; ซง่ึ เป็นเน้อื หาส่วนใหญ่ทน่ี กั บญุ มทั ธวิ นามานพิ นธพ์ ระวร
สารของทา่ น และนกั บุญลกู าไดน้ ามาใชน้ ิพนธพ์ ระวรสาร หรอื เป็นเน้อื หาสาระในพระวรสารทงั้ สองเลม่ ต่างกนั ตรงทน่ี ักบญุ ลกู านามาใชใ้ นลกั ษณะ
ตามแบบตน้ ฉบบั สว่ นนกั บุญมทั ธวิ นาใชแ้ บบปรบั ปรุงหรอื เสรมิ อธบิ ายสาระของพระวรสารนกั บุญมาระโกใหช้ ดั เจนตามวตั ถปุ ระสงคข์ องท่าน
กล่าวคอื พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ และพระวรสารนกั บุญลกู าไดใ้ ชท้ งั้ แหล่งขอ้ มลู Q และแหลง่ ขอ้ มลู จากพระวรสารนักบุญมาระโก อยา่ งไรกต็ าม นกั
พระคมั ภรี บ์ างท่านไดศ้ กึ ษาพบวา่ แหลง่ ขอ้ มลู Q ประกอบดว้ ยประเภทขอ้ มลู และหลกั ฐานหลายชนิด ทงั้ แบบตน้ ฉบบั เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร และแบบ
เล่าสบื ทอดกนั มาแบบปากเปล่า หรอื ท่องจากนั ต่อๆ มา และไดพ้ ยายามคน้ หาลาดบั ขนั้ ตอนทม่ี า และลกั ษณะเฉพาะของเอกสารหลกั ฐานของ
แหล่งขอ้ มลู Q ดว้ ย

สภาพลกั ษณะของแหล่งขอ้ มลู Q เกดิ ขน้ึ มาอยา่ งไร เป็นประเดน็ ทม่ี ผี สู้ บื คน้ มากพอสมควร ถา้ ไมน่ บั วา่ เป็นเอกสารของกษตั รยิ ์ ขนุ นาง
หรอื สมณะชนั้ สงู ในสารบบพระศาสนจกั รยุคเรมิ่ ตน้ แต่ทาไมบรรดาปิตาจารยไ์ มไ่ ดก้ ล่าวอา้ งองิ หรอื ยนื ยนั รบั รอง กเ็ ป็นปรศิ นาอนั ยงุ่ ยากของนกั ศกึ ษา
พระคมั ภรี ส์ มยั ใหม่ ถา้ ขอ้ มลู หลกั ฐานของแหล่ง Q เป็นฉบบั ทค่ี ดั ลอกมากไ็ มน่ ่าเป็นแหลง่ ขอ้ มลู ทจ่ี าเป็นสาหรบั การศกึ ษาหรอื รกั ษาไวเ้ ป็นพระวรสาร
ในสารบบ ดงั ทพ่ี ระวรสารนกั บุญมทั ธวิ และพระวรสารนกั บุญลกู าไดค้ ดั ลอก นามาใชห้ รอื ปรบั เปลย่ี นใหม้ คี วามหมายชดั เจนสมบณู ์ตามทไ่ี ดร้ บั ทราบ
และหวนระลกึ เขา้ ใจคณุ คา่ ความหมายแทจ้ รงิ ทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงตรสั สอนดงั ทบ่ี นั ทกึ เลา่ ไวใ้ นพระวรสารทงั้ สอง แมจ้ ะมปี ัญหาทท่ี า้ ทายเช่นน้ี
แหลง่ ขอ้ มลู ทงั้ สองยงั คงมปี ระโยชน์และมผี สู้ นบั สนุนนาใชอ้ า้ งองิ อยา่ งกวา้ งขวาง (จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Q_source )

10

จกั รในเอกสารแหล่ง Q และป้องกนั การเพม่ิ เตมิ อยา่ งอสิ ระเป็นการจากดั วงไวภ้ ายในขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื หลกั ฐานทาง
ประวตั ศิ าสตรข์ องพระเยซูเจา้ ชว่ งก่อนการกลบั คนื พระชนมช์ พี

พระวรสารนกั บุญมาระโก (The Gospel of Mark) ในช่วงเวลาหน่ึงหลงั ศกั ราชสากลท่ี 70 (C.E.) พระวร
สารนักบุญมาระโกได้มผี ปู้ ระกาศเผยแผ่มาถงึ ชุมชนของนักบุญมทั ธวิ และไดร้ บั การยอมรบั ว่าเป็นสว่ นประกอบ
ของธรรมประเพณีศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องชุมชน(ครสิ ตชน) ซง่ึ ไดน้ ามาใชใ้ นชวี ติ ของประชาชนและพธิ บี ชู า เดมิ พระวรสาร
นักบุญมาระโกไดเ้ ขยี นขน้ึ ในชุมชนชาวครสิ ต์ และใชส้ อนกนั ในชุมชนชาวครสิ ต์ทเ่ี ป็นคนต่างศาสนา (Gentile-
Christian) ซง่ึ เป็นผทู้ ไ่ี มไ่ ดอ้ ยภู่ ายใตธ้ รรมบญั ญตั หิ รอื พระคมั ภรี ป์ ัญจบรรพ10 (Torah) (มก. 7:1-23) ชุมชนชาวยวิ ท่ี
นับถือศาสนาครสิ ต์สมยั นักบุญมทั ธวิ ได้เผยแพร่ศาสนาครสิ ต์ไปยงั คนต่างศาสนา และได้เปิดตวั รบั ฟังขอ้ คดิ
มุมมองจากศาสนาครสิ ตข์ องชนต่างชาตเิ หล่านนั้ เป็นเหตุใหค้ าบรรยายในพระวรสารนกั บุญมาระโกไดก้ ลายมา
เป็นพน้ื ฐานของการบอกเล่าเรอ่ื งราวของพระเยซูครสิ ตใ์ นพระศาสนจกั รสมยั นกั บุญมทั ธวิ รวมถงึ บอกสาระแนว
ปฏบิ ตั ติ ่างๆ ทพ่ี ระวรสารน้ีมุ่งเน้น เชน่ พระเยซูเจา้ ผทู้ าปาฏหิ ารยิ ์ พระเยซูเจา้ ผถู้ ูกตรงึ กางเขนและกลบั คนื พระ
ชนม์ชีพ พระเยซูเจ้าผู้เรม่ิ ต้นภารกิจเผยแพร่ข่าวดีไปสู่ชนต่างชาติ หากพระวรสารนักบุญมาระโกมีความ
เกย่ี วขอ้ งกบั นักบุญเปโตรอย่แู ลว้ กเ็ ป็นการเน้นย้าความสาคญั ของนกั บุญเปโตรในฐานะของผนู้ าของอคั รสาวก
และเป็นประจกั ษ์พยานสาคญั ซง่ึ สงิ่ น้ีมปี รากฏอยใู่ นธรรมประเพณีสายของนกั บุญมทั ธวิ ดว้ ย และเออ้ื ใหเ้ กดิ การ
ยอมรบั พระวรสารนกั บุญมาระโกในฐานะเป็นตวั บททเ่ี ป็นบรรทดั ฐานใหก้ บั พระศาสนจกั รสมยั นกั บุญมทั ธวิ ท่าน
นกั บุญมทั ธวิ ไมเ่ พยี งแตร่ วมเอกสารแหล่ง Q และพระวรสารนกั บุญมาระโกเขา้ ดว้ ยกนั เทา่ นนั้ แตย่ งั สรา้ งพน้ื ฐาน
เทคนิควธิ กี ารบรรยายเร่อื งแบบพระวรสารนักบุญมาระโก (Markan Narrative Basic) โดยผสานใส่เน้ือหาจาก
เอกสารแหล่ง Q และแหล่ง M ลงไปในเคา้ โครงเร่อื งของพระวรสารนักบุญมาระโก ในลกั ษณะเน้ือหาย่อยระดบั
รองๆ ลงมา ดงั น้ี พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ จงึ เป็นงานเขยี นของการตคี วามใหมแ่ ละใสร่ ายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ (ผสาน)
ลงไปในเรอ่ื งเลา่ จากพระวรสารนกั บญุ มาระโก ไมใ่ ช่เพมิ่ ในเอกสารแหลง่ Q

เน้ือหาและขนบธรรมเนียมพเิ ศษสมยั นักบุญมทั ธวิ แหล่ง (“M”) นอกจากเอกสารแหล่ง Q และพระวร
สารนกั บุญมาระโกแลว้ นักบุญมทั ธวิ ไดย้ ดึ ถอื ตามขนบธรรมเนียมและเน้ือหาขอ้ มลู ต่างๆ ทเ่ี ฉพาะเจาะจงอย่ใู น
ชุมชนของตน “M” ซง่ึ ไม่ใช่เป็นเอกสารทแ่ี ยกออกมาต่างหาก แต่หมายถงึ ตวั เน้ือหาของธรรมประเพณีต่างๆ ใน
สมยั ของนกั บุญมทั ธวิ และเน่อื งจากขนบธรรมเนยี มเหล่าน้สี บื ทอดต่อกนั มาในพระศาสนจกั รทอ้ งถนิ่ ซง่ึ มสี ว่ นใน
การพฒั นาทางเทววทิ ยาของนักบุญมทั ธวิ บางครงั้ จงึ ยากทจ่ี ะแยกแยะระหว่างธรรมประเพณี M กบั สงิ่ ทน่ี กั บุญ
มทั ธิวดัดแปลงแก้ไขเอง แหล่ง M อาจประกอบด้วยข้อความต่างๆ ท่ียกมาจากคมั ภีร์ศาสนาซ่ึงเช่ือมโยง
เกย่ี วขอ้ งกบั ความรทู้ างเทววทิ ยาของนกั บญุ มทั ธวิ , คาพยานต่างๆ, การตคี วามของชาวครสิ ตเ์ กย่ี วกบั ขอ้ ความท่ี
ยกมาเหล่านนั้ , ความคดิ เหน็ เชงิ การตคี วามและพฒั นาการของเอกสารแหล่ง Q, ตวั บทพระวรสารนกั บุญมาระ
โก และสง่ิ สาระอ่นื ในขนบธรรมเนียมชาวครสิ ต์ รวมถงึ คากล่าวและเร่อื งราวทม่ี าจากพระเยซูเจา้ หรอื เกย่ี วขอ้ ง
กบั พระเยซู ซ่งึ เป็นเอกลกั ษณ์ของธรรมประเพณีสมยั นักบุญมทั ธวิ แมว้ ่าส่วนเลก็ ๆ เหล่าน้ีอาจได้เขยี นขน้ึ มา
ก่อนหน้าสมยั นกั บุญมทั ธวิ แต่สว่ นใหญ่แลว้ (แต่ไม่ใช่ทงั้ หมด)เป็นการสบื ทอดแบบเล่าต่อๆ กนั มา ประมาณหน่ึงชวั ่
อายุคนหรอื มากกวา่ นนั้ ก่อนสมยั ของนักบุญมทั ธวิ บ่อยครงั้ เป็นไปได้ทพ่ี บว่าเน้ือหาเหล่าน้ีผ่านการปรบั เปลย่ี น
แกไ้ ข และขยายเพม่ิ เตมิ เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณ์ใหม่ๆ แต่บางครงั้ ไดค้ งรกั ษารูปแบบดงั้ เดมิ ของธรรม

10 หนงั สอื หา้ เลม่ แรกในพระคมั ภรี ข์ องชาวยวิ ไดแ้ ก่ ปฐมกาล, อพยพ, เลวนี ติ ,ิ กนั ดารวถิ ี และเฉลยพระธรรมบญั ญตั ิ

11

ประเพณีไวอ้ ย่างเทย่ี งตรงจนน่าทง่ึ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ธรรมประเพณีทย่ี อมรบั ศาสนาครสิ ตข์ องชาวยวิ ทย่ี ดึ มนั่
ตามหลกั ของธรรมบญั ญตั ิ ในชดุ หนงั สอื ปัญจบรรพ (Torah)

การใชธ้ รรมประเพณีศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องนักบุญมทั ธวิ และชุมชนของมทั ธวิ (Matthew and His Community’s
Use of This Sacred Tradition) นักบุญมทั ธวิ เป็นผู้รูเ้ ขา้ ใจในตวั บทของงานเขยี นและธรรมประเพณีศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์
ต่างๆ ของชุมชนอย่างแตกฉาน และใหค้ วามเคารพใส่ใจอย่างถ่องแท้จรงิ จงั กบั แหล่งขอ้ มลู เหล่านัน้ ทงั้ หมด แต่
ท่านเพยี งใช้เป็นขอ้ อ้างองิ ไม่ได้ผูกมดั หรอื ยดึ ติดกบั สงิ่ ใด นักบุญมทั ธวิ คุ้นเคยกบั คมั ภีร์ของศาสนายวิ มาก
พอทจ่ี ะกล่าวอา้ งองิ ถงึ เน้อื หาเหล่านนั้ โดยทไ่ี ม่ตอ้ งดงึ ความสนใจของผอู้ ่านไปทง่ี านเขยี นนนั้ โดยตรง (ดบู ทเสรมิ เรอ่ื ง
“นักบุญมทั ธวิ ในฐานะผตู้ คี วามพระคมั ภรี ”์ 151-154) ดงั นนั้ ทงั้ เอกสารแหล่ง Q พระวรสารนกั บุญมาระโก และแหล่ง M ต่างมี
ส่วนในการเป็นพน้ื ฐานห่อหุม้ หล่อหลอมจนเป็นเน้ือหาเดยี วกนั ใหก้ บั พระวรสารของนกั บุญมทั ธวิ ทงั้ สน้ิ การนา
เอกสารแหล่ง Q และพระวรสารนกั บญุ มาระโกมาใชน้ นั้ จงึ เป็นการเขยี นซง่ึ หา่ งไกลจากคาวา่ “ตดั แปะ” ทใ่ี ชเ้ ป็น
“แหล่งขอ้ มลู ” เพราะจติ ใจของนกั บุญมทั ธวิ นนั้ เตม็ เป่ียมไปดว้ ยเน้ือหาจากเอกสารทงั้ สองจนสามารถกล่าวถงึ ได้
อย่างแม่นยา รวมทงั้ ในส่วนทไ่ี ม่ไดน้ ามา “ใช”้ โดยตรง ดงั น้ี ขอ้ ความจากพระวรสารนักบุญมาระโกจงึ ไดบ้ ูรณา
การเขา้ ไปสเู่ น้อื หาในเอกสาร Q และในทางกลบั กนั ดว้ ย ขอ้ ความหน่งึ จากเอกสารแหลง่ Q กลายมาเป็นขอ้ ความ
จากพระวรสารนักบุญมทั ธิวท่ีใครๆ ต่างรู้จกั กันดี และเม่ือนามาใช้บ่อยครงั้ ในบทความตอนอ่ืนๆ ท่ีไม่ได้
เกย่ี วขอ้ งกบั เอกสารแหลง่ Q ความจรงิ วธิ กี ารและกระบวนการเชน่ น้ี เป็นสง่ิ สาคญั ทเ่ี ราควรทราบวา่ ตวั บทต่างๆ
และวธิ กี ารตคี วามผสานเพมิ่ เตมิ น้ีเป็นเทคนิคการทบทวนตคี วามท่ไี ดใ้ ชก้ นั ในพระศาสนจกั รของนกั บุญมทั ธวิ มา
นานหลายสบิ ปีแลว้ ก่อนทจ่ี ะมตี วั หนงั สอื พระวรสาร และไม่ไดม้ เี พยี งนักบุญมทั ธวิ ผเู้ ดยี วเท่านนั้ ผฟู้ ังหรอื ผอู้ ่าน
ของทา่ นตา่ งคุน้ เคยใกลช้ ดิ กบั งานเขยี นลกั ษณะน้เี ป็นอย่างดี แสดงวา่ นกั บุญมทั ธวิ เขยี นพระวรสารน้ขี น้ึ มาใหก้ บั
ผอู้ ่านทร่ี จู้ กั คนุ้ เคยเรอ่ื งเหลา่ น้มี ากอ่ น

5. การศึกษาวิเคราะหบ์ ริบทและสภาพแวดล้อม

การทบทวนตีความใหม่เช่นน้ีไม่อาจเกิดข้นึ ได้ หากผู้อธิบายมิได้ระบุสภาวะท่ีตัง้ สภาพด้านสงั คม
การเมอื ง ศาสนา ศาสนจกั ร(สงฆ์) ซ่งึ เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ของท้องเร่อื งท่ใี ชใ้ นการเขยี นพระวรสารนักบุญ
มทั ธวิ ขน้ึ มา

ชุมชนครสิ ตชนสมยั นักบุญมทั ธิว (Matthew’s Christian Community) พระวรสารนักบุญมทั ธิวไม่ใช่
ผลงานของนักเขยี นทใ่ี ชช้ วี ติ โดดเดย่ี ว แยกตวั จากสงั คม แต่เป็นสอ่ื สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ชวี ติ และสงิ่ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั
ชุมชนชาวครสิ ต์แห่งหน่ึง ซง่ึ เป็นทร่ี กู้ นั มานานว่าพระวรสารนักบุญมทั ธวิ เป็นพระวรสารทม่ี คี วามเป็นศาสนจกั ร
มากทส่ี ดุ และเป็นเลม่ เดยี วทม่ี กี ารใชค้ าวา่ “พระศาสนจกั ร” (Church) สอ่ื ถงึ ชมุ ชนของผทู้ เ่ี ชอ่ื ในพระครสิ ต์ (16:18;
18:17) จงึ เห็นได้ชดั ว่าพระศาสนจกั รของนักบุญมทั ธวิ เก่ียวข้องสมั พนั ธ์อย่างจรงิ จงั กบั องค์ประกอบแวดล้อม
สาคญั ของสงั คมชาวยวิ ซง่ึ ไม่มใี ครนิยามระบุได้ และไมอ่ าจบอกไดว้ า่ ไม่เกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั

ความสมั พนั ธก์ บั ชุมชนชาวยวิ (Relation to the Jewish Community) พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ จดั วา่ เป็น
พระวรสาร “ของชาวยวิ ” เน่ืองจากมลี กั ษณะอย่างเด่นชดั ในค่านิยมและยดึ มนั่ ตามธรรมประเพณีชาวยวิ อย่าง
จรงิ จงั ใหค้ วามสนใจต่อบางสงิ่ ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั ว่ามาจากศาสนายูดาย (เช่น ความใส่ใจต่อการเคารพกฎของศาสนายวิ , วนั สบั บาโต,
พระวหิ าร) ไม่จาเป็นต้องอธบิ ายธรรมประเพณีของชาวยวิ เหมอื นในพระวรสารนักบุญมาระโกซง่ึ เป็นแหล่งอา้ งองิ

12

หน่ึงของเอกสารน้ี (มธ. 15: 1 และ มก. 7:14) พระวรสารนักบุญมทั ธวิ มขี อ้ ความส่อื ให้เห็นว่าชุมชนของท่านยงั คง
ปฏบิ ตั ติ ามแบบแผนและกฎขอ้ บงั คบั ของอานาจการปกครองจากศาลาธรรม (Synagogue) (10:17; 23:2) รกั ษากฎ
วนั สบั บาโต (24:20) สนใจพระคมั ภรี ศ์ าสนายวิ (Scriptures) และกล่าวอา้ งถงึ เน้ือหาในพระคมั ภรี ์อย่างรูแ้ จง้ และ
แมน่ ยา ทาใหส้ นั นิษฐานไดว้ า่ ผอู้ ่านพระวรสารของท่านรจู้ กั พระคมั ภรี อ์ ยแู่ ลว้ ในบางครงั้ ใชค้ าวา่ ชนต่างศาสนา
(Gentiles) เป็นผูน้ ับถอื นอกรตี (Pagan) (5:47; 6:7, 32; 18:17; 20:25) แต่ทงั้ น้ีไม่ได้หมายความว่าพระวรสารนักบุญ
มทั ธวิ “มคี วามเป็นยวิ ” (Jewishness) อย่างเคร่งครดั มลี กั ษณะบางประการเปิดรบั ธรรมเนียมใหม่ (เช่น การลาดบั
วงศ์ตระกูล การทค่ี าทานายในพระคมั ภรี ช์ าวยวิ ไดก้ ลายเป็นความจรงิ ) เม่อื นามาเปรยี บเทยี บกบั พระวรสารของนักบุญลูกาหรอื
ของนกั บุญยอหน์ จะพบความแตกต่างทส่ี ามารถจดั ว่าเป็นพระวรสารทงั้ สองเป็นของชนต่างศาสนา เพราะแมว้ ่า
จะมกี ารอา้ งองิ ขอ้ ความจากพระคมั ภรี ฮ์ บี รู(ชาวยวิ )เช่นกนั แต่กแ็ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเป็นศาสนายูดายในระดบั ท่ี
แตกต่างกนั ไป อย่างไรก็ตาม พระวรสารทงั้ หมดของเราต่างก็ดารงรกั ษาสบื เน่ืองมาจากธรรมประเพณีแบบ
ชาวยวิ เรยี กวา่ ยดู าย-ครสิ ต์ จนถงึ ชว่ งทแ่ี ยกออกมาอยา่ งชดั เจนเป็นศาสนาครสิ ต์ (Jewish Christianity)

ศาสนาครสิ ตแ์ บบชาวยวิ ไมใ่ ช่กลุ่มเสาหลกั ขนาดใหญ่ แต่เป็นเหมอื นกลุ่มยอ่ ยหลายๆ กลุ่มทม่ี เี จตคตติ ่อ
กฎเกณฑศ์ าสนายวิ แตกต่างหลากหลายกนั ดงั นนั้ การมองว่าพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นพระวรสารแบบชาวยวิ
กด็ จู ะงา่ ยเกนิ ไป ในรายละเอยี ดเราจะเหน็ วา่ พระวรสารน้ีมอี งคป์ ระกอบมากมายทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ การแยกออก
จากศาสนายวิ ตวั อย่างเช่น มกี ารอ้างอิงโดยใช้คาพูดว่าศาลาธรรม “ของพวกเขา” (4:23; 9:35; 10:17; 12:9; 13:54;
23:34) ธรรมาจารย์ “ของพวกเขา” (7:29) และในตอนทา้ ยอา้ งองิ ถงึ “พวกชาวยวิ ” (The Jews) ราวกบั วา่ เป็นคนอกี
กล่มุ หน่งึ (28:15, ดู “ความคดิ เหน็ ”เกย่ี วกบั 16:1) และในบางครงั้ พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ มกี ารกลา่ วถงึ คาพดู ของบคุ คลใน
ลกั ษณะทม่ี คี วามเป็นยวิ น้อยยง่ิ กว่าขอ้ ความทเ่ี ทยี บเคยี งกนั ไดใ้ นพระวรสารนักบุญลูกา (มธ. 10:37// ลก. 14:26; มธ.
10:28//ลก. 12: 4-5 มธ. 5:18//ลก. 16:17) ใน มธ. 18: 15-20 มปี ัญหาดา้ นวนิ ยั เกดิ ขน้ึ ในหม่คู ณะพระศาสนจกั ร ไมใ่ ช่ศาลา
ธรรม นอกจากน้ี ยงั มแี นวโน้ม(สูง)ว่านักบุญมทั ธวิ จะมที ศั นคติท่สี นับสนุนชนต่างศาสนา ไม่ใช่เพยี งชาวยวิ
เท่านัน้ (ตวั อย่างเช่น 28:18-20 ดู “ความคดิ เห็น” เก่ียวกบั 1:2-17; 2:1-12; 4:15; 8:5-13; 12:18-21; 21:43) ดงั นัน้ นักบุญมทั ธวิ จงึ “มี
ความเป็นชาวยวิ ในสว่ นลกึ แต่กต็ ่อตา้ นศาสนายวิ อยา่ งเจบ็ ปวดดว้ ย”

พระศาสนจักรสมัยนักบุญมัทธิวมองว่าตนเป็ นชุมชนของพระเมสสิยาห์ เป็ นประชากรใหม่
(Eschatological)ของพระเป็นเจา้ แตกต่างจากชาวยวิ หรอื ชนต่างศาสนา ผไู้ ม่เช่อื วา่ พระเยซูครสิ ตเ์ ป็นพระเมสสิ
ยาห์ นักบุญมทั ธวิ ยงั คงปฏบิ ตั ติ ามธรรมเนียมชาวยวิ ในการใชค้ าว่าคนต่างศาสนา (Gentile) ส่อื ถงึ “คนนอก
ศาสนา”(Outsider) ดงั นัน้ อคติท่ีเขามีต่อชาวยวิ และชนต่างศาสนาของท่าน จรงิ ๆ แล้วคือการแสดงออกถึง
ความรู้สกึ ของชุมชนชาวครสิ ต์ ซ่ึงแตกต่างจากโลกของผู้ท่ีไม่ใช่ชาวครสิ ต์ คอื ทงั้ ชาวยิวและชนต่างศาสนา
พระวรสารขดี เสน้ แบ่งผทู้ เ่ี ช่อื และผทู้ ไ่ี มเ่ ชอ่ื ในพระครสิ ต์หรอื ความเป็นพระเมสสยิ าหใ์ นองคพ์ ระเยซูเจา้ หรอื โดย
ยดึ เอาพระครสิ ตเจ้าเป็นหลกั เช่นน้ีไม่ใช่แบ่งผู้คนเหล่าน้ีออกจากความเป็นชาวยิว แต่เพิ่มมุมมองชนชาติ
อสิ ราเอลเป็นชนชาตทิ น่ี ามนุษยส์ ่คู วามเป็นสากลหรอื ประชากรของพระเป็นเจา้ ในระดบั สากลจกั รวาล (10:21-22,
32-39) การกาหนดว่าพระวรสารน้ีเป็น “ของชาวยวิ ” พระวรสารนนั้ เป็น “ของชนต่างศาสนา” หรอื “เป็นสากล” จะ
นาเราใหห้ ลงผดิ แมว้ ่าจะยนื ยนั ถงึ หลกั การแบ่งเช่นน้ี ซง่ึ อาจเป็นขอ้ แตกต่างทท่ี าใหเ้ ป็นลกั ษณะขดั แยง้ ได้ แต่
เม่อื ได้พสิ ูจน์ตนตามสจั ธรรมแห่งพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ในช่วงเวลาหน่ึง ก็สามารถปรบั เปลย่ี นขา้ มพน้ สู่

13

รูปแบบใหม่จากแก่นยดึ ธรรมบญั ญตั แิ ละความเป็นอสิ ราเอลนิรนั ดรสู่แก่นยดึ พระประสงค์ของพระเป็นเจา้ มติ ิ
ฝ่ายจติ กบั ความจรงิ และความเป็นสากลหรอื นานาชาตแิ ละมคี ุณคา่ แทจ้ รงิ (ดู 25:31-46)

ความคลุมเครอื ของขอ้ มูลเก่ยี วกบั ศาสนายูดาย (Ambiguity of Data about Judaism) ขอ้ มูลของเราท่ี
นามาใชป้ ระเมนิ ความสมั พนั ธข์ องนกั บุญมทั ธวิ กบั ศาสนายดู ายไมช่ ดั เจน ชว่ งเวลานนั้ ไม่มศี าสนายดู ายทม่ี คี วาม
เป็นเอกภาพในสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ 11ทเ่ี ราสามารถใชเ้ ป็นจดุ คงทใ่ี นการเปรยี บเทยี บ เชน่ เดยี วกบั ศาสนาครสิ ต์
ในยคุ แรกเรม่ิ ศาสนายดู ายในช่วงปลายศตวรรษทห่ี น่ึงเตม็ ไปดว้ ยการเปลย่ี นแปลงและการพฒั นาอย่างต่อเน่ือง
เพ่ือผลกั ดนั ตนเองให้ก้าวหน้า หลงั จากมหันตสงครามในช่วงปี 66-70 ศักราชกลาง แม้ในปัจจุบันจะไม่มี
แหลง่ ขอ้ มลู ร่วมสมยั ใดๆ ทป่ี ราศจากความคลุมเครอื ศาสนายดู ายระบบรบั บซี ง่ึ เครง่ ครดั และกาลงั พฒั นาในสมยั
ของนกั บญุ มทั ธวิ น่าจะมกี ารก่อตวั ขน้ึ ใหม่จากแหล่งขอ้ มลู ของชาวยวิ ในยคุ หลงั และมแี นวโน้มทจ่ี ะสะทอ้ นใหเ้ หน็
ถงึ ประเดน็ ปัญหาและสถานการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในยุคหลงั ดงั นนั้ ในอกี มุมหน่ึงกอ็ าจกล่าวไดว้ ่าเราขาดภาพทช่ี ดั เจน
ของศาสนายดู ายในสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ

แต่ในอกี มุมหน่ึง พระวรสารมีธรรมประเพณีท่มี าจากหลากหลายยุคสมยั และสถานการณ์ ดงั นัน้ จงึ ไม่
อาจเห็นได้ชดั เจนเสมอไปว่าอนั ใดเป็นตวั แทนของสมยั นักบุญมทั ธวิ และอนั ใดบ้างเป็นตวั แทนของสมยั ก่อน
นักบุญมทั ธวิ ทช่ี ุมชนมคี วามเป็นยวิ อย่างเขม้ งวดกว่าพระศาสนจกั รในสมยั ของนักบุญมทั ธวิ ดงั นัน้ ขอ้ มูลบาง
ประการในพระวรสารกส็ ามารถนามาตคี วามในทศิ ทางตรงขา้ มกนั ได้ ตวั อย่างเช่น นักบุญมทั ธวิ ไม่เคร่งครดั กบั
เร่อื งการเขา้ สุหนัตของชนต่างศาสนาท่กี ลบั มานับถอื ศาสนาครสิ ต์ ซ่งึ เรารูว้ ่าสง่ิ น้ีมีความสาคญั ต่อพนั ธกจิ การ
ประกาศเผยแพร่ขา่ วดตี ่อชนต่างศาสนารุน่ แรก (ดู กจ. 13-15; กท. 1-4) ในทางทฤษฎี ขอ้ มลู ทใ่ี ชน้ ้ีอาจหมายความว่า
พระศาสนจกั รสมยั นกั บุญมทั ธวิ ยงั อย่ใู นบรบิ ทของความเป็นชาวยวิ อย่างเตม็ ท่ี ซง่ึ ตอ้ งมกี ารเขา้ สุหนตั ดว้ ย หรอื
หมายความว่าพระศาสนจกั รยุคนัน้ ใชจ้ ุดเน้นใหม่จากพนั ธกจิ ต่อชนต่างศาสนายวิ อย่างเตม็ ท่ี จนประเดน็ เร่อื ง
การเขา้ สหุ นตั ไมเ่ ป็นปัญหาอกี ต่อไป (ซง่ึ ในส่วนการศกึ ษาวพิ ากษ์หนงั สอื เลม่ น้จี ะใชก้ รณแี บบทส่ี องเป็นหลกั )

ดงั นนั้ คาถามทเ่ี ราเคยถามกนั มาว่าพระศาสนาจกั รในสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ ยงั คง “เป็นแบบยวิ ” และอยู่
“ใน” ศาลาธรรม หรอื “เป็นแบบชนต่างศาสนา” และอยู่ “นอก” ศาลาธรรมแลว้ จงึ เป็นคาถามทไ่ี ม่สมเหตุสมผล
อกี ต่อไป แทนทเ่ี ราจะมองวา่ ศาสนายดู ายและศาลาธรรมเป็นสง่ิ ทค่ี งท่ี ตายตวั ตามมติ “การประชมุ สภา” ทเ่ี มอื ง
ยมั เนีย (Jamnia) หลงั ยุคปี 70 ศกั ราชกลางท่มี กี ารออกมาตรการเก่ยี วกบั การจดั ตงั้ ศาสนายูดาย เราควรมอง
ระยะเวลาท่ีขยายครอบคลุมตงั้ แต่หลงั สงครามช่วงปี 66-70 ไปจนถึงเวลาท่ีมีการประมวลจดั หมวดหมู่การ
ตคี วามพระคมั ภรี ข์ องชาวยวิ (Codification of Mishnah) วา่ เป็นระยะเวลาของ “การจดั รปู แบบของศาสนายดู าย”
(Formative Judaism) ในช่วงน้ี กลุ่มชาวฟารสิ ี (Pharisaic Party) ก่อนหน้ายุคปี 70 ซ่ึงในปัจจุบันมีอานาจ
สงู สุด ยงั ช่วงชงิ อานาจปกครองอย่กู บั กลุ่มอ่นื ๆ ทเ่ี หลอื รอดมาจากสงคราม เช่น นักบวช (Priestly) ธรรมาจารย์
(Scribal) ผู้พ ยากรณ์ (Apocalyptic) ชาวคริสต์ (Christian) และในส่วนย่อยๆ อาจรวมถึงพ วกสะดูสี
(Sadducean) และพวกรกั ชาติ (Zealot) ) และในท่สี ุดกไ็ ด้ก่อตงั้ ตนเองเป็นระบบรบั บที ่ชี ดั เจนในศาสนายูดาย
ซง่ึ ต่อมากลายเป็น “บรรทดั ฐาน”(Normative) ในความผสมผสานน้ี เหน็ ได้ชดั ว่าชุมชนในสมยั นักบุญมทั ธวิ ยุค
แรกเรมิ่ ยงั เป็นกลุ่มคนเกย่ี วขอ้ งกบั ศาสนายดู าย คอื กลุ่มคนทม่ี องวา่ ตนเองเป็นคนของพระเป็นเจา้ อยา่ งแทจ้ รงิ

11 เน่อื งจากพระวหิ ารถกู เผาทาลายอยา่ งสน้ิ เชงิ โดยอาณาจกั รโรมนั ประมาณปี ค.ศ. 70 ผนู้ าศาสนายดู ายตา่ งพยายามฟ้ืนฟูศาสนาและธรรมบญั ญตั ิ
แต่มชี มุ ชนหลายกลุ่มจงึ ไมเ่ ป็นเอกภาพ เน่อื งจากความหายนะจากพระวหิ ารทถ่ี ูกทาลายเป็นครงั้ ท่ี 2

14

เป็นชนกลุ่มน้อยท่ถี ูกเบยี ดเบยี นโดยผูน้ าฟารสิ ที ่มี อี านาจ (ดูตวั อย่างใน 5:13-16; 10:23, 32-33; 40-42; 25: 31-46) ในทาง
ประวตั ศิ าสตร์ แมว้ ่าจะมเี หตุการณ์ทช่ี าวยวิ เบยี ดเบยี นชาวครสิ ตย์ ุคแรกเรม่ิ อย่บู า้ ง เชน่ การเบยี ดเบยี นผทู้ เ่ี ช่อื
ในพระครสิ ต์ซ่งึ เป็นชาวยวิ (Jewish Christians) ท่อี ยู่ในโครงสรา้ งและต้องปฏบิ ตั ติ ามขอ้ บงั คบั ของศาลาธรรม
แต่ไม่ไดป้ ฏบิ ตั อิ ย่างเป็นทางการหรอื อยา่ งกวา้ งขวาง เหตุการณ์ทช่ี าวยวิ เบยี ดเบยี นชาวครสิ ต์ในยคุ แรกเรมิ่ จงึ
ไม่ควรถูกนามาขยายเสรมิ แต่งจนลุกลาม กลายเป็นเชอ้ื เพลงิ ใหก้ บั กลุ่มผตู้ ่อตา้ นชาวยวิ แต่ในขณะเดยี วกนั กไ็ ม่
ควรถงึ กบั ปฏเิ สธว่าไม่เคยมอี ยู่เลย เพ่อื เหน็ แก่ประโยชน์ของความสมั พนั ธ์ทด่ี รี ะหว่างชาวครสิ ต์และชาวยวิ ใน
ปัจจุบนั เน่ืองจากเหตุการณ์ท่ชี าวยวิ เบยี ดเบยี นชาวครสิ ต์ในสมยั นัน้ ไม่ใช่ปัญหาการกดขท่ี างศาสนาหรอื เช้อื
ชาติ ไมใ่ ชป่ ัญหาจากภายนอกทแ่ี ทรกแซงการปฏบิ ตั ติ ามความเชอ่ื ทางศาสนาของคนอกี กลมุ่ หน่ึง (และแน่นอนว่าไม่
เหมอื นกบั การทช่ี าวครสิ ต์ในยุคหลงั สงั หารหม่ชู ุมชนชาวยวิ เลยแม้แต่น้อย) ดงั ขอ้ ความในพระวรสารบทท่ี 10: 17 และ 23:24 ซ่งึ
สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ เป็นเรอ่ื งความขดั แยง้ ภายในระหวา่ งชาวยวิ และระหวา่ งชาวครสิ ตด์ ว้ ยกนั ในสมยั ปฏริ ปู เทา่ นนั้

ผลลพั ธ์: การยนื ยนั ทช่ี ดั เจนและปัญหาทย่ี งั ต้องหาคาตอบต่อไป (Clear Affirmations and Continuing
Questions) จากผลการศกึ ษาเม่อื ไม่นานมาน้ี ได้ให้การยนื ยนั ในประเดน็ ต่างๆ เพ่อื เป็นฐานใหก้ บั การตคี วาม
พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ เพม่ิ เตมิ ดงั น้ี

พระวรสารนักบุญมทั ธวิ ไม่ไดม้ องว่าตนเองเป็นตวั แทนของศาสนาใหม่ คอื ศาสนาครสิ ต์ ซง่ึ มขี อ้ ขดั แยง้
กบั ศาสนาเก่าคอื ศาสนายูดาย และไม่ไดม้ องว่าพระศาสนจกั รคอื “อสิ ราเอลใหม่” ทม่ี าแทน “อสิ ราเอลเก่า” นัก
บุญมทั ธวิ มองว่าชุมชนชาวครสิ ตซ์ ง่ึ มที งั้ คนยวิ และชนต่างศาสนาคอื กลุ่มคนของพระผเู้ ป็นเจา้ ผทู้ ส่ี บื สานศาสนา
ต่อไป และจะบรรลุความดคี รบถว้ นทางจติ วญิ ญาณในอนั ตกาล เม่อื “เผ่าพนั ธุท์ งั้ 12 ของอสิ ราเอล” มารวมตวั
กนั อกี ครงั้ ซง่ึ ทงั้ ชาวอสิ ราเอลและพระศาสนจกั รจะตอ้ งถูกพพิ ากษาโดยบุตรแห่งมนุษย์ (ดูความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั เร่อื งน้ี

19:28)

นักบุญมทั ธวิ มองว่าชาวยวิ ทป่ี ฏเิ สธพระเยซูเจา้ ในฐานะพระเมสสยิ าห์ (Messiah) โดยเฉพาะกลุ่มผูน้ า
(ธรรมาจารย์ ฟารสิ ี ปุโรหติ และนักบวช) เป็นพวกทเ่ี สยี สทิ ธขิ ์ องตนในฐานะประชากรของพระผูเ้ ป็นเจา้ (21:43) ดงั นัน้ ใน
มมุ มองของนกั บุญมทั ธวิ อาณาจกั รอสิ ราเอลคอื ประชาชาตหิ น่ึงทอ่ี ยทู่ ่ามกลางประชาชาตอิ ่นื ๆ ซง่ึ ไดร้ บั เรยี กให้
เป็นผสู้ บื สานความเป็นประชากรของพระผเู้ ป็นเจา้ อย่างต่อเน่ือง โดยการประกาศยอมรบั ว่าพระเยซูเจา้ คอื พระ
เมสสยิ าหแ์ ละปฏบิ ตั ติ นตามคาสอนของพระองค์ (10:32-33; 28: 18-20)

สาระเน้ือหาเก่ียวกบั ศาสนายูดายท่มี อี ยู่ในพระวรสารไม่ได้หมายความว่าพระวรสารนัน้ เขยี นข้นึ มา
สาหรบั ชาวยวิ อ่นื ๆ ทย่ี งั ไมไ่ ดเ้ ชอ่ื ใหม้ าเชอ่ื นบั ถอื พระเยซคู รสิ ตค์ อื พระผไู้ ถ่ นกั บุญมทั ธวิ นิพนธพ์ ระวรสารเพอ่ื ใช้
เป็นคาสอนสาหรบั สมาชกิ ในชุมชนของตน หล่อเลย้ี งรกั ษาความเช่อื ศรทั ธาและอธบิ ายชแ้ี จงเก่ยี วกบั สง่ิ ทเ่ี ป็น
ความเขา้ ใจผดิ ท่านไม่ไดม้ จี ุดประสงคใ์ นการนิพนธเ์ พอ่ื ประกาศสอนเผยแพรศ่ าสนา หรอื ตอบโตป้ กป้องศาสนา
กบั สงั คมภายนอกแต่อยา่ งใด

พระวรสารนักบุญมทั ธิว บางทีจะมีข้อความสนทนาโต้เถียงกนั อย่างร้อนแรงกบั ศาสนายูดายอย่าง
ต่อเน่ือง เน่ืองจากพัฒนาการต่างๆ ในการฟ้ืนฟูจดั ระเบียบของศาสนายูดายท่ีอยู่ในยุคร่วมสมยั ของท่าน
โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เหตุการณ์การจดั ตงั้ ปฏริ ปู สานกั รบั บี ทเ่ี มอื งยมั เนีย และผลกระทบของเหตุการณ์ทม่ี ตี ่อศาลา
ธรรมในสภาพแวดล้อมของนักบุญมทั ธวิ เป็นสง่ิ ท่ีท่านต้องใส่ใจอย่างมาก ท่านพิจารณาความเป็นผู้นาของ
ชาวฟารสิ ที ก่ี าลงั กอ่ ตวั ฟ้ืนฟูจดั ระเบยี บใหม(่ หลงั จากพระวหิ ารเยรซู าเลม็ ถกู ทาลาย) และจดั โปรแกรมฟ้ืนฟูตา่ งๆ
สาหรบั ศาสนายดู าย เป็นสง่ิ ทถ่ี ูกตอ่ ตา้ นสาคญั และเป็นทางเลอื กทแ่ี ตกตา่ งกนั สาหรบั การปฏบิ ตั สิ าหรบั ประชากร

15

ของพระผเู้ ป็นเจา้ ในความเขา้ ใจของท่าน ในพระวรสารมเี น้ือหาเก่ียวกบั ธรรมประเพณีแบบชาวครสิ ต์ทเ่ี คยเป็น
ชาวยวิ ซง่ึ ในบางแงม่ ุมเป็นความหมายทท่ี บทวนใหม่เพอ่ื ใหป้ ฏบิ ตั แิ ทนทข่ี องเดมิ และยงั มคี วามสาคญั มากพอท่ี
จะต้องเก็บรกั ษาไว้ และในบางแง่มุมก็ต้องยืนยนั ท่ีจะรกั ษาไว้ (ดู “ความคิดเห็น” เก่ียวกับ 5:17-20; 10:5-6; 23:1-3) แม้
เน้ือหาใน 10:16-25 เล่าถงึ ชาวครสิ ต์ตอ้ งแยกตวั ออกมาจากศาลาธรรม “ของพวกเขา” นนั้ แต่ขอ้ เทจ็ จรงิ คอื ชาว
ครสิ ต์ถูกโบยตแี ละถูกนามาขน้ึ ศาลทอ้ งถน่ิ ของศาสนายดู าย (Sanhedrins) ชง่ึ ระบุว่าผเู้ ป็นเหย่อื ของการขม่ เหง
ทารุณน้ียงั ไดร้ บั การพจิ ารณาแบบเป็นสมาชกิ ภายในชุมชนชาวยวิ ถ้ามองในแงม่ ุมน้ี อาจกล่าวไดว้ ่าพระศาสน
จกั รของนักบุญมทั ธวิ มีคุณลกั ษณะ“ความเป็นชาวยวิ ” เน่ืองจากได้ปฏบิ ตั ติ นตามกฎของศาลาธรรมและยดึ ถอื
ธรรมบญั ญตั ดิ งั เชน่ ชาวยวิ โดยทวั่ ไป

แมพ้ ระศาสนจกั รสมยั นักบุญมทั ธวิ และ/หรอื ชุมชนแหล่ง Q อาจได้เคยลม้ เหลวในพนั ธกจิ การเผยแพร่
พระศาสนาไปสู่ชาวยวิ มาก่อน ขณะน้ีได้ลม้ เลกิ พนั ธกจิ เฉพาะน้ีไปแลว้ และไม่ถอื ว่าตนเป็นกระบวนการฟ้ืนฟู
ศาสนายดู ายอกี ต่อไป แต่ไดป้ รบั เปลย่ี นเป้าหมายไปมงุ่ เน้นพนั ธกจิ ต่อชนต่างศาสนา เชน่ การประกาศขา่ วดแี ก่
ชนชาตติ ่างๆ ซง่ึ ถอื ว่าเป็นพนั ธกจิ หน่ึงเดยี วแทนทจ่ี ะเป็นเพยี งชนชาตอิ สิ ราเอลชาตเิ ดยี ว (28:18-20) นกั บญุ มทั ธวิ
เขา้ ใจดวี ่า พระศาสนจกั รของท่านท่เี ป็นอยู่(ในขณะนัน้ )และในอนาคตต้องมุ่งเน้นภารกิจการประกาศข่าวดีไปสู่
นานาชาติ ดงั นนั้ จงึ มองว่าศาสนายดู ายเมอ่ื ไม่เกย่ี วขอ้ งกบั พระครสิ ต์นนั้ กไ็ ม่ไดเ้ ป็นคแู่ ขง่ และไมเ่ ป็นปรปักษ์ ใน
มุมมองน้อี าจกลา่ วไดว้ า่ พระศาสนจกั รสมยั นกั บุญมทั ธวิ เป็นของ “กลมุ่ ชนตา่ งศาสนา”

ปัญหาทย่ี งั ตดิ คา้ งอยู่ กล่าวโดยเจาะจงคอื ปัญหาเร่อื ง “เบอรค์ าธ ฮา-มนิ ิม” (Birkath ha-Minim) (การอวย
พร <สาบแช่ง> คนนอกรตี ) ยงั คงแกไ้ ขไม่ได้ ซง่ึ คาดวา่ เกดิ ขน้ึ จากเหตุการณ์ทก่ี ลุ่มศกึ ษาและสภารบั บี (Academy and
Rabbinic Court)ได้รบั การปรบั ปรุงร้อื ฟ้ืนข้นึ ใหม่ในเมอื งยมั เนีย และมอี ิทธพิ ลจนกลายเป็นผู้นาในการฟ้ืนฟู
ศาสนายดู ายขน้ึ ใหม่ หลงั สงครามปี ค.ศ. 66-70 ไดใ้ ชบ้ ทภาวนาบทหน่ึงทไ่ี ด้ปรบั เปลย่ี นแปลงโดยศาลาธรรม
ใหม้ คี าสาบแช่งแก่พวก “มนิ ิม” (Minim) หรอื ผทู้ แ่ี ยกตวั จากศาสนาหรอื ผถู้ อื นอกรตี เป็นเหตุใหบ้ รรดาปิตาจารย์
ของพระศาสนจกั รในยุคต่อๆ มา เขา้ ใจว่าคาสาบแช่งน้ีมไี วส้ าหรบั ชาวครสิ ต์โดยตรง และนามาใช้ในพธิ สี วด
ภาวนาสรรเสรญิ ในศาลาธรรมของชาวยวิ แต่บางครงั้ กม็ ผี ูโ้ ต้แยง้ ว่าบทสวดน้ีเป็นเพยี งเคร่อื งมอื ในการค้นหา
ชาวยวิ -ครสิ ต์ท่อี ยู่ในศาลาธรรมเท่านัน้ (เพราะแน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่เขา้ ร่วมในพธิ สี วดน้ี หรอื ทนไม่ไดท้ ่จี ะอยู่ร่วม
ภาวนาสรรเสรญิ กบั หมคู่ ณะ) เมอ่ื พบวา่ เป็นผใู้ ด จะไดข้ บั ไล่ใหอ้ อกจากศาลาธรรม แต่เม่อื เวลาผา่ นไป ถอ้ ยคาในบท
สวดมกี ารเปล่ยี นแปลง เน่ืองจากส่วนหน่ึงเป็นเพราะความกลวั ว่าชาวครสิ ต์จะแก้แคน้ ดงั นัน้ จงึ ส่งผลให้มกี าร
โต้เถียงเร่อื งถ้อยคาดงั้ เดิมในบทสวด ต่างไม่มใี ครแน่ใจและไม่มหี ลกั ฐานชดั เจนว่าบทสวดดงั้ เดิมนัน้ มีการ
กล่าวถงึ ชาวครสิ ตห์ รอื ไม่ หรอื อาจหมายถงึ ชนทุกกลุ่มทถ่ี ูกผนู้ าท่ีเมอื งยมั เนียมองวา่ เป็นพวกนอกรตี อกี ทงั้ กย็ งั
ไม่มคี วามชดั เจนอีกเช่นกนั ว่าในสมยั ของนักบุญมทั ธวิ นัน้ ผู้นาของสานักรบั บี ท่เี มอื งยมั เนียมอี านาจกากบั
ควบคุมบทสวดในศาลาธรรมอยา่ งแทจ้ รงิ หรอื ไม?่

ดงั นนั้ อาจจะเป็นการสรุปงา่ ยเกนิ ไป ถา้ มองว่า “เบอรค์ าธ ฮา-มนิ ิม” (Birkath ha-Minim) คอื หลกั ฐานทแ่ี สดง
ว่านักบุญมทั ธวิ และชุมชนของท่านเป็นเหตุแห่งการแบ่งแยกจากศาสนายูดายในยุคแรกเรมิ่ และมองว่าพระวร
สารนักบุญมทั ธวิ โดยหลกั ๆ แลว้ คอื การโตต้ อบของกลุ่มท่ถี ูกขบั ไล่ภายใต้สานกั ปฏริ ปู ทเ่ี มอื งยมั เนีย ดงั น้ีเรา
จงึ ไม่อาจใช้ “เบอรค์ าธ ฮา-มนิ มิ ” เป็นหลกั ฐานสาคญั ในการตคี วามสถานการณ์ในสมยั นกั บุญมทั ธวิ ได้ แมว้ า่ จะมี
หลกั ฐานปรากฎชดั เจนว่ามคี วามขดั แย้งอย่างตงึ เครยี ดในระดบั ลกึ ระหว่างศาสนายูดายซ่งึ กาลงั อยู่ในยุคการ

16

ปฏริ ูปฟ้ืนฟูอย่างชดั แจง้ กบั พระศาสนจกั รของนักบุญมทั ธวิ ซง่ึ ก่อตงั้ และสามารถพฒั นาเอกลกั ษณ์ โครงสรา้ ง
และกระบวนการตา่ งๆของตน ในระดบั มอี ทิ ธพิ ลและมอี านาจในการขบั ไล่คนออกจากศาสนา โดยการประกาศคา
สอนทถ่ี ูกตอ้ งและเชอ่ื ถอื ได้ (ดขู อ้ คดิ เหน็ เกย่ี วกบั มธ 18:15-20)

ประเดน็ ทว่ี ่าพระศาสนจกั รของนกั บุญมทั ธวิ เป็นลทั ธิ(A Sect)ใช่หรอื ไม่ แน่นอนว่าไม่ใช่ในแบบเดยี วกบั
หมบู่ า้ นคุมราน (Qumran) ซง่ึ เป็นชุมชนทแ่ี ยกตวั จากสงั คม พระศาสนจกั รของนกั บุญมทั ธวิ ไม่ไดแ้ ยกตวั ออกมา
อย่างผู้ถูกขบั ไล่ท่ีหนั หน้าเข้าหา(รวมกลุ่ม)กนั เอง แต่เป็นการมุ่งไปข้างหน้าปฏิบัติภารกิจต่อสงั คมโลกอย่าง
กระตอื รอื รน้ ถงึ กระนนั้ พระศาสนจกั รกม็ บี างลกั ษณะทค่ี ลา้ ยคลงึ กบั ลทั ธิ คอื มกี ารกล่าวว่าพวกเขาคอื ประชากร
ทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระผเู้ ป็นเจา้ นาประเพณีต่างๆ จากศาสนาแมม่ าเป็นหลกั ของตน และกลา่ วอา้ งวา่ ตนเป็นผสู้ บื ทอด
ทแ่ี ทจ้ รงิ แต่ผเู้ ดยี วเทา่ นนั้ (cf. 10:16 เป็นทศั นคตเิ ช่นน้ีทม่ี กี ารพฒั นาขน้ึ ในชุมชน Q แลว้ )

ประเดน็ ทว่ี ่าพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ต่อตา้ นชาวยวิ (Anti-Semitic) หรอื ไม่ ในแงน่ ้ี ถา้ พจิ ารณาถงึ การท่ี
พระวรสารบางส่วนถูกนามาใชส้ นับสนุนการกดี กนั แบ่งแยกเชอ้ื ชาติ รวมถงึ ขอ้ ความและการกระทาทม่ี ลี กั ษณะ
ต่อตา้ นยวิ (โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใน 21:43 และ 27:25) เป็นสง่ิ ท่ตี อ้ งเผชญิ หน้ากบั คาถามน้ีอย่างซ่อื สตั ย์ โดยเฉพาะในกลุ่ม
ชาวครสิ ต์ท่ตี ้องการยดึ ถอื อย่างจรงิ จงั ว่าพระวรสารนักบุญมทั ธวิ เป็นพระคมั ภรี ท์ อ่ี ย่ใู นสารบบของศาสนาอย่าง
เป็นไปตามหลกั การ (Canonical Scripture) อยา่ งไรกต็ าม การตงั้ คาถามในประเดน็ ทเ่ี ป็นการต่อตา้ นชาวยวิ กด็ ู
จะไม่เขา้ กบั ยุคสมยั เพราะประเดน็ ทม่ี อี ย่ใู นพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ไม่ใช่การกดี กนั ดา้ นเชอ้ื ชาติ แต่เป็นความ
ขดั แยง้ ทางศาสนา สถานการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ในสมยั ท่พี ระวรสารนักบุญมทั ธวิ ถอื กาเนิดข้ึนไม่ได้มเี พยี ง
ความตงึ เครยี ดระหว่างชาวยวิ กบั ชนต่างศาสนาเท่านัน้ แต่ยงั มคี วามขดั แย้งภายในระหว่างชาวยวิ กลุ่มต่างๆ
ในขณะนัน้ อกี ดว้ ย (พระศาสนจกั รของนักบุญมทั ธวิ จงึ จดั เป็นกลุ่มหน่ึง) สมาชกิ บางส่วนหรอื แมก้ ระทงั ่ ส่วนใหญ่ของชุมชน
ชาวครสิ ต์สมยั นักบุญมทั ธวิ กค็ อื ชาวยวิ ซ่งึ รสู้ กึ ว่าตนเองถูกรงั แกขม่ เหงจากผนู้ าของศาสนายวิ ในสถานการณ์
ความขดั แย้งน้ีมกี ารพูดจากนั ด้วยถ้อยคารุนแรง ดงั นัน้ จากฝ่ ายของนักบุญมทั ธวิ จงึ มกี ารพูดล้อเลยี นเชงิ ลบ
เก่ยี วกบั ผู้นาชาวยวิ และการปฏบิ ตั ิตามหลกั ศาสนายวิ (ดู 21:43; 23:1-36; 27: 24-26) ถึงแม้จะดูไรเ้ หตุผลถ้ามองว่า
นกั บุญมทั ธวิ มลี กั ษณะต่อตา้ นชาวยวิ เพราะในพระวรสารกแ็ สดงใหเ้ หน็ ว่าพระเยซูเจา้ และศษิ ยข์ องพระองคเ์ ป็น
ชาวยวิ และตวั ของนักบุญมทั ธวิ เองกเ็ ป็นชาวยวิ ทงั้ ยงั เขยี นขน้ึ มาเพ่อื ใหพ้ ระศาสนจกั รทถ่ี อื ธรรมประเพณีและ
เป็นชาวยวิ ไดอ้ า่ น แต่กเ็ ป็นเรอ่ื งน่าเศรา้ ทต่ี อ้ งยอมรบั ว่า เป็นความจรงิ ท่วี า่ คากล่าวและภาพพจน์ทม่ี าจากความ
ขดั แยง้ ระหวา่ งพระศาสนจกั รของนกั บุญมทั ธวิ กบั ผนู้ าศาสนายวิ ถูกนาไปใชเ้ ป็นเชอ้ื เพลงิ โหมกระแสการต่อตา้ น
ชาวยวิ ดงั นัน้ จงึ ทาให้ผูต้ คี วามในยุคสมยั ใหม่ต้องพงึ ระวงั ไม่ใหข้ อ้ ความจากพระวรสารน้ีถูกนาไปใชส้ นับสนุน
การตอ่ ตา้ นชาวยวิ ในขณะเดยี วกนั การสมั ผสั ใสใ่ จดา้ นหลกั การของคนยคุ ใหมใ่ นเรอ่ื งความล่อแหลมของประเดน็
การตอ่ ตา้ นชาวยวิ กไ็ มค่ วรบดบงั ความเขา้ ใจทางประวตั ศิ าสตรท์ ว่ี า่ นกั บญุ มทั ธวิ มจี ดุ ยนื ทแ่ี ตกต่างและขดั แยง้ กบั
ศาสนายดู ายทก่ี าลงั ฟ้ืนฟูอยใู่ นยคุ สมยั ของทา่ น

6. การเปล่ียนแปลงและพฒั นาการ (Change and Development)

เราอาจมองภาพนักบุญมทั ธวิ และสมาชกิ หลายคนในชุมชนของท่านได้ว่าเป็นชาวยวิ ท่เี ตบิ โตข้นึ ก่อน
สงครามปี ค.ศ. 66-70 โดยมศี าลาธรรมเป็นเสมอื นบา้ นของจติ วญิ ญาณ กอ่ นสมยั การทาลายพระวหิ ารเยรซู าเลม็
พวกเขาได้เคยพบกบั กลุ่มผู้ประกาศเผยแพร่ศาสนา(Missionary)รุ่นแรกๆ ของ “กระบวนการพระเยซูครสิ ต์”

17

(Jesus Movement) ซง่ึ บางทอี าจมลี กั ษณะเกย่ี วขอ้ งหรอื เหมอื นกบั ประกาศกผเู้ ผยแพร่ศาสนาของชุมชนแหล่ง
Q ซง่ึ มคี าสอนเกย่ี วกบั อวสานตกาลของโลกไวว้ า่ พระเยซูเจา้ จะกลบั มาอกี ครงั้ ในฐานะของบุตรแห่งมนุษย์ (Son
of Man) พวกเขาไดก้ ลบั ใจมามศี รทั ธาต่อพระเยซูเจา้ ผเู้ ป็นบุตรแหง่ มนุษยแ์ ละเป็นผทู้ ท่ี าความหวงั เกย่ี วกบั การ
เสด็จมาของพระผู้ไถ่ (Messiah) ให้กลายเป็นจรงิ โดยไม่ได้คาดฝันเลยว่าความเช่ือน้ีจะทาให้พวกเขาต้อง
แยกตวั เองออกจากศาสนาและวฒั นธรรมของตนซง่ึ เป็นเหมอื นบา้ นเดมิ ในศาสนายดู าย ภาวะขดั แยง้ และความ
ตงึ เครยี ดได้ก่อตวั ขน้ึ ผู้ท่มี าเป็นศษิ ย์ของพระเยซูเจ้าพบว่าตนเองอยู่ในกลุ่มท่ีถูกแยกโดดเด่ยี วจากคนอ่นื ใน
ศาลาธรรม หลงั จากเรมิ่ ต้นการปฏริ ูปศาสนายูดายท่เี มอื งยมั เนีย ไม่เพยี งแต่กลุ่มของนักบุญมทั ธวิ เท่านัน้ แต่
ศาลาธรรมทงั้ หมดกเ็ ช่นกนั ไดพ้ บว่าตนเองเขา้ มาอย่ใู นกระบวนการเปลย่ี นแปลง และภาวะตงึ เครยี ดกย็ ง่ิ เพม่ิ
หนกั ขน้ึ ชว่ งเวลาของการเขยี นพระวรสารไดเ้ ป็นหว้ งเหตุการณ์ทน่ี กั บุญมทั ธวิ และชุมชนของทา่ นไดถ้ ูกแบง่ แยก
ออกจากโครงสรา้ งการปฏิรูป(ศาสนายูดาย)ท่กี าลงั ก่อตวั ข้นึ เหล่าน้ี พวกเขาได้เรยี กกลุ่มของตนท่รี วมตวั กนั
ข้นึ มาว่า “พระศาสนจกั ร” (Church =Assembly12 มาจาก ejkklhsi”a ekklesia ซ่ึงเป็นคาท่ีพบเฉพาะในพระวรสารนักบุญมทั ธิวเท่านัน้
[16:18; 18:17; 21 ในพระคมั ภีร์ฉบบั NRSV [มาตรฐานแก้ไขใหม่[ ใช้คาว่า adelphoi หรอื adelfoi แปลว่า “พ่นี ้อง” [brothers and sisters]) ด้วย
เหตุผลบางอย่างทาให้พวกเขามองว่าตนเองได้โน้มเอยี งไปทางโลกของชนต่างศาสนามากกว่าศาสนายูดาย
รูปแบบใหม่ แต่ก็ยงั คงยนื ยนั ในอดีตความเป็นชาวยวิ ของตนต่อไป โดยถือว่าตนเองเป็นผู้สบื ทอดท่ถี ูกต้อง
แท้จรงิ นักบุญมทั ธวิ และศาสนจกั รของท่านได้เติบโตข้ึนในช่วงยุคท่ีมีการเปล่ยี นแปลงเกิดข้นึ อย่างรวดเรว็
พระวรสารตามคาบอกเล่าของนักบุญมทั ธวิ จงึ มปี ระสบการณ์หลายสงิ่ มากมายทจ่ี ะบอกเล่าใหก้ บั ชุมชนทก่ี าลงั
สัมผัสกับการเปล่ียนแปลงทางด้านสังคม ได้ทราบถึงวิธีการปรบั ตัวและนาไปใช้ในชุมชนของตน แต่ใน
ขณะเดยี วกนั กต็ อ้ งซ่อื สตั ยต์ อ่ พระคมั ภรี แ์ ละธรรมประเพณีของตน

7. รปู แบบ โครงสรา้ งและภาวะผนู้ า13 (Structure and Leadership)

ในการศกึ ษาพระคมั ภรี แ์ ละพระวรสารอย่างเป็นองคร์ วมและอย่างเป็นระบบ ตอ้ งศกึ ษาองคป์ ระกอบทุก
ด้านท่เี ก่ยี วขอ้ ง ได้แก่ การวเิ คราะห์บรบิ ท สภาพลกั ษณะของสถานท่ตี งั้ (Places) ภูมศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตร์
สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ ท่ีเก่ียวข้อง ศึกษาสภาพของประชาชน หมู่คณะ ชุมชนและบุคคล
(People) ท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ภาวะผูน้ าของบุคคลสาคญั เช่นคณะอคั รสาวก กลุ่มผนู้ าชาวยวิ ฯลฯ และหนังสอื พระ
คมั ภรี ์ (Bible) กบั เอกสารหลกั ฐานต่างๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง รปู แบบวรรณกรรมและลกั ษณะการประพนั ธ์ เจาะลกึ ลงไป
ถงึ เทววทิ ยาหรอื แนวคดิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งในยุคสมยั นนั้ ดว้ ย

โครงร่างคร่าวๆ ของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ เป็นเร่อื งเล่าเรม่ิ ต้นจากลาดบั วงศ์ตระกูลของพระเยซูเจ้า
แสดงถงึ การสบื เช้อื สายตามพระสญั ญาจากตระกูลของกษตั รยิ ด์ าวดิ การประสตู ขิ องพระเยซูเจา้ การแสดงองค์
แก่นานาชาติ และประวตั สิ นั้ ๆ ในระยะเตรยี มสพู่ นั ธกจิ ของพระเยซูเจา้ ในฐานะพระเมสสยิ าห์ การประกาศขา่ วดี
ทงั้ โดยพระวาจาและการปฏิบัติกิจการแห่งการไถ่กู้ (Messiah in Word and Deeds) พนั ธกิจท่ีพระองค์ทรง
กระทายนื ยนั ว่าพระองคท์ รงเป็นโมเสสใหม่ แต่ยงิ่ ใหญ่กว่า ทรงเป็นบุตรแหง่ มนุษยแ์ ละพระบุตรของพระเป็นเจา้

12 ศาลาธรรมของศาสนายดู าย ใชค้ าวา่ Synagogue (Gathering)

13 โครงสรา้ งของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นโครงรา่ งแบบงา่ ย มลี กั ษณะซอ้ นกนั หลายชนั้ จงึ วเิ คราะหไ์ ดห้ ลายแบบ มลี กั ษณะวรรณกรรมแบบชุดพระคมั ภรี โ์ ตราห์
หรอื ปัญจบรรพ์ ประกอบดว้ ยหนงั สอื 5 เลม่ เชน่ กนั และมเี ป้าหมายแน่ชดั เป็นการประกาศขา่ วดถี งึ อาณาจกั รของพระเจา้ ไดม้ าถงึ แลว้ พระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระเมสสี
ยาหต์ ามทพ่ี นั ธสญั ญาเดมิ ไดก้ ล่าวพยากรณ์ถงึ และทรงพระบุตรของพระเจา้

18

ทรงนาพามนุษยท์ กุ คนสคู่ วามรอดพน้ เน้นแสดงวา่ พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ เป็นแกน่ หลกั สาคญั แหง่ ชวี ติ และ
กจิ การทงั้ ปวง ทรงนาพามนุษยร์ ูจ้ กั พระบดิ าและพระประสงคข์ องพระองค์ ซ่งึ เปิดเผยโดยทางองคพ์ ระบุตรแต่
เพยี งพระองคเ์ ดยี ว คอื พระองคพ์ ระเยซูครสิ ตเจา้ ไปจนถงึ ชวี ติ ทท่ี รงนบนอบต่อพระเป็นเจา้ แมก้ ระทงั่ ยอมรบั
ความตายบนไมก้ างเขน แลว้ ทรงกลบั คนื พระชนมช์ พี และทรงประจกั ษ์แสดงพระองคต์ ่อบรรดาศษิ ย์ พรอ้ มกบั
ทรงบญั ชามอบหมายใหบ้ รรดาศษิ ยส์ บื สานพนั ธกจิ ต่อจากพระองคใ์ นโลกน้ี เพ่อื นาพระพรและข่าวดแี ห่งความ
รอดพน้ มาส่มู นุษยช์ าตอิ ย่างสมบูรณ์ พระวรสารไดจ้ บลงถงึ ตอนน้ี ไม่ไดเ้ ล่าเร่อื งต่อไปจนถงึ พระศาสนจกั รหลงั
การกลบั คนื พระชนมช์ พี

พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ สอ่ื สารถงึ คุณลกั ษณะของวถิ ชี วี ติ ของพระศาสนจกั รในทางตรงและโดยทางออ้ ม
ในลกั ษณะต่างกนั พอจาแนกไดด้ งั น้ี

1) เป็นกระบวนการเล่าเรอ่ื งของพระเยซูเจา้ ในความหมายทางครสิ ตศาสตร์ (Christology) พระองคท์ รง
เป็ นพระเมสสิยาห์ ตามพระสญั ญาผู้ท่ีจะเสด็จมาไถ่กู้มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป ดังท่ีมีกล่าว
พยากรณ์ไว้ในพระคมั ภีร์พนั ธสญั ญาเดมิ และในฐานะพระบุตรของพระเป็นเจ้า ผู้ทรงทาให้พระ
สญั ญาเป็นจรงิ และสาเรจ็ บรบิ รู ณ์ (Fulfillment) และทรงนาความรอดพน้ มาสมู่ นุษยแ์ ละโลก

2) มุ่งเน้นความหมายด้านเทววิทยา พระอาณาจักรของพระเป็ นเจ้ามาใกล้แล้ว (Incarnation
Theology) พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเป็นเจ้าผู้ทรงรบั สภาพมนุษย์ ทรงประกาศสอนให้มนุษย์รูจ้ ัก
พระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ผ่านทางคาสอนแห่งพนั ธสญั ญาเดมิ คอื ธรรมบญั ญตั แิ ละคาสอนของ
บรรดาประกาศก ทรงเป็นประกาศกผู้ยงิ่ ใหญ่ทรงอยู่เหนือกว่าธรรมบญั ญัติ และทรงยงิ่ ใหญ่กว่า
บรรดาประกาศก พระองค์ทรงเป็นหนทาง ความจรงิ และชวี ติ มนุษยจ์ ะได้รบั ความรอดพน้ ไดโ้ ดย
ทางพระวาจา(คาสอน)และการปฏบิ ตั ติ ดิ ตามพระเยซูเจา้ ผทู้ รงสอนและทรงเป็นแบบอย่างนาพาสู่
อาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ชวี ติ ทด่ี แี ละครบสมบรู ณ์คอื ชวี ติ ทป่ี ฏบิ ตั ติ นตามพระประสงคข์ องพระเป็น
เจา้

3) มุ่งเน้นดา้ นความเป็นมนุษยแ์ ละจติ วทิ ยามนุษยก์ บั จติ วทิ ยากลุ่มหรอื ชุมชน มนุษยผ์ ปู้ ฏบิ ตั โิ ดยการ
ตดิ ตามพระเยซูเจา้ คอื มนุษยส์ ามารถนาพาชวี ติ สแู่ สงสว่างแหง่ ความจรงิ ในหนทางของพระเจา้ คอื
การตดิ ตามพระเยซูเจา้ นาตนเองผ่านหรอื กา้ วพน้ ชาระตนเองตามหนทางและแบบอย่างทพ่ี ระเยซู
เจ้าทรงแสดง เป็นภาวะชวี ติ มนุษย์ในลกั ษณะเน้นความเป็นมนุษย์ (Anthropological, Human &
Psychological aspects) ซ่งึ ต้องประสบกบั ขอ้ ทดสอบชวี ติ ปัญหาอุปสรรค ความทุกขย์ ากลาบาก
อนั เน่ืองมาจากบาปกาเนิด และความตาย ซ่งึ นักบุญมทั ธวิ เล่าเป็นลกั ษณะขอ้ ขดั แยง้ และอุปสรรค
ทดลองตรวจสอบชวี ติ เพ่อื รปู แบบชวี ติ และชุมชนทด่ี กี ว่า เกดิ ขน้ึ ในสองลกั ษณะคอื (1) พระเยซูเจา้
ทรงทานายและบรรยายเกย่ี วกบั สถานการณ์ของพระศาสนจกั รทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ไวต้ งั้ แต่ก่อนการกลบั คนื
พระชนมช์ พี และ (2) เร่อื งราวของพระเยซูเจา้ และบรรดาศษิ ยข์ องพระองคป์ ระสบกบั ขอ้ ขดั แยง้ ขอ้
ทดสอบต่างๆ เป็นระยะ ทงั้ จากปีศาจ มาร หรอื ตวั แทนของปีศาจ หรอื อาณาจกั รแห่งความชวั่ รา้ ย
และความตายทป่ี ีศาจนามา เป็นเรอ่ื งเลา่ ในสองลกั ษณะพรอ้ มๆ กนั ทบ่ี อกเป็นนยั ๆ วา่ สงิ่ ทพ่ี ระเยซู
เจา้ ทรงประสบนนั้ เป็นสง่ิ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ กบั บรรดาศษิ ย์ รวมทงั้ บรรดาศษิ ยแ์ ห่งชมุ ชนสมยั นกั บุญมทั ธวิ
เช่นกนั และคาตอบนัน้ มนุษย์สามารถพบได้ในองค์พระเยซูเจ้าและพระวาจาของพระองค์ ดงั นัน้

19

กรอบการเล่าเร่ืองราวก่อนสมัยการกลับคืนพระชนม์ชีพ (Pre-Easter Framework) ผู้เล่าจงใจ
สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ สถานการณ์ของพระศาสนจกั รหลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี ว่าไดเ้ กดิ ขน้ึ ในลกั ษณะ
เดยี วกนั แต่ต่างสถานการณ์ ต่างรูปแบบและรายละเอยี ดต่างกนั ไปตามยุคสมยั และบุคคล รวมถงึ
ชวี ติ ทเ่ี ป็นพยานยนื ยนั แสดงตนมีความศรทั ธาในพระเยซูครสิ ต์ในฐานะพระผเู้ ป็นเจา้ ผทู้ รงกลบั คนื
ชพี และไดร้ บั การยกสสู่ วรรค์ ตอ้ งประสบและผา่ นภาวการณ์ทดลองเชน่ กนั
ผตู้ คี วามต้องศกึ ษาและตดิ ตามพระเยซูเจา้ ไปพรอ้ มกบั บรรดาศษิ ย์ โดยเฉพาะนักบุญเปโตรกบั บรรดา
อคั รสาวก (The Twelve) ผไู้ ดเ้ ดนิ ตาม มองดพู ระเยซูเจา้ อย่างใกลช้ ดิ อย่กู บั พระองค์ ตอบรบั และซกั ถามสนทนา
กับพระองค์ ทัง้ ในช่วงเวลาท่ีทรงประกาศเทศน์สอน ทรงกระทากิจการรกั ษาและช่วยเหลือประชาชน ได้
สงั เกตเหน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ ข้นึ หรอื พฤตกิ รรมทแ่ี สดงเจตคตทิ เ่ี ปิดเผยใหร้ เู้ หน็ ได้ จากการภาวนาทท่ี รงปฏบิ ตั ใิ หบ้ รรดา
ศิษย์ทงั้ ในยามปกติและในช่วงเวลาวกิ ฤติ เช่น การภาวนาในสวนเก็ทเซมนี ช่วงเวลาท่ีทรงรบั มหาทรมาน
รวมทงั้ ได้รบั รู้สมั ผสั กบั บรบิ ท สง่ิ แวดล้อม บรรยากาศ ปฏิกิรยิ าของประชาชน ดงั เหตุการณ์และสงิ่ ท่เี ล่าใน
พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ ตามทท่ี า่ นนกั บุญมทั ธวิ ไดท้ บทวนตคี วามและประมวลนาเสนอในมมุ มองทแ่ี ตกตา่ ง จาก
มุมมองท่เี น้นคุณค่าและความสาคญั ของธรรมบญั ญตั ิ มาเป็นมุมมองท่เี น้นพระประสงคข์ องพระเป็นเจา้ ดงั ใน
คาอธบิ ายตคี วามใน มธ. 6-7 เป็นลกั ษณะการตคี วามมใิ ช่นิ่งอยู่ตามความหมายของตวั อกั ษร แต่ลกึ เขา้ ไปใน
ความหมายแห่งชวี ติ ผ่านมติ ดิ า้ นรา่ งกาย ดา้ นจติ ใจ อารมณ์สงั คม สภู่ าวะจติ ใจและจติ วญิ ญาณในความบรสิ ุทธิ ์
ความดแี ละความจรงิ ครบถว้ นสมบรู ณ์ดงั พระบดิ าเจา้ สวรรค์ ผทู้ รงเป็นองคค์ วามดบี รบิ รู ณ์ (มธ. 5: 48)

เปโตร บรรดาอคั รสาวก และศิษย์ (Peter, Apostles, and Disciples)
บ่อยครงั้ บรรดาศษิ ย์หรอื ผูต้ ดิ ตามพระเยซู (Disciples) ภายหลงั ได้รบั ช่อื หรอื ขนานนามว่า ชุมชนชาว

ครสิ ตห์ ลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี (ตวั อยา่ งเช่นใน 10:17-42; 18:15-20) นกั บุญมทั ธวิ มองวา่ ศษิ ยท์ งั้ หมดคอื กลุ่มชนทใ่ี ห้
สจั จะกบั ตนเองว่าจะตดิ ตามพระเยซูเจา้ (8:21; 9:14; 10:25; 42; 12:49; 27:57; 28:19) และภายในกลุ่มคนเหล่าน้ีจะมคี ณะ
สบิ สองคนผูเ้ ป็นแกนกลางหรอื สญั ลกั ษณ์ตวั แทนของผนู้ าในปัจจุบนั และผตู้ ดั สนิ ประชากรของพระผูเ้ ป็นเจา้ ใน
อนาคต (19:28) สว่ นคาวา่ “อคั รสาวก” (Apostles) ไมไ่ ดเ้ ป็นคาสาคญั สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ เพราะทา่ นใชค้ าน้เี พยี ง
ครงั้ เดยี วเท่านัน้ (10:2) และใช้ในความหมายเดยี วกบั คาว่าสาวก (10:1) ยกเว้นใน 10:2 นักบุญมทั ธวิ จะกล่าว
เสมอถงึ กลุ่มแกนกลางน้ีว่า “ศษิ ย์ทงั้ สบิ สอง” (the Twelve Disciples) (10:1; 11:1; 20:17) หรอื “คณะสบิ สอง” (the
Twelve) (10:5; 26:14, 20, 47)

ภายในกลมุ่ สบิ สองคนน้ี นกั บญุ เปโตรมบี ทบาททเ่ี ป็นสญั ลกั ษณ์และโดดเด่น นกั บุญมทั ธวิ ไดป้ รบั เปลย่ี น
และเพม่ิ เตมิ ธรรมประเพณีของท่าน ในการเน้นบทบาทพเิ ศษของนกั บุญเปโตร (10:2; 14:22-33; 15:15; 16:16-19; 17:24-
27) นักบุญเปโตรเป็นตวั แทนของศษิ ยท์ งั้ สบิ สองคน และทงั้ สบิ สองคนกเ็ ป็นตวั แทนของศษิ ยท์ งั้ หมด และหลาย
ครงั้ เร่อื งราวไดแ้ สดงภาพใหเ้ หน็ ชดั เจนถงึ ศษิ ย์ทงั้ หมดในยุคหลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี ทาใหผ้ อู้ ่านสามารถ
เขา้ ใจนักบุญเปโตรและศิษย์คนอ่นื ๆ ได้ แต่ความสาคญั ของนักบุญเปโตรในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ไม่ได้มี
ความหมายลดทอนมาเป็นแค่รหสั ท่สี ่อื ถงึ “ศษิ ย์สบิ สองคน” หรอื พระศาสนจกั รทงั้ หมด แต่เพราะท่านคอื ผู้ท่ี
พระองคเ์ รยี กมาก่อนผอู้ น่ื และไดร้ บั ตาแหน่งวา่ เป็น “คนลาดบั แรก” (10:2 เสรมิ ขน้ึ มาจากพระวรสารนกั บุญมาระโก) บทบาท
ของทา่ นไดแ้ สดงเอกลกั ษณ์ในการวางรากฐานและอภบิ าลดแู ลชุนชนชาวครสิ ต์ และท่านไดร้ บั การเปิดเผยพเิ ศษ

20

เก่ยี วกบั พระครสิ ต์จากองคพ์ ระผูเ้ ป็นเจา้ ไดร้ บั การกล่าวอวยพรจากพระเยซูเจา้ ในแบบท่ไี ม่เหมอื นใคร และมี
ความรบั ผดิ ชอบพเิ ศษซง่ึ ไมอ่ าจมใี ครทาซ้าไดใ้ นการก่อตงั้ สรา้ งพระศาสนจกั ร (ดขู อ้ คดิ เหน็ เกย่ี วกบั 16:17-19)

นกั บุญเปโตรเคยไปทเ่ี มอื งอนั ตโิ อค (กท. 2:11) ซง่ึ อาจเป็นจุดกาเนิดหรอื สถานทเ่ี ขยี นของพระวรสาร และ
ในธรรมประเพณียุคต่อมากถ็ อื กนั ว่านักบุญเปโตรเป็นอคั รสาวกองคอ์ ุปถมั ภ์ของพระศาสนจกั รในเมอื งนัน้ และ
เป็นพระสงั ฆราชองค์แรกด้วย ธรรมประเพณีแบบนักบุญเปโตรและชาวคริสต์สายนักบุญเปโตร (Petrine
Traditions and Petrine Christians) อาจมีบทบาทในประวตั ิศาสตร์ช่วงแรกของชุมชนชาวครสิ ต์ของนักบุญ
มทั ธวิ และเป็นทย่ี อมรบั ว่าธรรมประเพณี M ไดร้ บั การสบื สานมาจากนกั บุญเปโตรหรอื มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ท่าน
เป็นพเิ ศษ หากพระวรสารนักบุญมาระโกมคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั นักบุญเปโตรอยู่แลว้ ในขณะท่ชี ุมชนของนักบุญ
มทั ธวิ ยอมรบั พระวรสารนัน้ กจ็ ะยง่ิ เป็นการสนับสนุนการยอมรบั และความโดดเด่นของนักบุญเปโตร ในธรรม
ประเพณีสายนักบุญมทั ธวิ ว่า นักบุญเปโตรได้รบั การยอมรบั นับถอื ว่าเป็นภาพลกั ษณ์ตวั แทนของอคั รสาวก
เช่นเดยี วกบั นักบุญเปาโลในธรรมประเพณีสายนกั บุญเปาโล (Deutero-Pauline Stream), ศษิ ยผ์ เู้ ป็นทร่ี กั (The
Beloved Disciple) ในสายของนักบุญยอห์น (Johanine Stream) และนักบุญยากอบในแวดวงกลุ่มอ่ืนๆ
ข้อสงั เกตคือ ดูเหมือนพระศาสนจกั รของนักบุญมทั ธิวจะเป็นชุมชนท่ีสบื สานมาจากสายของนักบุญเปโตร
มากกว่าทางสายของนักบุญเปาโล หรอื นักบุญยอหน์ หรอื นักบุญยากอบ (นักบุญมทั ธวิ อยู่ห่างจากศาสนาครสิ ต์สายนักบุญ
เปาโลและนักบุญยอห์น ส่วนนักบุญยากอบ น้องชายของพระเยซูเจ้า ไม่มบี ทบาทใดๆ เลยในเร่อื งราวท่นี ักบุญมทั ธวิ บนั ทกึ ) ต่อมาศาสนา
ครสิ ต์ในสายของนักบุญเปโตรท่อี ยู่ในหนังสอื Apocalypes of Peter โดย นักฮมั มาดี (Nag Hammadi) ได้ยดึ
พระวรสารนักบุญมทั ธวิ เป็นแหล่งของคาสอนและใช้คาศพั ท์จากพระวรสารน้ีในการอธบิ าย เช่น คาว่า “คน
เลก็ น้อย-ต่าตอ้ ย” (Little Ones)

พระวรสารน้ีจะเป็นหลกั เกณฑ์ระเบยี บคาสงั่ ของศาสนบรกิ ารของพระศาสนจกั ร (Order of Ministry)
“อย่างเป็นทางการ” หรอื ไม่? อาจจะฟังดนู ่าตกใจทว่ี ่าพระวรสารท่ี “ยดึ ตามหลกั พระศาสนจกั รมากทส่ี ุด” (Most
Ecclesiastical) ไม่ได้มีส่วนใดในพระวรสารอ้างถึงโครงสร้างของคณะสงฆ์ศาสนบริการอย่างเป็นทางการ
(Formal Ministerial Structures) เลย ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรอื ทางอ้อม ไม่มีการกล่าวถึงพระสงั ฆราชหรือ
สงั ฆานุกรใดๆ ซ่ึงน่าแปลกมาก โดยเฉพาะ ถ้าผู้เขยี นพระวรสารนัน้ ได้เขยี นข้นึ ในเมอื งอนั ติโอคหรอื บรเิ วณ
ใกลเ้ คยี ง เพราะเพยี งสองสามปีหลงั จากนนั้ ทา่ นอกิ นาตอิ ุสแหง่ อนั ตโิ อคไดใ้ หเ้ หตุผลสนบั สนุนอย่างหนกั แน่นใน
การจดั ตงั้ คณะสงั ฆราชแห่งพระมหากษตั รยิ ์ เพ่อื เป็นธรรมประเพณีปฏบิ ตั สิ าหรบั การปกครองพระศาสนจกั ร
และสถานภาพเชน่ น้ีกด็ ารงอยใู่ นธรรมประเพณีของนกั บุญมทั ธวิ อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั เจน และมกี ารนามาใชป้ ฏบิ ตั ใิ น
พระวรสารนักบุญมัทธิวด้วย (Ign. Eph. 19:1-3; Ign. Myyrn.1:1 = มัทธิว 3:15; Ign. Phld. 3:1 = มัทธิว 15:13; Ign. Pol. 2:2) ใน
ลกั ษณะเดยี วกนั หนังสอื คาสอนดงั้ เดมิ “ดดี าเค” (Didache) ซง่ึ มใี ชอ้ ยใู่ นธรรมประเพณีของนกั บุญมทั ธวิ ดว้ ย ได้
สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ การเปลย่ี นจากคณะศาสนบรกิ รผมู้ พี ระพรพเิ ศษ (Charismatic Ministry) กลายเป็นโครงสรา้ ง
แบบแผนทเ่ี ป็นทางการซง่ึ มพี ระสงั ฆราชและสงั ฆานุกร และมปี รากฎใชใ้ นธรรมประเพณีของนกั บุญมทั ธวิ ในชว่ ง
ตน้ ๆของแนววถิ ปี ระวตั ศิ าสตรท์ น่ี าไปสู่คาสอนของนกั บุญอกิ ญาซโี อและหนงั สอื คาสอนดงั้ เดมิ (Didache) แต่วา่
มอี ย่กู ่อนการพฒั นาองคก์ รทางศาสนาต่างๆ อย่างเป็นทางการ การทส่ี มาชกิ บางคนในชุมชนของนักบุญมทั ธวิ
เรม่ิ อา้ งสทิ ธใิ นองค์กรและตาแหน่งต่างๆ ท่ศี าสนายูดายยุคแรกเรม่ิ ไดย้ ดึ นามาปฏบิ ตั ใิ ชแ้ ละให้มอี านาจหน้าท่ี

21

และบทบาทตาแหน่งทเ่ี ป็นทางการมากกว่าสมยั ก่อน (ตาแหน่ง “รบั บ”ี “บดิ า” “อาจารย์”) ทาให้เหน็ ไดช้ ดั ว่าพระวรสาร
ต่อตา้ นแนวโน้มการปฏบิ ตั เิ ชน่ นนั้ (23:8-12)

ภาวะผนู้ าในพระศาสนจกั รสมยั นักบุญมทั ธิว (Leadership in Matthean Church)
ชุมชนของนักบุญมทั ธวิ ดูเหมอื นจะมปี ระกาศก (Prophets) อย่ใู นกลุ่มของผนู้ าดว้ ย เขาอาจจะเป็นผนู้ า

หลกั ของชมุ ชน เชน่ เดยี วกบั ยคุ เรม่ิ แรกของชุมชนตามทม่ี กี ารกลา่ วไวใ้ นหนงั สอื คาสอนดดี าเค (เทยี บ มทั ธวิ 5:12 ไปสู่
ลูกา 6:23; มทั ธวิ 10:41; 23-34 หรอื แมแ้ ต่ 7: 21-22 กย็ งั สนั นิษฐานว่ามปี ระกาศก “ท่ดี ”ี ในชุมชน) ประกาศกเหล่าน้ีดูจะเป็นบุคคลทม่ี ี
พระพรพเิ ศษและไดร้ บั การเผยแสดงและถ่ายทอดสง่ิ ต่างๆ จากพระผเู้ ป็นเจา้ สงู สุด รวมทงั้ มบี ทบาทในการเป็น
ผู้นาด้านอ่นื ๆ ด้วย ส่วนใหญ่พวกเขาจะอยู่ท่บี ้านของตนเองในชุมชน แต่บางคนกต็ ้องเดนิ ทางไปทาพนั ธกจิ
(10:41) นักบุญมทั ธวิ เหน็ คุณค่าของประกาศกเหล่านัน้ และมองว่าพวกเขาคอื ตวั อย่างของผูน้ าพระศาสนจกั รทงั้
มวลและการดาเนินชวี ติ แบบชาวครสิ ต์ (5:12) แต่ก็มองเห็นอนั ตรายท่อี าจเกิดจากการมผี ู้นาท่มี พี ระพรพเิ ศษ
เชน่ นนั้ ดว้ ย (7:15, 21-22; 24:11, 24)

นกั บุญมทั ธวิ แสดงความเขา้ ใจดว้ ยวา่ พระเยซูครสิ ต์เจา้ ผทู้ รงกลบั คนื พระชนม์ชพี ไดส้ ง่ ผทู้ รงความรแู้ ละ
ธรรมาจารย์ (Sages and Scribes) มาทาหน้าทเ่ี ป็นผนู้ าในพระศาสนจกั ร (13:52: 23:34) ไมป่ รากฎโดยเฉพาะอยา่ ง
ชดั เจนว่าหน้าทข่ี องผทู้ าพนั ธกจิ เหล่าน้ีคอื อะไร ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั คอื บทบาทของพวกเขาคลา้ ยคลงึ หรอื พฒั นามาจาก
บทบาทผูน้ าในศาสนายูดายท่อี ยู่แวดล้อม ผูท้ รงความรูน้ ่าจะทาหน้าท่ถี ่ายทอดและตคี วามธรรมประเพณีแห่ง
ปรชี าญาณ (Wisdoms) ของชุมชน แต่ในลกั ษณะท่ีแตกต่างไปจากศาสนายูดาย เน่ืองจากนักบุญมทั ธวิ ไม่
เพยี งแต่เขา้ ใจว่าพระเยซูคอื ผสู้ ่งสารแห่งองคป์ รชี าญาณ(the Messenger of Wisdom)เท่านัน้ แต่ยงั สามารถใช้
ภาพลกั ษณ์แห่งองค์ปรชี าญาณท่อี ยู่เหนือโลกน้ี (Transcendent Wisdom)มาเป็นกลุ่มแนวคดิ ทางครสิ ตวทิ ยา
(Christological Category) เพ่อื เรยี นรูแ้ ละเขา้ ใจสถานะของพระครสิ ต์ผู้ทรงกลบั คนื พระชนม์ชพี และได้รบั การ
ยกขน้ึ สสู่ วรรคด์ ว้ ย สว่ นธรรมาจารยน์ นั้ ไม่เพยี งแต่ถา่ ยทอดเน้อื หาพระคมั ภรี ซ์ ้าอกี ครงั้ พรอ้ มทงั้ เพม่ิ การอธบิ าย
ตคี วามพระคมั ภรี แ์ ละธรรมบญั ญตั ิแบบมดิ รชั 14 (Midrachic Interpretation) และการยกขอ้ ความอา้ งองิ เพ่อื เตมิ
เตม็ ความหมาย (Fulfillment Quotations) แต่สนั นิษฐานว่าพวกเขาคงจะทาเช่นเดยี วกันกบั ธรรมประเพณีอ่นื ๆ
ของชุมชนดว้ ย เช่น เอกสารแหล่ง Q พระวรสารนักบุญมาระโก และเอกสารพเิ ศษอ่นื ๆ ของนักบุญมทั ธวิ ซ่งึ
หมายความว่านักบุญมทั ธวิ มเี อกสารแหล่ง Q และพระวรสารนักบุญมาระโกท่ผี ่านการตคี วามโดยธรรมาจารย์
ชาวครสิ ต์แลว้ และนักบุญมทั ธวิ เองกอ็ าจเป็นธรรมาจารยช์ าวครสิ ต์อกี ท่านหน่ึงท่นี าสงิ่ เก่าและสง่ิ ใหม่จากคลงั
สมบตั แิ ห่งธรรมประเพณีท่ที ่านสงั่ สมไวอ้ อกมาเพ่อื การอบรมสงั่ สอนประชาชนในชุมชน (13:52) ไม่ต้องสงสยั
เลยว่าบรรดาผทู้ รงความรแู้ ละธรรมาจารย์ (เช่นเดยี วกบั ประกาศก) มบี ทบาทและมสี ว่ นรว่ มในพนั ธกจิ การสอนศาสนา
ภายในชุมชน แต่บทบาทท่เี ฉพาะเจาะจงของพวกเขาและความเช่อื มโยงระหว่างบทบาทของพวกเขาจะเป็น
อย่างไรกไ็ ม่สามารถระบไุ ด้

นกั บุญมทั ธวิ ใชค้ าว่า “ผชู้ อบธรรม” (Righteous) และ “คนเลก็ น้อย,ผตู้ ่าตอ้ ย” (Little Ones) ในการเรยี ก
สมาชกิ ของชุมชน (10:41-42; 13:17, 49; 18:6, 10,14) มผี ใู้ หค้ วามเหน็ วา่ คาทงั้ สองเป็นคากง่ึ เทคนิคเฉพาะทใ่ี ชเ้ รยี กผนู้ า
พระศาสนจกั รตามธรรมประเพณีของพนั ธสญั ญาเดิม คาว่า “ผู้ชอบธรรม” (Righteous) หรอื “ผู้เท่ยี งธรรม”

14 อรรถกถาอธบิ ายเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ธรรมบญั ญตั แิ ละพระคมั ภรี ข์ องชาวยวิ

22

(Just) คอื ตาแหน่งท่มี อบให้กบั ผู้นาของพระศาสนจกั รท่เี ยรูซาเล็ม “นักบุญยากอบผู้เท่ยี งธรรม” (James the
Just) ดงั นัน้ บางครงั้ ผู้นาในพระศาสนจกั รของนักบุญมทั ธวิ กไ็ ด้รบั สมญานามว่าเป็นผู้ “ชอบธรรม” ส่วนคาว่า
“คนเลก็ น้อย,ผตู้ ่าตอ้ ย” คดิ กนั วา่ อาจเป็นชอ่ื พเิ ศษทใ่ี ชเ้ รยี กผปู้ ระกาศสอนศาสนา เน่อื งจากนกั บุญมทั ธวิ ไม่ไดใ้ ช้
ชอ่ื เรยี กเฉพาะ เช่น “ชาวครสิ ต”์ ในการเรยี กสมาชกิ ของชุมชน จงึ จะดกี วา่ ถา้ เราตคี วามวา่ ทงั้ “ผชู้ อบธรรม” และ
“ผเู้ ลก็ น้อย,ผตู้ ่าตอ้ ย” เป็นชอ่ื เรยี กทวั ่ ๆ ไปทส่ี อ่ื ถงึ สมาชกิ ทแ่ี ทจ้ รงิ ของชุมชนชาวครสิ ต์ (เช่นเดยี วกบั คาวา่ “พน่ี ้อง” “บตุ ร
ของพระเป็นเจา้ ” “ผรู้ บั ใช”้ “ทาส” “ศษิ ย,์ สาวก”) ทไ่ี มไ่ ดเ้ ป็นทงั้ ประกาศก (ผเู้ ผยพระวจนะ) ผทู้ รงความรู้ หรอื ธรรมาจารย์

สถานภาพทางสงั คม (Social Status)
พระวรสารนักบุญมทั ธวิ มลี กั ษณะการเขยี นเล่าเร่อื งท่ีสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ภาพสงั คมเมอื งทค่ี ่อนขา้ งมงั่ คงั่

คาว่า “ยากจน”(Poor) และ “หวิ โหย”(Hungry) ในบทมหาบุญลาภของเอกสารแหล่ง Q กลายเป็นคาว่า “ยากจน
ในจติ วญิ ญาณ” (Poor in Spirit) กบั “หวิ และกระหายความชอบธรรม” (Hungry and Thirst for Righteousness)
ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ (มธ. 5:3,6 // ลก. 6: 20-21) การอา้ งองิ ถงึ เหรยี ญทองแดงเลก็ ๆ กถ็ ูกเปลย่ี นเป็นทองคาและ
เหรียญท่ีมีมูลค่าสูงข้ึน (มก. 6:8 // มธ. 10:9; ลก. 19:11-27 // มธ. 25: 14-30) และเร่ืองราวเก่ียวกับการเงินในระดับสูง
(ตวั อย่างเช่น 18:23-35) และงานเลย้ี งสงั สรรคห์ รูหรา (22:1-14) นักบุญมทั ธวิ เจาะจงเพมิ่ เตมิ เน้ือหาลงไปในพระวรสาร
นักบุญมาระโกว่า โยเซฟแห่งอารมิ าเธยี (Joseph of Arimathea) ผูฝ้ ังพระศพของพระเยซูเจา้ เป็นทงั้ ศษิ ย์และ
เป็นชายผมู้ งั ่ คงั ่ ดว้ ย (27:57)

สถานท่ีแหล่งกาเนิด (Place of Origin)
เน้ือหาสาระในเร่อื งเล่ามกี ารโต้แย้งเก่ียวกบั สถานท่ีหลายแห่งว่าเป็นท่ีอยู่ของชุมชนชาวครสิ ต์ของ

นกั บุญมทั ธวิ ไดแ้ ก่ ปาเลสไตน์ (กาลลิ ,ี ซซี าเรยี , เยรซู าเลม็ ) ซเี รยี (ไทร์ หรอื ไซดอน, อนั ตโิ อค) อยี ปิ ต์ (อเลก็ ซานเดรยี ) ทรานส์
จอร์แดน (เพลลา) แต่นักวชิ าการส่วนใหญ่มองว่าน่าจะเป็นเมอื งอนั ตโิ อค เน่ืองจากเหตุผลต่างๆ ดงั ต่อไปน้ี (1)
หลกั ฐานภายในของพระวรสารช้ใี หเ้ หน็ ถงึ ภาพสถานทท่ี เ่ี ป็นเมอื งและประชาชนพูดภาษากรกี ชาวยวิ และชาว
ครสิ ต์มคี วามสมั พนั ธ์ท่ีขด้ แย้งตงึ เครยี ด ภาษากรกี เป็นภาษาหลกั ท่ใี ช้กนั ในเมอื งอนั ตโิ อก ซ่งึ อาจมปี ระชากร
ชาวยวิ มากทส่ี ุดในซเี รยี พระวรสารมทั ธวิ ดูจะมบี รรยากาศแบบเมอื งมากกว่าเอกสารแหล่ง Q หรอื พระวรสาร
นักบุญมาระโก จะเหน็ ไดว้ ่าในพระวรสารนักบุญมาระโกมกี ารกล่าวถงึ เมอื งใหญ่ 8 ครงั้ และกล่าวถงึ หมู่บา้ น 7
ครงั้ แต่ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ กล่าวถงึ เมอื งใหญ่ 26 ครงั้ และกล่าวถงึ หม่บู า้ นเพยี งแค่ 4 ครงั้ (2) นกั บุญเป
โตรมีความโดดเด่นในพระวรสารนักบุญมทั ธิวและธรรมประเพณีของชาวอนั ติโอค ซ่ึงทาให้ท่านกลายเป็น
พระสงั ฆราชแห่งเมอื งอนั ตโิ อค หลงั จากมกี ารพบปะเผชญิ หน้ากนั ระหว่างนกั บุญเปโตรกบั นกั บุญเปาโลในเมอื ง
นัน้ (กท. 2) นักบุญเปาโลดูเหมอื นจะไม่โดดเด่นในความนิยมของกลุ่มครสิ ตชนในแถบนัน้ ไป (3) เยรูซาเลม็ ไม่
น่าจะเป็นเมอื งท่บี รรยายในพระวรสารไปได้เลยเพราะนักบุญยากอบไม่มบี ทบาทใดๆ ในพระวรสาร (4) นัก
บุญมทั ธวิ ได้ใส่ “เมอื งซีเรยี ” เพม่ิ เตมิ ลงไปแหล่งขอ้ มูลของท่าน (4:24) อาจเพ่อื ช้ถี ึงพระศาสนจกั รของตนและ
เพ่อื ใหเ้ หตุผลสนับสนุนว่าพระศาสนจกั รนัน้ เป็นส่วนหน่ึงของประวตั ศิ าสตรแ์ ห่งการไถ่กู้มนุษย์ (5) การตดิ ต่อ
เช่ือมโยงกบั นักบุญอิกญาซีโอแห่งอนั ติโอคและหนังสอื คาสอนดงั้ เดิมช้ใี ห้เห็นว่าบรเิ วณน้ีคอื แหล่งท่ีมาของ
พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ (6) มเี พยี งในเมอื งอนั ตโิ อคเท่านนั้ ทเ่ี งนิ หน่ึงเหรยี ญ สเตเตอร์ (Stater) มคี า่ เทา่ กบั สองด

23

รักม่า (Drachma)พอดี (17:24-27) (7) ถ้าพระวรสารนักบุญมัทธิวมาจากเมืองอันติโอ คก็จะสอดคล้องกับ
สถานการณ์ท่ีบรรยายไว้ในหนังสือกิจการอัครสาวก ว่าชาวปาเลสไตน์เป็ นผู้เร่ิมต้นคริสตจักรอันติโอก
(Antiochene Church) ซ่ึงมกี ารพฒั นาพนั ธกจิ เพ่อื ชนต่างศาสนา ซ่งึ อยู่ในสภาวะตึงเครยี ดอยู่ด้วยเช่นกนั (8)
การยอมรบั และการประกาศข่าวดใี นช่วงแรกของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ส่อื ใหเ้ หน็ โดยออ้ มถงึ “การสนับสนุน”
ของพระศาสนจกั รใหญ่ ไมม่ หี ลกั ฐานบ่งชว้ี า่ โรมหรอื เมอื งเอเฟซสั เป็นผสู้ นบั สนุน จงึ เหลอื เพยี งอนั ตโิ อคเทา่ นนั้ ท่ี
มคี วามเป็นไปไดม้ ากทส่ี ดุ

ในเร่อื งของวนั เวลา ชุมชนชาวครสิ ตข์ องนกั บุญมทั ธวิ ดารงอยเู่ ป็นระยะเวลาทย่ี าวนาน มกี ารพฒั นาและ
เปลย่ี นแปลงเม่อื ตอ้ งปรบั ตวั กบั การเผชญิ สถานการณ์ใหม่ๆ แต่พระวรสารน้ีเองเป็นตวั แทนของภาพทต่ี ดั ขยาย
ใหเ้ หน็ ถงึ ธรรมประเพณีดงั กล่าวทเ่ี ตบิ โตขน้ึ ณ จุดเวลาหน่ึง เป็นเหมือน “ภาพทห่ี ยุดนิ่ง” ในงานเขยี นทางเทว
ศาสตรข์ องธรรมาจารยผ์ หู้ น่งึ ซง่ึ เป็นผนู้ าของชุมชน ในชว่ งหน่งึ ของประวตั ศิ าสตร์ เน่อื งจากพระวรสารไมม่ ขี อ้ มลู
บง่ บอกลาดบั เวลาทจ่ี ะระบไุ ดว้ า่ ถูกเขยี นขน้ึ เมอ่ื ใด จงึ ไมอ่ าจเจาะจงวนั เวลาทช่ี ดั เจนได้ แต่กม็ เี ครอ่ื งบ่งชถ้ี งึ ระยะ
โดยรวมอยบู่ า้ ง คอื

(1) จากสมมุตฐิ านเกย่ี วกบั สองแหล่งกาเนิด พระวรสารนักบุญมทั ธวิ จะต้องถูกเขยี นขน้ึ หลงั จากเอกสาร
แหล่ง Q และพระวรสารนกั บุญมาระโก ซง่ึ มเี หตุผลทด่ี ใี นการระบุว่าพระวรสารนกั บุญมาระโกน่าจะมี
ผูเ้ ขยี นขน้ึ สองสามปี ก่อนหน้าหรอื หลงั สากลศกั ราชปีท่ี 70 ดงั นัน้ พระวรสารนักบุญมทั ธวิ กน็ ่าจะ
เกิดข้ึนหลังจากพระวรสารนักบุญมาระโกมากพอสมควร จนสามารถกลายเป็นธรรมประเพณี
ศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องชมุ ชน

(2) สงครามปี 66-70 และการทาลายกรุงเยรูซาเล็มท่ีเกิดข้ึนตามมานัน้ 22:17สะท้อนให้เห็นอย่าง
เกอื บจะแน่ชดั แต่ดูเหมอื นนกั บุญมทั ธวิ จะไม่ต่นื ตระหนกใดๆ ไปกบั หายนะนนั้ จงึ ทาใหด้ เู หมอื นว่า
ชว่ งเวลาทเ่ี ขยี นน่าจะอยหู่ า่ งไกลกนั ทงั้ ในดา้ นสถานทแ่ี ละกาลเวลา

(3) นกั บุญมทั ธวิ มคี วามวติ กกงั วลอยา่ งมากเกย่ี วกบั การก่อตวั ขน้ึ ของศาสนายดู ายในยคุ แรกหลงั ปี ค.ศ.
70 จงึ ยากทจ่ี ะตดั สนิ ไดว้ ่าทาไมทา่ นตอ้ งการเจาะจงสะทอ้ นถงึ “เบอรค์ าธ ฮา-มนิ ิม” ซง่ึ ปรากฏอย่าง
ชดั เจนวา่ มกี ารเผยแพร่ในสากลศกั ราช 80 หรอื ไม่ (ดดู า้ นบน)

(4) พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ และเอกสารอ่นื ๆ ทอ่ี ยนู่ อกธรรมประเพณขี องนกั บญุ มทั ธวิ ดู จ ะ มี ก า ร
นาไปใชใ้ นหนังสอื คาสอนดงั้ เดมิ “ดดี าเค” และเอกสารของนักบุญอกิ ญาซีโอ (ดูด้านบน) การระบุวนั
เวลาทช่ี ดั เจนของหนงั สอื ดดี าเควา่ เขยี นขน้ึ ในชว่ งเวลาใดเป็นเรอ่ื งยาก แตเ่ อกสารของนกั บุญอกิ ญาซี
โอเขยี นขน้ึ ประมาณ ปี ค.ศ. 110 ดงั นนั้ ปี ค.ศ. 90 จงึ น่าจะเป็นตวั เลขทเ่ี ป็นสญั ลกั ษณ์ของปีทเ่ี ขยี น
(พระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ )ไดด้ พี อสมเหตุสมผล

ผเู้ ขียน (Authorship)
ตน้ ฉบบั พระคมั ภรี ท์ เ่ี ก่าแก่ทส่ี ดุ และดที ส่ี ุดทค่ี น้ พบสองฉบบั ไดแ้ ก่ (, B) เรยี กชอ่ื เอกสารน้ีงา่ ยๆว่า “ตาม

คาบอกเล่าของนักบุญมทั ธวิ ” (KATA MAQQAION KATA MATHTHAION) และตน้ ฉบบั ต่อ มาหลงั จากนนั้ กใ็ ช้
ช่อื ว่า “พระวรสารตามคาบอกเล่าของนักบุญมทั ธวิ ” (The Gospel According to Matthew) และ “พระวรสาร
ศกั ดิ์สทิ ธ์ติ ามคาบอกเล่าของนักบุญมทั ธวิ ” (The Holy Gospel According to Matthew) และช่ืออ่ืน ท่ีต่างไป

24

เพยี งเล็กน้อย แต่ต้นฉบบั ท่เี ก่าแก่ท่สี ุดของพระวรสารเล่มอ่นื ๆ ก็ใช้รูปแบบง่าย อย่าง “ตามคาบอกเล่าของ
นกั บุญมาระโก” “ตามคาบอกเล่าของนักบุญลูกา” และ “ตามคาบอกเล่าของนกั บุญยอหน์ ” เหน็ ไดช้ ดั ว่ามกี ารตงั้
ชอ่ื เหล่าน้ีใหพ้ ระวรสารทุกเล่มในเวลาเดยี วกนั โดยใชค้ าว่า “พระวรสาร” มาเชอ่ื มโยงทุกเล่มไวเ้ ป็นหน่ึงเดยี วกนั
ดงั นัน้ ช่อื ของต้นฉบบั ทเ่ี ก่าแก่ท่สี ุดจงึ มาจากยุคสมยั ท่มี กี ารเรม่ิ ต้นก่อตงั้ พระวรสารในสารบบสฉ่ี บบั (Fourfold
Gospel Canon) ในชว่ งกลางของสากลศตวรรษทส่ี อง

รูปแบบและเน้ือหาของช่อื (Titles)เอกสารเหล่าน้ีคอื คาพยานยนื ยนั ของพระศาสนจกั รว่ามพี ระวรสาร
เพยี งหน่ึงเดยี ว ซ่งึ ก็คอื ข่าวดเี ก่ยี วกบั องค์พระเยซูครสิ ต์ แต่เป็น “ตามคาบอกเล่า” ของผู้นิพนธ์พระวรสาร 4
ทา่ น การใสช่ ่อื ของอคั รสาวกตดิ ไวก้ บั เอกสารหลๆั เป็นสง่ิ สาคญั สาหรบั ศาสนาครสิ ตส์ มยั แรกเรมิ่ ไม่ใชเ่ พอ่ื จงใจ
ปลอมแปลงประวตั ศิ าสตร์ แต่เพอ่ื เป็นการอา้ งวา่ เน้อื หาของเอกสารนนั้ มคี วามเป็นเทววทิ ยาและเป็นสง่ิ ทถ่ี ูกตอ้ ง
เหน็ ชอบดว้ ยกฎหมาย เพ่อื ใหเ้ อกสารมสี ถานภาพท่ีได้รบั การรบั รอง (Normative Status) ดงั นัน้ ทงั้ เอกสารใน
สารบบและนอกสารบบท่มี กี ารรบั รองสถานภาพจงึ ไดร้ บั นามของอคั รสาวก เป็นนามอนั ดบั สองของช่อื เอกสาร
(เช่น พระวรสารนักบุญโธมสั พระวรสารนกั บุญฟิลปิ พระวรสารนกั บุญบารโ์ ธโลมวิ ) สาหรบั พระวรสารทอ่ี ย่ใู น
สารบบ คุณค่าและความสาคญั ของช่อื เหล่านัน้ เป็นการแสดงว่าพระศาสนจกั รยนื ยนั งานเขยี นนัน้ ว่าเป็นการ
ตคี วามทแ่ี ทจ้ รงิ และถูกตอ้ งตามกฎหมายเกย่ี วกบั ความหมายของเหตกุ ารณ์ทงั้ หมดทเ่ี ช่อื มโยงกบั เหตุการณ์แห่ง
องค์พระเยซูครสิ ต์ และอาจเป็นไปได้ด้วยเช่นกนั ว่าในบางกรณีช่อื ของเอกสารเหล่านัน้ อาจเป็นการถ่ายทอด
ธรรมประเพณีแทจ้ รงิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ผทู้ เ่ี ขยี นเอกสารนนั้

พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ กเ็ ชน่ เดยี วกบั พระวรสารอ่นื ในพนั ธสญั ญาใหม่ คอื ไมม่ กี ารระบุชอ่ื ผเู้ ขยี น ปัญหา
ในกรณีน้ีคอื ช่อื ของหนงั สอื มคี ุณค่าทางประวตั ศิ าสตรห์ รอื ไม่ นอกเหนือจากมหี น้าทห่ี ลกั ๆ ในเชงิ เทวศาสตร์ ผู้
ทไ่ี มว่ พิ ากษ์ตคี วามกย็ งั ยอมรบั คุณค่าของธรรมประเพณีทป่ี รากฏชอ่ื (Face Value)น้มี าโดยตลอด แตเ่ ม่อื ไม่นาน
มาน้ีนกั วชิ าการเชงิ วจิ ารณ์สองสามคนโตแ้ ยง้ วา่ เอกสารน้มี ผี เู้ ขยี นเป็นอคั รสาวก โดยมนี กั บุญมทั ธวิ เป็นประจกั ษ์
พยาน ในทางปฏิบตั ิแล้วนักวชิ าการเชิงวจิ ารณ์ทงั้ หลายอาจจะมองว่ามหี ลกั ฐานมากมายท่ีขดั แย้งกบั การท่ี
เอกสารน้มี ผี เู้ ขยี นเป็นอคั รสาวกในกรณีดงั ตอ่ ไปน้ี ไดแ้ ก่ (1) พระวรสารไมร่ ะบุช่อื ผเู้ ขยี น การทบ่ี อกวา่ อคั รสาวก
เป็นผเู้ ขยี นเป็นการอา้ งทบ่ี ุคคลเอามาใชก้ บั พระวรสาร แต่ในเน้ือหาของพระวรสารไมม่ กี ารอา้ งเชน่ นนั้ กรณีน้ีจงึ
แตกต่างจากจดหมายจากนักบุญเปาโล สารบบท่สี อง (Deutero-Pauline Letters) (2) การนาพระวรสารนักบุญ
มาระโกและเอกสารแหล่ง Q เป็นแหล่งอา้ งองิ ขอ้ มลู กท็ าใหเ้ ป็นไปไดย้ ากทจ่ี ะยนื ยนั วา่ พระวรสารน้ีเป็นคาพยาน
จากประจกั ษ์พยาน (3) ภาษากรกี ทอ่ี ย่ใู นพระวรสารนักบุญมทั ธวิ เป็นภาษาแม่ของผเู้ ขยี นและมคี ุณภาพสงู กว่า
ภาษากรกี ทอ่ี ย่ใู นพระวรสารนักบุญมาระโกซง่ึ ไม่คอ่ ยสละสลวยนกั ดจู ากสถานทแ่ี ละภูมหิ ลงั แลว้ ผเู้ ขยี นพระวร
สารนักบุญมทั ธิวน่าจะมีความรู้ภาษาฮิบรูและอราเมอิก (Aramaic) มากพอท่ีจะทางานกบั เอกสาร แต่ไม่มี
หลกั ฐานบ่งชว้ี ่าท่านใชส้ องภาษาน้ีไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่วหรอื ไม่ (4) การอา้ งองิ ถงึ อานาจของอคั รสาวกทเ่ี หน็ ไดช้ ดั
ในช่ือของพระวรสาร มีหลกั ฐานสนับสนุนมากพอว่าเป็นเพราะปัจจยั ทางเทวศาสตร์และประวตั ิศาสตร์ท่ีได้
กล่าวถงึ ไปแลว้ (5) หลกั ฐานทส่ี นับสนุนว่าผูเ้ ขยี นพระวรสารคอื นักบุญมทั ธิวผูเ้ ป็นคนเกบ็ ภาษี เช่น ลกั ษณะ
การเล่าเร่อื งแบบใชต้ วั เลขช้ใี หเ้ หน็ ว่าผูเ้ ขยี นเป็นคนเกบ็ ภาษีจงึ มคี วามคล่องแคล่วเร่อื งตวั เลข เป็นหลกั ฐานท่ี

25

แตง่ เตมิ (Fanciful) และไมน่ ่าเชอ่ื ถอื จดุ เชอ่ื มตอ่ ทแ่ี ทจ้ รงิ น่าจะอยทู่ ห่ี นงั สอื บทอา่ นฮกั กาดาห1์ 5 (Haggadic) และ
งานเขยี นทเ่ี ป็นงานคดั ลอกทใ่ี ชอ้ ธบิ ายพระคมั ภรี ช์ าวยวิ (Scribal Composition) มขี อ้ โตแ้ ยง้ ทว่ี า่ ถา้ นกั บญุ มทั ธวิ
ไม่ไดเ้ ขยี นพระวรสารน้ีขน้ึ มาจรงิ ๆ ท่านกน็ ่าจะเป็นเพยี งแค่ตวั ละครทไ่ี ม่ค่อยสาคญั ในเน้ือเร่อื งและช่อื ของท่าน
ไม่น่าจะถูกนามาใชอ้ า้ งวา่ เป็นผเู้ ขยี น แตข่ อ้ โตแ้ ยง้ น้ีกม็ จี ดุ อ่อนตรงขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่ ทุกตวั ละครในศาสนาครสิ ตย์ คุ
แรกเรมิ่ ไม่ว่าจะมคี วามสาคญั มากหรอื น้อย ล้วนแต่ถูกนาช่อื มาเป็นช่อื ของพระวรสารทงั้ ส้นิ เห็นได้ชดั จาก
รายช่อื จานวนมากมายของพระวรสารพนั ธสญั ญาใหม่ท่อี ยู่นอกสารบบ (NT Apocrypha) อาจสนั นิษฐานได้ว่า
อคั รสาวกมทั ธวิ เกย่ี วขอ้ งกบั เอกสารแหล่ง Q หรอื บางสว่ นของงานเขยี น M เพ่อื วา่ จะไดเ้ หน็ ความเชอ่ื มโยงทาง
ประวตั ศิ าสตรท์ แ่ี ทจ้ รงิ ระหว่างนักบุญมทั ธวิ และพระวรสาร แมว้ ่าจะไม่เกย่ี วขอ้ งกนั โดยตรงกต็ าม และทม่ี คี วาม
เป็นไปไดม้ ากกว่านนั้ กค็ อื การลงความเหน็ ว่าพระวรสารเป็นของนกั บุญมทั ธวิ เกดิ จากเหตุผลทว่ี ่ามกี ารเปลย่ี น
ช่อื “เลว”ี ในพระวรสารนักบุญมาระโก 2:14 ใหเ้ ป็น “มทั ธวิ ” ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ 9:9 และจากนัน้ กม็ กี าร
ระบุตวั ตนของผทู้ ช่ี ่อื มทั ธวิ ในพระวรสารนักบุญมาระโก 3:18 ว่าเป็น “คนเกบ็ ภาษี” ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ
10:3

เพ่อื ความสะดวก ผศู้ กึ ษาวพิ ากษ์จะขอใชช้ ่อื ตามธรรมเนียมเดมิ คอื “มทั ธวิ ” ในการกล่าวถงึ ผูเ้ ขยี นนิร
นามของพระวรสารนักบุญมทั ธิว แม้ว่าเราจะไม่รู้จกั ช่ือของท่าน แต่จากเอกสารท่ีท่านได้ให้ไว้ เราสามารถ
สนั นิษฐานไดว้ ่าท่านมภี ูมหิ ลงั เป็นชาวยวิ แต่เตบิ โตขน้ึ ในสงั คมชาวกรกี (อาจจะเป็นเมอื งอนั ตโิ อค) และพดู ภาษากรกี
พระคมั ภรี ฉ์ บบั มาตรฐานของทา่ น(ทท่ี า่ นใช)้ คอื พระคมั ภรี ไ์ บเบล้ิ ฉบบั เจด็ สบิ เป็นฉบบั เก่าทม่ี กี ารแปลเป็นภาษา
กรกี (The Septuagint LXX) ท่านอาจจะใชภ้ าษาฮบิ รูไดด้ พี อทจ่ี ะศกึ ษาพระคมั ภรี ไ์ ด้ และรภู้ าษาอราเมอกิ มาก
พอทจ่ี ะส่อื สารไดอ้ ย่างไม่เป็นทางการ ท่านรจู้ กั ธรรมประเพณีและพธิ กี ารต่างๆ ในศาลาธรรมอย่างดี แต่ไม่เคย
ไดร้ บั การฝึกอบรมอย่างเป็นทางการตามแบบมาตรฐานของธรรมาจารยใ์ นศาสนายูดายในยุคแรกเรม่ิ ท่านอาจ
เป็นอาจารยส์ อนรปู แบบหน่งึ ในชมุ ชนของท่าน แต่คงยากทจ่ี ะหาคาเฉพาะท่ี “เป็นทางการ” มาระบไุ ดว้ า่ ทา่ นเป็น
อาจารยผ์ สู้ อนประเภทใด ท่านอาจสรา้ งภาพแทนตวั ท่านเองขน้ึ มาใน 13:52 ตอนทก่ี ล่าวถงึ “ธรรมาจารยผ์ ทู้ ไ่ี ด้
เรยี นรถู้ งึ แผ่นดนิ สวรรคแ์ ลว้ ” แตค่ าวา่ “ธรรมาจารย”์ ในทน่ี ้ไี ม่ไดม้ คี วามหมายในเชงิ เทคนิคแต่อยา่ งใด

พระวรสารนักบญุ มทั ธิวในทศั นะทางวรรณกรรม

วรรณคดีวิจารณ์ - พระวรสารนักบุญมทั ธวิ ไม่ไดเ้ ป็นทงั้ บนั ทกึ และงานเขยี นทม่ี บี รรณาธกิ ารรวบรวม หากแต่
เป็นเร่อื งเล่าทป่ี ระพนั ธข์ น้ึ มา ดงั นนั้ การวจิ ารณ์วรรณคดใี นการศกึ ษาพระคมั ภรี ท์ ุกวนั น้ีจงึ มนี ยั ทค่ี รอบคลุมเกนิ
กว่าเพยี งการวเิ คราะหภ์ าษาและลลี าการเขยี น กล่าวคอื เป็นการศกึ ษาเทคนิคเชงิ โวหารทผ่ี ปู้ ระพนั ธใ์ ชใ้ นการ
ประพนั ธ์เร่อื งเล่า33 นักบุญมทั ธวิ ไม่ได้ประพนั ธข์ ้นึ มาลอยๆ แต่ใชแ้ หล่งท่มี าและธรรมประเพณีท่มี เี คา้ มูลจาก
เหตุการณ์จรงิ ในชวี ติ ของพระเยซูเจา้ และการเคล่อื นไหวของครสิ ตชนในสมยั แรกอย่างแน่นอน กระนัน้ ผลงาน
ประพนั ธข์ นั้ สดุ ทา้ ยกเ็ ป็นงานสรา้ งสรรคท์ างวรรณกรรมของผเู้ ขยี นคนหน่ึง ซง่ึ เป็นผกู้ ระทาการตดั สนิ ใจในฐานะ
เจ้าของผลงานในเร่อื งดงั ต่อไปน้ี (1) วรรณกรรมประเภทใดท่คี วรจดั หมวดหมู่ ปรบั แปลงเพ่อื ให้เขา้ กบั งาน

15 หนงั สอื บทอา่ นของชาวยวิ เลา่ แกล่ กู หลาน... ในเทศกาลปัสกา (The Haggadah (Hebrew: ‫ ַה ָּג ָּדה‬, "telling"; plural: Haggadot) from

https://en.wikipedia.org/wiki/Haggadah

26

ประพนั ธ์ของท่าน (ดูขา้ งล่าง); (2) จะเรมิ่ และจบเร่อื งราวตรงไหนและอย่างไร (ดูคาอธบิ ายสาหรบั 1:1, 18; 28:18-20); (3)
จะกาหนดโครงสรา้ งของเรอ่ื งเล่าอย่างไรใหก้ ารดาเนินเร่อื งส่อื ความหมายทท่ี ่านตอ้ งการจะสอ่ื (ดูขา้ งล่าง); (4) ผทู้ ่ี
เล่าเรอ่ื งน้นี ่าจะเป็นบุคคลผมู้ คี ุณลกั ษณะอย่างไร;34 (5) เรอ่ื งน้คี วรจะเล่าจากมมุ มองใด;35 (6) ควรวางโครงเรอ่ื งน้ี
อย่างไร (7) ควรมตี วั ละครใดบา้ ง และตวั ละครเหล่านัน้ ควรมลี กั ษณะเช่นไร; และ (8) งานประพนั ธ์น้ีคาดไดว้ ่า
เขยี นใหใ้ ครอา่ น กล่าวคอื ผอู้ า่ นในอดุ มคตทิ ส่ี นั นิษฐานไดจ้ ากลกั ษณะการประพนั ธเ์ อกสารน้ี ผอู้ ่านในครสิ ตจกั ร
ของนักบุญมทั ธวิ ทท่ี ่านนึกถงึ ในการประพนั ธง์ านน้ี ซง่ึ อาจจะเป็นผอู้ ่านทแ่ี ทจ้ รงิ หรอื ไม่กไ็ ด้36 ความสมั พนั ธก์ นั
ของปัจจยั พลวตั ขบั เคล่อื นเหล่าน้ีท่ที าใหเ้ ร่อื งราวส่อื ความหมาย การวเิ คราะห์ลกั ษณะการส่อื ความหมายโดย
ผ่านรปู แบบทางวรรณกรรมของเร่อื งราวน้ีตอ้ งมกี ารพจิ ารณาสาขาวชิ าทส่ี มั พนั ธแ์ ละเหล่อื มซอ้ นกนั หลายสาขา
ซ่ึงจะมองว่าทงั้ หมดเป็นด้านต่างๆ ของการวจิ ารณ์วรรณคดีก็ได้ การวจิ ารณ์เร่อื งเล่า (วธิ กี ารเล่าเร่อื ง) การ
วจิ ารณ์โวหาร หรอื การวจิ ารณ์แนวการตอบ- สนองของผอู้ ่านกย็ อ่ มได้

ในสถานะท่เี ป็นการวจิ ารณ์แหล่งทม่ี า ซ่งึ เป็นแนววจิ ารณ์หลกั ในการศกึ ษาพระวรสารในศตวรรษท่ี 19
ตอนปลายและศตวรรษท่ี 20 ตอนต้น การวิจารณ์ท่ีเน้นความสาคัญของรูปแบบก็เป็นแนวการวิจารณ์ท่ี
แพร่หลายในช่วงเวลาระหว่างสงครามโลกสองครงั้ และการวจิ ารณ์ทเ่ี น้นความสาคญั ของการเลอื กรูปแบบการ
เขยี นไดก้ ลายมาเป็นการวจิ ารณ์ทม่ี อี ยมู่ ากทส่ี ดุ ในระหวา่ งทศวรรษท่ี 1950 และ 1960 ดงั นนั้ ในชว่ งสองทศวรรษ
ท่ีผ่านมา วรรณคดีวิจารณ์ ซ่ึงไม่ได้เข้ามาแทนท่ีแนวการวิจารณ์อ่ืนๆ ก็ได้กลายมาเป็นวิธีการท่ีมีการให้
ความสาคญั มากและจาเป็นในการตคี วามพระวรสาร แทนทจ่ี ะพยายามก่อโครงสรา้ งของแหลง่ ทม่ี าและรปู แบบท่ี
มีมาแต่เดิมของตัวบทข้ึนใหม่ เพ่ือจะใช้เป็ นหน้าต่างท่ีมองผ่านออกไปยงั เหตุการณ์ต่างๆ ท่ีอยู่เบ้ืองหลัง
วรรณคดวี จิ ารณ์ในปัจจุบนั เป็นการพยายามจะมองรปู แบบขนั้ สุดทา้ ยของตวั บทในภาพรวม เพอ่ื จะเขา้ ไปในโลก
ของเร่อื งราวทต่ี วั บทนัน้ สรา้ งขน้ึ มา และรบั สารของตวั เร่อื งนัน้ เอง ขณะทว่ี ธิ วี จิ ารณ์ท่เี น้นความสาคญั ของการ
เลอื กรปู แบบการเขยี นเออ้ื ใหผ้ ตู้ คี วามกล่าวสารของพระวรสารออกมาเป็นขอ้ ความเชงิ นามธรรมเป็นชุดต่อเน่ือง
ท่ีสรุปประเด็นหลกั ๆ ของ “เทววทิ ยาของผู้นิพนธ์พระวรสาร” ซ่ึงการเปล่ยี นแปลงรูปแบบของงานเขยี นท่ีผู้
ตคี วามไดแ้ สดงใหเ้ หน็ วรรณคดวี จิ ารณ์ยนื ยนั สภาวะทแ่ี ยกออกจากกันไม่ไดข้ องสารและรปู แบบของเรอ่ื งราวท่ี
สารฝังตวั อยู่ ซ่งึ ไม่ไดเ้ ป็นเคร่อื งเกบ็ รวบรวมทส่ี ามารถจดั การคดั แยกของ “สาร” หรอื “เทววทิ ยา” ของผูน้ ิพนธ์
พระวรสาร วรรณคดวี จิ ารณ์ยา้ เตอื นใหเ้ ราตระหนกั วา่ รปู แบบพระวรสาร คอื เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั พระเยซูเจา้ มคี วาม
ต่อเน่ืองกนั กบั รูปแบบของการส่อื สารท่พี ระเยซูเจ้าเองทรงเป็นผูใ้ ช้ ซ่ึงกค็ อื อุปมาในพระวรสาร ซ่ึงผู้เล่าเร่อื ง
กลายมาเป็นตวั ละครหลกั ในเรอ่ื งนนั้ เอง

ประเภท - ประเดน็ เร่อื งประเภทของวรรณคดเี ป็นสง่ิ อนั เป็นพ้นื ฐานและจะละเลยไม่ได้ในการตคี วาม
ประเภททเ่ี ราคดิ ว่าเป็นประเภทของเอกสารทเ่ี รากาลงั อ่านอย่เู ป็นสง่ิ ชข้ี าดสาหรบั ความหมาย ในทางทฤษฎี เรา
สามารถมองพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นชวี ประวตั ิ เป็นประวตั ศิ าสตร์ เป็นบนั เทงิ คดี หนังสอื อธบิ ายปัญจบรรพ
(Midrash) หรอื หนังสอื บทอ่านภาวนาท่ีใช้ในพิธี และประเภทอ่ืนๆ ได้ หรอื จะมองเป็นงานผสมระหว่างสอง
ประเภท หรอื มากกวา่ สองประเภทกไ็ ด้ ขณะทส่ี ามารถอธบิ ายไดว้ ่าพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นอะไรกไ็ ดท้ ว่ี า่ มา
น้ี ซง่ึ บง่ ชว้ี า่ ประเภทพระวรสารเป็นวรรณกรรมทม่ี อี งคป์ ระกอบและมคี วามเหมอื นกนั มากกวา่ หน่งึ ประเภทขน้ึ ไป
การอภปิ รายโตแ้ ยง้ กนั ในเชงิ วชิ าการทไ่ี ดม้ ขี น้ึ เม่อื ไม่นานมาน้ีมุ่งประเดน็ (Centered on)ว่าควรจะตคี วามพระวร
สารว่าเป็นชวี ประวตั ิประเภทหน่ึงในสมยั เฮเลนนิสติก(Hellenistic Biography)ของพระเยซูเจ้าหรอื ไม่ หรอื ว่า

27

วรรณกรรมประเภทพระวรสารนนั้ เป็นรปู แบบดงั้ เดมิ ของการเลา่ เรอ่ื งทพ่ี ระศาสนจกั รในสมยั แรกคดิ คน้ ขน้ึ มาเพอ่ื
สอ่ื สารถงึ ศรทั ธาของศาสนาจกั รในสมยั พระเยซูเจา้ คาอธบิ ายในปัจจุบนั เป็นคาอธบิ ายทเ่ี ขยี นขน้ึ มาจากมมุ มอง
ทว่ี า่ วรรณกรรมประเภทพระวรสารนนั้ เป็นแนวการประพนั ธท์ แ่ี ปลกแหวกแนวอย่างเหน็ ไดช้ ดั ซง่ึ สรา้ งขน้ึ มาเพอ่ื
แสดงถงึ ความมนั่ ใจในความเชอ่ื เกย่ี วกบั พระครสิ ตอ์ อกมาในรปู แบบของการเล่าเรอ่ื งของครสิ ตศาสนาในยคุ แรก
ประเดน็ ต่อไปน้เี ป็นประเดน็ ทส่ี าคญั สาหรบั การพจิ ารณาประเภทวรรณกรรมของพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ

(1) พระวรสารนักบุญมทั ธวิ เป็นเรอ่ื งเล่าทงั้ หมด โดยไม่ไดเ้ ป็นทงั้ ผลงานรวบรวมของเร่อื งราวทแ่ี ยกกนั
และไม่ได้เป็นชุดวาทกรรมท่มี สี ่วนบรรยายเร่ืองราวเป็นภาคผนวก ในฐานะเร่อื งราว รูปแบบการส่อื สารของ
พระวรสารน้ีเป็นแบบโดยอ้อม ดงั นัน้ การตีความพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ทงั้ หมดต้องทาเหมอื นเวลาตีความ
เรอ่ื งราว ดว้ ยมมุ มองและเครอ่ื งมอื ในการวจิ ารณ์วรรณคดี

(2) เน่อื งจากพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ดดั แปลงและปรบั เปลย่ี นมาจากพระวรสารนกั บุญมาระโก โดยไมไ่ ด้
เปลย่ี นพน้ื ฐานในเร่อื งของประเภท พระวรสารนักบุญมทั ธวิ จงึ เหมอื นกบั พระวรสารนักบุญมาระโก ซง่ึ มลี กั ษณะ
สองประการทท่ี าใหพ้ ระวรสารนกั บุญมทั ธวิ (และนกั บุญมาระโก) ต่างออกไปจากชวี ประวตั แิ บบเฮเลนนิสตกิ คอื
(ก) พระวรสารน้ีเป็นเร่อื งเล่าของชุมชน ไม่ได้เป็นขอ้ เขยี นท่เี ขยี นเพ่อื ปัจเจกบุคคล วตั ถุดบิ สาหรบั เร่อื งราวมี
ทม่ี าจากธรรมประเพณีของชุมชน ทม่ี คี วามเช่อื ทางเทววทิ ยาอย่แู ลว้ ตวั เร่อื งเป็นเร่อื งราวทม่ี วี ตั ถุประสงคเ์ ป็น
การอ่าน (อ่านออกเสยี งดงั ) เพ่อื ใชใ้ นการนมสั การและการศกึ ษาของชุมชน ไม่ใช่เพอ่ื เป็นการอ่านส่วนตวั เพยี ง
คนเดยี วของปัจเจกบุคคล มลี กั ษณะของรุขปาฐะ16อย่เู ตม็ ไปหมด (ข) เร่อื งเล่าน้ีมคี รสิ ตศาสตร์แผ่ซ่านอยู่ และ
ไม่ไดเ้ ป็นเพยี งเร่อื งเล่าเก่ยี วกบั ครสิ ตวทิ ยา แต่เป็นครสิ ตศาสตร์ในรูปแบบของเร่อื งเล่าท่แี มว้ ่าจะเป็นเร่อื งราว
ของบุคคลในประวตั ศิ าสตร์ท่ีปรากฏอยู่ในแทบจะทุกตอน แต่ใชเ้ น้ือหาทางประวตั ิศาสตร์(และเน้ือหาประเภท
อ่นื ๆ)ของพระวรสารกไ็ ม่ได้เป็นการบอกเล่าชวี ประวตั หิ าก แต่เป็นการส่อื สารเก่ยี วกบั ครสิ ตศาสตร์ (โดยเฉพาะ

พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ไดก้ ลา่ วถงึ พระศาสนจกั รดว้ ย เน่อื งจากไมม่ คี รสิ ตศาสตรท์ ป่ี ราศจากความเขา้ ใจทส่ี อดรบั กนั เกย่ี วกบั การเป็นศษิ ย)์

มลี กั ษณะทเ่ี ป็นแก่นสาคญั 3 ประการทบ่ี ่งบอกความเป็นครสิ ตศาสตรใ์ นรปู แบบของเรอ่ื งเล่าของพระวร
สาร (1) เร่อื งราวพรรณนาถงึ พระครสิ ต์ ซ่ึงทงั้ เปิดเผยถงึ ฤทธานุภาพอนั เหนือธรรมชาตขิ องพระเป็นเจ้าและ
ความอ่อนแอของพระเยซูเจา้ ผทู้ รงมคี วามเป็นมนุษยโ์ ดยสมบูรณ์เขา้ ไวใ้ นเรอ่ื งเล่าเดยี วกนั วรรณกรรมประเภท
พระวรสารบรรยายถงึ การดาเนินชวี ติ บนโลกของบุคคลในประวตั ศิ าสตรเ์ ม่อื ไม่นานมาน้ี ซง่ึ บดั น้ีเป็นพระผเู้ ป็น
เจา้ ผทู้ รงไดร้ บั การเทดิ ทูนและสถติ อย่ผู ยู้ งั คงทรงกระทาการและตรสั อยู่ โดยพรรณนาถงึ พระเยซูเจา้ ว่าเป็นทงั้
พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงพระเทวภาพและผู้รบั ใชท้ ่เี ป็นมนุษย์อย่างแท้จรงิ ผู้ทรงรบั ความทรมานและส้นิ พระชนม์
ก่อนจะถงึ พระวรสารนักบุญมาระโก ครสิ ตศาสตรท์ งั้ สองดา้ นน้ีขดั แยง้ กนั นักบุญมาระโกเหน็ คุณค่าของทงั้ สอง
ดา้ นและคดิ คน้ วธิ ที จ่ี ะนาเสนอทงั้ สองดา้ นน้ีรว่ มกนั ในเรอ่ื งเล่าเรอ่ื งเดยี ว โดยมี “ความลบั แหง่ พระเมสสยิ าห”์ เป็น
เครอ่ื งมอื ทางวรรณกรรม-เทววทิ ยาและเป็นเครอ่ื งมอื หลกั นกั บญุ มทั ธวิ รบั เอาผลทน่ี กั บญุ มาระโกไดส้ รา้ งขน้ึ แต่
ไม่ได้ต้องการเป็นเพยี งความลบั แห่งพระเมสสยิ าห์แล้ว โดยท่านย่อขนาดความลบั น้ีลงและรวมไว้ในเร่อื งเล่า
เพอ่ื ใหเ้ หน็ เป็นเพยี งร่องรอยเทา่ นนั้

(2) การพรรณนาถึง “พระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า” เป็ นการพรรณนาท่ีแสดงถึงนิยามของลาดับ
เหตุการณ์ทางประวตั ศิ าสตรก์ ารไถ่ กล่าวคอื ในการเล่าเรอ่ื งราวของพระเยซูเจา้ นนั้ ไม่ไดเ้ ล่าเป็นเรอ่ื งทส่ี มบูรณ์

16 เป็นเรอ่ื งเลา่ กนั ดว้ ยปาก แบบปากต่อปาก (Oral Traits)

28

ในตวั เอง โลกของเร่ืองเล่าในพระวรสารนัน้ ใหญ่กว่าเร่อื งเล่าทม่ี กี ารวางโครงเร่อื งไวอ้ ย่างมาก เป็นการดาเนิน
เร่อื งราวตงั้ แต่การทรงสรา้ งจนถงึ อวสานของโลก เร่อื งราวของพระครสิ ต์ไม่ไดเ้ ป็นเร่อื งราวทงั้ หมดของสง่ิ ทพ่ี ระ
เป็นเจ้าทรงกระทาในการช่วยกู้ให้รอด แต่เป็นส่วนท่ีให้นิยามแก่เร่อื งราวนัน้ ในประวตั ิศาสตร์ ในชีวติ หน่ึง
ความหมายของประวตั ศิ าสตรท์ งั้ หมดเปิดเผยออกมา เป็นภาพอนาคตของชยั ชนะเม่อื วาระอวสานของโลกของ
พระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ น่เี ป็นสงิ่ พน้ื ฐานของการรบั วา่ “พระเยซูเจา้ ทรงเป็นพระครสิ ต”์ ประเภทของเรอ่ื งเล่าท่ี
เหมาะกบั การกล่าวรบั น้กี ค็ อื พระวรสาร

(3) ตวั ละครทเ่ี ป็นศนู ยก์ ลางของเรอ่ื งเลา่ เป็นพระเยซูเจา้ แห่งนาซาเรธ็ ผทู้ รงเป็นอยู่ ณ ทน่ี นั้ ณ เวลานนั้
โดยทรงเป็นพระบุคคลในประวตั ศิ าสตรท์ ผ่ี ่านเขา้ มาและในขณะเดยี วกนั กเ็ ป็นพระผเู้ ป็นเจา้ ผทู้ รงกลบั คนื พระ
ชนม์ชพี ผู้ท่ยี งั คงตรสั และกระทาการอยู่ในพระศาสนจกั รของพระองค์ในปัจจุบนั ของผู้อ่าน ความเช่อื ในการ
กลบั คนื พระชนมช์ พี ของพระเยซูเจา้ เป็นสงิ่ พน้ื ฐานของทศั นะแบบสองมติ นิ ้ี เชน่ ทค่ี รสิ ตศาสตรม์ นี ยั ถงึ พระศาสน
จกั รทงั้ หมดและพระเยซูเจา้ อกี ทงั้ มที ศั นะสองมติ เิ กย่ี วกบั ตวั ละครอ่นื ๆ ในเรอ่ื งอย่ดู ว้ ย คอื บรรดาศษิ ยไ์ ม่ไดเ้ ป็น
เพยี งผู้ตดิ ตามพระเยซูก่อนเทศกาลปัสกา แต่ยงั เป็นบุคคลท่เี ป็นผูอ้ ่านชาวครสิ ต์ในสมยั ของนักบุญมทั ธวิ ผูท้ ่ี
เป็นท่รี ูจ้ กั กนั ทวั่ ไปด้วย และชาวฟารสิ ไี ม่ได้เป็นเพยี งบุคคลในเร่อื งราวท่เี ก่ยี วกบั สง่ิ ท่เี กดิ ขน้ึ กบั พระเยซูเจา้ ผู้
เป็นบุคคลในประวตั ศิ าสตร์ แตย่ งั เป็นตวั แทนทแ่ี สดงถงึ การต่อตา้ นพระศาสนจกั รในสมยั ของนกั บุญมทั ธวิ ดว้ ย

พระวรสารมคี วามแตกต่างจากชวี ประวตั ิแบบเฮเลนนิสตกิ ในแง่ทว่ี ่าพระวรสารสนั นิษฐานและส่อื สาร
ความเขา้ ใจทางครสิ ตศาสตรเ์ กย่ี วกบั ตวั ละครศูนยก์ ลางของเร่อื งทต่ี ่างจากวรี บุรุษและเทพเจา้ ในยคุ เฮเลนนิสตกิ
ทัศนะเก่ียวกับลักษณะของพระวรสารแบบน้ีเป็นส่ิงสาคัญต่อการตีความ ไม่ว่าจะ พิจารณาคุณค่าว่าเป็น
วรรณกรรมประเภทพระวรสารแทจ้ รงิ อย่างมคี วามเป็นเอกลกั ษณ์หรอื ไมก่ ต็ าม

โครงสรา้ ง ความหมายและโครงสรา้ ง จะเหน็ ไดว้ ่าความหมายไม่ไดเ้ ป็นสงิ่ ทส่ี ่อื สารในสง่ิ ทก่ี ล่าวออกมา
เท่านัน้ แต่ยงั ส่อื สารออกมาโดยผ่านกลวธิ ใี นการส่อื สารทป่ี ระกอบเขา้ ไปในตวั บทเป็นโครงสรา้ งเชงิ โวหารของ
ตวั บทด้วย ดงั นัน้ เราต้องแยกใหอ้ อกระหว่างเคา้ โครงทผ่ี อู้ ่านสมยั ใหม่เอาไปครอบสง่ิ ท่อี ่านและโครงสรา้ งเชงิ
โวหารของเอกสารเอง ซง่ึ ผเู้ ขยี นประกอบเขา้ ไปในตวั บทและผตู้ คี วามคน้ พบ นกั บุญมทั ธวิ นาเสนอความสนใจมา
ทล่ี กั ษณะทางโครงสรา้ งของตอนเปิดเร่อื ง คอื 1:1-17 ซ่งึ เหน็ ไดช้ ดั ว่าท่านเป็นผเู้ ขยี นทม่ี ที กั ษะทางวรรณกรรม
สงู พอควร ไม่ไดป้ ระพนั ธ์อย่างไรร้ ะเบยี บหรอื ทาแบบสบายๆ ไม่คดิ มาก มเี คร่อื งบ่งช้ถี งึ รูปแบบทางโครงสรา้ ง
มากมายทอ่ี าจเป็นเงอ่ื นงาทจ่ี ะชว่ ยในการทาความเขา้ ใจโครงสรา้ งโดยภาพรวมของพระวรสารฉบบั น้ี

รูปแบบเชิงโครงสร้าง การเรียงตามลาดับเหตุการณ์ - พระวรสารเป็นเร่อื งเล่าท่ีมีการเรยี งตามลาดับ
เหตุการณ์ จากบรรพบุรุษและพระประสูตขิ องพระเยซูเจา้ มาจนถงึ การรบั พธิ ลี ้างของพระองค์ พระราชกจิ ของ
พระองคใ์ นกาลลิ ี การเดนิ ทางครงั้ สุดทา้ ยไปยงั เยรซู าเลม็ ความขดั แยง้ การจบั กุม การตรงึ กางเขน การกลบั คนื
พระชนม์ชพี และการมอบหมายภารกจิ แก่บรรดาศษิ ย์เป็นการปิดท้าย นักบุญมทั ธวิ ทาให้ความเช่อื มโยงทาง
ลาดบั เวลาของแหล่งทม่ี าของท่านหนกั แน่น ทาใหป้ ระโยคทเ่ี ชอ่ื มกนั โดยไมใ่ ชค้ าเชอ่ื ม (ประโยคทข่ี นานกนั แทนทจ่ี ะเป็น
ประโยคความซอ้ น) ของพระวรสารนกั บุญมาระโกหลายประโยค (อนุประโยคทม่ี ลี กั ษณะขนานกนั มากกวา่ จะเป็นความซอ้ นของกนั และ
กนั ) ทม่ี ี “และ” (kai” kai) หรอื “ต่อมา” (eujqu”v euthys) กลายมาเป็นเร่อื งเล่าตามลาดบั เหตุการณ์อย่างชัดแจง้
ยิ่งข้ึนไปอีก ซ่ึงผลก็คือการผูกเร่ืองราวท่ีแน่น กระชับข้ึน กระนัน้ ก็ดี เห็นได้ชัดว่าลาดับเหตุการณ์ทาง

29

ประวตั ศิ าสตรข์ องชวี ติ พระเยซูเจา้ ไม่ไดเ้ ป็นหลกั การในการวางโครงสรา้ งของนักบุญมทั ธวิ เน่ืองจากท่านไม่ได้
รรี อทจ่ี ะจดั เรยี งลาดบั เหตุการณ์ของแหล่งทม่ี าของท่านใหม่และไม่ไดส้ นใจทจ่ี ะบูรณาการเอาเร่อื งเล่าเขา้ มาอยู่
ในการลาดบั เหตุการณ์ของประวตั ศิ าสตรท์ อ่ี ยู่ภายนอกของเรอ่ื งราว (เทยี บ ลกู า 3:1-2) ผลกค็ อื ผอู้ า่ นไม่สามารถระบุ
วนั ทห่ี รอื ระยะเวลาของเหตกุ ารณ์ทพ่ี รรณนาไวใ้ นเรอ่ื งเลา่ ได้

ภมู ิศาสตร์ - เช่นเดยี วกบั ในพระวรสารนักบุญมาระโก “กาลลิ ”ี และ “ยูเดยี ” มบี ทบาททางโครงสรา้ งท่ี
สาคญั ในงานประพนั ธ์น้ี ก่อนท่ีพระเยซูเจ้าจะเรมิ่ ต้นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ออกจะเป็นผู้เดนิ ทาง
พเนจร(Wanderer) เร่อื งราวดาเนินจากเบธเลเฮมไปอยี ปิ ต์ กลบั มาท่นี าซาเรธ็ แล้วกไ็ ปยงั จอร์แดนเพ่อื รบั พธิ ี
ลา้ ง เขา้ ไปในถนิ่ ทุรกนั ดารและถูกทดลอง (ซง่ึ มกี ารเดนิ ทางกลบั ไปยงั เยรซู าเลม็ และ “ภูเขาอนั สงู ยงิ่ นกั ”) แลว้ กก็ ลบั มายงั นาซา
เรธ็ ก่อนจะตงั้ หลกั ปักฐานทค่ี าเปอรน์ าอุมใหเ้ ป็น “เมอื งของพระองค์” (4:12-13; cf. 9:1) ทา้ ยทส่ี ุด นักบุญมทั ธวิ ระบุ
ไว้อย่างเจาะจงว่าพระราชกิจของพระเยซูเจ้าเรมิ่ ต้นใน “กาลิลแี ห่งบรรดาประชาชาติ” โดยเน้นสถานท่ีด้วย
ขอ้ ความทค่ี ดั ลอกมาอนั เป็นรปู แบบของท่าน (4:14-16 สาหรบั การใชข้ อ้ ความทค่ี ดั มาอนั เป็นรปู แบบของท่าน ดบู ทเสรมิ เรอ่ื ง “มทั ธวิ ใน
ฐานะผู้ตคี วามพระคมั ภีร์” 151-54) แม้ว่าพระเยซูเจ้าจะเดนิ ทางขา้ มทะเลสาบกาลลิ แี ละเขา้ ไปในไทระและไซดอน นัก
บุญมทั ธวิ ก็ดูจะนึกภาพว่าพระราชกิจทงั้ หมดของพระเยซูเจ้าเกิดข้นึ ในกาลลิ จี นถึง 19:1 นับจากจุดน้ีไป นัก
บุญมทั ธวิ คดิ วา่ พระเยซูเจา้ ทรงอยใู่ นยเู ดยี รวมทงั้ อาณาเขตบนชายฝัง่ ตะวนั ออกของแมน่ ้าจอรแ์ ดน(เปเรอา, ทรานส์
จอรแ์ ดน)ดว้ ย ในทางภูมศิ าสตร์ อาจมองเรอ่ื งเลา่ น้เี ป็นสามสว่ นไดด้ งั น้ี

I. การเตรยี มพรอ้ มก่อนมายงั กาลลิ ี (1:1-4:16)
II. พระราชกจิ ในกาลลิ ี (4:17-18:35)
III. ความขดั แยง้ ในยเู ดยี การสน้ิ พระชนม์ การฟ้ืนพระชนมช์ พี การเสดจ็ กลบั สกู่ าลลิ ี (19:1-28:20)

สรปุ . แหลง่ Q ไมม่ บี ทสรุปในรปู แบบเรอ่ื งเลา่ และพระวรสารนกั บุญมาระโกกม็ สี รุปเพยี งสองบททแ่ี สดง
ใหเ้ หน็ ภาพพระเยซูเจา้ ทรงเดนิ ทางและสรปุ ชว่ งเวลาอนั ยาวนานของการเทศนาและการรกั ษาโรค (มก. 1:14-15; 6:6
ข) นอกจากน้ี พระวรสารนักบุญมาระโกมขี อ้ ความกล่าวสรุปหลายขอ้ ความทแ่ี สดงให้เหน็ ภาพพระเยซูเจ้าทรง
รกั ษาโรคและสงั ่ สอนในในวาระต่างๆ กนั โดยไม่ไดบ้ รรยายรายละเอยี ด (มก. 1:32-34; 3:7-12; 6:32-33, 53-56: 10:1) นัก
บุญมทั ธวิ รบั ช่วงบทสรุปทงั้ หมดของนักบุญมาระโก และใชบ้ ทสรุปเหล่าน้ีเป็นสะพานเช่อื ม รวมทงั้ ขยายความ
ขอ้ สรุปเหล่าน้ี มกี ารใช้ มก. 3:7-12 และ 6:6ข ใน มธ. 4:23-5 และ 9:35 เป็นขอ้ พระคมั ภีร์อ้างอิงท่ีมนี ัยทาง
โครงสรา้ งอนั สาคญั สาหรบั หน่วยหลกั ของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ อย่างไรกด็ ี หากปราศจากการอา้ งองิ ถงึ ขอ้
พระคมั ภรี อ์ ่นื ดงั กล่าวแลว้ บทสรุปกจ็ ะไม่ไดม้ บี ทบาทเชงิ โครงสรา้ งอนั สาคญั ในงานประพนั ธ์ของนักบุญมทั ธวิ
เลย

คาพดู (Speech: พระวรสารเทศนา) นักบุญมทั ธวิ นาพระวรสารเทศนาของพระเยซูเจา้ มาสรุปไวห้ า้ ครงั้
โดยใชร้ ปู แบบเกอื บจะเหมอื นกนั คอื “ครนั้ พระเยซูเจา้ ตรสั คาเหล่าน้ีเสรจ็ แลว้ ” (7:28 พระคมั ภรี ฉ์ บบั NRSV มาตรฐาน
เรยี งพมิ พใ์ หม่; เทยี บกบั 11:1; 13:53; 19:1; 26:1) รปู แบบดงั กล่าวไม่ไดท้ าหน้าทเ่ี ป็นเพยี งบทสรุปเท่านนั้ แต่ยงั เป็น
ส่วนเช่อื มต่อ ซง่ึ นาความสนใจกลบั ไปยงั พระวรสารเทศนาทพ่ี ระเยซูเจา้ ไดต้ รสั จบไปแลว้ และนามาสเู่ ร่อื งเล่าท่ี
จะดาเนินต่อเน่ืองไป ความสมั พนั ธข์ องพระวาจาของพระเยซูเจา้ เขา้ กบั สง่ิ ทพ่ี ระองคท์ รงกระทาและผนวกเอาสง่ิ

30

ทต่ี รสั และเร่อื งเล่าเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั แมว้ า่ ขอ้ ความเหล่าน้อี าจมาจากขอ้ ความทเ่ี ป็นสว่ นเชอ่ื มต่อในแหล่ง Q (ลก. 7:1)
แต่ขอ้ ความเหล่าน้กี ล็ ว้ นไดร้ บั การเรยี บเรยี งมาแลว้ ซง่ึ แสดงถงึ สว่ นหน่งึ ของรปู แบบเชงิ โครงสรา้ งของพระวรสาร
นักบุญมทั ธวิ เอง เคา้ โครงของสงิ่ ท่พี ระเยซูเจา้ ตรสั และตาแหน่งของสง่ิ ท่ตี รสั ในเร่อื งเล่า แสดงถงึ การตดั สนิ ใจ
ทางการประพนั ธข์ องนักบุญมทั ธวิ เอง (ดูเคา้ โครง) พระวรสารเทศนาของพระเยซูเจา้ แต่ละครงั้ ต่างกแ็ สดงถงึ สาระ
หลกั ๆ ของพระวรสาร: (1) คาเทศน์สอนบนภูเขา (5:1-7:29) แสดงถงึ การสอนโดยมสี ทิ ธอิ านาจของพระเมสสยิ าห์
ผซู้ ง่ึ มไิ ดท้ รงมาเพอ่ื ลบลา้ งธรรมบญั ญตั แิ ต่ทรงมาเพอ่ื ทาใหส้ าเรจ็ สมบรู ณ์ไปตามธรรมบญั ญตั ิ (2) วาทกรรมแห่ง
พนั ธกจิ , 10: 5ข-42, เป็นสง่ิ ทพ่ี ระครสิ ต์ตรสั ต่อศษิ ยข์ องพระองค์ ซ่งึ พระองคท์ รงส่งออกไปกระทาพนั ธกจิ โดย
เป็นตวั แทนพระครสิ ต์และมสี ทิ ธอิ านาจของพระองค์ (3) ผลงานรวบรวมคาอุปมา, 13:1-52 พรรณนาถงึ ภาวะ
ซ่อนเรน้ ของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ในปัจจุบนั ซง่ึ เป็นอาณาจกั รทข่ี ดั แยง้ กนั กบั อาณาจกั รแห่งความชวั่ รา้ ย
ของยุคน้ี แต่ทา้ ยทส่ี ุดแลว้ กม็ ชี ยั เหนืออาณาจกั รนัน้ (4) วาทกรรมในขอ้ 18:1-35 มเี น้ือหาเก่ยี วกบั ชวี ติ ภายใน
ของพระศาสนจกั ร กล่าวถงึ ความจาเป็นของพระศาสนาจกั รทงั้ ในเร่อื งของวนิ ัยอนั เคร่งครดั และการอภยั อย่าง
ลกึ ซ้งึ หากสมาชกิ ของพระศาสนจกั รจะอยู่ร่วมกนั เป็นสาวกของพระครสิ ต์ (5) วาทกรรมเร่อื งการพพิ ากษาอนั
เป็นวาทกรรมสรุปปิดทา้ ย 23:1-25:46 สอดรบั กบั คาเทศนาบนภูเขาซง่ึ เป็นกระบวนทศั น์ทใ่ี หไ้ วแ้ ต่แรก และวาง
ตาแหน่งของชวี ติ ตามการทรงเรยี กอยใู่ นบรบิ ทเฉพาะทางอวสานวทิ ยา คอื บรบิ ทของการพพิ ากษาทจ่ี ะมาถงึ ทุก
คนและชยั ชนะของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้

พอมาถงึ ศตวรรษท่ี 2 มกี ารมองกนั วา่ นกั บุญมทั ธวิ ออกแบบโครงสรา้ งงานเขยี นเป็น “พระวรสาร” 5 เล่ม
ย่อย โดยเอาอย่างหนังสอื ปัญจบรรพ (Torah or Pentateuch) และเป็นอกี ทางเลอื กหน่ึงใหก้ บั ความเขา้ ใจธรรม
บัญญัติตามแบบอย่างของชาวยิว ซ่ึง บี. ดบั เบ้ิลยู. เบคอน (B. W. Bacon) ได้ทาให้มุมมองน้ีเป็นท่ีนิยมใน
ศตวรรษท่ี 20 ตอนต้น และตงั้ แต่นัน้ มา มุมมองน้ีได้มนี ักวชิ าการแนวหน้าหลายคนท่ศี กึ ษาพระวรสารนักบุญ
มทั ธวิ นาไปใชใ้ นรูปแบบท่ตี ่างๆ กนั ไป ซง่ึ บนั ทกึ คาตรสั สอนเป็นสาระสาคญั ซ่งึ สอดแทรกอย่เู ป็นลาดบั แรกใน
เร่อื งเล่าตามกรอบโครงสรา้ งของพระวรสาร ไม่ใช่จดั คาตรสั สอนของพระเยซูเจ้าหรอื พระวรสารเทศน์สอน 5
ตอนใหเ้ ป็นหลกั ของการจดั วางโครงร่างเรอ่ื งเลา่ ของพระวรสาร

รปู แบบที่มีการใช้ซา้ และเครือ่ งมือที่ใช้เป็นกรอบ ตวั อยา่ งของรปู แบบทใ่ี ชว้ ธิ กี ารเลา่ แบบซ้าๆ กนั เป็น
เครอ่ื งบ่งชเ้ี ชงิ โครงสรา้ งสองตวั อยา่ งไดแ้ ก่

1. “ตัง้ แต่นัน้ มา พระเยซูเจ้าได้ทรงเรมิ่ ต้น... [ajpo; to”te h[rxto oJ !Ihsou’v + กรยิ าช่องท่ี 1, apo tote erxato ho Iesous]”
(4:17/16:21) การปรากฏขน้ึ เป็นครงั้ แรกของรปู แบบน้เี ป็นการนาเขา้ สกู่ ารประกาศของพระเยซูเจา้ ถงึ พระอาณาจกั ร
พระเป็นเจ้าต่อสาธารณชน ซ่ึงนาไปสู่ความขดั แย้งและการปฏิเสธ การปรากฏข้นึ ซ้าอกี ครงั้ ของรูปแบบน้ีใน
16:21 เป็นการนาเขา้ สชู่ ว่ งเวลาทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงสงั่ สอนเหล่าสาวกของพระองคเ์ ป็นการสว่ นตวั เกย่ี วกบั การทน
ทุกข์ทรมาน การส้นิ พระชนม์ และการฟ้ืนพระชนม์ของพระองค์ หากจะมองว่าสงิ่ เหล่าน้ีเป็นเคร่อื งบ่งช้เี ชิง
โครงสรา้ งหลกั กจ็ ะไดเ้ คา้ โครงดงั ตอ่ ไปน้ี

I. การนาเสนอถงึ พระเยซูเจา้ (1:1-4:16)
II. พระราชกจิ ของพระเยซูเจา้ ต่อชาวอสิ ราเอลและการปฏเิ สธพระเยซูเจา้ ของชาวอสิ ราเอล (4:17-16:20)

31

III. การเดนิ ทางของพระเยซูเจา้ ไปยงั เยรูซาเลม็ และการทนทุกขท์ รมาน การสน้ิ พระชนม์ และการกลบั คนื
พระชนมช์ พี ของพระองค์ (16:21-28:20) 41

2. พระวรสารเทศนาบนภูเขาและเร่อื งราวเก่ยี วกบั ปาฏหิ ารย์และการเป็นศษิ ย์ท่เี กดิ ขน้ึ อย่างต่อเน่ืองกนั
ต่อไปน้ีมกี ารอา้ งองิ ถงึ ขอ้ พระคมั ภรี อ์ ่นื ทม่ี รี ปู แบบบทสรุปทเ่ี กอื บจะเหมอื นกนั (4:23/ 9:35) การชแ้ี นะใหผ้ อู้ า่ นมอง
บทท่ี 5-9 เป็ นหน่วยเดียวกัน คือเป็ น “คาสอนของพระเมสสิยาห์(Messianic Teaching) และกิจการอัน
ประกอบด้วยฤทธานุภาพของพระเมสสยิ าห์ (Messianic Acts of Power)” ดูจะเป็นสงิ่ ท่เี หน็ ได้ชดั อยู่จากการ
อา้ งองิ ของผูเ้ ล่าถงึ เร่อื งราวเกย่ี วกบั ปาฏหิ ารยต์ ่างๆ ท่มี กี ารรวบรวมไวใ้ นบทท่ี 8-9 โดยเรยี กว่าเป็น “สงิ่ ท่พี ระ
ครสิ ต์ทรงกระทา” (11:2 พระคมั ภรี ์ฉบบั NIV) และจากสงิ่ ท่พี ระเยซูเจ้าตรสั ซ่งึ ตามมาใน 11:4 “จงไปแจง้ แก่ยอหน์ ซ่งึ
ท่านไดย้ นิ [บทท่ี 5-7] และไดเ้ หน็ [บทท่ี 8-9] (พระคมั ภรี ฉ์ บบั NRSV) นักบุญมทั ธวิ ไดเ้ ปลย่ี นแหล่ง Q ใน 11:4 เพ่อื จบั คู่น้ี
ได้

โครงสร้างแบบการกลบั ลาดบั (Chiastic Structures.) เป็นการขยายความเทคนิคการวางกรอบท่ขี า้ งในมคี ู่
หน่วยทจ่ี ดั เรยี งไวใ้ หป้ ระกอบกนั เป็นกรอบทส่ี อดรบั กนั ชุดหน่ึงโดยจดั เรยี งไวร้ อบๆจดุ ความสนใจศนู ยก์ ลาง เชน่
ในรูปแบบ A-B-C-B’-A’ หรอื รูปแบบท่มี มี ากชนั้ หลายคู่ อาจมลี กั ษณะคล้ายแซนด์วชิ แฮมเบเกอร์ หรอื ทรง
คลา้ ยปิรามดิ ทงั้ แบบตงั้ และราบ (Vertical & Horizontal) ดงั ภาพ

12 3

45

รูปแบบโวหารน้ีเป็นสงิ่ ทพ่ี บไดท้ วั่ ไป ในสมยั โบราณ ทงั้ ปีเตอร์ เอฟ. เอลลสิ และ ซ.ี เอช็ . ลอร์ (Peter

F. Ellis and C. H. Lohr) ต่างกเ็ หน็ ว่าพระวรสารน้ีมกี ารจดั เรยี งตามโครงสรา้ งแบบกลบั ลาดบั ทงั้ หมด ซ่งึ เป็น

การจดั เรยี งทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั กบั รปู แบบ “5 เล่มพระวรสาร” ทไ่ี ดม้ กี ารอภปิ รายไวข้ า้ งตน้ ดงั น้ี

A 1-4 พระประสตู แิ ละจุดเรมิ่ ตน้ เรอื่ งเลา่
B 5-7 การเขา้ สพู่ ระอาณาจกั ร วาทกรรม
C 8-9 สทิ ธอิ านาจและคาเชญิ เรอื่ งเลา่
D 10 วาทกรรมเกยี่ วกบั พนั ธกจิ วาทกรรม
E 11-12 การปฏเิ สธจากคนยคุ น้ี เรอื่ งเลา่
F 13 อปุ มาเกยี่ วกบั พระอาณาจกั ร วาทกรรม
E’ 14-17 การยอมรบั จากสาวก เรอื่ งเลา่

32

D’18 วาทกรรมเกยี่ วกบั ชุมชน วาทกรรม
C’ 19-22 สทิ ธอิ านาจและคาเชญิ เรอื่ งเล่า
B’ 23-25 วบิ ตั ,ิ การมาของพระอาณาจกั ร วาทกรรม
A’ 26-28 ความตายและการเกดิ ใหม่ เรอื่ งเล่า

โครงสร้างแบบกลับลาดับนัน้ เห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนหน่ึงของเทคนิคของนักบุญมทั ธิวและแสดงถึง
เคร่อื งมอื ในการวางโครงสรา้ งอยา่ งหน่ึงทท่ี ่านชอบใชม้ ากทส่ี ุด โดยเฉพาะใน 1:1-12:21 ทซ่ี ง่ึ นกั บุญมทั ธวิ สรา้ ง
โครงสรา้ งของท่านเองโดยอสิ ระอย่างทส่ี ุด อย่างไรกด็ ี แมว้ ่าแผนภูมิดงั กล่าวจะดเู หมอื นเป็นระบบระเบยี บมาก
แต่จรงิ ๆ แล้ว มไิ ด้เป็นอย่างนัน้ และหากจะนาเอาพระวรสารทงั้ ฉบบั มาจดั เป็นรูปแบบการกลบั ลาดบั หน่ึง
รปู แบบ สว่ นตา่ งๆ กไ็ ม่อาจเขา้ ทเ่ี ขา้ ทางไดโ้ ดยเป็นธรรมชาติ

รปู แบบตรีลกั ษณ์ (Triadic Patterns) ไดม้ กี ารตงั้ ขอ้ สงั เกตถงึ แนวโน้มของนักบุญมทั ธวิ ทจ่ี ะประพนั ธ์

ในรปู แบบตรลี กั ษณ์อย่บู ่อยๆ งานเขยี นล่าสุดทม่ี ขี อ้ สงั เกตดงั กล่าวน้ีคอื งานของ ดบั เบล้ิ ย.ู ด.ี เดวสี ์ และ เดล ซ.ี
อลั ลสิ นั จูเนียร์ (W. D. Davies and Dale C. Allison. Jr.) นักบุญมทั ธวิ เองเรยี กความสนใจมาทโ่ี ครงสรา้ งแบบ
ตรลี กั ษณ์ของท่านทใ่ี ชใ้ นหน่วยเรม่ิ แรก คอื ลาดบั วงศว์ าน (1:2-17) มอี งคป์ ระกอบแบบตรลี กั ษณ์อ่นื ๆ อกี มากมาย
(เช่น การประจญสามครงั้ ใน 4:1-11) โดยเฉพาะในตอนต้นของพระวรสาร ซ่ึงนักบุญมทั ธิวกาลังประพันธ์ข้ึนอย่าง
สรา้ งสรรค์ อย่างไรกด็ ี รูปแบบน้ีหายไปทนั ที เม่อื นักบุญมทั ธวิ เรม่ิ เขยี นตามแนวทางของนักบุญมาระโกท่ี มธ.
12:22/ มก. 3:22 (ดูเคา้ โครงโดยละเอยี ดท่แี บ่งออกเป็นส่วนๆในส่วนคาอธบิ าย) ขณะทเ่ี น้ือหาส่วนทม่ี าจากพระวรสารมาระโก
ไมไ่ ดเ้ ป็นเชน่ นนั้

1 23 4

เคา้ โครงแบบเด่ยี ว ครอบคลุม ระดบั เดยี ว? บางรูปแบบท่กี ล่าวไวข้ า้ งต้นกส็ อดคลอ้ งกนั และเน้นความ

เด่นชดั ของกนั และกนั เช่น จุดเปล่ยี นทางภูมิศาสตร์ ณ จุดเรมิ่ ต้นของส่วน “กาลลิ ี” ก็สอดคล้องกบั รูปแบบ

“ตงั้ แต่นัน้ มา พระเยซูเจ้าได้ทรงตงั้ ต้น...[กรยิ าช่องท่ี 1]” ใน 4:17 และ 16:21 รูปแบบอ่นื ๆ ดูจะไม่ได้มลี กั ษณะท่ี

ตรงกนั บางรปู แบบอาจเป็นรูปแบบของแหล่งทม่ี าทน่ี ักบุญมทั ธวิ ใชม้ ากกว่าจะสะทอ้ นถงึ การประพนั ธข์ องท่าน

เอง ซง่ึ หมายความวา่ การจะบรู ณาการรปู แบบเชงิ โครงสรา้ งทงั้ หมดทส่ี งั เกตเหน็ ไดใ้ นพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ เขา้

มาเป็นเคา้ โครงเสน้ ตรงแบบแบนและมมี ติ เิ ดยี วทผ่ี อู้ า่ นจะมองวา่ เป็นเคา้ โครงของพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ นนั้ เป็น

สิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้ ความเข้าใจโครงสร้างของพระวรสารนักบุญมทั ธิวควรเป็นในลกั ษณะท่ีเป็นพลวตั และมี

ปฏสิ มั พนั ธก์ นั มากกวา่ นนั้ เป็นสงิ่ ซบั ซอ้ นทม่ี โี ครงสรา้ งต่างๆ ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั โดยมคี วามเคล่อื นไหวปรากฏ

อยใู่ นตวั บทมากกว่าหน่ึงความเคล่อื นไหวในขณะเดยี วกนั ราวกบั วา่ มเี คา้ โครงหลายชนั้ ผลกค็ อื องคป์ ระกอบใด

กไ็ ดส้ กั อยา่ งหน่งึ อาจจะมคี วามเกย่ี วขอ้ งในพลวตั ของโครงสรา้ งมากกวา่ หน่ึงโครงสรา้ ง การท่ี “เคา้ โครง” ไมไ่ ดม้ ี

ความประณีตและเด่นชดั อาจไม่ได้จาเป็นต้องหมายความว่า พระวรสารนักบุญมทั ธวิ มลี กั ษณะการเขยี นแบบ

งา่ ยๆ สบายๆ หรอื คดิ อย่างไรกเ็ ขยี นไปโดยไมพ่ จิ ารณาใหด้ ี แต่หมายความว่าเน้ือหาออกจะสรา้ งความจากดั แก่

33

ผู้เขยี นอยู่เหมอื นกนั อาจเป็นได้ด้วยว่า นักบุญมทั ธวิ ซ่งึ เป็นผู้เขยี นมคี วามสามารถในการเล่าเร่อื งอย่างยอด
เยย่ี ม จงึ ทาใหเ้ คา้ โครงไม่โดดเด่นออกมา ไมใ่ หโ้ ครงเรอ่ื งเขา้ มามคี วามโดดเดน่ จนทาให้ “สรปุ ” เรอ่ื งได้ เคา้ โครง
ขา้ งล่างน้ีเป็นการพยายามจะให้ความสนใจและคานึงถึงระดบั ต่างๆ ของพลวตั เชงิ โครงสร้างในเร่อื งราวของ
นักบุญมทั ธวิ แต่กน็ าเสนอเคา้ โครงเสน้ ตรงแบบแบนทจ่ี ะช่วยผอู้ ่านในการทาความเขา้ ใจพระวรสารทงั้ หมดใน
ภาพรวมได้

ธรรมประเพณีศกั ดิส์ ทิ ธขิ ์ องนักบุญมทั ธิว (มาระโกและ Q) ในฐานะเป็นกุญแจสู่โครงสร้างของท่าน นัก
บญุ มทั ธวิ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลอย่างลกึ ซง้ึ จากโครงสรา้ งของแหล่งทม่ี าหลกั ทงั้ สองแหล่งของท่าน แมว้ า่ ทา่ นจะนาหลาย
อย่างๆ มาเรยี งใหม่เพ่ือท่จี ะนาเน้ือหาท่คี ล้ายกนั มาไวด้ ้วยกนั แต่ท่านก็คงไว้ซ่ึงเค้าโครงโดยคร่าวๆ ของทงั้
แหล่ง Q และมาระโก โดยเอาอยา่ งแหล่ง Q มากหน่อยในบทตน้ ๆ และเอาอย่างมาระโกมากหน่อยตงั้ แต่ 12:22
เป็นตน้ ไป เน่ืองจากทงั้ นักบุญมทั ธวิ และผูอ้ ่านผเู้ ป็นเป้าหมายของท่านมคี วามคุน้ เคยอย่างทะลุปรุโปร่งในการ
ดาเนินเรอ่ื งของนกั บญุ มาระโก นกั บุญมทั ธวิ จงึ ทาใหเ้ รอ่ื งเลา่ ในพระวรสารของนกั บุญมาระโกเป็นพน้ื ฐานสาหรบั
โครงสรา้ งของเรอ่ื งราวของท่านเอง หลงั จากคดั เอาเน้ือหาจากสว่ นหลงั ๆ ของพระวรสารนกั บุญมาระโกมาใชใ้ น
โครงสรา้ งสร้างสรรค์ของงานท่ี 1:12-12:21 ท่านก็ไม่ได้หนั เหไปจากลาดบั เหตุการณ์ท่คี ดั มาจากพระวรสาร
นักบุญมาระโกเลย ตงั้ แต่ มธ. 12:22//มก. 3:22 ไปจนถงึ ตอนท้ายของพระวรสาร ในส่วนแรกของพระวรสาร
ผอู้ ่านแต่ดงั้ เดมิ จะจาไดว้ ่าสงิ่ ท่อี ่านเป็นเน้ือหาของพระวรสารนักบุญมาระโกและแหล่ง Q แต่นามาจดั เรยี งใหม่
และขยายเพอ่ื สรา้ งโลกของเรอ่ื งราวขน้ึ มาใหมห่ มด ตงั้ แต่ 12:22 (มก. 3:22) เป็นตน้ ไป ผอู้ ่านกจ็ ะอยใู่ นอาณาเขตท่ี
คุ้นเคย แต่จะมีกรอบใหม่ท่ีมีบริบทในการตีความ ในการวางโครงสร้างเร่อื งราวข้ึนใหม่ของนักบุญมทั ธิว
อาณาจกั รพระเจา้ กลายมาเป็นแนวคดิ หลกั ของเร่อื งราวทงั้ หมด ดงั นนั้ จงึ ควรมองว่าพระวรสารของนกั บุญมทั ธวิ
มโี ครงสรา้ งเป็นสว่ นหลกั สองสว่ นทม่ี กี ารจดั วางใหเ้ ขา้ กนั กบั การนาเน้ือหาจากพระวรสารนกั บุญมาระโกมาใชใ้ น
งานเขยี นของทา่ น โดยมพี ระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ เป็นสาระครอบคลุมทท่ี าใหท้ งั้ หมดเป็นหน่งึ เดยี วกนั

โครงสร้างของส่วนท่ีหน่ึง “เปิดประเด็นและนิยามความขดั แย้งของพระอาณาจกั ร (มธ. 1:1-12:21) นัก
บุญมทั ธวิ เลอื กตอนท่เี ป็นสถานการณ์ความขดั แยง้ ใน มก. 3:22-30 เป็นจุดหลกั ท่จี ะรวมเอาการประพนั ธ์ของ
ท่านเองเขา้ มาไวก้ บั การเดนิ เร่อื งของพระวรสารนักบุญมาระโก (มธ. 12:22) การทน่ี ักบุญมทั ธวิ เลอื กทาเช่นน้ีดูจะ
ได้รบั อทิ ธพิ ลจากการท่เี หตุการณ์ตอนนัน้ เป็นหน่ึงในไม่ก่ตี อนท่ปี รากฏอยู่ในแหล่งท่มี าทงั้ สองแหล่งทท่ี ่านใช้
(สาหรบั แหล่ง Q ดู มธ. 12:22-24//ลก. 11:14-15) อย่างไรกด็ ี เหตุผลหลกั ในการเลอื กส่วนนัน้ ท่ซี ง่ึ แหล่งทม่ี าสองแหล่งของ
ทา่ นมาบรรจบกนั กค็ อื ความขดั แยง้ ทม่ี อี ย่ใู นตอนนนั้ แสดงถงึ อาณาจกั รของมารและการมาถงึ ของอาณาจกั รพระ
เจ้าท่พี ระเยซูเจ้าทรงประกาศให้รู้ ความขดั แยง้ ระหว่างความชวั่ ของโลกปัจจุบนั ซ่ึงแทนด้วย “อาณาจกั รของ
ซาตาน” และอาณาจกั รทก่ี าลงั มาถงึ ของพระเป็นเจา้ ซง่ึ มอี ย่แู ลว้ ในพระเยซูเจา้ เป็นสง่ิ พน้ื ฐานในการจะทาความ
เขา้ ใจทงั้ โครงเรอ่ื งและเทววทิ ยาของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ

ความขดั แยง้ อนั เป็นชนวนระเบดิ ในตอนนัน้ ถูกจุดขน้ึ โดยคากลา่ วหาทว่ี า่ พระเยซูเจา้ ทรงมเี บเอลเซบูล –
กล่าวคอื พระองค์ทรงเป็นพวกเดยี วกบั ซาตานและกิจการต่างๆ ทรงท่กี ระทานัน้ ทาด้วยอานาจของซาตาน
(12:24-26) คากลา่ วหาน้ีมคี วามสาคญั ต่อนกั บญุ มทั ธวิ อยา่ งมาก ซง่ึ นกั บญุ มทั ธวิ บ่งชอ้ี ยา่ งเจาะจงวา่ สมาชกิ ชุมชน
ของท่าน และอาจจะมตี วั ท่านเองดว้ ย (มก. 4:22, “ธรรมาจารย์”; ลก. 11:15 “บางคน”) ไดเ้ ผชญิ คากล่าวหาน้ีจากชาวฟารสิ ี
ผซู้ ง่ึ ไดข้ น้ึ มาเป็นผนู้ าในสมยั นนั้ (เทยี บ 10:25) เหน็ ไดช้ ดั ว่านักบุญมทั ธวิ ไดม้ กี ารใคร่ครวญอย่างลกึ ซง้ึ เก่ยี วกบั คา

34

กล่าวหาทางเทววทิ ยา ซง่ึ พบอย่ใู นแหล่งทม่ี าหลกั ของท่านทงั้ สองแหล่ง และทาใหค้ ากล่าวหาน้ีเป็นศูนยก์ ลาง
ของโครงสรา้ งงานประพนั ธข์ องทา่ นเอง

โดยจดจ่อท่ฉี ากดงั กล่าวในเน้ือหาส่วนบรรยายเร่อื งของพระวรสารนักบุญมาระโก โดยใช้เน้ือหาจาก
แหล่ง Q, และธรรมประเพณีต่างๆ ในชุมชนของท่านเอง นักบุญมทั ธวิ ได้ประพนั ธ์ส่วนท่ีครอบคลุมกวา้ งขวาง
คอื สว่ นแรกโดยทงั้ หมดในเรอ่ื งเล่า ซง่ึ ดาเนินเหตกุ ารณ์ไปสตู่ อนหลกั ซง่ึ เป็นเหตุการณ์ความขดั แยง้ ในพระวรสาร
นักบุญมาระโก น่ีเป็นเง่อื นงาท่แี สดงให้เหน็ แลว้ ว่าความขดั แยง้ น้ีเป็นกุญแจสู่โครงเร่อื งของพระวรสารนักบุญ
มทั ธวิ เร่อื งราวเรมิ่ ข้นึ ด้วยการประกาศถึงการเสดจ็ มาของ “กษัตรยิ ์ของชาวยวิ ” พระองค์ใหม่ (1:1-25) แต่การ
ประกาศน้ีกระทาขน้ึ ในสถานการณ์ท่กี ษัตรยิ ์ของโลกแสดงอานาจในการปกครองยุคสมยั นัน้ อยู่แล้ว ในความ
ขดั แย้งท่ีเกิดข้นึ ตามมาโดยความจาเป็น ผู้นาชาวยวิ ก็เขา้ ข้างฝ่ ายผู้นาทางโลก ขณะท่ีคนต่างชาตินมสั การ
กษตั รยิ ท์ พ่ี ระเป็นเจา้ ไดท้ รงส่งมา (2:1-23) นักบุญยอห์น ผทู้ าพธิ ลี า้ ง ปรากฏขน้ึ พรอ้ มกบั สารของการมาถงึ ของ
พระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ทใ่ี กลเ้ ขา้ มา และพระเยซูเจา้ ทรงเรม่ิ ตน้ การเทศนาสงั่ สอน เม่อื พระองคท์ รงไดร้ บั พธิ ี
ลา้ งจากนกั บุญยอหน์ แลว้ เท่านนั้ (3:1-4:17) แลว้ พระเยซูเจา้ จงึ ทรงเรยี กสาวกใหต้ ดิ ตาม (4:18-22) และเป็นพยานถงึ
พระธรรมคาสอนและกจิ การต่างๆ ของกษตั รยิ ผ์ ทู้ รงเป็นพระเมสสยิ าห์ (4:23-9:35) ผปู้ ระทานอานาจให้พวกเขาได้
มคี วามพรอ้ มสาหรบั พนั ธกจิ ของพวกเขาทจ่ี ะกระทาแทนพระองค์ (11:2-19) กระนนั้ พวกเขากอ็ ยใู่ นยคุ ทถ่ี กู ประจญ
ล่อลวงใหส้ องจติ สองใจ (9:36-11:1) แมแ้ ต่นกั บุญยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ งเอง (11:2-19) ความขดั แยง้ น้ียงั ดาเนินไป (11:20-
12:14) แมว้ ่ากษตั รยิ พ์ ระองคใ์ หม่จะทรงมบี ทบาทเป็นผรู้ บั ใช้ ซง่ึ เม่อื ชาวยวิ พากนั ปฏเิ สธพระองค์ จะทาใหส้ าเรจ็
จรงิ ตามพระคมั ภีร์โดยนาความรอดมาสู่คนต่างชาติ (12:15-21) โดยการใช้รูปแบบกลบั ลาดบั นักบุญมทั ธวิ ได้
นาเอาเน้ือหาทเ่ี ป็นธรรมประเพณีซง่ึ ท่านใชม้ าจดั เรยี ง เขยี นขน้ึ ใหม่ และขยายความอยา่ งระมดั ระวงั ใหก้ ลายมา
เป็นเรอ่ื งเลา่ ทม่ี โี ครงสรา้ งดงั ต่อไปน้ี

A พระเยซใู นฐานะกษตั รยิ ผ์ ทู้ รงเป็นพระเมสสยิ าห์ ผเู้ ป็นเชอ้ื สายของดาวดิ และพระบุตรพระเจา้ 1:12-25
B ความขดั แยง้ กบั อาณาจกั รแหง่ ยคุ สมยั น้ี 2:1-23
C พระราชกจิ ของพระเยซูเจา้ ในแงท่ เ่ี กย่ี วกบั นกั บุญยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง 3:1-4:17
D สาวกไดร้ บั กระแสเรยี ก 4:18-22
E สทิ ธอิ านาจของพระเมสสยิ าหใ์ นทางวาจาและการกระทา 4:23-9:35
D’ สาวกไดร้ บั สทิ ธอิ านาจและการมอบหมายใหอ้ อกไปกระทาการ 9:36-11:1
C’ พระราชกจิ ของพระเยซูเจา้ ในแงท่ เ่ี กย่ี วกบั นกั บุญยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง 11:2-19
B’ ความขดั แยง้ กบั อาณาจกั รแหง่ ยคุ สมยั น้ี 11:20-12:14
12:15-21
A’ กษตั รยิ ผ์ ทู้ รงเป็นผรู้ บั ใช้

โครงสรา้ งแบบกลบั ลาดบั น้ีประกอบขน้ึ มา “จากขา้ งในออกมาขา้ งนอก” ดงั นัน้ จงึ อาจมองโครงสรา้ งน้ี
เป็นวงจรท่มี จี ุดศูนย์กลางร่วมกนั ชุดหน่ึงได้ (ดูรูปท่ี 2) ส่วน 4:23-9:35 นัน้ เหน็ ได้ชดั ว่าถูกกาหนดขอบเขตโดย
นักบุญมทั ธวิ เอง โดยมเี คร่อื งบ่งช้มี ากกว่าหน่ึง ได้แก่ (1) 4:23 เป็นวงเลบ็ ท่มี ี 9:35; (2) 11:2 “สงิ่ ท่พี ระเมสส-ิ
ยาหก์ าลงั ทรงกระทาอยู่” (พระคมั ภรี ฉ์ บบั NRSV) ชก้ี ลบั ไปยงั บทท่ี 8-9 และสาวกรบั ช่วงต่อในบทท่ี 10; (3) 11:4, “ได้

35

ยนิ และไดเ้ หน็ ” อา้ งองิ ถงึ บทท่ี 5-7 (“ไดย้ นิ ”) และ 8-9 (“ไดเ้ หน็ ”); และ (4) 11:4ข-5 บรรยายเน้อื หาของบทท่ี 5-9
เช่นน้ี “พระเมสสยิ าหใ์ นภาควาจาและการกระทา” ซง่ึ เป็นแก่นกลางทใ่ี หน้ ิยามจงึ มสี ว่ นทเ่ี กย่ี วกบั การเป็นสาวก
ล้อมรอบอยู่ คือ 4:18-22, เหล่าสาวกได้รบั กระแสเรยี ก และ 9:36-11:1, พวกเขาได้รบั สิทธิอานาจและการ
มอบหมายใหอ้ อกไปกระทาการ ในมโนทศั น์ของพระเมสสยิ าหใ์ นบรบิ ทน้ี พระเมสสยิ าหไ์ ม่ไดเ้ ป็นปัจเจกบุคคล
(“มหาบุรุษ”) แต่เป็นผใู้ หก้ าเนิดชุมชนของพระเมสสยิ าห์ ดงั นนั้ 4:18-11:1 จงึ เป็นสว่ นทโ่ี อบลอ้ มพระเมสสยิ าห/์
บรรดาศษิ ย์ มเี ครอ่ื งหมายแสดงทางโครงสรา้ งทเ่ี หน็ ไดช้ ดั เจนทส่ี องจุดน้ใี นเรอ่ื งเล่า

รปู ท่ี 2: โครงสร้างของพระวรสารนักบญุ มทั ธิว 1:1-12:21

Messiah

Jewish Leaders

John the Baptist
Disciples

1.1 - 25 2.1 – 23 3.1 – 4.17 4.18 – 22 4.23 – 9.35 9.39 – 11.1 11.2 – 19 11.20 – 12.14 12.15 - 21

Messiah

วงกลมศูนย์กลางร่วมถดั มาประกอบไปด้วยส่วนต่างๆท่ีแสดงถึงนักบุญยอห์น ผู้ทาพิธลี ้าง นักบุญยอห์นมี
ตาแหน่งอย่รู ะหว่าง “บรรดาศษิ ย”์ และ “ผตู้ ่อตา้ น” ในแงห่ น่ึง ท่านไดร้ บั เกยี รติใหเ้ ป็นประกาศกของพระเป็นเจา้
ทแ่ี ทจ้ รงิ เป็นผยู้ งิ่ ใหญ่ทส่ี ุด “ในบรรดาคนซง่ึ เกดิ มาจากผหู้ ญงิ นนั้ ” (11:11 พระคมั ภรี ฉ์ บบั NRSV) ซง่ึ สารของท่านเป็น
สารท่เี ตรยี มทางและตรงกนั กบั สารของพระเยซูเจา้ (3:2/4:17) และพนั ธกจิ ของท่านเป็นเคร่อื งหมายแสดงถงึ จุด
เปลย่ี นของยุค (11:12) ในอกี แงห่ น่ึงคอื ท่านไม่เคยไดม้ าเป็นสาวก และสาวกของท่านกไ็ ม่ไดห้ นั มาสวามภิ กั ดติ ์ ่อ
พระเยซูเจ้า หากแต่ยงั คงดาเนินการต่อไปโดยเป็นกลุ่มอสิ ระ (9:14) หลงั จาก 3:17 เป็นต้นไป ตรรกะของเทว
วทิ ยาและเรอ่ื งราวของนกั บุญมทั ธวิ ทาใหพ้ วกเขาควรทาเชน่ นนั้ เรอ่ื งราวของนกั บญุ มทั ธวิ จะสอดรบั กนั กบั ความ
เป็นจรงิ ทางประวตั ศิ าสตรน์ ้ีกโ็ ดยให้นกั บุญยอหน์ และบรรดาศษิ ยข์ องทา่ นอยใู่ นตาแหน่งทไ่ี ม่ไดเ้ ป็นทงั้ ศษิ ยแ์ ละ
ผตู้ ่อตา้ น แมว้ า่ พวกทา่ นจะมบี ทบาทสาคญั ในแผนการช่วยใหร้ อดของพระเป็นเจา้ ทอ่ี ย่บู นเสน้ แบ่งระหวา่ งศษิ ย์
และผตู้ อ่ ตา้ นกต็ าม ดงั นนั้ พวกเขาจงึ อยฝู่ ่ายพระเยซูเจา้

วงจรถดั มามผี นู้ าของชาวยวิ เป็นเครอ่ื งแสดง ซง่ึ การพรรณนาภาพผนู้ าเหล่าน้ีเป็นแบบตวั ละครมติ เิ ดยี ว
ทม่ี กี ารตอ่ ตา้ นพระเยซูเจา้ ต่อตา้ นอาณาจกั รทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงประกาศและทาใหเ้ ป็นทป่ี ระจกั ษ์ แทจ้ รงิ แลว้ ผนู้ า
เหล่านัน้ เป็นตวั แทนอาณาจกั รของซาตาน พวกเขาแข่งกบั พระเยซูเจ้าเพ่อื จะได้ความภกั ดจี าก “ฝงู ชน” และ
ทา้ ยทส่ี ดุ กไ็ ดพ้ วกเขาเหลา่ นนั้ มา (27:20-25)

วงเลบ็ นอกสุดทล่ี อ้ มรอบทงั้ หมด รวมถงึ แก่นกลางดว้ ย มพี ระเยซูเจา้ เป็นสว่ นเตมิ เตม็ กษตั รยิ ผ์ ใู้ หน้ ิยาม
ใหม่แก่ความเป็นกษตั รยิ ์ เสน้ ทบ่ี ่งชส้ี ว่ นทส่ี มั พนั ธก์ นั ไม่ไดม้ วี ตั ถุประสงคเ์ ป็ นการจะแยกสว่ นเหล่าน้ีออกจากกนั
ราวกบั ว่าสว่ นเหล่าน้ีไม่ต่อเน่ืองกนั เช่นเดยี วกบั แผนภูมทิ แ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่าสว่ นทห่ี น่ึงต่างกบั ส่วนทส่ี อง และเป็น
คนละส่วนกนั (รปู 3) ไมไ่ ดม้ วี ตั ถุประสงคท์ จ่ี ะแบ่งครง่ึ พระวรสารออกเป็นสองส่วนทไ่ี ม่ต่อเน่ืองกนั พระวรสารน้ี
เป็นเร่อื งเล่าท่มี คี วามต่อเน่ืองกนั ทงั้ หมด โดยในพระวรสารน้ีแต่ละส่วนกต็ ่อยอดส่วนท่มี าก่อนหน้าและเตรยี ม
ทางใหส้ ว่ นต่อมาอกี ดว้ ย โดยเฉพาะสว่ นทห่ี น่ึงของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ทแ่ี สดงถงึ ความคดิ สรา้ งสรรค์ สว่ นน้ี
ไม่ไดข้ าดความตอ่ เน่อื งกนั กบั สว่ นทส่ี อง แต่เตรยี มผอู้ ่านเพอ่ื นาเขา้ สสู่ ว่ นทส่ี อง

36

ในกรอบน้ี พระเยซูเจา้ เองในฐานะกษตั รยิ ผ์ เู้ ป็นพระเมสสยิ าหเ์ ป็นแกนกลาง พระองคไ์ ม่ไดเ้ ตมิ เตม็ แต่
เพยี งส่วน 4:23-9:35 ซ่งึ เป็นส่วนแกนกลางอนั เป็นจุดหมุนเท่านัน้ แต่ยงั เตมิ เตม็ หน่วยท่เี ป็นจุดเรมิ่ ต้นและบนั้
ปลายซง่ึ ขนาบลอ้ มส่วนน้ีทงั้ หมดดว้ ย (A, A’) โปรดสงั เกตว่าทส่ี ุดแลว้ ความขดั แยง้ ไม่ไดเ้ ป็นเพยี งความขดั แยง้
ระหว่างพระเยซูเจา้ และผูน้ าชาวยวิ เท่านัน้ เร่อื งเล่าดาเนินไปโดยเป็นส่วนทเ่ี ป็นเร่อื งราวบนโลก เร่อื งราวทาง
ประวตั ศิ าสตร์และเร่อื งราวแห่งจกั รวาล (ดูคาอธบิ ายสาหรบั 4:1-11; 12:22-32; 13:36-39) ขอ้ ขดั แย้งท่เี ป็นของโลกน้ีเป็น
เน้ือหาของเร่อื งเล่ามฉี ากหลงั เป็นจกั รวาล เป็นตานานและช้ไี ปไกลกว่าตวั เอง ดงั นัน้ พระเป็นเจ้าจงึ ทรงเป็น
ผูก้ ระทาการท่ซี ่อนเรน้ อยู่ตลอดเร่อื ง และซาตานก็เป็นปฏปิ ักษ์ท่ซี ่อนเรน้ อยู่เช่นกนั ผูเ้ ขยี นสานขอ้ ขดั แยง้ กบั
ซาตานเขา้ มาในทงั้ โครงสร้างเป็นสาระทอ่ี ย่ใู ตเ้ ร่อื ง (เรอ่ื งราวการขบั ผ)ี ดงั นัน้ จงึ ไม่อาจกล่าวไดว้ ่าขอ้ ขดั แยง้ น้ีมอี ยู่
แต่เพยี งในส่วน “การประจญ” (4:1-11) ซ่งึ เป็นเพยี งหน่ึงเหตุการณ์เดยี วในทงั้ หมด ไม่ใช่จุดเปล่ยี นสาคญั ในเคา้
โครง คากล่าวหาเร่อื งการสมรรู้ ่วมคดิ กนั กบั เบเอลเซบูล ใน 9:32-34 และ 10:25 รกั ษาคากล่าวหาใหค้ งชวี ติ อยู่
ในมุมทด่ี ูขดั ๆ และเตรยี มผอู้ ่านสาหรบั การเขา้ มาเช่อื มกนั กบั เร่อื งเล่าของนักบุญมาระโกอกี ครงั้ ท่ี 12:22 (= มก.
3:22) ดว้ ยการกล่าวถงึ ความขดั แยง้ กบั อสิ ราเอล ตอนน้ีผอู้ า่ นกร็ แู้ ลว้ ว่าซาตาน แมว้ ่าจะพา่ ยแพต้ ่อพระเยซูเจา้ ไป
แลว้ แตย่ งั คงอยใู่ นฉากหลงั ของความขดั แยง้ น้ี ผอู้ า่ นแต่ดงั้ เดมิ รไู้ ดจ้ ากประสบการณ์ของตนเองวา่ ความขดั แยง้ น้ี
ดาเนนิ ไปตลอดเรอ่ื งเลา่ และดาเนินมาจนถงึ ยคุ สมยั ของผอู้ า่ นดว้ ย กระทงั่ ในหมสู่ าวกของพระเยซูเจา้ เอง (16:23)

รปู ภาพท่ี 3: โครงสรา้ งของพระวรสารนักบญุ มทั ธิว

Part I: 1:1 – 12:21 Part TWO: 12:22 – 28:20
Messiah:

Jewish Leaders

John the Baptist

Disciples

1.1 2.1 3.1 4.1 Messiah 9.39 – 11.2 – 11.2 12.

- 25 – – 8 – 4.23 – 11.1 19 0 – 15 -

23 4.1 22 9.35 12.1 21

7 Messia 4
In WORhD
IN DEED

1 2 3 4 5 6 7 8 9 1 11 12 1 1 1 1 1 1 1 2 2 2 2 2 2 2 2 28
345678901234567
0

Sermon on Miracle Judgment DiscourseConflictNewConflict &Passion &
the Mount Community Discoursecommunity &Polarization Resurrection

Parablescontinuing
conflict
Missionary Discourse

โครงสรา้ งของส่วนทส่ี อง “ความขดั แยง้ ของอาณาจกั รดาเนินไปและคลค่ี ลาย” เร่อื งเล่าน้ีดาเนินต่อจาก
เร่อื งราวของพระวรสารนักบุญมาระโกท่ี 12:22 (= มก. 3:22) และความขดั แยง้ ยงั ดาเนินต่อไป พระศาสนจกั รของ
นกั บุญมทั ธวิ ซง่ึ เป็นผฟู้ ัง/ผอู้ ่านแต่เดมิ ของพระวรสารมาระโกและแหล่ง Q มาถงึ ตอนน้ีกไ็ ดก้ รอบใหม่ในการจะ
ตคี วามธรรมประเพณีศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องตนเองแลว้ นับตงั้ แต่ 12:22 เป็นตน้ ไป ส่วนทเ่ี ป็นบรรยายโวหารกเ็ พยี งแค่
ดาเนินตามเคา้ โครงและลาดบั ของนักบุญมาระโกเท่านัน้ เอง นักบุญมทั ธวิ เอาตราประทบั ของตนเองมาประทบั
เรอ่ื งราวน้ีโดยสอดแทรกธรรมประเพณีและการประพนั ธข์ องท่านเองเขา้ ไปในสว่ นทเ่ี ป็นบรรยายโวหารและโดย
การพฒั นาพระวรสารเทศนาในพระวรสารนักบุญมาระโกใหก้ ลายมาเป็นหน่วยการประพนั ธห์ ลกั ๆ ทส่ี อดรบั กบั

37

คาเทศนาบนภูเขาและวาทกรรมเกย่ี วกบั พนั ธกจิ ในสว่ นทห่ี น่ึง ชุดของพระวรสารเทศนาหา้ ครงั้ ทไ่ี ดจ้ งึ ประกอบ
กนั เป็นโครงสรา้ งทน่ี าสว่ นทห่ี น่งึ และสว่ นทส่ี องมาประสานไวด้ ว้ ยกนั

โครงสรา้ งของพระวรสารจงึ อาจมองไดว้ า่ เป็นอย่าง รปู ภาพท่ี 3

พระวรสารนักบญุ มทั ธิวในทศั นะทางเทววิทยา
พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นเอกสารทางเทววทิ ยา สาระของพระวรสารน้ีคอื การชว่ ยกใู้ หร้ อดของพระเป็น

เจา้ โดยทางพระครสิ ต์ โดยมพี ระเยซูเจา้ ปรากฏอย่ใู นแทบจะทุกฉาก ดงั นนั้ ขณะท่ีพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ อาจจะ
ใชเ้ ป็นแหล่งรวบรวมขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละสงั คมวทิ ยาเกย่ี วกบั ศาสนายดู ายและศาสนาครสิ ตใ์ นชว่ งแรกๆ
ไดด้ ว้ ย พระวรสารน้ีในตวั เองแลว้ กเ็ ป็นเอกสารทต่ี อ้ งทาความเขา้ ใจในเชงิ เทววทิ ยาดว้ ย ซ่ึงกห็ มายความว่า ใน
เบอ้ื งตน้ เราตอ้ งพยายามเขา้ ใจพระวรสารในหมวดทางเทววทิ ยาของท่านนักบุญมทั ธวิ พระเป็นเจา้ อาณาจกั ร
พระเป็นเจา้ (ตรงกนั ขา้ มกบั อาณาจกั รของซาตาน) ครสิ ตศาสตร์ ศาสนจกั ร ประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นจรงิ ตามพระสญั ญา
และอวสานศาสตร์ จรยิ ศาสตร์ กฎหมาย และความเป็นศษิ ย์ น่ีเป็นประเดน็ ทางเทววทิ ยาขนั้ พน้ื ฐานอย่างท่สี ุด
ซ่ึงจาเป็นกระทงั่ ในการบรรยายพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ในเชงิ ประวตั ิศาสตร์ สาหรบั ผู้ตคี วามร่วมสมยั ท่อี ่าน
พระวรสารในลักษณะเป็ นพระคัมภีร์ในสารบบ การตีความทางเทววิทยายังเก่ียวข้องกับงานทางการ
ตคี วามหมาย(อรรถปรวิ รรตศาสตร)์ ในการแปลขอ้ ยนื ยนั ทางเทววทิ ยาในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เป็นหมวดหม่ทู ่ี
มคี วามหมายตอ่ ยคุ สมยั ของตนเองดว้ ย

แม้ว่าแต่เริ่มเดิมทีพระวรสารจะไม่ได้เขียนข้ึนมาเพ่ือเป็ นสารถึงเรา ในอีกแง่หน่ึง ซ่ึงเป็ นแง่ท่ี
สมเหตุสมผลพอกนั ทจ่ี ะกล่าวไดอ้ ย่างเป็นความจรงิ ทส่ี าคญั วา่ พระวรสารเขยี นขน้ึ มาเพอ่ื เรา พระวรสารทงั้ หมด
เป็นสงิ่ ทก่ี ล่าวต่อพระศาสนจกั รเพอ่ื จะชว่ ยชุมชนชาวครสิ ต์ในการทาความเขา้ ใจ ใหค้ วามกระจ่าง และรว่ มแสดง
ศรทั ธาของชุมชนในพระเยซูเจา้ ในฐานะพระครสิ ต์ พระศาสนจกั รร่วมสมยั มลี กั ษณะ ร่วมในทางประวตั ศิ าสตร์
องค์ประกอบ และเทววทิ ยากบั ชุมชนชาวครสิ ต์ซ่งึ เป็นผู้รบั สารตามเจตนาของพระวรสารแต่ดงั้ เดมิ ชวี ติ ของ
พระศาสนจกั รตลอดชว่ งเวลาหลายศตวรรษเป็นความเชอ่ื มโยงทางเทววทิ ยาทม่ี ชี วี ติ ซง่ึ โดยผา่ นความเชอ่ื มโยงน้ี
การสง่ ต่อพระวรสารกด็ าเนินไปและการตคี วามพระวรสารใหม่กม็ ขี น้ึ อยเู่ สมอตลอดจนถงึ ทุกวนั น้ี ขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่
พระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหมเ่ ป็นหนงั สอื ของพระศาสนจกั รนนั้ หมายความวา่ งานเรอ่ื งการตคี วาม ซง่ึ ไดม้ มี าอยู่
แลว้ ในการประพนั ธพ์ ระวรสารยงั คงมตี ่อไปอกี ในสว่ นของงานดา้ นอรรถปรวิ รรตศาสตรใ์ นการทาใหส้ ารทางเทว
วทิ ยาของพระวรสารเป็นท่ีเข้าใจได้ในบรบิ ททางเวลาและสถานท่ี ก่อนอ่ืนต้องฟังสารดงั้ เดิมในบรบิ ทและ
หมวดหมู่ของสารนัน้ ท่เี ป็นการกล่าวถึงพระวาจาพระเป็นเจ้าอย่างมชี วี ติ ต่อเรา จงึ ต้องแปลสารให้เขา้ มาอยู่
หมวดเทววทิ ยาร่วมสมยั ผแู้ ปลไม่ไดม้ หี น้าทเ่ี พยี งแค่เปิดเผยเทววทิ ยาของผเู้ ขยี นโบราณออกมาในถอ้ ยคาของ
ท่านเองเท่านนั้ แต่ยงั มหี น้าทท่ี าใหค้ นสามารถฟังเทววทิ ยานนั้ ในบรบิ ทภาษารว่ มสมยั ไดด้ ว้ ย คาอธบิ ายสาหรบั
ตวั บททร่ี วมอยใู่ นพระคมั ภรี แ์ ละการประกอบสรา้ งขอ้ ความทก่ี ล่าวถงึ เทววทิ ยาของพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ อย่าง
เป็นระบบเป็นคนละงานกนั ณ ทน่ี ้ีจะไม่มกี ารพยายามสรุปเทววทิ ยาของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ซ่งึ ได้บูรณา
การเขา้ มาในเร่อื งเล่าของท่านและมกี ารขยายความในคาอธบิ ายทพ่ี ยายามจะช่วยผอู้ ่านสมยั ใหม่ในการตคี วาม
ตวั บทโบราณน้โี ดยคานึงถงึ การแปลตวั บทน้อี อกมาในความหมายรว่ มสมยั

38

การศกึ ษาพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เชงิ ประวตั ศิ าสตรเ์ ป็นพนั ธมติ รในงานน้ี นักบุญมทั ธวิ เองเป็นผตู้ คี วาม
โดยยนื อย่ทู ่ามกลางกระแสอนั มชี วี ติ ของธรรมประเพณี ตคี วามหมายของพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาเดมิ เขา้ ใน
สถานการณ์ใหม่โดยมองย้อนกลบั ไปยงั การเสดจ็ มาของพระครสิ ต์ พระราชกจิ การถูกตรงึ การเขน และการ
กลบั คนื พระชนมช์ พี ของพระองค์ ทส่ี าคญั นักบุญมทั ธวิ ยนื อยใู่ นกระแสการตคี วามครสิ ตศาสนา ตคี วามหนังสอื
ตวั บทศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องธรรมประเพณีทางครสิ ตศาสนาทผ่ี คู้ นใหค้ วามเคารพกนั ในศาสนจกั รของทา่ น (กล่าวคอื แหล่ง Q
และมาระโก) และธรรมประเพณี M อนั เป็นเอกลกั ษณ์ของชุมชนนักบุญมทั ธวิ การตคี วามของนักบุญมทั ธวิ เองท่มี ี
แสดงไวใ้ นพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ จงึ ไดเ้ ขา้ ไปในกระแสทม่ี ชี วี ติ และไดเ้ ป็นสง่ิ ทม่ี กี ารตคี วามกนั ในพระศาสนจกั ร
มาเป็นเวลาสบิ เกา้ ศตวรรษ ผตู้ คี วามร่วมสมยั ยนื อย่กู บั นักบุญมทั ธวิ ในกระแสท่ีไหลสบื เน่ืองไปขา้ งหน้าน้ี เป็น
ทายาทของพระคมั ภีร์ของนักบุญมทั ธวิ และธรรมประเพณีทางครสิ ตศาสนาของท่าน (แหล่ง Q, มาระโก, แหล่ง M)
พระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เอง และการตคี วามทงั้ หมดน้ีโดยสบื เน่ืองไปของพระศาสนจกั ร นกั บุญมทั ธวิ ไมไ่ ด้เป็นผู้
ทเ่ี ราจะตคี วามกนั (วตั ถุทถ่ี ูกกระทาฝ่ายเดยี ว)อย่างไรกไ็ ด้ ท่านเป็นผรู้ ่วมตคี วามทไ่ี ม่เพยี งแต่พูดกบั เราเท่านัน้
แต่ยงั พดู รว่ มสมยั กบั เราดว้ ย

โครงรา่ งของพระวรสารนักบญุ มทั ธิว

The Promised Messiah
I. มทั ธวิ 1:1 – 12:21 ความหมายและจุดเรมิ่ ตน้ ของความขดั แยง้ ระหวา่ งอาณาจกั ร บทนา

A. 1:1, ชอ่ื ของหนงั สอื พระวรสาร

B. 1:2-25 พระเยซเู จา้ ในฐานะกษตั รยิ ผ์ มู้ าชว่ ยใหร้ อด บตุ รแหง่ ดาวดิ และบตุ รของพระเป็นเจา้

1:2 – 17 สรปุ ลาดบั วงศต์ ระกลู

1:18 – 25 ความนบนอบเชอ่ื ฟังของโยเซฟ

C. 2:1-23 ความขดั แยง้ กบั อาณาจกั รของยคุ สมยั นนั้

2:1-12 ความเป็นปรปักษก์ บั ชาวยวิ และการเคารพบชู าของชนนอกศาสนา

2:13-23 ลภ้ี ยั ไปอยี ปิ ตแ์ ละคาทานายเป็นจรงิ ทน่ี าซาเรธ็

D. 3:1-4:17 พระเยซเู จา้ และความเกย่ี วขอ้ งกบั ยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง เล่ม 1

3:1-12 ยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง

3:13-17 พระเยซเู จา้ ทรงรบั พธิ ลี า้ ง

4:1-11 การผจญล่อลวง

4:12-17 จุดเรมิ่ ตน้ ของพนั ธกจิ เผยแพรธ่ รรม

E. 4:18-22 การรวบรวมเหลา่ สาวก กอ่ นการประกาศขา่ วดี

F. 4:23-9:35 อานาจขององคพ์ ระผชู้ ว่ ยใหร้ อด

4:23 – 7:29 การเทศนาบนภเู ขา

4:23 – 7:29 สถานทใ่ี นการเทศนา

4:23–5:2, สภาพพน้ื หลงั ของบทเทศน์

Messiah in Word พระเมสสยิ าหด์ า้ นคาพดู

5:3-16, ศษิ ยใ์ นฐานะเป็นชุมชนแหง่ อนั ตกาล

5:3-12, ความสขุ แทจ้ รงิ

5:13, ศษิ ยเ์ ป็นดงั เกลอื

39

5:14-16, ศษิ ยเ์ ป็นดงั แสงสวา่ งและเมอื งทอ่ี ยบู่ นเนินเขา

5:17–7:12, ชวี ติ ในชุมชนแหง่ อวสานตกาล

5:17-48, ธรรมบญั ญตั ิ

6:1-18, การถวายเครอ่ื งบูชา

6:19–7:12, คาสงั่ สอนเร่อื งความชอบธรรมแทจ้ รงิ

7:13-27, คาเตอื นเรอ่ื งอวสานตกาล 3 เร่อื ง

7:13-14, หนทาง 2 แพรง่

7:15-23, การเกบ็ เกย่ี ว 2 แบบ

7:24-27, ผกู้ อ่ สรา้ ง 2 คน

7:28-29, บทสรุปเรอ่ื งคาเทศน์

Messiah in Deeds พระเมสสยิ าหด์ า้ นกจิ การ เล่ม 2

8:1–9:34, อศั จรรยแ์ ละความเป็นศษิ ย์

8:1-17, ภารกจิ ของพระครสิ ตใ์ นอานาจเหนือผยู้ ากไรแ้ ละถูกทอดทง้ิ

8:1-4, พระครสิ ตเจา้ ทรงรกั ษาคนมอื ลบี

8:5-13, พระครสิ ตเจา้ ทรงรกั ษาบุตร/คนรบั ใชข้ องขา้ ราชการโรมนั

8:14-17, พระครสิ ตท์ รงรกั ษาหญงิ เจบ็ ป่วย และคนอน่ื ๆ

8:18–9:17, ภารกจิ ทรงอานาจในการสรา้ งคณะศษิ ย์

8:18-27, พระครสิ ตเจา้ ทรงบงั คบั ลมพายุ

8:28-34, พระครสิ ตเจา้ ทรงเสดจ็ ขา้ มฟากไปดนิ แดนกนั ดารา

9:1-17, พระครสิ ตเจา้ ทรงเรยี กมทั ธวิ

9:18-34, อานาจของพระครสิ ตป์ ลุกความเชอ่ื และผไู้ มเ่ ชอ่ื

9:18-26, พระครสิ ตเจา้ ชนะความเจบ็ ไขแ้ ละความตาย

9:27-31, พระครสิ ตเจา้ ทรงรกั ษาคนตาบอด

9:32-34, พระครสิ ตเจา้ ทรงรกั ษาคนใบแ้ ละ คนถูกปีศาจสงิ

9:35, บทสรุป การเทศน์สอนและรกั ษา ฝงู ชนและความเมตตาสงสาร

G. 9:36–10:42, การสง่ ศษิ ยอ์ อกไปประกาศขา่ วดี และการมอบอานาจ

9:36-38, ฝงู ชนผหู้ วิ โหย และพระทยั เมตตาสงสาร การประกาศขา่ วดี

10:1-5a, ศษิ ยแ์ ละอคั รสาวก

10:5b-42, วาทกรรมเรอ่ื งการสง่ ออกไป

10:5b-15, อธบิ ายพระอานาจแหง่ พระครสิ ต์

10:16-23, ชะตากรรมของบรรดาศษิ ย์

10:24-33, ทรงเรยี กใหก้ ลบั ใจคนื ดี

10:34-39, คณุ คา่ แหง่ การเป็นศษิ ย์

10:40-42, เผยแสดงการประทบั อยขู่ องพระครสิ ต์ การเป็นศษิ ยข์ องพระเยซเู จา้

Jesus as New Torah

H. 11:1-19, ภารกจิ ของพระเยซูเจา้ กบั ยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง เล่ม 3

11:1, บทสรปุ พระเยซเู จา้ ทรงจากไป

11:2-6, พระเยซูเจา้ คอื ใคร? พระเมสสยิ าหค์ อื พระเยซูเจา้

11:7-15, ยอหน์ คอื ใคร?

40

11:16-19, กระแสเรยี กของคนยคุ น้ี

I. 11:20–12:14, ความขดั แยง้ กบั อาณาจกั รของยคุ น้ี

11:20-24, หายนะ 2 ประการของเมอื งกาลลิ ี

11:25-30, คาภาวนา คาประกาศและคาเชญิ ของพระเยซูเจา้

12:1-14, ทรงเป็นนายเหนอื วนั สบั บาโต

J. 12:15-21, กษตั รยิ ผ์ รู้ บั ใช้

II. Matthew 12:22–25:46, ขอ้ ขดั แยง้ ของอาณาจกั ร คาสอนเรอ่ื งพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้

A. 12:22-50, ขอ้ ขดั แยง้ การตดั สนิ ใจและการรวมของชุมชนแท้

12:22-37, ขอ้ ขดั แยง้ ระหวา่ งอาณาจกั รและความจาเป็นทต่ี อ้ งตดั สนิ ใจเลอื ก

12:38 – 45 ประเดน็ ชข้ี าด: การฟ้ืนคนื พระชนมช์ พี ของพระเยซเู จา้

12:46 – 50 ชมุ ชนใหมข่ องเหลา่ สาวก

Jesus as New Moses

B. 13:1-52 ทรงตรสั เป็นอุปมา คาสอนแบบอปุ มา เรอ่ื งจากธรรมชาติ

13:1-23 โครงสรา้ งอปุ มาทม่ี กี ารปรบั และตคี วามตามพระวรสารนกั บญุ มาระโก

13:24-43 สามอุปมาเพม่ิ เตมิ ตามรปู แบบพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ

13:44-52 สามอปุ มาเพม่ิ เตมิ ในพระวรสารนกั บุญมาระโกฉบบั ปรบั เปลย่ี น

C. 13-53 – 17:27 การก่อตวั ของชุมชนใหมท่ ่ามกลางความขดั แยง้ ทย่ี งั ดาเนินต่อไป

13-53 – 16:12 การต่อตา้ นชมุ ชนเก่า

13-53 – 58 พระเยซเู จา้ ทรงถกู ปฏเิ สธในเมอื งนาซาเรธ็

14: 1-12 ความตายของยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง เลม่ 4

14: 13-21 ทรงรกั ษาคนป่วยและเลย้ี งดฝู งู ชน ภารกจิ ของพระเมสสยิ าห์

14: 22-36 ทรงเดนิ บนน้าและทรงรกั ษาคนป่วย

15:1-20 ความเป็นมลทนิ : ธรรมประเพณีความเชอ่ื และความจรงิ

15:21-28 สตรชี าวซเี รยี -ฟินเิ ซยี (ชาวคานาอนั )

15:1-20 ทรงรกั ษาคนป่วยและเลย้ี งดฝู งู ชน

16:1-12 ฟารสิ แี ละสะดุสแี สวงหาเครอ่ื งหมายจากทอ้ งฟ้า

16:13-28 คาประกาศยอมรบั ของสาวกและชมุ ชนใหม่

16:13-20 พระเยซเู จา้ ในฐานะบตุ รของพระเป็นเจา้ เปโตรในฐานะหนิ ศลิ า อาณาจกั รพระเป็นเจา้ บนแผน่ ดนิ

16:21-23 พระเยซเู จา้ ในฐานะบตุ รของพระเป็นเจา้ ผทู้ รงรบั ทุกขท์ รมานและเปโตรในฐานะหนิ สะดุด

16:24-28 สงิ่ ทต่ี อ้ งเสยี และสง่ิ ทจ่ี ะไดร้ บั จากการเป็นสาวก

17:1-27 การประกาศยอมรบั ของพระผเู้ ป็นเจา้ และชมุ ชนใหม่

17:1-13 การประกาศยอมรบั ของพระผเู้ ป็นเจา้ และการตอบรบั ของพระเยซเู จา้

17:14-20 ความเป็นสาวกและศรทั ธาทเ่ี คล่อื นภเู ขา

17:22-23 ทรงทานายเกย่ี วกบั พระมหาทรมานครงั้ ทส่ี อง

17:24-27 การจ่ายภาษพี ระวหิ าร

D.18:1-35 ใชช้ วี ติ รว่ มกนั

18:1-14 การเหน็ แก่ “คนเลก็ ๆ”

18:15-35 การฝึกวนิ ยั และการใหอ้ ภยั

18:15-20 วนิ ยั ของพระศาสนจกั รและการปรากฏของพระครสิ ต์

41

18:21-22 “การใหอ้ ภยั ” โดยปราศจากพระหรรษทาน คาสอนแบบอปุ มา เรอ่ื งจากชวี ติ
18:23-35 พระหรรษทานอนั ลกึ ลา้ เกนิ ความเขา้ ใจ
Jesus as the Son of God
E.19:1-22:46 ความขดั แยง้ และการแยกออกเป็นสองขวั้ ในตอนทา้ ย เลม่ 5
19:1-20:34 ทรงสอนบรรดาสาวกระหวา่ งทางไปสพู่ ระมหาทรมาน
19:1-12 การหยา่ รา้ ง การสมรสใหม่ และการครองตวั เป็นโสด
19:13-15 เดก็ ๆ ในชุมชนใหม่
19:16-20:16 คนหนุ่มสาวทป่ี ระสบความสาเรจ็ และชุมชนใหม่
19:17-19 ทรงทานายถงึ พระมหาทรมานครงั้ ทส่ี าม
20:20-28 ความเขา้ ใจผดิ ของเหล่าสาวก
20:29-34 คนตาบอดไดร้ บั การรกั ษาใหห้ าย
21:1-22:46 เยรซู าเลม็ : การเผชญิ หน้าครงั้ สดุ ทา้ ย
21:1-11 การเสดจ็ เขา้ เมอื งอย่างน่าประทบั ใจ: ทรงถ่อมตนอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั
21:12-17 การเผชญิ หน้า/การขดั ขวางในพระวหิ าร
21:18-22 ทรงทาใหต้ น้ ไมท้ ไ่ี มอ่ อกผลแหง้ เหย่ี ว
21:23-22:46 ประเดน็ เรอ่ื งอานาจ
21:23-27 การทา้ ทายอานาจของพระเยซูครสิ ต์
21:28-32 บตุ รชายสองคน
21:33-46 สวนองนุ่ ของพระเป็นเจา้ ถกู ยกใหก้ บั ผอู้ ่นื
22:1-14 งานววิ าหม์ งคล
22:15-22 การจา่ ยภาษใี หพ้ ระจกั รพรรดิ
22:23-33 คาถามเกย่ี วกบั การฟ้ืนคนื พระชนมช์ พี
22:34-40 พระมหาบญั ญตั ิ
22:41-46 คาถามเกย่ี วกบั บุตรของดาวดิ
F. 23:1-25:46 คาสอนเรอ่ื งวนั พพิ ากษา
23:1-39 การพพิ ากษาในปัจจบุ นั : ทรงสอนฝงู ชนและบรรดาศษิ ย์
23:1-12 คาเตอื น
23:13-36 ความเศรา้ โศก
23:37-39 การคร่าครวญ
24:1-25:46 การพพิ ากษาทก่ี าลงั จะมาถงึ : ทรงสอนบรรดาศษิ ย์
24:1-3 คาทานายของพระเยซูเจา้ คาถามของศษิ ย์
24:4-31 วนั สน้ิ โลกขนาดเลก็
24:32-25:46 คาอุปมาและคาเตอื น
24:32-35 ตน้ มะเด่อื
24:36-42 ยคุ สมยั ของโนอาห์
24:43-44 หวั ขโมย
24:45-51 ผรู้ บั ใชท้ ด่ี ี ผรู้ บั ใชท้ เ่ี ลว
25:1-13 เจา้ สาว
25:14-30 พรสวรรค์

42

25:31-46 การพพิ ากษาครงั้ สดุ ทา้ ย

III. Matthew 26:1 – 28:20, ภาวะสน้ิ สุดของขดั แยง้ ของอาณาจกั ร และชยั ชนะแหง่ การไถ่กู้ ปัจฉมิ บท

การสน้ิ สดุ ของบาปและการสรา้ งใหม่ นาความรอดสมู่ นุษยใ์ นพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้

Jesus as the Suffering Servant. ผรู้ บั ใชท้ ร่ี บั ทุกข์

G. 26:1-28:20 พระมหาทรมานและการฟ้ืนคนื พระชนมช์ พี ของพระเยซเู จา้

26:1-16 แผนการและการอุทศิ ตนอยา่ งสดุ ชวี ติ

26:1-2 พระเยซเู จา้ ทรงประกาศพระมหาทรมาน

26:6-13 หญงิ สาวผมู้ ปี ัญญาชโลมน้ามนั หอมพระเยซูเจา้ เพอ่ื เตรยี มฝังพระศพ

26:14-16 ยดู าสตกลงใจทจ่ี ะทรยศพระเยซูเจา้

26:17-30a ปัสกา/อาหารค่ามอ้ื สดุ ทา้ ย

26:17-19 บรรดาสาวกตระเตรยี มปัสกา

26:17-30a พระเยซทู รงทานายการทรยศและทรงเรม่ิ ตน้ การตงั้ ศลี มหาสนิท

26:30b-56 ทรงถูกทอดทง้ิ ทรยศ และถูกจบั กมุ

26:30b-35 พระเยซูเจา้ ทรงทานายถงึ การจากไปและสญั ญาวา่ จะกลบั มา

26:30b-56 พระเยซเู จา้ ทรงสวดภาวนาและถูกจบั กมุ

26:57-27:1 การพจิ ารณาคดโี ดยชาวยวิ : พระเยซูเจา้ ทรงยอมรบั สง่ิ ทพ่ี ระองคเ์ ป็นและการปฏเิ สธของเปโตร

27:2-31a การพจิ ารณาคดโี ดยชาวโรมนั : พระเยซเู จา้ ทรงถกู กล่าวโทษและเยาะเยย้

27:2 พระเยซเู จา้ ทรงถกู สง่ ตวั ไปใหป้ ิลาต

27:3-10 ยดู าสไมอ่ าจกลบั คนื ส่สู ภาพเดมิ และฆา่ ตวั ตาย

27:11-25 พระเยซเู จา้ ทรงถกู กล่าวโทษ

27:26-31a กษตั รยิ ท์ แ่ี ทจ้ รงิ ทรงถูกเยาะเยย้

27:31b-66 การตรงึ การเขนและการฝัง

27:31b-66 ซโี มนถกู บงั คบั ใหช้ ว่ ยพระเยซูเจา้ แบกกางเขน

27:33-56 พระเยซเู จา้ ทรงถูกตรงึ กางเขน

27:57-61 พระเยซเู จา้ ทรงถกู ฝัง

27:62-66 หลุมฝังพระศพของพระเยซูเจา้ ถกู ผนกึ และมที หารยามเฝ้า

The Glory of God and the Kingdom พระสริ ริ ุง่ โรจน์ของพระเป็นเจา้

28:1-20 การฟ้ืนคนื พระชนมช์ พี ของพระเยซูเจา้

28:1-7 นางมารยี ส์ องคนพบวา่ หลุมฝังพระศพวา่ งเปลา่

28:8-10 นางมารยี ส์ องคนพบพระเยซูเจา้ ผซู้ ง่ึ กลบั เป็นขน้ึ มาแลว้

28:11-15 การตดิ สนิ บนทหารยาม

The Fulfillment of God (fulfilling & to be fulfilled) การเสรมิ สรา้ งและขยาย

พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้

28:16-20 พระมหาบญั ชา

43

44


Click to View FlipBook Version