หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 3 การถ่ายทอดยนี บนโครโมโซม
- แบบจำลองที่ 2 : ฮอมอโลกสั โครโมโซมทม่ี ยี นี ควบคุมลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวติ 1 ลกั ษณะ โดยท่ีมี
ยนี รูปแบบตา่ งกนั
- แบบจำลองท่ี 3 : ฮอมอโลกสั โครโมโซมทมี่ ียีนควบคุมลกั ษณะของสิง่ มชี วี ิต 2 ลกั ษณะ โดยทม่ี ี
ยีนรปู แบบเดยี วกนั ทงั้ 2 ลักษณะ
- แบบจำลองท่ี 4 : ฮอมอโลกสั โครโมโซมทีม่ ยี นี ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชวี ติ 2 ลักษณะ โดยท่มี ี
ยีนรปู แบบตา่ งกนั ทง้ั 2 ลักษณะ
3. ใหน้ ักเรียนจบั ค่อู ภปิ รายผลจากการสร้างแบบจำลองฮอมอโลกัสโครโมโซมกับเพื่อน
4. ครูสมุ่ เรียกนกั เรยี น 2-3 คู่ ออกมานำเสนอแบบจำลองและผลจากการอภปิ รายร่วมกนั
5. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า “หลอดกาแฟ 1 หลอด คือ โครโมโซม 1
แท่ง โดย ฮอมอโลกัสโครโมโซมเปรียบเสมือนมีหลอดกาแฟ 2 หลอด โดยยางรัดผมท่ีผูกติดกับ
หลอดกาแฟเปรียบเสมือนยีนที่ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต ซึ่งยีนจะอยู่กันเป็นคู่ และอยู่ใน
ตำแหน่งเดียวกัน เรยี กตำแหน่งของยีนว่า โลคัส โดยยีนทคี่ วบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต 1 ลักษณะ
อาจมีรูปแบบยีนที่เหมอื นหรอื แตกตา่ งกนั เรียกรูปแบบของยีนหรือสียางรดั ผมว่า แอลลลี ”
6. ครแู สดงแบบจำลองของครทู ถ่ี กู ต้องให้กบั นักเรยี น ตัวอยา่ งแบบจำลองทถี่ ูกตอ้ ง
หรอื หรอื หรือ หรอื
แบบจ7ำ.ลคอรงสูทมุ่่ี 1เรยี กนักแเรบียบนจำล2อคงนท่ี ต2อบคำถาม ดังน้ี แบบจำลองท่ี 3 แบบจำลองท่ี 4
- นกั พันธศุ าสตรเ์ รียกรปู แบบของยีนท่ีปรากฏว่าอะไร
(แนวตอบ : จโี นไทป์)
- นักพนั ธศุ าสตรเ์ รียกลกั ษณะของสง่ิ มชี วี ิตท่แี สดงออกว่าอะไร
(แนวตอบ : ฟีโนไทป์)
- นักพนั ธุศาสตรใ์ ชอ้ ะไรเป็นตวั กำหนดรูปแบบของยนี
(แนวตอบ : ตัวอักษรภาษาอังกฤษและเป็นตัวเอน โดยกำหนดให้ตัวพิมพ์ใหญ่แทนแอลลีลเด่น
และตัวพมิ พเ์ ลก็ แทนแอลลีลดอ้ ย)
ชั่วโมงท่ี 2-3
ขัน้ ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain)
8. ครอู ธิบายว่า “ในธรรมชาติโครโมโซมของสิ่งมชี ีวิตอยู่กันเป็นคู่ ยีนท่ีควบคุมลักษณะของสิ่งมชี ีวิตก็
อยู่เป็นคู่เช่นกัน ตามที่นักเรียนได้ศึกษาจากแบบจำลองจะเห็นว่า รูปแบบของยีนมีหลายรูปแบบ
และจากการทดลองของเมนเดล ทำให้ทราบว่า ยีนท่ีอยู่กันเป็นคู่จะแยกออกจากกันไปอยู่ในเซลล์
สบื พันธุ์แล้วจะกลับมารวมกันเป็นคู่อย่างอิสระอีกคร้ังหลังผ่านการปฏิสนธิ ซ่ึงนักเรียนจะได้ศึกษา
111
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 3 การถา่ ยทอดยนี บนโครโมโซม
โอกาสการเข้าคู่กันของยีนจากการทำกิจกรรม โอกาสการเข้าคู่ของยีน ในหนังสือเรียนรายวิชา
พืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1”
9. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน ทำกิจกรรม โอกาสการเข้าคู่ของยีน โดยให้สมาชิกภายใน
กลุม่ วางแผนกันแบง่ ภาระและหนา้ ท่ีรบั ผดิ ชอบ
10. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า “ลูกปัดแทนยีนที่ควบคุมลักษณะ
ของสิ่งมชี ีวติ 1 ลกั ษณะ โดยสีของลูกปัดแทนรูปแบบของยีน หรอื เรียกวา่ แอลลีล จากการจำลอง
การเข้าคู่กันของลูกปัดเปรียบเสมือนการรวมกันของยนี หลังจากเซลล์สืบพนั ธุ์เกิดการปฏิสนธิ โดย
รูปแบบยีนสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ เรียกว่า จีโนไทป์มี 3 แบบ คือ แดง-แดง แดง-ขาว
และขาว-ขาว ซ่ึงมีอัตราส่วนเป็น 1:2:1 หากการทดลองนี้เทียบกับการทดลองของเมนเดล
โดยแอลลีลเด่นข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์จะทำให้ส่ิงมีชีวิตแสดงลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อย
คดิ เป็นอัตราส่วน 3:1”
11. จากที่นักเรียนได้ศึกษาความสัมพันธ์เกี่ยวกับยีนบนโครโมโซมและการเข้าคู่กันของสิ่งมีชีวิต
ให้นักเรียนจับคกู่ ันเพ่ือศึกษาตัวอยา่ งการคำนวนหาจโี นไทป์และฟีโนไทป์จากการผสมพ่อและแม่พันธุ์ทีม่ ี
จโี นไทปแ์ ตกต่างกนั จากหนังสอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
12. ครูสุ่มเรยี กนักเรียนออกมา 2-3 คู่ ออกมาอธิบายการคำนวณหาจโี นไทป์และฟีโนไทป์จากการผสม
พ่อและแมพ่ ันธ์ทุ ี่มีจโี นไทป์แตกตา่ งกัน
13. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเนื้อหาโดยนำความรู้ท่ีได้มาอธิบายผลการทดลองของเมนเดลว่า
ทำไมดอกของต้นถว่ั ลนั เตาสขี าวจึงมาปรากฏในลูกรุ่นท่ี 2 แตไ่ มป่ รากฏในลกู ร่นุ ท่ี 1
14. ใหน้ ักเรียนทำแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หนว่ ยที่ 2 พันธกุ รรม
15. ให้นักเรียนศึกษาข้อมูลเพ่ิมเติมจาก PowerPoint วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
หนว่ ยที่ 2 พันธุกรรม เรอ่ื ง การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม
16. ใหน้ ักเรียนตอบคำถาม Topic Questions ลงในสมุดประจำตัวนกั เรยี น แลว้ นำมาส่งครผู ้สู อน
ขน้ั ที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
17. ครูกำหนดปัญหาเกี่ยวกับหนูทดลองท่ีนิยมนำมาใช้ทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยครูจำลอง
เหตกุ ารณ์ ให้นักเรียนวางแผนผสมพนั ธ์ุหนูทดลองให้ได้ลูกท่ีมีขนสีดำพันธ์ุทาง และลูกหนขู นสีขาว
ในคอกเดียวกัน ให้นักเรียนนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเร่ือง การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล
และการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซมมาออกแบบ วิเคราะห์ว่า พ่อพันธุ์และแม่พันธ์ุควรมีจีโนไทป์
แบบใด โดยวาดแผนผังการถ่ายทอดยีนของหนูทดลองลงในกระดาษ A4 คำนวณอัตราส่วนของ
จีโนไทป์และฟีโนไทป์ พรอ้ มนำเสนอหน้าชั้นเรียน
ชัว่ โมงที่ 4
ขัน้ สรปุ
นักเรียนและครูร่วมกันสรุป เร่ือง พันธุศาสตร์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า “ยีนหรือหน่วยพันธุกรรมอยู่บน
โครโมโซม ซง่ึ ในรา่ งกายมนุษย์ โครโมโซมจะอยู่กนั เป็นคู่ เรยี กวา่ ฮอมอโลกสั โครโมโซม และจะแยกออกจากัน
ไปอยูใ่ นเซลล์สืบพันธุ์ สง่ ผลใหย้ ีนทอี่ ย่บู นโครโมโซมแยกออกจากกนั ด้วย เมอื่ ผา่ นกระบวนการปฏิสนธิแล้ว ยีน
จะกลับมาเข้าคู่กันอีกคร้ังหนึ่ง โดยยีน 1 ยีน จะควบคุมเพียง 1 ลักษณะ ซึ่งการเข้าคู่กันของยีนจึงทำให้เกิด
รูปแบบของยีนหรือจีโนไทป์ได้ 2 ประเภท คือ ฮอมอไซกัสยีน (คู่แอลลีลท่ีเหมือนกัน ซึ่งอาจแสดงลักษณะเด่น
112
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 3 การถา่ ยทอดยนี บนโครโมโซม
หรือด้อย) และเฮเทอโรไซกัสยีน (คู่แอลลีลท่ีต่างกัน โดยแอลลีลหนึ่งอาจข่มอีกแอลลีลหนึ่งสมบูรณ์ จึงแสดง
ออกเป็นลักษณะเด่น)” จากน้ันให้นักเรียนสรุปความเข้าใจของตนเองลงในสมุดประจำตัวนักเรียน แล้วนำมา
สง่ ครผู สู้ อน
ขัน้ ประเมิน
ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูตรวจแบบจำลองยนี บนโครโมโซม
2. ครูตรวจแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
3. ครูตรวจคำตอบ Topic Questions ในสมดุ ประจำตวั นักเรยี น
4. ครูประเมินทักษะและกระบวนการโดยสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม การทำกิจกรรม โอกาส
การเข้าคขู่ องยีน
5. ครูประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์โดยสังเกตพฤติกรรมความตระหนักถึงความสำคัญของ
การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม (A)
7. การวัดและประเมนิ ผล
รายการวดั วธิ กี าร เครอื่ งมือ เกณฑ์
การประเมนิ
7.1 ประเมินระหว่างการจัด
กจิ กรรมการเรยี นรู้
1) การถ่ายทอดยีนบน - ตรวจแบบจำลองยนี - แบบจำลองยนี บน - ประเมินตาม
โครโมโซม บนโครโมโซม โครโมโซม สภาพจรงิ
- ตรวจสมุดประจำตัว - สมดุ ประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60
หรอื แบบฝกึ หัด แบบฝึกหัด ผา่ นเกณฑ์
วทิ ยาศาสตร์และ วทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
2) ผลบนั ทกึ การปฏบิ ตั ิ - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตัว หรือ - ร้อยละ 60
กจิ กรรมโอกาสการเข้าคู่ หรอื แบบฝึกหดั แบบฝกึ หัด ผ่านเกณฑ์
ของยนี วทิ ยาศาสตร์และ วทิ ยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1 เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
3) การนำเสนอผลงาน/ - ประเมินการนำเสนอ - แบบประเมนิ การ - ระดบั คณุ ภาพ 2
ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม ผลงาน/ผลการปฏิบตั ิ นำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
กจิ กรรม
113
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 พันธกุ รรม วิธีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์
แผนฯ ที่ 3 การถา่ ยทอดยนี บนโครโมโซม การประเมิน
- สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม
รายการวัด การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล - ระดบั คณุ ภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
4) พฤติกรรมการทำงาน
รายบคุ คล
5) พฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การทำงานกลุ่ม
การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
6) คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - สงั เกตความมวี นิ ยั - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
รบั ผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์
และม่งุ มนั่ ในการ อันพึงประสงค์
ทำงาน
8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
8.1 ส่อื การเรยี นรู้
1) หนงั สอื เรยี นรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1 หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 2
พนั ธุกรรม
2) แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 2 พันธกุ รรม
3) อุปกรณ์สร้างแบบจำลองยีนบนโครโมโซม เชน่ หลอดกาแฟ ยางรัดผม
4) อปุ กรณ์ทใ่ี ชท้ ำกจิ กรรมโอกาสการเข้าคู่ของยนี
5) PowerPoint เร่ือง การถา่ ยทอดยีนบนโครโมโซม
6) สมดุ ประจำตวั นักเรยี น
8.2 แหล่งการเรยี นรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) อินเทอร์เน็ต
114
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 3 การถา่ ยทอดยนี บนโครโมโซม
9. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรือผทู้ ีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ “……..
“…………………………………………
ลงชอ่ื
( .................................
................................ )
ตำแหนง่
.......
10. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ด้านสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ด้านอน่ื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมทม่ี ปี ัญหาของนกั เรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ้ามี))
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
115
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 4 การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชวี ติ
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 4
การแบง่ เซลลข์ องสง่ิ มชี วี ติ
เวลา 3 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้วี ดั
ว 1.3 ม.3/2 อธบิ ายความแตกต่างของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และไมโอซสิ
2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายความแตกต่างของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิสและไมโอซสิ ได้ (K)
2. เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซสิ ได้ (P)
3. ตระหนกั ถึงความสำคญั ของการแบง่ เซลล์ของสง่ิ มชี ีวิต (A)
4. มีความใฝเ่ รยี นรแู้ ละมงุ่ มน่ั ในการทำงาน (A)
3. สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรูท้ ้องถน่ิ
• การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวิตมี 2 แบบ คือ ไมโทซิสและ พิจารณาตามหลักสตู รของสถานศกึ ษา
ไมโอซสิ
• ไมโทซสิ เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ร่างกาย
ผลจากการแบ่งจะได้เซลลใ์ หม่ 2 เซลล์ ท่มี ีลักษณะและ
จำนวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งตน้
• ไมโอซิสเป็นการแบ่งเซลล์เพ่ือสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ
ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ท่ีมีจำนวน
โครโมโซมเป็นคร่ึงหนึ่งของเซลล์ต้ังต้น เมื่อเกิดการ
ปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ ลูกจะได้รับการถ่ายทอด
โครโมโซมชุดหนึ่งจากพ่อและอีกชุดหน่ึงจากแม่ จึงเป็น
ผลให้รุ่นลูกมีจำนวนโครโมโซมเท่ากับพ่อแม่ และ
จะคงทใ่ี นทุก ๆ รุน่
4. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
ส่ิงมีชีวิตทุกชนิดล้วนมีการแบ่งเซลล์ ซ่ึงการแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวิตแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเป็นการแบ่งเซลล์เพื่อ
เพมิ่ จำนวนเซลลร์ า่ งกาย ผลจากการแบง่ เซลล์จะไดเ้ ซลล์ใหม่จำนวน 2 เซลล์ท่ีมลี ักษณะและจำนวนโครโมโซม
เหมือนเซลล์ต้ังต้น และการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเป็นการแบ่งเซลล์เพ่ือสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ ผลจากการแบ่ง
เซลลจ์ ะได้เซลลใ์ หม่จำนวน 4 เซลล์ ทมี่ ีจำนวนโครโมโซมเป็นคร่ึงหนึง่ ของเซลล์ตั้งต้น เม่อื เกิดการปฏิสนธิของ
เซลลส์ ืบพันธุ์ ลูกจะได้รบั โครโมโซมจากพ่อและแมค่ นละชดุ ทำให้มีจำนวนโครโมโซมเท่ากับพ่อแม่และจะคงท่ี
ในทุกรุน่ ดังนั้น สงิ่ มชี ีวติ ที่สืบพนั ธุแ์ บบอาศัยเพศจะมกี ารแบง่ เซลลท์ ้ัง 2 ประเภท ส่วนส่งิ มีชีวิตท่สี ืบพันธุ์แบบ
ไมอ่ าศัยเพศจะมกี ารแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิสเพยี งอย่างเดียว
5. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียนและคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสอื่ สาร 1. มีวนิ ัย รับผิดชอบ
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรยี นรู้
1) ทักษะการสังเกต 3. มงุ่ มั่นในการทำงาน
117
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 4 การแบ่งเซลลข์ องสง่ิ มีชวี ติ
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
2) ทกั ษะการลงความเห็นจากข้อมลู
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนคิ : 5Es Instructional Model
ช่วั โมงที่ 1
ขั้นนำ
ขนั้ ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูเตรียมภาพการเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวิตมาให้นักเรียนศึกษาและถามคำถามกระตุ้นความ
สนใจของนกั เรียน ภาพตัวอยา่ ง
จากภาพ ทำไมต้นไม้จงึ มขี นาดใหญ่ข้ึน
(แนวตอบ : เพราะต้นไม้มีการแบ่งเซลลเ์ พื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ ทำให้ต้นไม้มีขนาดใหญข่ ึน้ )
2. ครูถามคำถาม Key Question จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
ว่า “เพราะเหตุใดเซลล์สืบพันธุ์จึงมีจำนวนโครโมโซมเป็นครึ่งหน่ึงของเซลล์ร่างกาย” ให้นักเรียน
เขียนคำตอบลงในสมุดประจำตัวนกั เรียน โดยครูยงั ไมเ่ ฉลยคำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง
ขน้ั สอน
ขน้ั ที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore)
1. ให้นักเรียนตรวจสอบความรู้ของตนเองจากกรอบ Check for Understanding จากหนังสือเรียน
รายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ 2 พนั ธกุ รรม
2. ครูแจกใบงานท่ี 2.2 เร่ือง การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวติ แล้วให้นักเรียนแต่ละคนตรวจสอบความรู้
ของตนเอง โดยใหน้ กั เรยี นทำใบงานในตอนที่ 1
3. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลและศึกษากระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส จากหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยท่ี 2 เร่ือง การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต หรือ
จาก QR code เรื่อง การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส
4. ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนแลกเปลี่ยนความรู้ และอภิปรายเกี่ยวกับการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
จากนั้นใหน้ กั เรียนลงมอื ทำใบงานท่ี 2.2 ในตอนที่ 2
5. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม ศึกษาการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของเซลล์รากหอม แล้ว
เปรียบเทียบภาพที่เห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์กับใบงานที่ 2.2 ตอนท่ี 2 เพ่ือให้นักเรียนเห็นภาพ
สมจรงิ ของการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส
118
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 4 การแบ่งเซลลข์ องส่ิงมชี วี ิต
6. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลที่ได้จากการทำกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า การแบ่งเซลล์
แบบไมโทซิส (mitosis) เป็นการแบ่งนิวเคลียสเพ่ือเพิ่มปริมาณเซลล์ภายในร่างกาย หลังจากผ่าน
กระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสแล้ว จะได้เซลล์ใหม่จำนวน 2 เซลล์ ซ่ึงแต่ละเซลล์มีจำนวน
โครโมโซมเทา่ กบั เซลลเ์ ดมิ
7. ครถู ามคำถามทา้ ยกจิ กรรม ดังนี้
- จำนวนเซลลห์ ลงั การแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ จะมปี รมิ าณเท่าใด เม่ือเทยี บกบั เซลล์ต้งั ต้น
(แนวตอบ : เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของเซลล์เดิม)
- จำนวนโครโมโซมหลงั จากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจะมีปริมาณเทา่ ใด เม่ือเทยี บกับเซลล์ตงั้ ตน้
(แนวตอบ : เท่าเดมิ )
- เพราะเหตใุ ด เซลล์ของส่งิ มีชีวิตจึงตอ้ งมกี ารแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ
(แนวตอบ : เพ่ือเพิ่มจำนวนเซลล์ร่างกาย)
ช่วั โมงที่ 2-3
ขนั้ ที่ 2 สำรวจคน้ หา (Explore)
8. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลและศึกษากระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยที่ 2 เรื่อง การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต หรือจาก
QR code เรื่อง การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิส
9. ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือน โดยไมซ่ ้ำกับคู่เดิมจากช่ัวโมงท่ีแล้ว เพื่อแลกเปล่ียนความรู้ และอภปิ ราย
เก่ยี วกับการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ จากนัน้ ใหน้ กั เรยี นลงมอื ทำใบงานท่ี 2.2 ในตอนที่ 3
10. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำกิจกรรม ศึกษาการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสของอับเรณูของดอกกุยช่าย แล้ว
เปรียบเทียบภาพท่ีเห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์กับใบงานท่ี 2.2 ตอนท่ี 3 เพ่ือให้นักเรียนเห็นภาพ
สมจรงิ ของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ
11. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลท่ีได้จากการทำกิจกรรม เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า การแบ่งเซลล์
แบบไมโอซิสเป็นการแบ่งนิวเคลียสเพ่ือสร้างเซลล์สืบพันธุ์ หลังจากผ่านกระบวนการแบ่งเซลล์
แบบไมโอซิสแล้ว จะได้เซลล์ใหม่จำนวน 4 เซลล์ แต่ละเซลล์มีจำนวนโครโมโซมลดลงเปน็ ครง่ึ หน่ึง
ของเซลล์ตง้ั ต้น
12. ครถู ามคำถามท้ายกจิ กรรม ดังน้ี
- จำนวนเซลล์หลงั การแบง่ เซลล์แบบไมโอซิสจะมปี ริมาณเท่าใด เมื่อเทียบกบั เซลล์ตงั้ ต้น
(แนวตอบ : เพ่มิ ข้นึ เป็น 4 เทา่ ของเซลล์ตัง้ ต้น)
- จำนวนโครโมโซมหลงั การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิสจะมีปรมิ าณเทา่ ใด เมื่อเทยี บกับเซลล์ตงั้ ตน้
(แนวตอบ : ลดลงเปน็ ครงึ่ หน่ึง)
- เพราะเหตุใด เซลลข์ องส่งิ มีชวี ิตจงึ ต้องมีการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิส
(แนวตอบ : เพือ่ สร้างเซลลส์ บื พันธุ์)
119
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 4 การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชวี ิต
ข้นั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
13. หลังจากการทำกิจกรรม ครูสุ่มเรียกนักเรียน 2-3 คน ออกมาอธิบายความแตกต่างของการ
แบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และไมโอซิส
14. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมี 2 แบบ คือ
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพื่อเพ่ิมจำนวนเซลล์ร่างกาย และการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเพ่ือเพ่ิม
เซลล์สืบพันธุ์ โดยภายหลังจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เซลล์ใหม่แต่ละเซลล์จะมีจำนวน
โครโมโซมจะเทา่ กบั เซลล์ตง้ั ตน้ ในขณะท่ีภายหลกั การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ เซลล์ใหมแ่ ตล่ ะเซลล์
จะมีจำนวนโครโมโซมลดลงเป็นคร่ึงหน่งึ ของเซลล์ต้งั ตน้
15. ให้นกั เรยี นทำแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
16. ให้นกั เรียนตรวจสอบความเข้าใจโดยทำใบงานท่ี 2.2 ในตอนท่ี 4
17. ให้นกั เรยี นตรวจสอบการตอบคำถาม Key Question ในสมุดประจำตวั นักเรียนให้ถูกต้อง แล้ว
นำมาส่งครภู ายหลัง
18. ให้นกั เรียนตรวจสอบความรู้ โดยตอบคำถาม Topic Questions ลงในสมดุ ประจำตวั นกั เรยี น
ข้ันท่ี 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
19. ให้นักเรียนนำความรู้ที่ได้จากการศึกษา เรื่อง การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มาอธิบายและให้เหตุผล
ว่า “ทำไมเมื่อปลาดาวแบ่งเซลล์แล้ว จึงได้ลูกที่มีรูปร่างและหน้าตาเหมือนกับตัวแม่ทุกประการ
ขณะที่ลูกสุนัขท่ีเกิดจากแม่กลับมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับพ่อและแม่” โดยให้นักเรียนเขียน
เหตุผลท่ีได้ลงในกระดาษ A4 พร้อมวาดขั้นตอนการแบ่งเซลล์ท่ีเกิดขึ้นในปลาดาว และระบุ
ข้นั ตอนการแบง่ เซลลซ์ ึ่งเปน็ สาเหตุทำให้ลูกสนุ ขั ที่เกิดมามลี กั ษณะคลา้ ยคลึงกบั พ่อและแม่
ขนั้ 2ส0ร.ปุ
นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย เร่อื ง การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวิต โดยให้นักเรียนสรุปความรู้เป็นตาราง
เปรียบเทียบความแตกต่างการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสกับการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ลงในกระดาษ A4
ส่งครผู สู้ อนแลว้ นำเสนอในรูปแบบทีน่ า่ สนใจ
ขั้นประเมนิ
ข้ันท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูตรวจใบงานท่ี 2.2 เร่อื ง การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชวี ติ
2. ครตู รวจแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
3. ครตู รวจตารางเปรยี บเทียบความแตกตา่ งการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสกับการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
4. ครูตรวจสอบการตอบคำถาม Key Question ในสมดุ ประจำตัวนกั เรียน
5. ครตู รวจสอบการให้เหตผุ ลการแบง่ เซลลข์ องปลาดาวกับลกู สุนขั
6. ประเมินทักษะและกระบวนการโดยสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัตกิ ารจากการทำกิจกรรม ศกึ ษาการ
แบง่ เซลล์แบบไมโทซิสของเซลล์รากหอม
7. ประเมินทักษะและกระบวนการโดยสงั เกตพฤติกรรมการปฏิบัตกิ ารจากการทำกิจกรรม ศกึ ษาการ
แบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ ของอับเรณขู องดอกกุยชา่ ย
8. ประเมนิ ทักษะและกระบวนการโดยสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายกล่มุ การทำงานรายบคุ คล
120
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 4 การแบ่งเซลล์ของสงิ่ มีชวี ิต
9. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตความมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้และมุ่งม่ันใน
การทำงาน
7. การวดั และประเมินผล
รายการวดั วิธกี าร เครือ่ งมือ เกณฑ์
การประเมนิ
7.1 ประเมนิ ระหวา่ งการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้
1) การแบ่งเซลลข์ อง - ตรวจใบงานที่ 2.2 - ใบงานท่ี 2.2 - รอ้ ยละ 60
ส่ิงมชี วี ิต - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตวั หรือ ผ่านเกณฑ์
- รอ้ ยละ 60
หรอื แบบฝึกหดั แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
วทิ ยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
2) ผลบนั ทึกการปฏิบัติ - ตรวจสมดุ ประจำตัว - สมุดประจำตวั หรือ - ร้อยละ 60
กิจกรรมการแบ่งเซลล์ หรอื แบบฝกึ หัด แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
แบบไมโทซสิ ของเซลล์ วทิ ยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
รากหอม
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
3) ผลบันทึกการปฏิบัติ
กจิ กรรมการแบ่งเซลล์ - ตรวจสมุดประจำตัว - สมดุ ประจำตวั หรอื - รอ้ ยละ 60
หรอื แบบฝกึ หัด แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
แบบไมโอซสิ ของอบั เรณู วทิ ยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
ของดอกกุยช่าย เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
4) การนำเสนอผลงาน/ - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมนิ การนำเสนอ - ระดบั คุณภาพ 2
ผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม ผลงาน/ผลการปฏิบตั ิ ผลงาน ผ่านเกณฑ์
กจิ กรรม
5) พฤตกิ รรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล
6) พฤตกิ รรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดับคุณภาพ 2
กลุ่ม การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
7) คณุ ลักษณะ - สงั เกตความมีวินัย - แบบประเมินคุณลักษณะ - ระดับคุณภาพ 2
อันพึงประสงค์ รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้ อนั พงึ ประสงค์ ผ่านเกณฑ์
และมงุ่ ม่ันในการ
ทำงาน
121
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 4 การแบง่ เซลลข์ องสิ่งมีชวี ิต
8. สือ่ /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 สื่อการเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
พันธกุ รรม
2) แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พนั ธกุ รรม
3) ภาพการเจริญเติบโตของสิง่ มีชีวิต
4) อุปกรณ์ใช้ทำกจิ กรรมการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ ของปลายรากหอม
5) อุปกรณ์ใชท้ ำกิจกรรมการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสของอบั เรณูของดอกกุยช่าย
6) ใบงานที่ 2.2 เรื่อง การแบง่ เซลล์ของส่ิงมีชีวิต
7) QR code เรอื่ ง การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิส
8) QR code เร่อื ง การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ
9) สมุดประจำตวั นักเรยี น
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) อนิ เทอร์เน็ต
122
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 4 การแบ่งเซลลข์ องส่งิ มีชวี ติ
ใบงานที่ 2.2
เร่ือง การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวติ
ตอนท่ี 1 ตรวจสอบความรู้ก่อนเรียน ก. อินเตอรเ์ ฟส
คำช้ีแจง : ให้นักเรียนนำคำท่ีกำหนดให้ มาเติมหน้าข้อความให้สัมพันธ์กัน ข. โพรเฟส
ค. เมทาเฟส
1. เปน็ ระยะทเ่ี ซลลเ์ ตรยี มพร้อมกอ่ นเริ่มแบ่งนิวเคลียส ง. แอนาเฟส
2. เป็นระยะที่โครโมโซมจะเคลื่อนตัวไปเรียงตาม จ. เทโลเฟส
ฉ. โพรเฟส I
แนวกง่ึ กลางของเซลล์ ช. เมทาเฟส I
3. เป็นระยะท่ีโครมาติดหดส้ันเป็นแท่งโครโมโซม ซ. แอนนาเฟส I
ฌ. การแบ่งไซโทพลาซึม
เซนทริโอจะเคลื่อนที่ไปทั้ง 2 ข้าง และมีการ ญ. ไมโทซสิ
สรา้ งเส้นใยสปินเดิล ฎ. ไมโอซิส
4. เป็นระยะท่ีมีการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนของโครมาทิด
ทำให้เกิดการแปรผันของลักษณะต่าง ๆ ของ
สิง่ มชี ีวติ
5. โครมาติด 2 เส้นท่ีเคยอยู่ด้วยกันจะแยกจากกัน
ไปยงั ข้วั ตรงข้าม
6. เป็นระยะที่โครโมโซมคลายตัวเป็นเส้นยาวเยื่อ
หมุ้ นวิ เคลียสและนิวคลีโอลสั เร่ิมปรากฏ
7. เปน็ การแบ่งเซลล์เพือ่ เพ่ิมจำนวนเซลลร์ า่ งกาย
8. เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสรา้ งเซลลส์ ืบพันธุ์
9. โครโมโซมที่เข้าคู่กัน หรือแต่ละไบวาเลนท์ของ
โครโมโซมจะมาเรยี งอยู่ตรงกลาง
10. เป็นข้นั ตอนการแบง่ เซลลข์ องสิ่งมีชีวติ
คะแนนทไี่ ด้
123
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 4 การแบ่งเซลลข์ องสิ่งมีชวี ติ
ตอนท่ี 2 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
คำชี้แจง : ให้นักเรียนศึกษาเรื่องการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 แล้วพิจารณาภาพท่ีกำหนดให้ พร้อมกับระบุช่ือช่วงระยะที่มีการเปล่ียนแปลง
ก. อนิ เตอร์เฟส ข. เมทาเฟส ค. เทโลเฟส
ง. โพรเฟส จ. แอนาเฟส
1. 2.
5. 3.
4.
124
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 4 การแบ่งเซลล์ของสง่ิ มชี วี ิต
ตอนที่ 3 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
คำชี้แจง : ให้นักเรียนศึกษาเรื่องการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 แล้วพิจารณาภาพท่ีกำหนดให้ พร้อมกับระบุช่ือช่วงระยะที่มีการเปล่ียนแปลง
ก. โพรเฟส I ข. เทโลเฟส I ค. แอนาเฟส II
ง. เมทาเฟส I จ. โพรเฟส II ฉ. เทโลเฟส II
ช. แอนาเฟส I ซ. เมทาเฟส II
125
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 4 การแบง่ เซลลข์ องสิ่งมีชวี ติ
ตอนท่ี 4 ตรวจสอบความรู้หลังเรียน ก. อนิ เตอรเ์ ฟส
คำช้ีแจง : ให้นักเรียนนำคำที่กำหนดให้ มาเติมหน้าข้อความให้สัมพันธ์กัน ข. โพรเฟส
ค. เมทาเฟส
1. เปน็ ระยะทเ่ี ซลลเ์ ตรยี มพร้อมกอ่ นเรม่ิ แบง่ นิวเคลยี ส ง. แอนาเฟส
2. เป็นระยะที่โครโมโซมจะเคลื่อนตัวไปเรียงตาม จ. เทโลเฟส
ฉ. โพรเฟส I
แนวกึ่งกลางของเซลล์ ช. เมทาเฟส I
3. เป็นระยะท่ีโครมาติดหดส้ันเป็นแท่งโครโมโซม ซ. แอนาเฟส I
ฌ. การแบ่งไซโทพลาซึม
เซนทริโอจะเคล่ือนที่ไปท้ัง 2 ข้าง และมีการ ญ. ไมโทซิส
สร้างเส้นใยสปินเดลิ ฎ. ไมโอซสิ
4. เป็นระยะท่ีมีการแลกเปลี่ยนช้ินส่วนของโครมาทิด
ทำให้เกิดการแปรผันของลักษณะต่าง ๆ ของ
สง่ิ มชี ีวิต
5. โครมาติด 2 เส้นท่ีเคยอยู่ด้วยกันจะแยกจากกัน
ไปยังขั้วตรงขา้ ม
6. เป็นระยะที่โครโมโซมคลายตัวเป็นเส้นยาวเยื่อ
หมุ้ นวิ เคลียสและนวิ คลโี อลสั เรมิ่ ปรากฏ
7. เปน็ การแบง่ เซลล์เพือ่ เพิ่มจำนวนเซลลร์ ่างกาย
8. เป็นการแบ่งเซลลเ์ พื่อสร้างเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ
9. โครโมโซมท่ีเข้าคู่กัน หรือแต่ละไบวาเลนท์ของ
โครโมโซมจะมาเรยี งอยตู่ รงกลาง
10. เป็นขั้นตอนการแบ่งเซลลข์ องสิง่ มีชวี ติ
คะแนนท่ีได้
126
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 4 การแบ่งเซลล์ของส่งิ มีชวี ติ
ใบงานท่ี 2.2 เฉลย
เรื่อง การแบง่ เซลลข์ องสิ่งมีชวี ิต
ตอนท่ี 1 ตรวจสอบความรู้ก่อนเรียน ก. อินเตอร์เฟส
คำชี้แจง : ให้นักเรียนนำคำที่กำหนดให้ มาเติมหน้าข้อความให้สัมพันธ์กัน ข. โพรเฟส
ค. เมทาเฟส
ก. 1. เป็นระยะทเี่ ซลลเ์ ตรียมพร้อมกอ่ นเริม่ แบ่งนวิ เคลียส ง. แอนาเฟส
ค. 2. เป็นระยะที่โครโมโซมจะเคล่ือนตัวไปเรียงตาม จ. เทโลเฟส
ฉ. โพรเฟส I
แนวกง่ึ กลางของเซลล์ ช. เมทาเฟส I
ข. 3. เป็นระยะท่ีโครมาติดหดส้ันเป็นแท่งโครโมโซม ซ. แอนาเฟส I
ฌ. การแบ่งไซโทพลาซมึ
เซนทริโอจะเคล่ือนท่ีไปท้ัง 2 ข้าง และมีการ ญ. ไมโทซิส
สรา้ งเสน้ ใยสปินเดิล ฎ. ไมโอซสิ
ฉ. 4. เป็นระยะที่มีการแลกเปลี่ยนช้ินส่วนของโครมาทิด
ทำให้เกิดการแปรผันของลักษณะต่าง ๆ ของ
ส่งิ มชี ีวิต
5. โครมาติด 2 เส้นท่ีเคยอยู่ด้วยกันจะแยกจากกัน
ง. ไปยงั ขวั้ ตรงข้าม
6. เป็นระยะที่โครโมโซมคลายตัวเป็นเส้นยาวเย่ือ
จ. ห้มุ นวิ เคลยี สและนวิ คลโี อลัสเริม่ ปรากฏ
7. เปน็ การแบง่ เซลลเ์ พอ่ื เพิม่ จำนวนเซลล์รา่ งกาย
8. เป็นการแบ่งเซลลเ์ พอ่ื สร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ
ญ. 9. โครโมโซมท่ีเข้าคู่กัน หรือแต่ละไบวาเลนท์ของ
ฎ. โครโมโซมจะมาเรยี งอยูต่ รงกลาง
ช. 10.เป็นขั้นตอนการแบง่ เซลลข์ องสง่ิ มีชีวิต
ฌ.
คะแนนที่ได้
127
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 4 การแบง่ เซลล์ของส่งิ มชี วี ิต
ตอนท่ี 2 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
คำชี้แจง : ให้นักเรียนศึกษาเรื่องการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 แล้วพิจารณาภาพท่ีกำหนดให้ พร้อมกับระบุชื่อช่วงระยะที่มีการเปลี่ยนแปลง
ก. อนิ เตอรเ์ ฟส ข. เมทาเฟส ค. เทโลเฟส
ง. โพรเฟส จ. แอนาเฟส
1. ก. ง.
2.
5. ค ข.
ข. 3.
จ.
4. ข.
128
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 4 การแบ่งเซลลข์ องส่งิ มชี วี ิต
ตอนที่ 3 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
คำชี้แจง : ให้นักเรียนศึกษาเรื่องการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 แล้วพิจารณาภาพท่ีกำหนดให้ พร้อมกับระบุช่ือช่วงระยะท่ีมีการเปล่ียนแปลง
ก. โพรเฟส I ข. เทโลเฟส I ค. แอนาเฟส II
ง. เมทาเฟส I จ. โพรเฟส II ฉ. เทโลเฟส II
ซ. แอนาเฟส I ซ. เมทาเฟส II
ก. ง. ช. ข.
ข. ข. ข.ใ ข.
จ. ซ. ค. ฉ.
ข. ข. ข.ใ
129
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 4 การแบง่ เซลลข์ องสิ่งมชี วี ติ
ตอนที่ 4 ตรวจสอบความรู้หลังเรียน ก. อนิ เตอรเ์ ฟส
คำชี้แจง : ให้นักเรียนนำคำท่ีกำหนดให้ มาเติมหน้าข้อความให้สัมพันธ์กัน ข. โพรเฟส
ค. เมทาเฟส
ก. 1. เป็นระยะท่เี ซลล์เตรยี มพรอ้ มก่อนเริ่มแบง่ นิวเคลียส ง. แอนาเฟส
ค. 2. เป็นระยะท่ีโครโมโซมจะเคลื่อนตัวไปเรียงตาม จ. เทโลเฟส
ฉ. โพรเฟส I
แนวกึ่งกลางของเซลล์ ช. เมทาเฟส I
ข. 3. เป็นระยะที่โครมาติดหดส้ันเป็นแท่งโครโมโซม ซ. แอนาเฟส I
ฌ. การแบง่ ไซโทพลาซึม
เซนทริโอจะเคล่ือนที่ไปทั้ง 2 ข้าง และมีการ ญ. ไมโทซิส
ฎ. ไมโอซสิ
สร้างเส้นใยสปินเดลิ
ฉ. 4. เป็นระยะท่มี ีการแลกเปล่ียนชิ้นสว่ นของโครมาทิด
ทำให้เกิดการแปรผันของลักษณะต่าง ๆ ของ
สงิ่ มีชีวิต
5. โครมาติด 2 เส้นที่เคยอยู่ด้วยกันจะแยกจากกัน
ไปยงั ข้วั ตรงขา้ ม
ง. 6. เป็นระยะท่ีโครโมโซมคลายตัวเป็นเส้นยาวเยื่อ
หุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลสั เริ่มปรากฏ
จ. 7. เปน็ การแบ่งเซลล์เพือ่ เพ่ิมจำนวนเซลลร์ า่ งกาย
8. เป็นการแบ่งเซลลเ์ พอื่ สรา้ งเซลล์สบื พันธ์ุ
ญ. 9. โครโมโซมที่เข้าคู่กัน หรือแต่ละไบวาเลนท์ของ
ฎ. โครโมโซมจะมาเรยี งอย่ตู รงกลาง
ช. 10.เป็นขั้นตอนการแบ่งเซลล์ของสิง่ มชี ีวติ
ฌ.
คะแนนท่ไี ด้
130
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 4 การแบง่ เซลลข์ องสง่ิ มชี วี ิต
9. ความเหน็ ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรือผทู้ ่ไี ด้รบั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ “……..
“…………………………………………
ลงชื่อ
( .................................
................................ )
ตำแหนง่
.......
10. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ดา้ นอ่ืน ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมทม่ี ปี ัญหาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
131
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 5 ความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 5
ความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม
เวลา 4 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ัด
ว 1.1 ม.3/5 บอกได้ว่าการเปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซม อาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรม
พร้อมทั้งยกตวั อย่างโรคทางพันธกุ รรม
ว 1.1 ม.3/6 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เร่ืองโรคทางพันธุกรรม โดยรู้ว่าก่อนแต่งงานควร
ปรึกษาแพทย์เพ่อื ตรวจและวนิ จิ ฉยั ภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจเกดิ โรคทางพนั ธุกรรม
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายและยกตวั อย่างโรคท่เี กิดจากความผดิ ปกติทางพันธกุ รรมได้ (K)
2. วเิ คราะหแ์ ละเสนอแนวทางการปอ้ งกนั ภาวะเสี่ยงของลกู ท่ีเกดิ มาเปน็ โรคทางพนั ธุกรรมได้ (P)
3. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องความรเู้ รอื่ งโรคทางพนั ธุกรรม (A)
4. มคี วามใฝเ่ รียนรแู้ ละมงุ่ ม่ันในการทำงาน (A)
3. สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถน่ิ
• การเปลี่ยนแปลงของยีนหรอื โครโมโซมส่งผลให้เกดิ การ พจิ ารณาตามหลักสตู รของสถานศึกษา
เปล่ียนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น
โ ร ค ธ า ลั ส ซี เ มี ย เ กิ ด จ า ก ก า ร เป ลี่ ย น แ ป ล ง ข อ ง ยี น
กลุ่มอาการดาวน์เกิดจากจากการเปลี่ยนแปลงจำนวน
โครโมโซม
• โรคทางพันธกุ รรมสามารถถ่ายทอดจากพอ่ แม่ไปสลู่ ูกได้
ดั งนั้ น ก่อน แต่ งงาน แล ะ มี บุ ต รจึงค วรป้ องกัน
โดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเส่ียงจากการถ่ายทอด
โรคทางพันธุกรรม
4. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
การเปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซมส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของ
ส่ิงมีชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมีย ภาวะตาบอดสี โรคฮีโมฟีเลีย ล้วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีน
กลุ่มอาการดาวน์ เป็นกลุ่มอาการเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจำนวนของโครโมโซม กลุ่มอาการคริดูชา
เป็นกลุ่มอาการท่ีเกิดจากความผิดปกติท่ีเกิดขึ้นกับรูปร่างโครโมโซม นอกจากนั้น โรคทางพันธุกรรม
สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกได้ ดังน้ัน เพ่ือป้องกันความเส่ียงจากการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม
จงึ ควรตรวจและวินจิ ฉัยภาวะเสี่ยงจากการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมก่อนแต่งงาน หรอื ในระหว่างตั้งครรภ์
5. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียนและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มีวินัย รับผิดชอบ
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รียนรู้
1) ทกั ษะการลงความเห็นจากข้อมูล 3. มุ่งม่นั ในการทำงาน
133
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม
สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนคิ : 5Es Instructional Model
ชั่วโมงท่ี 1
ข้ันนำ
ข้นั ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ให้นักเรียนทำกิจกรรม Engaging Activity ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรยี นรู้ 2 พนั ธุกรรม เรอ่ื ง ความผดิ ปกตทิ างพนั ธุกรรม
2. ครูให้นักเรียนส่งลูกบอลตามจังหวะเพลง เม่ือเพลงหยุดแลว้ ลูกบอลอยู่ท่นี ักเรยี นคนใด ใหน้ ักเรยี น
คนที่ถือลูกบอลยืนขึ้นเสนอคำตอบจากการทำกิจกรรม Engaging Activity ให้ได้ตัวแทนนักเรียน
ประมาณ 2-3 คน
3. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลกิจกรรมพร้อมกัน เพ่ือให้ได้ข้อสรปุ ว่า “จากท่ีนักเรียนได้ศึกษา
มาแลว้ วา่ โครโมโซมรา่ งกายคือ โครโมโซมตัง้ แตค่ ่ทู ี่ 1-22 และโครโมโซมเพศคอื โครโมโซมคูท่ ี่ 23
ดังน้ัน หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับโครโมโซมร่างกายจะทำให้เกิดความผิดปกติข้ึนกับร่างกาย
ถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้นกับโครโมโซมเพศจะทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบสืบพันธุ์
ซง่ึ มีผลทำให้ร่างกายมคี วามผิดปกตไิ ปดว้ ยเช่นกันซ่ึงนักเรียนจะได้เรียนต่อไปน้ี”
ชวั่ โมงที่ 2-4
ขัน้ สอน
ข้ันที่ 2 สำรวจคน้ หา (Explore)
1. ให้นักเรียนตรวจสอบความรู้ของตนเองในกรอบ Check for Understanding ในหนังสือเรียน
รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ 2 พันธุกรรม เร่ือง
ความผดิ ปกติทางพนั ธุกรรม
2. ครูแจกใบงานท่ี 2.3 เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ศึกษาคำช้ีแจงในตอนที่ 1 แล้วให้นักเรียน
ตรวจสอบความรูข้ องตนเองก่อนเข้าสู่บทเรยี น
3. ครูเตรยี มสลากมา 3 ใบ ไดแ้ ก่ ใบที่ 1 โครโมโซมรา่ งกาย ใบที่ 2 โครโมโซมเพศ และใบท่ี 3 ยีน
4. ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลุ่มออกเปน็ 3 กลุ่ม แลว้ ให้แต่ละกลุ่มส่งตวั แทนกลุม่ ออกมาจบั สลาก
5. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลโรคทางพันธุกรรมท่ีเกิดจากความผิดปกติตามสลากท่ีตัวแทนกลุ่มของ
ตนเองจับสลากได้ โดยให้สมาชิกภายในกลุ่มแบ่งภาระและหน้าท่ีรับผิดชอบในการสืบค้นข้อมูล
จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หรือแหล่งการเรียนรู้
อื่น ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต
6. ใหน้ ักเรียนเขยี นสรุป เร่อื ง โรคทางพันธกุ รรม ลงในกระดาษ A4 เพื่อนำเสนอหน้าช้ันเรยี น
ข้นั ท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explain)
7. ครสู ุม่ เรียกตวั แทนกลุม่ กล่มุ ละ 2-3 คน ออกมานำเสนอหนา้ ชนั้ เรียน
134
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 5 ความผดิ ปกติทางพนั ธกุ รรม
8. นกั เรียนและครูร่วมกนั อภปิ รายผลกิจกรรม เพ่ือให้ได้ข้อสรปุ ว่า โรคทางพันธุกรรมมสี าเหตุมาจาก
การเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมและยีน ท่ีอาจเกิดได้จากกระบวนการแบ่งเซลล์ในขณะที่อยู่
ในครรภ์มารดา หรืออาจเกิดจากสภาวะแวดล้อม ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลให้เกิดโรคทาง
พันธกุ รรมสามารถถ่ายทอดตอ่ ไปยงั รุ่นลกู หลานได้
9. ครูถามคำถามทา้ ยกิจกรรม ดงั น้ี
- โรคทางพันธุกรรมได้แกโ่ รคอะไรบ้าง
(แนวตอบ : กลุ่มอาการดาวน์ กลุ่มอาการพาทัว กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด ตาบอดสี ผิวเผือก
โรคธาลัสซีเมีย)
- สาเหตุใดบ้างที่ทำให้เกดิ โรคทางพนั ธุกรรม
(แนวตอบ : รูปร่างและจำนวนโครโมโซมร่างกายผิดปกติ รูปร่างและจำนวนโครโมโซมเพศ
ผิดปกติ และความผดิ ปกตทิ ่ีเกิดขน้ึ กบั ยนี บนโครโมโซมรา่ งกายและโครโมโซมเพศ)
10. ครูอธิบายสรุปให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้น โดยในขณะท่ีบรรยายครูอาจใช้ PowerPoint
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 เรื่อง ความผดิ ปกตทิ างพนั ธกุ รรม เพื่อใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจ
วา่ “โรคทางพนั ธกุ รรมเกิดจากความผิดปกติท่เี กิดขึน้ กับโครโมโซมและยีน ตามที่นักเรยี นไดเ้ รียนรู้
มาแล้ว ในท่ีนี้จะกลา่ วถึง โครโมโซมร่างกายมจี ำนวนผิดปกตซิ ึง่ แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ จำนวน
โครโมโซมเกินมามากกว่าปกติ และจำนวนโครโมโซมขาดหาย”
11. ครูถามนักเรียนว่า โรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีนสามารถเกิดขึ้นได้กับ
โครโมโซมประเภทใดบ้าง
(แนวตอบ : โครโมโซมรา่ งกายและโครโมโซมเพศ)
12. หลังจากทำกจิ กรรมแล้ว ครูใหน้ กั เรยี นศึกษาคำชแ้ี จงและลงมอื ทำใบงานที่ 2.3 ในตอนที่ 2
13. ครถู ามคำถามทบทวนความรขู้ องนกั เรียน ดังน้ี
- โรคทางพันธุกรรมท่ีเกิดจากจำนวนโครโมโซมเกินมามากกว่าปกติ ได้แก่โรคอะไรบ้าง และ
โครโมโซมคู่ใดเกนิ มา
(แนวตอบ : กลุม่ อาการดาวน์เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง กลุ่มอาการพาทัวเกิดจาก
โครโมโซมคทู่ ี่ 13 เกินมา 1 แทง่ กล่มุ อาการเอ็ดเวิรด์ เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 18 เกินมา 1 แทง่ )
- โรคทางพันธุกรรมท่ีเกิดจากจำนวนโครโมโซมขาดหายไป ได้แก่โรคอะไรบ้าง และเกิดขึ้นกับ
โครโมโซมคู่ใด
(แนวตอบ : กลุ่มอาการคริดูชาเกิดจากแขนโครโมโซมคู่ที่ 5 ขาดหายไป)
14. ครูอธิบายต่อไปว่า “นอกจากความผิดปกติท่ีเกิดข้ึนกับโครโมโซมร่างกายแล้ว โรคพันธุกรรมยัง
เกิดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโครโมโซมเพศ ซึ่งแบ่งออกได้เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ
โครโมโซม X และความผดิ ปกตทิ ่ีเกิดข้ึนกับโครโมโซม Y” โดยครูอธิบายโดยสรปุ วา่
- “ความผิดปกติท่ีเกิดข้ึนกับโครโมโซม X สามารถเกิดข้ึนท้ังในเพศชายและเพศหญิง โดยถ้าเกิด
ข้ึนกับเพศหญิงเน่ืองจากโครโมโซม X ขาดหายไป 1 แท่ง จะทำให้เกิดกลุ่มอาการเทิร์นเนอร์
ทำให้เพศหญิงมีรปู รา่ งเตี้ย ตน้ คอกว้าง เป็นหมนั แตถ่ ้าโครโมโซม X เกนิ มา 1 แท่ง จะทำให้เกิด
กลุ่มอาการทริปเปิลเอกซ์ หรือเรียกผู้ป่วยกลุ่มน้ีว่า ซูเปอร์ฟีเมล ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีรูปร่าง
เหมอื นผู้หญิงท่ัวไป ไม่เป็นหมัน แต่ผปู้ ่วยบางรายจะเกิดความผิดปกติท่ีแสดงใหเ้ ห็น เชน่ น้วิ ก้อย
โกง่ งอ กระดูกหน้าอกโคง้ เลก็ น้อย เทา้ แบน สว่ นในเพศชายถ้าโครโมโซม X เกินมา 1 แท่ง จะทำ
ให้เกิดกลุ่มอาการไคลนเ์ ฟลเตอร์ ทำให้เพศชายมีรูปรา่ งคลา้ ยกับเพศหญิง และเปน็ หมนั
135
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผิดปกติทางพนั ธกุ รรม
- ความผิดปกติท่ีเกิดข้ึนกับโครโมโซม Y จะเกิดข้ึนในเฉพาะเพศชาย เช่น โครโมโซม Y เกินมา 1
แท่ง ทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า กลุ่มอาการดับเบิ้ลวาย เรียกผู้ป่วยกลุ่มน้ีว่า ซูเปอร์เมน
ทำให้ผู้ป่วยมรี ูปร่างสงู ใหญก่ ว่าปกติ ไม่เป็นหมัน มอี ารมณ์รุนแรง”
15. ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า “โรคผิวเผือกเกิดจากความผิดปกติที่เกิดข้ึนกับแอลลีลด้อยของยีนที่ควบคุม
การสร้างเม็ดสีเมลานินในร่างกาย ซ่ึงลกั ษณะของผู้ทีป่ ่วยเป็นโรคผวิ เผือก ผิวหนังจะค่อนข้างไวต่อ
แสง บางคนมอี าการแพแ้ ละอาจก่อใหเ้ กิดมะเร็งได้ และมองไมเ่ หน็ ในที่มืด เสน้ ผมจะมีสีขาว”
16. ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า “โรคธาลัสซีเมียเกิดจากความผิดปกติท่ีเกิดข้ึนกับแอลลีลด้อยของยีนที่
ควบคุมการสร้างโปรตีนเฮโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
กล่มุ แอลฟาธาลัสซีเมีย และกลุ่มบีตาธาลัสซเี มยี โดยกลุ่มแอลฟาธาลัสซเี มียจะมีอาการรนุ แรงกว่า
กลมุ่ บีตาธาลัสซเี มยี ”
17. นอกจากความผิดปกติของยีนท่ีเกิดข้ึนกับโครโมโซมร่างกายแล้ว ยังเกิดข้ึนกับโครโมโซมเพศด้วย
จากน้นั ครถู ามนกั เรียน ดังนี้
- ตาบอดสีเกิดจากสาเหตุใด
(แนวตอบ : เกิดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับแอลลีลด้อยบนโครโมโซม X ทำให้เซลล์รูปกรวย
เกิดความผดิ ปกติ)
- โรคฮโี มฟีเลียเกิดจากสาเหตุใด
(แนวตอบ : เกิดจากความผิดปกติท่ีเกิดขึ้นกับแอลลีลด้อยบนโครโมโซม X ทำให้โปรตีนที่
เก่ยี วขอ้ งกบั การแขง็ ตวั ของเลอื ดผดิ ปกติ)
18. ใหน้ ักเรียนตรวจสอบความรูห้ ลังเรียนในใบงานท่ี 2.3 ในตอนที่ 3
19. ใหน้ ักเรียนทำแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
20. ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง โดยตอบคำถาม Topic Questions ลงใน
สมดุ ประจำตัวนักเรยี น
ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
21. ครูกำหนดปัญหาเก่ียวกับผลการตรวจเลือดของครอบครัวลูกพี่ลูกน้องที่นักเรียนรู้จัก พบว่า
พ่อเป็นพาหะธาลัสซีเมีย และมีแม่เป็นโรคธาลัสซีเมีย แต่ลูกพี่ลูกน้องของนักเรียนกลับมีสุขภาพดี
แต่ไม่เคยตรวจเลือดเลย ถ้าวันหนึ่งลูกพ่ีลูกน้องของนักเรียนกำลังจะแต่งงานกับหญิงท่ีป่วยเป็น
โรคธาลัสซีเมียแล้วมาปรึกษานกั เรียน ให้นักเรยี นนำความรู้เร่ืองการถ่ายทอดยนี บนโครโมโซมและ
ความผิดปกติทางพันธุกรรม มาทำนายโอกาสที่หลานของนักเรียนจะเป็นโรคร้อยละเท่าไร และ
นกั เรียนจะให้คำแนะนำแกล่ กู พี่ลูกน้องอย่างไร ลงในสมุดประจำตัวนกั เรียน
ขนั้ สรุป
นักเรียนและครูร่วมกันสรุป เรื่อง ความผิดปกติทางพันธุกรรม เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า โรคทางพันธุกรรม
บางโรคอาจมีการถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกได้ หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมในเซลล์
สบื พันธ์ขุ องพ่อหรือแม่ ดงั น้ัน ก่อนแตง่ งานหรือก่อนมบี ุตร ควรป้องกันโดยการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค และ
ปรึกษาแพทย์ถึงภาวะเส่ียงของลูกท่ีอาจเกิดโรคทางพันธุกรรม แล้วให้นักเรียนสรุปเป็นผังมโนทัศน์
ลงในกระดาษ A4 สง่ ครผู ู้สอน แลว้ นำเสนอในรปู แบบทนี่ า่ สนใจ
ขน้ั ประเมนิ
136
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผดิ ปกติทางพนั ธกุ รรม
ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครตู รวจใบงานที่ 2.3 เร่ือง โรคทางพนั ธุกรรม
2. ครตู รวจแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
3. ครูตรวจรายงาน เรือ่ ง โรคทางพนั ธุกรรม
4. ครตู รวจคำตอบ Topic Questions ในสมุดประจำตัวนกั เรียน
5. ครตู รวจผังมโนทศั น์ เรอ่ื ง ความผดิ ปกตทิ างพนั ธุกรรม
6. ประเมินทักษะและกระบวนการโดยสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติการจากการทำกิจกรรม โรคทาง
พนั ธุกรรม
7. ประเมินทักษะและกระบวนการโดยสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายกล่มุ การทำงานรายบุคคล
8. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตความมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำงาน
7. การวัดและประเมินผล
รายการวัด วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ์
การประเมิน
7.1 ประเมนิ ระหวา่ งการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้
1) ความผิดปกตทิ าง
พันธุกรรม - ตรวจใบงานที่ 2.3 - ใบงานท่ี 2.3 - รอ้ ยละ 60
ผ่านเกณฑ์
- ตรวจสมุดประจำตัว - สมดุ ประจำตวั หรือ - รอ้ ยละ 60
หรอื แบบฝกึ หัด แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
วทิ ยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
- ตรวจรายงาน เร่ือง - แบบประเมินรายงาน - ระดบั คณุ ภาพ 2
โรคทางพันธกุ รรม ผา่ นเกณฑ์
- ตรวจผังมโนทัศน์ เรอ่ื ง - แบบประเมนิ ผังมโนทัศน์ - ระดับคุณภาพ 2
ความผิดปกตทิ าง ผา่ นเกณฑ์
พันธกุ รรม
2) ผลบันทกึ การปฏิบัติ - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตัว หรอื - รอ้ ยละ 60
กิจกรรมโรคทาง หรอื แบบฝกึ หัด แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
พนั ธกุ รรม วิทยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
3) การนำเสนอ ผลงาน/ - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมนิ การนำเสนอ - ระดบั คุณภาพ 2
ผลการปฏบิ ัติกิจกรรม ผลงาน/ผลการปฏิบัติ ผลงาน ผา่ นเกณฑ์
กิจกรรม
137
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผดิ ปกติทางพนั ธกุ รรม
รายการวัด วิธีการ เคร่อื งมือ เกณฑ์
การประเมนิ
4) พฤตกิ รรมการ ทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม
การทำงานรายบุคคล - ระดบั คุณภาพ 2
รายบุคคล การทำงานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
5) พฤตกิ รรมการ ทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
กลุ่ม การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
6) คณุ ลกั ษณะ - สงั เกตความมีวินยั - แบบประเมนิ คุณลกั ษณะ - ระดับคุณภาพ 2
อันพงึ ประสงค์ รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้
และมงุ่ มัน่ ในการ อนั พงึ ประสงค์ ผ่านเกณฑ์
ทำงาน
8. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้
8.1 สื่อการเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2
พันธุกรรม
2) แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 พนั ธกุ รรม
3) ใบงานที่ 2.3 เรอ่ื ง โรคทางพันธุกรรม
4) อุปกรณ์ที่ใช้ทำกจิ กรรมโรคทางพนั ธกุ รรม
5) PowerPoint เรื่อง ความผิดปกติทางพนั ธกุ รรม
6) สมุดประจำตัวนกั เรียน
7) สลากจำนวน 3 ใบ ได้แก่ ใบที่ 1 โครโมโซมร่างกาย ใบที่ 2 โครโมโซมเพศ และใบที่ 3 ยีน
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) อินเทอรเ์ น็ต
138
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม
ใบงานท่ี 2.3
เรอ่ื ง โรคทางพนั ธกุ รรม
ตอนที่ 1 ตรวจสอบความรู้ก่อนเรียน
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปน้ี
1. โรคทางพันธุกรรม หมายถึง โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซ่ึงเกิดจากความผิดปกติของยีนท่ีควบคุม
ลักษณะต่าง ๆ ทง้ั ทเี่ ป็นยนี เด่นและยนี ดอ้ ย
2. ให้นักเรียนพิจารณาภาพการจัดเรียงโครโมโซมของคนจำนวน 2 คน แล้วระบุว่า คนท่ี 1-4 เป็นคนปกติ
หรอื ไม่ ถา้ ไม่ ให้ระบชุ อื่ โรคใต้ภาพท่กี ำหนดให้
พาทวั ซนิ โดรม คนปกตkิ fskfskf
3. โรคทางพันธุกรรมท่ีพบในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดความผิดปกติของยีนที่ควบคุมลักษณะด้อย
ได้แก่ โรคธาลัสซเี มีย๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘ข๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘
4. การบอดสี คือ การมองเห็นสีผิดไปจากความเป็นจริง เช่น ไม่สามารถแยกสีแดงและสีเขียวออกจากกัน
หรอื แยกสที ้งั สองออกจากสอี ่ืน ๆ ได้๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘ข๘๘๘๘๘๘๘๘
5. ผู้ที่เป็นโรคฮีโมฟีเลียจะมีอาการผิดปกตทิ ่ีปรากฏให้เห็น คอื เมื่อเกิดบาดแผลเลอื ดจะออกง่ายและหยดุ ยาก
และมกั จำให้ตายไดง้ า่ ย หากให้การรกั ษาไมท่ ัน เน่อื งจากการเสยี เลือดมาก๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘
คะแนนท่ไี ด้
139
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม
ตอนที่ 2
คำชี้แจง : ให้นักเรียนศึกษาลักษณะหน้าตาและนับจำนวนโครโมโซมร่างกายกับโครโมโซมเพศของ
เด็กทารกคนท่ี 1 และเด็กทารกคนท่ี 2 แล้วบันทึกผลลงในตาราง
เด็กทารกคนที่ 1 เด็กทารกคนท่ี 2
ตารางบนั ทกึ ผลจากการปฏิบตั กิ จิ กรรม
เดก็ ทารก ลักษณะที่สังเกตได้ จำนวนโครโมโซม (แท่ง) โครโมโซมทีแ่ ตกตา่ ง
คนท่ี ออโตโซม โครโมโซมเพศ คู่ท่ี จำนวนโครโมโซม
ศีรษะ สว่ นต่าง ๆ
บนใบหน้า
1 ปกติ ปกติ 44 2- -
2 เล็ก ปากแหว่ง 45 2 13 3
ตอบคำถามและสรปุ ผลการทดลอง
1. ลกั ษณะของเด็กทารกคนที่ 2 แตกตา่ งจากลกั ษณะของเด็กทารกคนที่ 1 คอื อะไร
ตอบ ลักษณะปากของเด็กทารกคนที่ 2 จะแหว่ง ขณะท่ปี ากของเด็กทารกคนท่ี 1 ป๘๘๘๘๘๘๘๘๘กติ
2. จำนวนโครโมโซมทัง้ หมดของเดก็ ทารกคนที่ 1 และ 2 มเี ทา่ กับกแี่ ทง่ ตามลำดับ
ตอบ 46 และ 47 แท่ง ตามลำดั๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘ข๘๘๘๘๘๘บ
3. เด็กทารกทัง้ สองคนเปน็ เพศใด ทราบได้อย่างไร
ตอบ เพศหญงิ ดจู ากโครโมโซมคู่ท่ี 23 เปน็ ๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘XX
4. เด็กทารกคนใดมีจำนวนโครโมโซมผดิ ปกติ และจำนวนโครโมโซมทผี่ ิดปกติเปน็ โครโมโซมคู่ทเี่ ทา่ ไร
ตอบ เดก็ คนที่ 2 เนื่องโครโมโซมคูท่ ่ี 13 มจี ำนวน๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘ผิดปกติ
5. จากขอ้ ที่ 4 เด็กทารกคนดงั กล่าวเป็นโรคใด และมีอาการอยา่ งไร
ตอบ พาทัวซนิ โดรม เดก็ ท่ีเกดิ มาจะมศี ีรษะเลก็ ปากแหว่งเพดานโหว่ มกั เสียชีวิ๘๘๘๘๘๘ตต้งั แตเ่ กิด
140
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม
ตอนที่ 3 ตรวจสอบความรู้หลังเรียน
คำช้ีแจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
1. โรคทางพันธุกรรม หมายถึง โรคท่ีถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซ่ึงเกิดจากความผิดปกติของยีนท่ีควบคุม
ลักษณะต่าง ๆ ทั้งทีเ่ ป็นยีนเดน่ และยีนด้อย
2. ให้นักเรียนพิจารณาภาพการจัดเรียงโครโมโซมของคนจำนวน 4 คน แล้วระบุว่า คนท่ี 1-4 เป็นคนปกติ
หรือไม่ ถ้าไม่ ให้ระบุชือ่ โรคใตภ้ าพทีก่ ำหนดให้
พาทัวซินโดรม๘๘๘๘๘ คนปกติ
กลุ่มอาการดับเบลิ วาย คริดชู าล์ซินโดรม๘๘๘๘
3. โรคทางพันธุกรรมที่พบในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดความผดิ ปกติของยีนท่ีควบคุมลักษณะด้อย
ไดแ้ ก่ โรคธาลสั ซีเมยี ๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘
4. การบอดสี คือ การมองเห็นสีผิดไปจากความเป็นจริง เช่น ไม่สามารถแยกสีแดงและสีเขียวออกจากกัน
หรอื แยกสที ้งั สองออกจากสอี น่ื ๆ ได้๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘
5. ผู้ท่ีเปน็ โรคฮีโมฟีเลียจะมีอาการผดิ ปกติที่ปรากฏให้เห็น คือ เมื่อเกิดบาดแผลเลือดจะออกง่ายและหยุดยาก
และมักจำให้ตายได้ง่าย หากให้การรักษาไมท่ ัน เนื่องจากการเสยี เลอื ดมาก๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘๘
คะแนนท่ีได้
141
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผดิ ปกติทางพนั ธกุ รรม
ใบงานที่ 2.3 เฉลย
เร่ือง โรคทางพันธกุ รรม
ตอนที่ 1 ตรวจสอบความรู้ก่อนเรียน
คำช้ีแจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปน้ี
1. โรคทางพันธุกรรม หมายถึง โรคท่ีถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซ่ึงเกิดจากความผิดปกติของยีนท่ีควบคุม
ลักษณะต่าง ๆ ทัง้ ท่ีเปน็ ยีนเด่นและยีนด้อย
2. ให้นักเรียนพิจารณาภาพการจัดเรียงโครโมโซมของคนจำนวน 2 คน แล้วระบุว่า คนท่ี 1-4 เป็นคนปกติ
หรือไม่ ถ้าไม่ ใหร้ ะบุช่ือโรคใต้ภาพทก่ี ำหนดให้
กลุ่มอาการพาทวั คนปกติ
3. โรคทางพันธุกรรมที่พบในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดความผิดปกติของยีนที่ควบคุมลักษณะ
ดอ้ ย ได้แก่ โรคธาลสั ซีเมยี
4. การบอดสี คือ การมองเห็นสีผิดไปจากความเป็นจริง เช่น ไม่สามารถแยกสีแดงและสีเขียวออกจากกัน
หรือแยกสที ั้งสองออกจากสอี ืน่ ๆ ได้
5. ผู้ที่เปน็ โรคฮีโมฟีเลียจะมีอาการผิดปกตทิ ่ีปรากฏให้เห็น คอื เม่ือเกิดบาดแผลเลอื ดจะออกง่ายและหยุดยาก
และมกั จำให้ตายได้งา่ ย หากให้การรกั ษาไม่ทนั เนือ่ งจากการเสียเลอื ดมาก
คะแนนทีไ่ ด้
142
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผิดปกติทางพนั ธกุ รรม
ตอนท่ี 2
คำชี้แจง : ให้นักเรียนศึกษาลักษณะหน้าตาและนับจำนวนออโตโซมกับโครโมโซมเพศของเด็กทารก
คนที่ 1 และเด็กทารกคนที่ 2 แล้วบันทึกผลลงในตาราง
เดก็ ทารกคนท่ี 1 เด็กทารกคนท่ี 2
ตารางบนั ทกึ ผลจากการปฏิบตั กิ จิ กรรม
เดก็ ทารก ลักษณะที่สงั เกตได้ จำนวนโครโมโซม (แทง่ ) โครโมโซมทแี่ ตกตา่ ง
คนท่ี ออโตโซม โครโมโซมเพศ คู่ที่ จำนวนโครโมโซม
ศีรษะ ส่วนตา่ ง ๆ
บนใบหนา้
1 ปกติ ปกติ 44 2- -
2 เล็ก ปากแหว่ง 45 2 13 3
ตอบคำถามและสรุปผลการทดลอง
1. ลกั ษณะของเดก็ ทารกคนที่ 2 แตกต่างจากลักษณะของเด็กทารกคนท่ี 1 คอื อะไร
ตอบ ลกั ษณะปากของเดก็ ทารกคนท่ี 2 จะแหว่ง ขณะท่ปี ากของเด็กทารกคนท่ี 1 ปกติ
2. จำนวนโครโมโซมทัง้ หมดของเด็กทารกคนท่ี 1 และ 2 มีเทา่ กับก่ีแท่ง ตามลำดับ
ตอบ 46 และ 47 แทง่ ตามลำดบั
3. เด็กทารกทัง้ สองคนเปน็ เพศใด ทราบไดอ้ ยา่ งไร
ตอบ เพศหญงิ ดูจากโครโมโซมคู่ท่ี 23 เปน็ XX
4. เดก็ ทารกคนใดมีจำนวนโครโมโซมผิดปกติ และจำนวนโครโมโซมที่ผิดปกติเป็นโครโมโซมคทู่ ีเ่ ท่าไร
ตอบ เด็กคนที่ 2 เนอื่ งโครโมโซมค่ทู ี่ 13 มีจำนวนผดิ ปกติ
5. จากขอ้ ที่ 4 เดก็ ทารกคนดงั กลา่ วเปน็ โรคใด และมีอาการอยา่ งไร
ตอบ กลมุ่ อาการพาทัว เดก็ ทีเ่ กดิ มาจะมีศรี ษะเล็ก ปากแหวง่ เพดานโหว่ มักเสียชีวิตตงั้ แตเ่ กิด
143
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 5 ความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรม
ตอนที่ 3 ตรวจสอบความรู้หลังเรียน
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
1. โรคทางพันธุกรรม หมายถึง โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซ่ึงเกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุม
ลกั ษณะตา่ ง ๆ ทงั้ ทเี่ ป็นยนี เด่นและยนี ด้อย
2. ให้นักเรียนพิจารณาภาพการจัดเรียงโครโมโซมของคนจำนวน 4 คน แล้วระบุว่า คนท่ี 1-4 เป็นคนปกติ
หรือไม่ ถ้าไม่ ใหร้ ะบชุ อื่ โรคใต้ภาพที่กำหนดให้
กลมุ่ อาการพาทวั คนปกติ
กลมุ่ อาการดับเบิลวาย กลมุ่ อาการคริดูชาต์
3. โรคทางพันธุกรรมท่ีพบในประเทศไทย ซ่ึงเกิดจากการถ่ายทอดความผิดปกติของยีนท่ีควบคุมลักษณะ
ดอ้ ย ได้แก่ .โรคธาลัสซเี มยี
4. การบอดสี คือ การมองเห็นสีผิดไปจากความเป็นจริง เช่น ไม่สามารถแยกสีแดงและสีเขียวออกจากกัน
หรอื แยกสีท้งั สองออกจากสอี ่นื ๆ ได้
5. ผู้ที่เป็นโรคฮีโมฟีเลียจะมีอาการผิดปกตทิ ี่ปรากฏใหเ้ ห็น คือ เม่ือเกิดบาดแผลเลือดจะออกง่ายและหยุดยาก
และมกั จำให้ตายไดง้ ่าย หากให้การรักษาไมท่ ัน เนือ่ งจากการเสียเลอื ดมาก
คะแนนทไ่ี ด้
144
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 5 ความผดิ ปกตทิ างพนั ธกุ รรม
9. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรือผทู้ ีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ “……..
“…………………………………………
ลงชอ่ื
( .................................
................................ )
ตำแหนง่
.......
10. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ด้านอนื่ ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมทม่ี ปี ัญหาของนกั เรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ้ามี))
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแกไ้ ข
145
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 6 สงิ่ มีชวี ิตดดั แปรพนั ธกุ รรม
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 6
สง่ิ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธุกรรม
เวลา 4 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด
ว 1.1 ม.3/7 อธิบายการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบที่อาจมีต่อ
มนษุ ย์และส่ิงแวดลอ้ มโดยใชข้ ้อมูลท่ีรวบรวมได้
ว 1.1 ม.3/8 ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมท่ีอาจมีต่อมนุษย์
และส่ิงแวดล้อม โดยการเผยแพร่ความรู้ท่ีได้จากการโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมี
ขอ้ มลู สนับสนุน
2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมและผลกระทบท่ีอาจมีต่อมนุษย์และ
สิ่งแวดลอ้ มได้ (K)
2. เปรียบเทยี บประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวติ ดดั แปรพันธกุ รรมได้ (P)
3. ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อมนุษย์และ
ส่ิงแวดล้อม (A)
4. มคี วามใฝ่เรยี นรแู้ ละมุ่งม่ันในการทำงาน (A)
3. สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรูท้ อ้ งถ่นิ
• มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิตตาม พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศึกษา
ธ ร ร ม ช า ติ เพื่ อ ให้ ได้ สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี ลั ก ษ ณ ะ ต า ม
ต้องการ เรียกส่ิงมีชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปร
พันธุกรรม
• ในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากส่ิงมีชีวิต
ดัดแปรพันธุกรรมเป็นจำนวนมากเช่น การผลิต
อาหาร การผลิตยารักษาโรค การเกษตร อย่างไร
ก็ตาม สังคมยังมีความกังวลเก่ียวกับผลกระทบ
ของส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อส่ิงมีชีวิต
และส่ิงแวดล้อม ซ่ึงยังทำการติดตามศึกษา
ผลกระทบดงั กลา่ ว
4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม คือ สิ่งมีชีวิตที่มีการเปล่ียนแปลงพันธุกรรมโดยมนุษย์ซึ่งอาศัยความรู้ทาง
พันธุวิศวกรรม ซ่ึงเป็นกระบวนการท่ีนอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ การสร้างส่ิงมีชีวิต
ดัดแปรพันธกุ รรม ทำได้โดยการถ่ายทอดยนี ทีม่ ีลักษณะท่ีตอ้ งการจากส่ิงมีชีวิตหนึ่งเข้าไปอยู่ในดเี อ็นเอของ
สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ทำให้ส่ิงมีชีวิตที่ได้รับยีนแสดงลักษณะตามที่ต้องการ และลักษณะดังกล่าวสามารถ
ถา่ ยทอดไปยังรุ่นลูกและหลานต่อไปได้ โดยมนุษย์ใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธกุ รรมในด้านตา่ ง ๆ
147
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 6 ส่งิ มชี ีวติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม
เช่น การผลิตอาหาร ด้านการแพทย์ ด้านการเกษตร ด้านอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม สังคมก็ยังมี
ความกังวลเกย่ี วความปลอดภัยในการบริโภค และผลกระทบของส่งิ มีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมท่ีมตี ่อส่งิ มีชีวิต
และสิง่ แวดลอ้ ม ดงั นนั้ ผลกระทบดงั กล่าวยงั อยูใ่ นการตดิ ตามและศึกษาต่อไป
5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียนและคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มวี ินยั รับผิดชอบ
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรยี นรู้
1) ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู 3. มุ่งมน่ั ในการทำงาน
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนคิ : 5Es Instructional Model
ช่ัวโมงที่ 1
ข้ันนำ
ขนั้ ท่ี 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนรู้จักสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมหรือไม่ ให้นักเรียนยกตัวอย่างส่ิงมีชีวิต
ดัดแปรพันธกุ รรม
(แนวตอบ : ขึน้ อยู่กับคำตอบของนักเรยี นและดุลยพินิจของนักเรียน)
2. ครูเปิดวิดีทัศน์เกี่ยวกับส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม เร่ือง What Is a Genetically Modified
Food ? จาก Youtube เว็บไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=JMPE5wlB3Zk
3. ให้นักเรียนทำกิจกรรม Engaging Activity โดยให้นักเรียนศึกษาภาพการดัดแปรพันธุกรรมของ
หนูทดลองแล้วลองให้นักเรียนพิจารณาว่าจะนำยีนเรืองแสงของส่ิงมีชีวิตใดมาตัดต่อพันธุกรรม
ให้กับหนู โดยครูอาจแนะนำให้นักเรียนลองคิดเก่ียวกับส่ิงมีชีวิตท่ีสามารถเรืองแสงได้ เช่น
แมงกะพรุน ห่งิ หอ้ ย
4. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายกิจกรรมเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า “สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม คือ
การนำเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมมาตัดต่อดีเอ็นเอ หรือนำยีนท่ีสนใจมาแทรกลงในดีเอ็นเอของ
ส่ิงมีชีวิตหนึ่ง เพ่ือให้ส่ิงมีชีวิตน้ันแสดงลักษณะตามท่ีต้องการ เรียกส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมว่า
GMOs”
ขน้ั สอน
ขัน้ ท่ี 2 สำรวจค้นหา (Explore)
1. ให้นักเรียนสำรวจความรู้ของตนเองจากกรอบ Check for Understanding ในหนังสือเรียน
รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ 2 เรื่อง การดัดแปร
ทางพนั ธุกรรม
148
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 6 สง่ิ มีชีวติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม
2. ให้นักเรียนตอบคำถาม Key Question จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 ว่า “ส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมแตกต่างจากส่ิงมีชีวิตในธรรมชาติอย่างไร”
ลงในสมดุ ประจำตวั นกั เรยี น โดยครูยังไม่เฉลยคำตอบทถ่ี กู ต้อง
3. ให้นักเรียนเล่นเกมรวมเงินเพ่ือแบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5-6 คน ทำกิจกรรม ส่ิงมีชีวิตดัดแปร
พันธุกรรม โดยให้สมาชิกภายในกลุ่มแบ่งภาระและหน้าท่ีรับผิดชอบในการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ
สงิ่ มชี วี ติ ดดั แปรพันธกุ รรม
4. ให้นักเรียนรวบรวมข้อมูลแล้วอาจให้นักเรียนสรุปข้อมูลลงในกระดาษ A4 หรือรูปแบบอื่น เร่ือง
ส่งิ มีชีวติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม พรอ้ มนำเสนอหนา้ ชนั้ เรียน โดยมปี ระเด็นในการนำเสนอ ดงั นี้
- สิ่งมีชวี ิตท่นี ำมาดัดแปรพันธุกรรมคอื อะไร
- ประโยชน์และโทษจากส่งิ มีชวี ิตดดั แปรพันธกุ รรม
ชวั่ โมงท่ี 2-4
ขน้ั ท่ี 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
5. ครูสุ่มเรียกตวั แทนกลมุ่ กลุ่มละ 2 คน ออกมานำเสนอหน้าชนั้ เรียน
6. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลกิจกรรม เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า “สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม คือ
ส่ิงมีชีวิตที่มีการเปล่ียนแปลงพันธุกรรมโดยมนุษย์ซ่ึงเป็นกระบวนการท่ีนอกเหนือไปจากการ
เปล่ียนแปลงตามธรรมชาติ โดยมนุษย์จะใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมถ่ายทอดยีนที่มีลักษณะตาม
ต้องการจากสิ่งมชี วี ิตหน่งึ ถ่ายโอนไปยงั สิ่งมชี ีวิตหนงึ่ เพอื่ ใหส้ ิ่งมีชวี ติ ชนิดนน้ั เกิดการแสดงออกของ
ยีนทตี่ อ้ งการ และลักษณะดังกล่าวสามารถถา่ ยทอดไปยังรนุ่ ต่อไปได้”
7. ครูถามคำถามท้ายกจิ กรรม ดังน้ี
- สงิ่ มชี ีวิตชนิดใดท่ีมนุษย์นำมาดัดแปรพนั ธกุ รรม
(แนวตอบ : พชื สัตว์ แบคทเี รีย)
- มนษุ ยน์ ำความร้เู รื่องพนั ธศุ าสตรม์ าใช้ประโยชนใ์ นดา้ นใดบา้ ง
(แนวตอบ : ด้านการแพทย์ ดา้ นการเกษตร ดา้ นอตุ สาหกรรม ด้านสง่ิ แวดลอ้ ม ด้านการพาณิชย์)
- พันธุวิศวกรรมคอื อะไร
(แนวตอบ : กระบวนการปรับปรุงพันธ์ุสิ่งมีชีวิต โดยนำยีนจากส่ิงมชี ีวิตอีกชนิดหน่ึง ถ่ายฝากเข้า
ไปอกี ส่งิ มชี ีวติ ชนิดหนงึ่ เพอื่ ปรบั ปรงุ สายพนั ธส์ุ ิ่งมีชีวติ ใหด้ ีขน้ึ )
- ยกตัวอย่างผลกระทบท่ีเกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมท่ีมีต่อมนุษย์และ
ส่ิงแวดลอ้ ม
(แนวตอบ : ความปลอดภัยของผู้บริโภค และส่งให้เกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทาง
ชีวภาพเนือ่ งจากมีสายพันธ์ุใหม่ที่เหนือกวา่ สายพนั ธ์ุดัง้ เดมิ ในธรรมชาติ)
8. ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนศึกษาเกี่ยวกับประเด็นการโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับส่ิงมีชีวิตดัด
แปรพันธุกรรม แล้วรวบรวมข้อมูลเพือ่ จัดทำแผน่ พับเก่ียวกับประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมชี วี ิต
ดัดแปรพันธุกรรม โดยนำข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นมาสนับสนุน แล้วนำไปเผยแพร่ให้กับคนใน
ครอบครัว เม่ือคนในครอบครัวรับทราบข้อมูลแล้ว ให้คนในครอบครัวเซ็นชื่อลงในแผ่นพับ แล้ว
นำกลบั มาสง่ ครูผสู้ อน
149
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 6 สงิ่ มีชีวติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม
9. ใหน้ ักเรยี นทำแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรือ่ ง ส่งิ มีชวี ิตดัดแปรพนั ธุกรรม
10. ให้นักเรยี นตรวจสอบการตอบคำถาม Key Question ในสมดุ ประจำตวั นักเรยี นใหถ้ ูกตอ้ ง แลว้
นำมาส่งครภู ายหลัง
11. ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเอง โดยตอบคำถาม Topic Questions ลงใน
สมุดประจำตวั นักเรียน
ขน้ั ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
12. ครูกำหนดสถานการณ์เกี่ยวกับปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้มีการปลูกและจำหน่าย
แอปเปิล GMOs ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษสามารถชะลอการเน่าเสีย ถ้าหากวันหนึ่งประเทศไทยจะมี
การนำเข้าแอปเปิลสายพันธ์ุนี้ นักเรียนจะสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกและจำหน่ายหรือไม่ โดยให้
นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับการโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์หรือนำ
ความรู้ท่ีได้จากการศึกษาเร่ือง ส่ิงแวดล้อมดัดแปรพันธุกรรมมาโต้วาทีภายใต้ญัตติ ควรให้มีการ
ปลูกและวางจำหน่ายแอปเปิล GMOs หรือไม่ โดยให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นลงในสมุด
ประจำตัวนกั เรียน แลว้ นำมาส่งครูผ้สู อน
ขนั้ สรุป
นักเรียนและครูร่วมกันสรุป เรื่อง ประโยชน์และผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมท่ีมีต่อมนุษย์
และสิ่งแวดลอ้ ม โดยสรุปความรู้ลงในสมดุ ประจำตวั นกั เรยี น พรอ้ มนำเสนอในรูปแบบท่ีน่าสนใจ
ขั้นประเมนิ
ข้นั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครตู รวจแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
2. ครตู รวจรายงาน เรอ่ื ง สง่ิ มีชีวติ ดดั แปรพนั ธุกรรม
3. ครตู รวจสอบการตอบคำถาม Key Question ในสมดุ ประจำตวั นักเรียน
4. ครูตรวจคำตอบ Topic Questions ในสมุดประจำตัวนักเรียน เพื่อเมินความรู้ความเข้าใจของ
นกั เรยี น
5. ครูตรวจแผน่ พบั เร่อื ง สิ่งมีชวี ิตดัดแปรพันธุกรรม
6. ครูตรวจการสรปุ ความรู้ เร่ือง ประโยชนแ์ ละผลกระทบของสิ่งมชี ีวติ ดัดแปรพันธกุ รรมที่มีต่อมนษุ ย์
และสิ่งแวดล้อม
7. ประเมินทักษะและกระบวนการโดยสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติการจากการทำกิจกรรม สิ่งมีชีวิต
ดดั แปรพนั ธุกรรม
8. ประเมนิ ทักษะและกระบวนการโดยสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายกลุ่ม การทำงานรายบคุ คล
9. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตความมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้และมุ่งม่ัน
ในการทำงาน
150
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 6 สิง่ มีชวี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม
7. การวดั และประเมินผล
รายการวัด วิธกี าร เครื่องมือ เกณฑ์
การประเมนิ
7.1 ประเมนิ ระหวา่ งการจัด
กจิ กรรมการเรยี นรู้
1) ความผิดปกตทิ าง
พันธกุ รรม - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตวั หรือ - รอ้ ยละ 60
หรอื แบบฝกึ หัด แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑ์
วิทยาศาสตร์และ และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
เทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
- รายงาน เรื่อง ส่งิ มีชวี ติ - แบบประเมนิ รายงาน - ระดับคณุ ภาพ 2
ดัดแปรพนั ธุกรรม ผา่ นเกณฑ์
- แผน่ พบั เรือ่ ง สง่ิ มีชวี ติ - แบบประเมินแผ่นพบั - ระดบั คณุ ภาพ 2
ดัดแปรพันธุกรรม ผา่ นเกณฑ์
2) ผลบนั ทึกการปฏิบตั ิ - ตรวจสมุดประจำตัว - สมดุ ประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60
กิจกรรมส่ิงมีชีวิต หรือแบบฝกึ หดั
ดัดแปรพันธุกรรม วทิ ยาศาสตร์และ แบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑ์
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
3) การนำเสนอผลงาน/ - ประเมินการนำเสนอ - แบบประเมินการนำเสนอ - ระดบั คณุ ภาพ 2
ผลการปฏบิ ัติกิจกรรม ผลงาน/ผลการปฏิบตั ิ ผลงาน ผ่านเกณฑ์
กจิ กรรม
4) พฤตกิ รรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์
รายบคุ คล การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล
5) พฤติกรรมการทำงาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดับคณุ ภาพ 2
กลมุ่ การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
6) คณุ ลักษณะ - สังเกตความมีวนิ ยั - แบบประเมนิ คุณลกั ษณะ - ระดับคุณภาพ 2
อนั พงึ ประสงค์ รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
และมุ่งม่นั ในการ อนั พงึ ประสงค์ ผ่านเกณฑ์
ทำงาน
151
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 6 สงิ่ มชี วี ติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม
8. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้
8.1 ส่ือการเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2
พันธกุ รรม
2) แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 พนั ธกุ รรม
3) อปุ กรณ์ที่ใชท้ ำกจิ กรรมส่งิ มชี ีวติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม
4) PowerPoint เร่ือง สง่ิ มีชวี ิตดัดแปรพันธกุ รรม
5) สมุดประจำตวั นักเรียน
6) วีดิทัศน์ประกอบการสอน เร่ือง What Is a Genetically Modified Food ? จาก Youtube
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรียน
2) อินเทอรเ์ น็ต
152
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 6 สิง่ มชี ีวติ ดดั แปรพนั ธกุ รรม
9. ความเหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศึกษาหรือผทู้ ่ไี ด้รบั มอบหมาย
ข้อเสนอแนะ “……..
“…………………………………………
ลงชื่อ
( .................................
................................ )
ตำแหนง่
.......
10. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น
ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ดา้ นอนื่ ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมทม่ี ปี ัญหาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
153
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 7 ความหลากหลายทางชวี ภาพ
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 7
ความหลากหลายทางชีวภาพ
เวลา 2 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวัด
ว 1.1 ม.3/9 เปรียบเทียบความหลากหลายทางชวี ภาพระดับชนิดสง่ิ มีชีวิตในระบบนิเวศตา่ ง ๆ
ว 1.1 ม.3/10 อธิบายความสำคัญของความหลากหลายท่ีมีต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและ
ต่อมนษุ ย์
ว 1.1 ม.3/11 ตระหนักถึงในคุณค่าและความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีส่วนร่วม
ในการดแู ลรกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพ
2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพท่ีมีต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและ
ตอ่ มนษุ ยไ์ ด้ (K)
2. เปรยี บเทียบความหลากหลายทางชวี ภาพระดับชนิดของสิ่งมชี วี ิตในระบบนเิ วศต่าง ๆ ได้ (P)
3. ตระหนักถึงคณุ ค่าและความสำคญั ของความหลากหลายทางชีวภาพ (A)
4. มีความใฝเ่ รยี นรูแ้ ละม่งุ มนั่ ในการทำงาน (A)
3. สาระการเรยี นรู้
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นร้ทู อ้ งถ่ิน
• ความหลากหลายทางชีวภาพมี 3 ระดับ ไดแ้ ก่ ความ พจิ ารณาตามหลักสตู รของสถานศกึ ษา
หลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลายของ
ช นิ ด ส่ิ งมี ชี วิ ต แ ล ะ ค ว า ม ห ล า ก ห ล า ย
ทางพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพน้ี
มีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงจะ
รกั ษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศทีม่ คี วามหลากหลาย
ทางชีวภาพต่ำกว่า นอกจากนี้ความหลากหลายทาง
ชีวภาพยังมีความสำคัญต่อมนุษย์ในด้านตา่ ง ๆ เช่น
ใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรค วัตถุดิบในอุตสาหกรรม
ต่าง ๆ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนในการดูแล
รักษาความหลากหลายทางชวี ภาพให้คงอยู่
4. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
ความหลากหลายทางชีวภาพแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ความหลากหลายทางระบบนิเวศ
ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต และความหลากหลายทางพันธุกรรม ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ
ในระบบนิเวศในแต่ละพ้ืนท่ีจะแตกต่างกัน บางระบบนิเวศมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
บางระบบนิเวศมีความหลากหลายทางชีวภาพต่ำ ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพมีความสำคัญต่อการ
155
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 7 ความหลากหลายทางชีวภาพ
รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และมีความสำคัญต่อมนุษย์ ดังนั้น จึงควรร่วมกันดูแลรักษาความหลากหลาย
ทางชวี ภาพโดยการร่วมกันอนรุ กั ษพ์ ันธ์ุสตั ว์ ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและรคู้ ุณค่า
5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี นและคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มีวนิ ัย รบั ผดิ ชอบ
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รยี นรู้
1) ทักษะการสงั เกต 3. ม่งุ มนั่ ในการทำงาน
2) การตคี วามหมายข้อมลู และลงขอ้ สรุป
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนคิ : 5Es Instructional Model
ชัว่ โมงท่ี 1-2
ข้นั นำ
ขนั้ ที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. ให้นักเรียนทำกิจกรรม Engaging Activity ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 เปรียบเทียบความหลากหลายของชนิดของสิ่งมีชีวิตระหว่างภาพท่ี 1 กับ
ภาพที่ 2
2. นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปรายผลท่ีไดจ้ ากการทำกิจกรรม เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า “ภาพท่ี 2 มีความ
หลากหลายของชนิดของสิ่งมีชีวิตมากกว่าภาพที่ 1 เนื่องจากมีปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพท่ี
สมบูรณ์และมีความเหมาะสมในการดำรงชีวิตและการกระจายพันธ์ุของสิ่งมีชีวิตมากกว่า ทำให้
ระบบนิเวศในภาพที่ 2 มกี ารรกั ษาสมดุลไดด้ ีกวา่ ภาพท่ี 1 ด้วย”
3. ครูถามกระตนุ้ ความคิดของนักเรียนว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตหลายชนิดในบริเวณหน่ึงจึงทำให้ระบบนิเวศ
ไมส่ ูญเสยี สมดลุ
(แนวตอบ : เพราะสิ่งมีชวี ติ บางชนิดสามารถเลอื กกินส่ิงมชี ีวติ อ่ืนได้ ทำให้สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิต
บางชนิดไม่ให้มีมากเกินไป จนทำให้อาหารในระบบนิเวศไม่เพียงพอ จนมีผลต่อสิ่งมีชีวิตอ่ืนท่ีกิน
อาหารแบบเดียวกนั ได้ ส่งผลใหร้ ะบบนเิ วศไม่เสียสมดลุ )
ขั้นสอน
ข้ันที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore)
1. ให้นักเรียนตรวจสอบความรู้ของตนเองจากกรอบ Check for Understanding ในหนังสือเรียน
รายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หนว่ ยการเรียนรู้ 2 พนั ธกุ รรม เร่ือง ความ
หลากหลายทางชีวภาพ
156
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 พันธกุ รรม
แผนฯ ที่ 7 ความหลากหลายทางชีวภาพ
2. ให้นักเรียนตอบคำถาม Key Question จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 ว่า “ระบบนิเวศที่มคี วามหลากหลายทางชวี ภาพสูงเป็นอยา่ งไร” ลงในสมุด
ประจำตัวนกั เรยี น โดยครูยงั ไมเ่ ฉลยคำตอบท่ีถูกตอ้ ง
3. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศในประเทศไทยตามภูมิภาค
ต่าง ๆ เช่น ป่าไม้ อ่าวไทย ทะเล ป่าชายเลน ทะเลสาบ โดยเลือกข้อมูลที่จะศึกษามาอย่างน้อย 2
ระบบนิเวศ
4. ให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับชนิดและสายพันธ์ุของสิ่งมีของระบบนิเวศท่ีนักเรียนเลือก
นำมาศกึ ษา รวบรวมข้อมูล และใหน้ ักเรียนแต่ละคนสรปุ ข้อมลู ลงในกระดาษ A4
5. ใหน้ กั เรียนรวมกลมุ่ ใหม่ โดยมสี มาชิกที่มาจากกลมุ่ อน่ื โดยไม่ใชส่ มาชิกภายในกลมุ่ เดิม แลกเปลีย่ น
ข้อมูลเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยที่นักเรียนสืบค้นได้ แล้วสรุปข้อมูล
ลงในสมดุ ประจำตวั นกั เรียน
ขัน้ ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explain)
6. ครสู มุ่ เรยี กตวั แทนกลุ่ม ออกมานำเสนอหนา้ ชน้ั เรียน
7. นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า “ประเทศไทยต้งั อยู่ในโซนร้อนเหนือเส้นศูนย์
สตู ร จงึ มีลักษณะภมู ิประเทศและลกั ษณะอากาศท่ีเหมาะสมตอ่ การดำรงชีวติ ของส่ิงมชี ีวติ และการ
กระจายพันธ์ุ โดยแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยต่างก็มีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันทำให้
ระบบนิเวศในแต่ละพ้ืนทีแ่ ตกต่างกันด้วย พื้นท่ีใดมีสิง่ มีชีวิตหลายชนดิ ยอ่ มทำให้ส่ิงมีชีวิตชนิดน้ัน
มคี วามหลากหลายทางสายพันธ์ุ”
8. ครูถามคำถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจของนักเรียน ดังนี้
- ความหลากหลายทางชวี ภาพมีกร่ี ะดบั อะไรบา้ ง
(แนวตอบ : 3 ระดับ ได้แก่ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลายของชนิด
สิ่งมชี วี ติ ความหลากหลายทางพนั ธุกรรม)
- จงเปรียบเทียบความหลากหลายของระบบนเิ วศในประเทศไทยกบั ประเทศอียิปส์
(แนวตอบ : ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า เน่ืองจากประเทศไทยต้ังอยู่
ใกล้บริเวณเสน้ ศนู ย์สูตรและเปน็ ประเทศท่อี ยใู่ กล้กับมหาสมุทรแปซิฟกิ และทะเลอนั ดามนั จึง
ทำให้มีมีความหลากหลายของระบบนเิ วศ และประเทศไทยมีสภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมต่อการ
แพร่พันธ์ุและการเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวิต ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความหลากหลายทาง
ชีวภาพมากกว่าประเทศอียิปส์ซ่ึงเป็นประเทศท่ีมีอากาศค่อนข้างร้อน พื้นที่ส่วนมากเป็น
ทะเลทราย จึงไมเ่ หมาะแกก่ ารเจรญิ เตบิ โตของส่งิ มชี ีวิต)
9. ให้นักเรียนแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ 5-6 คน ทำกจิ กรรม สำรวจชนิดพืชภายในโรงเรียน จากหนงั สือเรียน
รายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 แลว้ ให้นักเรยี นแบง่ ภาระหน้าที่รับผดิ ชอบ
ภายในกลุ่ม
10. นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายผลที่ไดจ้ ากการทำกิจกรรม เพื่อให้ได้ขอ้ สรุปวา่ “ภายในโรงเรยี นมี
ระบบนิเวศหลายระบบนิเวศ เช่น สระน้ำ สวนพฤกษาสตร์ จึงพบพืชหลายชนิด แต่ละชนิดอาจมี
หลายสายพันธุ์ ซึ่งพืชบางชนิดนำมาใชป้ ระกอบอาหาร เช่น ผกั ชี ตำลงึ ผักกาด นอกจากนี้พืชบาง
ชนิดสามารถนำทอเป็นเครื่องนุ่งห่ม เช่น ฝ้าย หรือใช้ทำยาสมุนไพรเพ่ือรักษาโรค เช่น ว่านหาง
จระเข้ หรือบางชนิดนำส่วนประกอบของพืชมาสร้างเป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัย เช่น ใบจาก ลำต้นไผ่
ดงั นั้น จะเหน็ ว่า ความหลากหลายชนดิ ของพชื มคี วามสำคญั ตอ่ การดำรงชวี ติ ของมนุษย์
157
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 7 ความหลากหลายทางชวี ภาพ
11. ครูถามคำถามท้ายกจิ กรรม
- จากการสำรวจ ชนิดของพืชทีร่ วบรวมไดม้ ีกชี่ นดิ อะไรบ้าง
(แนวตอบ : ขน้ึ อยกู่ ับผลการสำรวจของนักเรียน)
- พชื ที่สำรวจไดม้ ปี ระโยชนอ์ ย่างไร
(แนวตอบ : ใช้เป็นอาหาร นำไปสร้างแหล่งทอี่ ยู่อาศยั ใชท้ ำเคร่อื งนุ่งห่ม และยารักษาโรค)
12. ครอู ธิบายต่อไปวา่ “ขณะที่มนุษย์เปน็ ส่ิงมชี ีวิตท่ีใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพมาก
ท่ี สุด การกระทำของมนุษย์จงึ เป็นภัยคกุ คามต่อความหลากหลายทางชวี ภาพเช่นกัน ดงั น้ัน เราจึง
ตระหนักและนึกถึงคุณค่า ร่วมกันอนุรักษ์พันธ์ุส่ิงมีชีวิตไม่ให้สูญพันธ์ุ ช่วยกันปลูกป่าทดแทน
รณรงค์ไม่ให้ตัดไม้ทำลายป่า รวมท้ังตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากมลพิษปนเป้ือนสู่ส่ิงแวดล้อม
จงึ ควรร่วมมือกันแกไ้ ข ควบคุมไมใ่ ห้มลพษิ หรือสารเคมปี นเป้ือนสสู่ ่ิงแวดล้อม”
13. ให้นกั เรยี นทำแบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
14. ให้นักเรียนตรวจสอบการตอบคำถาม Key Question ในสมุดประจำตัวนักเรียนให้ถูกต้อง
แลว้ นำมาส่งครูภายหลัง
15. ใหน้ กั เรยี นตรวจสอบความเขา้ ใจ โดยตอบคำถาม Topic Questions ลงในสมุดประจำตวั นักเรยี น
16. ให้นักเรียนสรุปความรู้ท่ีได้จากการศึกษาหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เป็นผังมโนทัศน์ เรื่อง พันธุกรรม
แลว้ นำมาส่งครผู ู้สอน
17. ให้นกั เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 พนั ธุกรรม
ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
18. ให้นักเรียนสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพภายในชุมชนของนักเรียน แล้วรวบรวมข้อมูลที่ได้
จากการสำรวจมาวิเคราะห์ว่า บริเวณใดรักษาสมดุลทางระบบนิเวศได้ดีท่ีสุด พร้อมนำเสนอแนว
ทางการดูแลรกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพภายในชุมชนให้ย่งั ยนื ลงในสมดุ ประจำตวั นกั เรียน
ข้นั สรปุ
นักเรียนและครูร่วมกันสรุป เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยจัดทำเป็นผังมโนทัศน์ ลงใน
กระดาษ A4 พร้อมนำเสนอในรปู แบบที่นา่ สนใจ
ขั้นประเมิน
ข้นั ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครตู รวจแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 2 พันธกุ รรม
2. ครตู รวจแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
3. ครูตรวจสอบการตอบคำถาม Key Question ในสมุดประจำตัวนกั เรียน
4. ครตู รวจคำตอบ Topic Questions ในสมดุ ประจำตัวนักเรยี น เพือ่ ประเมินความรู้ความเข้าใจของ
นกั เรยี น
5. ครูตรวจผังมโนทัศน์ เร่อื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ
6. ครูตรวจผงั มโนทศั น์ เรอ่ื ง พันธุกรรม
158
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ที่ 7 ความหลากหลายทางชีวภาพ
7. ประเมินทักษะและกระบวนการโดยสังเกตพฤตกิ รรมการปฏิบัติการจากการทำกิจกรรม สำรวจพืช
ภายในโรงเรียน
8. ประเมินทกั ษะและกระบวนการโดยสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายกลมุ่ การทำงานรายบุคคล
9. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตความมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำงาน
7. การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์
การประเมนิ
รายการวดั
7.1 ประเมินระหว่างการจดั - ตรวจสมดุ ประจำตวั - สมุดประจำตัว หรอื - ร้อยละ 60
กจิ กรรมการเรียนรู้ หรือแบบฝกึ หดั
1) ความหลากหลาย วิทยาศาสตร์และ แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
ทางชีวภาพ เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
- ผงั มโนทศั น์ เรือ่ ง
ความหลากหลาย และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1
ทางชีวภาพ
- แบบประเมินผังมโนทัศน์ - ร้อยละ 60
ผ่านเกณฑ์
2) ผลบันทกึ การปฏิบตั ิ - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตวั หรือ - ร้อยละ 60
กจิ กรรม สำรวจพืช หรอื แบบฝึกหัด
ภายในโรงเรยี น วทิ ยาศาสตร์และ แบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑ์
เทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1
4) การนำเสนอผลงาน/ - ประเมินการนำเสนอ - แบบประเมนิ การนำเสนอ - ระดับคณุ ภาพ 2
ผลงาน ผ่านเกณฑ์
ผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ผลงาน/ผลการปฏบิ ัติ
กิจกรรม
5) พฤตกิ รรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
การทำงานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล การทำงานรายบุคคล
- แบบสงั เกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพ 2
6) พฤติกรรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
กลุม่ การทำงานกลุ่ม
159
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 พนั ธกุ รรม วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์
แผนฯ ท่ี 7 ความหลากหลายทางชวี ภาพ การประเมิน
- สงั เกตความมวี ินัย - แบบประเมนิ คุณลักษณะ - ระดบั คุณภาพ 2
รายการวัด รบั ผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ อันพึงประสงค์ ผ่านเกณฑ์
และมงุ่ ม่ันในการทำงาน
7) คณุ ลกั ษณะ - ร้อยละ 60
อันพงึ ประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลังเรยี น ผ่านเกณฑ์
หลังเรยี นหนว่ ยการ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2
7.2 การประเมนิ หลงั เรียน เรียนรู้ท่ี 2 พนั ธุกรรม พนั ธุกรรม
- แบบทดสอบหลงั เรียน
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2
พนั ธุกรรม
7.3 การประเมนิ ช้นิ งาน/ - ตรวจแผนผงั มโนทัศน์ - แบบประเมินชิน้ งาน/ - ระดบั คุณภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
ภาระงาน (รวบยอด) เรอื่ ง พนั ธุกรรม ภาระงาน (รวบยอด)
8. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้
8.1 สอ่ื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2
พนั ธกุ รรม
2) แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เลม่ 1 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
3) อุปกรณ์ทใ่ี ช้ทำกิจกรรมสำรวจพืชภายในโรงเรียน
4) PowerPoint เร่ือง พันธุกรรม
5) สมดุ ประจำตัวนักเรยี น
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) หอ้ งเรียน
2) อินเทอรเ์ นต็
160
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 พนั ธกุ รรม
แผนฯ ท่ี 7 ความหลากหลายทางชีวภาพ
9. ความเห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษาหรือผู้ทีไ่ ด้รบั มอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ “……..
“…………………………………………
ลงชอื่
( .................................
................................ )
ตำแหนง่
.......
10. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ด้านสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ดา้ นอน่ื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมทม่ี ปี ญั หาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถ้ามี))
ปญั หา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
161