The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตรวจงานแปลมัทธิว 19

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by P. Tads, 2021-06-07 09:49:54

19. มัทธิว 19:1-22:46

ตรวจงานแปลมัทธิว 19

มทั ธวิ 19:1-22:46 ความขดั แยง้ การแยกเป็นสองขวั้ กบั อาณาจกั รสวรรคอ์ ยใู่ กลแ้ ลว้ ในทา้ ยทส่ี ดุ

ภาพรวม
ในท่นี ้ี นักบุญมทั ธวิ เปล่ยี นวาทกรรมเป็นบทบรรยายเร่อื ง แต่แนวคดิ จากส่วนก่อนยงั คงดาเนินต่อไป

กล่าวคอื ความหมายของการใชช้ วี ติ ร่วมกนั ในสงั คมชาวครสิ ต์ ซง่ึ แตกต่างอย่างชดั เจนจากชุมชนและค่านิยมท่ี
ท่านมองว่าเป็นตวั แทนของฝ่ ายตรงขา้ ม หน่วยท่เี ป็นบทบรรยายเร่อื งน้ีแยกออกเป็นสองส่วนหลัก “การสอน
บรรดาศษิ ย์ระหว่างทางไปส่พู ระมหาทรมาน” (19:1-20:34) และ “เยรซู าเลม็ : การเผชญิ หน้าครงั้ สุดทา้ ย (21:1-22:46)
บทบรรยายเร่อื งน้ีจงึ มเี น้ือหายาวไปจนถงึ วาทกรรมหลกั สว่ นถดั ไป (ดบู ทนา) ตลอดทงั้ สว่ นน้ีนักบุญมทั ธวิ ทาตาม
โครงบทบรรยายเรอ่ื งของพระวรสารนกั บุญมาระโกอย่างไม่ผดิ เพย้ี น แลว้ เตมิ คาพดู ของพระเยซูเจา้ จากเอกสาร
แหลง่ Q และ M ลงไปโดยไมท่ าใหก้ ระทบกบั ลาดบั เรอ่ื งทม่ี าจากพระวรสารนกั บญุ มาระโก

ในระดบั หน่งึ โครงเรอ่ื งของพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ มคี วามเป็นภมู ศิ าสตร์ (ดบู ทนา) การเคล่อื นทใ่ี นบทท่ี 1
และ 2 เรม่ิ จากแควน้ ยเู ดยี ซง่ึ เป็นบา้ นเกดิ ของพระเยซูเจา้ ไปจนถงึ “ดนิ แดนผถู้ ูกเนรเทศ” ทแ่ี ควน้ กาลลิ ขี องชน
ต่างศาสนา บรเิ วณนนั้ เองทพ่ี ระองคท์ รงเรยี กบรรดาศษิ ยใ์ หต้ ดิ ตามและทรงกระทาพนั ธกจิ (3:1-18:35) 19:1 คอื จุด
ทก่ี ารเคล่อื นไปสู่พระมหาทรมานไดเ้ รม่ิ ตน้ ขน้ึ พระเยซูเจา้ เสดจ็ กลบั ไปท่แี ควน้ ยูเดยี เป็นครงั้ แรกนับจาก 4:12
(19:1-28:15) จากนัน้ เร่อื งราวได้เคล่อื นกลบั ไปท่ีแควน้ กาลลิ เี พ่อื มอบหมายพนั ธกจิ การประกาศพระวรสารไปทวั่
โลก (28:16-20)

ส่วนย่อยตอนแรกท่ีเป็นบทบรรยายเร่อื งคอื 19:1-20:34 คงดาเนินต่อไปด้วยแนวคดิ เร่อื งชุมชนชาว
ครสิ ตใ์ นฐานะครอบครวั ทแ่ี ทจ้ รงิ ของพระเป็นเจา้ (ดู ตงั้ แต่ 12:46-50 เป็นตน้ ไป) ดว้ ยผลงานการขยายและปรบั เปลย่ี น
เน้อื หาจากแหล่งขอ้ มลู ของท่านอย่างมศี ลิ ปะ นกั บุญมทั ธวิ ไดป้ รบั ใหบ้ ทบรรยายเรอ่ื งจากพระวรสารนกั บุญมาระ-
โกใหส้ ว่ นเช่อื มต่อทงั้ หมดระหว่างแควน้ กาลลิ กี บั กรุงเยรูซาเลม็ (19:1-20:34) กลายเป็นการอบรมสอนบรรดาศษิ ย์
เกย่ี วกบั ชวี ติ ทแ่ี ตกต่างไปอย่างสน้ิ เชงิ ซง่ึ พวกเขาถูกเรยี กใหม้ าอย่รู ว่ มกนั ในชุมชนชาวครสิ ต์ คาสอนทงั้ หมดใน
19:1-20:34 เป็นการสอนบรรดาศษิ ยโ์ ดยตรง ยกเวน้ 19:3-9, 16:22 ซง่ึ กลายมาเป็นคาสงั่ สอนศษิ ยจ์ ากการเตมิ
19:10-12, 23-26 แม้แต่คาคดั ค้านของพระเยซูเจ้าก็ไม่ได้มาจากผู้ท่ีต่อต้านหรอื ผู้ท่ีสงั เกตการณ์ แต่มาจาก
บรรดาศษิ ย์ (19:10, 13, 25; 20:24) หลงั จาก 19:1 ฝงู ชนหายไป และกลบั มาปรากฏอกี ครงั้ หน่ึงใน 20:29 กลายเป็น
วงเลบ็ ลอ้ มรอบสว่ นน้ี โดยทพ่ี วกเขาไมไ่ ดม้ บี ทบาทเป็นผกู้ ระทาสงิ่ ใดเลย สว่ นน้ีถูกเช่อื มเขา้ ดว้ ยกนั โดยแนวคดิ
เดมิ ทป่ี รากฏซ้าอยู่ตลอด (1) การใชช้ วี ติ อย่างมจี รยิ ธรรมท่พี วกเขาถูกเรยี กให้ทานัน้ ไม่ได้เป็นเร่อื งความชอบ
ธรรมของแต่ละบุคคล แต่มตี วั แทนคอื การใชช้ วี ติ ร่วมกนั ในชุมชนชาวครสิ ต์ (2) พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้
เป็นพน้ื ฐานและเป็นจุดกาหนดทศิ ทาง (Point of Orientation) สาหรบั ชวี ติ ของชุมชนใหม่ ซง่ึ ปรากฏเป็นประเดน็
หลกั ในทุกๆเรอ่ื งเล่า (19:12, 14, 23-24; 20:1, 21 ลองดเู ทยี บกบั การปรากฏของคาว่า “บุตรแหง่ มนุษย”์ [19:28; 20:18, 28] และ “บุตรของดา

439

วดิ ” [20:30-31] ทงั้ สองเรยี กใหเ้ รานึกถงึ ภาพของพระอาณาจกั ร) (3) กจิ การน้ีเป็นการปฐมนิเทศเกย่ี วกบั วนั พพิ ากษาโลก และมี
ลกั ษณะทต่ี รงขา้ มกบั ความคาดหวงั และค่านิยมปัจจุบนั ของยุคน้ี (4) วนั พพิ ากษาโลกนัน้ ปรากฏอย่ใู นพระเยซู
เจา้ ผทู้ รงเป็นบุตรแห่งมนุษยท์ ต่ี อ้ งทนทกุ ขท์ รมาน สน้ิ พระชนม์ และกลบั คนื พระชนมช์ พี (5) ภาพของสงิ่ ทก่ี าลงั
จะเกดิ ขน้ึ ในทา้ ยทส่ี ดุ เป็นสงิ่ ทไ่ี ม่อาจเขา้ ใจได้สาหรบั บรรดาศษิ ย์ เพราะพวกเขามคี วามมดื บอดทต่ี อ้ งถูกรกั ษาให้
หายกอ่ น

มทั ธวิ 19:1-20:34 การสอนบรรดาศษิ ยใ์ นระหวา่ งทางไปสพู่ ระมหาทรมาน (มมุ มองใหมท่ ผี่ า่ นทางกางเขน)
ภาพรวม

มธ. 19:1-26 ค่อนขา้ งอุทศิ ใหก้ บั ความเขา้ ใจใหม่เกย่ี วกบั ครอบครวั (ดู เทยี บ 12:46-50) เร่อื งการหย่ารา้ ง การ
แต่งงานใหม่ การถอื พรหมจรรย์ การมลี ูก และคนหนุ่มสาวในชุมชนชาวครสิ ต์ใหม่ นักบุญมทั ธวิ ทาใหเ้ กดิ การ
พลกิ ผนั เป็นตรงกนั ขา้ มอย่างสน้ิ เชงิ ของความเขา้ ใจทางวฒั นธรรมโดยเพม่ิ เตมิ เน้ือหาและปรบั เปลย่ี นเร่อื งเล่า
สนั้ ๆ จากเอกสารแหล่ง Q (19:27-30= ลก 22:30) และนาเสนอเร่อื งอุปมาทม่ี เี ป้าหมายเพ่อื จดั การกบั ความขนุ่ เคอื งท่ี
เกดิ ขน้ึ ในชมุ ชนอนั มที ม่ี าจากการพลกิ ผนั ทย่ี งิ่ ใหญ่และงดงามน้ี (20:1-16) นกั บุญมทั ธวิ เขา้ ใจแนวคดิ ของวสิ ยั ทศั น์
เก่ียวกบั วนั พพิ ากษาโลกและเร่อื งอุปมาน้ีว่าส่อื ถึง “คนสุดท้ายจะกลายเป็นคนแรกและคนแรกกลายเป็นคน
สุดท้าย” (19:30; 20:16) การพลกิ ผนั เป็นตรงกนั ขา้ มของเหตุการณ์วนั พพิ ากษาโลกน้ีมอี ยู่แล้วในการทางานของ
บุตรแห่งมนุษย์ ผทู้ พ่ี ระเป็นเจา้ ทรงยนื ยนั ความบรสิ ุทธขิ ์ องความทุกขท์ รมานและความตายของพระองค์ (20:17-
19) แต่หนทางของพระองค์ยงั คงถูกเข้าใจผดิ โดยบรรดาศิษย์ท่ีทะเยอทะยานและข้อี ิจฉา (20:20-28) ดงั นัน้ ผู้ท่ี
ประกาศความเช่อื ในพระเยซูเจ้าโดยเรยี กพระองค์ว่าเป็นพระเมสสยิ าห์อย่างถูกต้องยงั คงต้องได้รบั การรกั ษา
ความมดื บอดอย่ดู ี ซ่งึ เป็นสงิ่ ท่พี ระเยซูเจา้ ทรงกระทาได้ (20:29-34) “จากกาลลิ สี ู่เยรูซาเลม็ ” จงึ เป็นส่วนท่ีนักบุญ
มทั ธวิ ทาใหก้ ลายเป็นหน่วยแนวคดิ ทส่ี อดคลอ้ งปะตดิ ปะต่อกนั การเคล่อื นทน่ี ้ีไมไ่ ดเ้ ป็นในทางภูมศิ าสตรเ์ ท่านนั้
แตย่ งั เป็นตวั แทนของการเตบิ โตในความหมายของความเป็นศษิ ยท์ เ่ี ดนิ ทางจากกาลลิ ไี ปสพู่ ระมหาทรมานในกรุง
เยรซู าเลม็ (สาหรบั ภาพรวมเกย่ี วกบั สปั ดาหพ์ ระมหาทรมาน ดู 21:1)

มทั ธวิ 19:1-12 การหย่า การแตง่ งานใหม่ และการถอื พรหมจรรย์

https://www.google.co.th/search?q=matthew+19:+1-&source

VI. อาณาจกั รสวรรคอ์ ยใู่ กลแ้ ลว้
ก. เรอ่ื งเล่า
คาถามเรื่องการหยา่ รา้ ง
1 เม่ือพระเยซูเจ้าตรสั เร่อื งน้ีจบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหน่ึงของแม่น้าจอร์แดน 2
ประชาชนจานวนมากตดิ ตามพระองค์ พระองค์ทรงรกั ษาผูป้ ่ วยท่นี ัน่ 3 ชาวฟารสิ บี างคนเขา้ มาเพ่อื จบั ผดิ พระองค์ ทูลถามว่า

440

“เป็นการถกู ตอ้ งหรอื ไม่ ทช่ี ายจะหย่ารา้ งกบั ภรรยาเน่ืองดว้ ยเหตุใดกต็ าม” 4 พระองคท์ รงตอบวา่ “ท่านไมไ่ ดอ้ ่านพระคมั ภรี ห์ รอื
ว่าเม่อื แรกนัน้ พระผสู้ รา้ งทรงสรา้ งมนุษยใ์ หเ้ ป็นชายและหญงิ 5 และตรสั ว่า ดงั น้ีชายจะละบดิ ามารดาไปสนิทอยู่กบั ภรรยาของ
ตนและชายหญิงจะเป็นเน้ือเดยี วกนั 6 ดงั น้ี เขาจงึ ไม่เป็นสองอกี ต่อไป แต่เป็นเน้ือเดยี วกนั ฉะนัน้ สงิ่ ทพ่ี ระเจา้ ทรงรวมกนั ไว้
มนุษยอ์ ย่าไดแ้ ยกเลย” 7 ชาวฟารสิ จี งึ ทลู ถามว่า “แลว้ ทาไมโมเสสจงึ สงั่ ใหช้ ายทาหนังสอื หย่ารา้ งแลว้ หยา่ รา้ งไดเ้ ล่า” 8 พระองค์
ตรสั ว่า “เพราะใจด้อื หยาบกระดา้ งของท่านโมเสสจงึ ยอมอนุญาตให้หย่ารา้ งได้ แต่เม่อื แรกเรมิ่ นัน้ หาเป็นเช่นน้ีไม่ 9 “เราบอก
ทา่ นทงั้ หลายวา่ ผใู้ ดหยา่ รา้ งภรรยาและแตง่ งานกบั อกี คนหน่ึง เขากท็ าผดิ ประเวณี เวน้ แต่ในกรณีแต่งงานไมถ่ กู ตอ้ ง”
การสมคั รใจไม่แต่งงาน
10 บรรดาศษิ ย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามกี บั ภรรยาเป็นเช่นน้ี ก็ไม่ควรจะแต่งงานเลย” 11 พระองค์ตรสั ว่า “ไม่ใช่ทุกคน
เขา้ ใจคาสอนน้ี คนทเ่ี ขา้ ใจคอื คนทพ่ี ระเจา้ ประทานให้ 12 เพราะวา่ บางคนเป็นขนั ทตี งั้ แต่อยใู่ นครรภม์ ารดา บางคนถูกมนุษยท์ า
ใหเ้ ป็นขนั ที และบางคนทาตนเป็นขนั ทเี พราะเหน็ แก่อาณาจกั รสวรรค์ ผทู้ เ่ี ขา้ ใจได้ กจ็ งเขา้ ใจเถดิ ”

ข้อศึกษาวิพากษ์
19:1-2 เป็นมาตรฐานสูตรการสรุปจบ (Concluding Formula) ของนักบุญมทั ธวิ สาหรบั 5 สุนทรพจน์

หลกั (ดู บทนาและขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ เกย่ี วกบั 7:28) โดยรวมกบั ขอ้ ความเช่อื มโยงจาก มก 10:1 แควน้ ยเู ดยี เป็นสถานทเ่ี กดิ
ของพระเยซูเจา้ แต่พระองคถ์ ูกเนรเทศจากทน่ี นั่ ไปสู่ “ดนิ แดนกาลลิ แี ห่งชนต่างศาสนา” โดยผตู้ ่อตา้ นชาวยวิ ซง่ึ
เป็นตวั แทนของอาณาจกั รของยุคน้ี (ดู 2:22-23) พระเยซูเจา้ เสดจ็ กลบั ไปท่แี ควน้ ยูเดยี เพ่อื รบั พธิ ลี ้างจากนักบุญ
ยอหน์ และถูกผจญล่อลวงโดยซาตาน แต่ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ พระเยซูเจา้ ไม่เคยกลบั ไปท่แี ควน้ ยูเดยี อกี
เลยนับตงั้ แต่พระองค์จากมาใน 4:12 ในท่นี ้ีนักบุญมทั ธวิ นาขอ้ มูลจากพระวรสารนักบุญมาระโกมาเขยี นใหม่
เพ่อื ใหเ้ หน็ ความต่างท่ชี ดั เจนระหว่างแควน้ กาลลิ กี บั แควน้ ยูเดยี โดยเตมิ “ออกจากกาลลิ แี ละ” โดยไม่ใส่คาว่า
“และ” ไว้หลงั คาว่ายูเดียเหมือนในพระวรสารของนักบุญมาระโก ดงั นัน้ จึงทาให้ดินแดน “เหนือข้นึ ไปจาก
จอรแ์ ดน” (Perea) เป็นสว่ นเฉพาะสว่ นหน่ึงของดนิ แดนแควน้ ยเู ดยี สาหรบั นกั บุญมทั ธวิ พระเยซูเจา้ อยใู่ นแควน้
ยเู ดยี ตงั้ แต่ 19:1 เป็นตน้ ไป การแบ่งเป็นสองขวั้ ในพระวรสารนักบุญมทั ธวิ ไดป้ รากฏในทางภูมศิ าสตรด์ ว้ ย โดย
ไม่มสี ่วนเช่อื มต่อ ในทางประวตั ศิ าสตร์ ชาวยวิ จากแควน้ กาลลิ ที ก่ี าลงั เดนิ ทางไปกรุงเยรซู าเลม็ มกั จะออ้ มขา้ ม
แม่น้าจอรแ์ ดนเพ่อื เลย่ี งการผ่านเขา้ ไปในดนิ แดนของชาวสะมาเรยี เช่นเดยี วกบั ในแหล่งขอ้ มูลพระวรสารของ
นักบุญมาระโก พระเยซูเจ้าในพระวรสารของนักบุญมทั ธิวได้ใช้เส้นทางน้ีเช่นกนั แต่นักบุญมทั ธิวไม่ได้ยก
ประเดน็ น้ีขน้ึ มา (เทยี บ 10.5) นกั บุญมทั ธวิ เปลย่ี นภาพของพระเยซูเจา้ ทก่ี าลงั สอนฝงู ชนในพระวรสารนกั บุญมาระ
โก (มก. 10:1) ให้เป็นภาพท่ีพระองค์รกั ษาพวกเขาให้หายจากโรค ในส่วนน้ีทั้งหมด พระเยซูเจ้าของนักบุญ
มทั ธวิ สอนแตเ่ พยี งบรรดาศษิ ยข์ องพระองคเ์ ทา่ นนั้ (14:14 = มก. 6:34 ดู ภาพรวมดา้ นบน)

19:3 การระบุว่าผตู้ ่อตา้ นพระเยซูเจา้ คอื ชาวฟารสิ อี าจเป็นสงิ่ ท่นี ักบุญมทั ธวิ เตมิ เขา้ มา (เช่น ใน 3:7; 12:24;
15:12) เน่อื งจากวา่ มนั ไม่มอี ยใู่ น มก. 10:1 ของบางตน้ ฉบบั และขอ้ ความน้ใี นพระวรสารนกั บญุ มาระโกมกั ถูกปรบั
ใหเ้ หมอื นของนักบุญมทั ธวิ ในโครงเร่อื งของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ คาถามของชาวฟารสิ มี สี ามระดบั (1) นัก
บุญมทั ธวิ เปล่ยี นคาถามในพระวรสารนักบุญมาระโกเก่ยี วกบั ความถูกต้องตามกฎหมายของการหย่าร้างให้
กลายเป็นหลกั การเหตุผลสาหรบั การหย่ารา้ งท่ถี ูกกฎหมาย ในระดบั หน่ึง เร่อื งน้ีก่อใหเ้ กดิ การโต้เถยี งท่ยี งั คง
ดาเนินมาอย่างต่อเน่ืองในหมู่รบั บีระหว่างกลุ่มแชมไมท์ (Shammaites) ซ่งึ เป็นนักอนุรกั ษ์นิยมกบั กลุ่มฮลิ เลล
ไลต์ (Hillelites) ซง่ึ เป็นนักเสรนี ิยม (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ เกย่ี วกบั 5:31-32) (2) คาทแ่ี ปลว่า “การทดสอบ” (test / peirazo)
เตอื นผอู้ ่านใหน้ ึกถงึ ครงั้ สุดทา้ ยทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงอยใู่ นแควน้ ยเู ดยี และทรงถูก “ล่อลวง” โดยซาตาน (4:1-11; เทยี บ

441

16:1-12) เม่อื พระองค์กลบั ไปถงึ ท่นี ัน่ ได้ถูกทดสอบทนั ทโี ดยชาวฟารสิ ซี ่งึ เป็นตวั แทนของอาณาจกั รแห่งซาตาน
ตามหลกั เทววทิ ยาแบบทวนิ ิยมของนกั บุญมทั ธวิ บทสนทนาทเ่ี กดิ ตามมาจงึ เป็นมากกว่าการโตแ้ ยง้ ระหวา่ งรบั บี
เก่ียวกบั การตีความหนังสือปัญจบรรพสาหรบั นักบุญมทั ธิว มนั เป็นการแสดงออกถึงความขดั แย้งระหว่าง
อาณาจกั ร (ดู 12:22-37) ซ่ึงเข้มข้นข้ึน เม่ือพระเยซูเจ้าเสด็จออกจากแคว้นกาลีลีและเข้าสู่แคว้นยูเดีย (3) ใน
เร่อื งราวของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ พระเยซูเจา้ ทรงถูกนาไปวางคู่ขนานกบั นักบุญยอห์น ผูท้ าพธิ ลี า้ ง ซ่งึ ถูก
ประหารชวี ติ ไปแลว้ เน่ืองจากคดั คา้ นการหย่าและการแต่งงานใหม่ของกษตั รยิ เ์ ฮโรด อนั ตปิ าส (ดู เทยี บ 3:2; 4:12;
14:1-5) คาถามของชาวฟารสิ ใี ชค้ าศพั ท์เดยี วกนั กบั คาถามของนักบุญยอห์นผูท้ าพธิ ลี า้ งใน 14:4 (“มนั ถูกต้อง” [ it is
lawful / exestin]) คาถามซง่ึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ ระหวา่ งตวั แทนของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ (นกั บญุ ยอหน์ กบั พระเยซู
เจา้ ) กบั กษตั รยิ ผ์ ดู้ ุรา้ ยแห่งยุคน้ี เตอื นใหผ้ อู้ ่านระลกึ วา่ ชะตาของพระองคจ์ ะเหมอื นกบั นกั บุญยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง

ใน 9:4-9 นักบุญมทั ธวิ นา มก. 10:3-12 มาเรยี บเรยี งใหม่ เพ่ือให้คาตอบของพระเยซูเจ้าสอดคล้องกบั
รูปแบบการสะท้อนศลี ธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ ในขอ้ ความทข่ี ดั แยง้ กนั เอง (Antitheses) (ดู 5:21-28 โดยเฉพาะ 5:31-32) ขณะท่ี
พระเยซูเจา้ ในพระวรสารนักบุญมาระโกกล่าวถงึ การหย่ารา้ งในฐานะขอ้ บญั ญตั ขิ องพระเป็นเจา้ และชาวฟารสิ ี
กล่าวถึงการหย่าร้างในฐานะสงิ่ ท่ีพระเป็นเจ้าทรงยอมให้พวกเขาทา (Concession) (มก. 10:3-4) ในพระวรสาร
นักบุญมทั ธวิ ถ้อยคาเหล่าน้ีถูกนามายอ้ นกลบั (19:7-8) พระเยซูเจา้ ในพระวรสารนักบุญมาระโกเรมิ่ ต้นจากการ
ตรสั ถงึ สงิ่ ท่พี ระเป็นเจา้ ยอมใหท้ าก่อน จากนัน้ ตรสั ถงึ พระประสงคด์ งั้ เดมิ ของพระเป็นเจา้ ในการสรา้ งสรรพสง่ิ
สว่ นพระเยซูเจา้ ในพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ เรม่ิ ตน้ ทพ่ี ระประสงคท์ เ่ี ดด็ ขาดของพระเป็นเจา้ ก่อน จากนนั้ จงึ ตรสั ถงึ
การปรบั ใชต้ ามสถานการณ์ (ดู 5:21-28) การเป็นหน่ึงเดยี วของสามภี รรยาแบบ “เป็นเน้ือเดยี วกนั ” (ทางร่างกาย ทาง
ตวั ตน และความเป็นพ่อแม่) คอื สง่ิ ท่พี ระเป็นเจา้ ทรงสรา้ งและไม่ใช่สง่ิ ทส่ี ามจี ะละท้งิ ไปเม่อื ใดกไ็ ด้ (“ชาย” [man] ผูท้ ่ี “แยก”

พวกเขาไมใ่ ช่มอื ทส่ี าม แต่เป็นสามใี น ว. 3 นักบุญมทั ธวิ เปลย่ี นคาทใ่ี ชใ้ นพระวรสารนักบุญมาระโกใหก้ ลายเป็นคาว่า “คน” [man / anthropos] ในทงั้
สองกรณ)ี

ในเน้ือหาทงั้ หมดน้ี แม้ว่ามนั ยงั คงสะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ วฒั นธรรมท่ผี ูช้ ายเป็นใหญ่ในศตวรรษท่หี น่ึง พระ
เยซูเจ้าได้ทรงมองไปไกลกว่าทรรศนะเก่ียวกับการแต่งงานและครอบครวั โดยมองว่าการแต่งงานเป็ น
องค์ประกอบหน่ึงในพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าท่ีแสดงออกมาในสรรพสงิ่ แทนท่จี ะเป็นเพียงแค่ขอ้ ผูกมดั
สญั ญาทางวฒั นธรรมในระดบั ของมนุษย์ เร่อื งราวในพระคมั ภรี เ์ ก่ยี วกบั การสรา้ งสรรพสงิ่ มนุษยค์ ู่แรกถูกสรา้ ง
ขน้ึ มาเพอ่ื กนั และกนั การแต่งงานเป็นความสมั พนั ธร์ ะหว่างมนุษยท์ พ่ี ระเป็นเจา้ ประทานให้ คาประกาศของพระ
เยซูเจา้ จงึ มคี วามสาคญั ดงั ต่อไปน้ี (1) เป็นสง่ิ ทก่ี ่อใหเ้ กดิ การประกาศอย่างเดด็ ขาด (แต่โดยนัย)ในธรรมประเพณี
ของชาวยวิ ว่าหา้ มมสี ามหี รอื มภี รรยาหลายคน (เป็นสงิ่ ทไ่ี ดร้ บั อนุญาตในพระคมั ภรี ์ภาคพนั ธสญั ญาเก่า) (2) ทาใหส้ ามตี ้องมี
ความรบั ผดิ ชอบมากขน้ึ กว่าแต่ก่อน เพ่อื ขจดั การใชส้ องมาตรฐานโดยประกาศว่าความสมั พนั ธ์กบั ผูห้ ญิงคนท่ี
สองเป็นสงิ่ ทผ่ี ดิ ประเวณี (3) ปกป้องผหู้ ญงิ จากการใชอ้ านาจตามอาเภอใจของสามี ซง่ึ มสี ทิ ธทิ จ่ี ะหย่าเมอ่ื ใดกไ็ ด้

19:10-12 เป็นส่วนท่เี สรมิ ลงไปในขอ้ ความจากพระวรสารนักบุญมาระโก ดูเหมอื นจะเป็นส่วนท่ีนักบุญ
มทั ธวิ ประพนั ธ์ขน้ึ ทงั้ หมด และคงเป็นความพยายามส่วนหน่ึงของท่านท่จี ะใหพ้ ระเยซูเจา้ กล่าวถงึ สถานการณ์
ใหม่ในครสิ ตจกั รของทา่ น ซง่ึ ไม่เพยี งแต่มรี ากฐานและทรรศนะทแ่ี ขง็ แกรง่ จากศาสนายดู ายเทา่ นัน้ แต่ยงั รวมถงึ
ชาวครสิ ต์ทม่ี าจากชนต่างศาสนาซ่งึ มภี ูมหิ ลงั และมุมมองทแ่ี ตกต่างกนั อย่างสน้ิ เชงิ ตอนแรกดูเหมอื น ว. 10 จะ
แสดงภาพของอคั รสาวกทงั้ สบิ สองคนในแบบทแ่ี ยท่ ส่ี ุด เหมอื นเป็นคนทต่ี ดั สนิ คาสอนของพระเยซูเจา้ โดยดูจาก
สง่ิ ทจ่ี ะเป็นผลประโยชน์ใหต้ นเอง แต่ความเหน็ ทน่ี กั บุญมทั ธวิ แตง่ ขน้ึ ทาหน้าทเ่ี พยี งเพอ่ื สรา้ งการตอบสนองแบบ

442

ตรงขา้ ม (Counterresponse) ของพระเยซูเจา้ ดงั นนั้ คาตอบของบรรดาศษิ ย์ซง่ึ ฟังดไู ม่เหมาะสม ถา้ พจิ ารณาใน
ฐานะบนั ทกึ ทางประวตั ศิ าสตร์จงึ สะท้อนถึงเสยี งคดั ค้านของสมาชกิ ใหม่ในครสิ ตจกั รท่มี าจากชนต่างศาสนา
เกย่ี วกบั จรยิ ธรรมดา้ นการแต่งงานทเ่ี ขม้ งวด ซง่ึ ชาวครสิ ตส์ มยั นกั บุญมทั ธวิ สนบั สนุน รวมทงั้ ทาหน้าทเ่ี ป็นผถู้ าม
คาถามวา่ ชาวครสิ ตค์ วรแตง่ งานหรอื ไม่

การอา้ งองิ ถงึ “คาสอนน้ี” (This Teaching) ใน ว. 11 ยงั ไม่ชดั เจนทงั้ หมดนัก (1) บางคนมองว่ามนั ส่อื ถงึ
คาสอนของพระเยซูเจา้ เร่อื งการหย่ารา้ งและการแต่งงานใหมโ่ ดยรวม (ว. 3-9) ดงั นนั้ จงึ เป็นสงิ่ ทใ่ี ชไ้ ดก้ บั ชาวครสิ ต์
ทุกคนท่ี “ได้รบั ” รู้ความลกึ ลบั แห่งพระอาณาจกั ร (เช่น ใน 13:11) แต่วรรคต่อๆ มาดูจะจากดั การใช้คาสอนนัน้
เฉพาะกบั ชาวครสิ ตบ์ างกลุ่มในชุมชนเท่านนั้ (2) บรบิ ทน้ีทาใหน้ กั วชิ าการคนอ่นื ๆ โตแ้ ยง้ ว่า “คาสอนน้ี” ไม่อาจ
นาไปใชไ้ ดก้ บั ทุกคนแต่มไี วส้ าหรบั ผหู้ ญงิ ทห่ี ยา่ แลว้ และถูกหา้ มโดย ว. 4-9 ไม่ใหแ้ ต่งงานใหม่ เพอ่ื แสดงออกถงึ
การเช่อื ฟังพระเป็นเจ้า (3) ความคดิ เห็นของนักวชิ าการส่วนใหญ่คอื เป็นการปฏิเสธแนวปฏิบตั ิของคนต่าง
ศาสนาทท่ี าใหบ้ ุคคลเป็นหมนั เพ่อื ทากจิ ปฏบิ ตั ทิ างศาสนา (ลนต. 22:24; ฉธบ 23:1) ผูท้ ่ี “ทาใหต้ นเองเป็นขนั ที เพ่อื
เหน็ แก่พระอาณาจกั รสวรรค”์ คอื สมาชกิ ของชุมชนทเ่ี ลอื กจะไม่แต่งงานเพ่อื อุทศิ ตนใหก้ บั งานของชุมชนอย่าง
เตม็ ท่ี แมว้ า่ การแต่งงานและชวี ติ ครอบครวั เป็นสงิ่ ทพ่ี ระเยซูเจา้ และครสิ ตจกั รของนกั บุญมทั ธวิ เหน็ คุณคา่ วา่ เป็น
ของประทานจากพระเป็นเจ้าและเป็นการใช้ชีวิตแบบธรรมดาของผู้ท่ีเป็นศิษย์ บุคคลพิเศษบางกลุ่ม เช่น
ประกาศกและผเู้ ผยแพร่พระวรสาร บางครงั้ จะไมแ่ ตง่ งานเพอ่ื แสดงออกถงึ กระแสเรยี กพเิ ศษของตนเอง ทเ่ี หน็ ได้
ชดั คอื นักบุญยอหน์ ผทู้ าพธิ ลี า้ ง พระเยซูเจา้ และนกั บุญเปาโลทจ่ี ดั อย่อู ย่ใู นกลุ่มน้ี นักบุญมทั ธวิ ยอมใหม้ สี ง่ิ น้ีใน
ชวี ติ ของครสิ ตจกั ร แต่กเ็ หมอื นกบั ท่นี กั บุญเปาโลกกล่าวไว้ (1คร 7:7) มนั เป็นสงิ่ ทม่ี ไี วเ้ ฉพาะคนกลุ่มน้อยเทา่ นนั้ ท่ี
“สามารถ” (ว. 12) ทาสง่ิ น้ไี ด้ เพราะเป็นสง่ิ ทพ่ี ระเป็นเจา้ “โปรดใหเ้ ป็นเชน่ นนั้ ” (ว. 11)

มทั ธวิ 19:13-15 เดก็ ๆ ในชุมชนใหม่

พระเยซูเจา้ และเดก็ เลก็ ๆ
13 ขณะนนั้ มผี นู้ าเดก็ เลก็ ๆ มาใหพ้ ระองคท์ รงปกพระหตั ถอ์ วยพร แตบ่ รรดาศษิ ยก์ ลบั ดวุ า่ คนเหล่านนั้ 14 พระเยซเู จา้ ตรสั กบั
พวกเขาวา่ “ปล่อยใหเ้ ดก็ เลก็ ๆ มาหาเราเถดิ อยา่ หา้ มเลย เพราะอาณาจกั รสวรรคเ์ ป็นของคนทเ่ี หมอื นเดก็ เหลา่ น้ี” 15 พระองค์
ทรงปกพระหตั ถใ์ หเ้ ดก็ เหล่านนั้ แลว้ จงึ เสดจ็ ไปจากทน่ี นั่

ข้อศึกษาวิพากษ์
กอ่ นหน้าน้ี นกั บุญมทั ธวิ เคยใช้ “เดก็ ” เป็นสญั ลกั ษณ์ของ “ผูเ้ ลก็ น้อย” ในชุมชนชาวครสิ ต์ (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์

เก่ียวกบั 18:1-10) ส่วนในท่ีน้ี พระองค์ใส่ใจกบั ท่าทางของเด็กจรงิ ๆ ในชีวติ ของครสิ ตจกั ร ตรงข้ามกบั ชีวติ ด้าน
ศาสนาของชาวยวิ และคนนอกรตี ชุมชนชาวครสิ ต์สนับสนุนให้สมาชกิ ทุกคนของครอบครวั เขา้ ร่วมชุมนุม นัก

443

บญุ มทั ธวิ จงึ เปลย่ี นคาวา่ “แตะ” (Touch) ในพระวรสารนกั บญุ มาระโกเป็น “วางมอื เหนือเขาและอธษิ ฐานภาวนา”
(Lay Hands On and Pray) ซง่ึ เป็นท่าทางของการอวยพรโดยอาจารย์ ผเู้ ป็นทเ่ี คารพ เป็นไปไดว้ ่าแนวทางการ
ปฏบิ ตั ขิ องครสิ ตจกั รนกั บุญมทั ธวิ ไดส้ ะทอ้ นอย่ใู นเร่อื งน้ี คอื เดก็ ๆ ไดร้ บั การตอ้ นรบั เขา้ สคู่ รสิ ตจกั รดว้ ยการอวย
พร (ว. 13 เทยี บ ว. 10) เดก็ ๆ ซ่งึ ถูกมองว่าเป็นตวั อย่างของวธิ กี ารท่เี ราจะรบั พระอาณาจกั รของพระเป็นเจ้า พระ
อาณาจกั รไม่เพยี งแต่ “เป็นของ” พวกเขาเท่านัน้ แต่ยงั เป็นของ “คนท่ีเหมอื นพวกเขา” อีกด้วย คอื ทุกคนท่ี
ยอมรบั พระอาณาจกั ร โดยไมท่ กึ ทกั วา่ เป็นสงิ่ น้หี รอื สงิ่ นนั้ หรอื หาเหตุผลมาสนบั สนุนความคดิ ของตน

มทั ธวิ 19:16-20:16 คนหนุ่มสาวทป่ี ระสบความสาเรจ็ และชุมชนใหม่

เศรษฐีหนุ่ม
16 ชายคนหน่ึงมาเฝ้าพระองคท์ ูลถามว่า “พระอาจารย์4 ขา้ พเจา้ ตอ้ งทาความดอี ะไรเพ่อื จะมชี วี ติ นิรนั ดร” 17 พระองคต์ รสั กบั เขา
ว่า “เหตุใดจงึ ถามเราถงึ ความดี ผทู้ รงความดมี แี ต่เพยี งผูเ้ ดยี วเท่านัน้ 5 ถา้ ท่านอยากเขา้ ส่ชู วี ติ นิรนั ดร กจ็ งปฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญตั ิ
เถิด” 18 เขาทูลถามว่า “บทบญั ญัติขอ้ ใด” พระเยซูเจ้าตรสั ตอบว่า “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลกั ขโมย อย่าเป็ น
พยานเท็จ 19 จงนับถือบิดามารดา จงรกั ผ้อู ืน่ เหมือนรกั ตนเอง” 20 ชายหนุ่มผูน้ ัน้ ทูลถามว่า “ขา้ พเจ้าปฏบิ ตั ิตามบท
บญั ญตั เิ หลา่ น้ีทุกขอ้ แลว้ 6 ยงั ขาดอะไรอกี หรอื ” 21 พระเยซูเจา้ ตรสั ตอบเขาวา่ “ถา้ ท่านอยากเป็นคนดอี ยา่ งสมบูรณ์7 จงไปขายทุก
สง่ิ ทม่ี ี มอบเงนิ ใหค้ นยากจน และท่านจะมขี ุมทรพั ย์ในสวรรค์ แลว้ จงตดิ ตามเรามาเถดิ ” 22 เม่อื ไดย้ นิ พระวาจาน้ี ชายหนุ่มผูน้ ัน้
จากไปดว้ ยความทุกข์ เพราะเขามที รพั ยส์ มบตั มิ ากมาย
อนั ตรายจากทรพั ยส์ มบตั ิ
23 พระเยซูเจา้ ตรสั แก่บรรดาศษิ ย์ว่า “เราบอกความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายว่า คนมงั่ มจี ะเขา้ สู่อาณาจกั รสวรรค์ไดย้ าก 24 เราบอก
ทา่ นอกี วา่ อฐู จะลอดรเู ขม็ ยงั งา่ ยกว่าคนมงั่ มเี ขา้ สอู่ าณาจกั รสวรรค”์ 25 เมอ่ื บรรดาศษิ ยไ์ ดย้ นิ เชน่ น้ี ต่างรสู้ กึ ประหลาดใจมาก จงึ
ทลู ถามวา่ “แลว้ ดงั น้ี ใครเล่าจะรอดพน้ ได”้ 26 พระเยซูเจา้ ทอดพระเนตรบรรดาศษิ ย์ แลว้ ตรสั ว่า “สาหรบั มนุษยเ์ ป็นไปไม่ได้ แต่
สาหรบั พระเป็นเจา้ ทกุ อยา่ งเป็นไปได”้
รางวลั ของการสละทุกสิ่ง
27 เปโตรจงึ ทูลถามวา่ “ขา้ พเจา้ ทงั้ หลายสละทุกสงิ่ และตดิ ตามพระองคแ์ ลว้ จะไดอ้ ะไรบา้ ง” 28 พระเยซูเจา้ ตรสั ตอบว่า “เราบอก
ความจรงิ แก่ท่านทงั้ หลายวา่ ในโลกใหม่8 เม่อื บตุ รแห่งมนุษยจ์ ะประทบั เหนือพระทน่ี งั่ อนั รุง่ โรจน์ ท่านทงั้ หลายทต่ี ดิ ตามเรา กจ็ ะ
นงั่ บนบลั ลงั ก์ทงั้ สบิ สองบลั ลงั ก์ เพ่อื พพิ ากษา9 ตระกูลอสิ ราเอลทงั้ สบิ สองตระกลู ดว้ ย 29 และผใู้ ดทส่ี ละบา้ นเรอื น พน่ี ้องชายหญงิ
บดิ ามารดา บุตร10 ไรน่ าเพราะเหน็ แก่เรา กจ็ ะไดร้ บั ตอบแทนรอ้ ยเท่า และจะไดร้ บั ชวี ติ นิรนั ดรเป็นมรดกดว้ ย
30 “หลายคนทเ่ี ป็นกลมุ่ แรกจะกลบั กลายเป็นกลุ่มสดุ ทา้ ย และกลมุ่ สุดทา้ ยจะกลบั กลายเป็นกลุ่มแรก

444

ข้อศึกษาวิพากษ์

มธ 19:16-20:16 เป็นฉากหน่งึ ทน่ี กั บุญมทั ธวิ สรา้ งขน้ึ โดยนาเรอ่ื งราวของเศรษฐใี น มก. 10:17-3 มาเตมิ

คาพดู จากเอกสารแหล่ง Q ลงไปใน 19:28 และเร่อื งอุปมา 20:1-16 มาจากแหล่งขอ้ มลู M ก่อใหเ้ กดิ บทสนทนา

ขนาดยาวดงั ตอ่ ไปน้ี

ชายหนุ่ม: “ขา้ ตอ้ งทาสงิ่ ใดบา้ นจงึ จะไดร้ บั ชวี ติ นิรนั ดร”์ (วรรค 16)

พระเยซ:ู “….รกั ษาธรรมบญั ญตั ”ิ (วรรค 17)

ชายหนุ่ม: “ขอ้ ใดบา้ ง” (วรรค 18ก)

พระเยซ:ู “ท่านจงอย่าฆา่ ผอู้ นื่ ....จงรกั เพอื่ นบา้ น” (วรรค 18ข- 19)

ชายหนุ่ม: “ขา้ รกั ษาธรรมบญั ญตั เิ หลา่ น้อี ยแู่ ลว้ ขา้ ยงั ขาดสงิ่ ใดอกี ” (วรรค 20)

พระเยซ:ู “จงไป...ขาย...ให.้ ..ตดิ ตามเรา” (วรรค 21)

ชายหนุ่ม: ไมต่ อบ แต่จากไปอยา่ งโศกเศรา้ (วรรค 22)

พระเยซู (พดู กบั สาวก) “...การทคี่ นรวยจะเขา้ พระอาณาจกั รนนั้ เป็นสงิ่ ทยี่ ากนกั ” (วรรค 23-24)

สาวก “แลว้ ใครจะรอดได”้ (วรรค 25)

พระเยซ:ู “เป็นไปไมไ่ ดส้ าหรบั มนุษย์ แต่เป็นไปไดส้ าหรบั พระเป็นเจา้ ” (วรรค 26)

เปโตร: “แลว้ เราจะไดอ้ ะไรในตอนนนั้ ” (วรรค 27)

พระเยซ:ู “...ในการฟ้ืนฟูทุกสรรพสงิ่ ....ชวี ติ นิรนั ดร”์ (วรรค 28-30)

สรุปจบดว้ ยเรอ่ื งอปุ มาเกย่ี วกบั พระอาณาจกั รพระเป็นเจา้

19:16-22 คาว่า“เศรษฐหี นุ่ม ซง่ึ เป็นผปู้ กครอง” (Rich Young Ruler) ไม่มปี รากฏอย่ใู นเอกสารใดๆ เลย

ในภาคพนั ธสญั ญาใหม่ มนั เป็นการรวมภาพจากนักบุญมาระโก (เศรษฐี [Rich]) นักบุญมทั ธวิ (ผูเ้ ดยี วทเ่ี ตมิ คาว่า “หนุ่ม”

[Young]) และนักบุญลูกา (ผเู้ ดยี วทเ่ี ตมิ คาว่า “ผูป้ กครอง” [Ruler]) นักบุญมทั ธวิ เป็นผูเ้ ดยี วท่ใี หภ้ าพของคนหนุ่ม โดยเรยี ก

เขาวา่ “ชายหนุ่ม” (neaniskos) ถงึ 2 ครงั้ ประเดน็ ไม่ไดอ้ ย่ทู ก่ี ารคาดเดา “อายุจรงิ ” ของบุคคลในเร่อื ง แต่คอื การ

ยอมรบั ภาพท่ีนักบุญมทั ธวิ นาเสนอเขาในฐานะคนหนุ่ม ในบรบิ ทปัจจุบนั เขาคอื ตัวแทนของคนหนุ่มสาวท่ี

ประสบความสาเรจ็ และร่ารวย ซง่ึ ครสิ ตจกั รของนกั บุญมทั ธวิ ตอ้ งการดงึ ดดู เขา้ มา (หรอื คงรกั ษาไว)้ ใหอ้ ย่บู นหนทาง

ของการเป็นศษิ ย์ แต่บ่อยครงั้ พวกเขามกั ไมส่ นใจระบบคา่ นยิ มอนั แตกตา่ งทช่ี มุ ชนชาวครสิ ตใ์ ชช้ วี ติ อยู่

19:16 ชายหนุ่มถามเกย่ี วกบั “ชวี ติ นิรนั ดร”์ ซง่ึ เป็นคาทป่ี รากฏในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เพยี ง 3 ครงั้ ใน

ทน่ี ้ีและใน 19:26 ก่อตวั เป็นวงเลบ็ สาหรบั ฉากน้ี และใน 25:46 การทเ่ี ขาเรยี กพระเยซูเจา้ ว่า “ท่านอาจารย”์ ซง่ึ

เป็นถอ้ ยคาทร่ี บั มาจากพระวรสารนกั บุญมาระโก บ่งบอกวา่ เขาเป็นคนนอก เพราะในพระวรสารของมทั ธวิ ศษิ ย์

เรยี กพระเยซูเจา้ วา่ “พระเจา้ ขา้ ” (Lord) การทน่ี ักบุญมทั ธวิ นาคาถามใน มก 10:17 มาเรยี บเรยี งใหม่ ก่อใหเ้ กดิ

ผลของการทาใหฉ้ ากน้ีคู่กบั 22:34-40 ซง่ึ ใหค้ นนอกเรยี กพระเยซูเจา้ ว่า “ท่านอาจารย”์ และไดร้ บั คาตอบทเ่ี ป็น

การสรุปจบวา่ “จงรกั เพอ่ื นบา้ นเหมอื นรกั ตนเอง”

19:17-19 นักบุญมทั ธวิ นาคาตอบของพระเยซูเจา้ ในพระวรสารนักบุญมาระโกท่กี ล่าวว่า “เหตุใดท่านจงึ

เรยี กเราวา่ “ด”ี ไม่มใี ครดี นอกจากพระเป็นเจา้ เท่านนั้ ” (มก 10:18 NRSV) มาเขยี นใหมเ่ พอ่ื หลกี เลย่ี งความเขา้ ใจผดิ

วา่ พระเยซูเจา้ ไม่ดี (เทยี บ มธ 3:14-15) ในพระวรสารของนกั บุญมทั ธวิ พระเยซูเจา้ ทรงเป็นตวั แทนของความดงี ามใน

โลกน้ี (1:23) ในอุปมาเร่อื งต่อไปท่นี ักบุญมทั ธวิ เขา้ ใจว่าเป็นนิทานเปรยี บเทยี บ นายจา้ งคอื พระเป็นเจา้ และพระ

เยซูเจา้ คาประกาศทส่ี าคญั ทส่ี ุดของนายจา้ งคอื การบอกวา่ ตนนนั้ “ด”ี (agathos; 20:15) นอกจากน้ีนกั บุญมทั ธวิ

ยงั เรยี บเรยี งเน้ือหาจากแหล่งขอ้ มลู ของท่านเพ่อื ใหค้ าตอบแรกของพระเยซูเจา้ เป็นการยนื ยนั ความถูกต้องของ

445

หนงั สอื ปัญจบรรพ พระเยซูเจา้ ทรงตอบดว้ ยคาตอบแบบมาตรฐานชาวยวิ คอื “จงรกั ษาธรรมบญั ญตั ”ิ ตอนทช่ี าย
หนุ่มถามว่า “ขอ้ ใด” กเ็ หมอื นกบั ใน 22:34-40 คาตอบของพระเยซูเจา้ ถูกเรยี บเรยี งใหมโ่ ดยนกั บุญมทั ธวิ เพอ่ื ให้
ลาดบั และคาศพั ทส์ อดคลอ้ งกบั บญั ญตั สิ บิ ประการใน อพย 20:13-16 และ ฉธบ 5:17-20 (เช่นเดยี วกบั ใน มธ 3:14-15)
นกั บุญมทั ธวิ ตอ้ งการจะสอ่ื สารใหเ้ หน็ ชดั เจนวา่ พระเยซูเจา้ คอื ผทู้ ส่ี นบั สนุนธรรมบญั ญตั ิ ไมใ่ ชผ่ ตู้ อ่ ตา้ น (5:17-20)

19:20 ชายหนุ่มผนู้ ้ีเป็นชาวยวิ ทร่ี กั ษาธรรมบญั ญตั มิ าโดยตลอด เขาตอ้ งการไปใหไ้ กลเกนิ กว่าบญั ญตั ิ
10 ประการและพยายามใชช้ วี ติ ดว้ ยการรกั ผอู้ น่ื แต่เขารสู้ กึ วา่ บางอย่างยงั ขาดหายไป จงึ ถามวา่ “ขา้ พเจา้ ยงั ขาด
สงิ่ ใด” (แตกต่างจากในพระวรสารนกั บญุ มาระโกทพ่ี ระเยซูเจา้ เป็นฝ่ายเรม่ิ บอกวา่ เขายงั ขาดสงิ่ ใด)

19:21 “หากท่านต้องการความสมบูรณ์พรอ้ ม” เป็นสง่ิ ท่เี ขา้ ใจกนั ตามธรรมประเพณีว่าเป็นฐานสาหรบั
การแยกแยะความเป็นศษิ ย์ 2 ระดบั คอื ชาวครสิ ต์ “ธรรมดา” ทร่ี กั ษาธรรมบญั ญตั พิ น้ื ฐานกบั “ผทู้ ส่ี มบรู ณ์พรอ้ ม”
คอื เป็นนกั บวชในศาสนาและใชช้ วี ติ ตาม “ขอ้ แนะนาสาหรบั ผเู้ ผยแพรพ่ ระวรสาร” คอื ความยากจน ความบรสิ ุทธิ ์
และความนบนอบเชอ่ื ฟัง การตคี วามเชน่ น้ปี ลดปลอ่ ยชาวครสิ ต์ “ธรรมดา” จากการตอ้ งสละทรพั ยส์ นิ ทงั้ หมดเพอ่ื
คนยากจน เม่อื ไม่นานมาน้ี การเรยี กใหเ้ ขา้ สู่ “ความสมบูรณ์พรอ้ ม” ถูกตคี วามว่าเป็นการแสดงความแตกต่าง
ระหว่างหนทางไปสคู่ วามรอดพน้ ในแบบชาวยวิ และและหนทางไปสคู่ วามเป็นศษิ ยข์ องชาวครสิ ต์ การรกั ษาธรรม
บญั ญตั คิ อื สง่ิ ทเ่ี พยี งพอแลว้ สาหรบั การไปส่ชู วี ติ นิรนั ดรส์ าหรบั ชาวยวิ แต่การเช่อื ฟังอย่างสน้ิ เชงิ คอื สง่ิ ทท่ี ุกคน
ตอ้ งมี หากตอ้ งการเป็นศษิ ยข์ องพระครสิ ต์ การตคี วามทงั้ สองแบบน้ีประสบปัญหาจากขอ้ เทจ็ จรงิ ทว่ี า่ เน้อื หาสว่ น
น้ีไม่ไดแ้ ยกความแตกต่างของทงั้ สองกลุ่ม โดยมภี าพของเป้าหมายเดยี วกนั ตลอด ซง่ึ อาจเรยี กว่า “ชวี ติ นิรนั ดร”์
(Eternal Life) (ว. 16) “การเข้าสู่ชีวิต” (Enter to Life) (ว. 17) “การเป็ นผู้สมบูรณ์พร้อม” (Being Perfect) (ว. 21)
“การเขา้ ส่อู าณาจกั รของพระเป็นเจา้ ” (ว. 23) และ “ถูกชว่ ยใหร้ อด” (Being Saved) (ว. 25) ว. 24 แสดงใหเ้ หน็ อย่าง
ชดั เจนว่าการขายทุกสงิ่ แลว้ นาเงนิ ไปให้คนยากจนไม่เป็นเพยี งแต่สงิ่ ท่ที ุกคนต้องปฏิบตั ิเพ่อื เขา้ สู่ “ขนั้ ท่สี อง”
ของชาวยวิ ท่ไี ด้รบั ความรอดพ้นและมาเป็นชาวครสิ ต์ หรือชาวครสิ ต์ “ธรรมดา” ท่ตี ้องการเป็นคน “สมบูรณ์
พรอ้ ม” แตย่ งั เป็นเงอ่ื นไขในการเขา้ สพู่ ระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ดว้ ย นอกจากน้ี คาวา่ “teleios” ไมไ่ ดห้ มายความ
ว่า “สมบูรณ์พร้อม” (Perfect) ในลักษณะของการปราศจากบาป (Sinless) แต่หมายถึงความ “ครบถ้วน”
(Whole) “ไมแ่ บ่งแยก” (Undivided) และ “มวี ุฒภิ าวะ” (Mature) เช่น ใน 5:48 ซง่ึ บอกว่ามนั ไมไ่ ดเ้ ป็นเพยี งแต่สง่ิ
ทพ่ี ระเป็นเจา้ เรยี กรอ้ งจากชนกลุ่มพเิ ศษเท่านนั้ แต่จากทุกคนทพ่ี ยายามเช่อื ฟังพระเป็นเจา้ (เรอ่ื งการขอใหข้ ายทุกสงิ่
ดู ขอ้ คดิ ไตร่ตรอง ดา้ นล่าง) คาพดู สุดทา้ ยท่พี ระเยซูเจา้ ทรงกล่าวกบั ชายหนุ่มนัน้ เหมอื นกบั คาพดู ท่พี ระองคก์ ล่าวกบั
นกั บญุ มทั ธวิ คนเกบ็ ภาษผี รู้ ่ารวยและบรรดาศษิ ยข์ องพระองค์ (9:9 เทยี บ 4:19, 21:22)

19:22 “ถอ้ ยคาน้ี” (This Word) เหมอื นกบั สานวนทแ่ี ปลว่า “คาสอนน้ี” (This Teaching) ใน 19:11 ทาให้
ฉากเหตุการณ์น้ีเช่ือมโยงเข้ากบั เน้ือหาชุดเดิมคอื 19:3-15 (ดูภาพรวม) ชายหนุ่มผู้น้ีถูกเรยี กและจะได้รบั การ
ตอ้ นรบั เขา้ สคู่ รสิ ตจกั รของนกั บญุ มทั ธวิ แตเ่ ขาปฏเิ สธ ความเศรา้ ของเขาแตกตา่ งจากความสขุ ของบคุ คลทอ่ี ยใู่ น
เรอ่ื งอุปมาทย่ี อมขายทกุ สงิ่ เพอ่ื สมบตั แิ หง่ พระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ (13:44)

19:23-36 พระเยซูเจ้าทรงปล่อยให้เขาจากไป พระวาจาถดั มาของพระองค์ไม่ได้ตรสั กบั ชายหนุ่ม แต่
ตรสั กบั บรรดาศษิ ย์ของพระองค์ ซ่งึ มองเหน็ ฉากเหตุการณ์น้ีทงั้ หมด นักบุญมทั ธวิ นามาปรบั โครงสรา้ งใหม่ให้
เป็นคาพูด (Saying / amen) (ดู 5:18) ท่ปี ระกาศอย่างจรงิ จงั ว่าคนรวยไม่เพียงแต่เขา้ อาณาจกั รพระเจ้าได้ยาก
เท่านนั้ แต่มนั เป็นไปไม่ไดเ้ ลยดว้ ยซ้า บรรดาศษิ ย์เขา้ ใจประเดน็ ของพระองคท์ นั ที แมว้ ่านกั ตคี วามหลายคนจะ

446

พยายามทาให้ความหมายส่วนน้ีอ่อนลง (ดู ขอ้ คดิ ไตร่ตรอง ด้านล่าง เก่ยี วกบั การตคี วามเร่อื งรเู ขม็ ใหผ้ ูอ้ ่านรสู้ กึ สบายใจขน้ึ ) แต่คา
อุทานของบรรดาศษิ ยไ์ มเ่ พยี งแตน่ าไปสกู่ ารทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงประกาศว่าทกุ สงิ่ เป็นไปไดส้ าหรบั พระเป็นเจา้ (“For
God” ไม่ใช่ “With God” [NIV] ซง่ึ แสดงถงึ ความร่วมมอื กนั ) ฉากน้ีสามารถจบลงดว้ ยน้าเสยี งทร่ี ุนแรง แต่นกั บุญมทั ธวิ ขยายบท
สนทนาออกไปเพ่อื ใหพ้ ้นื ฐานหลกั การเก่ยี วกบั วนั พพิ ากษาโลกทที าใหก้ ารใชช้ วี ติ บนโลกน้ีต้องเป็นไปในทาง
หน่งึ โดยสน้ิ เชงิ และจบแบบเรอ่ื งอปุ มาเพอ่ื หลกี เลย่ี งการเขา้ ใจผดิ และกระตุน้ ใหเ้ กดิ การคดิ เพมิ่ เตมิ (ดู ภาพรวม)

19:27-30 เป็นส่งิ สาคญั ท่ีเราต้องมองให้เห็นว่าย่อหน้าน้ีเป็นความต่อเน่ืองของบทสนทนาท่ีผ่านมา
เพราะถา้ ดแู บบแยกเดย่ี ว คาถามของนกั บุญเปโตรจะดูเหมอื นจะเหน็ แก่ตวั อย่างมาก เหมอื นเขา้ ใจวา่ ความเป็น
ศษิ ย์นัน้ มไี วเ้ พ่อื แลกเปลย่ี นกบั บางสง่ิ ในโครงสรา้ งปัจจุบนั ท่ีนักบุญมทั ธวิ ออกแบบ คาถามของนักบุญเปโตร
เป็นโอกาสใหพ้ ระเยซูเจา้ ทรงยนื ยนั ถงึ รางวลั ท่จี ะไดร้ บั ในวนั พพิ ากษาโลกสาหรบผูท้ ไ่ี ม่พ่งึ พาความดงี ามของ
ตนเอง แต่ตดิ ตามพระเยซูเจา้ เพอ่ื ร่วมเป็นสว่ นหน่ึงของการพลกิ ผนั ทุกอย่างในวนั อวสานโลกซง่ึ มสี ญั ลกั ษณ์คอื
พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ พระเยซูเจา้ ทรงอธบิ ายสงิ่ น้โี ดยทนั ที

19:28 โดยดงั้ เดมิ แลว้ คาพดู น้นี ่าจะเป็นคาพยากรณ์ของประกาศกชาวครสิ ต์ แต่ถกู นามากล่าวในนามของ
พระเยซูเจา้ เป็นการประกาศวา่ ความสมั พนั ธท์ เ่ี ป็นอยใู่ นปัจจบุ นั จะพลกิ กลบั เป็นตรงกนั ขา้ มเมอ่ื ถงึ การพพิ ากษา
ครงั้ สดุ ทา้ ย ในแนวคดิ เกย่ี วกบั วนั พพิ ากษาโลกของชาวยวิ บางพวก การกลบั มารวมตวั กนั ใหมข่ องชาวอสิ ราเอล
ทงั้ 12 เผ่าคอื หน่ึงในพระพรของยุคสุดท้าย (สดด. Sol. 17:28; คารอ้ งขอท่สี บิ ในคาอวยพรสบิ แปดประการ) ผู้แพร่ธรรมของ
ชุมชน Q ในกระบวนการเคล่อื นไหวเพอ่ื พระเยซูเจา้ ในชว่ งแรกๆ ของยคุ หลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี สบื ต่อการ
กระทาภารกจิ ต่อชาวอสิ ราเอล โดยประกาศถงึ เวลาแห่งการรบั พระพรในยุคสุดทา้ ยและการก่อตงั้ ชาตอิ สิ ราเอล
ขน้ึ ใหม่ อย่างไรกต็ าม ภารกจิ ของพวกเขาถูกปฏเิ สธ คาพยากรณ์จงึ ประกาศว่าอสิ ราเอลจะรวมตวั กนั อกี ครงั้ ใน
กาลอวสานโลกเพ่อื ถูกพพิ ากษา เช่นเดยี วกบั ภาพของคาพยากรณ์อ่นื ๆ นักบุญทงั้ หลายมสี ่วนร่วมกบั พระเป็น
เจ้าหรอื บุตรแห่งมนุษย์ในฉากการตัดสินพิพากษาน้ี ทุกส่งิ จะกลบั ขวั้ เป็นตรงข้าม ผู้ท่ีถูกปฏิเสธในวนั น้ีจะ
กลายเป็นผทู้ ต่ี ดั สนิ (1เอนอค 45:3; 61:8; 62:2; 69:27; 108:12; 1คร 6:2; เทยี บ วว 20:4, 11) นักบุญมทั ธวิ เรม่ิ นาคาพยากรณ์มา
ใส่ไวต้ รงน้ีเพ่อื แสดงพ้นื ฐานความรูเ้ ก่ยี วกบั ชวี ติ ความเป็นศษิ ย์ในภาพของพระอาณาจกั พระเป็นเจ้าท่มี อี ยู่ใน
ปัจจบุ นั และทก่ี าลงั จะมาถงึ และการพลกิ กลบั ของคณุ คา่ ของสง่ิ ตา่ งๆ

“การฟ้ืนฟูสรรพสงิ่ ทงั้ ปวง” เป็นคาแปลของ “paliggenesia” คาน้ีเป็นคาทพ่ี บไม่บ่อยและแปลตามตวั อกั ษร
ไดว้ ่า “การเกดิ ใหม่” ซ่งึ มกี ารใชใ้ น ทต 3:5 ซ่งึ เป็นอกี ท่เี ดยี วท่มี กี ารใชใ้ นพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหม่ โดย
อา้ งองิ ถงึ การกลบั ใจและการทาพธิ ลี า้ ง คาน้ีเป็นคาศพั ท์เฉพาะในธรรมประเพณีดา้ นศาสนาในยุคเฮเลนนิสตกิ
จานวนหน่ึง และมกี ารใชใ้ นกลุ่มผเู้ ชอ่ื ลทั ธสิ โตอกิ โดยสอ่ื ถงึ การเกดิ ใหม่ของโลกเป็นระยะๆ หลงั จากการลุกไหม้
ครงั้ ใหญ่ของเอกภพ (Cosmic Conflagration) นักบุญมทั ธวิ ใชส้ ง่ิ น้ีแสดงออกถงึ ความหวงั ในการฟ้ืนฟูโลกในวนั
พพิ ากษาครงั้ สุดทา้ ย มนั เป็นวธิ หี น่ึงในการนึกภาพความหมายของการมาถงึ ของพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ใน
ทา้ ยทส่ี ุด ซง่ึ ไม่ไดล้ บลา้ งความหมายของประวตั ศิ าสตร์ แต่จะฟ้ืนคนื สภาพและเตมิ เตม็ ประวตั ศิ าสตร์ใหส้ มบรู ณ์
(“โลกใหม่และฟ้าสวรรคใ์ หม่”[การสรา้ งสงิ่ ทงั้ ปวงใหม่]” ใน อสย 65:17; 66:22; รม 8:18-25; 2คร 5:17; วว 21:1) บางครงั้ มผี เู้ ขา้ ใจวา่ เน้ือหา
สว่ นน้ีว่า เป็นการมอบอานาจใหอ้ คั รสาวก 12 คนในการปกครอง “อสิ ราเอลใหม่” หรอื ครสิ ตจกั ร เป็นเวลาหลาย
ศตวรรษ แต่เป็นการตคี วามท่ไี ม่ถูกต้อง เน่ืองจากเหตุผลสามขอ้ คอื (1) ภาพน้ีเป็นภาพของวนั พพิ ากษาโลก
ไม่ใช่ประวตั ิศาสตร์ “การฟ้ืนฟูสงิ่ ทงั้ ปวงข้นึ ใหม่”เกิดข้นึ ในการเสดจ็ กลบั มาของพระเยซูครสิ ต์ เม่อื บุตรแห่ง

447

มนุษยเ์ สดจ็ มานัง่ บลั ลงั ก์ของผูพ้ พิ ากษา เช่น ใน 25:31-32 ซง่ึ เป็นอกี ท่เี ดยี วทม่ี ภี าพของบุตรแห่งมนุษยน์ ัง่ อยู่
บนบลั ลงั ก์ ดงั นนั้ นักบุญมทั ธวิ จงึ ละเวน้ มก. 10:30 “เดยี๋ วน้ี ในยุคน้ี” (Now in This Time) เพอ่ื ใหก้ ารมุ่งเน้นไป
ยงั วนั พพิ ากษาโลกมคี วามชดั เจน (2) คาว่า “ปกครอง” (Rule) ไม่ได้เป็นความหมายเดยี วของคาภาษากรกี
“krino” ไม่ว่าจะตรงน้ีหรอื ในส่วนอ่นื ๆ ของพระวรสารนักบุญมทั ธวิ แต่หมายถึง “การตดั สนิ ” (Judge) ได้ด้วย
และมนั ไม่ได้มคี วามหมายเฉพาะเจาะจงว่า “ตดั สนิ ลงโทษ” (Condemn) ซ่ึงโดยปกตินักบุญมทั ธวิ จะใช้คาว่า
“katakrino” (12:41-42; 20:18; 27:3) อคั รสาวกสบิ สองคนรว่ มแบ่งปันบทบาทของพระครสิ ตห์ รอื บตุ รแหง่ มนุษยใ์ นฐานะ
ผปู้ กครองและผตู้ ดั สนิ ในวนั พพิ ากษาโลก คอื แบ่งแยกและคดั เลอื ก ยอมรบั และปฏเิ สธ คนอสิ ราเอล“สบิ สองเผ่า”
จะไดร้ บั การฟ้ืนฟูกลบั มาดงั เดมิ แต่ไมไ่ ดห้ มายความว่าถูกช่วยใหร้ อด เพราะบางคนจะไดร้ บั การยอมรบั ขณะท่ี
บางคนถูกปฏเิ สธ ดงั นนั้ ครสิ ตจกั รจงึ ดาเนินต่อไปพรอ้ มกบั อสิ ราเอล แต่เป็นอสิ ราเอลทถ่ี ูกกลนั่ กรองและตดั สนิ
พพิ ากษาแลว้ (3) แนวคดิ ทว่ี า่ ครสิ ตจกั รคอื “อสิ ราเอลใหม่” เป็นสง่ิ ทแ่ี ปลกประหลาดสาหรบั นกั บุญมทั ธวิ ผซู้ ง่ึ ใช้
คาว่า “อสิ ราเอล” ในความหมายทม่ี าจากประสบการณ์ของท่านเสมอ แมแ้ ต่อสิ ราเอลทไ่ี ดร้ บั การฟ้ืนคนื สภาพใน
วนั พพิ ากษาโลกยงั ตอ้ งถูกตดั สนิ และแยกประเภท ดงั นนั้ ครสิ ตจกั รกบั อสิ ราเอลจงึ ไม่ใชส่ งิ่ เดยี วกนั

19:29 นกั บุญมทั ธวิ กลบั ไปใชเ้ น้ือหาจากแหล่งขอ้ มลู พระวรสารนกั บุญมาระโกอกี ครงั้ แต่ยงั คงรกั ษาภาพ
ทส่ี อ่ื ถงึ อนาคตในช่วงสุดทา้ ยของโลก รปู แบบคาพดู ในพระวรสารนักบุญมาระโกแสดงภาพบรรดาศษิ ย์นาเสนอ
ประสบการณ์ทไ่ี ดน้ าบา้ นและครอบครวั ของผคู้ นมากมายเขา้ สชู่ ุมชนชาวครสิ ต์ แทนการใหพ้ วกเขาทง้ิ ครอบครวั
มาเพ่อื เป็นศษิ ย์ ในสว่ นอ่นื ๆ นักบุญมทั ธวิ ไดแ้ สดงการยอมรบั มุมมองทว่ี ่าครสิ ตจกั รคอื ครอบครวั ของพระเป็น
เจา้ (12:46-50; 18:1-35) แต่ในท่นี ้ี ยงั คงรกั ษาความแตกต่างท่ตี รงขา้ มกนั ระหว่างลกั ษณะภายนอกของสง่ิ ทเ่ี ป็นอยู่
ตอนน้ีกบั ความเป็นจรงิ ในวนั พพิ ากษาโลก รางวลั ทจ่ี ะมาถงึ ในวนั พพิ ากษาโลกไมไ่ ดม้ ไี วส้ าหรบั อคั รสาวกทงั้ สบิ
สองคนเท่านัน้ แต่สาหรบั ทุกคนท่ยี อมท้งิ ทุกสง่ิ เพ่อื เป็นศษิ ย์ ซ่งึ แตกต่างจากเศรษฐหี นุ่มใน 19:16-23 สาหรบั
นกั บุญมทั ธวิ รูปแบบชวี ติ ท่ศี ษิ ยถ์ ูกเรยี กมาและไดร้ บั การสอนในสว่ นน้ี (19:1-20:28) จะดสู มเหตุสมผลกต็ ่อเม่อื ยดึ
ตามวสิ ยั ทศั น์แห่งวนั พพิ ากษาโลก ซ่ึงเป็นชยั ชนะครงั้ สุดท้ายของอาณาจกั รพระเป็นเจ้า ดงั นัน้ คาว่า “ชวี ติ นิ
รนั ดร์” จงึ พบอีกครงั้ หน่ึงใน ว. 29 เพ่ือเป็นคาตอบท่ีเป็นบทสรุปสาหรบั คาถามท่ีถามใน 19:16 ข้อความใน
19:30 ไม่ไดเ้ ป็นการกล่าวแบบเป็นภาพรวม (Generalization) แต่เป็นการอา้ งองิ ทเ่ี ฉพาะเจาะจงสาหรบั นักบุญ
มทั ธวิ คอื ชาวฟา-รสิ ที เ่ี ป็นผตู้ ่อตา้ นชุมชนของนักบุญมทั ธวิ จะถูกปฏเิ สธในการพพิ ากษาครงั้ สุดทา้ ย สว่ นศษิ ย์
ชาวครสิ ตท์ ก่ี าลงั ถูกปฏเิ สธและขม่ เหงในขณะน้ีจะไดร้ บั การยนื ยนั ความบรสิ ทุ ธโิ ์ ดยพระเป็นเจา้

มทั ธวิ 20: 1-16 เรอ่ื งอปุ มาเป็นแบบนาชวี ติ ศษิ ยต์ อ้ งนาพา ช่วยเหลอื กนั ทางานในแผ่นดนิ

อปุ มาเร่ืองคนงานในสวนองุ่น
1 “อาณาจกั รสวรรค์เปรยี บเหมอื นพ่อบ้านผู้หน่ึงซ่งึ ออกไปตงั้ แต่เช้าตรู่ เพ่อื จ้างคนงานมาทางานในสวนองุ่น 2 ครนั้ ได้ตกลง
ค่าจา้ งวนั ละหน่ึงเหรยี ญกบั คนงานแลว้ กส็ ง่ ไปทางานในสวนองนุ่ 3 ประมาณสามโมงเชา้ พ่อบา้ นออกมากเ็ หน็ คนอ่นื ๆ ยนื อยู่ท่ี

448

ลานสาธารณะโดยไมท่ างาน 4 จงึ พดู กบั คนเหลา่ น้ีวา่ ‘จงไปทางานในสวนองนุ่ ของฉนั เถดิ ฉนั จะใหค้ า่ จา้ งตามสมควร’ 5 คนเหล่า
น้ีกไ็ ป พ่อบา้ นออกไปอกี ประมาณเทย่ี งวนั และบ่ายสามโมง กระทาเชน่ เดยี วกนั 6 ประมาณหา้ โมงเยน็ พ่อบา้ นออกไปอกี พบคน
อ่นื ๆ ยนื อยู่ จงึ ถามเขาวา่ ‘ทาไมท่านยนื อย่ทู น่ี ่ีทงั้ วนั โดยไมท่ าอะไร’ 7 เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มใี ครมาจา้ ง’ พอ่ บา้ นพดู จงึ วา่ ‘จงไป
ทางานในสวนองนุ่ ของฉนั เถดิ ’ 8 “ครนั้ ถงึ เวลาค่า เจา้ ของสวนบอกผจู้ ดั การวา่ ‘ไปเรยี กคนงานมา จ่ายคา่ จา้ งใหเ้ ขาโดยเรมิ่ ตงั้ แต่
คนสุดทา้ ยจนถงึ คนแรก’ 9 เมอ่ื พวกทเ่ี รมิ่ งานเวลาหา้ โมงเยน็ มาถงึ เขาไดร้ บั คนละหน่ึงเหรยี ญ 10 เม่อื คนงานพวกแรกมาถงึ เขา
คดิ ว่าตนจะได้รบั มากกว่านัน้ แต่ก็ได้รบั คนละหน่ึงเหรยี ญเช่นกนั 11 ขณะรบั ค่าจ้างเขาก็บ่นถึงเจ้าของสวนว่า 12 ‘พวกท่ีมา
สุดทา้ ยน้ีทางานเพยี งชวั่ โมงเดยี ว ท่านกใ็ หค้ า่ จา้ งแก่เขาเทา่ กบั เรา ซง่ึ ตอ้ งตรากตราอย่กู ลางแดดตลอดวนั ’ 13 เจา้ ของสวนจงึ พดู
กบั คนหน่งึ ในพวกน้ีวา่ ‘เพอ่ื นเอ๋ย ฉนั ไมไ่ ดโ้ กงทา่ นเลย ท่านไม่ไดต้ กลงกบั ฉนั คนละหน่ึงเหรยี ญหรอื 14 จงเอาคา่ จา้ งของท่านไป
เถดิ ฉนั อยากจะใหค้ นทม่ี าสุดทา้ ยน้ีเท่ากบั ใหท้ ่าน 15 ฉนั ไมม่ สี ทิ ธใิ์ ชเ้ งนิ ของฉนั ตามทฉ่ี นั พอใจหรอื ท่านอจิ ฉารษิ ยาเพราะฉนั ใจ
ดหี รอื ’
16 “ดงั น้ีแหละ คนกลมุ่ สดุ ทา้ ยจะกลบั กลายเป็นคนกลมุ่ แรก และคนกลุ่มแรกจะกลบั กลายเป็นคนกลุ่มสดุ ทา้ ย”

ข้อศึกษาวิพากษ์

20: 1-16 ขอให้ดูภาพรวม สาหรบั 19:16-20:16 เพ่อื เขา้ ใจความหมายตามบรบิ ทและโครงสร้างภายใต้
19:16-26 โดยดงั้ เดมิ นัน้ มนั เป็นหน่วยอสิ ระทม่ี มี าก่อนสมยั ของนักบุญมทั ธวิ ผ่านธรรมประเพณีทเ่ี ป็นการบอก
เล่าสบื ต่อกนั มา เร่อื งอุปมาของคนทางานในสวนองุ่นไดร้ บั การบอกเล่าโดยพระเยซูเจา้ ในบรบิ ทหน่ึง แต่บรบิ ท
นนั้ หายไปแลว้ ความหมายและหน้าทด่ี งั้ เดมิ ในบรบิ ทการกระทาภารกจิ ของพระเยซูเจา้ จรงิ ๆ จะตอ้ งไดร้ บั การ
แยกแยะออกจากความหมายและหน้าท่ีในบรบิ ททางวรรณกรรมของนักบุญมทั ธวิ (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ เก่ยี วกบั 13:1)
การจะรบั รวู้ ่า แต่เดมิ พระเยซูเจา้ ทรงบอกเล่าเรอ่ื งน้ีมาอย่างไร ผอู้ ่านจะตอ้ งเลย่ี งไม่มองแบบนิทานเปรยี บเทยี บ
ว่าเจา้ ของทด่ี นิ คอื พระเป็นเจ้า และการจ่ายค่าตอบแทนในวนั พพิ ากษาโลก เพราะการอ่านแบบนัน้ จะส่งผลให้
ผอู้ ่านระบุล่วงหน้าวา่ ตนเองเป็นฝ่ายพระเป็นเจา้ ผทู้ รงตดั สนิ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งเสมอ หากไมใ่ ชแ้ นวทางแบบนิทาน
เปรยี บเทยี บเช่นน้ี ผฟู้ ังจะรสู้ กึ เขา้ ใจคนงานกลุ่มแรกทถ่ี กู วา่ จา้ งก่อน และเรอ่ื งราวน้ีจะสามารถสง่ ผลในเชงิ อุปมา
ว. 13 หรอื 14ข คอื ตอนจบของเร่อื งอุปมาดงั้ เดมิ สว่ น ว. 14(ข)-16 คอื ส่วนท่นี กั บุญมทั ธวิ เตมิ ลงไปเพ่อื เน้นการ
ตคี วามแบบนิทานเปรยี บเทยี บ การอธบิ ายตคี วามพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ไม่ไดเ้ พยี งแต่เกย่ี วขอ้ งกบั การมองให้
เห็นอุปมาดงั้ เดมิ ในคาพูดของพระเยซูเจ้า แต่ต้องเขา้ ใจความหมายของเน้ือหาน้ีตามท่ปี รากฏในพระวรสาร
นักบุญมทั ธวิ ดว้ ย ซง่ึ มนั เช่อื มโยงอย่างใกลช้ ดิ กบั บรบิ ทส่วนก่อนหน้าน้ี (ประเดน็ เร่อื ง “ด”ี ใน 19:16; 20:16 [ดูเชงิ อรรถของ
ฉบบั NRSV]) และการสรุปจบแบบเดยี วกนั ดว้ ยคาพดู ใน 19:30 และ 20:16

เร่อื งอุปมาน้ีเรม่ิ ดว้ ยโลกทเ่ี ราคุน้ เคย มคี นงานไดร้ บั การว่าจา้ งตอนพระอาทติ ยข์ น้ึ และไดร้ บั ค่าจา้ งเม่อื
สน้ิ สุดวนั ซ่งึ สอดคล้องกบั กฎระเบยี บในหนังสอื ปัญจบรรพและแนวปฏบิ ตั ขิ องชาวยวิ (ลนต. 19:13; ฉธบ. 24:14-15)
หน่ึงเหรยี ญดานารอิ ุสเป็นค่าจ้างหน่ึงวนั ตามปกติสาหรบั ลูกจ้างรายวนั (ดู เทียบ ทบต. 5:15; Ber. Rab. 61) แต่เป็น
จานวนเงนิ ทแ่ี ทบจะไม่พอสาหรบั การเลย้ี งดูครอบครวั ในระดบั การยงั ชพี ผอู้ ่านในศตวรรษทห่ี น่ึงจะรสู้ กึ คุน้ เคย
กบั โลกของเรอ่ื งราวน้ี

เรอ่ื งอุปมาคอ่ ยๆ เปลย่ี นไปสอู่ กี มติ หิ น่ึงทต่ี ่างจากโลกชวี ติ ประจาวนั ทวั่ ไป ลกั ษณะทไ่ี ม่พบตามปกตเิ รมิ่
ก่อตวั ขน้ึ โดยไมม่ กี ารใหค้ าอธบิ ายใดๆ แทนทจ่ี ะสง่ ผจู้ ดั การไป เจา้ ของทด่ี นิ ผรู้ ่ารวยกลบั เดนิ ทางไปจา้ งคนงานท่ี
ตลาดเอง (เทยี บ ว. 8) และไปหลายครงั้ ดว้ ย แมแ้ ต่ในเวลา “สบิ เอด็ นาฬกิ า” (Eleventh Hour = หา้ โมงเยน็ ) ไม่มคี าอธบิ าย
วา่ เหตุใดผทู้ ่ี “ยนื โดยไม่มอี ะไรทา” จงึ ไม่ถูกว่าจา้ งไปตงั้ แต่การสรรหาคนงานครงั้ แรก คนงานกลุ่มแรกถูกว่าจา้ ง
ดว้ ยสญั ญาปากเปล่าตามจานวนปกติ สว่ นกลุ่มอน่ื ๆ กไ็ ดร้ บั คาสญั ญาวา่ จะไดร้ บั คา่ จา้ ง “อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม”

449

ดงั นนั้ จงึ เป็นการตงั้ คาถามโดยไมไ่ ดค้ าตอบวา่ อะไรคอื “ถูกตอ้ งเหมาะสม” (dikaios) (เทยี บ 1:19) แมว้ า่ กลมุ่ แรกจะมี
“สญั ญาว่าจา้ ง” แต่กลุ่มหลงั ทาได้เพยี งแต่เช่อื ในความยุตธิ รรมของผู้จ้าง แต่ในความเป็นจรงิ ทงั้ สองกลุ่มต้อง
พง่ึ พาความไวว้ างใจไดข้ องเจา้ ของทด่ี นิ ในฉากจบทุกคนไดร้ บั คา่ จา้ งเท่ากัน แต่ไม่ไดก้ ล่าวถงึ คนกลุ่มตรงกลาง
เพอ่ื มาเน้นทค่ี นกลุ่ม “แรก” และกลมุ่ “สุดทา้ ย”(ดู เทยี บ 19:30; 20:16 ซง่ึ เป็นวงเลบ็ สาหรบั อปุ มาน้)ี

ฉากจบท่มี กี ารจ่ายค่าจา้ งมอี งคป์ ระกอบทร่ี บกวนจติ ใจผอู้ ่านอย่างลกึ ซ้งึ มาก และทาใหเ้ ร่อื งน้ีเป็นอุปมา
ไม่ใช่การแสดง “ประเด็น” ท่ีสมเหตุสมผล ตามลาดบั ท่ีเจ้าของท่ีดนิ จดั ไว้ (ตอนน้ีเขาถูกเรยี กว่า “Lord”; 20:8) ผู้ท่ีถูก
ว่าจา้ งทหี ลงั ได้รบั ค่าจา้ งก่อน (เทยี บ 19:30) พวกเขาได้รบั ค่าจา้ งเตม็ วนั ดงั นัน้ กลุ่มผูท้ ่ถี ูกว่าจา้ งก่อนจงึ คาดหวงั
ตามความยุตธิ รรมว่าพวกเขาควรจะไดร้ บั มากกว่านัน้ (ว. 10) แต่พวกเขากลบั ไดร้ บั ตามทต่ี กลงกนั ไว้ ผอู้ ่านของ
นกั บุญมทั ธวิ ทเ่ี ราสนั นิษฐานวา่ ดาเนินชวี ติ ตามหลกั ความยุตธิ รรม คอื รบั ค่าจา้ งเท่ากนั กต็ อ้ งทางานเท่ากนั ย่อม
เขา้ ใจถงึ ความตกตะลงึ ของคนทท่ี างานมาทงั้ วนั ทงั้ รอ้ นทงั้ เหน็ดเหน่ือย เน้ือหาส่วนอ่นื ๆ ในพระวรสารนักบุญ
มทั ธวิ สนบั สนุนใหผ้ อู้ ่านซง่ึ เหน็ ชอบกบั ความยุตธิ รรมและจรรยาบรรณการทางานของนกั บุญมทั ธวิ คาดหวงั ว่า
คนทท่ี างานมากกวา่ ยอ่ มตอ้ งไดร้ บั มากกวา่ เหมอื นในบรบิ ทสว่ นกอ่ นหน้าน้ี (ดู 19:27-30 ถงึ 16:26)

เราจะต้องไม่มองขา้ มความเช่อื มโยงกบั 19:26-30 นักบุญมทั ธวิ สรุปจบหน่วยน้ีด้วยการใส่อุปมาลงไป
เช่นเดยี วกบั ใน 18:12-14 และ 18:23-35 (ดู โครงสรา้ งของ 18:1-35) ในท่นี ้ี กเ็ หมอื นกบั ส่วนอ่นื ๆ การทาเช่นน้ีไม่ใช่
เพ่อื ตอ้ งการจะจบดว้ ยสานวนสละสลวย แต่เพอ่ื ใหบ้ ทสรุปจบแบบอุปมาช่วยเลย่ี งการตคี วามทผ่ี ดิ และกระตุน้ ให้
เกิดการคดิ ใคร่ครวญ แมว้ ่านักบุญมทั ธวิ จะรูส้ กึ สะดุดใจกบั เร่อื งอุปมาน้ีเพราะมนั สามารถนามาใชแ้ สดงภาพ
แนวคดิ ของการท่ที ุกสงิ่ พลกิ ผนั เป็นตรงขา้ มระหว่างพวกแรกกบั พวกสุดท้ายและความดกี บั ความชวั่ (ท่านปรบั
เร่อื งราวดงั้ เดมิ ให้เป็นไปในทิศทางน้ี) แต่องค์ประกอบท่รี บกวนจติ ใจในอุปมาดงั้ เดมิ ยงั คงสะท้อนอยู่ในฉบบั ท่ีนักบุญ
มทั ธวิ เรยี บเรยี งขน้ึ ใหม่ อุปมาน้ีทาใหเ้ กดิ ความหงดุ หงดิ ใจเพราะว่ามนั ทา้ ทายและพลกิ ผนั คา่ นิยมตามแบบแผน
ทวั่ ไป ซง่ึ รวมถงึ ความยุตธิ รรมและเทย่ี งตรงในหมผู่ อู้ ่านทเ่ี คร่งศาสนาของนกั บุญมทั ธวิ น่คี อื เหตุผลหน่ึงวา่ ทาไม
นักบุญมทั ธวิ ถงึ เลอื กท่จี ะเกบ็ รกั ษาเอาไวแ้ ละนามนั ใส่ลงมาในส่วนน้ี ถงึ แมว้ ่าโดยดงั้ เดมิ แลว้ พระเยซูเจา้ น่าจะ
ตอ้ งการบอกเล่าเร่อื งราวน้ีกบั ผูท้ ว่ี พิ ากษ์วจิ ารณ์พระองคท์ ย่ี อมรบั คนเกบ็ ภาษีและคนบาป แต่นักบุญมทั ธวิ นา
เร่อื งน้ีรวมเขา้ มาเพ่อื ใหเ้ ป็นจุดสงู สุดของสว่ นเน้ือหาขนาดยาวทอ่ี ุทศิ ใหก้ บั การสอนคน ไม่ใช่ศาสตรก์ ารปกป้อง
หรอื พสิ จู น์ความเป็นชาวครสิ ต์ ในทน่ี ้ีกเ็ หมอื นกบั สว่ นอ่นื ๆ นกั บญุ มทั ธวิ เขา้ ใจเรอ่ื งราวน้ีแบบนทิ านเปรยี บเทยี บ
ดงั นนั้ สาหรบั นักบุญมทั ธวิ เจา้ ของทด่ี นิ คอื ผพู้ พิ ากษาในวนั สน้ิ พภิ พ คอื พระเป็นเจา้ หรอื พระเยซูเจา้ ซง่ึ เป็นผู้
“ทรงความดงี าม” อย่างแท้จรงิ ส่วนค่าจ้างเม่อื ตอนส้นิ สุดวนั คอื การพพิ ากษาครงั้ สุดท้าย (ตามบรบิ ทก่อนหน้าน้ีคอื
19:27-29) คนกลุ่ม “แรก” และกลุ่ม “สุดท้าย” ส่อื ถงึ คนในชุมชนความเช่อื หรอื ครสิ ตชนท่ที างานอย่างซ่อื สตั ย์มา
ยาวนานและผมู้ าใหม่ทย่ี งั ไมไดท้ างานมากเช่นนนั้ สมาชกิ บางคนในครสิ ตจกั รของนกั บุญมทั ธวิ อาจเขา้ ใจว่าคน
กลุ่มแรกหมายถงึ ชาวครสิ ตส์ ายเก่าทเ่ี คยเป็นชาวยวิ มาก่อน สว่ นคนกลุ่มสดุ ทา้ ยหมายถงึ ชาวครสิ ตท์ เ่ี คยเป็นชน
ตา่ งศาสนามาก่อน ซง่ึ ตอนน้ที งั้ สองกลมุ่ ไดร้ บั ทุกอยา่ งโดยเทา่ เทยี มเสมอภาคกนั

อุปมาน้ีเก่ยี วกบั การจดั การกบั ความขุ่นเคอื งทม่ี ตี ่อผอู้ ่นื ทไ่ี ด้รบั พระหรรษทานตามทเ่ี ขายอมรบั ในทาง
ทฤษฎี การนา ว. 10 และ ว. 12 มาเทยี บกนั ถอื เป็นการสอน ผทู้ างานตลอดทงั้ วนั ไม่เพยี งแต่คดั คา้ นพระหรรษ
ทานท่ผี ูอ้ ่นื ไดร้ บั เท่านัน้ แต่ยงั คาดหวงั ว่าตนเองจะได้รบั มากกว่าอกี ด้วย (ว. 10) ทงั้ ท่พี วกเขาได้รบั ค่าจ้างตาม
ขอ้ ตกลงอย่างยุตธิ รรมแลว้ พวกเขาไม่เพยี งแต่คดั คา้ นในสง่ิ ทต่ี นไดร้ บั เท่านนั้ แต่ยงั ทกั ทว้ งว่าคนอ่นื ทถ่ี ูกทาให้

450

“เท่าเทยี ม” กบั พวกเขานัน้ รูส้ กึ ว่าทนได้ยาก เม่อื พวกเขาไม่เหน็ ชอบกบั การท่พี ระเป็นเจ้ายอมรบั ผูอ้ ่นื ใหเ้ ท่า
เทยี มกบั ตนดว้ ยพระหรรษทานของพระองค์ พวกเขาจงึ เหนิ ห่างจากพระองค์ และพระองคท์ รงตรสั กบั พวกเขา
เหมอื นกบั เป็น “เพ่อื น” ทอ่ี ย่หู ่างไกล (hetaire) อุปมาน้ีถูกนามาวางในตาแหน่งท่เี หมาะสมคอื ทช่ี ่วงสรุปจบของ
19:16 - 20:16 มนั เชอ้ื เชญิ ใหเ้ ราใคร่ครวญความมอี านาจสูงสุดของพระเป็นเจา้ ผทู้ รงความดงี าม พระองคผ์ ทู้ รง
ไม่มใี ครสามารถต่อรองด้วยได้เพราะทรงเป็นพระผู้สรา้ งสรรพสงิ่ และทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุด (ดู เทยี บ รม 9:11)
นอกจากน้ี อุปมาดงั กล่าวยงั เหน็ ชอบกบั พระหรรษทานสงู สุดของพระเป็นเจา้ และไม่เหน็ ชอบกบั การทเ่ี ราทกึ ทกั
เอาเองเก่ยี วกบั พระหรรษทานของพระองค์ พระหรรษทานนัน้ เป็นส่ิงท่นี ่าอศั จรรย์เสมอ สงิ่ ใดท่สี ามารถ “คดิ
คานวณได”้ และ “คาดหวงั ได”้ ยอ่ มไม่ใชพ่ ระหรรษทาน (ดู เทยี บ 22:11-14)

ข้อคิดไตรต่ รอง
ทุกนิกายทเ่ี คล่อื นเขา้ สศู่ าสนาครสิ ต์กระแสหลกั ตอ้ งเผชญิ กบั คาถามว่า “แลว้ คนหนุ่มสาวผทู้ ่ี (มศี กั ยภาพจะ)

ประสบความสาเรจ็ ของเราจะเป็นอยา่ งไร?” คาถามทบ่ี รรดาคนหนุ่มสาวเองเป็นผผู้ ลกั ดนั นกั บญุ มทั ธวิ นาพระวร
สารนกั บุญมาระโกมาเปลย่ี นแปลงเพอ่ื ใหเ้ ขา้ ถงึ มติ ไิ ดด้ งั น้ี

1. สง่ิ ยากทส่ี ุดทช่ี าวครสิ ต์ในโลกตะวนั ตกสมยั ใหมจ่ ะเขา้ ใจเกย่ี วกบั เน้ือหาทก่ี ล่าวถงึ การแต่งงาน การหย่า
รา้ ง เดก็ เลก็ ๆ ความสาเรจ็ และความทะเยอทะยาน ไม่ใช่ตวั คาสอนใดคาสอนหน่ึง แต่เป็นมุมมองทว่ี ่า
ประเดน็ เหล่าน้ีเป็นมากกว่าเร่อื งของปัจเจกบุคคลทแ่ี ต่ละคนตอ้ งตดั สนิ เอง มุมมองน้ีนักบุญมทั ธวิ เรยี ก
รอ้ งใหเ้ ขา้ ใจว่าตนเองเป็นส่วนหน่ึงของชุมชน ไม่มกี ารตดั สนิ ใจใดๆ ทเ่ี ป็นเร่อื งปัจเจกบุคคลหรอื ส่วน
ตวั อย่างแทจ้ รงิ มมุ มองของนกั บุญมทั ธวิ เรยี กใหช้ าวครสิ ตเ์ ขา้ ใจว่าชวี ติ ของพวกเขากาลงั ดาเนินไปตาม
ตามพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ทอ่ี ยู่ในปัจจุบนั และทก่ี าลงั จะมาถงึ ซ่งึ เป็นตวั แทนของการพลกิ ผนั
เป็นตรงขา้ มของค่านิยมทางวฒั นธรรม ไม่ใช่การยนื ยนั ค่านิยมท่เี ป็นอยู่ ดงั นัน้ แต่ละคาสอนในพระวร
สารของนักบุญมทั ธวิ จงึ ไม่สามารถเขา้ ใจแบบย่อหน้าต่อย่อหน้า เวน้ แต่หรอื จนกระทงั่ บุคคลผู้นัน้ จะ
ยอมรบั มุมมองของชวี ติ ครสิ ตจกั รและความเชอ่ื ในการพพิ ากษาสดุ ทา้ ย

2. ตลอดของส่วนเน้ือหาขนาดยาวน้ี “อาณาจกั รสวรรค”์ คอื จุดกาหนดทศั นคตทิ ่ที าให้การใชช้ วี ติ บนโลก
แบบทพ่ี ระเป็นเจา้ ทรงเรยี กใหเ้ ราทานนั้ เป็นไปได้ สง่ิ น้ีไมไ่ ดห้ มายถงึ “ไปสวรรค”์ คาวา่ “พระอาณาจกั ร
สวรรค”์ เป็นคาปกตทิ น่ี กั บุญมทั ธวิ ใชส้ อ่ื ถงึ “พระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ ” ในสว่ นน้ีกเ็ ชน่ เดยี วกบั สว่ น
อ่นื ๆ ของพระวร-สาร อาณาจกั รทงั้ สองเผชญิ หน้ากนั และผอู้ า่ นจะตอ้ งตดั สนิ ใจเลอื กอย่างใดหรอื อย่ขู า้ ง
ใด (ดบู ทเสรมิ เรอ่ื ง “อาณาจกั รสวรรคใ์ นพระวรสารนกั บญุ มทั ธวิ ”)

3. ทงั้ เร่อื งราวของชายหนุ่มและอุปมาเร่อื งว่าจา้ งคนงานเขา้ ทางานในสวนองุน่ เป็นการแสดงภาพของพระ
หรรษทาน (Grace) ชายหนุ่มผูน้ ้ีเป็นตวั อย่างท่ดี ขี องผูท้ ่ี “มพี รอ้ มทุกสงิ่ ” ความเป็นหนุ่มสาว เงนิ ทอง
ศลี ธรรม และความรูส้ กึ ว่าน่าจะยงั มอี ะไรบางอย่างทม่ี ากไปกว่าสงิ่ เหล่าน้ี คอื ความสนใจในสง่ิ ทเ่ี ป็นนิ-
รนั ดรน์ นั่ เอง นกั บุญมทั ธวิ พยายามฝืนความตอ้ งการทจ่ี ะทาใหบ้ รรดาศษิ ย์ (และครสิ ตจกั รของท่าน) ดูดี
ขน้ึ โดยทาใหช้ ายผนู้ ้ีมองเหน็ ดา้ นมดื ของตนเอง เขาเป็นชายหนุ่มร่ารวยทเ่ี ป็นคนดแี ละมคี วามจรงิ ใจ ทุก
ครสิ ตจกั รย่อมต้องการ “จะได้” เขามา แต่เขายงั ขาดสงิ่ ใดเล่า? เขาคาดหวงั ว่าจะได้รบั ธรรมบญั ญัติ
เพมิ่ ขน้ึ อกี หน่ึงขอ้ ความสาเรจ็ สุดทา้ ยเพม่ิ ขน้ึ อกี หน่ึงอย่าง จากนัน้ ความพยายามไขว่ควา้ ของเขากจ็ ะ
ได้รบั การเตมิ เตม็ ไม่เพยี งแต่ชายหนุ่มผูน้ ้ีเท่านัน้ แต่ผูอ้ ่านเองจะต้องประหลาดใจเม่อื พระเยซูเจ้าทรง

451

บอกว่าเขายงั ขาดอยู่อกี สงิ่ หน่ึงและความรอดของเขานัน้ อาจเป็นไปไม่ได้ ในระดบั หน่ึง เร่อื งราวน้ีไม่
เพยี งแต่ยากเท่านนั้ แต่ยงั เหน็ ลู่ทางทไ่ี ม่ง่ายดว้ ย เม่อื มกี ารกล่าวปฏเิ สธว่า “ไม่” กบั ทุกสง่ิ ทเ่ี ป็นขอ้ อา้ ง
ของมนุษย์ “แตท่ กุ สง่ิ เป็นไปไดส้ าหรบั พระเป็นเจา้ ” การนาคาประกาศน้ไี ปรวมกบั การเรยี กใหเ้ ขา้ สคู่ วาม
เป็นศษิ ยจ์ ะชว่ ยป้องกนั ไม่ใหเ้ กดิ การมองวา่ พระหรรษทานนนั้ เป็นสง่ิ ทร่ี าคาถกู เกนิ ไป

เร่อื งของชายหนุ่มร่ารวยผูน้ ้ีเป็นภาพของการปฏเิ สธพระหรรษทานของคนท่ตี ้องการจะสรา้ ง
ความชอบธรรมให้แก่ตนเอง ส่วนเร่อื งราวเก่ยี วกบั นายจา้ งท่ดี คี อื ภาพของผทู้ ท่ี างานหนักและยาวนาน
รสู้ กึ ขุ่นเคอื งกบั คนอ่นื ท่ไี ดร้ บั พระหรรษทานเท่าเทยี มกนั เป็นมุมมองท่ตี ่างกนั ระหว่างเจา้ ของบา้ นกบั
คนงานทท่ี างานหนักและมากกว่าคนงานทเ่ี ขา้ มาทางานทหี ลงั อาจเทยี บกบั มุมมองของบุตรชายคนโต
กบั บุตรชายคนเลก็ ในอปุ มาเรอ่ื งลกู ลา้ งผลาญและลกู คนโตทค่ี ดิ วา่ ตนทาดแี ลว้ (ลก. 15: 11-32)

เร่ืองราวของเศรษฐีหนุ่มท่ีได้ปฏิเสธครัง้ ใหญ่ ในชีวิต (19:16-23) เป็ นเน้ือหาท่ีเข้าใจยาก
ตลอดเวลาหลายศตวรรษทผ่ี า่ นมา พระศาสนจกั รรสู้ กึ อดึ อดั ลาบากใจเกย่ี วกบั ความยากลาบากน้ีและได้
หาทางสรา้ งวธิ ที จ่ี ะเขา้ ใจเน้อื หาสว่ นน้ีในแบบทง่ี า่ ย
เพอ่ื ทาใหเ้ น้ือหาน้ีมคี วามยากน้อยลง ขอ้ ความ 19:24 ในบางตน้ ฉบบั (59; ฉบบั แปลภาษาอารเ์ มเนียนและอ่นื ๆอกี
สองสามฉบบั ) เปล่ยี นนาคาว่า “เชอื ก” มาแทนคาว่า “อูฐ” (“kamilos” แทน “kamelos”) ซ่ึงเป็นคาท่มี ตี วั อกั ษรกรกี
แตกต่างไปเพยี งตวั อกั ษรเดยี ว และออกเสยี งเหมอื นกนั ในภาษากรกี สมยั ไบแซนไทน์ แต่แม้การเปลย่ี นแปลงน้ี
จะทาให้เกดิ ภาพมคี วามสม่าเสมอสอดคลอ้ งกนั มากขน้ึ แต่การแก้ไขปัญหาเช่นน้ี ดูเหมอื นจะช่วยได้ แต่ความ
จรงิ คอื มนั เป็นไปไมไ่ ดอ้ ยดู่ ที จ่ี ะเอาเชอื กลอดผา่ นรเู ขม็
เร่อื งราวน้ีก่อใหเ้ กดิ ตานานในสมยั ยุคกลางท่เี ล่ากนั ว่ามปี ระตูเลก็ ๆ แห่งหน่ึงในกาแพงเมอื งเยรูซาเลม็
ซ่งึ มชี ่อื ว่า “ตาเขม็ ” (Needle’s Eye) มนั เลก็ มากจนอูฐท่บี รรทุกของไม่สามารถเดนิ ลอดผ่านเขา้ ไปได้ ต้องเอา
ของท่ีมนั บรรทุกออกก่อน ต้องให้มนั คลานและพยายามอย่างหนักท่จี ะลอดเขา้ ไป แต่ถึงแม้ว่ามนั จะเป็นบท
เทศนา “ท่ดี ”ี (ไม่ไดม้ าจากพระคมั ภรี )์ แต่อาจเขา้ ใจประเดน็ ของเร่อื งผดิ เหน็ ไดช้ ดั ว่าพระเยซูเจา้ ทรงพยายามแสดง
ภาพทส่ี ุดโต่งของความเป็นไปไม่ได้ และศษิ ยท์ งั้ หลายของพระองคก์ อ็ าจเขา้ ใจดี (ว. 25) แตไ่ ม่วา่ จะเป็นในกรณใี ด
กต็ าม ความจรงิ คอื ไมเ่ คยมปี ระตนู นั้ อยทู่ ก่ี าแพงเยรซู าเลม็ เลย มแี ต่ในการตคี วามขอ้ ความน้เี ทา่ นนั้
คาอธบิ ายแบบดงั้ เดมิ คอื พระเยซูเจา้ ทรงแยกศษิ ยอ์ อกเป็นสองระดบั หน่ึง คอื ชาวครสิ ต์ “ธรรมดา” และ
สอง คอื ผอู้ ย่ใู นกลุ่มผมู้ อี ภิสทิ ธแิ ์ ห่งความ “สมบูรณ์พรอ้ ม” แมว้ ่าการขายสมบตั ขิ องตนทงั้ หมดแลว้ นาเงนิ ไปให้
คนจนเป็นสงิ่ ทเ่ี ป็นไปไม่ไดใ้ นทางปฏบิ ตั สิ าหรบั คนธรรมดา แต่กลุ่มผูม้ อี ภสิ ทิ ธทิ ์ างศาสนาหรอื นักบวชในคณะ
ต่างๆ สามารถทาเช่นนัน้ ได้ ดงั นัน้ ความตงึ เครยี ดน้ีจงึ คลค่ี ลายลง คาอธบิ ายน้ีจะถูกทาลาย หากมกี ารตคี วาม
แบบดา้ นบน ซง่ึ นกั ตคี วามสว่ นใหญท่ งั้ ในนิกายโปรเตสแตนทแ์ ละคาทอลกิ มกั ไม่คอ่ ยใช้
นกั ตคี วามบางคนโตแ้ ยง้ ว่าชายหนุ่มร่ารวยคนนนั้ เป็นกรณีของคนทล่ี ะโมบมากเป็นพเิ ศษ ความร่ารวย
ของเขาจงึ เป็นอุปสรรคขดั ขวางการเขา้ มาเป็นศษิ ย์ พระเยซูเจา้ ทรงตระหนักถงึ เร่อื งน้ีดจี งึ เรยี กให้(เฉพาะ)เขาทา
เช่นนัน้ การขายทรพั ยส์ มบตั แิ ล้วนาเงนิ ไปมอบใหค้ นยากจนไม่ใช่สงิ่ ท่คี นอ่นื จาเป็นต้องทาเพราะคนอ่นื ไม่ได้
ปลอ่ ยใหส้ มบตั ทิ างโลกมาแทรกแซงกระแสเรยี กแห่งการเป็นชาวครสิ ต์ การตคี วามเช่นน้ีดมู ีความนยั เคลอื บแฝง
เพราะมนั ใหฉ้ ากน้ีทงั้ หมดกลายเป็นเรอ่ื งเฉพาะบุคคล ราวกบั ว่าเป็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งชายผนู้ ้กี บั พระเป็นเจา้
เท่านนั้ เพราะสมบตั ขิ องเขาเป็นเครอ่ื งกดี ขวางถนนทน่ี าไปสคู่ วามมศี รทั ธาแก่กลา้ แต่ในทน่ี ้มี ผี เู้ กย่ี วขอ้ งถงึ สาม

452

ฝ่าย ไม่ใช่สองฝ่าย คนยากจนคอื ผทู้ ต่ี อ้ งการสงิ่ ทช่ี ายคนน้ีมอี ยู่ และพวกเขายงั ขาดแคลน หากชายผนู้ ้ีไม่ยอม
สละมนั ไป โรเบริ ์ต กันดรยี ์ (Robert Gundry) กล่าวไวอ้ ย่างชดั เจนว่า “แมก้ ระทงั่ ในระดบั ความศรทั ธาเฉพาะ
บุคคล (Personal Piety) การมองว่าพระเยซูเจา้ ไม่ได้เรยี กใหท้ ุกคนสละทรพั ยส์ มบตั ทิ งั้ หมดของตน เป็นเพยี ง
คนบางประเภททพ่ี ระองคจ์ ะทรงบญั ชาใหท้ าเชน่ นนั้ ”

นักตคี วามบางคนโต้แยง้ ว่า ตามสถานการณ์พเิ ศษทพ่ี ระเยซูเจา้ ตอ้ งเผชญิ ในสมยั 30 ปีก่อนครสิ ตกาล
คอื พระองคท์ รงเรยี กศษิ ยท์ เ่ี ลอื กสรรแลว้ เพยี งไม่กค่ี นใหล้ ะทง้ิ บา้ นเรอื นและครอบครวั เพอ่ื ตดิ ตามพระองคไ์ ปใน
การเดนิ ทางในสมยั ทพ่ี ระองคท์ รงทาพนั ธกจิ บนโลกน้ี (เทยี บ 10:5-13) พระองคท์ รงเรยี กชายหนุ่มผนู้ นั้ ใหเ้ ขา้ มาทา
หน้าทพ่ี เิ ศษน้ีเชน่ กนั ความเป็นศษิ ยข์ องพระครสิ ตโ์ ดยทวั่ ไปไม่จาเป็นตอ้ งเกย่ี วกบั การอทุ ศิ ตนแบบพเิ ศษน้ี การ
ตคี วามเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ (และดูจะเขา้ ขา้ งตนเอง) เช่นน้สี รุปว่ามเี พยี งไม่กค่ี นในสมยั 30 ปีก่อนครสิ ตกาลทถ่ี ูกเรยี กให้
สละทรพั ยส์ นิ ทกุ อยา่ ง แต่ศษิ ยส์ มยั ใหมอ่ าจไมจ่ าเป็นตอ้ งทาเชน่ นนั้ กไ็ ด้

เน้ือหาส่วนน้ี บางครงั้ ถูกใชเ้ ป็นตวั อย่างของความแตกต่างระหว่างคาสอนของชาวยวิ ทว่ี ่าความร่ารวย
ทางโลกคอื รางวลั แห่งความชอบธรรม (ฉธบ. 28:1-14) กบั แนวคดิ ของชาวครสิ ต์ท่ีว่าความร่ารวยไม่จาเป็นต้อง
เช่อื มโยงกบั ความชอบธรรม แต่พระคมั ภีร์พนั ธสญั ญาเก่าและศาสนายูดายยงั เตือนเราถงึ อนั ตรายของความ
ร่ารวย (เช่น สภษ. 15:16; 30:8-9; อสค. 7:19; บสร. 31:5-7) รวมถงึ ภาพทพ่ี ระคมั ภรี ์ภาคพนั ธสญั ญาใหม่ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ชาว
ครสิ ตท์ ร่ี ่ารวยสละทรพั ยส์ มบตั ขิ องตนมาชว่ ยพระองคแ์ ละบรรดาอคั รสาวก (บางครงั้ แสดงความพงึ พอใจออกมาอยา่ งเหน็ ได้

ชดั เชน่ ลก 8:1-3; 16:14-15; กจ. 17:4)

แต่ทแ่ี น่นอนคอื นกั บุญมทั ธวิ รเู้ ช่นกนั ว่าชาวครสิ ตท์ ุกคนไม่ไดข้ ายทรพั ยส์ นิ ของตนเองแลว้ นาเงนิ ไปมอบ
ให้คนยากจน ชาวครสิ ต์ท่รี ่ารวย(เช่น โยเซฟ ชาวอารมิ าเธยี )บางคนได้รบั คาช่นื ชมอย่างดี (27:57 เทยี บ บทนา) ดงั นัน้ ผู้
ตคี วามจงึ ตอ้ งระวงั “คาอธบิ าย” ทด่ี บู รรเทาใจและทาใหเ้ รารสู้ กึ สบายเกนิ ไปกบั เน้ือหาน้ี เช่นเดยี วกบั อุปมาอน่ื ๆ
ของพระเยซูเจา้ เรอ่ื งราวน้ีต่อตา้ นการนาไปลดทอนใหเ้ หลอื เป็นคาอธบิ ายชดั ๆ ทส่ี อดคลอ้ งอย่างสบายๆ กบั สง่ิ
ท่ีเป็นแบบแผนนิยมของเรา มนั เหมือนกับอุปมาตรงท่ีมนั เป็นภาพท่ีรบกวนจิตใจและกระตุ้นให้เราคิดถึง
ความหมายของการเป็นศษิ ย์ แต่ไม่ได้บอกอย่างละเอยี ดชดั เจนว่าจะต้องทาอย่างไร เช่นน้ีความตงึ เครยี ดน้ีจงึ
ยงั คงมอี ยู่

นอกจากน้ี นักบุญมทั ธวิ เขยี นว่า “ธรรมาจารย์ทุกคนท่มี าเป็นศษิ ยแ์ ห่งอาณาจกั รสวรรคก์ เ็ หมอื นกบั เจ้า
บา้ นทน่ี าทงั้ ของใหม่และของเก่าออกจากคลงั ของตน” (มธ. 13: 52) จงึ เป็นสญั ญาณช้แี นะนาตวั เองว่า เป็นธรรมา
จารยช์ าวยวิ ผเู้ ชย่ี วชาญพระคมั ภรี ก์ ลายเป็นศษิ ยข์ องพระอาณาจกั รสวรรค์ ซง่ึ หมายความวา่ กลบั ใจมาหาพระ
ครสิ ตเจา้ และสามารถถ่ายทอดขุมทรพั ยข์ องพนั ธสญั ญาเดมิ และพนั ธสญั ญาใหม่ ทงั้ ของเก่าและของใหม่ใหแ้ ก่
เรา ความสอดคลอ้ งกลมกลนื ของพนั ธสญั ญาเดมิ และพนั ธสญั ญาใหม่เป็นความร่ารวยของพระวรสาร ท่ธี รรมา
จารยผ์ กู้ ลบั ใจคนน้ีไดเ้ ป็นผเู้ ขยี นพระวรสารของนักบุญมทั ธวิ คนเกบ็ ภาษี (Gelinas, Andre, SJ; ราพงึ และเขา้ ใจพระวรสาร

นกั บญุ มทั ธวิ ฉบบั ภาษาไทย หน้า147-8, สงิ หาคม 2009)

สว่ นเรอ่ื งอุปมา “คนงานในสวนองนุ่ ” สมเดจ็ พระสนั ตะปาปา ยอหน์ ปอล ท่ี 2 ทรงออกสมณสาสน์ เรอ่ื ง
กระแสเรยี กและพนั ธกจิ ของฆราวาสในพระศาสนจกั รและสงั คมโลก ค.ศ. 1987 เน้นสอนบทบาทของฆราวาสใน
พระศาสนจกั ร งานประกาศขา่ วดที แ่ี ต่ละคนสามารถทาไดแ้ ละรว่ มมอื กนั ดงั อปุ มาเรอ่ื งคนงานในสวนองนุ่ พระ
อาณาจกั รของพระเจา้ เปรยี บดงั เจา้ บา้ นคนหน่งึ ไดอ้ อกมาในตอนเชา้ ทรงเรยี กและวา่ จา้ งคนงานไปทางานใน
สว่ นองนุ่ ตกลงคนละ 1 เหรยี ญดานารอี ุสตอ่ วนั ตอ่ มา ในตอนสาย ตอนเทย่ี ง ตอนบ่ายและตอนเยน็ เจา้ บา้ นได้

453

ออกมาอกี และไดเ้ รยี กคนทย่ี นื อยู่ แต่ยงั ไมท่ าอะไรให้ เขา้ ไปทางานในสว่ นองนุ่ เชน่ กนั ทกุ คนไดเ้ ขา้ ไปทางาน
ในสว่ นองนุ่ (มธ. 20: 1-2) พระองคท์ รงเปรยี บสวนองนุ่ เหมอื นกบั แผน่ ดนิ โลก มงี านและผนื ทง่ี านมากมายเพยี งพอ
แกม่ นุษยห์ ลายกลุ่ม ทงั้ หญงิ และชาย ทกุ คนมสี ทิ ธเิ ์ขา้ ทางานในสวนองนุ่ ของพระเป็นเจา้ และไดร้ บั คา่ จา้ งเทา่ กนั
อาจทรงหมายถงึ มนุษยม์ สี ถานภาพและศกั ดศิ ์ รเี ทา่ เทยี มกนั ในพระอาณาจกั รของพระเป็นเจา้ เมอ่ื ไดร้ บั เรยี กจาก
พระเป็นเจา้ แลว้ ทุกคนไดเ้ ขา้ ไปทางานในสวน มนุษยผ์ ตู้ อบรบั พระวาจาของพระเยซเู จา้ กลบั กลายเป็นศษิ ยข์ อง
พระองค์ ทาหน้าทป่ี ระกาศสอนและทาพนั ธกจิ แห่งการประกาศขา่ วดแี ห่งอาณาจกั รสวรรคแ์ กส่ งั คมโลก
ยง่ิ กวา่ นนั้ ยน. 1: 12-13 สอนวา่ พวกเขากลบั กลายเป็นบุตรของพระเป็นเจา้ พวกเขาตอ้ งทาหน้าทข่ี องบุตร
และทายาทสวรรค์

มทั ธวิ 20:17-19 การพยากรณ์ถงึ พระมหาทรมานครงั้ ทส่ี าม

พระเยซูเจา้ ทรงทานายเรอื่ งพระมหาทรมาน เป็นครงั้ ที่สาม
17 พระเยซูเจา้ กาลงั เสดจ็ ขน้ึ ไปยงั กรุงเยรซู าเลม็ พระองคท์ รงพาเฉพาะอคั รสาวกสบิ สองคนออกไป แลว้ ตรสั แก่เขาขณะเดนิ ทาง
ว่า 18 “บดั น้ี พวกเรากาลงั ขน้ึ ไปยงั กรุงเยรซู าเลม็ บุตรแห่งมนุษยจ์ ะถูกมอบแก่บรรดาหวั หน้าสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ เขา
จะถูกตดั สนิ ประหารชวี ติ 19 และจะถูกมอบใหค้ นต่างชาตสิ บประมาทเยาะเยย้ โบยตแี ละนาไปตรงึ กางเขน แต่วนั ทส่ี ามบุตรแห่ง
มนุษยจ์ ะกลบั คนื ชพี ”

ข้อศึกษาวิพากษ์
กรุงเยรซู าเลม็ ไดร้ บั การประกาศว่าจะเป็นสถานทแ่ี หง่ ความตายของพระเยซูเจา้ ใน 16:21 การพยากรณ์

ครงั้ สุดท้ายน้ีเกดิ ขน้ึ ในขณะทพ่ี วกเขากาลงั เดนิ ทางไปทน่ี ัน่ แมว้ ่าภูมปิ ระเทศเปลย่ี นไปขณะทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรง
เดนิ ทางอย่างสตั ย์ซ่อื ไปสู่กรุงเยรูซาเลม็ (20:17, 29) แนวคดิ ของตอนท่เี ป็นการสอนศษิ ย์ก่อนหน้าน้ียงั คงดาเนิน
ตอ่ ไป (สาหรบั ความหมายตามบรบิ ท ดภู าพรวม ดา้ นบน)

นกั บุญมทั ธวิ นาขอ้ มลู จากพระวรสารนกั บุญมาระโกมาเรยี บเรยี งใหมเ่ ลก็ น้อยเพอ่ื ใหพ้ ระเยซูเจา้ ทรงเป็น
ประธานของประโยคแต่เพยี งผเู้ ดยี ว เน้นความสาคญั ของอานาจสงู สุดของพระองคท์ างครสิ ตศาสตรโ์ ดยแสดงให้
เหน็ ว่าพระองคม์ อี านาจควบคุมทุกสงิ่ ไม่ไดอ้ ย่ใู นสภาพของเหย่อื ทถ่ี ูกกระทาอย่างไม่เตม็ ใจ แม้นักบุญมทั ธวิ จะ
ตระหนกั รบั รวู้ า่ การประหารชวี ติ พระเยซูเจา้ จะถูกกระทาโดยชาวต่างชาติ ทา่ นปรบั เปลย่ี นเน้ือหาจากพระวรสาร
นักบุญมาระโกเพ่อื เน้นความมอี านาจสูงสุดของพระเป็นเจา้ และความรบั ผดิ ชอบของชาวยวิ ซ่งึ เป็นระดบั ของ
มนุษย์ เช่นเดียวกบั ในพระวรสารนักบุญมาระโก คาพยากรณ์พระมหาทรมานน้ีมรี ายละเอียดมากท่ีสุด นัก
บญุ มทั ธวิ มคี วามถกู ตอ้ งแม่นยายงิ่ กวา่ นกั บุญมาระโก โดยมกี ารระบเุ ป็นครงั้ แรกวา่ การตรงึ กางเขนจะเป็นวธิ ที ใ่ี ช้
ประหารชวี ติ พระองค์ (แต่คาวา่ “กางเขน” มปี รากฏอยกู่ ่อนแลว้ ใน 10:38 และ 16:24) ดงั นนั้ นักบุญมทั ธวิ จงึ แสดงใหเ้ หน็ วา่ พระ
เยซูเจา้ ทรงตระหนกั ดอี ยแู่ ลว้ วา่ จะมอี ะไรรอพระองคอ์ ยขู่ า้ งหน้า

หน้าทอ่ี กี อย่างหน่ึงของ “คาพยากรณ์พระมหาทรมานครงั้ ทส่ี าม” คอื การนาเสนอพระเยซูเจา้ ผเู้ ป็นบุตร
แห่งมนุษยแ์ ละเป็นผพู้ พิ ากษาในวนั สน้ิ พภิ พ ในฐานะตวั อยา่ งและจุดเรมิ่ ตน้ ของวถิ กี ารใชช้ วี ติ แบบทพ่ี ระองคท์ รง
เรยี ก สงั่ สอน และตระเตรยี มศษิ ยท์ งั้ หลายของพระองค์ ในพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ ผอู้ ่านจะพบอย่เู สมอวา่ ชวี ติ
ทค่ี รสิ ตจกั รไดร้ บั การเรยี กใหป้ ฏบิ ตั มิ พี น้ื ฐานอยบู่ นหลกั ครสิ ตศาสตร์ และหลกั ครสิ ตศาสตรก์ บั ศาสตรแ์ หง่ วนั สน้ิ
พภิ พนนั้ กเ็ ป็นสง่ิ ทแ่ี ยกจากกนั ไมไ่ ด้
มทั ธวิ 20:20-28 ความเขา้ ใจผดิ ของสาวก

454

มารดาของบุตรเศเบดีขอสิทธิพิเศษ
20 มารดาของบุตรเศเบดเี ขา้ มาเฝ้าพระองค์พรอ้ มกบั บุตร นางกราบลงทลู ขอสง่ิ หน่ึงจากพระองค์ 21 พระองค์จงึ ตรสั ถามนางว่า
“ท่านตอ้ งการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองคท์ รงอนุญาตใหบ้ ุตรทงั้ สองคนของขา้ พเจา้ นัง่ ขา้ งขวาคนหน่ึง นัง่ ขา้ งซ้ายคนหน่ึงใน
พระอาณาจกั รของพระองค”์ 22 พระเยซูเจา้ ตรสั ตอบวา่ “ท่านไมร่ วู้ า่ กาลงั ขออะไร ท่านดม่ื ถว้ ย ซง่ึ เราจะด่มื ไดห้ รอื ไม”่ เขาทงั้ สอง
ทลู ตอบวา่ “ได้ พระเจา้ ขา้ ” 23 พระองคต์ รสั กบั เขาวา่ “ท่านจะดม่ื ถว้ ยของเรา แต่การทจ่ี ะนงั่ ขา้ งขวาหรอื ขา้ งซา้ ยของเรานนั้ ไม่ใช่
หน้าทข่ี องเราทจ่ี ะให้ แตส่ งวนไวส้ าหรบั ผทู้ พ่ี ระบดิ าของเราทรงจดั เตรยี มไว”้
ผนู้ าต้องรบั ใช้ผอู้ ่ืน
24 เมอ่ื ไดย้ นิ ดงั นนั้ อคั รสาวกอกี สบิ คนรสู้ กึ โกรธพน่ี ้องสองคนนนั้ 25 พระเยซูเจา้ จงึ ทรงเรยี กทุกคนมาพบ ตรสั ว่า “ท่านทงั้ หลาย
ย่อมรูว้ ่าคนต่างชาติท่เี ป็นหวั หน้า ย่อมเป็นเจ้านายเหนือผูอ้ ่นื และผูใ้ หญ่ย่อมใช้อานาจบงั คบั 26 แต่ท่านทงั้ หลายไม่ควรเป็น
เช่นนัน้ ผูท้ ป่ี รารถนาจะเป็นใหญ่ จะตอ้ งทาตนเป็นผูร้ บั ใชผ้ อู้ ่นื 27 และผใู้ ดทป่ี รารถนาจะเป็นคนทห่ี น่ึงในบรรดาท่านทงั้ หลาย ก็
จะตอ้ งทาตนเป็นผูร้ บั ใช้ 28 เหมอื นกบั ทบ่ี ุตรแห่งมนุษย์มไิ ดม้ าเพ่อื ให้ผูอ้ ่นื รบั ใช้ แต่มาเพ่อื รบั ใช้ผอู้ ่นื และมอบชวี ติ ของตนเป็น
สนิ ไถ่7 เพอ่ื มวลมนุษย”์

ข้อศึกษาวิพากษ์
มกี ารเคล่อื นท่กี ้าวนาไปขา้ งหน้าอย่างเหน็ ไดช้ ดั ในพระวาจาของบุตรแห่งมนุษยท์ งั้ สามครงั้ ในส่วนน้ี (ดู

บทเสรมิ เรอ่ื ง “ครสิ ตศาสตรข์ องนกั บุญมทั ธวิ ”) หน่ึง คอื อนาคตทเ่ี ป็นวาระสดุ ทา้ ย บุตรแหง่ มนุษยจ์ ะนงั ่ อย่บู นบลั ลงั กแ์ หง่ สริ ิ
รุง่ โรจน์ (19:28) คาประกาศถงึ ชยั ชนะแห่งพระอาณาจกั รพระเป็นเจา้ ในวนั สน้ิ พภิ พมตี วั แทนคอื พระเยซูเจา้ ผทู้ รง
เป็นหลกั ค้าจุนคาสงั่ ทงั้ หมดใน 19:1-20:34 สอง คอื อนาคตอนั ใกล้ ภาพความทุกขท์ รมานของบุตรแห่งมนุษย์
และการยนื ยนั ความบรสิ ุทธิ ์ (20:18-19) ซ่ึงเป็นสงิ่ ท่ีบรรดาศษิ ย์จะต้องคาดหมายถงึ ในระยะสนั้ สาม คอื ปัจจุบนั
ภาพของบุตรแห่งมนุษย์ทรงมอบตวั ตนของพระองค์เพ่อื การรบั ใชผ้ ูอ้ ่นื (20:28) ซ่งึ เป็นตวั อย่างสาหรบั ชวี ติ และ
พนั ธกจิ ของพวกเขาในปัจจุบนั กล่าวอกี อย่างคอื โมเดลท่ีนักบุญมทั ธวิ นาเสนอต่อผูอ้ ่านชาวครสิ ต์ยุคหลงั การ
กลบั คนื พระชนม์ชพี พฒั นาการนัน้ เรมิ่ ต้นจากพระสริ ริ ุ่งโรจน์ผ่านทางความทุกขท์ รมานและการสละตนเองให้
ผอู้ ่นื

มธ. 20:20-28 ไดน้ าฉากเหตุการณ์น้ีจาก มก. 10:35-45 มาปรบั โดยคงรกั ษารปู แบบต่างๆ ดงั น้ี (1) คา
ประกาศ (2) ความเขา้ ใจผดิ และ (3) คาสอนเพมิ่ เตมิ ถงึ แมว้ ่าสญั ลกั ษณ์เกย่ี วกบั ความเขา้ ใจผดิ ของบรรดาศษิ ย์
ส่วนใหญ่จะถูกนักบุญมทั ธวิ ตดั ท้งิ หรอื เรยี บเรยี งใหม่ แต่ท่านยงั คงรกั ษาองคป์ ระกอบของมนั ไวเ้ พ่อื สนับสนุน
ประเดน็ ทเ่ี พงิ่ กล่าวไป ในพระวรสารนกั บุญมาระโก นกั บุญเปโตรคอื ตวั อย่างทส่ี าคญั ของการเขา้ ใจผดิ เกย่ี วกบั
ธรรมชาตคิ วามเป็นกษตั รยิ แ์ บบพระเมสสยิ าหข์ องพระเยซูเจา้ และในทน่ี ้ี นกั บญุ ยากอบและนกั บญุ ยอหน์ ซง่ึ เป็น
ผทู้ พ่ี ระองคท์ รงเรยี กมาเป็นศษิ ยเ์ ป็นพวกแรกๆ ต่างเป็นตวั แทนของความเขา้ ใจผดิ เก่ยี วกบั ลกั ษณะของผเู้ ป็น
ศษิ ย์ทงั้ หลาย จากมุมมองทางวรรณกรรม บรรดาศษิ ยย์ งั คง “มดื บอด” และ “ไม่ได้คดิ อย่างพระเป็นเจา้ แต่คดิ

455

อย่างมนุษย์” (ดู ขอ้ ศกึ ษาวพิ ากษ์ เก่ยี วกบั 16:23) ทาใหพ้ ระเยซูเจา้ แสดงตวั ตนของพระองค์ในฐานะบุตรแห่งมนุษย์ท่ี
ต้องทนทุกข์ทรมานอกี ครงั้ เพ่อื เป็นตวั อย่างของการดาเนินชวี ติ ในแบบของพระอาณาจกั รสวรรค์และเตรยี ม
ผอู้ า่ นสาหรบั ฉากต่อไปซง่ึ เป็นฉากสรุป และความตาบอดของพวกเขาจะไดร้ บั การรกั ษาใหห้ าย

20:20 เพ่อื เป็นการปกป้องภาพลกั ษณ์ของบรรดาศษิ ย์ ซง่ึ ปกตแิ ลว้ นกั บุญมทั ธวิ มกั นาเสนอในฐานะผทู้ ่ี
มคี วามเขา้ ใจ นักบุญมทั ธวิ จงึ เปลย่ี นใหค้ าขอของศษิ ยค์ นหน่ึงเป็นคาขอทม่ี าจากแม่ของพวกเขาแทน หญงิ ทม่ี ี
การระบุว่าเป็น “มารดาของบุตรทงั้ สองแห่งเศเบด”ี มอี ย่ใู นพระวรสารนกั บุญมทั ธวิ เท่านนั้ และเธอปรากฏตวั อกี
ครงั้ ในฐานะพยานรบั รู้เหตุการณ์การถูกตรงึ กางเขน (27:56) แทนท่ีจะเป็นนางซาโลเมเหมอื นอย่างใน มก.
15:40

20:21 คาว่า “พระอาณาจกั ร” ถูกนามาแทนท่คี าว่า “สริ ริ ุ่งโรจน์” เพ่อื ให้สอดคล้องกบั แนวคดิ เร่อื งพระ
อาณาจกั รซ่งึ สนับสนุนการเรยี กใหม้ าใชช้ วี ติ ท่แี ตกต่างไปอย่างส้นิ เชงิ ในส่วนน้ี มโนภาพของ “มอื ขวาและมอื
ซา้ ย” สะทอ้ นถงึ การปกครองของบุตรแหง่ มนุษยบ์ นบลั ลงั กข์ องพระองคใ์ น 19:28

20:22 ผรู้ บั สารเปลย่ี นเป็นคาวา่ “พวกทา่ น” และเป็นการตรสั กบั บรรดาศษิ ยโ์ ดยตรง นกั บญุ มทั ธวิ ละเวน้
มโนภาพพธิ ลี ้างจากพระวรสารนักบุญมาระโก และมุ่งเน้นท่ภี าพของถ้วยอย่างเต็มท่ี เพราะมีธรรมประเพณี
มากมายจากพระคมั ภรี แ์ ละศาสนายดู ายทภ่ี าพน้ีเป็นสญั ลกั ษณ์ของความทุกขท์ รมาน การทดลอง การถูกปฏเิ สธ
การตดั สนิ โทษ และความตายอย่างโหดรา้ ย (ฉธบ. 32:1; สดด. 11:6; 16:5; 75:9 (8); อสย. 51:17; ยรม. 25:15-29; พคค. 4:21; อสค.

23:31-34; ศคย. 12:2; ความเป็นมรณสกั ขขี องอิสยาห์ 5:13; ภาษาตาร์กุมของชาวปาเลสไตน์เก่ยี วกบั ปฐก. 40:23; เทยี บกบั วว. 14:10; 16:19;

17:4; 18:6) เน่ืองจากในบางงานเขยี น ถ้วยน้ีส่อื ถงึ ถว้ ยแห่งพระพโิ รธของพระเป็นเจา้ ผตู้ คี วามบางคนจงึ เขา้ ใจว่า
ถว้ ยของพระเยซูเจา้ คอื ความตายของพระองค์ ซง่ึ เป็นความตายแทนทค่ี นบาปทงั้ หลาย ซมึ ซบั พระพโิ รธของพระ
เป็นเจา้ ไวแ้ ทนทพ่ี วกเขา แต่นัน่ ไม่อาจเป็นความหมายในทน่ี ้ี เพราะศษิ ยก์ ต็ ้องด่มื ถ้วยเดยี วกนั นัน้ (ว. 23) มรณ
สกั ขขี องอสิ ยาหใ์ น อสย. 5:13 แสดงใหเ้ หน็ ว่าถ้วยอาจหมายถงึ ความตายทพ่ี ระเป็นเจา้ ทรงกาหนดไว้ และผูท้ ่ี
จะตอ้ งถูกสงั หารนนั้ เตม็ ใจยอมรบั ภายหลงั นกั บุญมทั ธวิ นาภาพน้ีมาใชอ้ กี ครงั้ ในฉากเหตุการณ์งานเลย้ี งอาหาร
มอ้ื สุดทา้ ย (26:27) และสวนเกธเสมนี (26:39, 42) และคาสญั ญาของพระเยซูเจา้ ทว่ี า่ ศษิ ยจ์ ะตอ้ งดม่ื จากถว้ ยเดยี วกนั
ซง่ึ เช่อื มโยงความทุกขท์ รมานในธรรมประเพณีของอสิ ราเอลกบั ความทุกขท์ รมานของพระเยซูเจา้ และครสิ ตจกั ร
ของพระองค์

บรรดาศิษย์นั้นมัน่ ใจเกินไปในความสามารถของตน เช่น ใน 26:35 แต่ลองดูเทียบกับ 26:56
เชน่ เดยี วกบั ตอนทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเรยี กพวกเขาและไมเ่ พยี งแตท่ รงเหน็ วา่ พวกเขาเป็นใครในตอนนนั้ แต่ทรงรวู้ า่
พวกเขาจะเป็นอย่างไรในการรบั ใชพ้ ระองค์ (4:18-22) พระองคจ์ งึ มองผ่านความล้มเหลวของพวกเขาในทน่ี ้ี ทรง
รูจ้ กั พวกเขามากกว่าท่พี วกเขารูจ้ กั ตนเอง ศษิ ย์บางคนได้กลายเป็นมรณสกั ขจี รงิ ๆ รวมถึงนักบุญยากอบท่ี
พระองคต์ รสั ดว้ ยในทน่ี ้ี (ดู เทยี บ กจ. 12:2)

20:23 แมแ้ ตค่ วามเป็นมรณสกั ขกี ไ็ ม่ไดท้ าใหใ้ ครไดท้ น่ี งั่ พเิ ศษในพระอาณาจกั รทพ่ี วกเขา (คดิ ว่า) ตอ้ งการ
(ดู ข้อศึกษาวพิ ากษ์ เก่ียวกบั 20:1-16) ใน ว. 25 นักบุญมทั ธิวตัดคาว่า “แก่พวกเขา” (to Them) จากพระวรสารของ
นักบุญมาระโกออก ทาใหบ้ รรดาศษิ ย์เป็นสงิ่ ทเ่ี รามองผ่านไปเหน็ ครสิ ตจกั รยุคหลงั การกลบั คนื พระชนมช์ พี และ
พระเยซูเจา้ ทรงตรสั กบั ผอู้ า่ นพระวรสารโดยตรง วสิ ยั ทศั น์ของพระเยซูเจา้ เกย่ี วกบั ความเป็นผนู้ าทม่ี าจากการรบั
ใชส้ อดคลอ้ งกบั วสิ ยั ทศั น์ทแ่ี ตกต่างของพระองค์เก่ยี วกบั ความเป็นกษตั รยิ ์ (ดู เก่ยี วกบั 12:22-37) เพ่อื ใหเ้ กดิ ความ
แตกต่างอย่างขดั แยง้ กบั คาศพั ท์อนั สูงส่งและทรงอานาจทค่ี นมกั ใชก้ ล่าวถงึ ความเป็นกษตั รยิ ข์ องทางโลก พระ

456

เยซูเจ้าทรงใชค้ าว่า dea”konov (“diakonos” หรอื “deacon” ขา้ รบั ใชข้ า้ งโต๊ะอาหาร หรอื พนักงานเสริ ฟ์ อาหาร ซ่งึ เป็นศพั ท์เฉพาะ
สาหรบั พนั ธกจิ ของชาวครสิ ต์ดว้ ย) กบั คาว่า dou’lov (“doulos” หรอื “slave”) แทนทน่ี กั บุญมทั ธวิ จะนาภาพอ่นื มาใชแ้ ทนท่ี
ภาพความเป็นกษัตรยิ ์ (ซ่ึงมลี กั ษณะมอี ิทธพิ ลอานาจหรอื ข่มเหงผู้อ่นื อยู่เสมอในอาณาจกั รของมนุษย์) ท่านตคี วามคาน้ีใหม่โดย
พจิ ารณาจากการทพ่ี ระเยซูเจา้ ทรงเป็นการเผยแสดงจากพระเป็นเจา้ เร่อื งของคนแรกหรอื ผรู้ บั ใชน้ ัน้ เก่ยี วขอ้ ง
และเป็นการตคี วามแนวคดิ ของการพลกิ ผนั เป็นตรงขา้ มระหว่างการเป็นคนแรกและเป็นคนสุดทา้ ย ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ล
ตอ่ เน้อื หาสาระตอนน้อี ยา่ งมาก ทาใหเ้ รอ่ื งราวสนั้ ๆ น้ผี กู มดั กบั บรบิ ทอยา่ งใกลช้ ดิ ยงิ่ ขน้ึ

20:28 นักบุญมทั ธวิ เปลย่ี นคาเช่อื มงา่ ยๆ จากพระวรสารนักบุญมาระโก คอื จากคาว่า “และ”(And) เป็น
คาวา่ “เม่อื ” (Just as / hosper) เพอ่ื แสดงใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจนยง่ิ ขน้ึ วา่ พระเยซูเจา้ ในฐานะบุตรแหง่ มนุษยไ์ ดแ้ สดง
พระองคเ์ องเป็นตวั อยา่ งใหก้ บั แนวทางการใชช้ วี ติ และการทาพนั ธกจิ ของศษิ ย์ น่ีเป็นอกี ครงั้ หน่งึ ทศ่ี าสตรแ์ ห่งวนั
สน้ิ พภิ พพง่ึ พงิ ครสิ ตศาสตร์

ข้อคิดไตรต่ รอง
นักบุญมทั ธวิ ไดร้ บั เอาภาพชวี ติ ของพระเยซูเจา้ ทเ่ี ป็น “ค่าไถ่” มาจากพระวรสารของนักบุญมาระโก แต่

ไม่ได้นามาอธบิ ายเป็นหลกั คาสอนเกย่ี วกบั การไถ่โทษ (นักบุญมาระโกก็ไม่ไดท้ าเช่นนัน้ ) การทค่ี วามตายของพระเยซู
เจ้าส่งผลต่อการอภยั บาปและการเขา้ สู่พนั ธสญั ญาใหม่กบั พระเป็นเจ้า (26:28) เป็นสงิ่ สาคญั ยงิ่ สาหรบั นักบุญ
มทั ธวิ แต่ท่านไม่ได้ใส่ใจกบั การพจิ ารณาว่าต้อง “อธิบาย” เร่อื งน้ีอย่างไร คาว่า “ค่าไถ่” (Ransom / lytron) ใน
พระคมั ภรี ฉ์ บบั เจด็ สบิ ไดส้ ญู เสยี ความหมายทส่ี อ่ื ถงึ การปลดปล่อยโดยนาเงนิ ไปจ่ายใหผ้ คู้ มุ ตวั โดยมคี วามหมาย
เพยี งแค่ “การช่วยชวี ติ ” (Rescue) หรอื “ปล่อยตวั ” (Deliver) ซง่ึ เป็นการกระทาโดยอานาจของพระเป็นเจา้ (เช่น
อพย. 6:6; ฉธบ. 7:8) เช่นเดยี วกบั ใน 26:28 ความตายของพระเยซูเจา้ เกย่ี วขอ้ งกบั “คนจานวนมาก” ในสานวนของ
กลุ่มภาษาเซมิติก (อาหรบั และฮีบรู) ซ่ึงอยู่เบ้ืองหลงั ภาษากรกี ของนักบุญมทั ธิว คาว่า “Many” มกั ถูกใช้อย่าง
ครอบคลุม (แตกต่างจาก “A Few” และ “Only Part”) มากกว่าจากดั เฉพาะกลุ่ม (แตกต่างจาก “All”) ลองเปรยี บเทยี บระหวา่ ง 1
คร 10:17 ซง่ึ คาว่า “Many” กบั คาว่า “All” มคี วามหมายเดยี วกนั กบั 1ทธ 2:5-6 ซง่ึ ใหค้ วามหมายทถ่ี ูกตอ้ งของ
สานวนภาษาเซมติ กิ “พระเยซูครสิ ตผ์ ทู้ รงรบั สภาพมนุษยแ์ ละประทานชวี ติ ของพระองคเ์ องเป็นคา่ ไถ่สาหรบั ทุก
คน”

มทั ธวิ 20:29-34 ความมดื บอดไดร้ บั การรกั ษาใหห้ าย

คนตาบอดสองคนท่ีเมืองเยรีโค
29 ขณะทพ่ี ระเยซเู จา้ เสดจ็ ออกจากเมอื งเยรโี คพรอ้ มกบั บรรดาศษิ ย์ ประชาชนจานวนมากตดิ ตามพระองค์ 30 ชายตาบอดสองคน
นัง่ อยู่รมิ ทาง เม่อื ไดย้ นิ ว่าพระเยซูเจา้ กาลงั เสดจ็ ผ่านมา เขากร็ อ้ งตะโกนว่า “ขา้ แต่โอรสของกษตั รยิ ์ดาวดิ โปรดเมตตาเราเถดิ
พระเจา้ ขา้ ” 31 ประชาชนดุเขาใหเ้ งยี บ แต่เขากลบั ตะโกนดงั กว่าเดมิ “ขา้ แต่โอรสของกษตั รยิ ์ดาวดิ โปรดเมตตาเราเถดิ พระเจา้

457

ขา้ ” 32 พระเยซูเจา้ ทรงหยุดและทรงเรยี กทงั้ สองคน ตรสั ถามว่า “ท่านอยากใหเ้ ราทาอะไรให”้ 33 คนตาบอดทงั้ สองคนทลู ตอบวา่
“พระเจา้ ขา้ ขอใหต้ าของเรามองเหน็ ไดเ้ ถดิ ” 34 พระเยซเู จา้ ทรงสงสาร ทรงสมั ผสั นยั น์ตาของเขา ทนั ใดนนั้ เขากลบั มองเหน็ และ
ตดิ ตามพระองคไ์ ป

ข้อศึกษาวิพากษ์
สาหรบั ความหมายทางบรบิ ท ขอให้ดู “ภาพรวม” ด้านบน ส่วนน้ีเป็นข้อความคู่ขนานกบั 9:27-31 แต่

ไมใ่ ชเ่ ป็นแคก่ ารกลา่ วซ้า ในสว่ นนนั้ จดุ มงุ่ เน้นเป็นเชงิ ครสิ ตศาสตร์ เกย่ี วขอ้ งกบั งานของพระเมสสยิ าห์ (ดูภาพรวม
เก่ยี วกบั 8:1-9:35) ในส่วนน้ี เป็นบทสรุปจบของเน้ือหาท่เี ป็นการสอนและการดูแลให้ศษิ ย์เตบิ โตในความเช่อื สงิ่ ท่ี
มุ่งเน้นคอื บรรดาศษิ ย์ ผู้ซ่งึ เหมอื นคนตาบอด พวกเขาต้องใหพ้ ระเยซูเจ้าทรงรกั ษาความมดื บอดนัน้ ก่อนท่จี ะ
มองเหน็ หนทางใหมข่ องชวี ติ ซง่ึ ความเป็นศษิ ยเ์ รยี กใหพ้ วกเขากา้ วเดนิ ตอ่ ไป

นกั บุญมทั ธวิ เรมิ่ ตน้ ฉากเหตุการณ์น้ี ตอนทท่ี งั้ คณะกาลงั เดนิ ทางทางออกจากเมอื งเยรโิ ค (เทยี บ ลกู า) โดย
ทาให้มันเช่ือมโยงกับเมืองถัดไปคือกรุงเยรูซาเล็ม ท่ีซ่ึงคาว่า “บุตรแห่งดาวิด” ปรากฏข้ึนอีกครงั้ อย่างมี
ความสาคญั (21:9) ฉากน้ีและฉากต่อไปถูกนามาเช่อื มต่อกนั ด้วยฝูงชน แม้ว่าในท่นี ้ีจะมบี ทบาทเป็นเพียงตวั
ประกอบเพ่อื ใหเ้ กดิ คาพดู /การกระทาของพระเยซูเจา้ (เช่นเดยี วกบั บรรดาศษิ ยใ์ น 19:3 ซง่ึ มกี ารใชค้ ากรยิ าเดยี วกนั คอื “epitimao”)
นกั บุญมทั ธวิ ไม่ไดต้ คี วามเรอ่ื งราวน้ีเป็นนิทานสญั ลกั ษณ์เกย่ี วกบั การกลบั ใจ ซง่ึ แตกต่างจากแหล่งขอ้ มลู พระวร
สารนกั บุญมาระโก การทค่ี นตาบอดเรยี กพระเยซูเจา้ วา่ “พระเจา้ ขา้ ” ถงึ สามครงั้ เป็นเคร่อื งหมายของการเป็นผมู้ ี
ความเช่อื พวกเขาเรยี กพระองค์ว่า “บุตรแห่งดาวดิ ” สองครงั้ ซ่งึ เป็นตาแหน่งทางครสิ ตศาสตรท์ ่ถี ูกต้องและมี
ความหมายในทางทด่ี ใี นพระวรสารของนกั บุญมทั ธวิ (ดู บทเสรมิ เรอ่ื ง “ครสิ ตศาสตรข์ องมทั ธวิ ” เกย่ี วกบั “บุตรแหง่ ดาวดิ ผทู้ รงรกั ษา
คนป่วย” ดู 21:14-15) การมงุ่ เน้นทค่ี วามเช่อื ของคนเหล่าน้ี รวมถงึ “รายละเอยี ดทเ่ี ป็นสสี นั ” ในพระวรสารของนกั บุญ
มาระโกถูกตดั ทง้ิ ไป สง่ิ ทท่ี าใหก้ ารหายจากโรคเกดิ ขน้ึ ไมใ่ ช่ความเชอ่ื ของพวกเขา แต่เป็นพระวาจาอนั ทรงฤทธา
นุภาพของพระเยซูเจา้ ในอกี วธิ หี น่ึงนักบุญมทั ธวิ ชใ้ี หเ้ หน็ ว่าความเป็นศษิ ยเ์ ป็นของประทานจากพระหรรษทาน
ไม่ใช่ความสาเรจ็ ของมนุษย์ (ดู 16:17) ในฐานะบทสรุปและจุดสูงสุดของเน้ือหาส่วนน้ี (19:1-20:34) ซ่งึ พระเยซูเจ้า
พยายามจะทาใหศ้ ษิ ยข์ องพระองคม์ องเหน็ ธรรมชาตขิ องวถิ ชี วี ติ ทพ่ี ระองคท์ รงเรยี กพวกเขา นักบุญมทั ธวิ ไดใ้ ส่
เรอ่ื งราวทแ่ี สดงใหเ้ ราเหน็ วา่ พวกเขาสามารถ “มองเหน็ ” จรงิ ๆ กเ็ ป็นเพราะพระครสิ ตไ์ ดม้ อบสายตาใหก้ บั ผทู้ ม่ี ดื
บอดนนั่ เอง

เชน่ เดยี วกบั ใน 9:27-31 นกั บญุ มทั ธวิ เพม่ิ จานวนคนตาบอดเป็นสองเทา่ แตแ่ มว้ า่ การทาใหท้ กุ อยา่ งเป็น
“สอง” คอื รปู แบบการเขยี นเฉพาะตวั ของนกั บุญมทั ธวิ ผเู้ ตมิ คาว่า “สอง” หรอื เพมิ่ ลดจานวนบุคคลในพระวรสาร
นักบุญมาระโกเพ่อื ใหเ้ กดิ เป็นจานวน “สอง” (ดู เทยี บ 4:18, 21; 8:28; 9:27; 18:15-16, 19-20; 20-21, 24, 30 และแมแ้ ต่ 21:2, 7 ซ่งึ
เปลย่ี นแมก้ ระทงั่ ลาหน่ึงตวั ใหเ้ ป็นสองตวั ) ในทน่ี ้ี มนั อาจมคี วามสาคญั ในเชงิ เทววทิ ยาดว้ ย เช่นเดยี วกบั ทบ่ี ุตรทงั้ สองของ
เศเบดเี ป็นตวั แทนของศษิ ยท์ งั้ หมดในเร่อื งเล่าสนั้ ๆ ต่อจากนนั้ ชายตาบอดทงั้ สองคนน้ีทาใหเ้ ราเหน็ ไปถงึ ศษิ ย์
ทงั้ หลายทต่ี อ้ งไดร้ บั การรกั ษาใหห้ ายจากความมดื บอด (ดู เทยี บ 13:10-17) การเพม่ิ จานวนคนตาบอดเป็นสองคนทา
ใหพ้ วกเขากลายเป็นพยานทถ่ี กู ตอ้ งตามกฎหมาย (ฉธบ. 19:15; เทยี บ มธ. 18:16; 26:60) และเป็นสญั ลกั ษณ์ของชมุ ชน

458


Click to View FlipBook Version