The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

"วิศวกรสังคมวไลยอลงกรณ์: บัณฑิตจิตอาสาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน"

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by maliwan.pan, 2022-10-03 03:27:21

"วิศวกรสังคมวไลยอลงกรณ์: บัณฑิตจิตอาสาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน"

"วิศวกรสังคมวไลยอลงกรณ์: บัณฑิตจิตอาสาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน"

Keywords: วิศวกรสังคม,VRU,วศค.VRU,วศค.

ช่ือเรอื่ ง: วิศวกรสงั คมวไลยอลงกรณ์: บัณฑิตจิตอาสาเพอื่ การพฒั นาที่ย่ังยนื
ปีที่พิมพ:์ 2565

จดั ทำโดย:

ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ปิยะ สงวนสิน

ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์พชิ ญาณี เชิงครี ี ไชยยะ

ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สมทรง บรรจงธิติทานต์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์นนั ทิยา รักตประจติ

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์สญั ลกั ษณ์ กิง่ ทอง

อาจารย์ ดร.นพรัตน์ ไวโรจนะ

อาจารย์ ดร.ธนษิ ฐน์ นั ท์ จนั ทรแ์ ย้ม

อาจารย์ภาคิณ หมั่นทุ่ง

อาจารยธ์ ธธิ า เวียงปฏิ

อาจารย์รวพี รรณ กาญจนวฒั น์

อาจารยค์ ณติ เรืองขจร

นางสาววราภรณ์ ไชยสรุ ิยานันท์

นางสาวบวั ทิพย์ บุญประเสริฐ

นางสาวมลวิ รรณ พันธภ์ กั ดิ์

นางเพ็ญพนา เครอื เมฆ

นายอานนท์ มสี มบตั ิ

ทปี่ รึกษำ: ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สพุ จน์ ทรายแก้ว

พมิ พ์ท:่ี ศูนย์หนังสือและโรงพมิ พ์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์

ท่ีอยู่: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ จงั หวัดปทุมธานี
เลขที่ 1 หมู่ 20 ตาบลคลองหนง่ึ อาเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

คำนำ

หนังสือ “วิศวกรสังคมวไลยอลงกรณ์: บัณฑิตจิตอำสำเพ่ือกำรพัฒนำ
ทยี่ งั่ ยนื ” เลม่ นี้เกดิ ขน้ึ เพอ่ื เปน็ บนั ทกึ ความทรงจาอกี รปู แบบหนงึ่ นอกจากการรบั รู้
จากชอ่ งทางการสอื่ สารอน่ื ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ รปู ภาพ สอ่ื ออนไลน์ คลปิ ตา่ ง ๆ การบนั ทกึ
เรอ่ื งราวท่ีนา่ จดจาไว้ในหนังสือน้ี เปน็ ความตงั้ ใจของคณะผู้จดั ทาทป่ี รารถนาให้วถิ ี
การเรียนรใู้ นรปู แบบเดมิ ซึ่งกาลังจะเลอื นหายไปยงั คงอยู่

“วศิ วกรสงั คม” คา ๆ นี้ หากจะเปรยี บเทยี บใหเ้ กดิ จนิ ตภาพขนึ้ ในใจ นา่ จะ
เปรยี บไดก้ บั “ตน้ ไม”้ ซงึ่ กอ่ กาเนดิ จากเมลด็ พนั ธุ์ หรอื ตน้ กลา้ ทแี่ ขง็ แรง เมลด็ พนั ธ์ุ
หรอื ตน้ กลา้ “วศิ วกรสงั คม” ไดร้ บั การบม่ เพาะเปน็ ครง้ั แรก ณ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ จงั หวดั ปทุมธานี เมือ่ วันท่ี 17-19 กนั ยายน
พ.ศ. 2563 เมื่อ พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ได้นาหลักการแนวคิดเพ่ือพัฒนา
นกั ศกึ ษาทเี่ รยี กวา่ “วศิ วกรสงั คม” มาเผยแพรต่ อ่ ทป่ี ระชมุ อธกิ ารบดี คณะผบู้ รหิ าร
คณะอาจารย์ และแกนนานกั ศกึ ษาของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ทวั่ ประเทศ องคค์ วามรู้
ในครั้งน้นั ไดจ้ ุดประกายใหก้ ่อเกดิ การต้ังคาถาม ทบทวนการทางาน บทบาทหนา้ ท่ี
ของคนราชภัฏ การปะตดิ ปะตอ่ ทาความเข้าใจองค์ความรแู้ ละทักษะ แล้วเชื่อมโยง
บูรณาการศาสตร์ตามประสบการณ์ที่แนบแน่นของแต่ละคน เปรียบประดุจน้าใส
ไหลเยน็ เปน็ แรงบนั ดาลใจขบั เคลอื่ นใหเ้ มลด็ พนั ธพ์ุ รอ้ มงอกงาม ผลบิ าน สรรคส์ รา้ ง
งานให้แกช่ ุมชนและสังคมรายรอบมหาวทิ ยาลัยราชภัฏ

เมื่อกาลเวลาผันผ่าน เมล็ดพันธุ์ต่างเติบโตเป็นต้นกล้า ได้กลับมาพบกัน
อกี คร้งั เมื่อวนั ที่ 3-5 มนี าคม พ.ศ. 2564 เพื่อสานตอ่ รอ่ งรอยความคดิ ในครงั้ นั้น
จึงเริ่มเห็นใครหลายคนท่ีฉายแววส่องแสงการเติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรง ผู้ใหญ่
จึงได้ประจักษ์พลังความคิดที่น่าสนใจของเดก็ ๆ ชาวราชภัฏ แม้ต้องเผชิญมรสุม
การแพรร่ ะบาดของเชอื้ โรค ต้นกลา้ เหล่าน้ียังคงยนื หยัดปรบั ตัวฝกึ ฝนทกั ษะพัฒนา
ศกั ยภาพของตนเอง เรยี นรคู้ ดิ คน้ วธิ กี ารจัดการปญั หาตามหลกั การ “วศิ วกรสงั คม”
อยา่ งไม่หยดุ น่ิง

จงึ อาจกล่าวได้วา่ การเพาะเมลด็ พันธ์ุ จนเปน็ ตน้ กล้า และกาลังจะพฒั นา
กลายเปน็ ตน้ ไมใ้ หญเ่ หลา่ น้ี คือ การปลูกป่าขึ้นในใจคนราชภฏั ที่ลงหลักปักฐานอยู่
ทวั่ ภมู ภิ าคของผนื แผน่ ดนิ ไทย อนั มรี ากยนื หยดั แผล่ กึ ในพนื้ ดนิ เป็นกาลงั หลกั สาคัญ
ของการพฒั นาท้องถ่ิน ชมุ ชน สงั คมไทย อันมากกวา่ พนั ธกจิ แต่คือจิตวิญญาณของ
ชาวราชภฏั ทกุ คน ขอเชิญสง่ กาลงั ใจให้ตน้ ไมเ้ หลา่ นไ้ี ดท้ าหนา้ ทฟ่ี อกอากาศดี ๆ กัน
นะคะ

-4-

สำรบัญ หนำ้
1
บทนา 4
ภาพเลา่ เรอื่ งแนวคดิ วศิ วกรสังคม 5
แนวคิดวศิ วกรสงั คมเพ่ือการพัฒนาสงั คมท่ยี ง่ั ยนื 11
ผลการดาเนนิ งาน “วศิ วกรสังคม” 11

การดาเนนิ งานวศิ วกรสงั คม ปีการศึกษา 2563 13
- โครงการอบรม “วศิ วกรสังคม (Social Engineer) สาหรบั
20
นกั ศึกษามหาวิทยาลยั ราชภัฏเพอ่ื การพัฒนาประเทศ” 22
- โครงการออกแบบตราสญั ลกั ษณ์หม่ีกรอบรามัญ ชุมชนบ้านง้วิ 24
26
อาเภอสามโคก จงั หวัดปทุมธานี
- กจิ กรรมพฒั นาโรงเรียนดว้ ยจิตอาสา ชมรมเรารักไทย 26
- ชมรมครอบครวั อาสา ค่ายอาสาส่งตอ่ ความสุข ปีท่ี 5
การดาเนินงานวศิ วกรสังคม ปกี ารศกึ ษา 2564 28
1. โครงการอบรมแกนนาวิศวกรสังคม (แมไ่ ก่) มหาวิทยาลยั
29
ราชภฏั เขตภาคกลาง 38
2. โครงการอบรมให้ความรู้วิศวกรสังคมแก่อาจารย์มหาวิทยาลัย 41

ราชภฏั เขตภาคกลาง
3. กิจกรรม “Social Enterprise” ด้วยแนวคิด “วิศวกรสังคม

Social Engineer”
สรุปผลการดาเนินงานวิศวกรสังคม ปีการศกึ ษา 2564
การนาเสนอแผนผังความคิด (Mind Map) โครงการวิศวกรสงั คม



บทนำ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สพุ จน์ ทรายแก้ว
อธกิ ารบดี มหาวิทยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จงั หวดั ปทมุ ธานี
เปน็ มหาวทิ ยาลยั ตน้ แบบแหง่ การผลติ ครู พฒั นาศกั ยภาพมนษุ ย์ โดยยดึ หลกั ปรชั ญา
เศรษฐกจิ พอเพยี ง และสรา้ งนวตั กรรม เพอื่ พฒั นาทอ้ งถนิ่ ใหม้ น่ั คง มงั่ คง่ั ยง่ั ยนื โดย
มีพันธกจิ คือ 1) ยกระดบั การผลติ ครแู ละพัฒนาศักยภาพมนษุ ย์โดยกระบวนการ
จัดการเรยี นรเู้ ชงิ ผลติ ภาพ (Productive Learning) สร้างเครอื ข่ายความรว่ มมอื
ตามรูปแบบประชารัฐ เพ่ือพัฒนาท้องถ่ิน โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2) พฒั นาการวจิ ัยและนวตั กรรมเพอื่ ตอบสนองตอ่ การแกไ้ ขปญั หาของทอ้ งถนิ่ และ
เปน็ ตน้ แบบทส่ี ามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ และความเขม้ แขง็
ของท้องถิ่น 3) ประสานความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

1

เพ่ือพัฒนางานพันธกิจสัมพันธ์และถ่ายทอด เผยแพร่โครงการอันเน่ืองมาจาก
พระราชดาริเพื่อขยายผลการปฏิบัติไปสู่ประชาชนในท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรร ม
4) ส่งเสริมศาสนา ศิลปวัฒนธรรม รณรงค์สร้างจิตสานึกทางวัฒนธรรมและ
การเรยี นรตู้ า่ งวฒั นธรรม อนรุ กั ษฟ์ นื้ ฟแู ละเผยแพรม่ รดกทางวฒั นธรรม พฒั นาระบบ
การบริหารจดั การศิลปวฒั นธรรมท่ีนาไปต่อยอดสู่เศรษฐกจิ สร้างสรรค์ 5) พัฒนา
ระบบการบริหารจัดการท่ีเป็นเลิศ มีธรรมาภิบาลเพื่อเป็นต้นแบบของการพัฒนา
มหาวิทยาลยั อยา่ งยง่ั ยืน

แผนงานดา้ นการพฒั นาคนไทยยคุ ใหมแ่ หง่ ศตวรรษที่ 21 จึงมคี วามมงุ่ หวัง
เพื่อสร้างและพฒั นา “กาลังคน (Manpower)” ท่เี ปน็ ยุวชนคนรุ่นใหม่ ไม่จากดั ว่า
เปน็ นสิ ติ นักศกึ ษาหรอื บณั ฑติ ใหม่จะมคี วามถนดั ด้านวทิ ยาศาสตร์หรอื สงั คมศาสตร์
ซ่ึงคนไทยรนุ่ ใหม่ทุกคนจะไดร้ บั “โอกาส” ในการเรียนร้ตู ามความถนัดของตนเอง
จนได้ “ความรใู้ หม”่ หรอื “นวตั กรรม” ทสี่ ามารถนาไปพฒั นาตอ่ ยอดไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื
ดงั นนั้ การพฒั นานสิ ติ นกั ศึกษาซง่ึ เปน็ ทรพั ยากรสาคญั ของประเทศใหเ้ ปน็ “คนไทย
แห่งศตวรรษที่ 21” ที่ถึงพร้อมด้วยสติปัญญา วุฒิภาวะทางอารมณ์ และมีจิต
สาธารณะ ท่ามกลางความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจและการคา้ โลกทาให้นกั ศกึ ษา
สามารถลดภาวะการว่างงานของบัณฑิตใหม่ได้ ด้วยการบ่มเพาะอาชีพใหม่แห่ง
อนาคตท่สี ามารถสร้างคุณคา่ ใหม่ใหแ้ ก่เศรษฐกิจของประเทศ

มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จงั หวดั ปทมุ ธานี
มีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย คือ บัณฑิตจิตอาสา พัฒนาท้องถิ่น
และเปน็ สถาบนั ทน่ี อ้ มนาแนวทางการดาเนนิ ชวี ติ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
เป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่นท่ีสร้างระบบแนวคิดแบบใหม่ให้แก่นักศึกษา เพ่ือนาไปสู่
การพัฒนาชุมชนอย่างยง่ั ยืน โดยการใช้ทรัพยากรในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เพ่อื สร้างให้นกั ศึกษาคิดวเิ คราะห์เปน็ ระบบมีเหตุและผล โดยมคี ุณลักษณะหลกั 4
ประการคอื 1) นกั ศึกษาตอ้ งมที กั ษะในการคดิ วเิ คราะห์ เหน็ ความเชอื่ มโยงระหวา่ ง
เหตแุ ละผล เหน็ ปญั หาเปน็ เรอ่ื งทา้ ทาย 2) การนาความรทู้ เี่ รยี นไปใชป้ ระโยชนใ์ หแ้ ก่
ชมุ ชนไดอ้ ยา่ งไร สามารถสอ่ื สารองคค์ วามรทู้ เ่ี รยี นไปเพอ่ื นาไปแกป้ ญั หาใหแ้ กช่ ุมชน

2

ได้ 3) การทางานร่วมกับผู้อื่นโดยปราศจากข้อขัดแย้ง สามารถที่จะระดมกาลัง
ไม่วา่ จะภายในทอ้ งถิน่ หรอื นอกท้องถนิ่ เข้ามามสี ว่ นร่วมในงานพัฒนา และ 4) ตอ้ ง
มที ักษะในการสรา้ งนวัตกรรม เพ่ือแก้ปัญหาให้แก่ชุมชนทอ้ งถ่ินได้

บัดนี้ มหาวิทยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไดด้ าเนิน
โครงการวศิ วกรสงั คม มาเป็นระยะเวลา 2 ปี จึงจัดทาสรุปรายงานการดาเนนิ งาน
วศิ วกรสงั คมโดยมผี ลความก้าวหน้าในการดาเนนิ งานปีการศกึ ษา 2563 จานวน 3
โครงการ 3 พน้ื ที่จงั หวัด และปีการศกึ ษา 2564 จานวน 15 โครงการ 5 พ้นื ที่
จงั หวดั โดยมรี ายละเอียด ตามเอกสารสรปุ

นักศึกษาวิศวกรสังคม มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรม
ราชูปถัมภ์ และคณะทางานโครงการวิศวกรสังคม ได้ดาเนินการโดยใช้เคร่ืองมือ
วิศวกรสงั คม ไดแ้ ก่ 1) ฟ้าประทาน 2) นาฬิกาชีวติ 3) Time line พัฒนาการ และ
4) Time line กระบวนการ เพอ่ื ฝึกทกั ษะการคิดวิเคราะห์เชงิ เหตุ-ผล เห็นปญั หา
เปน็ สง่ิ ทา้ ทาย ทกั ษะในการสอ่ื สารองคค์ วามรเู้ พอ่ื การแกป้ ญั หา ทกั ษะในการทางาน
รว่ มกับผูอ้ นื่ โดยปราศจากขอ้ ขัดแย้ง ระดมสรรพกาลงั ทรัพยากรเพื่อการแก้ปญั หา
ทกั ษะการสรา้ งนวตั กรรมเพอ่ื แกป้ ญั หาสงั คม เพอื่ ใหน้ กั ศึกษาไดเ้ รยี นรกู้ ระบวนการ
ทางานผ่านกิจกรรมกลุ่มเพ่ือสร้างนวัตกรรมทางสงั คม และเพ่ือบ่มเพาะนักศึกษา
ใหม้ ีความเปน็ ผ้ปู ระกอบการทางสังคม

3



แนวคิด
เพื่อกำรพัฒนำสังคมท่ียั่งยืน

แนวคิดเรอ่ื งวศิ วกรสังคมเกิดขน้ึ จากการน้อมนาพระบรมราโชบายด้าน
การศึกษาของพระบาทสมเดจ็ พระวชิรเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี 10 ใหจ้ ดั การศกึ ษา
เพอื่ สรา้ งผเู้ รยี นใหม้ คี วามสมบรู ณ์พรอ้ มดว้ ยคุณลกั ษณะ 4 ประการ อนั ไดแ้ ก่ 1) มี
ทัศนคติที่ดีและถูกต้อง 2) มีพื้นฐำนชีวิตที่ม่ันคงเข้มแข็ง 3) มีอำชีพมีงำนทำ
และ 4) เป็นพลเมืองดีมีระเบียบวินัย ทรงมอบหมายให้ พลเอกดาว์พงษ์
รัตนสวุ รรณ องคมนตรี แนะนามหาวิทยาลยั ราชภฏั ให้ดาเนินงานตรงกบั เปา้ หมาย
เพอ่ื ยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษาและพฒั นาทอ้ งถนิ่ ในพน้ื ทตี่ น ตามพนั ธะสญั ญาท่ใี ห้
ไว้ว่า “จะเป็นมหำวทิ ยำลัยเพอ่ื พฒั นำทอ้ งถ่ิน”

แสดงพ้ืนที่ความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยราชภฏั
ทม่ี ำ: (นงรตั น์ อิสโร, 2564)

5

จงึ ไดม้ อบนโยบายแนวคดิ เรอ่ื ง “วศิ วกรสงั คม” ซงึ่ เปน็ กระบวนการพฒั นา
ทักษะนักศึกษาในลักษณะการเรียนรู้ข้ามศาสตร์แบบลงมือปฏิบัติ โดยใช้ชุมชน
ทอ้ งถนิ่ เปน็ ฐาน รว่ มกบั คนในชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ในการคน้ หาทนุ ทรพั ยากร และศกั ยภาพ
ของชมุ ชนทอ้ งถน่ิ โดยมคี ณาจารยใ์ นสาขาวชิ าตา่ ง ๆ ทาหนา้ ทใ่ี นลกั ษณะ coaching
เพ่อื สรา้ งทักษะวิศวกรสงั คมให้แก่นกั ศึกษาใหเ้ ปน็ ผมู้ บี ทบาทในการขับเคล่อื นและ
แกไ้ ขปญั หาเพ่ือพฒั นาชุมชนและสงั คมอยา่ งยงั่ ยนื

ทักษะนักวศิ วกรสงั คมประกอบดว้ ย
1. ทักษะด้ำนกำรคิดวิเครำะห์เชิงเหตุ-ผล เห็นปัญหำเป็นสิ่งท่ีท้ำทำย
การสรา้ งนกั ศึกษาให้เปน็ “นักคดิ ” บนความเช่อื ทวี่ า่ ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ
ในสังคมล้วนเป็นผลมาจากเหตุ หนง่ึ ผลอาจเกดิ จากหลายเหตแุ ละหน่งึ เหตสุ ามารถ
ทาให้เกิดผลหลายผล เม่ือสามารถแจงเหตุและผลได้จะทาให้เห็นปัญหาเป็นส่ิงที่
ทา้ ทาย และสามารถจัดการและแก้ไขปัญหานน้ั ได้
2. ทักษะด้ำนกำรสื่อสำรองค์ควำมรู้เพ่ือกำรแก้ไขปัญหำ การสร้าง
นักศึกษาให้เป็น “นักกำรสอ่ื สำร” มีความสามารถที่จะนาความร้ไู ปใชใ้ นการแกไ้ ข
ปัญหาและพัฒนาชุมชนให้ดีข้ึนได้อย่างไร มีความสามารถที่จะสื่อสารองคค์ วามรู้
เพ่อื การแก้ไขและพฒั นาชุมชนในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ สอ่ื ออนไลน์ โปสเตอร์ วดิ ีโอ
อินโฟกราฟกิ ให้คนในชุมชนเข้าใจได้
3. ทักษะด้ำนกำรทำงำนกับผู้อื่นโดยปรำศจำกข้อขัดแย้ง การสร้าง
นักศึกษาใหเ้ ป็น “นักประสำนงำน” ต้องมคี วามเข้าใจถงึ ความแตกต่าง สามารถ
แยกแยะระหวา่ งขอ้ เทจ็ จรงิ กบั อารมณค์ วามรสู้ กึ ได้ ยอมรบั ในความเหน็ ตา่ ง แลว้ นา
ความเหน็ ตา่ งนนั้ มาประสานเป็นพลงั และสามารถระดมสรรพกาลงั ในทอ้ งถ่นิ ไมว่ า่
จะเป็นทุน ทรัพยากร และคนในชุมชนมาทางานร่วมกันได้ เพ่ือนาไปสู่การแก้ไข
ปัญหาชุมชนบนฐานข้อมูลของชุมชนอย่างแทจ้ ริง
4. ทกั ษะดำ้ นกำรสรำ้ งนวตั กรรมเพอ่ื กำรแกไ้ ขปัญหำ การสรา้ งนกั ศกึ ษา
ให้เป็น “นักสร้ำง หรือนักนวัตกรชุมชน” ในการสร้างองค์ความรู้หรือนวัตกรรม
เพื่อการแกไ้ ขปัญหาชมุ ชน สามารถสรา้ งคนในทอ้ งถิ่นใหม้ ีทกั ษะวิศวกรสงั คมเพ่ือ
สร้างชุมชนให้เขม้ แขง็ และพงึ่ ตนเองไดอ้ ย่างยงั่ ยืน

6

แสดงทักษะของนักวิศวกรสังคม
ที่มำ: (วัฒนา รัตนพรหม, 2563)

ซึ่งแนวคิดวิศวกรสังคมเป็นการใช้หลักการทรงงานเพื่อการพัฒนาที่ย่ังยืน
ของ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัว รชั กาลท่ี 9 ท่ีเรยี กวา่ “ศำสตร์พระรำชำ” คือ
“เขำ้ ใจ เข้ำถึง และพัฒนำ” มาเปน็ หลกั ในการดาเนินงาน

“เข้ำใจ” ในท่ีน้ีหมายถึง กำรเปิดโอกำสให้คนในชุมชนค้นหำควำมจริง
ไม่วำ่ จะเป็นกำรคน้ หำทนุ ทรัพยำกร และศกั ยภำพของชุมชน ให้ชุมชนไดเ้ รียนรู้
เข้ำใจในสภำพและบริบทของชุมชนที่ตนอยโู่ ดยคนในชมุ ชน

“เข้ำถึง” ในทีน่ ้ีหมายถึง เปน็ กำรนำควำมจริงมำวเิ ครำะห์ จัดระบบ เพอ่ื
สรำ้ งกระบวนกำรเรยี นรใู้ นรปู แบบตำ่ ง ๆ โดยคนในชมุ ชนเอง คดิ อยำ่ งเปน็ ระบบ
สำมำรถเชอ่ื มโยงระหวำ่ งเหตแุ ละผลบนพนื้ ฐำนขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ มลู ของชุมชน
อยำ่ งแท้จริง

“กำรพฒั นำ” ในท่ีนีห้ มายถงึ มีควำมสำมำรถดำ้ นกำรคน้ หำแนวทำงและ
ค้นพบวิธีกำรแก้ไขปัญหำโดยใช้ทุนและทรัพยำกรท่ีชุมชนมีอยู่ เพื่อให้ชุมชน
สำมำรถจัดกำรตนเองได้

7

นอกจากนีย้ งั มเี คร่ืองมอื ท่ีสาคญั ท่ีจะชว่ ยให้การดาเนินงานวิศวกรประสบ
ความสาเรจ็ ได้แก่

ฟำ้ ประทำน

เป็นทักษะพื้นฐานของนักวิศวกรสังคม เป็นการฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต
สามารถแยกแยะเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพได้ แยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริง
(Fact) อะไรคืออารมณค์ วามรสู้ กึ (Feeling) เมอ่ื สามารถแยกขอ้ แทจ็ จรงิ ออกจาก
อารมณค์ วามร้สู ึกไดจ้ ะทาให้เรายอมรับความเห็นต่าง แล้วมองหาจดุ รว่ มมาใชใ้ น
การพัฒนาได้

นำฬกิ ำชีวิต

เป็นการให้เราเข้าใจตนเองผ่านการเข้าใจผู้อื่น จะช่วยให้เราเข้าใจและ
เคารพผู้อื่น ว่าแต่ละคนย่อมมีวิถีชีวิตและวิธีคิดที่แตกต่างกัน ทาให้เราสามารถ
วางแผนและบรหิ ารจดั การงานในแตล่ ะขน้ั ตอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ชว่ งเวลาไหนควร
ดาเนนิ งานอะไร เชน่ การลงพื้นทสี่ ารวจข้อมูล การจัดเวทีประชุม การสนทนา
กล่มุ และการมีส่วนร่วมของคนในชมุ ชน

8

ไทมไ์ ลน์ พฒั นำกำร

การลาดับเหตุการณ์ผ่านการบอกเล่าโดยใช้ทักษะการต้ังคาถาม และทา
แบบซ้าไปซา้ มา เพอื่ รวบรวมและเกบ็ ขอ้ มลู อยา่ งรอบดา้ น เพอ่ื เรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์
ในเรื่องท่ีศึกษา ให้เห็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมของชุมชนจะทาให้เราเข้าใจถึง
ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในปจั จบุ นั นาไปสกู่ ารวางแผนแกไ้ ขปญั หาและพฒั นาต่อไป
ในอนาคต ซ่ึงในการบันทึกข้อมูลจะใช้วิธีการบันทึกตามลาดับเวลาหรือลาดับ
เหตกุ ารณ์

ไทมไ์ ลน์ กระบวนกำร

เป็นการเรียนรู้และศึกษากระบวนการ/ข้ันตอนการดาเนินการของสิ่งท่ี
กาลังศึกษาเพ่ือให้รู้จักข้ันตอนอย่างถ่องแท้ เพ่ือพัฒนาตามศักยภาพอย่างตรง
เปา้ หมาย ศกึ ษาขนั้ ตอนการดาเนินการของส่งิ ท่ีกาลงั ศกึ ษา เพอื่ เป็นการวางแผน
อนาคตในการสรา้ งนวัตกรรม แล้วนาขอ้ มูลมาวิเคราะหเ์ ช่อื มโยงระหว่างเหตุและ
ผล ทาใหเ้ ห็นขั้นตอน/กระบวนการท้งั หมด อันนาไปสูก่ ารแกไ้ ขและพัฒนาอย่าง
ตรงเป้าหมาย

9

แผนพฒั นำนวตั กรรม

เปน็ การเรยี นรแู้ ละศกึ ษากระบวนการพฒั นาทกั ษะวศิ วกรสงั คมใหน้ กั ศกึ ษา
เป็นนวัตกร โดยให้นาผลการวิเคราะห์ “เหตุ-ผล” จากไทม์ไลน์กระบวนการ
ในแตล่ ะกระบวนการมาเขยี นเป็นแผนการพัฒนานวตั กรรม และรว่ มกันคัดเลือก
แผนพฒั นานวตั กรรมทที่ กุ คนเหน็ ตรงกนั วา่ มหี ลกั ของ “เหต-ุ ผล” ทส่ี มบรู ณท์ ส่ี ดุ
เพอื่ นาเสนอและแลกเปลย่ี นเรยี นรรู้ ว่ มกบั ชนุ ชนเพอื่ วางแผนในการสรา้ งนวตั กรรม
จากการใช้ “MIC โมเดล” ไดแ้ ก่

Modify: การปรบั เปลยี่ นขน้ั ตอน ยบุ รวมขนั้ ตอนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ
สงู ข้ึน

Improve: การปรบั ปรุงข้ันตอนเดมิ ให้มีประสิทธภิ าพสงู ขึน้

Create: การเพ่ิมเตมิ ข้นั ตอนใหมเ่ พ่ือเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขนึ้

อาจกลา่ วได้ว่า แนวคดิ วศิ วกรสงั คม จึงเป็นกระบวนการพฒั นาทกั ษะ
ของนักศึกษาในลักษณะการเรียนรู้ข้ามศาสตร์แบบลงมือปฏิบัติจริงโดยใช้ชุมช น
เป็นฐาน มีคณาจารย์ในสาขาวิชาตา่ ง ๆ เป็น coaching เพ่ือสรา้ งนักศกึ ษาใหเ้ ปน็
“นกั คิด นกั กำรสอ่ื สำร นักประสำนงำน และนักนวตั กรชมุ ชน” ทาหนา้ ทใ่ี นการ
ขับเคลอื่ น แกไ้ ขปัญหา และพัฒนาชมุ ชนร่วมกบั “คนในชมุ ชน” ในการคน้ หาทนุ
ทรพั ยากร และศกั ยภาพของชุมชน โดยใช้หลักการ “เขา้ ใจ เข้าถงึ และพฒั นา”
มาเป็นหลักในการดาเนินงาน อันจะนามาซึง่ การค้นพบองค์ความรู้และนวัตกรรม
ใหม่ ๆ ในการแกไ้ ขปญั หาและพฒั นาชุมชนอย่างยงั่ ยนื บนพน้ื ฐานข้อมูลของชุมชน
อยา่ งแท้จริง

10

มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ เหน็ ความสาคญั
ของการพัฒนาคนไทยยุคใหม่แห่งศตวรรษท่ี 21 จึงมีความมุ่งหวังเพ่ือสร้างและ
พัฒนา “กาลังคน (Manpower)” ท่ีเป็นยุวชนคนรุ่นใหม่ ไม่จากัดว่าเป็นนิสิต/
นักศึกษาจะมีความถนัดด้านวิทยาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ จึงได้ดาเนินกิจกรรม
วศิ วกรสงั คมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ตงั้ แตป่ กี ารศกึ ษา 2563 จนถงึ ปกี ารศกึ ษา 2564 เพอื่ ให้
นสิ ติ /นกั ศกึ ษาไดร้ บั “โอกาส” ในการเรยี นรขู้ า้ มศาสตรแ์ บบลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ โดยใช้
ชุมชนทอ้ งถน่ิ เป็นฐาน เพ่ือฝกึ ฝนและพฒั นาทกั ษะดา้ นการคิดวเิ คราะห์ การสอื่ สาร
การทางานรว่ มกบั ผอู้ น่ื โดยปราศจากความขดั แยง้ และสามารถสรา้ ง “ควำมรใู้ หม่”
หรอื “นวตั กรรม” ท่ีสามารถนาไปพฒั นา ต่อยอด เพ่อื แกไ้ ขปัญหาทอ้ งถน่ิ อยา่ ง
แทจ้ รงิ

กำรดำเนนิ งำนวศิ วกรสงั คม ปกี ำรศกึ ษำ 2563

ในปกี ารศกึ ษา 2563 มหาวิทยาลัยได้ดาเนินงานวศิ วกรสังคม โดยเริ่มจาก
การเปน็ เจ้าภาพจัดอบรมเพือ่ ใหค้ วามร้เู กี่ยวกับแนวคิดและหลักการทางานวศิ วกร
สงั คมแกน่ กั ศกึ ษา คณาจารย์ และเจา้ หนา้ ทมี่ หาวทิ ยาลยั ราชภฏั ทว่ั ประเทศ ภายใต้
“โครงกำรอบรมวศิ วกรสงั คม (Social Engineer) สำหรบั นกั ศกึ ษำมหำวทิ ยำลยั
รำชภัฏเพื่อกำรพัฒนำประเทศ”

11



โครงกำรอบรม

“วิศวกรสงั คม (Social Engineer)

สำหรับนกั ศกึ ษำมหำวิทยำลัยรำชภัฏเพื่อกำรพฒั นำประเทศ”

*********************
วันท่ี 17-19 กันยายน พ.ศ. 2563 มหาวทิ ยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์
ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จงั หวดั ปทมุ ธานี เปน็ เจา้ ภาพจดั “โครงการอบรมวศิ วกรสงั คม
(Social Engineer) สาหรบั นกั ศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพ่ือการพฒั นาประเทศ”
มผี ู้เข้ารว่ มอบรมจากมหาวิทยาลัยราชภฏั 38 แห่ง จานวน 120 คน ประกอบด้วย
อาจารย์และเจ้าหน้าท่ี จานวน 39 คน และนักศึกษา 81 คน โดยมหาวิทยาลัย
ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ได้มอบหมายให้ นางสาววราภรณ์
ไชยสรุ ยิ านนั ท์ ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทผี่ อู้ านวยการกองพฒั นานกั ศกึ ษา นายธรี ภทั ร์ รงุ่ สวา่ ง
นายกองคก์ ารบริหารนกั ศกึ ษา และนายนัทธพงศ์ กรองใจ ประธานสภานกั ศึกษา
เปน็ ตวั แทนเขา้ รว่ มกจิ กรรม

13

กจิ กรรมวนั แรก เปน็ การบรรยายใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั แนวคิดวศิ วกรสงั คมแก่
นักศึกษา คณาจารย์ และเจา้ หน้าที่ โดย ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา รตั นพรหม
รกั ษาราชการแทน อธกิ ารบดี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสรุ าษฎรธ์ านี และนักศึกษาจาก
มหาวทิ ยาราชภฏั สุราษฎร์ธานมี าแลกเปลี่ยนประสบการณ์การลงพื้นที่ทากจิ กรรม
วศิ วกรสงั คมรว่ มกบั คนในชมุ ชนเพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจเกยี่ วกบั หลกั การและกระบวนการ
ทางานของนักวิศวกรสังคม จากนั้นให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มระดมความคิดฝึกทักษะ
ของการเปน็ นกั วิศวกรสังคม

กิจกรรมต่อมาเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวแทนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย
ราชภัฏท้ัง 38 แห่ง ได้ฝึกปฏบิ ตั ิในเรือ่ งการสร้างเน้ือหา (Content) การเล่าเรอื่ ง
(Storytelling) และการนาเสนอ (Present)

14

กจิ กรรมตอ่ มา เปน็ การสรปุ ผลเข้ารว่ มและวางแผนขยายผลจากการอบรม
เพื่อการขับเคลื่อนกิจกรรมวิศวกรสังคมในมหาวิทยาลัยของตน ยกระดับคุณภาพ
การศึกษาและเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาท้องถ่ินอย่างแท้จริง ซึ่งแนวทางการ
วางแผนการขบั เคลอ่ื นมดี งั น้ี

1. กาหนดการขบั เคลอ่ื นกจิ กรรมวศิ วกรสงั คม โดยใชไ้ ทมไ์ ลนก์ ระบวนการ
เพื่อกาหนดข้ันตอนกระบวนการทาการทางานโดยเร่ิมจากการใช้เคร่ืองมือ 4 ตัว
ไดแ้ ก่ ฟา้ ประทาน นาฬิกาชวี ิต ไทม์ไลน์ พฒั นาการ และไทม์ไลน์ กระบวนการ

2. นาขอ้ มูลทไี่ ด้จากเครอ่ื งมือไทม์ไลน์ กระบวนการ มาวิเคราะห์คน้ หา
ปัญหาในแต่ละกระบวนการ เพื่อวางแผนในการสรา้ งนวัตกรรมในการพฒั นาชมุ ชน
ท้องถ่ินและแนวทางการขยายผลกิจกรรม โดยใช้เครื่องมือแผนพัฒนานวัตกรรม
MIC Model การขับเคล่ือนโดยอาจจะดดั แปลง (Modify) ปรบั ปรุง (Improve)

15

หรือ สร้างใหม่ (Create) โดยยดึ หลกั การสบื สาน รกั ษา และตอ่ ยอดกิจกรรมท่เี คย
ดาเนนิ การอยู่แล้ว หรือคิดกจิ กรรมข้ึนใหม่ก็ได้ การสืบสาน รักษา และต่อยอด
กิจกรรมท่ีเคยดาเนินการอยู่แล้วหรอื คดิ กจิ กรรมขึน้ ใหม่ก็ได้

กิจกรรมสุดท้าย การนาเสนอแนวทางการขยายผลการขับเคลื่อนงาน
วศิ วกรสงั คม โดยแบง่ การนาเสนอออกเปน็ เขตภูมภิ าค ดงั นี้ กลุ่มภาคเหนอื กลุ่ม
ภาคกลาง กลุม่ รัตนโกสนิ ทร์ กลุ่มภาคอีสานตอนใต้ กลุ่มภาคอีสานตอนบน กลุ่ม
ตะวนั ตก และกลุ่มภาคใต้

16

17

หลงั จาก “โครงการอบรมวศิ วกรสงั คม (Social Engineer) สาหรบั นกั ศกึ ษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏเพอื่ การพัฒนาประเทศ” มหาวทิ ยาลยั โดยผูช้ ่วยศาสตราจารย์
ปยิ ะ สงวนสิน และผู้ช่วยศาสตราจารยพ์ ชิ ญาณี เชิงคีรี ไชยยะ ได้นาแนวคดิ เร่อื ง
วิศวกรสังคมมากาหนดแผนนโยบายการดาเนินงานกิจกรรม/โครงการของชมรม
ตา่ ง ๆ เพ่อื สรา้ งและพฒั นาทกั ษะของนักศกึ ษาใหเ้ ป็นผู้มบี ทบาทในการขับเคลื่อน
แก้ไขปัญหา และพัฒนาชุมชนท้องถิ่นบนฐานข้อมูลและความต้องการของชุมชน
ท้องถ่นิ อยา่ งแท้จริง

โดยกจิ กรรม/โครงการทด่ี าเนินการในปกี ารศึกษา 2563 จะมลี กั ษณะเป็น
ดดั แปลง ปรบั ปรุง และตอ่ ยอด จากกจิ กรรม/โครงการเดิมโดยใชห้ ลักการของ
วิศวกรสงั คมในพนื้ ที่ความรับผดิ ชอบ ดังนี้

18

1. โครงการออกแบบตราสญั ลกั ษณ์หมีก่ รอบรามัญ ชุมชนบา้ นงิว้ อาเภอ
สามโคก จังหวดั ปทุมธานี ผู้รบั ผิดชอบโครงการ นายธรี ภัทร์ ร่งุ สวา่ งและคณะ

2. กจิ กรรมพัฒนาโรงเรียนดว้ ยจิตอาสา โรงเรยี นบ้านปราสาท ตาบลหาด
นางแกว้ อาเภอกบนิ ทร์บุรี จงั หวัดปราจีนบรุ ี ผูร้ บั ผิดชอบ นายโสบิณฑ์ อนิ ทรบุตร
และคณะ (ชมรมเรารกั ไทย)

3. โครงการพฒั นาสภาพแวดลอ้ มของโรงเรียนบา้ นหว้ ย โรงเรียนบา้ นห้วย
หมู่ที่ 7 ตาบลบ้านแก้ง อาเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว ผู้รับผิดชอบ นายวันชนะ
ทองปลวิ และคณะ (ชมรมครอบครัวอาสา ค่ายอาสาส่งตอ่ ความสขุ ปที ่ี 5)

ตารางที่ 1 สรปุ จานวนพื้นที่ดาเนินโครงการและองคค์ วามรู้

พื้นทจ่ี งั หวัด ถอดบทเรยี นองคค์ วามรู้ รวม
ดา้ นบริการชุมชน ด้านผลติ ภัณฑ์ชุมชน 1
ปทุมธานี 1
สระแกว้ 1 1
ปราจีนบรุ ี 1 3
1

รวม

19

โครงกำรออกแบบตรำสญั ลักษณ์หม่กี รอบรำมญั ชมุ ชนบ้ำนงิ้ว
อำเภอสำมโคก จังหวัดปทมุ ธำนี

องค์ควำมรู้ดำ้ น ผลิตภณั ฑช์ มุ ชน

Time Line พฒั นำกำร

ชุมชนบ้ำนงิ้ว อำเภอสำมโคก จังหวัดปทุมธำนี ภูมิประเทศเป็นท่ีรำบลุ่มแม่น้ำ
เจำ้ พระยำฝง่ั ตะวนั ออก มคี ลองธรรมชำตไิ หลผำ่ นหลำยสำย อณุ หภมู ปิ กติ ฝนตกตำมฤดกู ำล
ทำให้มีปริมำณน้ำฝนเพียงพอแก่กำรเกษตรกรรม สภำพเศรษฐกิจและสังคมโดยภำพรวม
ชุมชนโดยรวมมีลักษณะเป็นชุมชนเกษตรกรรม และรับจ้ำงท่ัวไป ชุมชนตำบลบ้ำนงิ้วเป็น
ชุมชนท่ีค่อนข้ำงเข้มแข็ง ประชำชนมีควำมสำมัคคีต่อกัน มีกำรดำเนินวิถีชีวิตแบบชุมชน
ดง้ั เดมิ มจี ติ สำนกึ ในกำรอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมขนบธรรมเนยี มประเพณที อ้ งถนิ่ รำษฎรสว่ น
ใหญน่ บั ถอื ศำสนำพทุ ธ มขี นบธรรมเนยี ม ประเพณี และศลิ ปวฒั นธรรมทส่ี ำคญั คือ ประเพณี
สงกรำนต์ กำรแหห่ ำงหงส์ ธงตะขำบ กำรสง่ ขำ้ วแช่ เปน็ ตน้

คน้ หำขอ้ เทจ็ จริง (Fact and Feeling)

ผลจำกกำรศกึ ษำบรบิ ทชมุ ชน พบวำ่ ชมุ ชนมกี ำรสง่ เสรมิ กลมุ่ อำชพี กำรทำหมกี่ รอบ
รำมญั แตเ่ นือ่ งจำกผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนขำดตรำสญั ลกั ษณ์ของผลิตภัณฑ์ ดังน้นั คณะทำงำนจึง
มคี วำมประสงคใ์ นกำรสง่ เสรมิ กลมุ่ โดยกำรออกแบบตรำสญั ลกั ษณผ์ ลิตภณั ฑห์ มก่ี รอบรำมญั
เพื่อเป็นกำรเผยแพร่ให้หม่ีกรอบรำมัญเป็นที่รู้จักมำกยิ่งข้ึน และมีสัญลักษณ์ของกลุ่มด้วย
กระบวนกำรมีส่วนรวมของชมุ ชน

วตั ถุประสงค์

1. เพ่ือศกึ ษาบริบทชุมชนบา้ นงว้ิ อาเภอสามโคก จงั หวัดปทมุ ธานี
2. เพ่ือพฒั นาตราสญั ลักษณ์ผลติ ภณั ฑห์ ม่กี รอบรามัญ ชุมชนบา้ นง้วิ อาเภอสามโคก

จังหวดั ปทมุ ธานี

20

Time Line กระบวนกำร

วำงแผนกำรดำเนนิ งำน กระบวนกำรสรำ้ งองคค์ วำมรู้ ดำเนินกจิ กรรม
โดยกำรคน้ หำชุมชน โดยกำรบูรณำกำรศำสตรด์ ้ำน และประเมินผล
เปำ้ หมำยและศกึ ษำควำม สงั คมศำสตรแ์ ละบริหำรธรุ กิจ
ตอ้ งกำรของชมุ ชน ผำ่ นกำรอบรมและกำรสบื ค้น

ผลทคี่ ำดวำ่ จะได้รบั เครือขำ่ ย (ถำ้ ม)ี

1. ชุมชนมีสว่ นรว่ มในการดาเนินกจิ กรรมในการคน้ หา ภาคเี ครือข่ายประกอบดว้ ย
ปญั หาและคน้ หาความตอ้ งการของชุม 1) อบต. บา้ นงว้ิ 2) โรงเรยี นวัดสอง
พน่ี อ้ ง และ 3) กศน. จงั หวดั ปทมุ ธานี
2. ตราสัญลกั ษณ์ผลติ ภัณฑช์ ุมชนหม่ีกรอบรามัญแบบมี โดยใชก้ ระบวนการมสี ว่ นรว่ มของชุมชน
สว่ นร่วม ในการว่ มคดิ รว่ มทา

ขอ้ จำกัด แนวทำงกำรแก้ไข

1. เนอื่ งจากสถานการณโ์ รคระบาด 1. การติดตอ่ กบั ชุมชนช่องทาง Online และการเชญิ
Covid 19 ทาให้บางกจิ กรรม บุคคลสาคัญมารว่ มดาเนนิ กิจกรรม เชน่ ผูน้ าชมุ ชน
ไม่สามารถลงพน้ื ทไ่ี ด้ กานนั ผ้ใู หญบ่ ้าน เป็นตน้

ผลลัพธ์ 2. การขอความร่วมมือกบั เครือข่ายภายใน มรภ.วไลย
อลงกรณ์ เช่น สาขาวิชาภาษาอังกฤษ สาขาวิชา
บริหารทรัพยากรมนษุ ย์

ด้ำนสังคม กำรอนุรักษว์ ัฒนธรรมและภมู ิปัญญำแบบมีสว่ นรว่ มสรำ้ งควำมเขม้ แขง็ ใหช้ ุมชน
ด้ำนเศรษฐกิจ กำรส่งเสรมิ รำยได้ สรำ้ งอำชีพเสรมิ ใหแ้ กก่ ลุ่มและทำใหห้ ม่กี รอบรำมญั เปน็ ทรี่ จู้ ักมำกยิ่งขน้ึ
ดำ้ นสิง่ แวดลอ้ ม เกดิ กำรอนุรักษท์ รัพยำกรชมุ ชนและนำทรัพยำกรในชุมชนมำใชอ้ ยำ่ งคมุ้ คำ่

กำรขยำยผล 1. สง่ เสรมิ ชอ่ งทางดา้ นการตลาด Online เชน่ Facebook, TikTok
2. การพัฒนารูปแบบผลิตภณั ฑใ์ ห้มคี วามหลากหลาย

21

โครงกำร

ชมรมเรารกั ไทย โรงเรยี นบา้ นปราสาท ตาบลหาดนางแกว้ อาเภอกบนิ ทรบ์ รุ ี จงั หวดั ปราจนี บรุ ี

องคค์ วำมรู้ด้ำน ผลิตภัณฑช์ มุ ชนและดำ้ นกำรจัดกำรส่งิ แวดล้อม

Time Line พัฒนำกำร

โรงเรยี นบำ้ นปรำสำท ตง้ั อยเู่ ลขที่ 75 หมู่ 7 ตำบลหำดนำงแกว้ อำเภอกบนิ ทรบ์ รุ ี จงั หวดั
ปรำจีนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2517 นำยประจวบ สมโภชน์ กำนันตำบลหำดนำงแก้ว เห็นควำมสำคัญ
ของกำรศกึ ษำเพรำะเดก็ บำงคนตอ้ งเดนิ ทำงไปเรยี นหำ่ งไกลทำใหบ้ ำงคนไมไ่ ดร้ บั กำรศกึ ษำ จงึ รว่ มกับ
ชำวบ้ำนสร้ำงอำคำรเรยี นจำกงบประมำณของรฐั และชำวบ้ำนร่วมกันบรจิ ำค สร้ำงข้ึน 1 หลงั แบบ
ป 1 ข จำนวน 2 หอ้ งเรยี น โดยได้รบั บริจำคทดี่ ินจำกนำยทมิ มหำเมฆ และนำงกมิ ฮวย มหำเมฆ
จำนวน 9-2-10 ไร่ และเปดิ ทำกำรสอนเม่อื วันที่ 12 พฤษภำคม พ.ศ. 2518 ทำกำรสอนตัง้ แต่
ช้นั ป.1-ป.4 และได้ตงั้ ชือ่ ว่ำ “โรงเรยี นบ้ำนปรำสำท” ตำมชอ่ื ของหมบู่ ้ำนที่มโี บรำณสถำน ซึ่ง

สันนษิ ฐำนว่ำเป็นปรำสำทตงั้ อยู่

คน้ หำข้อเทจ็ จรงิ (Fact and Feeling)

ชมรมเรำรกั ไทยได้จัดทำกจิ กรรมพัฒนำโรงเรยี นด้วยจิตอำสำ จำกกำรค้นหำควำมต้องกำร
ของโรงเรียนบำ้ นปรำสำท ตำบลหำดนำงแก้ว อำเภอกบินทร์บรุ ี จังหวดั ปรำจนี บุรี พบว่ำ โรงเรียนมี
ควำมต้องกำรให้ปรับปรุงภมู ิทัศน์ของโรงเรยี นและให้ควำมรู้ด้ำนคหกรรมศำสตร์แก่นกั เรยี น เพ่ือให้
นกั ศึกษำมีจติ สำธำรณะ ทำประโยชนใ์ ห้แกส่ ว่ นรวมโดยไม่หวังส่งิ ตอบแทนมคี วำมรับผดิ ชอบมีวนิ ัย
ตรงต่อเวลำ มจี ติ อำสำเปน็ ผใู้ หม้ ำกกวำ่ ผรู้ บั ซงึ่ กจิ กรรมในครงั้ นจ้ี ะชว่ ยขดั เกลำจติ ใจใหแ้ กน่ กั ศกึ ษำ
อกี ทงั้ ยงั สอดคลอ้ งกบั อตั ลกั ษณน์ กั ศกึ ษำของมหำวทิ ยำลยั “บณั ฑติ จติ อำสำ พฒั นำทอ้ งถนิ่ ” และเพอ่ื
สรำ้ งควำมสำมคั คกี อ่ เกดิ จติ สำนกึ ทดี่ รี ะหวำ่ งนกั ศกึ ษำกบั ชมุ ชนในทอ้ งถนิ่ โดยกจิ กรรมในครง้ั นจ้ี ะนำ
ควำมรเู้ ผยแพร่ 5 ดำ้ น ไปเผยแพรใ่ นลกั ษณะของฐำนกจิ กรรมใหแ้ กน่ กั เรยี น

วตั ถปุ ระสงค์

1. เพอ่ื ปรับปรงุ ภมู ิทัศนใ์ นพืน้ ที่โรงเรียน 2. เพอื่ สง่ เสริมใหน้ ักเรียนรจู้ กั หำรำยได้

22

Time Line กระบวนกำร

วำงแผนกำรดำเนนิ งำนโดย กระบวนกำรสรำ้ งองคค์ วำมรู้ ดำเนนิ กจิ กรรม
กำรค้นหำชมุ ชนเป้ำหมำย โดยกำรบูรณำกำรศำสตร์ดำ้ น และประเมินผล
และศึกษำควำมตอ้ งกำร สงั คมศำสตรแ์ ละบริหำรธุรกจิ
ผำ่ นกำรอบรมและกำรสืบค้น
ชุมชน

ผลท่ีคำดว่ำจะได้รบั เครอื ขำ่ ย (ถ้ำมี)

จัดกำรปญั หำสงิ่ แวดล้อมในโรงเรยี น และสรำ้ ง ภำคีเครอื ขำ่ ย ประกอบด้วย โรงเรยี น
รำยไดใ้ ห้แก่นกั เรียนจำกกำรจำหนำ่ ยสนิ ค้ำ บำ้ นปรำสำท ต.หำดนำงแกว้
อ.กบนิ ทร์บุรี จ.ปรำจีนปรุ ี
ข้อจำกัด
แนวทำงกำรแก้ไข

1. เนื่องจำกสถำนกำรณโ์ รคระบำด 1. ใช้กระบวนกำรตดิ ตอ่ กบั ชมุ ชนช่องทำง
Covid 19 ทำใหบ้ ำงกิจกรรม Online และกำรเชญิ บุคคลสำคัญมำร่วม
ไมส่ ำมำรถลงพื้นท่ไี ด้ ดำเนินกจิ กรรม เชน่ ผู้นำชมุ ชน กำนัน
ผใู้ หญบ่ ำ้ น
2. ขำดงบประมำณในกำรสนับสนนุ
กำรพัฒนำผลติ ภณั ฑ์ 2. ขอควำมรว่ มมอื กบั ภำคเี ครอื ขำ่ ย ภำยใน
มรภ.วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมรำชปู ถมั ภ์
ผลลัพธ์ เชน่ คณะวทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ดำ้ นสังคม เกดิ กำรทำงำนแบบมีสว่ นรว่ มระหว่ำงนักศึกษำกับชุมชน โดยชมุ ชนมีส่วนรว่ มคดิ ร่วมลงมือทำ

ดำ้ นเศรษฐกจิ นักเรียนมีรำยได้จำกกำรจำหน่ำยแซนดว์ ิช

ดำ้ นสิ่งแวดลอ้ ม จดั กำรส่ิงแวดลอ้ มภำยในโรงเรยี น

กำรขยำยผล 1. มกี ำรส่งเสรมิ ช่องทำงกำรตลำด
2. กำรพัฒนำรปู แบบแซนด์วิชใหม้ ีควำมหลำกหลำย
3. กำรพฒั นำแหลง่ เรยี นร้ภู ำยในโรงเรยี น

23

โครงกำร ชมรมครอบครวั อำสำ คำ่ ยอำสำสง่ ตอ่ ควำมสขุ ปที ี่ 5

โรงเรยี นบำ้ นห้วย ตำบลบ้ำนแกง้ อำเภอเมือง จังหวดั สระแก้ว

องคค์ วำมรดู้ ำ้ น กำรบริกำรชุมชน

Time Line พฒั นำกำร

โรงเรียนบ้ำนห้วย ได้กอ่ ต้ังขนึ้ เมือ่ พ.ศ. 2500 โดยกองกำกับกำรตำรวจตระเวนชำยแดน
อรัญประเทศ ไดส้ ่งกำลงั พลมำปฏิบัตภิ ำรกจิ ในพื้นท่หี มู่บ้ำน พบว่ำ มีเด็กไมไ่ ดเ้ ข้ำเรยี นจำนวนมำก
จงึ ขออนญุ ำตทำงรำชกำรเปดิ สอนหนงั สอื ในหมบู่ ำ้ น โดยใชศ้ ำลำกลำงบำ้ นเปน็ อำคำรเรยี น ซง่ึ แตเ่ ดิม
ชำวบ้ำนในหมบู่ ้ำน นำโดย นำยทองสขุ สถิตยพ์ รหม นำยแฉง่ นอ้ ยจ่ำยสิน นำยสะอำด กองบิน
นำยทองม้วน สขุ สำรำญ ได้ร่วมมอื กนั สรำ้ งขึ้นเพือ่ ประกอบพิธที ำงศำสนำ โดยไดร้ ับกำรสนับสนุน
จำกบริษัทโรงเล่อื ยจักรบำ้ นแกง้ เวศ จำกัด ปลกู เปน็ อำคำรไมช้ นั้ เดยี ว หลงั คำสงั กะสี ใตถ้ นุ สงู 1
เมตร เสำตอ่ ไมย้ ำง พน้ื ไมย้ ำง ผนงั 3 ดำ้ น อำคำรกว้ำง 7 เมตร ปลูกสร้ำงขึ้นบนเน้ือที่ 5 ไรเ่ ศษ
ของนำยแฉ่ง น้อยจ่ำยสิน มอบทดี่ นิ ใหเ้ ป็นสำธำรณประโยชนข์ องหมูบ่ ้ำน มีเนอื้ ทีก่ ว้ำง 40 วำ ยำว
60 วำ โดยประมำณ โดยใช้กำลงั พลตำรวจ 2 นำย ทำหนำ้ ท่ีครู คือ พลฯสมคั ร วิเชยี ร เมธำ
คุณำวุฒิ ทำหน้ำทค่ี รูใหญ่ และพลฯสมัครทองใบ บัวทอง ทำหน้ำทค่ี รูประจำชั้น เร่ิมทำกำรสอน
เมื่อวันที่ 4 ธันวำคม 2500 โดยแยกนักเรียนออกจำกโรงเรียนบ้ำนแก้ง (พันธ์นุสสร) ซึ่งเป็นเด็ก
ในหมู่บ้ำน เปดิ สอนต้งั แต่ชั้นประถมศกึ ษำปีท่ี 1 ถงึ ช้ันประถมศกึ ษำปีที่ 4

คน้ หำข้อเทจ็ จรงิ (Fact and Feeling)

ชมรมครอบครัวอำสำ ได้จัดทำโครงกำรค่ำยอำสำส่งต่อควำมสุข ปีท่ี 5 จำกกำรค้นหำ
ควำมต้องกำรของโรงเรยี น พบวำ่ โรงเรียนมีควำมตอ้ งกำรให้ปรับปรงุ ภูมิทศั นแ์ ละทำแปลงเกษตร
เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเป็นโครงกำรอำหำรกลำงวันให้น้องและสร้ำงรำยได้ให้แก่นักเรียน โดยชมรม
ครอบครวั อำสำมกี ำรวำงแผนประสำนงำนไดอ้ ยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ รวมถงึ ไดก้ ำรตอบรบั ใหค้ วำมรว่ มมือ
จำกชำวบ้ำนในเขตพ้นื ที่ ผนู้ ำชมุ ชน สถำนตี ำรวจในพื้นที่ และนักศึกษำท่ีเข้ำร่วมโครงกำรให้ควำม
รว่ มมือในกำรทำงำนทกุ ๆ ดำ้ นและงำนที่วำงแผนไว้เป็นไปตำมแผนงำนอยำ่ งสมบูรณ์

วตั ถปุ ระสงค์

1. เพ่อื ปรับปรุงภมู ิทัศน์ในพื้นที่โรงเรยี น
2. จัดทำแปลงเกษตรเศรษฐกิจพอเพยี งเพอื่ เป็นโครงกำรอำหำรกลำงวันให้นักเรียนและส่งเสริมให้

นักเรียนรู้จกั หำรำยได้จำกกำรจำหน่ำยผัก

24

Time Line กระบวนกำร

วำงแผนกำรดำเนินงำนโดย กระบวนกำรสรำ้ งองค์ควำมรู้ ดำเนนิ กจิ กรรมและ
กำรคน้ หำชุมชนเป้ำหมำย โดยกำรบูรณำกำรศำสตรด์ ำ้ น ประเมนิ ผล
และศึกษำควำมตอ้ งกำร สงั คมศำสตร์และบริหำรธรุ กิจ
ผำ่ นกำรอบรมและกำรสืบคน้
ชุมชน

ผลทีค่ ำดวำ่ จะไดร้ บั เครอื ขำ่ ย (ถำ้ มี)

จดั กำรปัญหำสงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรียน และสร้ำง ภำคีเครอื ขำ่ ย ประกอบดว้ ย โรงเรียน
รำยไดใ้ หแ้ ก่นกั เรียนจำกกำรจำหนำ่ ยผัก บ้ำนหว้ ย ต.บ้ำนแก้ง อ.เมอื ง
จ.สระแกว้
ข้อจำกัด
แนวทำงกำรแก้ไข

1. เนื่องจำกสถำนกำรณโ์ รคระบำด 1. ใชก้ ระบวนกำรติดตอ่ กบั ชมุ ชนชอ่ งทำง
Covid 19 ทำให้บำงกจิ กรรม Online และกำรเชญิ บุคคลสำคัญมำรว่ ม
ไมส่ ำมำรถลงพนื้ ทไ่ี ด้ ดำเนนิ กจิ กรรม เชน่ ผู้นำชุมชน กำนนั
ผ้ใู หญบ่ ำ้ น
2. ขำดงบประมำณในกำรสนับสนนุ
กำรพฒั นำผลติ ภัณฑ์ 2. ขอควำมรว่ มมอื กบั ภำคเี ครอื ขำ่ ย ภำยใน
มรภ.วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมรำชปู ถมั ภ์
ผลลัพธ์ เชน่ คณะมนษุ ยศำสตรแ์ ละสงั คมศำสตร์

ด้ำนสงั คม เกดิ กำรทำงำนแบบมสี ่วนรว่ มสร้ำงควำมเขม้ แขง็ ใหแ้ ก่ชุมชนในโรงเรียน

ด้ำนเศรษฐกจิ นกั เรียนมีรำยได้จำกกำรจำหน่ำยผัก

ด้ำนสงิ่ แวดลอ้ ม จัดกำรส่ิงแวดลอ้ มภำยในโรงเรียน

กำรขยำยผล 1. มีกำรสง่ เสริมช่องทำงกำรตลำด
2. มกี ำรพฒั นำรปู แบบผลติ ภณั ฑ์ใหห้ ลำกหลำย

25

กำรดำเนนิ งำนวิศวกรสงั คม ปกี ำรศึกษำ 2564

ในปกี ารศกึ ษา 2564 มหาวทิ ยาลัยได้ดาเนินงานด้านวิศวกรต่อเนื่อง เพ่ือ
สร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะการทางานด้านวิศวกรสังคมให้แก่นักศึกษา
คณาจารย์ และบคุ ลากรในมหาวิทยาลยั ราชภฏั เขตภาคกลาง ซ่งึ มีการดาเนินงาน
ดังนี้

1. โครงกำรอบรมแกนนำวิศวกรสงั คม (แม่ไก่) มหำวิทยำลยั รำชภัฏ
เขตภำคกลำง

มหาวทิ ยาลยั ตระหนกั ถงึ ความสาคญั ของการพฒั นาคนไทยยคุ ใหมแ่ หง่
ศตวรรษท่ี 21 เพอื่ สรา้ งและพฒั นา “กาลงั คน (Manpower)” ทเี่ ปน็ ยวุ ชนคนรนุ่ ใหม่
โดยไมจ่ ากดั วา่ เป็นนสิ ติ /นกั ศกึ ษาจะมคี วามถนัดดา้ นวทิ ยาศาสตร์หรอื สงั คมศาสตร์
กอปรกับมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีเอกลักษณ์
และอตั ลักษณ์ คอื “บัณฑิตจิตอำสำ พัฒนำท้องถ่ิน และเป็นสถำบันท่ีน้อมนำ
แนวทำงกำรดำเนินชีวิตตำมหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง เป็นมหำวิทยำลัย
ท้องถิ่นที่ควรสร้ำงระบบแนวคดิ แบบใหมใ่ ห้แกน่ กั ศึกษำ เพื่อนำไปสกู่ ำรพัฒนำ
ชุมชนอย่ำงย่ังยืน กำรสร้ำงและบ่มเพำะนักศึกษำให้มีทักษะวิศวกรสังคม” จึง
เปน็ เจา้ ภาพจดั โครงการอบรม “แกนนำวศิ วกรสงั คม (แมไ่ ก)่ มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั
เขตภำคกลำง” จัดขึ้นระหว่างวันท่ี 3-5 มีนาคม พ.ศ. 2564 โดยมีวตั ถปุ ระสงค์
เพ่ือ 1) นักศึกษำสำมำรถคิดวิเครำะห์เชิงเหตุและผล พร้อมทั้งสำมำรถมองเห็น
ปัญหำเป็นเรื่องท้ำทำย 2) ส่งเสริมและสนับสนุนกำรขับเคล่ือนกำรมีส่วนร่วม
ของนักศึกษำในกำรพัฒนำและแก้ไขปัญหำชุมชน สังคม และประเทศชำติ
3) พัฒนำทกั ษะในกำรส่อื สำร องคค์ วำมรูเ้ พ่อื กำรแก้ปัญหำให้กับชมุ ชนทอ้ งถิ่น
ได้ 4) นกั ศกึ ษำไดเ้ รยี นรกู้ ระบวนกำรทำงำนผำ่ นกจิ กรรมกลมุ่ เพอ่ื สรำ้ งนวตั กรรม
ทำงสังคม และ 5) บ่มเพำะนักศึกษำให้มีควำมเป็นวิศวกรสังคม (Social
Engineer) มีผู้เข้าร่วม จานวนทั้งสิ้น 215 คน เป็นผู้บริหาร อาจารย์ บุคลากร

26

จานวน 32 คน นกั ศึกษา จานวน 183 คน ประกอบดว้ ย 1) มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ
วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ จานวน 153 คน แบง่ เปน็ อาจารย์ บคุ ลากร
จานวน 14 คน และนักศึกษา จานวน 139 คน 2) มหาวิทยาลัยราชภัฏ
พระนครศรอี ยุธยา จานวน 16 คน แบ่งเปน็ อาจารย์ บุคลากร จานวน 8 คน และ
นักศกึ ษา จานวน 8 คน 3) มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี แบ่งเป็นบคุ ลากร
จานวน 2 คน และนักศึกษา จานวน 8 คน 4) มหาวิทยาลยั ราชภัฏราชนครินทร์
จานวน 11 คน แบง่ เป็นบุคลากร จานวน 3 คน และนักศึกษา จานวน 8 คน
5) มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเทพสตรี จานวน 10 คน แบ่งเป็นบคุ ลากร จานวน 2 คน
และนักศึกษา จานวน 8 คน 6) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จานวน 6 คน
แบ่งเปน็ อาจารย์ จานวน 2 คน และนักศกึ ษา จานวน 4 คน และ 7) มหาวิทยาลยั
ราชภัฏบา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา จานวน 10 คน แบ่งเปน็ อาจารย์ จานวน 2 คน และ
นักศึกษา จานวน 8 คน

27

2. โครงกำรอบรมใหค้ วำมรู้วศิ วกรสงั คมแกอ่ ำจำรยม์ หำวทิ ยำลยั รำชภฏั
เขตภำคกลำง

มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ เป็นเจา้ ภาพ
จดั “โครงกำรอบรมให้ควำมรวู้ ิศวกรสังคมแกอ่ ำจำรยม์ หำวทิ ยำลยั รำชภัฏ เขต
ภำคกลำง” มวี ัตถปุ ระสงค์ 1) เพ่ือใหอ้ าจารย์มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเขตภาคกลาง มี
ความรู้ ความเข้าใจ เร่ืองวิศวกรสังคม (Social Engineer) และ 2) เพื่อเป็น
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษาให้แกน่ ักศกึ ษาในการทาโครงการวศิ วกรสังคม โดยจดั ข้นึ วันท่ี 28
พฤษภาคม พ.ศ. 2564 แต่เน่ืองจากสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ทาให้
รูปแบบการจัดอบรมเป็นแบบออนไลน์ มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏ เขต
ภาคกลาง เข้ารว่ มกิจกรรมท้งั ส้นิ จานวน 360 คน ประกอบด้วย 1) มหาวทิ ยาลยั
ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จานวน 142 คน 2) มหาวิทยาลัย
ราชภัฏเทพสตรี จานวน 29 คน 3) มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
จานวน 4 คน 4) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จานวน 45 คน 5) มหาวทิ ยาลัย
ราชภฏั ราชนครินทร์ จานวน 128 คน และ 6) มหาวทิ ยาลัยราชภัฏราไพพรรณี
จานวน 12 คน

28

3. กิจกรรม “Social Enterprise” ด้วยแนวคิด “วศิ วกร

สังคม (Social Engineer)”

หลังจากมหาวิทยาลัยได้จัดโครงการอบรมเก่ียวกับแนวคิด หลักการ

และทักษะของวิศวกรสังคมให้แก่นักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากร โดยมี

จุดมุ่งหมายเพ่ือสร้างนักวิศวกรสังคมสาหรับแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนท้องถ่ิน

แล้ว วนั ท่ี 25 สงิ หาคม พ.ศ. 2564 จึงได้จดั กิจกรรม Social Enterprise ดว้ ย

แนวคดิ วิศวกรสงั คม (Social Engineer) ขน้ึ ถอื เป็นกิจกรรมแรกท่เี ปดิ โอกาส เปิด

พื้นทีใ่ หน้ ักศึกษาแกนนาวิศวกรสังคมไดแ้ สดงศักยภาพของนกั วิศวกรสังคม

“Social Enterprise” หรอื “ผปู้ ระกอบกำรทำงสงั คม”

เป็นรูปแบบดาเนินธุรกิจยคุ ใหม่ที่ใช้กลไกบริหารจัดการที่ดีของภาคธุรกิจผสานกับ

ความรแู้ ละนวัตกรรมสงั คม ภายใตเ้ งอื่ นไข “สังคมสมประโยชน์” กล่าวคอื ธรุ กจิ

ดาเนินไปได้ด้วยดี สามารถสร้างผลกาไรให้แก่กิจการ สังคมและสิ่งแวดล้อมต้อง

ไดร้ บั การแกไ้ ขปญั หาอยา่ งยงั่ ยนื และสรา้ งผลลพั ธท์ างสงั คมอยา่ งเปน็ รปู ธรรม ดงั นนั้

กิจกรรม Social Enterprise ด้วยแนวคิดวศิ วกรสงั คม (Social Engineer) จึงเปน็

กจิ กรรมทสี่ ง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ใหน้ กั ศกึ ษาเขา้ มามบี ทบาทและขบั เคลอื่ นการพฒั นา

ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ใหด้ ขี นึ้ โดยใชท้ กั ษะทางวศิ วกรสงั คมรว่ มกบั คนในชมุ ชน ในการคน้ หา

ทุน ทรัพยากร ศักยภาพ และความตอ้ งการของชมุ ชน เพือ่ สรา้ งองคค์ วามรู้ใหม่ ๆ

และนวัตกรรมในการแกไ้ ขปญั หาสงั คมอยา่ งย่งั ยนื บนพ้นื ฐานข้อมลู ของชมุ ชน

ในการจดั การประกวดครงั้ นี้ มีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันท้ังสิ้น 14 ทีม

โดยใชเ้ กณฑใ์ นการตดั สิน ได้แก่

1. การนาทกั ษะดา้ นวศิ วกรสังคมไปใช้ 30 คะแนน

2. เทคนิคและวธิ ีการนาเสนอผลงาน 20 คะแนน

3. ทักษะการทางานเปน็ ทมี 10 คะแนน

4. รปู แบบการดาเนินงานอย่างเป็นระบบและ

สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงคแ์ ละการนาไปใช้ 20 คะแนน

5. เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดาเนินงาน 20 คะแนน

29

ผลการแขง่ ขันปรากฏดังนี้
1. รำงวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม S.A.O. 2021 จากชมรมองค์การ
นกั ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ นาเสนอโครงการ
ทาปุย๋ จากเศษใบไมแ้ หง้ โดยแนวคิดนเี้ กิดขนึ้ จากการทท่ี ีมงานสงั เกต พบวา่ พ้นื ที่
ในมหาวิทยาลัยมีเศษใบไม้แห้งร่วงหล่นจานวนมาก แต่ยังขาดการจัดการท่ีดี ซึง่
จะเห็นว่าในแตล่ ะวันเจา้ หนา้ ทจ่ี ะใช้วธิ ีเก็บกวาดเศษใบไมแ้ หง้ และขนไปท้ิงในพนื้ ที่
ว่างเปล่า คณะทางานจงึ เหน็ วา่ ควรนาเศษใบไม้แหง้ ดังกล่าวมาทาใหเ้ กดิ ประโยชน์
จึงเกิดแนวคิดการทาปุ๋ยหมักจากเศษใบไม้แห้ง เพราะนอกจากจะได้ปุ๋ยอินทรีย์
สาหรับบารุงต้นไม้ในมหาวิทยาลัยแล้ว ทางคณะทางานจะทาปุ๋ยหมักดังกล่าวไป
มอบให้โครงการอนุรักษพ์ นั ธุกรรมพืชอนั เน่ืองมาจากพระราชดาริ สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ้ือปุ๋ยเคมี
และชว่ ยลดภาระของเจา้ หนา้ ท่ใี นการจัดการเศษใบไมแ้ หง้ เหล่านอ้ี กี ด้วย

30

จากแนวคดิ ดังกล่าวเม่ือนามาวิเคราะห์ตามหลักวศิ วกรสังคม สามารถ
อธบิ ายข้ันตอนการทางานไดด้ งั นี้

ขน้ั ตอนท่ี 1 การคน้ หาปญั หา โดยสงั เกตพบวา่ พน้ื ทใ่ี นมหาวทิ ยาลัย
มีเศษใบไม้ร่วงหล่นจานวนมาก แต่ยังขาดการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
จงึ มแี นวคิดการทาป๋ยุ หมักจากเศษใบไมแ้ หง้ เพ่ือแกไ้ ขปัญหาดงั กลา่ ว

ข้ันตอนท่ี 2 การนาแนวคิดดงั กลา่ วปรกึ ษาผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นการจดั การ
ส่ิงแวดล้อม (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณัฐสิมา โทขันธ์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์
กานต์มณี ไวยครุฑ ที่ปรึกษาโครงการ) เพื่อขอคาแนะนาในเรื่องเทคนิค/วิธีการ/
กระบวนการในการทาปยุ๋ หมกั จากเศษใบไมแ้ หง้ ซงึ่ มเี ทคนคิ /วธิ กี ารการทาปยุ๋ หมกั
3 แบบ ได้แก่ 1) การทาปุ๋ยหมักแบบกล่ันกรอง 2) การทาปุ๋ยหมักแบบก่ออิฐหรือ
บอ่ ปูนซเี มนต์ และ 3) การทาปยุ๋ หมักแบบฝงั ลงดิน โดยใชช้ ่อื วธิ ีการนี้ว่า “VRU
Green Cone”

ข้ันตอนท่ี 3 การเลือกสถานที่สาหรับดาเนินการ เน่ืองจากการทา
ปยุ๋ หมกั จะสง่ กลน่ิ รบกวนหากสถานทไี่ มเ่ หมาะสม จงึ ประสานงานขอความอนเุ คราะห์
จากทางมหาวิทยาลยั ในการจดั หาสถานทที่ เ่ี หมาะสมสาหรบั ดาเนนิ โครงการ เมอื่ ได้
สถานทแี่ ลว้ จงึ นาเศษใบไมแ้ หง้ มาทดลองตามเทคนคิ /วธิ กี ารทงั้ 3 แบบ เพื่อค้นหา
เทคนคิ /วธิ กี ารทดี่ ที สี่ ดุ มปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลมากทสี่ ดุ ทงั้ นไี้ ดน้ าเครอื่ งมอื

31

ทางวศิ วกรสงั คม คอื “นาฬกิ าชวี ติ ” มาใช้ในการลงบนั ทึกประจาวนั เชา้ -บา่ ย โดย
ทีมงานจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจดบันทึกอุณหภูมิและค่าความชื้น เพ่ือสังเกต
การทาปฏิกิริยาในแตล่ ะวันจนกว่าจะครบกาหนดตามระยะเวลาท่ีกาหนดไว้

ขนั้ ตอนท่ี 4 การนาตวั อย่างของป๋ยุ หมกั ทง้ั 3 แบบ ส่งหอ้ งทดลอง
เพือ่ วัดคา่ ฟอสฟอรสั (P) ไนโตรเจน (N) และโพรแตสเซยี ม (K)

ขนั้ ตอนที่ 5 การสง่ ตวั อยา่ งปยุ๋ หมกั ทผ่ี า่ นหอ้ งทดลองแลว้ ทง้ั 3 แบบ
ให้แก่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดาริสมเด็จพระเท พ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทดลองใช้เพ่ือค้นหาเทคนิค/วิธีการท่ีมี
ประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลมากท่สี ดุ

ขนั้ ตอนที่ 6 การนากระบวนการ เทคนิค/วิธีการการทาป๋ยุ หมกั จาก
เศษใบไมแ้ หง้ ทดี่ ที ส่ี ดุ สรา้ งเปน็ องคค์ วามรเู้ ผยแพรต่ อ่ ชมุ ชน เพอื่ ใหช้ มุ ชนไดน้ าไปใช้
และตอ่ ยอดต่อไป

2. รำงวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้แก่ “ทีมสำธำรณสุขศำสตร”์
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์
นาเสนอโครงการพฒั นาผลติ ภณั ฑค์ รมี ลกู ประคบไพล เพอื่ ยกระดบั ผลผลติ สมนุ ไพร
ไทยในพน้ื ทต่ี าบลหนองตะเคยี นบอน อาเภอวฒั นานคร จงั หวดั สระแกว้ ซงึ่ ตอ่ ยอด
จากโครงการทอี่ าจารยใ์ นคณะสาธารณสขุ ศาสตรไ์ ดล้ งพน้ื ทท่ี าวจิ ัยสมนุ ไพรในพน้ื ท่ี
ตาบลหนองตะเคียนบอน อาเภอวฒั นานคร จังหวัดสระแกว้ จากการศกึ ษาบริบท
ของชุมชนตาบลหนองตะเคียนบอน อาเภอวฒั นานคร จงั หวดั สระแก้ว พบว่า เปน็
พื้นทท่ี ม่ี ีความอุดมสมบรู ณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทอ้ งถิ่น โดยเฉพาะพืชสมนุ ไพร
ไทยมีอยู่จานวนมาก อกี ทัง้ คนในชมุ ชนหนองตะเคียนบอนไดม้ ีการรวมกล่มุ อาชีพ
แปรรูปพืชสมุนไพร เพ่ือเพิ่มมูลค่าให้แก่สมุนไพรในท้องถิ่นและสร้างรายได้ให้แก่
คนในชุมชน แตเ่ นอื่ งจากสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของเชือ้ ไวรสั Covid-19 สง่ ผล
กระทบต่อการจาหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพร สถานบริการด้านการแพทย์แผนไทย
และการนวดเพ่ือสุขภาพไม่สามารถเปิดให้บริการได้ สร้างความเดือดร้อนให้แก่
กลุ่มอาชีพดังกลา่ ว จากการที่คณะทางานไดว้ เิ คราะหข์ ้อมลู ร่วมกับชมุ ชน พบวา่
คนในชุมชนต้องการพฒั นาผลติ ภณั ฑ์ครมี ลูกประคบไพล

32

3. รำงวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ “ทีม SK New Gen” จาก
มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สระแก้ว นาเสนอ
โครงกำร “ชีวกระดำษ” จำกเศษก่ิงไม้ใบไม้แห้ง แนวคิดนี้เกิดจากการท่ี
คณะทางานได้ศึกษาบริบทชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระ
บรมราชูปถัมภ์ สระแก้ว พื้นท่ีส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยเป็นพ้ืนที่ทาการเกษตร
และเขตป่าทาให้มีเศษก่ิงไมใ้ บไม้แห้งจานวนมาก ส่งผลใหเ้ กดิ ปัญหาต่าง ๆ เช่น
ไฟปา่ แหล่งเพาะพนั ธส์ุ ัตว์มีพษิ

เมอื่ นาปญั หาดงั กลา่ วมาวเิ คราะหโ์ ดยใชเ้ ครอ่ื งมอื “นาฬกิ าชวี ติ ” พบวา่
สภาพภมู อิ ากาศของจงั หวดั สระแกว้ แบง่ ออกเปน็ 3 ฤดู คอื ในชว่ งเดอื นกมุ ภาพนั ธ์-
มิถุนายน เป็นช่วงฤดูร้อน ก่อให้เกิดปัญหาไฟป่าจากเศษใบไม้แห้ง ช่วงเดือน

33

กรกฎาคม-พฤศจิกายน เปน็ ชว่ งฤดูฝน ก่อให้เกิดปัญหาแหล่งเพาะพันธ์ุสัตว์มีพิษ
เช่น งู ตะขาบ และช่วงเดือน
ธนั วาคม-มกราคม เปน็ ชว่ งฤดหู นาว
ก่อใหเ้ กดิ ไฟปา่ เขม่าและเศษใบไม้
แหง้ ปลิวเขา้ บา้ นเรอื นคนในชุมชน
ละแวกใกลเ้ คยี ง ดงั นน้ั คณะทางาน
ได้ร่วมกนั คน้ หาแนวทางการแกไ้ ข
ปัญหาโดยการจัดทา “โครงกำร
ชีวกระดำษ” ขนึ้

4. รำงวลั ชมเชย ได้แก่ “ทีม CIM” จากวิทยาลยั นวัตกรรมการจัดการ
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ นาเสนอแนวคดิ “โครงการ
จัดการขยะในชุมชน ณ ชุมชนเคหะระพีพัฒน์ ตาบลคลองส่ี อาเภอคลองหลวง
จังหวดั ปทมุ ธาน”ี จากการศึกษาสภาพบรบิ ทชมุ ชนเคหะระพพี ฒั น์ พบวา่ มีปญั หา
ด้านการจัดการขยะภายในชมุ ชน ปญั หาทพ่ี บ ได้แก่ ขยะลน้ ถังขยะมไี ม่เพียงพอ
ตอ่ ปรมิ าณขยะทท่ี งิ้ ในแตล่ ะวนั และคนในชมุ ชนไมแ่ ยกขยะ คณะทางานไดป้ ระชุม
หารอื กนั เพอ่ื แกไ้ ขปญั หา โดยจดั ทา “โครงกำรจดั กำรขยะในชมุ ชนเคหะระพีพัฒน์”

34

5. รำงวลั ชมเชย ได้แก่ “ทีม Safety Avengers” คณะวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ นาเสนอ
แนวคดิ “โครงกำรวดั ธรรมวดั ใจ ตำบลเชียงรำกน้อย อำเภอบำงปะอนิ จังหวดั
พระนครศรอี ยธุ ยำ” จากการลงพน้ื ทสี่ ารวจและสอบถามคนในชมุ ชนวดั ธรรมนาวา
พบวา่ มจี ุดเส่ียงในการใช้รถใช้ถนนภายในชมุ ชน 3 จดุ คือ จดุ ที่ 1 สะพำนหนำ้
วัดธรรมนำวำ เป็นสะพานเหล็กเรียบ เมอ่ื รถจกั รยานยนต์ขบั มาด้วยความเร็ว
ทาใหล้ ื่นและเกดิ อุบัตไิ ด้ โดยเฉพาะในฤดฝู นจะมีนา้ ขงั ทาใหเ้ กดิ อุบตั เิ หตุบ่อยครัง้

จดุ เสี่ยงท่ี 2 ทำงโค้งสะพำนหนำ้ วัดธรรมนำวำ จดุ นีเ้ รียกว่า “โค้งจุด
อบั ” เน่อื งจากรถที่วิ่งมาจากด้านหน้าวัดธรรมนาวามกั จะขบั มาดว้ ยความเรว็ และ

35

จดุ เสย่ี งท่ี 3 ทำงเขำ้ ซอยบำ้ นเชยี งรำก รถทข่ี บั มาจากสะพานดา้ นหนา้
วัดธรรมนาวาขับด้วยความเร็ว มองไม่เห็นรถที่ขับออกมาจากซอยบ้านเชียงราก
เพราะไมม่ สี ญั ญาณไฟเตือนบวกกับเปน็ ทางโค้งทาใหเ้ กิดอบุ ตั เิ หตุบ่อย

จากปญั หาดงั กลา่ วคณะทางานจงึ มแี นวคดิ “วดั ธรรมวดั ใจ” เพือ่ แกไ้ ข
ปญั หาความปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ของคนในชมุ ชนวดั ธรรมนาวา และชมุ ชน
อื่น ๆ ท่สี ัญจรไปมาบนจดุ เสีย่ งเหล่านี้

6. รำงวัลชมเชย ได้แก่ “ทีม Mechanical” (วิศวกรรมเคร่ืองกล)
คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรม
ราชปู ถมั ภ์ นาเสนอแนวคดิ “เครอ่ื งอบกลว้ ยจำกพลงั งำนแสงอำทติ ย”์ การแปรรปู
กลว้ ยเพ่ือถนอมอาหารและเพ่ิมมูลคา่ ให้แกก่ ลว้ ย โดยเฉพาะกล้วยตากนิยมทากัน
มาก แต่การตากกล้วยด้วยวิธีการทางธรรมชาติอาจทาให้ประสบปัญหาฝุ่นหรือ
แมลงวันตอมได้ และยงั ใชร้ ะยะเวลาในการตากกลว้ ยคอ่ นขา้ งนาน คณะทางานจงึ
เกดิ แนวคดิ สร้าง “เครื่องอบกล้วยดว้ ยพลังงานแสงอาทติ ย์” ขึ้น โดยพัฒนาจาก
วิธีการตากกล้วยแบบธรรมชาติ เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันฝุ่นและแมลงแล้ว
ยงั สามารถลดระยะเวลาในการตาก สามารถตากไดท้ งั้ กลางวนั และกลางคืนอกี ดว้ ย

36

37

สรปุ ผลกำรดำเนนิ งำนวศิ วกรสังคม ประจำปีกำรศึกษำ 2564

1. พื้นท่ีดำเนินงำนภำยในมหำวิทยำลยั
1.1 โครงกำรปยุ๋ หมกั จำกเศษใบไมแ้ หง้ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ทมี S.A.O.2021

ชมรมองค์การบริหารนักศึกษา
1.2 โครงกำร How to save money ใชเ้ งนิ อย่ำงไรใหม้ ีเงินเก็บ

ผู้รบั ผดิ ชอบ ทีม EDU พฒั นา คณะครศุ าสตร์
1.3 โครงกำรผลติ ภณั ฑจ์ ำกลกู ตนี เปด็ น้ำ ผรู้ บั ผดิ ชอบ สภานกั ศกึ ษา

2. พนื้ ทด่ี ำเนินงำนจงั หวัดปทมุ ธำนี
2.1 โครงกำรพัฒนำกลุ่มวิสำหกิจชุมชนน้ำพริกแกง ม.3 ตำบล

บำงกระบอื อำเภอสำมโคก จงั หวดั ปทมุ ธำนี ผรู้ บั ผดิ ชอบ ทมี HUSO New Gen
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

2.2 โครงกำรจดั กำรขยะในชุมชน ณ ชมุ ชนเคหะระพีพัฒน์ ตำบล
คลองสี่ อำเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทุมธำนี ผู้รับผิดชอบ ทีม CIM วิทยาลัย
นวตั กรรมการจัดการ

2.3 โครงกำรชุมชนวัดพชื นิมติ รอยูอ่ ยำ่ งปลอดภยั ห่ำงไกลอุบตั ิเหตุ
บนทอ้ งถนน ชมุ ชนวดั พืชนิมิตร ตำบลคลองหนง่ึ อำเภอคลองหลวง จังหวัด
ปทมุ ธำนี ผู้รบั ผดิ ชอบ ทีม Prevent accidents by OCC team คณะ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

2.4 โครงกำรพัฒนำบรรจุภัณฑ์ ตรำสินค้ำ และช่องทำงกำรขำย
ออนไลนไ์ ข่เค็มบ้ำนคลองสะแก หมู่ 5 ตำบลคลองสะแก อำเภอลำดหลุมแก้ว
จงั หวดั ปทุมธำนี ผู้รับผิดชอบ ทีม Fighter Power คณะวิทยาการจัดการ

3. พน้ื ทดี่ ำเนินงำนจังหวดั สระแกว้
3.1 โครงกำรชวี กระดำษ ผ้รู ับผิดชอบ ทีม SK New Gen

มหาวทิ ยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สระแก้ว
3.2 โครงกำรพัฒนำผลิตภัณฑ์ครีมลูกประคบไพล เพื่อยกระดับ

ผลผลติ สมนุ ไพรไทยในพน้ื ท่ตี ำบลหนองตะเคยี นบอน อำเภอวัฒนำนคร จงั หวัด
สระแกว้ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ทมี คณะสาธารณสขุ ศาสตร์

38

4. พน้ื ท่ดี ำเนินงำนจังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยำ
4.1 แผน่ พนื้ ทำงเทำ้ เสริมเสน้ ใยขวดพลำสตกิ ทเี่ หลอื ใช้ เทศบำลเมอื ง

ลำตำเสำ ตำบลลำตำเสำ อำเภอวงั นอ้ ย จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยำ ผรู้ บั ผดิ ชอบ
ทีมโยธาเพ่อื ชุมชน คณะเทคโนโลยอี ตุ สาหกรรม

4.2 โครงกำรวดั ธรรมวัดใจ ตำบลเชียงรำกน้อย อำเภอบำงปะอิน
จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยำ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ทมี Safety Avengers คณะวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี

4.3 โครงกำรวไลยรวมพลงั ชมุ ชนสรำ้ งถนนปลอดภยั เทศบำลตำบล
พระอินทรำชำ ตำบลเชยี งรำกน้อย อำเภอบำงปะอนิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยำ
ผู้รบั ผิดชอบ ทีม safety first คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

4.4 โครงกำรพัฒนำเครื่องห่ันหัวไพรสำหรับน้ำมันนวดสูตรตำบล
บำงไทร อำเภอบำงไทร จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยำ ผรู้ ับผดิ ชอบ ทีม SoCenG
ชมรมหุ่นยนต์ VRU

4.5 โครงกำร EngEdu ปนั ควำมรู้ สู้โควดิ โรงเรยี นเชยี งรำกน้อย
ตำบลเชียงรำกน้อย อำเภอบำงปะอนิ จงั หวัดพระนครศรีอยุธยำ ผรู้ ับผิดชอบ
ทีม Eng Act Art ชมรม Eng Act Art

5. พื้นท่ีดำเนนิ งำนจังหวัดนนทบุรี
โครงกำรเครื่องอบกล้วยจำกพลังงำนแสงอำทิตย์ ตำบลระหำน

อำเภอบำงบวั ทอง จังหวดั นนทบรุ ี ผู้รบั ผดิ ชอบ ทมี Mechanical (วิศวกรรม
เคร่ืองกล) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม

39

ตำรำงที่ 2 สรุปจานวนพ้ืนที่ดาเนินโครงการ/กจิ กรรม

พ้ืนที่ดำเนินงำน/ ถอดบทเรยี นองคค์ วำมรู้ รวม
จงั หวัด ดำ้ นบริกำรชมุ ชน ด้ำนผลิตภณั ฑ์ ด้ำนกำรจดั กำร
3
ภายในมหาวิทยาลัย ชุมชน สิง่ แวดล้อม 4
ปทุมธานี 1 11 2
สระแกว้ 5
พระนครศรีอยธุ ยา 1 21 1
นนทบุรี 15
11

41
1

รวม

40

กำรนำเสนอ แผนผงั ควำมคดิ
(Mind Map) โครงกำรวศิ วกรสังคม

โครงกำร ปุ๋ยหมักจากเศษใบไม้แห้ง

องค์ควำมรูด้ ้ำน กำรจดั กำรสงิ่ แวดล้อม

Time Line พฒั นำกำร

12 34

ปัญหำใบไมแ้ ห้งรว่ งหลน่ ปรกึ ษำผู้เช่ียวชำญด้ำน ประสำนงำนกับหน่วยงำน นำตัวอยำ่ งปยุ๋ หมักท่ไี ด้
จำนวนมำก จึงคดิ วิธกี ำร กำรจดั กำรสงิ่ แวดล้อม ภำยในมหำวิทยำลยั เลอื ก ทงั้ 3 แบบ สง่ หอ้ งทดลอง
แกไ้ ขปัญหำโดยกำรทำ คน้ หำวิธีกำรทำปยุ๋ หมักที่ สถำนทท่ี เี่ หมำะสมในกำรทำ เพอื่ ตรวจวัดค่ำ P, N, k
ปยุ๋ หมกั จำกเศษใบไมแ้ ห้ง มปี ระสิทธิภำพมำกทสี่ ดุ ปยุ๋ หมกั จำกเศษใบไมแ้ หง้
ทงั้ แบบบ่อซีเมนต์ แบบ นำป๋ยุ ท่ีผำ่ นกำรทดสอบ
นำกระบวนกำรทำปุย๋ กลับกอง และแบบฝังดนิ วัดคำ่ สง่ ให้ศูนยอ์ นุรักษ์ฯ
หมกั ทดี่ ที ่สี ดุ ต่อยอดออก ทดลองใชบ้ ำรงุ ต้นไม้
ส่ชู มุ ชน ท้องถิ่น 65

ค้นหำข้อเท็จจริง (Fact and Feeling)

หนงึ่ ในกลยทุ ธข์ องกำรพฒั นำมหำวทิ ยำลยั ใหเ้ ปน็ มหำวทิ ยำลยั สเี ขยี วทม่ี กี ำรอนำมยั สขุ ำภบิ ำล
และกำรจดั กำรสิ่งแวดลอ้ มทด่ี ที ำใหม้ หำวทิ ยำลยั มกี ำรฟนื้ ฟแู ละขยำยพนื้ ทส่ี ีเขยี วเพมิ่ มำกขนึ้ รวมถึง
กำรอนุรกั ษ์พันธ์ุไมค้ วบคไู่ ปด้วย กำรดแู ลรักษำต้นไม้และกำรจดั เกบ็ ใบไมท้ ี่ร่วงหล่นทมี่ ีปริมำณมำก
ในแต่ละวัน โดยเฉพำะในชว่ งฤดูแลง้ จะถูกนำไปท้ิงตำมพ้ืนที่วำ่ งเปลำ่ ขำดกำรจัดกำร คณะทำงำน
จงึ มแี นวคิดกำรทำปยุ๋ หมกั จำกเศษใบไมแ้ หง้ ทงั้ ในรปู แบบกลบั กอง แบบบอ่ ซีเมนต์ และแบบฝงั ลงดิน
ซง่ึ ถอื ไดว้ ่ำกำรทำปยุ๋ หมกั จำกเศษใบไม้แหง้ นอกจำกจะไดป้ ยุ๋ อนิ ทรยี ท์ เี่ พ่มิ ควำมอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ
ยงั ชว่ ยลดรำยจ่ำยซอ้ื ปยุ๋ เคมี ลดกำรฟงุ้ กระจำยของใบไม้ และชว่ ยลดภำระคนงำนในกำรจดั กำรดำ้ น
สงิ่ แวดล้อมของมหำวทิ ยำลยั อีกด้วย ท้ังปรมิ ำณอนิ ทรียวัตถุ แรธ่ ำตอุ ำหำร ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั
และโพแทสเซียม ช่วยเพิ่มจลุ ินทรีย์ทีม่ ปี ระโยชนใ์ นดนิ

วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อศึกษำกระบวนกำรและผลิตปยุ๋ หมกั จำกเศษใบไมแ้ ห้ง
2. เพอ่ื เปรยี บเทยี บประสิทธิภำพของปยุ๋ หมักในรูปแบบกลบั กอง แบบ

บ่อซเี มนต์ และแบบฝังลงดิน
3. เพือ่ เพมิ่ มูลคำ่ ใบไมแ้ ห้งและจดั กำรสิง่ แวดลอ้ มภำยในพื้นทมี่ หำวทิ ยำลัย

42

Time Line กระบวนกำร

โครงงำนกำรทำปุ๋ยหมักจำกเศษใบไม้แห้งจำเป็นต้องอำศัยองค์ควำมรู้ด้ำนวิทยำศำสต ร์
และเทคโนโลยสี ง่ิ แวดลอ้ ม โดยทมี งำนไดโ้ จทยท์ จ่ี ะพฒั นำและศกึ ษำคน้ ควำ้ ขอ้ มลู ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง พรอ้ มทงั้
ขอรับคำปรกึ ษำจำกผเู้ ชย่ี วชำญในศำสตรก์ ำรจดั กำรสง่ิ แวดลอ้ มเพอื่ ใหไ้ ด้มำซง่ึ กระบวนกำร/เทคนคิ
ทำปุ๋ยหมักในรปู แบบกลับกอง แบบบ่อซีเมนต์ และแบบฝงั ลงดนิ จำกน้ันทำกำรทดลองและสงั เกต
กำรทดลองโดยอำศัยทักษะกำรสังเกต (สีปุ๋ย และกำรยุบลงของกองปุ๋ย) กำรช่ัง/ตวง (อัตรำส่วน

แปลุย๋ ะหรม้อกั ยไลปะใ)ชท้แดลสะกอำบรควณุ ัดภ(ำอพุณปหุ๋ยภรมูว่ มิ คกวบั ำกมำชรน้ืปลแกู ลตะ้นธไำมต้ ุปซุ๋ยง่ึ )สำเปมน็ำรตถ้นสรรปุ วผมเลทคก้ังรำกรือำทรขทด่ำลดยอลงอ(ไงดถนส้ ้ำำูตผมรลี)ปติ ยุ๋ ภทัณี่ดฑีท์ี่

สุดเพอ่ื ขยำยผลตอ่ ชุมชนต่อไป ซงึ่ กำรดำเนินโครงกำรดังกลำ่ วใชเ้ วลำอย่ำงน้อย 30 วัน

ผลทคี่ ำดว่ำจะได้รบั เครือข่ำย (ถ้ำม)ี

1. ไดก้ ระบวนกำรและผลิตปุย๋ หมกั จำกเศษใบไม้แหง้
2. ทรำบประสทิ ธิภำพปยุ๋ หมักในรูปแบบกลับกอง แบบบ่อซีเมนต์ และแบบฝงั ลงดินท่ีเพิ่ม

มวลชีวภำพของพชื และลดต้นทนุ ป๋ยุ เคมีได้มำกท่ีสุดเพ่ือขยำยผลสูช่ ุมชนตอ่ ไป
3. สรำ้ งเพมิ่ มลู คำ่ ใบไมแ้ หง้ ใหม้ คี ณุ ภำพปยุ๋ อนิ ทรยี แ์ ละจดั กำรสงิ่ แวดลอ้ มภำยในพน้ื ทม่ี หำวทิ ยำลยั

ขอ้ จำกดั แนวทำงกำรแก้ไข

สถำนกำรณ์ Covid-19 ทำใหก้ ำรทำงำนของทมี ปฏบิ ัตติ ำมนโยบำยของมหำวทิ ยำลัย
ไม่เตม็ ศักยภำพ เช่น กำรรวมกลมุ่ ทำกจิ กรรม กำรทำงำนระหว่ำงอำจำรยท์ ี่ปรึกษำ
กำรใช้เคร่ืองมือ/หอ้ งปฏิบตั กิ ำร และกำรทำงำน และทีมงำนผ่ำนระบบออนไลน์
เชิงพื้นท่ีรว่ มกบั อำจำรย์ที่ปรกึ ษำ
กำรขยำยผล

ผลลัพธ์ สูตรกำรทำปุ๋ยหมกั จำกเศษใบไมแ้ หง้
ทเ่ี พ่ิมมวลชีวภำพของพชื และลด
ด้ำนสังคม นักศึกษำได้รบั องคค์ วำมรใู้ หมแ่ บบบูรณำกำรศำสตร์ ต้นทนุ กำรผลิตปุ๋ยเคมีได้มำกทสี่ ุด
จะถกู นำไปขยำยผลสู่ชมุ ชน/พื้นท่ี
เกิดกำรรวมกลุ่มของนกั ศึกษำ เกดิ กำรแลกเปล่ียนเรยี นรู้ เปำ้ หมำยของมหำวิทยำลยั รวมท้งั
นกั ศกึ ษำท่สี นใจเพอื่ สรำ้ งรำยได้
รว่ มกนั ขยำยองค์ควำมรสู้ ู่ชมุ ชนหรือนกั ศึกษำคนอืน่

ด้ำนเศรษฐกิจ นักศึกษำมรี ำยไดจ้ ำกกำรจำหนำ่ ยป๋ยุ และพชื ผัก ลด
รำยจ่ำยจำกกำรซ้ือป๋ยุ เคมี และพืชผกั ไวร้ ับประทำน

ด้ำนส่งิ แวดลอ้ ม เพมิ่ มลู ค่ำใบไม้แห้งและจัดกำรสง่ิ แวดลอ้ มภำยใน

พน้ื ทม่ี หำวิทยำลยั

43

โครงกำร How to save money
ใช้เงนิ อยา่ งไรให้มเี งนิ เกบ็

องคค์ วำมรดู้ ้ำน กำรจัดกำรสงิ่ แวดลอ้ ม

Time Line พัฒนำกำร

12 3

กรกฎำคม 2564 กรกฎำคม 2564 กรกฎำคม 2564
สำรวจและเก็บขอ้ มูล รับสมัครผู้เข้ำร่วมโครงกำร วิเครำะหข์ อ้ มลู

5 4

สงิ หำคม 2564 สงิ หำคม 2564
ตดิ ตำมผล จำทำโครงกำร How to save money

(ใช้เงินอย่ำงไรใหม้ เี งนิ เก็บ)

คน้ หำขอ้ เท็จจริง (Fact and Feeling)

นกั ศกึ ษำชน้ั ปที ่ี 1 เปน็ ชว่ งวยั ทก่ี ำลงั จะพน้ วยั เดก็ และกำ้ วเขำ้ สวู่ ยั ผใู้ หญอ่ ยำ่ งเตม็ ตวั
หลำย ๆ คนไม่สำมำรถปรับตัวต่อกำรเปลี่ยนแปลงได้ และยังขำดควำมรู้และควำมเข้ำใจ
เกย่ี วกบั กำรวำงแผนทำงกำรเงนิ รวมไปถงึ วนิ ยั กำรใชจ้ ำ่ ยในชวี ติ ประจำวนั ทไี่ มม่ ปี ระสทิ ธภิ ำพ
คณะทำงำนจงึ เกิดแนวคิดโครงกำร How to save money (ใชเ้ งินอย่ำงไรให้มีเงินเก็บ)
เพ่อื ใหค้ วำมรู้แก่นกั ศกึ ษำ ให้เห็นควำมสำคัญของกำรมวี ินัยทำงกำรเงนิ สำมำรถวำงแผน
บรหิ ำรจดั กำรทำงกำรเงนิ มเี งนิ ออม สำหรับใช้จำ่ ยในสง่ิ ท่จี ำเปน็

วตั ถปุ ระสงค์

1. เพอ่ื ให้นักศกึ ษำมีควำมร้แู ละควำมเข้ำใจเกยี่ วกับกำรวำงแผนทำงกำรเงนิ ของตนเอง
2. เพอื่ สง่ เสริมให้นกั ศกึ ษำมีวนิ ยั ทำงกำรเงนิ สำมำรถบรหิ ำรเงนิ ในชวี ิตประจำวนั อย่ำงมี

ประสิทธิภำพ

44


Click to View FlipBook Version