The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 042กัรมี นือเรง, 2023-03-19 18:28:36

pdf_20230320_052457_0000

pdf_20230320_052457_0000

อาจารย์ เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพ็ชร จิตจิวิทวิยาสำ หรับ รั ครู เสนอ จัดทำ โดย รหัสนักศึกษา 6506910042 นางสาวกัรมี นือเรง


คำ นำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาจิตวิทยาสำ หรับครู(600-106) และได้รวบรวมเนื้อหาที่เกี่ยวกับจิตวิทยาสำ หรับครูผ่านการ ค้นคว้า หาความรู้ จากแหล่งเว็บไซต์ต่างๆผู้จัดทำ หวังว่าจะสามารถนำ ไปเป็นความรู้ในการเรียน การสอน และการใช้ชีวิตประจำ วันได้ ผู้จัดทำ หวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียนที่ กำ ลังศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำ หรือข้อผิดพลาดประการ ใดผู้จัดทำ ขอน้อมรับและขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จัดทำ โดย นางสาวกัรมี นือเรง


สารบัญ เรื่อ รื่ ง บทที่1 บทที่2 บทที่3 บทที่4 บทที่5 บทที่6 บทที่7 บทที่8 บทที่9 บทที่10 บทที่11 บทที่12 1 7 14 22 27 33 37 41 47 53 57 62 หน้า


บทที่1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา สำ หรับครู 1


จิตวิทยา (อังกฤษ:psychology) คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับ จิตใจ (กระบวนการของจิต) ,กระบวนความคิด, และพฤติกรรม ของมนุษย์ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่นักจิตวิทยาศึกษาเช่น การรับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของมนุษย์) , อารมณ์, บุคลิกภาพ, พฤติกรรม, และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมีความหมายรวมไปถึง การประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ประจำ วัน (เช่นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว,ระบบการศึกษา, การจ้างงานเป็นต้น) จิตวิทยาสําหรับครู เป็นศาสตร์ที่ ศึกษาเพื่อให้ผู้สอนมีความรู้ความ เข้าใจความแตกต่างและความต้องการ ของผู้เรียน ในอันที่จะสามารถ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนไป สู่แนวทางอันพึงประสงค์ได้ ความหมาย 2


ความสำ คัญของจิตวิทยาสำ หรับครู 1. ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัย (Characteristics) ของนักเรียนที่ครูต้อง สอนโดยทราบหลักพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม 2.ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบาง ประการของนักเรียนเช่นอัตมโนทัศน์(self concept) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและเรียนรู้ถึงบทบาทของครูใน การที่จะช่วยนักเรียนให้มีอัตมโนทัศน์ที่ดีและถูกต้อง ได้อย่างไร 3.ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคลเพื่อจะได้ช่วยนักเรียน เป็นรายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบุคคล 4.ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่วัย และขั้น พัฒนาการของนักเรียนเพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจและอยากจะเรียนรู้ 5. ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เช่น แรงจูงใจ อัตมโนทัศน์ และการตั้งความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียน 3


ประโยชน์ของจิตวิทยาสำ หรับครู 1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถนำ ความรู้ที่ ได้มาจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ความ ต้องการ ความสนใจของเด็กแต่ละวัย 2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้วิธีการวัด และประเมินผลการศึกษาได้สอดคล้องกับวัย ซึ่งเป็นการช่วยให้จัดการเรียน การสอนมีประสิทธิภาพ 3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนานด้วยบรรยากาศของความ เข้าใจ การให้ความร่วมมือ และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน 4.ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็ก ทำ ให้ปกครองเด็ก ง่ายขึ้นและสามารถทำ งานกับเด็กได้อย่างราบรื่น 5.ช่วยให้ครูป้องกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กได้ อย่างเหมาะสม 6.ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษาวางแนวทางการศึกษา จัดหลักสูตร อุปกรณ์การ สอนและการบริหารงานได้เหมาะสม 7.ช่วยให้ผู้เรียนเข้ากับสังคมได้ดี ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี 4


1.จิตวิทยาทั่วไป (General Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม ทั่วไปของมนุษย์การรับรู้ การเรียนรู้ อารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ประสาทสัมผัส เป็นต้น จิตวิทยาสาขาพื้นฐานของการเรียนจิตวิทยาสาขา อื่นต่อไป 2.จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับลำ ดับขั้นตอนของ พัฒนาการเจริญเติบโตในแต่ละ วัยต่างๆ ของมนุษย์ ตั้งแต่ ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา 3.จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับบทบาท ความสัมพันธ์และพฤติกรรมของบุคคล ในกลุ่มสังคม ปฏิกิริยาตอบสนองของ บุคคลที่อยู่รวมกัน เจตคติและความ คิดเห็นของกลุ่มชน 4.จิตวิทยาการทดลอง (ExperimentalPsychology) ศึกษาเกี่ยวกับ ระบบประสาทและพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ในห้องทดลอง 5.จิตวิทยาการแนะแนว(Guidance Psychology) นักจิตวิทยาแนะแนว ทำ หน้าที่ให้คำ แนะนำ ให้แนวทาง และให้คำ ปรึกษาสถานศึกษากับ นักเรียน นักศึกษา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้มีปัญหาด้านการปรับตัว ปัญหาการเรียน และปัญหาส่วนตัวอื่นๆ ขอบข่ายของจิตวิทยาสำ หรับครู 5


8.จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพในการทำ งาน ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการทำ งาน แรรงจูงใจในการทำ งาน การคัดเลือกคนงาน การประเมินผลงาน 6.จิตวิทยาคลีนิค (Clinical Psychology) นักจิตวิทยาคลินิกทำ งาน ในโรงพยาบาลที่มีคนไข้โรคจิต สถาบันเลี้ยงเด็กปัญญาอ่อน หรืออาจ เปิดเป็นคลินิกส่วนตัวก็ได้ 7.จิตวิทยาประยุกต์ (Applied Psychology) เป็นการนำ หลักการทาง จิตวิทยามาใช้ประโยชน์ในสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม การแพทย์ การทหาร เป็นต้น 10.จิตวิทยาการทดลอง (ExperimentalPsychology) มีการ ศึกษาโดยการทดลองกับมนุษย์และ สัตว์ทั้งในสภาพแวดล้อมทั่วไปและ ในห้องปฏิบัติการ วิธีการศึกษาส่วน ใหญ่ใช้การสังเกต 9.จิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวกับงาน ด้านการเรียนการสอน การเรียนรู้ของ ผู้เรียนเป็นวิชาที่สำ คัญสำ หรับครูและ นักการศึกษา 6


บทที่2 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ 7


พฤติกรรมมนุษย์ ? หมายถึง การกระทำ ต่างๆ ของมนุษย์ทั้งทางด้านจิตใจซึ่งไม่สามารถสังเกตได้ และด้านการแสดงออกซึ่งสามารถสังเกตได้ ซึ่งการกระทำ าทั้งสองชนิดเกิดจากการ ควบคุมหรือสั่งการของ ระบบประสาทส่วนกลางคือ สมองและไขสันหลัง เช่น เครียด โกรธ ก้าวร้าว มีความสุข เศร้า เป็นต้น พฤติกรรมมนุษย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.พฤติกรรมภายนอกหรือการแสดงออกของมนุษย์ หมายถึง การกระทำ หรือการ แสดงออกด้านกิริยาท่าทางต่างๆ ของมนุษย์ เช่น การเดิน การพูด การเล่น การ แสดงสีหน้าและ กิจกรรมอื่นๆ ซึ่งบุคคลสามารถใช้เป็นสื่อหรือสัญญาณในการ สื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจได้ 2.พฤติกรรมภายในหรือจิตใจของมนุษย์ หมายถึง ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ และอื่นๆ ทางด้านจิตวิทยา เช่น การรับรู้ เจตคติ อารมณ์ ความจำ หรือประสบการณ์ เป็นต้น พฤติกรรมภายในมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งไม่ สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า 8


ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ 1. ความแตกต่างระหว่างมนุษย์ (Individual Differences) มนุษย์มีความแตกต่าง คือ คิดต่างกัน ตัดสินใจต่างกัน ใช้เวลาต่างกัน ทำ งานเร็วช้าต่างกัน สื่อสารต่างกัน จัดการกับอารมณ์ต่างกัน จัดการกับ ความเครียดต่างกัน จัดการกับความขัดแย้งที่เกี่ยวกับความคิดต่างกัน 9


2. พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม (Heredity & Environment) พันธุกรรม(Arv) คือลักษณะของสิ่งมีชีวิต ที่มีการแสดงออกเป็นลักษณะปรากฎที่ แตกต่างกัน และสามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง โดยหน่วยควบคุม ลักษณะ เรียกว่า ยีน •ลักษณะทางพันธุกรรม ได้แก่ ลักษณะสีนัยน์ตา สีผม สีผิว ความสูง และสติปัญญา •สิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งที่อยู่รอบตัวมนุษย์ และมีอิทธิพลที่สามารถทำ ให้มนุษย์มี ความแตกต่างกัน 10


3. ลักษณะรูปร่าง (Body Types) หมายถึง ลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ที่ปรากฏให้เห็นเด่น โดยมีพื้น ฐานมาจากยีนบรรพบุรุษ เช่น รักความสะดวกสะบาย มีความกระตือรือร้น พูดจาตรงไปตรงมา ชอบเก็บตัว กลัวคน เป็นต้น 4. ลำ ดับการเกิด (Birth Orders) •ลูกคนโต มักจะมีบุคลิกภาพ เป็นคนเอาจริงเอาจังต่อชีวิต มีความรับผิดชอบ มักเป็นผู้นำ ผู้ไว้อำ นาจแต่ถ้าแก้ความก้าวร้าวไม่ได้ ลูกคนโตมักมีบุคลิกภาพ ก้าวร้าว เคร่งเครียด และอิจฉาริษยา •ลูกคนรอง มักมีบุคลิกภาพ เป็นคนไม่เคร่งเครียด ไม่เอาจริงเอาจังเท่าไรนัก ไม่ค่อยสนใจที่จะเป็นผู้นำ หรือรับผิดชอบสักเท่าไร แต่เมื่อลูกคนรองมีน้อง ความรู้สึกการแข่งขันจะเกิดขึ้นทันที ถ้าในครอบครัวมีสัมพันธภาพไม่ดี อาจ ทำ ให้ลูกคนรองที่กลายมาเป็นคนกลางอาจมีความรู้สึกว่าพ่อแม่ ลำ เอียง และ เกิดปัญหาในที่สุด •ลูกคนสุดท้อง มักมีบุคลิกภาพเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง ช่างประจบ ชอบ ให้คนอื่นช่วยเหลือ ได้รับความรักจากพ่อแม่พี่ๆ ค่อนข้างมาก ถ้าเลี้ยงดีก็จะดี มากแต่ถ้าเลี้ยงตามใจมากเด็กอาจเสียในที่สุด •ลูกคนเดียว มักจะมีบุคลิกภาพที่มักจะเอาแต่ใจตนเอง มักถูกตามใจจน เคยตัว แต่ถ้าครอบครัวสอนให้รู้เหตุรู้ผลก็จะมีความเชื่อมั่นในตนเอง องอาจ นับถือตนเอง แต่ความรับผิดชอบอาจน้อยเพราะต้องการอะไรก็มักจะได้โดย ง่ายจึงไม่รู้ค่าของสิ่งที่มี 11


ความสำ คัญของการศึกษาพฤติกรรม 1.ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง 2. ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจผู้อื่น 3. ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยบรรเทาปัญหาสังคม 4. ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยเสริมสร้างพัฒนาคุณภาพชีวิต 12


ทฤษฎีพฤติกรรมมนุษย์ (Human Behaviors) ตามแนวความคิดของ Douglas McGregor ด้านพฤติกรรมแล้ว Donglas Mc Gregor เห็นว่าคนมี 2 ประเภท ตามกรอบทฤษฎี X และทฤษฎี Y และการ บริหารคนทั้ง 2 ประเภท ต้องใช้วิธีการบริหารแตกต่างกัน ทฤษฎี X เชื่อว่า 1. มนุษย์ไม่ชอบการทำ งาน และพยายามหลีกเลี่ยงงาน 2.มนุษย์ชอบถูกสั่งการ และการลงโทษเพื่อให้ใช้ความพยายามมากพอ 3. มนุษย์มีความทะเยอทะยานน้อย 4. มนุษย์ประเภทเกียจคร้าน ควรใช้มาตรการบังคับ ใช้กฎเกณฑ์คอยกำ กับ ควบคุมใกล้ชิด และมีการลงโทษเป็นหลัก ทฤษฎี Y เชื่อว่า 1. มนุษย์ทำ งานเพื่อตอบสนองความพึงพอใจ 2. มนุษย์ชอบการทำ ให้สำ เร็จตามเป้าหมาย 3. มนุษย์มีความมุ่งมั่น ขยันทำ งาน 4. มนุษย์ประเภทขยัน ควรกำ หนดหน้าที่ที่เหมาะสมท้าทายความสามารถ สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานเชิงบวก 13


บทที่3 พัฒนาการมนุษย์ 14


พัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆทั้งในโครงสร้างและ แบบแผน ของร่างกายทุกส่วนอย่างมีขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ จนกระทั่งตายไป พัฒนาการ ? ปัจจัยสำ คัญที่มีอิทธิผลต่อพัฒนาการของบุคคล -การเจริญ เป็นการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างต่างๆ ของร่างกาย เกี่ยวกับขนาด น้ำ หนัก ส่วนสูง รูปร่าง เป็นต้น -วุฒิภาวะ การบรรลุ ความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ด้วยความเจริญสมบูรณ์ ทั้งทาง ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมของบุคคล -ทางการเรียนรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างถาวร ด้วยการฝึกฝน การทำ ซ้ำ หรือกรณีเพิ่มประสบการณ์ 15


ทฤษฎีพัฒนาการ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพีย เจต์ ทฤษฎีพัฒนาการสติปัญญาของเพียงเจต์ ได้กล่าวถึงพัฒนาการทาง ความรู้และความเข้าใจหรือทางสติปัญญาว่าความคิดหรือสติปัญญา หมายถึง การที่บุคคลสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สามารถดัดแปลงความ คิดและการแสดงออกของคนได้ดี 16


พัฒนาการของมนุษย์แบ่งตามช่วงอายุได้เป็น 8 ระยะ ดังนี้ 1.ระยะก่อนเกิด(Prenatal stage) คือตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนถึงระยะคลอด 2.วัยทารกเริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 2 ปี พัฒนาการด้านร่างกาย วัยทารกจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างของ ร่างกายและการรู้จักใช้อวัยวะต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทางการเคลื่อนไหว การใช้ กล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส ทารกที่อยู่ในช่วงนี้จึง ไม่ค่อยจะอยู่นิ่งชอบสำ รวจ สิ่งแวดล้อม 17


3. วัยเด็กเริ่มตั้งแต่อายุ 2-12 ปี แบ่งออกเป็น 2 ช่วงอายุ ได้แก่ 1. วัยเด็กตอนต้นหรือระยะวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียน เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 2 ขวบ จนถึง 6 ขวบ 2. วัยเด็กตอนต้นหรือระยะวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียน เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ จนถึง 12 ขวบ 4.วัยย่างเข้าสู่วัยรุ่น ปกติผู้หญิงเฉลี่ยมีอายุ 12 ปี ชายเฉลี่ยมีอายุ 14 ปี พัฒนาการทางร่างกาย เจริญเติบโตถึงขีดสมบูรณ์ เพื่อทำ หน้าที่อย่างเต็มที่ โครงสร้างกระดูกแข็งแรงขึ้น การผลิตเซลล์สืบพันธุ์ในเด็กชาย การมีประจำ เดือน ของเด็กหญิงสุขภาพโดยทั่วไปของเด็กในวัยนี้ดีกว่าวัยที่ผ่านมา 18


5.วัยรุ่น ตั้งแต่อายุ 14-21ปี ลักษณะอารมณ์ ลักษณะของอารมณ์สืบเนื่องมาจากอารมณ์ของเด็ก วัยแรกรุ่น จึงคล้ายคลึงกันมาก พฤติกรรมสังคม สังคมวัยรุ่นเป็นกลุ่มของเพื่อนร่วมวัย ประกอบด้วย เพื่อนทั้ง 2 เพศ เด็กรู้สึกปลอดโปร่ง สบายใจ ในการทำ กิจกรรมต่างๆ กับ เพื่อนร่วมวัยมากกว่ากับเพื่อนต่างวัย กลุ่มมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นถ้าคบเพื่อนไม่ดีก็ อาจนำ ไปสู่พฤติกรรมที่เป็นปัญหาได้ 19


6.วัยผู้ใหญ่ ตั้งแค่อายุ 21-40ปี วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นระยะที่ความเจริญเติบโตทางการพัฒนาเต็มที่สมบูรณ์ ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นมีความแน่ใจและมีความมั่นคงทางจิตใจดีกว่าในระยะวัยรุ่น ส่วนด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือลักษณะพัฒนาการทางสังคมนั้น ระยะนี้การให้ ความสัมพันธ์กับกลุ่ม เริ่มลดน้อยลง 7.วัยกลางคน ตั้งแต่อายุ 40-60ปี สมรรถภาพทางกายเป็นไปในทางเสื่อมถอยการเปลี่ยนแปลงทางกายเช่นนี้ มีผล สัมพันธ์กับอารมณ์จิตใจและสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ทั้งหญิงและชายวัยกลาง คนต้องปรับตัวต่อสภาพเหล่านี้การปรับตัวที่สำ คัญ เช่น การปรับตัวทางอาชีพ การ ปรับตัวในบทบาทของสามีภรรยา การปรับตัวต่อการตายของคู่สมรสและความเป็น หม้าย การปรับตัวในชีวิตทางเพศและการเปลี่ยนวัยของชาย 20


8.วัยสูงอายุ ตั้งแต่อายุ 60ปีขึ้นไป วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของชีวิตลักษณะพัฒนาการในวัยชราตรงกันข้ามกับระยะวัย เด็กคือเป็นความเสื่อมโทรม วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของพัฒนาการของคน มีความ เสื่อมทางร่างกายอย่างเห็นได้ชัดความเสื่อมส่งผลกระทบต่องานอาชีพ ลักษณะ อารมณ์ ลักษณะสัมพันธภาพกับบุคคลในครอบครัวในสังคม แม้เป็นระยะแห่ง ความเสื่อม แต่รู้จักปรับตัวทางด้านร่างกาย อาชีพและสัมพันธภาพกับผู้อื่น สังคม และครอบครัวจะมีส่วนช่วยให้ความสุขแก่คนชรา แม้ว่าคนชราจะไร้ความสามารถ ด้านพละกำ ลังแต่คนชรายังมีค่าต่อคนหนุ่มสาว เพราะมากไปด้วยประสบการณ์ และบทเรียนชีวิต มนุษย์แต่ละคนควรตั้งความหวัง ความปรารถนาและเตรียมตัว เพื่อจะใช้ชีวิตยามบั้นปลายระยะวัยชราอย่างมีความสุข 21


บทที่4 ความจำ มนุษย์ 22


ความหมาย ความหมายของความจำ ความจำ เป็นที่ที่บุคคลใช้เก็บรักษาข้อมูลความรู้ ต่างๆ ที่เขาได้รับจากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ซึ่งส่งผลให้ บุคคลสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต เข้าใจสิ่งต่างๆ ใน ปัจจุบัน และคาดการณ์ไปยังอนาคตได้ 23


ความจำ ในจิตวิทยา ความจำ (memory) เป็นกระบวนการที่ข้อมูลต่าง ๆ รับการเข้ารหัส การเก็บไว้ และการค้นคืน เนื่องจากว่า ในระยะแรกนี้ ข้อมูล จากโลกภายนอกมากระทบกับประสาทสัมผัสต่าง ๆ ในรูปแบบของสิ่งเร้า เชิงเคมีหรือเชิงกายภาพ จึงต้องมีการเปลี่ยนข้อมูลไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็คือการเข้ารหัส เพื่อที่จะบันทึกข้อมูลไว้ในความจำ ได้ ระยะที่สอง เป็นการเก็บข้อมูลนั้นไว้ ในสภาวะที่สามารถจะรักษาไว้ได้เป็นระยะเวลา หนึ่ง ส่วนระยะสุดท้ายเป็นการค้นคืนข้อมูลที่ได้เก็บเอาไว้ ซึ่งก็คือการสืบหา ข้อมูลนั้นที่นำ ไปสู่การสำ นึกรู้ ให้สังเกตว่า การค้นคืนความจำ บางอย่างไม่ ต้องอาศัยความพยายามภายใต้อำ นาจจิตใจ ระบบความจำ ของคนเราพอจะแยกออกเป็น 3 ระบบคือ -ระบบความจำ การรู้สึกสัมผัส (sensory Memory) -ระบบความจำ ระยะสั้น (Short-Term Memory) -ระบบความจำ ระยะยาว (Long-Term Memory) 24


1. กระบวนการใส่รหัสข้อมูล (Encoding) เป็นกระบวนการประมวล และ ให้ความหมายกับสิ่งที่รับรู้ เพื่อที่จะสร้างตัวแทนของสิ่งนั้น ขึ้นมาเก็บไว้ใน ระบบความจำ 2. กระบวนการเก็บจำ (Storage) เป็นกระบวนการเก็บรักษาตัวแทนของ ข้อมูลที่ได้รับมาให้อยู่ในหน่วยความจำ 3. กระบวนการนำ ข้อมูลออกมาจากระบบการจำ (Retrieval) เป็นการดึง ข้อมูล ที่ถูกใส่รหัสและเก็บอยู่ในหน่วยความจำ ออกมาใช้ กระบวนการจำ ของมนุษย์ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 25


•กิลฟอร์ด (Guilford, 1956) กล่าวว่า ความจำ เป็นความสามารถที่จะ เก็บหน่วยความรู้ไว้ และสามารถระลึกได้หรือนำ หน่วยความรู้นั้นออกมา ใช้ได้ในลักษณะเดียวกันกับที่เก็บเข้าไว้ ความสามารถด้านความจำ เป็น ความสามารถที่จำ เป็นในกิจกรรมทางสมองทุกแขนง •เทอร์สโตน (Turstone, 1958) กล่าวว่า สมรรถภาพสมองด้านความ จำ เป็นสมรรถภาพด้านการระลึกได้และการจดจำ เหตุการณ์หรือเรื่องราว ต่างๆ ได้ถูกต้องแม่นยำ •ชวาล แพรัตกุล (2514) กล่าวว่า คุณลักษณะนี้คือความสามารถของ สมองในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งที่มีสติระลึกจนสามารถถ่ายทอด ออกมาได้อย่างถูกต้อง 26


บทที่5 การคิดและเชาว์ปัญญา 27


เชาวน์ปัญญา หมายถึง ความฉลาด ความสามารถในการทำ ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งศักยภาพในการ เรียนรู้จากประสบการณ์ ปัจจุบันนักจิตวิทยาได้จัดลำ ดับลักษณะความสำ คัญของ คุณสมบัติที่ใช้เป็นตัวแทนในการแสดงถึง ความสามารถทางเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 1.ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความคิด สัญลักษณ์ การสร้างความสัมพันธ์ ความคิดรวบยอด และความสามารถในทางความเข้าใจกฎเกณฑ์ต่าง ๆ 2.ความสามารถในการแก้ปัญหา ซึ่งจะเน้นในเรื่องความสามารถในการปรับตัว เข้ากับสภาพการณ์ได้อย่างเหมมาะม 3.ความสามารถในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความสามารถทางด้านภาษา สัญลักษณ์ ความสามารถทางคณิตศาสตร์ ความสามารถทางด้านมิติสัมพันธ์ 28


พัฒนาการของเชาวน์ปัญญา เชาวน์ปัญญาเป็นสิ่งที่บุคคลแต่ละคนมีติดตัวมาแต่กำ เนิดและพัฒนาสมบูรณ์ยิ่ง ขึ้นตามระดับอายุและสิ่งแวดล้อมเชาวน์ปัญญาของแต่ละคนจะมีลักษณะที่สูงต่ำ ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ หลายอย่าง เช่น 1.พันธุ์กรรม พันธุ์กรรมที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อมาจากพ่อแม่ คนเราจะ มีเชาวน์ปัญญาดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับพันธุ์กรรม 80% สิ่งแวดล้อม 20% 2.ความสมบูรณ์ของสมองและระบบประสาท 3.สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้น และส่งเสริมให้บุคคลได้มีโอกาสเรียนรู้ เช่น พ่อแม่ที่เอาใจใส่พูดคุยกับลูก ลูกจะเรียนได้ดีและช่วยให้มีเชาวน์ปัญญาดี การให้ความรักและความอบอุ่น การยอมรับ การเลี้ยงดูอย่างมีเหตุผลที่เหมาะสม มีผลต่อสุขภาพจิตดีและมีอิทธิพลต่อเชาวน์ปัญญา เมื่อเด็กได้รับการตอบสนอง ความต้องการขั้นมูลฐานดังกล่าวแล้วเขาก็พร้อมที่จะพัฒนาความสามารถของเขา อย่างเต็มที่ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงดูลูกแบบทนุถนอมปกป้องเหมือนไข่ในหินจะทำ ให้ พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กช้าลงการมีหนังสือดีๆให้อ่านตามความ เหมาะสมของแต่ละวัยจะช่วยในการพัฒนาเชาวน์ปัญญา การท่องเที่ยว ชมสถานที่น่าสนใจ จะเป็นสิ่งกระตุ้นพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาในด้านต่างๆ ช่วยให้เด็กรู้จักคิด สังเกตและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม 29


4.อายุ ระดับอายุที่พัฒนาการของเชาวน์ปัญญาถึงขั้นสูงสุดคือระหว่างอายุ 15-25 ปี เชาวน์ปัญญาเมื่อพัฒนาถึงขั้นสูงสุดจะค่อยๆเสื่อมลงตามวัย แต่มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แทบสังเกตไม่ได้ การเสื่อมของเชาวน์ ปัญญาในแต่ละด้านอาจเสื่อมเร็วและช้าไม่เท่ากัน 5.เพศ เพศชายมักมีความสามารถทางด้านการคำ นวณ ถนัดทางกลไก การกระทำ ที่ใช้ไหวพริบ และความรวดเร็วดีกว่าหญิง ส่วนเพศหญิงมักมี ความคล่องแคล่วในการใช้มือ งานที่ต้องใช้ฝีมือ ลายละเอียด การใช้ ภาษาความสามารถทางภาษา ความจำ 6.เชื้อชาติ เด็กลูกผสมมักจะมีเชาวน์ปัญญาสูงกว่าเด็กที่ไม่ใช่ลูกผสม 7.ความผิดปกติทางสมอง ความผิดปกติทางสมองอาจมีผลต่อการเสื่อมลง ของเชาวน์ปัญญา ก่อนเวลาอันสมควร เช่นเนื้องอกในสมอง ลมชัก สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง 30


2. ทฤษฎีสององค์ประกอบ ผู้คิดทฤษฎี ชาร์ลส์ อี. สเปียร์แมน เชื่อว่า เชาวน์ปัญญาของคนเราไม่น่าจะมีเพียงองค์ประกอบดียว แต่ควรประกอบ ขึ้นจากองค์ประกอบสองประเภทด้วยกันคือ •องค์ประกอบที่เป็นความสามรถทั่วไป เช่น ความจำ ไหวพริบ •องค์ประกอบที่เป็นความสามารถเฉพาะ เช่น ความสามารถทาง คณิตศาสตร์ ทางภาษา ทฤษฎีเชาวน์ปัญญา 1. ทฤษฎีเอกนัยหรือทฤษฎีองค์ประกอบเดียว ผู้คิดทฤษฎีนี้ อัลเฟรด บิเนต์ มีความเห็นว่าว่าเชาวน์ปัญญาหมายถึงผลรวมของความสามารถ หลายๆ ด้านของบุคคลที่มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันเข้า เป็นองค์ประกอบเดียว เรียกว่าองค์ประกอบทั่วไป ซึ่งไม่สามารถจะแยก ออกจากกันได้ ซึ่งบิเนต์เชื่อว่าจะพัฒนาไปตามวุฒิภาวะของแต่ละบุคคล 3. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของกิลฟอร์ด เจ.พี. กิลฟอร์ด เชื่อว่าเชาวน์ปัญญา ของบุคคลมีโครงสร้างเป็นสามมิติ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ ด้าน เนื้อหา ด้านวิธีคิด และด้านผลที่ได้ ซึ่งทั้งสามมิติหรือสามด้านยังสามารถ แยกองค์ประกอบย่อยได้อีกถึง 120 ส่วน 31


•เชาวน์ปัญญาที่ได้รับจากการถ่ายทอดทาพันธุกรรม หมายถึงองค์ ประกอบทั่วไปของเชาวน์ปัญญาประเภทที่ไม่เกิดจากการเรียนรู้หรือ อาศัยประสบการณ์ เป็นความสามารถพื้นฐานโดยทั่วไปที่จำ เป็นต้องใช้ ในการทำ กิจกรรมต่างๆ 4. ทฤษฎีการจัดกลุ่มและอันดับ เวอร์นอน และเบิร์ต มีความเห็นว่า เชาวน์ปัญญาของมนุษย์ประกอบด้วยองค์ประกอบอื่นๆ อีกหลายส่วน แต่ละส่วนจะมีขนาด ลักษณะ และคุณภาพที่แตกต่างกันๆ ไป 5. ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาของแคตเตลล์ ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับเชาวน์ ปัญญาโดยถือเอาอิทธิพลที่มีต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาเป็นเกณฑ์ โดยเขาเห็นว่าเชาวน์ปัญญาของบุคคลแบ่งองค์ประกอบทั่วไปสอง ประเภทคือ •เชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้และประสบการณ์ หมายถึงองค์ ประกอบทั่วไปของเชาวน์ปัญญาที่เป็นผลมาจากการสะสมประสบการณ์ ที่ได้เรียนรู้จากสังคมและสิ่งแวดล้อม ยิ่งมีประสบการณ์และการเรียน รู้มากเท่าใด พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาก็จะมากขึ้น 32


บทที่6 การรับรู้ 33


ความหมาย การรับรู้(Perception) หมายถึง การที่มนุษย์น าข้อมูลที่ได้จากความรู้สึก สัมผัส(Sensation) ซึ่งเป็นข้อมูลดิบ (Raw Data) จากประสาทสัมผัส ทั้ง5 อันประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และกาย สัมผัสมาจำ แนก แยกแยะ คัดเลือก วิเคราะห์ด้วยกระบวนการทำ งานของ สมอง แล้วแปลสิ่งที่ได้ออกเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความหมายเพื่อนนำ ไปใช้ ในการเรียนรู้ต่อไป พฤติกรรมการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวนั้น เกิดขึ้นจากการรับรู้ของ แต่ละบุคคล โดยมีอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย เป็นตัวรับสัมผัสสิ่งต่างๆ เข้ามา จากนั้นก็จะส่งผลไปที่สมองเพื่อทำ การ แปลผลจากการรับสัมผัสจากอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 ทำ ให้บุคคลนั้นเกิดการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นๆ แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย การรับรู้ 34


4.การแปลความหมายของสิ่งที่เราสัมผัส สิ่งที่เคยพบเห็นมาแล้วย่อมจะอยู่ ในความทรงจำ ของสมอง เมื่อบุคคลได้รับสิ่งเร้า สมองก็จะทำ หน้าที่ทบทวน กับความรู้ที่มีอยู่เดิมว่า สิ่งเร้านั้นคืออะไร กระบวนการของการรับรู้ เกิดขึ้นเป็นลำ ดับดังนี้ 1. มีสิ่งเร้า ( Stimulus ) ที่จะทำ ให้เกิด การรรับรู้ เช่น สถานการณ์ เหตุการณ์ สิ่งแวดล้อม รอบกาย ที่เป็น คน สัตว์ และสิ่งของ 2.ประสาทสัมผัส ( Sense Organs ) ที่ทำ ให้เกิดความรู้สึกสัมผัส เช่น ตาดู หูฟัง จมูกได้ กลิ่น ลิ้นรู้รส และผิวหนังรู้ร้อนหนาว 3.ประสบการณ์ หรือความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเร้าที่เราสัมผัส 35


องค์ประกอบของการรับรู้ 1.สิ่งเร้าได้แก่วัตถุ แสง เสียง กลิ่น รสต่างๆ อวัยวะรับสัมผัส ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง ถ้าไม่สมบูรณ์จะทำ ให้สูญ เสียการรับรู้ได้ 2.อวัยวะรับสัมผัส ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง ถ้าไม่สมบูรณ์จะทำ ให้ สูญเสียการรับรู้ได้ 3.ประสาทในการรับสัมผัสเป็นตัวกลางส่งกระแสประสาทจากอวัยวะรับ สัมผัสไปยังสมองส่วนกลาง เพื่อการแปลความต่อไป 4.ประสบการณ์เดิม การรู้จัก การจำ ได้ ทำ ให้การรับรู้ได้ดีขึ้น 5.ค่านิยม ทัศนคติ 6.ความใส่ใจ ความตั้งใจ 7.สภาพจิตใจ อารมณ์ เช่น การคาดหวัง ความดีใจ เสียใจ 8.ความสามารถทางสติปัญญา ทำ ให้รับรู้ได้เร็ว 36


บทที่7 การเรียนรู้ 37


การเรียนรู้ หมายถึง การที่มนุษย์ได้รับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเขา โดยเริ่มต้นตั้งแต่การมีปฏิสนธิอยู่ในครรภ์มารดาเรื่อยไป จนกระทั่ง คลอดมาเป็นทารกแล้วอยู่รอด ซึ่งบุคคลก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ตนเองอยู่ รอดกับสิ่งแวดล้อมทั้งภายในครรภ์มารดาและเมื่อออกมาอยู่ภายนอกเพื่อ ให้ชีวิตดำ รงอยู่รอดทั้งนี้ก็เพราะการเรียนรู้ทั้งสิ้น องค์ประกอบของการเรียนรู้ •สิ่งเร้า ( Stimulus ) เป็นตัวการที่ทำ ให้บุคคลมีปฏิกิริยาโต้ตอบออก มาและเป็นตัวกำ หนดพฤติกรรมว่าจะแสดงออกมาในลักษณะใด สิ่งเร้า อาจเป็นเหตุการณ์หรือวัตถุและอาจเกิดภายในหรือภายนอกร่างกายก็ได้ เช่น เสียงนาฬิกาปลุกให้เราตื่น กำ หนดวันสอบเร้าให้เราเตรียมสอบ •การตอบสนอง ( Response ) เป็นพฤติกรรมต่างๆ ที่บุคคลแสดงออก มาเมื่อได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ หรือ สถานการณ์ อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งแวดล้อมที่รอบตัวเรานั่นเอง •แรงขับ ( Drive ) มี 2 ประเภทคือแรงขับปฐมภูมิ ( Primary Drive ) เช่น ความหิวความกระหาย การต้องการพักผ่อน เป็นต้น และแรงขับทุติยภูมิ ( Secondary Drive ) เป็นเรื่องของความต้องการทางจิตและทางสังคม เช่น ความวิตกกังวล ความต้องการความรัก ความปลอดภัย เป็นต้น แรงขับทั้งสอง ประเภทเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอันจะนำ ไปสู่การเรียนรู้ •แรงเสริม ( Reinforcement ) สิ่งที่มาเพิ่มกำ ลังให้เกิดการเชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง เช่น รางวัล การตำ หนิ การลงโทษ การ ชมเชย เงิน ของขวัญ เป็นต้น 38


1.มีสิ่งเร้า( Stimulus ) มาเร้าอินทรีย์ ( Organism ) 2.อินทรีย์เกิดการรับสัมผัส ( Sensation ) ประสาทสัมผัสทั้งห้า ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย 3.ประสาทสัมผัสส่งกระแสสัมผัสไปยังระบบประสาทเกิดการรับรู้ ( Perception ) 4.สมองแปลผลออกมาว่าสิ่งที่สัมผัสคืออะไรเรียกว่าความคิด รวบยอด ( Conception ) 5.พฤติกรรมได้รับคำ แปลผลทำ ให้เกิดความคิดรวบยอดก็จะเกิด การเรียนรู้ ( Learning ) 6.เมื่อเกิดกระบวนการเรียนรู้บุคคลก็จะเกิดการตอบสนอง ( Response ) พฤติกรรมนั้นๆ กระบวนการของการเรียนรู้ กระบวนการของการเรียนรู้มีขั้นตอนดังนี้คือ 39


•การจูงใจ (Motivation Phase) การคาดหวังของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจ ในการเรียนรู้ •การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase) ผู้เรียนจะรับรู้สิ่ง ที่สอดคล้องกับความตั้งใจ •การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ (Acquisition Phase) เพื่อให้เกิด ความจำ ระยะสั้นและระยะยาว •ความสามารถในการจำ (Retention Phase) •ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว (Recall Phase ) •การนำ ไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว (Generalization Phase) •การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ ( Performance Phase) •การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน ( Feedback Phase) ผู้เรียน ได้รับทราบผลเร็วจะทำ ให้มีผลดีและประสิทธิภาพสูง ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขั้น ของกาเย่ (Gagne) 40


บทที่8 การศึกษารายกรณี 41


(1) เพื่อทำ ความเข้าใจนักเรียนอย่างละเอียดลึกซึ้งเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ แสดงออกมา สาเหตุของพฤติกรรมซึ่งอาจจะมีผลมาจากสภาพแวดล้อม ต่าง ๆ ทั้งในอดีตหรือที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การศึกษารายกรณี หมายถึง กระบวนการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหลายคนเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันไปในระยะ เวลาหนึ่งโดยใช้เครื่องมือ เทคนิค หรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งราย ละเอียดของข้อมูลแล้วนำ ข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อทำ ความเข้าใจ สภาพผู้ถูกศึกษา สาเหตุของพฤติกรรมตลอดจนข้อเสนอแนะที่เป็น แนวทางการให้ความช่วยเหลือกรณีที่ผู้ศึกษากำ ลังประสบปัญหา ความหมาย (2) เพื่อการวินิจฉัยในอันจะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยเหลือนักเรียน ทั้งทางด้านการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น การหาทางแก้ไขปัญหา ที่กำ ลังจะเกิดขึ้นและการช่วยส่งเสริมและพัฒนาความสามารถต่าง ๆ ให้แก่นักเรียน (3) เพื่อสืบค้นหานักเรียนที่มีลักษณะพิเศษบางประการ เพื่อที่ทาง โรงเรียนจะได้ให้การส่งเสริมพัฒนาได้อย่างเหมาะสม วัตถุประสงค์ของการศึกษารายกรณี 42


(4) เพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจตนเองในทุก ๆ ด้าน ได้อย่าง ชัดแจ้ง (5) เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจนักเรียนในความปกครองของตน ได้ดี ขึ้นและสามารถที่จะให้ความร่วมมือแก่ทางโรงเรียนแก้ไขปัญหาที่จะเกิด ขึ้นกับบุตรหลานของตนได้ด้วยดี (6) เพื่อใช้ในการวิจัย โดยศึกษาสาเหตุของพฤติกรรมทั้งในอดีตและ ปัจจุบันเพื่อทำ นายพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งอาจเป็น พฤติกรรมที่เป็นปัญหาหรือไม่เป็นปัญหาก็ได้ (7) เพื่อการติดตามผลของการใช้เครื่องมือ เทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ อัน จะเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขได้ในโอกาสต่อไป 43


ประโยชน์ของการศึกษาหลายกรณี 1.ประโยชน์ทางตรง คือประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ศึกษาเองซึ่งแบ่งออกได้ หลายประการคือทำ ให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลมากขึ้น เข้าใจสาเหตุของปัญหาได้กว้างขวางขณะเดียวกันก็ทำ ให้เป็นคนที่รู้จักใช้ เหตุผลในการพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นระบบระเบียบ การศึกษารายกรณีเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์ต่องานของบุคคลที่ นำ มาใช้และบุคคลที่เกี่ยวข้องดังนี้ 2.ประโยชน์ทางอ้อมคือประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้ได้รับการศึกษาคือทำ ให้ ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรมของผู้รับการศึกษาซึ่งสามารถให้การช่วยเหลือได้ ต้องทันต่อเหตุการณ์และในขณะเดียวกันผู้รับการศึกษาก็จะเข้าใจตนเอง มากขึ้นและรู้จักวิธีปฏิบัติตนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาหรือส่งเสริมให้มี การพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น 44


ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษารายกรณี ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาในกรณีนั้นไม่สามารถกำ หนดให้เป็นที่ แน่นอนได้ว่าจะใช้เวลาเท่าใดอาจจะใช้เวลา 1 ภาคเรียน 1 ปีหรือ 3 ปี ก็ได้ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความยากของ " รายกรณี " ที่ทำ การศึกษาอย่างไร ก็ตามแต่ละรายควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไปทั้งนี้เพื่อช่วยให้ครู หรือผู้แนะแนวมีเวลาศึกษารวบรวมข้อมูลได้อย่างกว้างขวางครอบคลุม เรื่องต่างๆที่ควรรู้ แหล่งข้อมูลในการศึกษารายกรณี 1.ระเบียนสะสม 2.แบบสัมภาษณ์ 3.แบบสังเกต 4.แบบสำ รวจ 5.แบบสอบถาม 6.อัตชีวประวัติ 7.สังคมมิติ 8.แบบบันทึกการเยี่ยมบ้าน 9.แบบระเบียงพฤติการณ์ 10.การเขียนบันทึกประจำ วัน 11.แฟ้มสะสมงาน 45


การเลือกนักเรียนเพื่อทำ การศึกษารายกรณีจำ แนกได้ดังนี้ 1.นักเรียนที่ประสบผลสำ เร็จในด้านการเรียนดีเยี่ยม 2.นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษบางอย่างเช่นศิลปะดนตรีเป็นต้น 3.นักเรียนที่มีปัญหามาก 4.นักเรียนที่มีความทะเยอทะยานมีกำ ลังใจเข้มแข็งที่จะเอาชนะอุปสรรค 5.นักเรียนที่เรียนอ่อนไม่สามารถที่จะทำ งานในระดับที่เรียนอยู่ได้ 6.นักเรียนที่มีพฤติกรรมดีเด่นสมควรเอาเป็นตัวอย่าง 7.นักเรียนที่มีพฤติกรรมปกติธรรมดาทั่วๆไป 46


บทที่9 การแนะแนวและารให้คำ ปรึกษา 47


Click to View FlipBook Version